Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ทายนิสัยจากการอาบน้ำ

ArjanPong | 05-03-2558 | เปิดดู 2675 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

 

 

 

 

         ทายนิสัยจากการอาบน้ำ

 

 

                                    

 

 

คนที่ชำระร่างกายส่วน หน้าอก ก่อน เป็นคนตรงไปตรงมาและไม่อ้อมค้อม ไม่ชอบให้ใครมาคัดค้านความคิดหรือแสดงความคิดที่ไม่เห็นด้วย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับคุณ เนื้อคู่ที่ดีที่สุดจะเป็นคนที่เลือกอาบน้ำที่ ผม 


คนที่ชำระร่างกายส่วน ใบหน้า ก่อน คุณเป็นคนเห็นเงินเป็นเรื่องสำคัญมากและจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา เป็นคนไม่ค่อยสนใจเรื่องรูปร่างหน้า แต่จะรู้สึกว่าเพื่อนมีความหมายในชีวิต อีกทั้งยังเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง โดยทั่วไปแล้วเนื้อคู่จะเป็นคนเห็นแก่ตัวและต้องคอยรับอารมณ์ เนื้อคู่ที่ดีที่สุดจะเป็นคนที่เลือกอาบส่วนที่ลับเฉพาะ ก่อน 

คนที่ชำระร่างกายส่วน ผม ก่อน คุณเป็นคนที่อ่อนโยน ช่างคิดช่างฝัน อะไรก็แล้วแต่ที่คนอื่นทำไม่ได้คุณจะทำให้สำเร็จ แล้วถ้ายิ่งเป็นงานที่ถูกใจ คุณจะทำงานชนิดที่ว่าไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย เป็นคนช่างเลือกที่จะคบเพื่อน เนื้อคู่ที่ดีที่สุดจะเป็นคนที่เลือกอาบหน้าอกและส่วนลับเฉพาะก่อน 

คนที่ชำระร่างกายส่วน ลับเฉพาะ ก่อน คุณเป็นคนขี้อายไม่กล้าแสดงออกขาดความเชื่อมั่นในตัวเองและมักจะ ถูกกลั่นแกล้งเสมอ เป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงมากนักเหตุเพราะทำตัวน่าเบื่อและไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เนื้อคู่ที่ดีที่สุดจะเป็นบุคคลที่เลือกอาบที่ใบหน้าและผมก่อน 

คนที่ชำระร่างกายส่วน รักแร้ ก่อน คุณเป็นคนที่เชื่อถือไว้วางใจได้ ชีวิตนี้จะต้องทำงานหนัก ปกติแล้วเป็นคนอ่อนไหวง่ายและจะต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอยู่เสมอ มีความในใจที่ไม่สามารถบอกใครได้ เนื้อคู่ที่ดีที่สุดจะเป็นคนที่เลือกอาบน้ำที่ ไหล่ บ่า ก่อน 

คนที่ชำระร่างกายส่วน บ่า ก่อน คุณมักจะเป็นผู้แพ้เสมอ ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จ ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของใครนัก และตัวคุณเองก็ชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมากกว่า เป็นคนชอบการพนันและเป็นนักดื่มตัวฉกาจ มองโลกในแง่ลบฉะนั้นเงินและอำนาจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับแต่ก็มักอยู่กับคุณได้ไม่นาน

 

 

 

 

           รธน.แย่งอำนาจทายท้าวิชามาร

 

 

                              

 

 

นักการเมืองประกาศไม่สมัครรับเลือกตั้ง หลังเห็นเค้าลางรัฐธรรมนูญใหม่ ใครจะอยากเข้ามาเป็นโจรให้ไล่จับ ในขณะที่อำนาจแทบเท่ากับศูนย์ แต่มีองค์กรถอดถอนเอาผิดมากมาย

รัฐธรรมนูญ 36 อรหันต์จะทำให้เกิดอะไร เกิดรัฐบาลเจว็ดที่ดำเนินนโยบายไม่ได้ กดปุ่มเปิดป้ายไปวันๆ การเสนอนโยบายจะถูกจับผิดโดยศาลวินัยการคลัง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเป็นอำนาจของคณะกรรมการที่วุฒิสภาตั้ง (แล้วรัฐบาลสั่งใครได้) เหนือรัฐบาลขึ้นไปยังมีคณะกรรมการปรองดอง สภาขับเคลื่อนปฏิรูป คณะกรรมการยุทธศาสตร์ เหนือรัฐสภายังมีวุฒิสภา มีสมัชชาคุณธรรม เหนือองค์กรบริหารท้องถิ่นยังมีสมัชชาพลเมือง สภาตรวจสอบภาคพลเมือง ที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้งทั้งหมด

ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ต่อให้กวาด ส.ส.เกิน 300 จาก 450 เสียง ก็บริหารประเทศไม่ได้ มีแต่ถูกเด็ดถูกสอย ถูกสกัดขัดขวาง สุดท้ายก็ถูกไล่ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกฯ ยังพอไหว เพราะถนัดเป็นปลัดประเทศ ลอยหน้าหล่อ ดี ไม่ต้องทำอะไร แต่ประชาชนจะเป็นยังไง เสื้อแดงก็ก่อหวอดใหม่

ทางเดียวที่ประเทศจะเดินได้ คือต้องมีนายกฯ คนกลาง ผู้มากบารมี เป็นที่เคารพยำเกรงของกองทัพ ของข้าราชการ ขององค์กรต่างๆ ที่ตั้งในยุครัฐประหาร แบบป๋าเปรมยุคครึ่งใบ ไม่งั้นไม่มีทาง “เอาอยู่”

ซึ่งมองไม่เห็นว่าเป็นใคร ในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนกรานหัวเด็ดตีนขาดไม่สืบทอด คนอื่นๆ ใน คสช.ก็บารมีไม่ถึง

รัฐธรรมนูญ 36 อรหันต์ออกแบบให้อำนาจเลือกตั้งง่อยเปลี้ยเพราะกลัวนักการเมือง ไปเพิ่มอำนาจราชการและอำนาจที่ไม่มาจากเลือกตั้ง “เตะถ่วง” จนรัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ สวนความต้องการโลกสมัยใหม่ ซึ่งทางหนึ่งรัฐบาลต้องตัดสินใจฉับไว รับมือวิกฤติเฉพาะหน้า รับโลกาภิวัตน์ที่เปลี่ยนเร็ว แต่อีกทางหนึ่งก็ต้องลดขนาดรัฐ ลดการตัดสินใจของระบบราชการ

บรรยง พงษ์พานิช ซูเปอร์บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ซึ่งกระตุ้นให้ปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจชี้ว่าเพียง 10 ปี รัฐวิสาหกิจมีสินทรัพย์เพิ่มเกิน 2 เท่า รายได้เพิ่ม 3.5 เท่า แต่กำไรแค่ 1% ที่กำไรคือรัฐวิสาหกิจผูกขาด ที่เหลือขาดทุนเอาแต่แบมือขอรัฐบาล

วิรไท สันติประภพ ซูเปอร์บอร์ดอีกราย ชี้ว่าระบบราชการคือระเบิดเวลาของประเทศไทย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากำลังพลภาครัฐเพิ่มขึ้น 50% เงินเดือนสวัสดิการเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า แต่ประสิทธิภาพถอยหลัง คอร์รัปชั่นสูง

คุณจะโทษว่าที่ผ่านมานักการเมืองทำเละก็ได้ แต่ถามว่า 10 เดือนรัฐประหาร 6 เดือนสภาปฏิรูป 4 เดือนคณะกรรมาธิการ มีใครพูดถึงการปฏิรูประบบราชการ ลดอำนาจรัฐ ลดกำลังคน กระจายอำนาจ อย่างเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง

มีตรงไหนในรัฐธรรมนูญที่ลดอำนาจรัฐส่วนกลาง เพิ่มอำนาจท้องถิ่น มีใครพูดถึงการปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปศาล และกระบวนการยุติธรรม มีใครกล้าพูดถึงปฏิรูปกองทัพ ลดจำนวนนายพล ที่มีมากกว่าสหรัฐอเมริกา

กระทั่งปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ ผมก็ยังไม่เชื่อว่าทำได้ ตั้งซูเปอร์โฮลดิ้งเป็นไปได้เพราะลดอำนาจนักการเมืองใครก็ชอบ แต่ลดพนักงาน ยุบเลิกกิจการ ไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ

การพัฒนาประชาธิปไตยต้องมุ่งลดอำนาจรัฐ ทำให้รัฐเล็กลง กระจายอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจมากขึ้น อย่างที่บรรยงกล่าวว่า “รัฐที่แสนดีแสนเก่งนั้นไม่มี มีแต่รัฐห่วยและรัฐชั่ว” นี่ยกทัศนะคนทำงานให้รัฐบาล ไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามที่ไหน

แต่รัฐประหารไม่มีทางลดอำนาจรัฐได้ เพราะรัฐประหารแล้วระบบราชการเป็นใหญ่ รัฐธรรมนูญจึงไม่ลดอำนาจไม่กระจายอำนาจแต่เข้าไปแย่งอำนาจจากการเลือกตั้งมาให้ ทิ้งชนวนระเบิดไว้แรงกว่ารัฐธรรมนูญ 2550

 

 

 

 

 

                       

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เหตุการณ์ช่วงปรินิพพาน

 
สารีบุตร ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวอย่างนี้
เห็นอย่างนี้ว่า ชั่วเวลาที่บุรุษนี้ยังเป็นหนุ่ม มีผมดำสนิท
ประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ตั้งอยู่ในปฐมวัย, ก็ยังคง
ประกอบด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไวอยู่เพียงนั้น,
เมื่อใดบุรุษนี้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลนาน ผ่านวัยไปแล้ว
มีอายุ ๘๐ ปี, ๙๐ ปีหรือ ๑๐๐ ปี จากการเกิด, เมื่อนั้น เขา
ย่อมเป็นผู้เสื่อมสิ้นจากปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไว.

สารีบุตร ! ข้อนี้ เธออย่าพึงเห็นอย่างนั้น, เรานี้แล
ในบัดนี้เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาแล้ว
วัยของเรานับได้ ๘๐ ปี, ...ฯลฯ...

สารีบุตร ! ธรรมเทศนาที่แสดงไปนั้น ก็มิได้
แปรปรวน บทพยัญชนะแห่งธรรมของตถาคต ก็มิได้
แปรปรวน ปฏิภาณในการตอบปัญหาของตถาคต ก็มิได้
แปรปรวน ฯลฯ,

สารีบุตร ! แม้ว่าเธอทั้งหลาย จักนำเราไปด้วย
เตียงน้อย (สำหรับหามคนทุพพลภาพ), ความแปรปรวนเป็น
อย่างอื่น แห่งปัญญาอันเฉียบแหลม ว่องไว ของตถาคต
ก็มิได้มี.

สารีบุตร !
ถ้าผู้ใดจะพึงกล่าวให้ถูกให้ชอบว่า
“สัตว์มีความไม่หลงเป็นธรรมดา
บังเกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่มหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก,
เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”

ดังนี้แล้ว ผู้นั้นพึงกล่าวซึ่งเราผู้เดียวเท่านั้น.

ลำดับนั้น พระอานนท์ผู้มีอายุ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึง
ที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วลูบคลำทั่วพระกายของพระผู้มีพระภาคอยู่ พลาง
กล่าวถ้อยคำนี้ ว่า :-)

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้น่าอัศจรรย์; ข้อนี้ไม่เคยมีมาก่อน.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บัดนี้ ฉวีวรรณของพระผู้มีพระภาค ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง
เหมือนแต่ก่อน และพระกายก็เหี่ยวย่นหย่อนยาน มีพระองค์ค้อมไป
ข้างหน้า อินทรีย์ทั้งหลาย ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปหมด ทั้งพระจักษุ โสตะ
ฆานะ ชิวหา กายะ”

อานนท์ ! นั่น ต้องเป็นอย่างนั้น; คือ
ความชรามี (ซ่อน) อยู่ในความหนุ่ม,
ความเจ็บไข้มี (ซ่อน) อยู่ในความไม่มีโรค,
ความตายมี (ซ่อน) อยู่ในชีวิต;
ฉวีวรรณจึงไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียแล้ว และกายก็
เหี่ยวย่นหย่อนยาน มีตัวค้อมไปข้างหน้า อินทรีย์ทั้งหลาย
ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปหมด ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ดังนี้.

