Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน

ArjanPong | 26-11-2557 | เปิดดู 3925 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

 

         ราคาน้ำมันดิบปรับลด หลังจากอิรักสามารถบรรลุข้อตกลงส่งออกน้ำมันได้

 

 

                                                     

 

 

 

- ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงอีกครั้ง หลังอิรักผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มโอเปคสามารถบรรลุข้อตกลงกลับกลุ่มชาวเคิร์ดเพื่อให้สามารถส่งออกน้ำมันดิบจากแหล่งบริเวณทางตอนเหนือของชาวเคิร์ดซึ่งมีปริมาณ 250,000-550,000 บาร์เรลต่อวันผ่านทางประเทศตุรกีได้ ส่งผลให้มีปริมาณน้ำมันดิบล้นตลาดมากยิ่งขึ้น

 

- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าธนาคากลางยุโรป (ECB) จะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ และนักลงทุนยังคงรอและจับตามองว่าธนาคารกลางยุโรปจะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาในช่วงเวลาใด รวมถึงเศรษฐกิจของสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับที่ดีอยู่

 

+ สถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐ (API) ประกาศตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ สิ้นสุดวันที่ 28 พ.ย. 57 ว่ามีปริมาณน้ำมันดิบคงคลังลดลง 6.5 ล้านบาร์เรล มาสู่ที่ระดับ 373 ล้านบาร์เรล ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ณ จุดส่งมอบน้ำมันดิบคุชชิ่ง โอกลาโฮมา ปรับลดลง 610,000 บาร์เรล และปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังปรับลดลง 35,000 บาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังปรับเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการ์ไว้ว่าจะปรับลดลง 0.2 ล้านบาร์เรล

 

- ขณะที่ตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่จะประกาศโดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (IEA) ในวันนี้นั้น มีการคาดการณ์ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากมีความกังวลต่ออุปทานที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงหน่วยผลิตน้ำมันเบนซินของโรงกลั่น Mailiao ในประเทศไต้หวัน แต่อย่างไรก็ตามอุปสงค์ในภูมิภาคก็ยังคงไม่สูงมากนัก

 

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ แต่อย่างไรก็ตามอุปสงค์น้ำมันดีเซลในภูมิภาคยังคงมีไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนยังคงจับตามองและรอให้ราคาน้ำมันคงที่ก่อนที่จะเข้าซื้อน้ำมันเพิ่มเติม

 

ทิศทางราคาน้ำมันดิบ

 

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 65-71 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 70-76 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

 

ปัจจัยที่น่าจับตามอง

 

- ติดตามท่าทีของตลาดที่ตอบรับต่อการคงกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปคที่ระดับเดิมที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในการประชุมวันที่ 27 พ.ย ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าการประชุมจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่สมาชิกบางส่วนอย่างที่มีต้นทุนการผลิตน้ำมันดิบสูง ได้แก่ เวเนซุเอลา อิหร่าน รวมถึงผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปคที่มีต้นทุนสูงเช่นกัน ได้แก่ รัสเซีย ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ระดับปัจจุบันยังแสดงความผิดหวังต่อมติการประชุม

 

- ตลาดจับตาการหาวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของยูโรโซน ในการประชุมครั้งต่อไปของอีซีบีในวันที่ 4 ธ.ค. นี้ หลังประธานอีซีบีส่งสัญญาณถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดูแลเงินเฟ้อให้ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มมาตรการ QE ในไตรมาสหน้าด้วย

 

- โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐ ยังคงทยอยกลับมาจากการปิดซ่อมบำรุง รวมถึงอากาศที่หนาวเย็นของสหรัฐ ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจหนุนราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

-----------------------------------------------------

ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)

 

 

 

 

                   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                

         

 

 

 

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของหญ้าดอกขาว

  • สารที่พบได้แก่ พบสารจำพวก Flavonoid glycoside, Phenols, Amino acids เป็นต้น[1]
  • น้ำต้มจากส่วนที่อยู่เหนือดินมีฤทธิ์ต้านการเจริญเติบของเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการปวดและลดความดันโลหิตในสัตว์ทดลอง[2]
  • ใบหญ้าดอกขาวมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้เล็กน้อย แต่ไม่มีฤทธิ์ต่อเชื้อมาลาเรีย[1],[7]
  • สารสกัดจากต้นด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้หนู และเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง[2]
  • เมล็ดและรากหญ้าดอกขาวมีฤทธิ์สามารถฆ่าเชื้อพยาธิได้[1],[7]
  • ในปัจจุบันมีการศึกษาเกี่ยวกับฤทธิ์ของสมุนไพรชนิดนี้ โดยพบว่ามีฤทธิ์เป็นยาลดไข้ ต้านมาลาเรีย ต้านเบาหวาน ต้านการกระจายตัวของมะเร็ง ต้านไม่ให้รังสีแกมมาทำลายเซลล์ ขับปัสสาวะ ป้องกันไตไม่ให้ถูกทำลาย ต้านแบคทีเรีย ต้านการเกิดแผล แก้ปวด ต้านการอักเสบ ลดการอักเสบ ช่วยคลายกล้ามเนื้อเรียบ เป็นต้น[3],[6] รวมทั้งยังมีฤทธิ์การยับยั้งการกินอาหารของแมลงบางชนิด ส่วนการวิจัยใหม่ๆ จะมุ่งเน้นศึกษาฤทธิ์ต้านการเติมออกซิเจนและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระค่อนข้างมาก[6]
  • ต้น ใบ และรากของหญ้าดอกขาวมีสารสำคัญคือ Sodium nitrate ทำให้ลิ้นชา ช่วยลดอาการอยากบุหรี่ได้[5] จากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของหญ้าดอกขาวกับยาหลอกในการลดการสูบบุหรี่ พบว่า หญ้าดอกขาวสามารถช่วยลดการสูบบุหรี่ลงได้มากกว่ากลุ่มควบคุม และพบว่าสมุนไพรหญ้าดอกขาวในรูปแบบการนำไปเคี่ยว คือการนำหญ้าดอกขาวแห้ง 20 กรัม ผสมกับน้ำ 3 แก้ว แล้วต้มเคี่ยวจนเหลือเพียง 1 แก้ว แล้วนำมาอมไว้ในปากประมาณ 1-2 นาทีแล้วค่อยกลืน จากนั้นจึงค่อยสูบบุหรี่ จะทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนทำให้ไม่อยากสูบยุหรี่ในที่สุด และลดจำนวนของมวนบุหรี่ที่ใช้สูบต่อวันได้อย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ ไม่ว่าจะสูบเบาหรือสูบหนักมาก่อนก็ตาม และจากการวิจัยพบว่าหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน จะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ถึง 60% และหากออกกำลังกายร่วมด้วยก็จะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ลงได้ 62% และที่สำคัญยังช่วยทำให้คนเลิกบุหรี่ได้สูงถึง 60-70% หากออกกำลังกายร่วมด้วย[3],[4]
  • จากการศึกษาผู้ติดบุหรี่พบว่าหลังการรักษาด้วยสมุนไพรหญ้าดอกขาวเป็นระยะเวลา 4 เดือน ผู้ติดบุหรี่มีอัตราการเลิกสูบบุหรี่ร้อยละ 69.35 โดยเหตุผลสำคัญของการเลิกสูบบุหรี่ คือ ชาลิ้น กินอาหารไม่อร่อย ไม่รู้สึกอยากบุหรี่ รู้สึกเหม็นกลิ่นบุหรี่ เมื่อสูบแล้วรู้สึกอยากอาเจียน ส่วนผู้ที่ไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้ให้เหตุผลว่า การดื่มชาสมุนไพรชนิดนี้ก็เหมือนกับการดื่มน้ำธรรมดา โดยไม่มีอาการใดๆ[5]
  • ส่วนการศึกษาด้านความปลอดภัย พบว่าสมุนไพรชนิดนี้มีความปลอดภัยสูง[3] ซึ่งจากการศึกษาด้านพิษวิทยาพบว่าสารสกัดในเมทานอลไม่เกิดให้เกิดพิษเฉียบพลันในหนูเมื่อให้ทางปาก โดยมีค่า LD50 สูงกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม[6]

ประโยชน์ของหญ้าดอกขาว

  1. ปัจจุบันมีการใช้หญ้าดอกขาวเป็นยาแก้อาการติดบุหรี่ เพราะกินแล้วจะทำให้เหม็นบุหรี่และไม่อยากสูบบุหรี่อีก ซึ่งทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งนำหญ้าดอกขาวไปใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.2547 ได้มีการจดสิทธิบัตรในอเมริกา โดยนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น ที่ใช้สารสกัดจากหญ้าดอกขาวใส่ลงไปในก้นกรองของบุหรี่เพื่อช่วยลดความอยากสูบบุหรี่[3]
  2. นอกเหนือจากจะทำให้เลือกบุหรี่ได้แล้ว ยังช่วยทำให้สมรรถภาพทางกายดีขึ้นอีกด้วย เลือดจะมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ทำให้มีปริมาณของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่คั่งค้างในปอดลดลงอย่างชัดเจน และที่สำคัญผลข้างเคียงของการเลิกบุหรี่ด้วยวิธีนี้ก็มีน้อยมาก (เช่น มีอาการกระวนกระวาย หงุดหงิดง่าย สมาธิแปรปรวน)[3]
  3. เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีความปลอดภัยสูง มีสรรพคุณมากมาย กินง่าย มีรสชาติดีเยี่ยม จึงได้มีการพัฒนาเป็นยาในรูปแบบชง แบบชาชง แบบแคปซูล แบบลูกอมเม็ดแข็ง แบบลูกกวาดนุ่ม แบบหมากฝรั่ง แบบแผ่นฟิล์มละลายเร็ว และแบบผลิตภัณฑ์กาแฟผสมหญ้าดอกขาว ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายและนำไปใช้ประโยชน์กันได้ง่ายขึ้น ซึ่งในปัจจุบันชาหญ้าดอกขาวถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2555 ในส่วนยาพัฒนาจากสมุนไพรสำหรับลดความอยากบุหรี่ในรูปแบบชง ใช้กินครั้งละ 2 กรัม โดยชงกับน้ำร้อนประมาณ 120-200 มิลลิเมตร ใช้กินหลังอาหารวันละ 3-4 ครั้ง ส่วนในรูปแบบชาชง ก็คือการนำหญ้าดอกขาวแห้งมาบดเป็นผงละเอียด แล้วบรรจุลงในถุงชาขนาดเล็ก วิธีรับประทานก็ให้นำถุงชามาจุ่มลงในน้ำร้อนแล้วทิ้งไว้สักครู่ แล้วนำมาอมไว้ในปากประมาณ 1-2 นาทีเช่นเดียวกับแบบชงดื่ม ส่วนในรูปของยาอมแบบอัดเม็ด ก็มาจากการนำหญ้าดอกขาวมาเคี่ยวแล้วทำให้เป็นผงแห้งก่อนการอัดเม็ด รูปแบบนี้ทำให้พกพาง่ายและสะดวก ก่อนจะสูบบุหรี่ทุกครั้งก็ให้นำมาอมไว้ในปากจนละลายหมดแล้วจึงค่อยสูบบุหรี่ ก็จะช่วยทำให้เลิกบุหรี่ได้ครับ (ประสิทธิภาพในรูปแบบอมจะได้ผลเร็วกว่ารูปแบบชงชาและแบบเคี่ยวมาก)[3],[4]
  4. แม้สมุนไพรชนิดนี้จะมีประโยชน์อยู่มากก็ตาม แต่ก็มีข้อเสียที่อาจเป็นประโยชน์อยู่ด้วย นั้นก็คือ เมื่อกินยาชนิดแล้วจะทำให้ปากแห้ง คอแห้ง ทำให้ไม่อยากอาหาร (ควรระวังในการใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคไตเนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีโพแทสเซียมสูง) ด้วยเหตุนี้หญ้าดอกขาวจึงอาจมปีประโยชน์ในควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย[3]
References
  1. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  “หญ้าหมอน้อย”.  หน้า 604.
  2. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา.  (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “เสือสามขา”.  หน้า 223.
  3. ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.  “หญ้าดอกขาว หมอข้างกาย ทางสบายเลิกบุหรี่”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_herbal/.  [13 ก.ค. 2014].
  4. เดลินิวส์ 5 สิงหาคม พ.ศ.2555.  “หญ้าดอกขาว สมุนไพรช่วยเลิกบุหรี่”.
  5. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.  “หญ้าดอกขาวกับการลดการอยากบุหรี่”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.cmu.ac.th/dic/newsletter/newpdf/newsletter10_6/smokingherb.pdf.  [14 ก.ค. 2014].
  6. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2553.  (อรลักษณา แพรัตกุล).  “องค์ประกอบทางเคมี และฤทธิ์ทางชีวภาพของหมอน้อย และแนวทางการพัฒนาตำรับเพื่อใช้ช่วยเลิกบุหรี่”.
  7. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “หมอน้อย”.  หน้า 819-820.