พระผู้มีพระภาค ครั้นตรัสคำนี้แล้ว ได้ตรัส
ข้อความนี้ (เป็นคำกาพย์กลอน) อีกว่า :-

"โธ่เอ๋ย ! ความแก่อันชั่วช้าเอ๋ย !
อันทำความน่าเกลียดเอ๋ย !
กายที่น่าพอใจบัดนี้ก็ถูกความแก่ย่ำยีหมดแล้ว.
แม้ใครจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
ทุกคนก็ยังมีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
ความตายไม่ยกเว้นให้แก่ใคร ๆ
มันย่ำยีหมดทุกคน."

อานนท์ ! บัดนี้ เรามีสติสัมปชัญญะ ปลงอายุ
สังขารแล้ว ณ ปาวาลเจดีย์นี้. (พระอานนท์ได้สติจึงทูลขอให้
ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยอิทธิบาทภาวนา กัปป์หนึ่งหรือยิ่งกว่ากัปป์;
ทรงปฏิเสธ)

อานนท์ ! อย่าเลย, อย่าวิงวอนตถาคตเลย มิใช่
เวลาจะวิงวอนตถาคตเสียแล้ว. (พระอานนท์ทูลวิงวอนอีกจน
ครบสามครั้ง ได้รับพระดำรัสตอบอย่างเดียวกัน, ตรัสว่าเป็นความผิดของ
พระอานนท์ผู้เดียว, แล้วทรงจาระไนสถานที่ ๑๖ แห่ง ที่เคยให้โอกาสแก่
พระอานนท์ในเรื่องนี้ แต่พระอานนท์รู้ไม่ทันสักครั้งเดียว)

อานนท์ ! ในที่นั้น ๆ ถ้าเธอวิงวอนตถาคต
ตถาคตจักห้ามเสียสองครั้ง แล้วจักรับคำในครั้งที่สาม,
อานนท์ ! ตถาคตได้บอกแล้วมิใช่หรือ ว่าสัตว์
จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น, สัตว์จะได้
ตามปรารถนา ในสังขารนี้แต่ที่ไหนเล่า, ข้อที่สัตว์จะหวัง
เอาสิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกดับ
เป็นธรรมดา ว่าสิ่งนี้อย่าฉิบหายเลยดังนี้ ย่อมไม่เป็นฐานะ
ที่มีได้ เป็นได้.
มู. ม. ๑๒/๑๖๓/๑๙๒, มหาวาร. สํ ๑๙/๒๘๗/๙๖๓.

สัตว์ทั้งปวง ทั้งที่เป็นคนหนุ่ม คนแก่
ทั้งที่เป็นคนพาลและบัณฑิต
ทั้งที่มั่งมี และ ยากจน
ล้วนแต่มีความตายเป็นที่ไปถึง ในเบื้องหน้า.
เปรียบเหมือนภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นแล้ว
ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่สุกแล้ว และยังดิบ
ล้วนแต่มีการแตกทำลายเป็นที่สุด ฉันใด

ชีวิตแห่งสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นเบื้องหน้าฉันนั้น
วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราริบหรี่แล้ว
เราจักละพวกเธอไป
สรณะของตัวเองเราได้ทำไว้แล้ว

ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท
มีสติ มีศีลเป็นอย่างดี
มีความดำริอันตั้งไว้แล้วด้วยดี
ตามรักษาซึ่งจิตของตนเถิด
ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุใดเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
จักละชาติสงสาร ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

มหา. ที. ๑๐/๑๔๑/๑๐๘.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 19มีนาคม2558เป็นวันแรม15ค่ำ เดือนสี่(4)ปีมะเมีย

 

 

 

 

เหตุการณ์ช่วงปรินิพพาน

 
สารีบุตร ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวอย่างนี้
เห็นอย่างนี้ว่า ชั่วเวลาที่บุรุษนี้ยังเป็นหนุ่ม มีผมดำสนิท
ประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ตั้งอยู่ในปฐมวัย, ก็ยังคง
ประกอบด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไวอยู่เพียงนั้น,
เมื่อใดบุรุษนี้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลนาน ผ่านวัยไปแล้ว
มีอายุ ๘๐ ปี, ๙๐ ปีหรือ ๑๐๐ ปี จากการเกิด, เมื่อนั้น เขา
ย่อมเป็นผู้เสื่อมสิ้นจากปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไว.

สารีบุตร ! ข้อนี้ เธออย่าพึงเห็นอย่างนั้น, เรานี้แล
ในบัดนี้เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาแล้ว
วัยของเรานับได้ ๘๐ ปี, ...ฯลฯ...

สารีบุตร ! ธรรมเทศนาที่แสดงไปนั้น ก็มิได้
แปรปรวน บทพยัญชนะแห่งธรรมของตถาคต ก็มิได้
แปรปรวน ปฏิภาณในการตอบปัญหาของตถาคต ก็มิได้
แปรปรวน ฯลฯ,

สารีบุตร ! แม้ว่าเธอทั้งหลาย จักนำเราไปด้วย
เตียงน้อย (สำหรับหามคนทุพพลภาพ), ความแปรปรวนเป็น
อย่างอื่น แห่งปัญญาอันเฉียบแหลม ว่องไว ของตถาคต
ก็มิได้มี.

สารีบุตร !
ถ้าผู้ใดจะพึงกล่าวให้ถูกให้ชอบว่า
“สัตว์มีความไม่หลงเป็นธรรมดา
บังเกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่มหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก,
เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”
ดังนี้แล้ว ผู้นั้นพึงกล่าวซึ่งเราผู้เดียวเท่านั้น.
 
 

ลำดับนั้น พระอานนท์ผู้มีอายุ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึง
ที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วลูบคลำทั่วพระกายของพระผู้มีพระภาคอยู่ พลาง
กล่าวถ้อยคำนี้ ว่า :-)

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้น่าอัศจรรย์; ข้อนี้ไม่เคยมีมาก่อน.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บัดนี้ ฉวีวรรณของพระผู้มีพระภาค ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง
เหมือนแต่ก่อน และพระกายก็เหี่ยวย่นหย่อนยาน มีพระองค์ค้อมไป
ข้างหน้า อินทรีย์ทั้งหลาย ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปหมด ทั้งพระจักษุ โสตะ
ฆานะ ชิวหา กายะ”

อานนท์ ! นั่น ต้องเป็นอย่างนั้น; คือ
ความชรามี (ซ่อน) อยู่ในความหนุ่ม,
ความเจ็บไข้มี (ซ่อน) อยู่ในความไม่มีโรค,
ความตายมี (ซ่อน) อยู่ในชีวิต;
ฉวีวรรณจึงไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียแล้ว และกายก็
เหี่ยวย่นหย่อนยาน มีตัวค้อมไปข้างหน้า อินทรีย์ทั้งหลาย
ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปหมด ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ดังนี้.


พระผู้มีพระภาค ครั้นตรัสคำนี้แล้ว ได้ตรัส
ข้อความนี้ (เป็นคำกาพย์กลอน) อีกว่า :-

โธ่เอ๋ย ! ความแก่อันชั่วช้าเอ๋ย !
อันทำความน่าเกลียดเอ๋ย !
กายที่น่าพอใจบัดนี้ก็ถูกความแก่ย่ำยีหมดแล้ว.
แม้ใครจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
ทุกคนก็ยังมีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
ความตายไม่ยกเว้นให้แก่ใคร ๆ
มันย่ำยีหมดทุกคน.

อานนท์ ! บัดนี้ เรามีสติสัมปชัญญะ ปลงอายุ
สังขารแล้ว ณ ปาวาลเจดีย์นี้. (พระอานนท์ได้สติจึงทูลขอให้
ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยอิทธิบาทภาวนา กัปป์หนึ่งหรือยิ่งกว่ากัปป์;
ทรงปฏิเสธ)

อานนท์ ! อย่าเลย, อย่าวิงวอนตถาคตเลย มิใช่
เวลาจะวิงวอนตถาคตเสียแล้ว.
(พระอานนท์ทูลวิงวอนอีกจน
ครบสามครั้ง ได้รับพระดำรัสตอบอย่างเดียวกัน, ตรัสว่าเป็นความผิดของ
พระอานนท์ผู้เดียว, แล้วทรงจาระไนสถานที่ ๑๖ แห่ง ที่เคยให้โอกาสแก่
พระอานนท์ในเรื่องนี้ แต่พระอานนท์รู้ไม่ทันสักครั้งเดียว)

อานนท์ ! ในที่นั้น ๆ ถ้าเธอวิงวอนตถาคต
ตถาคตจักห้ามเสียสองครั้ง แล้วจักรับคำในครั้งที่สาม,
อานนท์ ! ตถาคตได้บอกแล้วมิใช่หรือ ว่าสัตว์
จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น, สัตว์จะได้
ตามปรารถนา ในสังขารนี้แต่ที่ไหนเล่า, ข้อที่สัตว์จะหวัง
เอาสิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกดับ
เป็นธรรมดา ว่าสิ่งนี้อย่าฉิบหายเลยดังนี้ ย่อมไม่เป็นฐานะ
ที่มีได้ เป็นได้.
มู. ม. ๑๒/๑๖๓/๑๙๒, มหาวาร. สํ ๑๙/๒๘๗/๙๖๓.

สัตว์ทั้งปวง ทั้งที่เป็นคนหนุ่ม คนแก่
ทั้งที่เป็นคนพาลและบัณฑิต
ทั้งที่มั่งมี และ ยากจน
ล้วนแต่มีความตายเป็นที่ไปถึง ในเบื้องหน้า.
เปรียบเหมือนภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นแล้ว
ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่สุกแล้ว และยังดิบ
ล้วนแต่มีการแตกทำลายเป็นที่สุด ฉันใด
ชีวิตแห่งสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นเบื้องหน้าฉันนั้น
วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราริบหรี่แล้ว
เราจักละพวกเธอไป
สรณะของตัวเองเราได้ทำไว้แล้ว
ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท
มีสติ มีศีลเป็นอย่างดี
มีความดำริอันตั้งไว้แล้วด้วยดี
ตามรักษาซึ่งจิตของตนเถิด
ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุใดเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
จักละชาติสงสาร ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

มหา. ที. ๑๐/๑๔๑/๑๐๘.

 

 

 

 

 

 

คอหวยจดจ่อ เลขเด็ดอดีต รมต. งวดนี้บังเอิญตรงเลขดัง

(ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหาข่าว)

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

(15 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อย่างเข้าใกล้วันออกสลากกินแบ่งรัฐบาลครั้งใด บรรดานักเสี่ยงโชคต่างก็ใจจดจ่ออยู่กับศาสตร์ตัวเลขของ นาย อดีตรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย และ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประจำ งวดล่าสุดนี้เช่นเดียวกัน หลายคนยังเฝ้ารอลุ้นอย่างใกล้ชิด

พล.ต.ต.นิธิพัฒน์ พัฒนถาบุตร ผบก.อก.ภ.5 บุตรชายของ นายปรีดา พัฒนถาบุตร ได้เปิดเผยว่า เมื่องวดประจำวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา บิดาได้กระซิบบอกลูกหลานแบบลับๆ ไม่อยากให้เป็นข่าว ผลปรากฏว่าศาสตร์คำนวณตัวเลขจากดวงดาวยังแม่นยำเหมือนเดิม งวดก่อนท่านระบุว่า 3 หลักสิบ ก่อนจะถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว หมายเลข 34 จำนวน 195 ใบ และเลขท้าย 3 ตัว หมายเลข 031 จำนวน 10 ใบ

ทั้งนี้ พล.ต.ต.นิธิพัฒน์ ระบุว่า สำหรับงวดล่าสุดนี้ บิดาได้ทำการคำนวณตัวเลขจากดวงดาว แต่ไม่ได้บอกแจ้งมาตรงๆ และชัดเจนเหมือนที่เคย โดยบอกใบ้แค่ว่าตัวเลขที่ได้ออกมางวดนี้ ตรงกับเลขดังในเวลานี้ คือ อายุของหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ซึ่งปัจจุบันท่านมีอายุ 91 ปี

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดล่าสุดนี้ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ พบว่าเลขเด็ดเลขดัง แทบจะไม่มีให้พบเห็นแล้ว โดยเฉพาะเลขอายุของหลวงพ่อคูณ ส่วนราคาขายสลากกินแบ่งรัฐบาลยังคงทรงตัวที่ 110-120 บาท แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่อง พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล ที่มีมาตรการกดราคาขายและให้มีวางจำหน่วยที่ร้านสะดวกซื้อ

ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก ข่าวสดออนไลน์

 
 

ติดตามข่าวด่วน เกาะกระแสข่าวดัง บน Faceboo

 

 

วิเคราะห์หวยจากดวงดาว

       ต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้สันทัดกับการใบ้หวย

           จากการที่เคยเข้าไปอบรมในสถาบันจิตวิทยาแห่งชาติและสถาบันดาราศาสตร์ได้รวบรวมข้อมูลที่พอเป็นประโยชน์ ในการตัดสินใจ

          เคยสังเกตไหมทำไมเวลาเราออกไปไหนบางครั้งในช่วงเวลาหนึ่งทำไมเราเจอแต่ทะเบียนรถเลขตัวเดียวกันพอผ่านไปอีกช่วงเวลาหนึ่งก็เจอแต่เลขตัวเดียวกันมีติดอยู่บ้างที่ท้ายรถเช่นเจอเลข 5 อาจจะมี 15 บ้าง 353 บ้าง อาจารย์บอกว่า ตัวเลขมีผลมาจากการเรียงตัวของดวงดาวในช่วงเวลานั้นเกี่ยวกับตำแหน่งและมุมซึ่งส่งผลกระทบต่อโลก อย่างที่ผ่านมาเร็วๆนี้ ดวงดาวได้เรียงกัน 11 ดวงนักดาราศาสตร์บอกว่าจะเกิดแผ่นดินไหวซึ่งก็เกิดขึ้นจริงๆตามเวลาที่กำหนด

          รังสีออร่าก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีผลต่อมนุษย์ซึ่งถ้าให้อธิบายคงยาวเพราะเท่าที่ไปอบรมมาก็เป็นอาทิตย์ และสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องวิทยาศาสตร์   รังษีออร่ามีผลต่อบุคคลตามสีที่มองเห็นจากประกายรอบตัว คนเราสามารถเปลี่ยนรังสีได้ จากการอบรมอาจารยืให้ตื่นแต่เช้าไปยืนใต้ต้นไม้ใหญ่กางแขนออกทำสมาธิแล้วเขย่าตัว ซึ่งต้องไปหาความรู้เพิ่มเติมละกัน    มาเข้าเรื่องของเรา

 

วิเคราะห์เลขจากดวงดาวแม่นยำที่สุด      
       

ก่อนที่เราจะตัดสินใจอะไรต้องมีหลักฐานไปทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไปขูดต้นไม้ไปทาแป้งนั้นมันไร้สาระ  เชื่อดวงดาวมีอิทธิพลมากที่สุด   
       การศึกษาโหราศาสตร์กับตัวเลขมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงกันไม่ได้สุขี สิงห์บรบือ เจ้าของเว็บไซต์มหาหมอดูดอดคอม ซึ่งขึ้นชื่อในการวิเคราะห์หวยว่ามีความแม่นยำมากกว่า 70 % บอกและว่าการวิเคราะห์หวยนั้นส่วนใหญ่จะใช้หลักของวิชาโหราศาสตร์มาเป็นตัวหลักในการวิเคราะห์ ซึ่งผู้วิเคราะห์จะนำเอาความเคลื่อนไหวของดวงดาวในช่วงวันและเวลาที่ออกสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นตัวตั้งแล้วคำนวณออกมาเป็นตัวเลข
       
       
สำหรับการคำนวณหวยตามหลักโหราศาสตร์ไทยท่านให้นำดวงชะตาโหราศาสตร์ไทย ณ วันเวลาออกด้วยเวลาท้องถิ่น ณ เส้นแลตติจูตที่ 13 องศา 46 ลิปดา เหนือ-ลองติจูตที่ 100 องศา 35 ลิปดาตะวันออก อันเป็นที่ตั้งของกองสลาก (หากฉลากออกที่ต่างจังหวัดจะต้องลบด้วยเวลาท้องถิ่น) แล้วคิดตามเวลาอาทิตย์อุทัย เพื่อหาสมผุสอันแน่นอนของลัคนา แล้วเอาสมผุสของลัคนานั้น ไปหาทวาทศางศ์ของลัคนาอีกครั้งหนึ่ง
       
       บางท่านอาจจะชอบและอยากลองดู เผื่ออาจจะรวยขึ้นมาบ้าง ทุกอย่างว่าไปตามสูตร แต่สูตรนี้ลองทำ เทียบย้อนหลังดูก็มีความแม่นยำมากกว่า 70% ถ้าหากระบุเวลาที่หวยออก สถานที่หวยออก ได้ถูกต้อง เพราะเวลาและสถานที่สำคัญมากครับ หากเวลาผิด ตำแหน่งลัคนา ทวาทศางศ์ของลัคนา และตนุเศษทวาทศางศ์ ก็จะผิดไปด้วย?
       
       อาจารย์สุขี อธิบายต่อไปว่า ตำราโหราศาสตร์ใช้ได้ตลอดกาลมีอาจารย์บางคนคำนวณออกมาเป็นปีๆแล้วพิมพ์ออกจำหน่าย เลขที่เราๆท่านๆเห็นนั้น 90%เกิดจากการคำนวณของการเคลื่อนไหวของดวงดาวบนท้องฟ้าทั้งสิ้น ส่วนใครจะให้แม่หรือไม่แม่น อย่างไรนั้นต้องดูเวลาที่หวยออกเพราะถ้ารู้เวลาออกตรงๆก็จะเห็นว่าอิทธิพลของตัวเลขนั้นๆจะส่งผลจริงๆ
           
       จะว่าไปแล้วอิทธิพลของดวงดาวจะถูกต้องแม่นยำแค่ไหนเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักแสวงโชคที่ควรจะจดจำไว้ก็คือการซื้อหวยเป็นการพนัน มันย่อมมีทั้งได้และเสีย จึงควรจะลงทุนแต่พอเหมาะขอให้ใช้วิจารณญาณในการซื้ออย่าทุ่มซื้อมากจนหมดตัว ทุกอย่างล้วนอนิจจังไม่เที่ยงแท้ไม่มีอะไรแน่นอน

             เงินทองเป็นของหายากไม่อยากให้สมาชิกต้องเสียไปกับมิจฉาชีพทุกวันที่หากินบนความดิ้นรนของคนอื่น ต้องดูก่อนว่าเขาใช้หลักการอะไรวิเคราะห์และเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
 

 

 

 

 

 

  พม่าโจมตีจีน

 

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่14มี.ค.ว่า สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานเหตุเครื่องบินเมียนมาร์ทิ้งระเบิดใส่ไร่อ้อยในเมืองลินคัง มณฑลยูนนาน ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ยังผลให้มีคนงานเสียชีวิต4รายและบาดเจ็บอีก9ราย เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นหลังต้นสัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงว่า พบบ้านหลังหนึ่งติดกับพรมแดนเมียนมาร์ถูกระดมยิงด้วยปืนใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้กับเหตุสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมาร์กับกลุ่มกบฎโกก้าง

ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนได้ประกาศเตือนพื้นที่บริเวณแนวตะเข็บชายแดนที่ติดกับเมียนมาร์ หลังสถานการณ์ความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์ในภูมิภาคโกก้าง รัฐฉาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมาร์ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเมื่อวันที่9ก.พ.ที่ผ่านมาทางการได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภายในพื้นที่

เหตุความไม่สงบทำให้เมืองลวกไก เมืองเอกในภูมิภาคโกก้างศูนย์กลางการปะทะ กลายเป็นสนามรบ ชาวบ้านกว่า30,000คน ต้องอพยพข้ามแดนเข้าไปในมณฑลยูนนานของจีน

ทั้งนี้ในช่วงเช้าของวันเสาร์นายหลิว เชี่ยนหมิน รมช.กระทรวงการต่างประเทศจีนได้เรียกเอกอัครราชทูตเมียนมาร์ประจำกรุงปักกิ่งเข้าพบ เพื่อประท้วงเหตุดังกล่าวที่ทำให้พลเมืองจีนเสียชีวิต พร้อมกับเรียกร้องให้ทางการเมียนมาร์ตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วน และหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก รวมทั้งเรียกร้องรัฐบาลเมียนมาร์ให้ความปลอดภัยและมั่นคงพื้นที่พรมแดนระหว่าง2ประเทศ

 


พม่ามีผลประโยชน์กับจีนมหาศาล  ท่อก๊าซ  ท่อน้ำม้น  ที่เพิ่งสร้างเสร็จ  คิดดูว่ามหาศาลขนาดไหน

  ไหนจะเหมืองแร่ในพม่า ที่ จีนได้สัมปทาน  เหมืองหยก  สินแร่  น้ำม้น  ก๊าซ  เพียบ

  ยังไม่รวมไม้สัก  หรืออื่นอื่น

    พวกโกก้าง  นี่ก็เป็นคนเชื้อสายจีน   ใน  เหว่ยโป้  มีคนจีนบางกลุ่มอยากให้รัฐบาลจีนเข้าช่วยพวกโกก้างด้วยซ้ำ

แต่  จีนไม่ทำ  ปล่อยให้เขาเจรจากัน

ผมประโยชน์ของจีน ในเขตโกก้างม้นน้อยมาก   

อีกอย่างพวกโกก้าง  เมื่อตอนที่จีนกับพม่า ตกลงเขตพรหมแดน จุดนี้  มีการเจรจากันว่า  เขตโกก้างจะมาขึ้นกับจีนไหม

แต่ผู้นำโกก้างสม้ยนั้น  ถือหางพวก ก๊กมินตั๋ง  ไม่ยอมมาขึ้นกับจีน แต่ต้องการเป็น  เขตปกครองตนเอง  ขึ้นกัน พม่า

   ดังนั้น พวกโกก้างจะมาโทษจีนไม่ได้ว่า  ปล่อยให้ คนเชื้อสายจีนโดนรังแก แล้วไม่ช่วย

   สม้ยนั้นดันเลือกที่จะอยู่เป็นประเทศพม่าเอง

 

 

 

 จีนไม่กล้ารบกับพม่าหรอก  อินเดีย  กับ เมกา รอเสียบอยู่

 