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by 翁明毅, eddy lee, u20202003, Hamid, Dinesh Valke, CANTIQ UNIQUE)

เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์.คอม
 

advertisements

 

หญ้าดอกขาว

หญ้าดอกขาว ชื่อสามัญ Little ironweed, Ash-coloured fleabane, Ash-coloured ironweed, Purple fleabane, Purple-flowered fleabane.[6]

หญ้าดอกขาว ชื่อวิทยาศาสตร์ Vernonia cinerea (Linn.) Less. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Conyza cinerea L.) จัดอยู่ในวงศ์ COMPOSITAE (ASTERACEAE)[1],[7]

สมุนไพรหญ้าดอกขาว ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกว่า หญ้าสามวัน (เชียงใหม่), เสือสามขา (ตราด), ถั่วแฮะดิน ฝรั่งโคก (เลย), ก้านธูป ต้นก้านธูป (จันทบุรี), หนาดหนา (ชัยภูมิ), หญ้าละออง หญ้าดอกขาว หญ้าหมอน้อย หมอน้อย (กรุงเทพฯ), เซียวซัวโห้ว เซียหั่งเช่า (จีนแต้จิ๋ว), เย่เซียงหนิว เซียวซานหู่ เซียวซัวเฮา ซางหางฉ่าว (จีนกลาง), ผ้ำสามวัน, ม่านพระอินทร์, ยาไม่ต้องย่าง เป็นต้น[1],[2],[3],[7]

หมายเหตุ : หญ้าดอกขาวเป็นชื่อที่พ้องกับพืชหลายชนิดทั้งที่อยู่คนละวงศ์ เช่น กระดุมเงิน (Eriocaulon henryanum Ruhle), หญ้ายอนหู (Leptochloa chinensis (L.) Nees), หรือใช้เรียกพืชชนิดอื่นที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน เช่น สาบเสือ (Eupatorium odoratum L.) ดังนั้นการใช้ชื้อ “หญ้าดอกขาว” ควรใช้ด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสน โดยต้องระบุชื่อวิทยาศาสตร์กำกับไว้อยู่เสมอ เพราะจากการทบทวนเอกสารข้อมูลการวิจัยส่วนใหญ่จะใช้ชื่อว่า “หญ้าดอกขาว” แทน “หญ้าหมอน้อย” มากกว่า[6]

ลักษณะของหญ้าดอกขาว

  • ต้นหญ้าดอกขาว จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุได้ประมาณ 1-5 ปี มีความสูงของต้นประมาณ 20-80 เซนติเมตร ลำต้นตั้งตรงแตกกิ่งก้านน้อย กิ่งและก้านเรียว มีลักษณะเป็นร่องและมีขนสีเทาขึ้นปกคลุม มีลายเส้นนูนขึ้นตามข้อ ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง เจริญเติบโตได้ตลอดทั้งปี พบได้ทั่วไปตามสนามหญ้า ที่รกร้าง และทุ่งนาชายป่า[1],[4],[6] หญ้าดอกขาวจัดเป็นพืชในเขตร้อนที่พบได้ทั่วไปในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[6]

 

 

หญ้าดอกขาว

  • ใบหญ้าดอกขาว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ รูปไข่กลับ รูปขอบขนาน รูปแถบ หรือรูปใบหอก ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบมนหรือแหลม ส่วนขอบใบหยักหรือจักเป็นฟันเลื่อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3.5-6.5 เซนติเมตร หลังใบมีเส้นใบชัดเจน มีสีเขียวเข้ม มีขนทั้งสองด้าน ใบที่บริเวณโคนต้นมีขนาดใหญ่กว่าใบที่อยู่ปลายยอด[1],[2],[5]

 

 

ใบหญ้าดอกขาว

  • ดอกหญ้าดอกขาว ออกดอกเป็นช่อกระจุกแน่นบริเวณปลายยอด ช่อหนึ่งมีดอกย่อยประมาณ 20 ดอก ดอกออกรวมกันเป็นช่อแยกแขนง รูปคล้ายช่อเชิงหลั่น กว้างประมาณ 5-15 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-35 เซนติเมตร มีใบประดับลักษณะเป็นรูปคล้ายระฆัง 4 ชั้น ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ลักษณะของดอกย่อยเป็นหลอดยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร และกว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร ดอกเป็นสีม่วงอ่อนอมสีแดง สีม่วง หรือสีชมพู เมื่อดอกบานเต็มที่สีดอกจะจางลง พอกดอกแก่จะเปลี่ยนเป็นสีขาว เมื่อดอกร่วงโรยแล้วจะเห็นผลเป็นรูปทรงกระบอก[1],[6]

 

 

 

หญ้าหมอน้อย

 

 

 

 

 

ดอกหญ้าดอกขาว

  • ผลหญ้าดอกขาว ผลชนิดผลแห้งเมล็ดล่อน มีเมล็ดเดียว ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกแคบสีน้ำตาลเข้ม เปลือกแข็งและแห้งไม่แตก ยาวประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร และยาน้อยกว่า 0.5 มิลลิเมตร ด้านบนมีขนสีขาวปกคลุม ผลเป็นพู่แตกบาน ช่วยทำให้เมล็ดลอยไปตามลมได้[1],[6]

 

 

 

หญ้าละออง

เสือสามขา

 

 

 

สรรพคุณของหญ้าดอกขาว

  1. ทั้งต้นมีรสขมชุ่ม เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อปอดและตับ มีสรรพคุณทำให้เลือดเย็น เป็นยาแก้พิษ (ทั้งต้น)[1] ส่วนเมล็ดก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษเช่นกัน ด้วยการใช้เมล็ดแห้ง 2-4 กรัม นำมาป่นให้ละเอียด ใช้ชงกับน้ำร้อนกิน (เมล็ด)[6],[7]
  2. ตำรายาพื้นบ้านจะใช้ทั้งต้น 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 4 ถ้วย ใช้ดื่มต่างน้ำชาเป็นยาบำรุงเลือด แก้ตกเลือด (ทั้งต้น)[2]
  3. ช่วยบำรุงกำลัง (ทั้งต้น)[5]
  4. เมล็ดป่นใช้ชงกับน้ำร้อนกินเป็นยาบำรุงธาตุ (เมล็ด)[6],[7]
  5. หากเป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ให้ใช้ทั้งต้นนำมาตากแห้งไว้ต้มกินเป็นประจำ (ทั้งต้น)[3],[6] ตำรับยาลดความดันโลหิตสูงอีกวิธีให้ใช้ลำต้นแห้งของหญ้าดอกขาว ต้นแห้งของสะพานก๊น และต้นแห้งของส้มดิน อย่างละ 15 กรัม เท่ากัน นำมารวมกันแล้วต้มเอาน้ำกิน[7]
  6. ใช้เป็นยาลดไข้ แก้ตัวร้อน แก้ไข้หวัดแดดตัวร้อน แก้ไอ แก้ไอหวัด แก้ไข้ทับระดู ไข้มาลาเรีย (ทั้งต้น)[1],[2],[3],[5],[6] ตำรับยาแก้ไข้หวัด แก้ไอ ให้ใช้คนทีเขมาแห้ง ใบไทรย้อยใบทู่แห้ง และรากบ่อฮ๋วมแห้ง อย่างละ 15 กรัม นำมารวมกันต้มกับน้ำกิน[7]
  7. ใช้เป็นยาล้างปอดได้ดี จึงนำมาใช้แก้อาการไอ เจ็บคอ และหอบ รวมไปถึงการช่วยลดเสมหะและน้ำมูกเวลาเป็นหวัด (ทั้งต้น)[3]
  8. เมล็ดนำมาป่นให้ละเอียดใช้ชงกับน้ำร้อนกินเป็นยาแก้ไอ ไอเรื้อรัง (เมล็ด)[4],[6],[7] หรือจะใช้รากนำมานำมาต้มเอาน้ำกินก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอเรื้อรังเช่นกัน ถ้าเป็นรากสดใช้ 30-60 กรัม ถ้าเป็นรากแห้งใช้ 15-30 กรัม (ราก)[6],[7]
  9. ใบมีรสเย็น สรรพคุณเป็นยาแก้หืด แก้หลอดลมอักเสบ (ใบ)[5]
  10. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ใบ[5], ทั้งต้น[1])
  11. ช่วยแก้ประสาทอ่อน แก้นอนไม่หลับ (ทั้งต้น)[1]
  12. ใบใช้ตำผสมกับน้ำนมคน แล้วกรองเอาแต่น้ำมาใช้เป็นยาหยอดตาแก้ตาแดง ตาเปียก ตาแฉะ (ใบ)[2],[5],[6]
  13. ช่วยแก้เต้านมอักเสบ (ทั้งต้น)[1]
  14. ทั้งต้นใช้ตำให้ละเอียดเป็นยาพอกแก้นมคัด (ทั้งต้น)[4],[5],[6]
  15. ทั้งต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ (ทั้งต้น)[2],[5],[6] เมล็ดป่นใช้ชงกับน้ำร้อนกินเป็นยาแก้ท้องอืด (เมล็ด)[6],[7]
  16. ทั้งต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องขึ้น ท้องร่วง โรคกระเพาะ (ทั้งต้น)[2],[3],[4],[5],[6]
  17. ใช้เป็นยาแก้บิด (ใบ[5], ทั้งต้น[1])
  18. ใช้เป็นยาขับพยาธิ ด้วยการใช้รากสด 30-60 กรัม (แห้งใช้ 15-30 กรัม) นำมาต้มเอาน้ำกิน (ราก[6],[7], ทั้งต้น[1]) ใช้เมล็ดแห้งประมาณ 2-4 กรัม นำมาป่นให้ละเอียดใช้ชงกับน้ำร้อนกินเป็นยาขับพยาธิ ขับพยาธิเส้นด้าย (เมล็ด)[4],[5],[6],[7]
  19. ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด ด้วยการใช้รากสด 30-60 กรัม ถ้าเป็นแห้งให้ใช้ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน (ราก[6],[7], ใบ[5], ทั้งต้น[3]) เมล็ดป่นใช้ชงกับน้ำร้อนกินเป็นยาแก้ปัสสาวะขัด (เมล็ด)[4],[6],[7]
  20. ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ทั้งต้น)[5],[6]
  21. ทั้งต้นนำมาคั้นเอาน้ำดื่มช่วยกระตุ้นให้เจ็บท้องคลอด ขับรก ขับระดูของสตรี (ทั้งต้น)[5] รากนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาช่วงเร่งคลอด และขับรกหลังคลอด (ราก)[6],[7]
  22. ใช้เป็นยาแก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบเฉียบพลัน (ทั้งต้น)[1],[2],[5],[6]
  23. ตำรายาพื้นบ้านล้านนาจะใช้ทั้งต้นและรากหญ้าดอกขาว นำมาตากแห้งบดเป็นผง ใช้เป็นยารักษาแผลสด แผลเรื้อรัง ผิวหนังพุพอง และใช้ห้ามเลือด (ทั้งต้น)[2],[6]
  24. ใบสดใช้ตำพอกปิดแผล เป็นยาสมานแผล (ใบ)[2],[5],[6]
  25. ช่วยรักษาแผลบวมอักเสบ ดูดฝีหนอง แก้บวม (ทั้งต้น)[4],[5],[6]
  26. ใช้แก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ผื่นคัน (ทั้งต้น)[1] ใบใช้ตำพอกแก้กลากเกลื้อน เรื้อนกวาง (ใบ)[2],[5],[6] เมล็ดใช้ตำพอกหรือนำมาป่นชงกับน้ำร้อนกินเป็นยาแก้โรคผิวหนัง โรคผิวหนังเรื้อรัง ผิวหนังด่างขาว (เมล็ด)[5],[6],[7]
  27. ช่วยรักษาแผลเบาหวาน ด้วยการใช้หญ้าดอกขาวทั้งต้นรวมรากประมาณ 1-2 กำมือ นำมาต้มกับน้ำประมาณ 6-8 แก้ว เมื่อยาเดือด ก็ปล่อยให้เดือดกรุ่นไปสัก 5-10 นาที จนได้น้ำยาสีเหลืองแบบชา หรือจะตากแห้งนำมาต้มหรือใช้ชงกินต่างน้ำชาก็ได้ (ทั้งต้น)[3]
  28. ทั้งต้นใช้ภายนอกเป็นยาแก้พิษงู ฝีหนอง งูสวัด แผลกลาย ผ้ำ (การติดเชื้อมีหนองในเนื้อเยื่อลึกๆ ดูคล้ายฝีแต่ไม่ใช่ฝี) (ทั้งต้น)[1],[3] ตำรับยาแก้ผ้ำหรืออาการติดเชื้อมีหนองในเนื้อเยื่อลึกๆ คล้ายฝีแต่ไม่ใช่ฝี ให้ใช้หญ้าดอกขาวนำมาต้มเอาไอรมแผลบริเวณเป็น เมื่อยาเย็นลงแล้วให้เอาน้ำต้มยามาล้างแผล 1 วัน รม 3 ครั้ง 3 วันก็จะหาย โดยให้ใช้ยาหม้อเดิมทั้ง 3 วัน (ทั้งต้น)[3]
  29. ช่วยรักษาโรคเท้าช้าง (ใบ[5], ทั้งต้น[1])
  30. ตำรับยาแก้ฟกช้ำ ให้ใช้หญ้าดอกขาวทั้งต้น ฝาง บัวบก ยาหัว และเถาไม้กระเบื้องต้น (แก้มขาว) นำมาต้มกับน้ำกินจนหาย (ทั้งต้น)[3]
  31. ใช้แก้เหน็บชา แขนขาไม่มีแรง ให้ใช้หญ้าดอกขาวทั้งต้น และกิ่งก้านของใบทองพันชั่ง นำมาต้มกับน้ำกินแทนน้ำชา (ทั้งต้น)[3]
  32. ใช้รักษาอาการปวด ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเข่าด้วยการใช้หญ้าดอกขาวนำมาต้มกินเช่นเดียวกับการรักษาแผลเบาหวาน (ทั้งต้น)[3]
  33. ทั้งต้นใช้เป็นยาแก้ปัสสาวะรดที่นอน แก้เด็กกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ให้ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 15-30 กรัม นำมาชงกับน้ำร้อนกินเป็นชา (ทั้งต้น)[2],[5],[6],[7]
  34. เมล็ดมีเฝื่อน ใช้ตำพอกช่วยกำจัดเหา (เมล็ด)[5]
  35. ใช้ลดอาการอยากบุหรี่ ด้วยการใช้หญ้าดอกขาวทั้งต้นประมาณ 2-3 ต้น ใส่น้ำพอท่วมยา ต้มเดือด 10 นาที ใช้กินบ่อยๆ หรือจะใช้ในรูปแบบชาชงในขนาด 3 กรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารก็ได้ (ทั้งต้น)[3]
  36. นอกจากนี้การแพทย์โบราณและการแพทย์พื้นบ้านในหลายๆ ประเทศ ก็มีการใช้หญ้าดอกขาวเพื่อบรรเทาโรคและอาการต่างๆ จำนวนมาก เช่น มะเร็ง โรคทางเดินอาหาร โรคตับ โรคหืด ไข้มาลาเรีย ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ เยื่อตาอักเสบ อาการปวด อักเสบ โดยในกัมพูชาจะใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นยาลดไข้ในผู้ป่วยโรคมาลาเรีย ส่วนอินเดียจะใช้น้ำคั้นจากหญ้าดอกขาวเพื่อบรรเทาอาการปัสสาวะขัดในเด็ก บรรเทาอาการไอ ส่วนเมล็ดใช้ถ่ายพยาธิตัวกลม พยาธิเส้นด้าย เป็นต้น[6]

หมายเหตุ : วิธีใช้ตาม [1] ถ้าใช้ต้นสดให้ใช้ครั้งละ 35-60 กรัม ส่วนต้นแห้งให้ใช้ครั้งละ 20-35 กรัม ถ้าใช้ภายนอกก็ให้กะใช้พอประมาณ[1] ส่วนวิธีการใช้ตาม [6] ถ้าเป็นส่วนของทั้งต้นให้เลือกใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน ส่วนเมล็ดให้ใช้เมล็ดแห้งประมาณ 2-4 กรัม นำมาป่นให้ละเอียดใช้ชงกับน้ำร้อนกิน ส่วนรากสดให้ใช้ครั้งละ 30-60 กรัม ถ้ารากแห้งให้ใช้ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน[6]

 

 

 

            360 องศา: พบสูบบุหรี่บั่นทอนความจำ 1 ใน 3 

                         การสูบบุหรี่ทำให้สูญเสียความทรงจำในชีวิตประจำวันถึง 1 ใน 3

 

 

 

         เดลิเมล์ - นักวิจัยระบุสิงห์อมควันอาจสูญเสียความทรงจำประจำวัน 1 ใน 3 แต่ข่าวดีก็คือเมื่อเลิกบุหรี่สามารถฟื้นความจำได้เกือบถึงระดับเดียวกับคนที่ไม่สูบบุหรี่
       
       งานศึกษาจากทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ธทัมเบรียในอังกฤษ พบว่าคนสูบบุหรี่สูญเสียความจำมากว่าเมื่อเทียบกับคนที่ไม่สูบบุหรี่
       
       นอกจากนั้น นักวิจัยยังพบว่า คนที่เลิกบุหรี่สามารถฟื้นความจำได้เกือบถึงระดับเดียวกับคนที่ไม่สูบบุหรี่
       
       การศึกษานี้ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างอายุ 18-25 ปี จำนวน 70 คน ที่ถูกขอให้นึกถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น รายชื่อเพลงที่จะเล่นในงานสังสรรค์ของนักศึกษา และภารกิจที่ทำเสร็จสิ้นในจุดต่างๆ ที่เรียกว่าการทดสอบความจำในโลกจริง
       
       ผลปรากฏว่าสิงห์อมควันจดจำภารกิจได้แค่ 59% แต่คนที่เลิกสูบแล้วจดจำได้ 74% ส่วนคนที่ไม่เคยแตะต้องบุหรี่เลยจำได้ถึง 81%
       
       ดร.ทอม เฮฟเฟอร์แนน ผู้นำกลุ่มความร่วมมือเพื่อการวิจัยด้านยาเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของมหาวิทยาบัยนอร์ธทัมเบรีย กล่าวว่าผลศึกษานี้เป็นประโยชน์สำหรับโครงการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
       
       “เมื่อพิจารณาว่ามีคนสูบบุหรี่ในสหราชอาณาจักรถึง 10 ล้านคน และ 45 ล้านคนในสหรัฐฯ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจผลจากการสูบบุหรี่ที่มีต่อการทำงานของสมองในด้านความคิดความจำประจำวัน
       
       “นี่เป็นครั้งแรกที่การศึกษาได้รับการจัดเตรียมเพื่อตรวจสอบว่าการเลิกสูบบุหรี่มีผลต่อความจำหรือไม่
       
       “เรารู้กันอยู่แล้วว่า การเลิกสูบบุหรี่มีผลดีอย่างมากต่อสุขภาพร่างกาย แต่การศึกษานี้ยังแสดงให้เห็นว่าการหยุดทำร้ายตัวเองด้วยบุหรี่ยังมีผลต่อการทำงานของสมองด้วย”
       
       ต่อไป นักวิจัยจะตรวจสอบผลจากการได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่นที่มีต่อความจำ ขณะที่ดร.เฮฟเฟอร์แนนและดร.เทอเรนซ์ โอนีลล์จะตรวจสอบผลจาก “การสูบบุหรี่มือที่สาม” หรือสารพิษที่ตกค้างอยู่ในม่านหรือเฟอร์นิเจอร์
       
       ปีที่แล้ว ดร.เฮฟเฟอร์แนนเป็นผู้นำการศึกษาที่เชื่อมโยงระหว่างการดื่มหนักในวัยรุ่นกับความเสียหายที่เกิดกับความจำ ซึ่งพบว่าคนที่ดื่มหัวราน้ำไม่คิดว่าตัวเองมีความจำแย่ลง บ่งชี้ว่าวัยรุ่นไม่รับรู้ผลเสียที่เกิดขึ้นกับตนเอง

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ทำไมไม่จับมัน

 อีกหน่อย พ่อค้ายาบ้าคงมารวมตัวประท้วง ขอผ่อนปรนให้ขายยาบ้าได้บ้าง.........