สมมุติ จีนลุยพม่า อย่างเก่งก็ช่วยแค่พวกโกก้างกับ คะฉิ่น นิดหน่อยพวกนี้

อยู่ตามเขาสูง ม้นไม่มีผลประโยชน์อะไรกับจีนเลย

แต่ ถ้าจีนทำแบบนั้น พม่า ปิดท่อส่งก๊าซกับน้ำม้น  ที่จีนสร้าง จีนจะทำยังไง

ลุยต่อหรือ  ลุยต่อจีนก็ซวยซิครับ

สงครามขนาดใหญ่   un   usa   อินเดีย เข้ามาเอี่ยว

   ความเสียหายทาง เศรษฐกิจ เพียบ 

อย่าลืมว่า ถ้าจีนลุย จีน จะเสียผลประโยชน์ขนาดหนัก

ตอนนี้  us    ยี่ปุ่น  อินเดีย เตรียม เสียบที่พม่าเต็มที่

 

 

http://www.acig.org/artman/publish/article_346.shtml



ลืมรายละเอียดเผื่อใคร เอาไปแต่งนิยาย
 

การสู้รบที่เนิน ๙๖๓๑ ทหารไทย vs ทหารพม่า + ทหารว้าแดง

 

ชายแดนไทย-พม่า มีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างกันได้ง่าย อย่างที่ทราบกันดีว่า มีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารพม่ากลุ่มต่างๆ เคลื่อนไหวตามแนวชายแดนไทย-พม่าอยู่ ส่วนทางการไทยก็หนักใจกับปัญหาการค้ายาเสพติดที่มีโรงงานผลิตยาอยู่ใกล้ชาย แดนไทย-พม่า เช่นกัน นอกจากนั้นเวลารัฐบาลทหารพม่ายกกำลังเข้าปราบปรามกลุ่มชนส่วนน้อยที่ต่อต้าน รัฐบาล ก็จะมีปัญหาการอพยพหลบภัยสงครามข้ามเข้ามาสู่ชายแดนไทย เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นประจำ แต่ที่ลุกลามใหญ่โตจนเกิดการปะทะกันระหว่างกำลังทหารของสองประเทศนั้นเกิด ขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔

 

ทหารรัฐบาลพม่า ได้รับคำสั่งให้สนับสนุนกองทหารว้า ของ United Wa State Army (UWSA) ในการสู้รบกับกลุ่มกบฏรัฐฉาน (Shan State Army, SSA) ปัญหาก็คือ การเข้าตีกองกำลังรัฐฉานตรงๆ นั้น ยากที่จะเข้าตีได้ เพราะกองทัพรัฐฉานมีฐานที่มั่นอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบ อีกทางหนึ่งที่ง่ายกว่าคือ ตีโอบหลัง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า กองทัพรัฐฉานมีกองกำลังอยู่ชิดชายแดนไทย การตีโอบหลังต้องผ่านชายแดนไทยเข้ามา จุดยุทธศาสตร์ตรงบริเวณนี้คือ ฐานทหารพรานบนเนิน ๙๖๓๑ ซึ่งอยู่บนยอดเขาบริเวณบ้านปางนุ่น กิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง ลึกเข้าไปในชายแดนไทย ๑ กม. ใกล้ๆ กันคือ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ที่มั่นแห่งนี้มีทหารพรานประจำการอยู่ ๒๐ นาย ภารกิจหลักของฐานแห่งนี้คือ การสกัดการขนยาเสพติดข้ามแดน ฝ่ายพม่ามีกำลังอยู่บริเวณนั้น ๙๐๐ นาย เสริมด้วย ทหารว้าอีก ๖๐๐ นาย

 

เย็นวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ทหารพม่า ๒๐๐ นายเข้าโจมตีฐานทหารพรานแห่งนี้ ฝ่ายทหารพรานได้สังหารทหารพม่าได้ ๑๔ นาย บาดเจ็บอีกราว ๓๐ นาย หลังปะทะกันได้ ๔ ชั่วโมง ฝ่ายทหารพรานเสียชีวิต ๒ นาย(ภายหลังพบว่า หนึ่งในสองที่คาดว่าตายนั้นยังไม่ตาย) บาดเจ็บอีก ๑๑ นาย กระสุนเริ่มร่อยหรอลง จึงขออนุญาตถอนกำลังพร้อมกับนำผู้บาดเจ็บเสียชีวิตออกมาด้วย เนิน ๙๖๓๑ ตกอยู่ใต้การยึดครองของทหารพม่า ซึ่งยิงไล่หลังทหารพราน ฝ่ายไทยหลังได้รับรายงานได้ส่งกำลังจากกรมทหารม้าที่ ๓ กองพลทหารม้าที่ ๑ เข้าไปช่วยทันที ในชั้นแรกคือ ช่วยทหารพรานออกมาก่อน เพราะตอนนั้นมืดแล้ว ยังไม่ทราบกำลังที่แท้จริงของพม่าว่ามีเท่าไหร่ จึงได้แต่ตรึงกำลังไว้ก่อนไม่ให้มีการรุกล้ำเข้ามามากกว่านี้

 

วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ กรมทหารม้าที่ ๓ ได้รับการเสริมกำลังจากรถสายพานลำเลียงพล M-113A-3 หนึ่งกองร้อย และรถถัง M-60A-3 อีกหนึ่งกองร้อย ทั้งหมดอยู่ภายใต้การบัญชาการของร้อยเอก สงกรานต์ นิลพันธุ์ นอกจากนี้ทางด้านอำเภอแม่สาย ได้มีการเสริมกำลังเช่นกัน ทหารไทยพร้อมด้วยกำลังเสริมได้เข้าตีชิงฐาน บนเนิน ๙๖๓๑ คืน อย่างไม่ยากเย็นนัก ทหารพม่าถอนกำลังกลับข้ามชายแดนไป ทิ้งศพพรรคพวกไว้ ๑๗ ศพ และผู้บาดเจ็บอีก ๖๐ คน ในขณะที่กำลังฝ่ายไทยบาดเจ็บ ๗ นาย

 

เช้าวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ทหารพม่า ๓ กรม สนับสนุนด้วยรถถัง T-69 ที่ได้รับมาจากจีน และปืนใหญ่ เข้าโจมตีอำเภอแม่สาย ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยรถถัง M-60A3 และเครื่องบินขับไล่ F-5 ที่บินมาจากสนามบินเชียงใหม่ ที่ใช้ลูกระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ (LGB) นอกจากนั้นฝ่ายไทยยังมีปืนอัตตาจร ๑๕๕ มม. แบบ M-109 และปืนใหญ่กลางระยะยิงไกลมากอย่าง GCN-55 (ยิงได้ไกลถึง ๔๕ กม.) ทำให้ฝ่ายพม่าได้รับความเสียหายอย่างมาก เครื่องบินของไทยยังทำการโจมตีหน่วยส่งกำลังบำรุงของพม่าด้วย

 

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอยู่นั้น ฮ. UH-1H ของทอ. ถูกยิงจากภาคพื้นดินตกบริเวณเขตอำเภอแม่อาย ขณะกำลังบินสนับสนุนเสบียง นักบินนำเครื่องร่อนลงฉุกเฉินได้สำเร็จ ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ

 

เวลา ๑๙๓๐ ทั้งสองฝ่ายหยุดยิง (ไทยกับพม่า) แต่ยังมีเสียงการปะทะกันทางฝั่งพม่า เนื่องจากฝ่ายพม่านำกำลังเสริมจากเก็งตุง มายังท่าขี้เหล็ก และปะทะกับกองทัพรัฐฉานของเจ้ายอดศึก

 

ปืนใหญ่ทั้งสองฝ่ายดวลข้ามชายแดนกัน และมีการโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินของกองทัพอากาศไทย ที่ใช้เชียงใหม่เป็นฐานบินสำหรับปฏิบัติการครั้งนี้ และถือว่าเป็นปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ระหว่างวันที่ ๑๐ ถึง ๑๒ กุมภาพันธ์ เครื่องบินขับไล่ของไทยทำการบินรบกว่า ๗๐ เที่ยวบิน รวมทั้งการโจมตีด้วยลูกระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ต่อฐานปืนใหญ่ของพม่าที่ตั้ง ฐานอยู่ในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในท่าขี้เหล็ก ปฏิบัติการครั้งนี้ประกอบด้วยเครื่องบินขับไล่ F-5F หนึ่งเครื่องและเครื่องบินขับไล่ F-5E อีก ๓ เครื่อง เครื่องบิน F-5F ติดกระเปาะ WSO ที่ผลิตในอิสราเอล ทำหน้าที่ชี้เป้า ส่วน F-5E อีก ๓ เครื่อง บินเข้าหาเป้าหมายจากทิศทางที่ต่างกัน เข้าโจมตีด้วยระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ ขนาด ๒,๐๐๐ ปอนด์ ๖ ลูก ลูกระเบิดเข้าสู่เป้าหมายทุกลูก ปืนต่อสู้อากาศยานของพม่ายิงขึ้นมาสกัดกั้นอย่างเบาบาง และไม่มีเครื่องบินของไทยเครื่องใดได้รับความเสียหาย

 

ไม่มีเครื่องบินกองทัพอากาศพม่าออกปฏิบัติการ

 

เครื่องบินขับไล่ F-5E/F ของไทยได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยในต้นปี ๒๕๓๓ โดยติดตั้งระบบนำร่องของ Litton และเสริมความแข็งแรงของไพล่อนกลางลำตัว ให้สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึง ๑,๕๐๐ กก., และไพล่อนใต้ปิดด้านในรับน้ำหนักได้ถึง ๑,๐๐๐ กก./ด้านนอกรับน้ำหนักได้ ๕๐๐ กก. ระหว่างปฏิบัติการ F-5E แต่ละเครื่องบรรทุกลูกระเบิด LGB ๒ ลูก

 

ไม่มีเครื่องบินของกองทัพอากาศพม่าออกปฏิบัติในช่วงที่มีการปะทะกันนี้ เพราะเครื่องบินขับไล่ F-7 ถูกส่งไปปรับปรุงที่อิสราเอล ในข้อเท็จจริงช่วงนั้น ผู้นำทหารพม่าได้สั่งการให้หน่วยบิน F-7 สามหน่วยกระจายกำลังออกไป ซึ่งจะทำให้มีเครื่องบินขับไล่ F-7 ๓๐ เครื่องที่พร้อมปะทะกับฝ่ายไทย อย่างไรก็ตาม มีเพียง ๖ เครื่องที่ประจำอยู่ที่ฐานทัพอากาศ Kengtung ที่อยู่ห่างจากท่าขี้เหล็กไปทางเหนือราว ๑๕๐ กม. ระยะทางบินขนาดนี้ ทำให้เครื่องบินขับไล่ F-7 ที่ติดอาวุธเต็มที่ หนักเกินกว่าที่จะทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงไม่มีวี่แววที่เครื่องบินขับไล่ F-7 จะมาสกัดกั้นเครื่องบิน F-5 ของไทย เครื่องบินของกองทัพอากาศพม่าที่เหลือได้แก่ เครื่องบินฝึกขั้นสูงแบบ PC-7 ๑๗ เครื่อง, PC-9 ๔ เครื่อง และเครื่องบินฝึก G-4 Super Galeb อีก ๔ เครื่อง มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่บินได้ เครื่องบินโจมตี A-5M ยิ่งมีสภาพต่ำยิ่งกว่าเครื่องบิน F-7 เสียอีก

 

การป้องกันภัยทางอากาศของพม่ามีการซื้อจรวดต่อสู้อากาศยาน SA-16 จากบุลกาเรีย, MiG-29 จากรัสเซีย ข่าวกรองรายงานว่า MiG-29 ที่พม่าซื้อไปเป็นเครื่องที่อิรัคสั่งซื้อแต่ยังไม่ส่งมอบ เมื่อพิจารณาจากข่าวที่รายงานว่า นักบินพม่าได้รับการฝึกบินที่อินเดีย ซึ่งคาดว่าการเตรียมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ช่างเครื่อง คงจะต้องรับการฝึกจากอินเดียเช่นกัน

 

การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายจบลงด้วยการเจรจา โดยทั้งสองฝ่ายต่างเสริมกำลัง ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ฝ่ายไทยมีกำลังของกองพลทหารม้าที่ ๑ และส่วนแยกของกองพลทหารม้าที่ ๒ ที่มีรถถัง M-41, รถถัง Stingray และยานเกราะ V-150 วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ทอ.ส่ง F-16 ไปเสริมกำลังที่ฐานบินเชียงใหม่ ทำหน้าที่บินลาดตระเวนรบตามแนวชายแดน วันที่ ๑๐ พฤษภาคม F-16 ของไทยโจมตีเป้าหมายที่ Kyauket ในเขตรัฐฉาน ทางการพม่าได้ประท้วงทางการไทยในกรณีดังกล่าว

 

บทสรุป – หลังเหตุการณ์ที่เนิน ๙๖๓๑ ทางฝ่ายไทยยังคงส่งทหารพรานไปประจำการเช่นเดิม ส่วนทางฝ่ายพม่าไม่มีการวางกำลังด้านนี้อีก ทหารพม่าเสียชีวิต ๘๐ นาย, ฝ่ายไทยเสียชีวิต ๑ นาย บาดเจ็บ ๓๗ นาย พลเรือนเสียชีวิต ๓ คน บาดเจ็บ ๗ คน ทางการไทยระบุว่า มีผู้หญิง ๒ คนเสียชีวิตจากปืนใหญ่ของพม่าที่ยิงถล่มเข้ามาที่แม่สาย ร้อยเอก สงกรานต์ นิลพันธ์ กล่าวในเวลาต่อมาว่า ทหารพม่าเสียชีวิตเกือบ ๑๐๐ นาย แต่ถูกนำกลับไประหว่างการถอนกำลัง แต่ทหารไทยยังพบศพทหารพม่า ๓ นาย บนเนิน ๙๖๓๑ ทางด้านพม่า, พันเอก Kyaw Thein นายทหารการข่าว ยืนยันว่า ทางฝ่ายพม่าเสียทหารไป ๑๒ นาย บาดเจ็บ ๑๕ นาย แต่ยอดนี้เป็นการปะทะกับทหารไทยใหญ่ ไม่ใช่จากการปะทะกับทหารไทย

 

 

 

 

                     "รู้เท่าทัน"ปล่อยนกเพื่อสะเดาะเคราะห์ "บุญหาย -ได้บาปชัวร์" !!

 

 จาก โอเค เนชั่น..

 

                                    

 

 

 

ย่างที่เคยเรียนบอกแก่เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้องๆชาวโอเคเนชั่น ให้ทราบกันว่าผมเป็น"คนไกลวัด" เพราะนาน ๆ จึงจะมีโอกาสไปไหว้พระตามวัดวาอารามต่างๆกันเสียครั้งหนึ่ง  เมื่อ"ญาติธรรม" หลายท่านชักชวนไปให้นั่งสมาธิฝึกจิตฝึกใจเพื่อให้อารมณ์เย็นลงทั้งในวัดในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ผมก็ตามไปด้วย แต่ปฏิบัติตนเป็นฆราวาสที่ดีอยู่กับร่องกับรอยได้ไม่นาน ก็แตกแถวออกนอกกรอบอีกเช่นเคย

 

       หยิบกล้องเดินไปเตร็ดเตร่ชมความงดงามของพุทธศิลป์ บันทึกภาพเก็บไว้ วัดไหนมีต้นไม้ร่มรื่นรกครึ้ม ก็ถือโอกาสชมนกชมไม้ไปในตัวเสร็จสรรพ แปลงกลายเป็น"ญาติธรรมชาติ" ขึ้นมาทันที

 

       ไปไหว้พระ กราบพระ สนทนาธรรม ก็อดสำรวจสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติตามวัดวาอารามต่างๆไปด้วยไม่ได้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากทำความเข้าใจกับพุทธศาสนิกชนทั้งหลายบ้าง นั่นคือ "ปัญหาสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีปล่อยนก" ที่ทำกันมานานจนกลายเป็น "ค่านิยมผิด ๆ" ไปเสียแล้ว

 

       บางท่านอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะ"เดิมพัน"กันด้วยชีวิตน้อยๆของสัตว์ซึ่งเพื่อนร่วมโลกของเราทีเดียว !!

 

 การปล่อยนกปล่อยปลาตามวัดวาต่างๆ โดยอ้างว่ามีส่วนช่วยในเรื่อง เสริมดวงชะตา ต่ออายุ แก้เคล็ด สะเดาะเคราะห์ ฯลฯ นั้น เป็น ความเชื่อผิดๆ ที่สั่งสมกันมายาวนาน ผมยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นการ"ทำบาป" ไม่ใช่"ทำบุญ"อย่างแน่นอน สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุและผลตามหลักวิทยาศาสตร์

 

       ขอเริ่มจากนกก่อนนะครับ นกจำนวนมากที่ถูกจับยัดใส่กล่องไม้เล็ก ๆในสภาพทรุดโทรมปางตาย รอผู้ใจบุญมาซื้อเพื่อปลดปล่อยนั้น รู้หรือไม่ครับว่าเขาจับมาจากไหน ???

 

       ก็ไล่จับจากธรรมชาติ โดยกลุ่มคนใจร้ายใช้ตาข่ายผืนใหญ่ดักจับมาจากท้องทุ่งต่างๆในภาคกลางของประเทศไทยเราครับ ส่วนใหญ่เป็น กลุ่มนกกระจาบ นกกระติ๊ด เป็นนกที่หากินเมล็ดข้าวเมล็ดพืชอยู่ตามทุ่งนา จับมาได้เป็นฝูงๆ ก็เอามาขังกรงใหญ่แล้วแยกขาย ส่งไปตามวัดต่างๆที่มีงานสมโพช มีนกตายระหว่างการขนส่งเป็นจำนวนมาก

 

      ทำกันเป็นขบวนการ จับเท่าไหร่ก็ไม่หมด เพราะมีผู้ซื้อเป็นจำนวนมากที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ประกอบกับการบังคับใช้กฎหมายค่อนเข้าหย่อนหยาน

 

      แก๊งมิจชฉาชีพดักนกพวกนี้ นอกจาก"ทำบาป"ด้วยการฆ่า ทรมาน เบียดเบียน ทำให้สิ้นอิสรภาพ เจ็บปวด หิวโหยแล้ว ยัง"ทำผิดกฎหมาย" ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์ป่าสงวน เนื่องจากนกป่านกทุ่งทุกชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวน ห้ามมีไว้ครอบครอง ซื้อขาย ยกเว้นเพื่อการวิจัย ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ

 

ปัญหาการดักจับนกเพื่อขายหรือกิน เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การลดจำนวนประชากรลงอย่างรวดเร็วของนกทุ่งในภาคกลางของไทย จากนกที่พบบ่อยและปริมาณมาก กลายเป็นนกที่พบได้ไม่บ่อย และมีปริมาณน้อย

 

      โดยเฉพาะนกที่ตกเป็นเป้าหมายการจับมาขายเพื่อสะเดาะเคราะห์ เช่น นกกระจาบธรรมดา (Baya Weaver), นกกระจาบทอง (Asian Golden Weaver) ,นกกกระจาบอกลาย (Streaked Weaver ), นกกระติ๊ดแดง (Red Avadavat), นกกระติ๊ดขี้หมู (Scaly-breasted Munia) ,นกกระติ๊ดตะโพกขาว (White-rumped Munia) รวมไปถึง นกจาบปีกอ่อนอกเหลือง (Yellow-breasted Bunting) นกอพยพที่เมื่อก่อนเคยพบเป็นจำนวนมาก ก็กลับหายากไปเสียแล้วในเวลานี้

 

     ดังนั้น ท่านใดปล่อยนกในลักษณะนี้จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เท่ากับมีส่วนสนับสนุนให้มีการทรมานสัตว์ ส่งเสริมการทำผิดกฎหมาย ตกเป็นเครื่องมือหากินของพวกทำผิดกฎหมาย

 

     เรื่องนี้เข้าข่าย ได้บาปติดตัวไปครับ ไม่ใช่ได้บุญอย่างที่เข้าใจกัน แถมยังเสียเงินเสียทองสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อการลักลอบจับนก

 

  วิธีทำบุญกับนก แล้วได้บุญแน่นอน ได้แก่

   1. ไม่ซื้อนกที่จับมาขายตามวัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ ...ท่านได้บุญ
   2. บอกคนใจร้ายให้ปล่อยนกอยู่ตามธรรมชาติดีกว่า... ท่านได้บุญ
   3. แจ้งจนท.ฝ่ายปราบปราม ...เมื่อเห็นคนใจร้ายจับนกมาขาย... ท่านได้บุญ
   4. ให้อาหารและน้ำแก่นกรอบๆบ้าน เช่น ผลไม้ ข้าวสุก เมล็ดพืช... ท่านได้บุญ

 

       ในส่วนการปล่อยปลานั้น มีข้อพึงระวังก็คือ ปลาสามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมต่างกัน แต่ บล็อกเกอร์plains-wandere ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจว่าปลาที่ถูกจับมาขาย ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหามากนัก เพราะปลาที่ยังหลงเหลืออยู่ให้จับมาได้บ่อยๆ หรือที่มีการเพาะเลี้ยงเพื่อขายนั้น มีเพียงไม่กี่ชนิด

 

       หลักๆ ก็คือ ปลาไหลนา ปลาหมอไทย และปลากระดี่หม้อ ซึ่งแต่ละชนิดปรับตัวได้เก่งพอที่จะอยู่ในแหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำไม่เลวร้ายจนเกินไป

 

พุทธศาสนิกชนคนใกล้วัดท่านใด เมื่อเห็นนกโดนจับมาขายเพื่อปล่อยตามวัด สงสารได้ครับ แต่อย่าใจอ่อนซื้อมาปล่อยเด็ดขาด เพราะเมื่อมีผู้ซื้อผู้ขาย ธุรกิจสามารถรันต่อไปได้ แก๊งมิจฉาชีพก็จะไปตามจับนกตัวอื่น ๆ มาขายอีกอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

 

      มิหนำซ้ำไม่มีอะไรรับรองว่า นกที่ท่านปล่อยนั้น จะมีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ เนื่องจากสภาพตอนอยู่ในกรงนั้น"ทรุดโทรม"เต็มทนแล้ว

 

      ท่านสามารถช่วยชีวิตนก ได้ด้วยการบอกกล่าวให้คนทั่วไปหรือญาติธรรม ทราบถึงโทษภัยจากการปล่อยนกเพื่อสะเดาะเคราะห์ และเมื่อพบเห็นการจับนกจากธรรมชาติมาขาย แจ้งกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส) ดำเนินการได้ที่http://www.forest.police.go.th/ned/news.php หรือที่ http://www.facebook.com/NEDPolice))

 

      อย่างที่บอกไว้ผมเป็น "คนห่างไกลวัด" แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า พุทธศาสนาของเรานั้นเป็นวิทยาศาสตร์ สอนให้เชื่อในปรากฎการณ์ต่างๆ อย่างมีเหตุผล เช่นทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นศาสนาแห่งความจริงที่พิสูจน์ได้ ทดลองได้ ไม่ได้สอนให้เชื่ออย่างงมงาย พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ในเรื่อง "หลักกาลามสูตร" หรือหลักความเชื่อ 10 ประการ นั่นเอง

 

     ผมยังเชื่ออีกว่า มีคนจำนวนมากที่ผลักดันและสนับสนุนให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "สัตว์" ได้รับสิทธิในการดำรงชีวิต "The Right To Live " อย่างเท่าเทียมเฉกเช่นมนุษย์ !!!