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    

      

พื้นที่
 -  รวม 1,972,550 ตร.กม. (14)
761,606 ตร.ไมล์ 
 -  แหล่งน้ำ (%) ร้อยละ 2.5
ประชากร
 -  2551 (ประเมิน) 111,211,789 คน[2] (11)
 -  2548 (สำมะโน) 103,263,388 คน 
 -  ความหนาแน่น 55 คน คน/ตร.กม. (142)
142 คน คน/ตร.ไมล์

513,120 ตร.กม.
ประเทศไทย, พื้นที่

        

 

                 5 เรื่อง (จำเป็น) ต้องรู้ของ "เม็กซิโก"       

 

 

 สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และวัฒนธรรมต่างประเทศที่จะทำให้น้องๆ ได้รู้เรื่องซอกแซกของชาวบ้าน เอ๊ย ของประเทศอื่นมากขึ้นเช่นเคย ^^ สำหรับเรื่องราวที่นำมาฝากกันในวันนี้ เป็นเรื่องราวของประเทศที่อยู่ไกลโพ้นนนนนไกลมากกก จนทำให้คนไทยยังไม่นิยมไปเที่ยวประเทศนั้นกันซักเท่าไหร่ ซึ่งประเทศที่ว่าก็คือ "เม็กซิโก" นั่นเองค่ะ .... เอาล่ะ ถ้าใครอยากรู้จักเม็กซิโกให้มากกว่านี้ ก็ตามมาเลย !

 

 

5 เรื่อง (จำเป็น) ต้องรู้ของ "เม็กซิโก"

          

 

    - เม็กซิโกเป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ย้ำอีกทีว่าอเมริกาเหนือ ! ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศอเมริกา แต่กลับมีหลายคนชอบคิดว่าเม็กซิโกอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ซะงั้นน่ะ และคนเม็กซิโกพูดภาษาสเปนเป็นภาษาหลักค่ะ 

              - ประเทศเม็กซิโกมีแท็กซี่ในเฉพาะเขตเมืองหลวงหรือเม็กซิโกซิตี้เท่านั้น ถ้าพ้นออกจากเมืองหลวงไปแล้ว แทบจะหาแท็กซี่ค่อนข้างลำบาก ถึงมีก็จะเป็นแบบไม่มีมิเตอร์ ต้องตกลงราคากันเอง ส่วนแท็กซี่ในเขตเมืองหลวงนั้น ถึงจะมีมิเตอร์ แต่อย่าหวังว่าแท็กซี่ที่ว่านี้จะเป็นแท็กซี่ใหม่เอี่ยม เพราะทุกคันล้วนเก่ามากๆ และจะวิ่งแบบโอเพ่นแอร์คือเปิดกระจก บางคันอาจจะไม่มีกระจกด้วยซ้ำ

 

 

5 เรื่อง (จำเป็น) ต้องรู้ของ "เม็กซิโก"

          

 

    - ผู้ชายเม็กซิโกจะนิยมใช้แว๊กซ์หรือเจลเซ็ตผมให้ดูเปียกๆ หรือที่เราเรียกกันว่า Wet Look แล้วจะหวีผมให้เรียบแปล้ (นึกถึงผู้ชายไทยสมัยก่อน) คือถ้ามีผู้ชายเม็กซิโกเดินมา 10 คน ต้องมีอย่างน้อย 5 คนล่ะที่หัวเรียบแปล้มาแต่ไกล คือผู้ชายเม็กซิโกเนี่ย ถ้าเค้าไม่เซ็ตผมให้ดู Wet Look ล่ะก็ เค้าก็จะไม่ยอมเซ็ตผมกันเลยค่ะ แปลกดีเหมือนกันเนาะ

 

              - รถไฟใต้ดินในเมืองหลวงหรือเม็กซิโกซิตี้ถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง เพราะมีหลายสาย ทำให้สามารถเดินทางได้ทั่วเมือง แต่สภาพภายในก็คล้ายๆ กับรถไฟของไทยอ่ะค่ะ คือจะเก่าๆ หน่อย และแทบทุกสถานี จะมีขอทานขึ้นมาขอเงิน รวมถึงมีคนเอาของขึ้นมาขายด้วย เช่น ขายหมากฝรั่ง ขายลูกบอล ขายทิชชู่ หรือแม้แต่คอร์สฝังเข็มก็มีขาย !!!

 

 

5 เรื่อง (จำเป็น) ต้องรู้ของ "เม็กซิโก"

            

 

  - ประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ามีอัตราการก่ออาชญากรรมค่อนข้างสูงโดยเฉพาะการลักพาตัว ยิ่งถ้าเป็นเมืองที่อยู่แถบภาคเหนือติดกับอเมริกาล่ะก็ ขอบอกว่าบางทีเดินๆ อยู่บนถนนก็ไม่ปลอดภัยและเสี่ยงต่อการถูกลักพาตัวด้วย โดยพวกโจรจะลักพาตัวและติดต่อไปทางญาติเพื่อเรียกค่าไถ่ ถ้าญาติไม่นำเงินมาไถ่ตัวก็ .... ตายสถานเดียวค่ะ T_T

 

 

5 เรื่อง (จำเป็น) ต้องรู้ของ "เม็กซิโก"

 

               แต่ถึงจะได้ชื่อว่ามีอัตราการก่ออาชญากรรมที่สูง แต่ถ้ามีโอกาส(และมีเงิน) พี่เป้ ก็อยากไปเหมือนกันนะเนี่ย ท่าทางจะน่าท้าทายไม่น้อยเลย ! ว่าแต่แถวนี้มีใครอยากไปเที่ยวเม็กซิโกบ้าง ขอเสียงหน่อยสิ

 

เด็กดีดอทคอม :: 3 ประเทศที่มีสงกรานต์เหมือนเมืองไทย; tags: holi, tomatina, สี, อินเดีย, โปแลนด์, สเปน, เทศกาล, ประเพณี, สงกรานต์
Special Thanks : THUMB @ MEXICO
ภาพประกอบ : hji.co.uk , interzone.com ,
fjolmenningarvefurbarna.net , ads2blog.com

 

 

 

 

ที่เม็กซิโก...มีนกชื่อ นกจังโกตาเหลือง Yellow-eyed Junco (Junco phaeonotus). พบในป่าบนภูเขาสูงของเม็กซิโก

Mexican Junco (Junco phaeonotus phaeonotus) ก็เป็นนกที่พบในเม็กซิโก
Chiapas Junco (Junco phaeonotus fulvescens).
Guatemala Junco (Junco phaeonotus alticola). ...

ในภาพ นกจังโกตาเหลือง...

 

 

 

 
 

 

 

 “จังโก้” ที่คนไทยใช้เป็นสแลงเรียกคนเม็กซิกัน มาจากคำว่า “Django” ซึ่งเป็นภาษาในตระกูลอินโด-อารยัน แปลว่า “I awake”

เหตุที่คนไทยใช้ชื่อ “จังโก้” เรียกคนเม็กซิกัน  มาจากอิทธิพลของภาพยนตร์คาวบอยสปาเก็ตตี้เรื่อง Django ของผู้กำกับ Sergio  Corbucci   ซึ่งเข้าฉายในไทยเมื่อราว 40 ปีที่แล้ว  ใช้ชื่อภาษาไทยว่า “จังโก้ ยอดคนแดนเถื่อน”   มี Franco Nero รับบทเป็น Django  และมีดินแดนดิบเถื่อนของเม็กซิโกเป็นฉากหลังของเรื่อง

ภาพยนตร์เรื่อง Django ของ Corbucci  ประสบความสำเร็จอย่างสูงตั้งแต่แรกฉายเมื่อปี 1966  และกลายเป็นต้นแบบของภาพยนตร์แนว Spaghetti Western ที่มีตัวเอกชื่อ Django อีกหลายสิบเรื่อง  อาทิ

W Django หรือ A Man Called Django (1966)  
Few Dollars for Django (1966)
Django Shoots First (1966)
Django the Last Killer (1967)
Django Kill: If You Live, Shoot (1967)
Django the Bastard (1969)
Django Strikes Again (1987)

และ  ... ฯลฯ

ในจำนวนหลายสิบเรื่องที่ว่า  มีเพียง Django Strikes Again เพียงเรื่องเดียว  ที่มีเนื้อหาและตัวละครต่อเนื่องจาก Django ของ Corbucci  นอกนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องต้นแบบเลยแม้แต่น้อย

เคยเห็น VCD ของภาพยนตร์เรื่อง Django และ Django Strikes Again เมื่อเร็ว ๆ นี้  เรื่องแรกใช้ชื่อไทยว่า “ดีจังโก้”  และเรื่องหลังใช้ชื่อ “ยอดคนแดนเถื่อน”
___________

ภาพโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Django จาก
http://dvdmagazine.virgula.com.br/Resenhas_filmes/menus_filmes/Django4.jpeg

 

 

 

 
 

 

             

 

 

                   360 องศา:‘นักรบหญิง’ นางฟ้าในโลกจริงที่พึ่งพิงผู้ยากไร้ในเมืองสิ้นหวัง 

 

                            นางฟ้าในโลกจริงที่พึ่งพิงผู้ยากไร้ในเมืองสิ้นหวัง

 

 เอเอฟพี - กลุ่ม ‘นักรบ’ หญิงในชุดทะมัดทะแมง ขี่มอเตอร์ไซค์สีชมพูไปตามท้องถนนของซิอูดาด ฮวาเรซ เพื่อปฏิบัติภารกิจในการให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่สุดในเมืองที่ยากจนข้นแค้นที่สุดของเม็กซิโกแห่งนี้
       
       ในวันปกติ พวกเธอเหล่านี้อาจเป็นตำรวจ สาวโรงงาน หรือแม่บ้านดูแลลูกๆ แต่เมื่อถึงวันอาทิตย์ ผู้หญิงทั้งสิบจะหยิบชุดหนังขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ และออกตระเวนแจกจ่ายอาหารไปทั่วเมืองที่ถูกกลุ้มรุมจากปัญหาความรุนแรงและอาชญากรรม
       
       หลายปีมานี้ สภาพเศรษฐกิจและสังคมของเมืองนี้เลวร้ายลง บ้านร้าง ธุรกิจมากมายปิดกิจการ และหน่วยทหารลาดตระเวนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์
       
       “ระหว่างสัปดาห์ เราจะมองหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งอาจเป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว หรือคนแก่ที่อยู่ตามลำพัง พอถึงเสาร์-อาทิตย์เราจะออกไปหาซื้อของไปให้พวกเขา” ลอรีเนีย เกรนาดอส ประธานกลุ่ม ‘เกอร์เรอราส์’ หรือแปลได้ว่า 'นักรบ’ บอกและว่า
       
       “ตอนที่ตั้งกลุ่มขึ้นมา เราต้องการสิ่งที่แตกต่าง เราไม่ได้แค่อยากตั้งวงดื่มเหมือนแก๊งมอเตอร์ไซค์อื่นๆ และเราสรุปที่ไอเดียในการช่วยเหลือคน”
       
       ซิอูดาด ฮวาเรซ เมืองที่ขึ้นชื่อที่สุดของเม็กซิโกเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงจากยาเสพติด นับจากปี 2008 เชื่อว่ามีผู้เสียชีวิตจากการทำร้ายที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดกว่า 8,100 คน
       
       ปี 2010 คนงานราว 100,000 คนในโรงงานต้นทุนต่ำตกงานระหว่างวิกฤตเศรษฐกิจ และประชาชนประมาณ 150,000 ครอบครัวจากทั้งหมด 1.3 ล้านครอบครัวในเมือง มีเงินไม่พอซื้ออาหารและยาพื้นฐาน
       
       ปีที่แล้ว รัฐบาลออกโครงการโทดอส โซโมส ฮวาเรซ (เราทุกคนคือฮวาเรซ) มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ โดยมุ่งหวังลดปัญหาสังคมของเมืองนี้ แต่สถานการณ์แทบไม่ดีขึ้นเลย
       
       ขณะที่แผนการริเริ่มของเอกชน เช่น เกอร์เรอราส์ที่ตั้งขึ้นเมื่อสองปีก่อน หาได้น้อยมาก
       
       กลุ่มนี้เน้นที่แม่ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
       
       “ผู้ชายทิ้งบ้านเพราะความรุนแรงหรือไม่มีงานทำ และทิ้งผู้หญิงให้อยู่ตามลำพังกับลูกๆ พวกเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากที่ไหน”
       
       เกอร์เรอราส์ซื้อของใช้พื้นฐาน เช่น พาสตา เกลือ และผ้าอ้อม โดยควักเงินจากกระเป๋าตัวเองราว 10-15 ดอลลาร์ พร้อมไปกับพยายามชักชวนให้ห้างร้านและประชาชนทั่วไปร่วมบริจาค
       
       ของใช้เหล่านั้นนับเป็นของขวัญพิเศษสุดสำหรับเซซิเลีย คาริลโญ เดอ ซานติเอโก ที่อยู่กับลูก 6 คนกับหมาผอมโซหนึ่งตัวในห้องเล็กๆ ที่เป็นทั้งห้องนอนและครัว
       
       หลังจากหมดสัญญาทำงานกับสภากาชาด เธอมองหางานใหม่มาตลอดครึ่งปี
       
       คาร์ริลโญขอโทษขอโพยสำหรับบรรยากาศร้อนอบอ้าวในห้อง พลางชี้ที่ถั่วต้มบนเตา
       
       “เราเหลือเท่านั้นแหละสำหรับมื้อเย็น พวกคุณมาได้เวลาจริงๆ” เธอบอกกลุ่มเกอร์เรอราส์ด้วยรอยยิ้มกว้าง
       
       อิสซาเบล ลูเซอโร ผู้ร่วมก่อตั้งคลับนักรบหญิง บอกว่าการช่วยเหลือผู้สิ้นไร้ในเมืองนี้เป็นตัวเลือกที่ชัดเจน
       
       “การให้ช่วยพัฒนาตัวคุณเอง และเป็นแบบอย่างสำหรับเด็ก ฉันหวังว่าวันหนึ่ง เด็กๆ เหล่านี้จะเติบโตเป็นคนดีและช่วยเหลือผู้อื่นเช่นเดียวกัน”
       
       สื่อท้องถิ่นเรียกผู้หญิงเหล่านี้ว่า ‘โรบินฮูดหญิง’ แต่สำหรับพวกเธอมองตัวเองต่างจากแก๊งมอเตอร์ไซค์ทั่วไป
       
       “เราพยายามนำความสุขเล็กๆ น้อยๆ ไปให้คนที่ไม่มีอะไรเลย เราอยากให้ซิอูดาด ฮวาเรซมีข่าวดีบ้าง” ลูเซโรทิ้งท้าย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               ตามรอยตำนาน ...พญานาค

 











  นี่เป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตำนานพญานาคไว้ ข้อมูลอาจจะซ้ำกันไปมาบ้าง ...คงไม่เป็นไรนะ
ความเชื่อหนึ่ง ที่มีมายาวนานจนเรียกได้ว่ากลายเป็นตำนาน นั่นก็คือเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับ นาค หรือ  
พญานาค พญา แห่งงูใหญ่ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ ที่ผู้คนรู้จักและมีตำนานเล่าถึงกันมายาวนานและ
เก่าแก่มาก อาจจะมากกว่าว่าพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครค้นหาคำตอบได้ว่า เรื่องของ
พญานาคนี้เป็นเพียงความเชื่อความศรัทธา เป็นจินตนาการจากผู้แต่งวรรณคดี หรือจะเป็นเรื่องราวที่
มาจากความจริงกันแน่  

 
ตำนานความเชื่อเรื่อง นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน มีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ 
เนื่องจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เต็มไปด้วยป่าเขา ทำให้มีงูอาศัยอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุ
ที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ 
และเป็นสัตว์ที่ชาวอินเดียนับถือ นอกจากนี้ยังมีนิยายหลายเรื่องของอินเดียที่กล่าวถึงพญานาค 
โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งนาคเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนาน
พุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน
ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านใน
ภูมิภาคนี้เชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมี
คนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้าย รอยของงูขนาดใหญ่ 
และเมื่อใดที่ไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์
                                            

 
ตามตำนานเล่าว่า พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้   
มีอิทธิฤทธิ์และมีชีวิตใกล้กับคน  สามารถ แปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอ
บวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก 
จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้
เฉพาะในน้ำเท่านั้น
         ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 
อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด 
ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค 
ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย 
ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นตำนานหนึ่ง
ในพระพุทธศาสนา เหตุที่เราเรียกคนที่นุ่งขาวห่มขาว
ก่อนบวชว่า นาค เนื่องจากมีพญานาคเกิดเลื่อมใสในพุทธศาสนา จึงแปลงกายเป็นมนุษย์มาขออุปสมบท 
สุดท้ายก็ได้เป็นพระสมใจ แต่เมื่อพระที่แปลงกายทิพย์นอนก็กลับกกลายเป็นพญานาค พระรูปอื่นเห็น
เข้าจึงรีบไปแจ้งเจ้าอาวาส เพราะว่าพญานาคจะบวชเป็นพระไม่ได้เนื่องจากไม่ใช่มนุษย์ จึงมีคำสวดก่อน
อุปสมบทว่า มนุสโสสิ แปลว่า ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า คำตอบก็จะบอกว่า อามะภันเต แต่ถ้าไม่ใช่มนุษย์ 
ก็จะตอบไม่ได้เพราะทั้งพญานาค ครุฑ หรือกระทั่งเทวดานางฟ้ามีกฎว่าห้ามพูดปด 

 
พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า 
สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้ว
พวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย 
แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน  
 พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพเทวาอาศัยอยู่ลึกลง
ไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้น
ลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ 
ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์  พญา นาค สามารถ
ผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูก
เป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาล
พื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล 
กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ

 
                จะ เห็นได้ว่า เรื่องราวของพญานาคมีตำนานเล่ามาอย่างละเอียด ทว่าเป็นอีกภพภูมิหนึ่ง 
                ที่ไม่ใช่ที่เดียวกับมนุษย์ แต่หลายครั้งหลายคราที่มนุษย์เชื่อว่า พญานาคปรากฏกายให้เห็น

 

                     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

             วันเสาร์ ที่ 29 พฤศจิกายน เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 1

 

 

 

                                   

 

ความอยากเป็นเหตุแห่งความทุกข์

 
ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงธรรม (สิ่ง) ที่มีตัณหาเป็นมูล ๙ อย่าง.
๙ อย่าง อย่างไรเล่า ?
๙ อย่าง คือ :-

เพราะอาศัยตัณหา จึงมี การแสวงหา (ปริเยสนา);
เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมี การได้ (ลาโภ);
เพราะอาศัยการได้ จึงมี ความปลงใจรัก (วินิจฺฉโย);
เพราะอาศัยความปลงใจรัก 

จึงมี ความกำหนัดด้วยความพอใจ (ฉนฺทราโค);

เพราะอาศัยความกำหนัดด้วยความพอใจ 

จึงมีความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ);
เพราะอาศัยความสยบมัวเมา 

จึงมี ความจับอกจับใจ (ปริคฺคโห);

เพราะอาศัยความจับอกจับใจ 

จึงมี ความตระหนี่(มจฺฉริยํ);
เพราะอาศัยความตระหนี่ 
จึงมี การหวงกั้น(อารกฺโข);
เพราะอาศัยการหวงกั้น 

จึงมี เรื่องราวอันเกิดจากการหวงกั้น (อารกฺขาธิกรณํ) ; 

กล่าวคือ การใช้อาวุธไม่มีคม การใช้อาวุธมีคม
การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท
การกล่าวคำหยาบว่า “มึง ! มึง !” การพูดคำส่อเสียด
และการพูดเท็จทั้งหลาย :
ธรรมอันเป็นบาปอกุศลเป็นอเนก ย่อมเกิดขึ้นพร้อม.
ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ชื่อว่าธรรม (สิ่ง) ที่มีตัณหาเป็นมูล ๙ อย่าง.
นวก. อํ. ๒๓/๔๑๓/๒๒๗. , (มหา. ที. ๑๐/๖๙/๕๙).

 

อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.

 

 

                    

 

 

 

 

 

 
Jack Russell-th ได้แชร์รูปภาพของ Nat Chlorophyll — กับ Fern Akkarawattana-angkul

".... ถึงวันนี้ยังมีคนเอาสิ่งที่พี่นก สินจัย ไม่ได้เขียน ไปแชร์และเข้าใจกันผิดว่าเป็นพี่นก เขียนซะอย่างนั้น น่าตลกที่สุด 555 หน้ามืดตามัวทั้งชมและด่ากันอย่างเมามันส์ แม้มีคนพยายามจะบอกความจริง ว่าใครเป็นคนที่เขียนบทความชิ้นนี้ตัวจริง และอธิบายถึงความเข้าใจผิดนั้น ก็ไม่มีใครสนใจฟัง .... บางความเห็นกลับโชว์ความวิปริตบอกว่า ใครเขียนก็ไม่สำคัญ แต่พี่นกแชร์มา ก็ถือว่าพี่นก เป็นเจ้าของบทความ ?!!

.... (เหี้ยไหมล่ะครับ คนที่คิดส้นตีน - แบบนี้ ??!!!)