 

 

 

       กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก

 

 

 

                    

 

 

“กรรม” เป็นหลักคำสอนที่สำคัญในพุทธศาสนา เป็นพื้นฐาน และเป็นแม่บทในการทำความเข้าใจในหลักธรรมอื่นๆ และแนวทางของพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่าในพระไตรปิฎก มีการกล่าวถึงเรื่องกรรมไว้อย่างมากมาย ทั้งพุทธพจน์ และเรื่องเล่าเกี่ยวกับผลของกรรมในที่นี้ขอยกตัวอย่างเรื่องราวเกี่ยวกับผลของกรรม ที่มีปรากฏในพระไตรปิฎก มาเพียงบางส่วนดังนี้

 

กรรมสาบานด้วยคำเท็จ

 

หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านไม่ไกลจากกรุงสาวัตถี นางแต่งงานมีสามีแล้ว แต่นางเป็นหมัน สามีอยากมีบุตรจึงรับหญิงอื่นมาเป็นภรรยาน้อยอีกคน ต่อมาภรรยาน้อยตั้งครรภ์ นางผู้เป็นภรรยาหลวงเกรงว่าถ้าภรรยาน้อยคลอดบุตร สามีและญาติสามีจะยกความเป็นใหญ่ให้ ภรรยาหลวงจึงไปจ้างปริพาชิกาคนหนึ่งให้แกล้งทำให้ภรรยาน้อยแท้งบุตรเมื่อ ตั้งครรภ์ได้เพียง ๒ เดือน

 

ญาติๆ ของสามีเชื่อว่าเป็นฝีมือของภรรยาหลวง จึงข่มขู่ให้นางยอมรับผิด แต่นางไม่ยอมรับกล่าวคำโกหกสาบานว่าถ้าแม้นนางเป็นต้นเหตุให้ภรรยาน้อยแท้ง บุตรจริง ขอให้นางตายแล้วเกิดเป็นเปรตอดอยากหิวโหย ขอให้นางคลอดบุตรวันละ ๕ คน และต้องกินบุตรตัวเองทั้งหมดด้วยความหิว

 

ต่อมาภรรยาหลวงก็ถึงกาลกิริยา ด้วยผลกรรมที่ทำให้ภรรยาน้อยแท้งบุตร และสาบานด้วยถ้อยคำเป็นเท็จ นางจึงไปเกิดเป็นเปรตรูปร่างน่าเกลียด ไม่มีผ้านุ่ง เนื้อตัวมีน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้ม กลิ่นปากเหม็นเน่าเหมือนซากศพ มีแมลงวันไต่ตอมปาก เดินไปมาด้วยความอดอยาก นางเปรตคลอดบุตรวันละ ๑๐ คน เช้า ๕ คน เย็น ๕ คน คลอดแล้วนางก็กินบุตรด้วยความหิวโหย แต่ความหิวกระหายแม้หน่อยหนึ่งก็ไม่จางหายไปเลย

 

นางเปรตมีโอกาสได้พบพระภิกษุเถระ เล่าบุรพกรรมของตนให้พระเถระฟัง ขอร้องให้พระเถระไปบอกสามีและทำบุญอุทิศให้ พระเถระได้ฟังแล้วจึงไปบิณฑบาตที่บ้านเดิมของหญิงเปรต บอกเรื่องราวให้อดีตสามีรู้ เมื่ออดีตสามีทำบุญอุทิศให้แล้ว นางเปรตจึงพ้นจากความทุกข์

 

  • พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕, พระสุตตันตปิฎก, ขุททกนิกาย, ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต, ปัญจปุตตขาทิกเปตวัตถุ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

           เผด็จการเหมือนกันทั่วโลก

 

 

 

 

“มาดูโร” ขอรัฐสภาเวเนฯให้อำนาจสั่งการพิเศษ “ตอบโต้สหรัฐฯ”
       

 

 

เอเจนซีส์ – เมื่อวานนี้(9) นิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลาขอให้รัฐสภาเวเนซุเอลามอบอำนาจสั่งการพิเศษเพื่อสามารถใช้อำนาจทางบริหารตอบโต้สหรัฐฯที่ได้ประกาศคว่ำบาตร และประธานาธิบดีสหรัฐฯบารัค โอบามาออกแถลงในวันจันทร์(9)ว่า เวเนซุเอลาเป็นภัยความมั่นคงอเมริกา
       
       ประธานาธิบดีเวเนซเอลา นิโคลัส มาดูโร ได้ประกาศกลาวรัฐสภาเวเนซุเอลาเมื่อวานนี้(10)ร้องขออำนาจทางบริหารสั่งการพิเศษในการตอบโต้การคว่ำบาตรสหรัฐฯที่ออกมาจากประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ฝ่ายค้านเวเนซุเอลากล่าวหาว่า เป็นการรวบอำนาจ
       
       และหากรัฐสภาเวเนซุเอลาที่มีเสียงพรรครัฐบาลคุมอยู่ผ่านกฎหมาย “Enabling Law” ตามคำขอของมาดูโร จะถือว่าเป็นครั้งที่สองของผู้นำเวเนซุเอลาวัย 52 ปี เพิ่มอำนาจมากขึ้นให้กับตนเองนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งในปี 2013
       
       “ผมมายังสภาเวเนซุเอลาที่ทรงเกียรติแห่งนี้เพื่อขอให้อนุมัติกฎหมาย “Enabling Law”เพื่อตอบโต้กับความก้าวร้าวของประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก “สหรัฐฯ” ต่อประเทศอันแสนงามของพวกเรา” และเขาเสริมต่อว่า “กฎหมายใหม่นี้จะเป็นการเตรียมความพร้อม ซึ่งเวเนซุเอลาไม่ควรประมาท”
       
       ในขณะที่บรรดาศัตรูทางการเมืองของเวเนซุเอลากล่าวว่า มาดูโรใช้โอกาสที่ความสัมพันธ์ระหว่างคาราคัสและวอชิงตันตกต่ำสุดในช่วงเวลาเกือบ 2 ปีของการอยู่ในอำนาจสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเผด็จการของตนเอง หันเหความสนใจของรัฐสภา และเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาการหดตัวทางเศรษฐกิจ และปัญหาสินค้าพื้นฐานขาดตลาดอย่างต่อเนื่อง
       
       อย่างไรก็ตามมาดูโรไม่ได้ระบุว่า อำนาจสั่งการพิเศษที่ร้องขอนั้น เขาจะใช้เพื่อทำอะไรอย่างเจาะจง
       
       นอกจากนี้ประธานาบดีเวเนซุเอลายังประกาศเพิ่มเติมว่าจะมีการฝึกซ้อมรบครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ในวันเสาร์(14) เพื่อทำให้มั่นใจว่าทหารสหรัฐฯจะไม่สามารถมากล้ำกลายประเทศแหล่งบ่อน้ำมันแห่งนี้ได้
       
       ทั้งนี้รัฐสภาเวเนซุเอลาต้องการลงคะแนน 2 ครั้งเพื่ออนุมัติกฎหมาย “Enabling Law” หลังจากรัฐบาลเวเนซุเอลายื่นญัตติเข้าสภาอย่างเป็นทางการ ซึ่งในอดีตทั้งมาดูดร และฮูโก ชาเวซ อดีตประธานาธิบดีเวเนซุเอลาที่ล่วงลับต่างล้วนเคยได้รับการอนุมัติกฏหมายแบบด่วนพิเศษจากรัฐสภาเวเนซุเอลา
       
       ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์(9)ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโส 7 คน ของเวเนซุเอลา แต่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับด้านการพลังงานหรือเศรษฐกิจ ซึ่งประกาศคว่ำบาตรครั้งนี้ของสหรัฐฯ ส่งผลให้สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลาตึงเครียด ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ เพิ่งจะหันมาคืนดีกับคิวบาที่เคยเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ มาช้านาน
       
       การประกาศให้ประเทศใดเป็นภัยคุกคามแห่งชาติ ถือเป็นก้าวแรกของการริเริ่มใช้โครงการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ กระบวนการนี้เคยใช้มาแล้วกับประเทศอื่น เช่น อิหร่าน และซีเรีย
       
       ทางด้านเดลซี โรดริเกวซ รัฐมนตรีต่างประเทศของเวเนซุเอลา กล่าวว่า เวเนซุเอลาจะตอบโต้การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ โดยเร็วที่สุด และเวเนซุเอลาได้เรียกตัวแมกซิมิเลียน อาร์เวเลซ อุปทูตเวเนซุเอลาประจำกรุงวอชิงตัน กลับประเทศเพื่อหารือ
       


       

                      

 

 

 

 

 

 

สหรัฐฯประกาศเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเวเนซุเอลาในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่การคว่ำบาตรครั้งนี้มีขึ้นเพียงวันเดียวหลังผู้นำเวเนซุเอลากล่าวหาว่าสหรัฐฯอยู่เบื้องหลังการพยายามรัฐประหารรัฐบาลสังคมนิยมของเวเนซุเอลา

 

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯขยายมาตรการคว่ำบาตรเวเนซุเอลา โดยเพิ่มรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลเวเนซุเอลาที่ถูกห้ามเดินทางเข้าไปยังสหรัฐฯ รวมถึงขยายของเขตการคว่ำบาตรดังกล่าวให้รวมถึงบุคคลในครอบครัวของผู้ที่อยู่ในรายชื่อการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯด้วย 

 

สหรัฐฯเพิ่มการคว่ำบาตรเวเนซุเอลาด้วยการห้ามเจ้าหน้าที่รัฐบาลบางส่วนเดินทางเข้าสหรัฐฯตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยยืนยันว่าการคว่ำบาตรดังกล่าวเป็นไปเพื่อส่งสาส์นถึงรัฐบาลเวเนซุเอลาว่าสหรัฐฯต่อต้านการที่รัฐบาลเวเนซุเอลาละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะการปราบปรามผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาล และการทุจริตคอรัปชั่นบนความเดือดร้อนของประชาชน สหรัฐฯจึงไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทำผิด รวมถึงครอบครัวที่ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำผิดดังกล่าว เดินทางเข้ามาในประเทศ

 

นายนิโกลาส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ออกมาตอบโต้การคว่ำบาตรครั้งนี้อย่างรุนแรง โดยกล่าวหาว่านี่เป็นการจงใจละเมิดอำนาจอธิปไตยของเวเนซุเอลา นายมาดูโรยังประกาศกร้าวอีกด้วยว่าจะไม่ยอมให้สหรัฐฯสำคัญตัวผิดว่าสามารถคว่ำบาตรเวเนซุเอลาได้

 

แม้สหรัฐฯจะยืนยันว่าการคว่ำบาตรเวเนซุเอลา เป็นการตอบโต้การละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลนายมาดูโร แต่การคว่ำบาตรครั้งนี้ก็ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางการเมือง เนื่องจากก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน นายมาดูโรเพิ่งออกมากล่าวหาว่านายโจ ไบเดน รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามวางแผนรัฐประหารเขา ในขณะที่นายมาดูโรและนายไบเดนอยู่ในระหว่างการประชุมสุดยอดด้านพลังงานของผู้นำกลุ่มประเทศแคริบเบียนในกรุงวอชิงตัน ซึ่งสหรัฐฯปฏิเสธเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด โดยสวนกลับว่านายมาดูโรกุเรื่องนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในประเทศเท่านั้น

 

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับเวเนซุเอลาย่ำแย่มาต่อเนื่องหลายปีแล้ว โดยทั้งสองประเทศไม่มีเอกอัครราชทูตประจำในเมืองหลวงของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ปี 2010 นับตั้งแต่โลกเผชิญกับปรากฏการณ์ราคาน้ำมันตกต่ำ เวเนซุเอลา ซึ่งเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นรายได้หลัก ก็อยู่ในสภาวะที่ถูกกดดันจากสหรัฐฯมากขึ้น เนื่องจากรายได้ของประเทศลดลงอย่างมาก จนไม่มีพลังต้านทานการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯเหมือนที่ผ่านมา
     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ทางจำเป็น