.... ข้อความทั้งหมด ผมเป็นคนเขียนเอง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 ตามลิ้งนี้ .. <https://www.facebook.com/photo.php?fbid=863680513645618&set=a.161798780500465.41646.100000110337117&type=1&theater> และ ASTV ผู้จัดการออนไลน์นำไปลง คนเลยแชร์กันไปหลายหมื่นๆ รวมทั้งพี่นก สินจัย ด้วย

.... แต่คนที่ไปแชร์พี่นกมาอีกต่อ กลับมักง่าย สะเพร่า ไม่นำชื่อผู้เขียนนั่นก็คือผมติดมาด้วย และเหมาให้เป็นว่าพี่นก เป็นคนเขียนข้อความนี้ไปเลยนับจากนั้น

.... แต่ถึงวันนี้ผมเฉยๆแล้วล่ะครับ เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่เขียนอะไรแบบนี้ ที่เขียนเพราะคิดว่าตอนนั้น มันไม่มีทางออก กลัวประชาชนจะถูกทำร้ายและเสียชีวิต ทหารน่าจะเป็นทางเลือกทางเดียว และคิดว่าทหารน่าจะไว้ใจได้ที่สุด เข้ามาเพื่อกำจัดระบอบทักษิณ และเดินหน้าปฏิรูปการเมือง ตามที่ประชาชนที่ออกไปสู้เรียกร้องกันมาตลอด 6 - 7 เดือน

.... ไม่ใช่แอบเซี่ยเกี๊ย ชูแต่ปรองดองปาหี่ ส่วนคนผิดคนปล้นชาวนา ตัวการใหญ่ที่สั่งให้ลอบฆ่าประชาชนในการชุมนุมกลับอยู่ดีมีสุข และ ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะต้องถูกยึดทรัพย์ หรือรับโทษแต่อย่างใด ??!!!!

.... ผมหูตาสว่างตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2557 แล้ว ที่น่าเศร้าคือยังมีคน "หูหนวกตาบอด" อีกมาก หลงคิดว่า ควช. ดีเลิศ จนลืมกันไปว่า ที่ออกไปสู้ๆกันนั้น เพื่ออะไร ?!

.... สงสารคนที่เอาชีวิตไปทิ้งในการชุมนุมจริงๆ มันไม่คุ้มค่าเลย ...." / แ จ็ ค รั ส เ ซ ล

 

ละครกำลังออกอากาศอยู่ช่อง 3 เรื่อง ภพรัก สงสัยอยากได้เรตติ้งเพิ่ม.......

 

 

 

 

 

 

 

วิธีทำให้เมียรัก มี 7 ขั้นตอน

1. ดื่มเหล้าให้เมาแล้วกลับดึก ๆ

2. แต่พอกลับมาบ้านต้องพยายามให้ยั
งพอมีสตินิดนึง

3. แกล้งทำเป็นเข้านอนทั้งชุดนั้นเ
ลยโดยไม่ต้องอาบน้ำ

4. ช่วงนั้นเมียคงจะด่าเราอยู่..เร
าก็เลยถอดกางเกง
...
5. แกล้งทำเป็นถอดไม่ได้..เมียเราก
็จะมาช่วยถอดเอง

6. จังหวะที่เมียเข้ามาใกล้ๆให้บรร
จง "ถีบเมีย" ให้หงายไปเลย

7. เอ่ยขึ้นมาว่า "อย่ามายุ่งกับกู..กูรักเมียกูค
นเดียว" แล้วก็หลับไปเลย

ลองทำกันดูนะครับ / ขว.๐๒

 

 

 

 

 

 

 

 

                                           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

งามหน้า! รบ.แทนซาเนียไล่ชนเผ่ามาไซ 40,000 คนออกจากที่ทำกิน เตรียมขายที่ให้ “ราชวงศ์ดูไบ” พัฒนา “พื้นที่ล่าสัตว์”

 

 

งามหน้า! รบ.แทนซาเนียไล่ชนเผ่ามาไซ 40,000 คนออกจากที่ทำกิน เตรียมขายที่ให้ “ราชวงศ์ดูไบ” พัฒนา “พื้นที่ล่าสัตว์”

 

เอเจนซีส์ - พบข้อมูลฉาว รัฐบาลแทนซาเนียขับไล่ประชากรชนเผ่า “มาไซ” กว่า 40,000 คนออกจากที่ดินซึ่งพวกเขาอาศัยมาแต่บรรพบุรุษ เปิดทาง “ราชวงศ์ดูไบ” เข้าซื้อที่ดิน ก่อนพัฒนาเป็น “พื้นที่ล่าสัตว์” เพื่อการพักผ่อน พร้อมยื่นคำขาดชาวมาไซรายใดไม่ยอมออกจากพื้นที่ภายในสิ้นปีนี้ เตรียม “ติดคุกยาว”

 

รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลแทนซาเนียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีมิเซงโก ปินดาซึ่งก้าวขึ้นครองอำนาจตั้งแต่ปี 2008บรรลุข้อตกลงมูลค่า “หลายพันล้านดอลลาร์” ในการขายที่ดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของชนพื้นเมืองเผ่า “มาไซ” จำนวนกว่า 40,000 คนให้กับราชวงศ์ดูไบ ผ่านทางบริษัทนายหน้าอย่าง ออร์เทโล บิสเนสส์ คอร์ป ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวประเภท “ซาฟารี” ให้กับบรรดาลูกค้ากระเป๋าหนักจากทั่วโลก
       
       ข้อตกลงสุดอื้อฉาวดังกล่าวกำหนดให้ชาวมาไซที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากอุทยานแห่งชาติ “เซเรงเกติ” จะต้องอพยพออกนอกพื้นที่ภายในเส้นตายในสิ้นปีนี้ แลกกับการรับเงินชดเชยจำนวน 1,000 ล้านชิลลิง (คิดเป็นเงินไทยราว 18.9 ล้านบาท) มิฉะนั้นจะต้องรับโทษจำคุกนานหลายปีฐานขัดขวางการปฏิบัติงานของภาครัฐ
       
       ด้านแหล่งข่าวในกรุงโดโดมา เมืองหลวงของแทนซาเนียระบุว่า ราชวงศ์ดูไบภายใต้การนำ ชีคห์ โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตูม เตรียมพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นเขตล่าสัตว์เพื่อเกมกีฬา และใช้เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับสมาชิกราชวงศ์ดูไบ
       
       ทั้งนี้ ชนเผ่ามาไซซึ่งมีจำนวนประชากรมากกว่า 840,000 คนในเคนยาและอีกมากกว่า 430,000 คนในแทนซาเนีย กำลังถูกคุกคามอย่างหนักจากการรุกล้ำของการพัฒนาที่ไม่สมดุล และการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยว ตลอดจนนักลงทุนข้ามชาติ ท่ามกลางรายงานว่า ที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของเผ่ามาไซกำลังถูกคุกคามหนักจนลดจำนวนลงอย่างสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

 

งามหน้า! รบ.แทนซาเนียไล่ชนเผ่ามาไซ 40,000 คนออกจากที่ทำกิน เตรียมขายที่ให้ “ราชวงศ์ดูไบ” พัฒนา “พื้นที่ล่าสัตว์”

 

งามหน้า! รบ.แทนซาเนียไล่ชนเผ่ามาไซ 40,000 คนออกจากที่ทำกิน เตรียมขายที่ให้ “ราชวงศ์ดูไบ” พัฒนา “พื้นที่ล่าสัตว์”
       
 

 

งามหน้า! รบ.แทนซาเนียไล่ชนเผ่ามาไซ 40,000 คนออกจากที่ทำกิน เตรียมขายที่ให้ “ราชวงศ์ดูไบ” พัฒนา “พื้นที่ล่าสัตว์”

                         ชีคห์ โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตูมแห่งดูไบ

 

 

 

เผ่ามาไซ(Maasai)
เป็นชนกลุ่มน้อยที่กระจายอยู่ในพื้นที่ประเทศคีนยา แทนซาเนีย และแอฟริกา มีความเข้มแข็ง นิยมรบพุ่งและล่าสัตว์ นักรบของมาไซ นิยมดื่มนมวัว ที่ผสมกับเลือดวัว เพราะเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายแข็งแรง

พวกเขามีฝูงวัวเป็นของตนเอง และเลี้ยงวัวแบบเร่ร่อน เปลี่ยนตำแหน่งไปตามแหล่งอาหารของสัตว์ โดยได้น้ำนมวัว และเนื้อเป็นอาหาร หนังวัวใช้เป็นที่พักอาศัยและเครื่องนุ่งห่ม ชาวมาไซให้ความสำคัญต่อวัวมาก เล่ากันว่าพวกผู้ชายมาไซ ให้ความสำคัญกับวัวมากกว่าภรรยาเสียอีก

 

 

เผ่ามาไซ (Maasai)

ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่กล้าหาญที่สุดในแอฟริกา เรามาดูชีวิตประจำวันของเผ่ามาไซกันเลยครับ

  • เผ่ามาไซจะทักทายโดยถ่มน้ำลายใส่หน้าอีกฝ่าย เพราะน้ำเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเผ่า การให้ความชุ่มชื้นแก่ผู้อื่นถือว่าเป็นการแสดงความดีใจและการต้อนรับอย่างดี
  • เผ่ามาไซจะผสมเลือดวัวในนมแล้วดื่ม ถ้าเลือดวัวแข็งตัวจะนำมากินเป็นของว่าง ผู้ชายในเผ่าจะเจาะคอวัวเพื่อดื่มเลือด แม้แต่เลือดก็ยังเป็นอาหารที่เผ่ามาไซทิ้งไม่ได้
  • เผ่ามาไซจะสวมรองเท้าที่ทำจากยางชนเผ่าในแอฟริกาส่วนใหญ่จะเดินเท้าเปล่า แต่เผ่ามาไซจะสวมรองเท้า

นอกจากชนเผ่ามาไซแล้ว ในแอฟริกายังมีชนเผ่าอีกหลายเผ่าที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมและธรรมเนียมดั้งเดิมอยู่ เราไปทำความรู้จักกับชนเผ่าต่างๆกันเลย

                         เผ่ามาไซ

 

 

ชนเผ่ามาไซ (Maasai Tribe)

            ชื่อชนเผ่ามาไซอาจจะเป็นที่คุ้นเคยกันในหมู่คอหนังหรือผู้ที่เคยชมภาพยนต์ จากเยอรมันเรื่อง The White Maasai ซึ่งดัดแปลงมาจากหนังสือสารคดีชีวิตจริงชื่อเดียวกันของโครีนน์ ฮอฟมานน์ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวความรักข้ามชาติพันธุ์ระหว่างคาโรล่า (Carola) นักธุรกิจสาวชาวสวิสกับเลมาเลี่ยน (Lemalian) นักรบมาไซหนุ่ม ซึ่งเรื่องจบลงด้วยการที่ทั้งสองต้องแยกทางกันเพราะความความแตกต่างทางด้าน วัฒนธรรม ภาพยนต์เรื่องนี้ชี้ให้เห็นความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมที่มักจะเป็นอุปสรรค ต่อการอยู่ร่วมกันของคนที่มาจากวัฒนธรรมอันแตกต่าง แต่อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งถ้าจะก้าวออกไปจากสิ่งที่นำเสนอใน ภาพยนต์มาสู่สภาพความเป็นจริงของชนเผ่านี้ในสังคมแอฟริกาในปัจจุบัน


            ชนเผ่ามาไซนั้นจัดอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์นิโลต ซึ่งเป็นพวกเดียวกับชาติพันธุ์ที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ในประเทศแทนซาเนีย ซูดานตอนใต้ ยูกันดา และเคนยา และพูดภาษา "มา" (Maa) ซึ่งอยู่ในภาษากลุ่มนิโล - ซาฮาราน อันเป็นภาษาที่พูดกันในแถบตอนบนของแม่น้ำไนล์และแม่น้ำชารี ชนเผ่านี้มีจำนวนประชากรที่ไม่ชัดเจน แต่จากการประมาณการครั้งล่าสุดพบว่ามีอยู่ 900,000 คน โดยกระจุกตัวอยู่ทางตอนใต้ของเคนยาประมาณ 453,000 คน และตอนเหนือของแทนซาเนีย 430,000 คน

            สังคมเผ่า มาไซประกอบด้วยกลุ่มย่อยๆ (เรียกกันในภาษามาว่า อิโลชอน) 16 กลุ่ม ได้แก่ อิลดามัต (Ildamat) อิลปูร์โก (Ilpurko) อิลกีกอนโยกี (Ilkeekonyokie) อิลอยไต (Iloitai) อิลกาปูติเอ (Ilkaputiei) อิลกันเกเร่ (Ilkankere) อิสิเรีย (Isiria) อิลมอยตานิก (Ilmoitanik) อิลูโดกิลานี (Iloodokilani) อิลอยโตกิโตกิ (Iloitokitoki) อิลารุซา (Ilarusa) อิลมาตาตาปาโต (Ilmatatapato) อิลวัวซินกิชู (Ilwuasinkishu) โกเร่ (Kore) ปารากูยู (Parakuyu) และอิลกิซองโก (Ilkisonko)

            ชาวมาไซดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์เร่รอน สัตว์ที่เลี้ยงก็คือวัว แพะ และแกะ ซึ่งนอกจากจะเลี้ยงไว้บริโภคแล้ว สัตว์เหล่านี้ยังอาจใช้แลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งสัตว์ประเภทเดิมและ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์เหล่านี้ หรือแม้แต่นำไปขายเพื่อแลกเป็นเงิน การเลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อนดังกล่าวนี้จะเป็นไปตามฤดูกาล กล่าวคือไม่ได้เร่ร่อนไปไหนก็ได้ แต่จะเร่รอนแบบกลับมาที่เดิมตามฤดูกาล

            วิถีชีวิตแบบเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนเช่นนี้ส่งผลให้ชาวมาไซต้องมีระบบบริหารการ ใช้ที่ดินแบบสาธารณะ กล่าวคือ ทุกคนในกลุ่มมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าไปใช้ทรัพยากรที่มีอยู่บนที่ดิน ที่กำลังถือครองอยู่ในขณะนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ในยามอุดมสมบูรณ์นั้น ชาวมาไซจะแบ่งที่ดินเป็นส่วนเพื่อให้แต่ละครอบครัวใช้ทำมาหากิน

            นอกจากนี้ วิถีชีวิตแบบเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนและระบบการใช้ที่ดินแบบสาธารณะนี้เองที่ทำ ให้ชาวมาไซผูกพันกับวัวและบุตรเป็นอย่างมาก อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดมากก็คือการที่ชนเผ่านี้วัดความมั่งคั่งของบุคคล ด้วยจำนวนวัวที่ถือครองและจำนวนบุตรที่เลี้ยงดูอยู่ โดยบุคคลจะต้องมีทั้งสองอย่างเป็นจำนวนมากถึงจะเรียกได้ว่ามั่งคั่งอย่างแท้ จริง มีวัวมากแต่มีลูกน้อย ก็ถือว่าไม่มั่งคั่ง ในขณะเดียวกัน มีลูกมากแต่ไม่ค่อยจะมีวัวก็ยังไม่ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานความมั่งคั่ง และแม้แต่ศาสนาของชาวมาไซก็ยังหนีไม่พ้นสองสิ่งข้างต้น ชนเผ่านี้เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ประทานสิ่งดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากบทสวดของชาวมาไซ ที่กล่าวว่า ขอให้พระผู้สร้างจงได้ประทานวัวและบุตรแก่ปวงข้า

            ในเรื่อง ที่อยู่อาศัยนั้น ชาวมาไซไม่มีวัฒนธรรมการสร้างที่อยู่อาศัยแบบถาวร มีแต่การสร้างที่พักชั่วคราว โดยที่พักดังกล่าวนี้จะเรียกกันว่า อินกาจิจิก (Inkajijik) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นเพิงพักรูปดาวหรือวงกลมทรงตัวด้วยเสาไม้และหุ่มด้วยผนัง ที่ทำขึ้นจากเศษกิ่งไม้โดยใช้ส่วนผสมของโคลน หญ้า มูลวัว ปัสสวะคน กิ่งไม้เล็กๆ และขี้เถ้า มาเป็นตัวผสานเนื้อในของผนัง การสร้างอินกาจิจิกจะเป็นหน้าที่ของผู้หญิง อินกาจิจิกแต่ละหลังจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก กว้างประมาณ 3 เมตร ยาว 5 เมตร และสูงประมาณ 1.5 เมตร ภายในจะใช้เป็นที่เก็บ ปรุง ตลอดจนบริโภคอาหาร เป็นที่เก็บทรัพย์สิน เป็นที่หลับนอน และยังเป็นที่เก็บสัตว์เลี้ยงอีกด้วย ชาวมาไซจะนิยมสร้างที่พักอยู่กันเป็นกลุ่มๆล้อมรอบด้วยรั้วที่ทำจากกิ่งหนาม ของต้นไม้จำพวกสีเสียด (Acacia) เพื่อป้องกันภัยจากสิงห์โต

            ชาวมาไซ เป็นชนเผ่าที่บริโภคแต่ผลิตภัณฑ์จากสัตว์เป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะมาจากวัวที่เลี้ยงไว้ ซึ่งได้แก่ นมวัว เนื้อวัว มันวัว และเลือดวัว โดยเฉพาะเลือดวัว จะนิยมบริโภคในโอกาสพิเศษ เช่น มอบให้กับผู้ที่ได้ผ่านพิธีสุหนัดมาแล้ว ให้แก่หญิงที่เพิ่งให้กำเนิดบุตร คนป่วย หรือใช้สำหรับบรรเทาอาการมึนเมา นอกจากนี้ชาวมาไซยังนิยมกินน้ำผึ้งและเปลือกไม้ โดยเปลือกไม้จะนิยมนำมาทำเป็นซุป

            ด้วยเหตุที่มีวิถีชีวิตแบบเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ชาวมาไซจึงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่ออาหารที่ได้มาจากการทำการเกษตรแบบเพาะปลูก โดยมีความเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นการทำอันตรายธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน มีชาวมาไซจำนวนมากเริ่มบริโภคอาหารที่เป็นธัญญาพืชจำพวกข้าวโพด ข้าว มันเทศ มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ที่ผลิตจากชุมชนอื่นบ้างแล้ว


            สำหรับการแต่งกายนั้น ชาวมาไซจะแต่งตัวแตกต่างกันตามวัย เพศ และสถานที่ ในสมัยก่อน ชาวมาไซจะนิยมห่มร่างกายด้วยหนังสัตว์เช่นหนังแกะในกรณีที่เป็นผู้หญิงและ หนังลูกวัวหากเป็นคนดูแลฝูงสัตว์ โดยผ้าคลุมหนังสัตว์ดังกล่าวจะเรียกว่า ชูก้า ในภาษามา แต่ในปัจจุบันเสื้อคลุมชูก้าดังกล่าวซึ่งนิยมทำจากผ้าฝ้ายก็หาซื้อได้ตาม ท้องตลาดกันแล้ว ผ้าคลุมชูก้าของชาวมาไซมักมีสีแดงสด ซึ่งถือเป็นสีเอกลักษณ์ของชนเผ่ามาไซเลยก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม สีอื่นๆเช่น สีดำ สีน้ำเงิน สีนำชมพู มีลายแถบ เป็นลายตราหมากรุก หรือลายดอกไม้ก็มี ในบางครั้งผู้หญิงมาไซก็นิยมนุ่งผ้ากังก้า หรือ คังก้า (Kanga หรือ Khanga) ซึ่งเป็นที่นิยมใส่กันในหมู่ชนเผ่าแถบแอฟริกาตะวันออก โดยจะเป็นผ้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 1.5 เมตร มีแถบลายรอบขอบนอกของผ้า และยังพบว่าชาวมาไซที่อาศัยในแถบชายฝั่งก็ยังนิยมนุ่งผ้ากิกอย (Kikoi) ซึ่งมีลักษณะเหมือนโสร่งหรือผ้าขาวม้าอีกด้วย นอกจากนี้แล้ว ชาวมาไซในแทนซาเนียยังสวมรองเท้าแตะบางๆที่ทำจากหนังวัวด้วย

            โดยปกติ ชาวมาไซจะนิยมสวมสายผูกข้อมือที่ทำจากไม้ และสวมสร้อยลูกปัดหลากสี นอกจากนี้แล้วชาวมาไซ โดยเฉพาะผู้หญิงมักจะชอบเจาะส่วนต่างๆของหู รวมไปถึงยืดติ่งหูแล้วฝังเครื่องประดับลงไป

            ในเรื่อง ทรงผมนั้น ชาวมาไซจะพิถีพิถันเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยทรงผมจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามเพศ โอกาส และช่วงอายุ กล่าวคือ ชาวมาไซผู้ชาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นนักรบ จะไว้ผมยาว ย้อมเป็นสีแดงสดใสหรือแดงเลือดหมู และถักเป็นทรงเดดล็อก (dreadlock) โดยเชื่อกันว่าผมทรงนี้จะแสดงออกถึงความแข็งแกร่ง ความน่าเกรงขาม และความงามเยี่ยงชายชาตรี แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าพิธีกรรมสำคัญตามช่วงอายุ เหล่าชายชาวมาไซก็จะต้องโกนหัวเสมอ

            สำหรับผู้หญิงมาไซนั้น ปกติแล้วจะนิยมโกนหัว แต่ก็มีหญิงมาไซบางกลุ่มเช่นกลุ่มตูร์กานา (Turkana) ซึ่งจะนิยมไว้ผมทรงเดดล็อกเช่นกัน แต่จะแตกต่างจากเดดล็อกของผู้ชาย กล่าวคือ จะมีการโกนผมด้านข้างเลยไปถึงด้านหลังศีรษะออกหมดเหลือไว้เฉพาะผมด้านบน จากนั้นก็จะถักผมที่เหลือด้านบนเป็นทรงเดดล็อก และในบางโอกาสนั้น เช่นกรณีที่ลูกชายหรือลูกสาวตาย ผู้เป็นแม่ก็จะรวบผมไว้ด้านหลังหรือไม่ก็ด้านหน้าเพื่อเป็นการไว้ทุกข์

            สำหรับ เด็กนั้น เมื่ออายุย่างเข้า 3 เดือน ก็จะต้องโกนหัวโดยเหลือไว้แค่ผมที่อยู่บริเวณหน้าผากเรื่อยลงมาถึงหลังต้นคอ ซึ่งทรงที่ออกมาจะคล้ายกับทรงพังค์นั่น เชื่อกันว่าผมทรงนี้จะสร้างความสง่างามให้กับทารก