ทางจำเป็นคืออะไร


            ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติเรื่องทางจำเป็นไว้ในมาตรา ๑๓๔๙ ว่า “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้

            ที่ดินแปลงใดมีทางออกได้   แต่เมื่อต้องข้ามสระ  บึงหรือทะเล   หรือมีที่ชัน อันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมากไซร้ ท่านว่าให้ใช้ความในวรรคต้นบังคับ
            ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่    ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้   ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้
            ผู้มีสิทธิจะผ่าน   ต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น    ค่าทดแทนนั้นนอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนน ท่านว่าจะกำหนดเป็นเงินรายปีก็ได้”


            จากบทบัญญัติดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า ทางจำเป็นเป็นการให้สิทธิเจ้าของที่ดิน รวมทั้งคนในครอบครัวหรือบริวารของเจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ   สามารถผ่านที่ดินแปลงที่ล้อมอยู่ออกไปสู่ทางสาธารณะได้   ในขณะเดียวกันทางจำเป็นก็ถือเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิของผู้เป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ล้อมอยู่ ที่จะต้องยอมให้เจ้าของที่ดินแปลงในที่ถูกล้อมผ่านที่ดินของตนออกไปสู่ทางสาธารณะ มีข้อสังเกตว่าผู้ที่จะใช้สิทธิในทางจำเป็นได้จะต้องเป็นเจ้าของที่ดิน   หากเป็นเจ้าของโรงเรือนเท่านั้นไม่ใช่เจ้าของที่ดิน แม้จะถูกที่ดินอื่นล้อมก็ไม่มีสิทธิขอใช้ทางจำเป็น และทางสาธารณะ ที่จะออกไปสู่นั้นจะเป็นถนนหรือแม่น้ำลำคลองได้ การใช้ทางจำเป็นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นี้มีข้อจำกัดไว้ว่าจะต้องเป็นการขอผ่านไปสู่ทางสาธารณะเท่านั้น   จะขอผ่านไปสู่สถานที่หรือทางอย่างอื่นนอกจากทางสาธารณะไม่ได้  ซึ่งต่างจากทางภาระจำยอมที่ทางภาระจำยอมอาจผ่านไปสู่ที่ใดก็ได้   นอกจากนั้นทางสาธารณะที่จะผ่านไปสู่จะต้องเป็นทางสาธารณะที่มีสภาพการใช้ประโยชน์อย่างทางสาธารณะได้    ถ้าเป็นคลองสาธารณะที่ตื้นเขินแล้วใช้ประโยชน์ในการสัญจรไปมา  ไม่ได้   ก็ไม่ถือว่าเป็นทางสาธารณะในความหมายเรื่องทางจำเป็น



ทางจำเป็นเกิดขึ้นได้อย่างไร


            ทางจำเป็นเกิดจากกรณีที่ที่ดินถูกล้อมจนไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะ   นอกจากนี้กฎหมายก็ยังให้รวมถึงกรณีที่แม้จะออกไปสู่ทางสาธารณะได้แต่ไม่สะดวก   เช่น    การที่จะต้องข้ามสระ บึง ทะเล หรือที่ที่มีความลาดชันอันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก   ถ้าเป็นเพียงเนินดิน  ที่ยังสามารถเข้าออกสะดวก ทั้งคนทั้งรถ ก็ไม่สามารถขอเปิดทางจำเป็นได้


            การได้สิทธิใช้ทางจำเป็น  ไม่จำต้องมีนิติกรรมสัญญาระหว่างเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมกับเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่   เพราะทางจำเป็นเป็นการได้สิทธิตามกฎหมาย   และผู้ที่จะขอใช้ทางจำเป็นไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิมานาน   ถูกล้อมวันไหน   เวลาใด   แม้จะเพิ่งเข้ามาอยู่ในที่ดินซึ่งถูกล้อมก็ขอใช้ทางจำเป็นได้



การพิจารณาทำทางจำเป็น


            การทำทางผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่   ต้องให้พอสมควรแก่ความจำเป็นของผู้ขอผ่าน และให้ที่ดินที่ล้อมอยู่เสียหายน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้   แต่การผ่านที่ดินของผู้อื่นก็ไม่จำกัดว่าจะต้องเดินผ่านเท่านั้น ถ้าจำเป็นก็อาจทำถนนให้ยานพาหนะผ่านได้    แต่ถ้าผู้ขอผ่านไม่มีรถยนต์ใช้จะขอทำถนนสำหรับรถยนต์ไม่ได้ เพราะเกินความจำเป็น   ขอใช้ทางได้แต่เป็นทางเดินเท่านั้น   นอกจากนี้   การใช้ทางจำเป็นก็ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นทางบก อาจเป็นทางน้ำก็ได้  เช่น  ที่ดินตั้งอยู่ในบริเวณที่มีทางสาธารณะเป็นทางน้ำ  การสัญจรไปมาต้องใช้เรือเป็นพาหนะ  เช่นนี้จะขอขุดคูทำทางน้ำสำหรับใช้เรือผ่านไปมาก็ได้   เว้นแต่จะเกินจำเป็นแก่ผู้ขอผ่านและเสียหายแก่เจ้าของที่ดินที่ให้ผ่านมาก   เช่น  ที่ดินของเขามีเนื้อที่น้อย   การขุดคูจะทำให้เขาเสียเนื้อที่มากเขาอาจให้ได้เฉพาะแต่เดินผ่านไปเท่านั้นจะขอขุดคูทำทางน้ำผ่านไม่ได้  ทั้งนี้  โดยพิจารณาว่าจะเกินความจำเป็นและเสียหายแก่เขามากน้อยเพียงใด  แต่ถ้าเขามีคูอยู่แล้ว  ก็ชอบที่จะ ขอพายเรือเข้าออกได้ การที่เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมจะขอใช้ทางจำเป็นเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ   ต้องพิจารณาด้านที่ใกล้ทางสาธารณะที่สุด และเหมาะสมแก่ความจำเป็นที่สุด  ไม่ได้หมายความว่าจะออกทางใดก็ได้   อย่างไรก็ดี   แม้จะออกได้ก็ต้องให้เขาได้รับความเสียหายน้อยที่สุด จะเลือกตามชอบใจไม่ได้



การได้มาและการสิ้นสุดของทางจำเป็น


            โดยที่ทางจำเป็นเป็นเรื่องการได้สิทธิโดยกฎหมาย   ดังนั้น  การได้มาซึ่งทางจำเป็นจึงไม่ต้องจดทะเบียนแต่ประการใด   แต่ผู้ขอใช้ทางจำเป็นต้องใช้ค่าทดแทนอันเนื่องมาจากความเสียหายที่เกิดจากการใช้ทางจำเป็นนั้นให้แก่เจ้าของที่ดินที่ถูกใช้ทาง   อย่างไรก็ตาม   กฎหมายก็ไม่ได้ห้ามเจ้าของที่ดินที่จะตกลงให้ จดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอม   อาจมีการตกลงกันให้จดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมก็ได้  ทางจำเป็นนั้นก็กลายเป็นทางภาระจำยอมได้   อย่างไรก็ตาม  ก็เคยปรากฏว่าได้มีคำพิพากษาของศาลให้จดทะเบียนทางจำเป็น ในกรณีนี้   การจดทะเบียนสิทธิทางจำเป็นก็จะดำเนินการโดยอนุโลมปฏิบัติเช่นเดียวกับการจดทะเบียนภาระ   จำยอม


            ด้วยเหตุที่ทางจำเป็นเกิดขึ้นโดยเป็นการได้สิทธิตามกฎหมาย    ในเมื่อมีความจำเป็น  ดังนั้น  ถ้าหมดความจำเป็นไม่ถูกล้อมเมื่อใด  เช่น   ซื้อที่ดินติดต่อกับทางสาธารณะออกเองได้ ทางจำเป็นก็จะต้องสิ้นสุดไป   ขอผ่านที่เขาอีกไม่ได้



ค่าทดแทน


            ในเรื่องการขอใช้ทางจำเป็น  กฎหมายบังคับว่า ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ โดยค่าทดแทนอาจมีได้ ๒ ประการ คือ


            ๑. ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่มีทางผ่าน   จะเสียหายมากหรือน้อยก็แล้วแต่ชนิดของทางที่ผ่าน  เช่น  จำต้องตัดต้นไม้บางต้นเพื่อให้ทำทางผ่านไปได้


            ๒. ค่าทดแทนที่เป็นค่าใช้ที่ดินของเขาเป็นทาง   การที่ต้องมีทางผ่านไปย่อมทำให้เจ้าของที่ดิน   ไม่ได้ใช้ที่ดินตรงนั้นทำประโยชน์ได้ตามประสงค์    การใช้ค่าทดแทนในกรณีนี้คล้ายกับเป็นค่าเช่า จะตกลงกันเป็นรายปีหรือเป็นเงินก้อนก็ได้


            นอกจากทางจำเป็นจะมีขึ้นได้ดังได้กล่าวข้างต้นแล้ว  ในมาตรา ๑๓๕๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยังได้บัญญัติว่า  “ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่ง  ไม่มีทางออกไปสู่ทาง สาธารณะไซร้   ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกัน   และไม่ต้องเสียค่าทดแทน”   ตัวอย่างเช่น  ที่ดินโฉนดเลขที่ ** มีชื่อนาย ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์   ด้านหนึ่งของที่ดินแปลงนี้จะอยู่ติดทางสาธารณประโยชน์   ต่อมา นาย ก. ได้จดทะเบียนแบ่งขายที่ดินแปลงนี้ออกไปอีกหลายแปลง   และได้แบ่งขายที่ดินแปลงแยกแปลงหนึ่ง  คือ โฉนดเลขที่ *** ให้แก่ นาย ว.   ที่ดินโฉนดเลขที่ *** ที่นาย ว. ซื้อมาเป็นที่ดินที่อยู่ด้านในสุดและไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ดังนี้  นาย ว. ย่อมมีสิทธิที่จะเดินผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ ** ของนาย ก. ได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน



ข้อแตกต่างระหว่างทางจำเป็นกับภาระจำยอม


            ทางจำเป็นกับทางภาระจำยอมจะมีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่พอจะแยกให้เห็นความแตกต่างได้ ดังนี้


            ๑. ทางจำเป็นจะต้องเป็นการขอผ่านไปสู่ทางสาธารณะเท่านั้น   ส่วนทางภาระจำยอม ไม่จำเป็นต้องเป็นการผ่านไปสู่ทางสาธารณะ จะผ่านไปสู่ที่ใดก็ได้


            ๒. ทางจำเป็นจะเกิดขึ้นได้จะต้องเป็นกรณีที่ที่ดินถูกล้อมอยู่จนออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้  ถือเป็นการได้สิทธิโดยกฎหมาย     แต่การขอใช้ทางภาระจำยอมไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่ดินที่ถูกล้อมจนออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้     แม้ที่ดินไม่ถูกล้อมก็สามารถขอใช้ทางภาระจำยอมได้    โดยอาจได้สิทธิภาระจำยอมโดยนิติกรรม  หรือโดยอายุความ

            ๓. ผู้ขอใช้ทางจำเป็นจะต้องเสียค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่   แต่ทางภาระจำยอมโดยนิติกรรม   กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเสียค่าทดแทนจึงแล้วแต่จะตกลงกันว่าจะมีการเสียค่าทดแทนหรือไม่


            ๔. ทางจำเป็นเป็นการได้สิทธิตามกฎหมาย   การได้สิทธิไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่   ส่วนภาระจำยอมที่ได้มาโดยนิติกรรมต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๑ มิฉะนั้นไม่บริบูรณ์



การจดทะเบียน “สิทธิทางจำเป็น”