            ในเรื่องศาสนานั้น ชาวมาไซนับถือพระเจ้าองค์เดียว โดยเชื่อว่าพระเจ้า ซึ่งเรียกว่า เองไก (Enkai) เป็นผู้สร้างโลกและสร้างมนุษย์ขึ้นมา 3 เผ่า คือ เผ่าตอร์โรโบ (Torrobo - เผ่าปิกมี่) ซึ่งชาวมาไซเชื่อว่าพระเจ้าได้ประทานน้ำผึ้งและเหล่าสัตว์ป่าไว้ให้เป็น อาหารของคนเหล่านี้ เผ่าต่อมาคือ เผ่ากิกูยู (Kikuyu) ซึ่งเป็นเกษตรกรที่พระเจ้าประทานเมล็ดพันธุ์ต่างๆให้ และชนเผ่าสุดท้ายก็คือชาวมาไซเอง ซึ่งพระเจ้าได้ประทานวัวมาให้

เองไก นั้นจะมีธรรมชาติที่ขัดแย้งกันในตัวเอง กล่าวคือ ในด้านหนึ่งจะเป็นเทพที่ทรงความกรุณา ซึ่งเรียกว่า เองไก นาร็อก (Engai Narok - เทพดำ) แต่อีกด้านหนึ่ง เป็นเทพที่อาฆาตมาดร้าย เรียกว่า เองไก นันโยกี (Engai Nanyokie - เทพแดง) เชื่อกันว่าเทพองค์นี้ประทับอยู่บนภูเขาแห่งเทพเจ้าที่อยู่ทางเหนือสุดของ แทนซาเนีย

            บุคคลทางศาสนาที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ในสังคมมาไซก็ คือหมอผี ซึ่งในภาษามาไซเรียกกันว่า ไลบอน (Laibon) ซึ่งจะรับผิดชอบด้านพิธีกรรมของชนเผ่า เช่น ขอฝน ประกอบพิธีเอาฤกษ์เอาชัยในการสงคราม ทำนายเหตุการณ์ และรักษาโรคตามหลักไสยศาสตร์

            สังคมมาไซจะประกอบไปด้วยกลุ่มอายุ (Age-set) โดยคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจะมีสิทธิเท่าเทียมกันทุกอย่าง รวมถึงมีสิทธิที่จะใช้ทรัพย์สินของเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอีกด้วย กลุ่มอายุมีความสำคัญเพราะเป็นกลุ่มที่ต้องเข้าร่วมพิธีกรรมเกี่ยวกับวงจร ชีวิต (Rites of Passage) ต่างๆ ด้วยกัน โดยพิธีกรรมดังกล่าวนั้นได้แก่

            1.พิธีก่อนสุหนัด เรียกกันว่า เอนกิปาตะ (Enkipaata - pre-circumcision ceremony) ซึ่งเด็กผู้ชายกลุ่มอายุ 14 - 16 จะต้องเดินทางท่องดินแดนของเผ่าตนเพื่อแนะนำตนเองเป็นเวลา 4 เดือน

            2. พิธีสุหนัด เรียกว่า เอมูราตาเร่ (Emuratare - circumcision ceremony) ซึ่งเป็นพิธีที่ทั้งหญิงและชายชาวมาไซต้องผ่าน เพื่อจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ใหญ่ สำหรับผู้ชายนั้นพิธีนี้จะเป็นขั้นตอนแรกของการเข้าสู่วิถีแห่งการเป็นนักรบ มาไซ ซึ่งเรียกกันว่า มอร์ราน (Morran) โดยเขาจะต้องเข้าค่ายอบรมความเป็นนักรบเบื่องต้น ซึ่งเรียกกันว่า เอมันยัตตา (Emanyatta) เป็นเวลาประมาณ 8 -12 ปี และสำหรับผู้หญิงนั้น พิธีนี้จะทำให้เธอเป็นผู้หญิงโดยแท้จริง เหมาะแก่การมีครอบครัวและเป็นแม่บ้านที่ชอบธรรม

            3.พิธีเริ่มรีตความเป็นนักรบอาวุโส ซึ่งเรียกกันในภาษมาไซว่า อิวโนโต (Eunoto - senior warrior initiation ceremony) ซึ่งจะกระทำกัน 10 ปี หลังจากพิธีสุหนัด ผู้ชายที่เป็นนักรบมาไซผ่านพิธีกรรมนี้ก็จะได้รับการยอมรับเป็นนักรบอาวุโส และสามารถแต่งงานได้

            4. พิธีเริ่มรีตความเป็นผู้อาวุโส หรือ ออร์นเกเชร์ (Orngesherr - junior elder initiation ceremony) หลังจากได้ผ่านพิธีนี้แล้วนักรบมาไซก็จะกลายเป็นผู้อาวุโส มีความสามารถที่จะรับผิดชอบครอบครัวของตนได้เต็มที่ และก็สามารถย้ายออกจากบ้านของพ่อแม่ของตนเพื่อตั้งบ้านหลังใหม่ได้

            พิธีกรรมเหล่านี้จะทำให้ชาวมาไซเติบโตและรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนในสังคม นั่นเอง

            นอกจากนี้แล้ว ชาวมาไซก็ยังมีการแบ่งแยกหน้าที่หญิง-ชายในสังคมกันอย่างชัดเจน กล่าวคือผู้ชายจะเป็นนักรบซึ่งทำหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านและ ทำการตัดสินใจสำคัญๆที่เกี่ยวกับความเป็นไปของชุมชน ส่วนผู้หญิงนั้นจะรับผิดชอบเรื่องการสร้างและดูแลบ้านเรือน การหุงหาอาหาร เก็บฟืน รีดนมสัตว์เลี้ยง การเลี้ยงดูบุตร ส่วนเด็กผู้ชายก็จะทำหน้าที่ดูแลฝูงสัตว์เลี้ยง

            ผู้หญิงในสังคมมาไซนั้นจะอยู่ใต้อำนาจของผู้ชาย ซึ่งเห็นได้จากหลายกรณีด้วยกัน เช่น เด็กผู้หญิงถูกสอนให้เคารพยำเกรงผู้เป็นบิดาและต้องไม่ปรากฏตัวในยามที่บิดา กำลังกินอาหารอยู่ ยิ่งกว่านั้นในยามที่มีแขกผู้ชายที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาเยือน ผู้ชายซึ่งเป็นสามีสามารถให้ภรรยาของตนเองหลับนอนกับแขกได้

            นอกจากเรื่องบทบาทชายหญิงแล้ว เรื่องวัยวุฒิก็มีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน กล่าวคือ สังคมมาไซนั้นจะนับถือระบบอาวุโส ผู้ชายอาวุโสในเผ่าจะมีอำนาจในการตัดสินใจต่างๆที่สำคัญในเผ่า ผู้ชายต้องมีอายุ 35 ปีบริบูรณ์ก่อนถึงจะสามารถตัดสินใจเรื่องครอบครัวของตัวเองได้เต็มที่ โดยก่อนหน้านั้นจะต้องเชื่อฟังคำแนะนำของบิดาตนเอง

            เรื่องการแต่งงานนั้น สังคมมาไซอนุญาติให้ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน โดยผู้หญิงมักจะได้รับการหมั้นหมายไว้เป็นเวลานานก่อนจะแต่งงานอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ชายในเผ่ามีอำนาจในการคัดค้านเพื่อยกเลิกการหมั้นหมายที่ทำกันมานานแล้ว นี้ได้ ตามวัฒนธรรมของชาวมาไซนั้น ผู้หญิงที่แต่งงานถือว่าได้แต่งงานกับผู้ชายทั้งกลุ่มอายุนั้น ดังนั้นจึงสามารถหลับนอนกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่สามีโดยตรงแต่อยู่ในกลุ่ม อายุเดียวกันกับสามีโดยตรงของตนได้ ดังจะเห็นจากธรรมเนียมของชายชาวมาไซที่เป็นเจ้าบ้านที่ไม่รู้สึกขัดข้องเลย ในการเสนอให้แขกในกลุ่มอายุที่มาเยี่ยมบ้านหลับนอนกับภรรยาของตน หากแขกคนนั้นเป็นคนในกลุ่มอายุเดียวกัน โดยในกรณีนี้ผู้หญิงจะมีสิทธิเลือกว่าจะนอนกับแขกคนนั้นหรือไม่ และเด็กที่เกิดจากความสัมพันธุ์ประเภทนี้จะถือว่าเป็นของสามีโดยตรง

            สำหรับในเรื่องการหย่าร้าง (Kitala - กิตาลา) นั้น พ่อแม่ฝ่ายหญิงสามารถร้องขอการหย่าให้กับลูกสาวตนเองที่แต่งงานแล้วได้ ในกรณีที่พบว่าฝ่ายชายกระทำการทารุณต่อฝ่ายหญิง

            ในปัจจุบัน สังคมชาวมาไซกำลังพบกับการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความจำเป็นที่จะต้องลงหลักปักฐานในพื้นที่แห่งหนึ่งแห่ง ใดแทนการเลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อน เนื่องจากรัฐบาลเคนยาและแทนซาเนียกำลังขยายพื้นที่ป่าสงวนเพิ่มมากขึ้น เรื่อยๆ ทำให้การล่าสัตว์หรือการเข้าไปทำมาหากินในพื้นทีดังกล่าวกลายเป็นเรื่องผิด กฎหมายไปแล้ว การเริ่มวิถีชีวิตแบบลงหลักปักฐานนั้นทำให้ชาวมาไซต้องหันมาทำการเกษตรแบบ เพาะปลูกเพิ่มมากขึ้นเพื่อชดเชยอาหารที่เคยได้จากการดำรงชีวิตแบบเดิม ซึ่งนี่ได้ชักนำชาวมาไซเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดไปโดยปริยาย ผลที่ตามมาก็คือปัญหาความยากจนที่เกิดขึ้นในหมู่ชาวมาไซ ชาวมาไซจำนวนมากต้องละทิ้งวิถีชีวิตแบบเดิมและเข้ามาหางานทำในตัวเมือง 

 



            ที่ผ่านมาได้มีความพยายามจากทั้งทางรัฐบาลและองค์กรเอกชนต่างๆ ในการอนุรักษ์วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวมาไซไว้และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในท่ามกลางสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อีกด้วย จึงเป็นที่น่าติดตามว่าชนเผ่ามาไซจะสามารถประนีประนอมความเป็นเอกลักษณ์ทาง วัฒนธรรมของตนเองที่เป็นมรดกสืบต่อกันมายาวนานกับวิถีชีวิตแบบยุคสมัยใหม่ ที่กำลังเป็นสิ่งที่ปฏิเสธได้ยากในสมัยนี้ อย่างไร? 

 


 



 

โดย
ปวินท์ มินทอง
กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

ที่มา
http://en.wikipedia.org/wiki/Maasai_people
http://www.maasai-association.org/maasai.html
http://www.everyculture.com/wc/Tajikistan-to-Zimbabwe/Maasai.html
http://goafrica.about.com/libray/bl.maasai.htm
http://www.masai-mara.com/mmmaa.htm
ภาพและข้อมูลเกี่ยวกับทรงผม
http://iheartmyhair.com/2010/02/hair-spotting-3/
ภาพจาก http://www.google.co.th

 

 

 

 

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Sat May 04 18:32:37 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>