            ทางจำเป็นเป็นการได้สิทธิโดยอำนาจของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๔๙   โดยไม่ต้องจดทะเบียน (คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๗๗๔/๒๕๔๙)   แต่ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า เคยปรากฏว่าศาลมีคำพิพากษาให้จดทะเบียนทางจำเป็น   ซึ่งกรมที่ดินได้พิจารณาตอบข้อหารือว่า ให้พนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนในประเภท “สิทธิทางจำเป็น ตามคำพิพากษา……………………….. ลงวันที่……เดือน…………พ.ศ……” โดยอนุโลมปฏิบัติตามแนวทางการจดทะเบียนประเภทภาระจำยอม   สำหรับค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิทางจำเป็น  กรณีไม่มีค่าตอบแทนจะเสียค่าจดทะเบียนประเภทไม่มีทุนทรัพย์แปลงละ ๕๐ บาท   ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑)  ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗   ไม่เสียภาษีอากร แต่ถ้ามีการจ่ายค่าตอบแทน ให้แก่กันจะเสียค่าจดทะเบียนร้อยละ ๑ จากจำนวนเงินค่าตอบแทนตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑)ฯ ข้อ ๒ (๗) (ฏ)    และเสียค่าอากรแสตมป์ใบรับร้อยละ ๐.๕ (ร้อยละ ๕๐ สตางค์)  จากจำนวนเงินค่าตอบแทนที่จ่ายให้แก่กัน


                                         สรุปโดย กลุ่มพิจารณาปัญหาข้อหารือและร้องเรียน
                              ส่วนมาตรฐานการจดทะเบียนฯ   สำนักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน
                                                          กรกฎาคม   ๒๕๕๐

 

 

 

               ภาระจำยอมในที่ดิน

 

 

 

ภาระจำยอม เป็นทรัพยสิทธิ ประเภทหนึ่ง ที่ตัดทอนกรรมสิทธิ์ ในอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่น อันทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้น ต้องยอมรับภาระบางอย่างซึ่งกระทบกระเทือนอำนาจกรรมสิทธิ์ เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ในทางกฎหมายแล้ว อสังหาริมทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากภาระจำยอมเรียกว่า " สามยทรัพย์ " ส่วนอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในบังคับภาระจำยอมเรียกว่า " ภารยทรัพย์ " ตัวอย่างภาระจำยอมเช่น ยอมให้มีทางเดิน หรือ ทางน้ำ ยอมให้ชายคา หรือ หน้าต่างบุคคลอื่น ล้ำเข้ามาในที่ดินของตน ยอมที่จะไม่ปลูกสร้างอาคาร ปิดบังแสงสว่าง ทางลม แก่ที่ดินข้างเคียง

 

สิทธิ และ หน้าที่ของ เจ้าของภารยทรัพย์มีดังนี้คือ

1. ต้องไม่ประกอบการใด ๆ เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมนั้นลดลงไป

2. เจ้าของสามยทรัพย์ ไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงใน ภารยทรัพย์ หรือ ในสามยทรัพย์ อันเป็นการเพิ่มภาระแก่ ภารยทรัพย์

3. เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อรักษาและ ใช้ภาระจำยอม และ ต้องให้ภารยทรัพย์เสียหายน้อยที่สุด

4. ถ้าความต้องการของเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงนั้นย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าของสามยทรัพย์ ที่จะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้น แก่ภารยทรัพย์

5. เจ้าของภารยทรัพย์อาจจะขอย้ายไปส่วนอื่น ก็ได้ แต่การย้ายนั้น ต้องไม่ ทำให้ความสะดวกแห่งสามยทรัพย์ลดน้อยลงไป

6. ถ้ามีการแบ่งภารยทรัพย์ ภาระจำยอมก็คงมีอยู่ทุกส่วน ที่แยกออกไป แต่ถ้าส่วนใดไม่ใช้ หรือ ใช้ไม่ได้ เจ้าของส่วนอาจเรียกหรือ ขอให้พ้นจากภาระจำยอมได้

7. เมื่อสามยทรัพย์ได้จำหน่ายออกไปภาระจำยอมย่อมติดไปด้วย เว้นแต่จะมีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

 

ภาระจำยอมเป็นบทบัญญัติที่ไม่มีการจำกัดระยะเวลา เหมือนทรัพยสิทธิประเภทอื่น ดังนั้นการทำนิติกรรมที่ ก่อให้เกิดภาระจำยอมต้องกำหนดเงื่อนไงไว้ให้ชัดเจน เช่น ความกว้างความยาว การให้ยานพาหนะผ่านได้หรือไม่ หรือ การกำหนดว่าให้หมดภาระจำยอม เมื่อมีการโอน สามยทรัพย์ให้บุคคลอื่น

ภาระจำยอม อาจเกิดโดยนิติกรรม และ โอยอายุความภาระจำยอมโดยนิติกรรม จะทำได้โดยการตกลงกัน ระหว่างเจ้าของที่ดินแปลงที่จะจดเป็นภาระจำยอม และ แปลงที่จะได้ประโยชน์จากภาระจำยอม โดยต้องจดทะเบียน ต่อเจ้าหน้าที่ ส่วนภาระจำยอมที่เกิดจากอายุความ เกิดโดยที่ดินแปลง หนึ่งได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินอีกแปลงหนึ่ง โดยสงบ เปิดเผย และ มีเจตนาเป็นเจ้าของสิทธินั้น ติดต่อกันเป็นระยะเวลาเกิน 10 ปี จนได้ภาระจำยอมโดยอายุความ

 

การสิ้นไปแห่งภาระจำยอม

1. ถ้า ภารยทรัพย์ หรือ สามยทรัพย์ สลายไปทั้งหมดเท่ากับภาระจำยอมจะสิ้นไปโดยอัตโนมัติ

2. เมื่อภารยทรัพย์ หรือ สามยทรัพย์ ตกเป็นเจ้าของคนเดียวกัน เจ้าของสามารถขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมได้

3. ภาระจำยอมไม่ได้ใช้ 10 ปี ติดต่อกัน ภาระจำยอม ย่อมหมดสิ้นไป

4. ภาระจำยอมหมด ประโยชน์ แก่สามยทรัพย์

5. เมื่อภาระจำยอมนั้น ยังประโยชน์ ให้แก่ สามยทรัพย์นั้น น้อยมาก เจ้าของภารยทรัพย์ขอให้พ้นจากภาระจำยอมทั้งหมด หรือ แต่บางส่วนก็ได้ แต่ต้องใช้ค่าทดแทน

 

 

 

 

 

 

           เคลียร์แล้วปัญหาโลกแตก 'ไก่'เกิดก่อน'ไข่' 

 

 

                            

 


"อ.เจษฎา" จากจุฬาฯ คลี่คลายข้อกังขาปัญหาโลกแตก “ไก่ กับ ไข่ อะไรเกิดก่อนกัน” ยืนยันชัด "ไก่" เกิดก่อนแน่นอน เหตุเปลือกไข่สร้างโดยโปรตีนจากไก่เท่านั้น
 

เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการเผยแพร่ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษชุดหนึ่งในโลกออนไลน์ เพื่อไขคำตอบให้กับปัญหาโลกแตก “ไก่ หรือ ไข่ อะไรเกิดก่อนกัน?” ซึ่งระบุว่า “Scientists finally concluded that the chicken came first , not the egg, because the protein which makes egg shells is only produced by hens.” แปลเป็นภาษาไทยก็คือ “นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปปัญหาโลกแตกดังกล่าวแล้วว่า โปรตีนที่สร้างเปลือกไข่นั้น มีไก่เท่านั้นที่ผลิตออกมาได้” สรุปก็คือ ต้องมี “ไก่” ถึงจะสามารถมี “ไข่”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขยายความกับ “เดลินิวส์ออนไลน์” ว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ซึ่ง “ไก่” สามารถสร้างโปรตีนชื่อว่า “ovocledidin-17” (OC-17) เพื่อผลิตเป็นเปลือกไข่แข็งๆ ห่อหุ้มไข่แดงและไข่ขาวไว้ โดยโปรตีนดังกล่าวทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น และตกผลึกของแคลเซียมคาร์บอเนตในทุกๆ 24 ชม. จะได้ 6 กรัม อีกทั้งยังพบว่าโปรตีนดังกล่าวยังถูกผลิตโดยเฉพาะในไก่เพียงเท่านั้น 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ มีข้อมูลจากทีมวิจัยของมหาวิทยาลัย Sheffield และ Warwick ค้นพบว่า โปรตีนที่ชื่อ ovocledidin-17 หรือตัวย่อ OC-17 เป็นสิ่งจำเป็นในการเริ่มต้นและเร่งขบวนการตกผลึกของเปลือกไข่ให้แข็ง เพื่อใช้เป็นบ้านของลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่จะค่อยๆ พัฒนาการจากไข่แดงและไข่ขาว อีกทั้งโปรตีน OC-17 ก็พบเฉพาะในรังไข่ของไก่เท่านั้น ซึ่งการค้นพบนี้ จึงสรุปว่าไก่เกิดก่อน เพราะต้องมีแม่ไก่ที่มีสาร OC-17 ในรังไข่ก่อน แม่ไก่ถึงจะออกไข่ได้ 

 

ขอบคุณที่มาจาก เดลินิวส์

         

 

 

 

 

 

 

 

ขยายผลสอบยุทธนามือปาระเบิดศาลอาญา รัชดา เป็นกลุ่มฮาร์ดคอร์ มีแนวคิดทางการเมืองสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง -
""""""""""""

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากถูกควบคุมตัวทหารและตำรวจได้ร่วมกันซักถามนายยุทธนา เย็นภิญโญ ซึ่งยอมรับว่าเป็นผู้ปาระเบิดเข้าไปในบริเวณศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ทราบว่า นายยุทธนา เป็นกลุ่มฮาร์ดคอร์ มีแนวคิดทางการเมืองสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง โดยในห้วงปี 2557 ได้รู้จักกับสมาชิกกลุ่มคนเสื้อแดงหัวรุนแรงผ่านเว็บไซด์เฟสบุ๊ค มีการแลกเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ระหว่างกลุ่มก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ไลน์ในการติดต่อระหว่างกัน ก่อนจะพัฒนาเป็นการร่วมกลุ่มสนทนากลุ่มใหญ่ในไลน์ เช่น กลุ่มสัจจะ กลุ่มพิราบข่าว และกลุ่ม people.เรารักred โดยใช้ชื่อจัดตั้งว่า “องค์ดำ”
""""""""""""""""""""""""""""""""
นายยุทธนา ให้ปากคำในการซักถามอ้างว่า รู้จักกับนายมหาหิน ขุนทอง ซึ่งใช้ชื่อว่า สิ ซึ่งเป็นผู้ชักชวนให้เข้ากลุ่มไลน์ ที่มีสมาชิกเป็นคนกลุ่มเสื้อแดง จากนั้นได้รู้จักกับ น.ส.ณัฏฐพัชร์ อ่อนมิ่ง ที่คบหากับนายมหาหิน ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2558 นายมหาหิน และ น.ส.ณัฏฐพัชร์ ได้เดินทางมาที่กรุงเทพมหานครและเดือดร้อนไม่มีที่พัก จึงมาขออาศัยด้วยโดยบอกว่าจะพักเพียง 2-3 วัน
""""""""""""""""""""
ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2558 น.ส.ณัฏฐพัชร์ ได้เรียกนายบิ๊ก (ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง) ให้มาพักด้วย แต่นายยุทธนา ไม่อนุญาต เนื่องจากน.ส.ธัชพรรณ ปกครอง แฟนสาวไม่พอใจที่คนกลุ่มนี้มารบกวน ซึ่งตัวนายยุทธนา เอง ก็ไม่พอใจที่นายมหาหิน และ น.ส.ณัฏฐพัชร์ พักอาศัยอยู่ด้วยเป็นเวลานานจึงเริ่มมีปัญหาระหว่างกัน
""""""""""""""""""""""
ในการซักถามนายยุทธนา อ้างด้วยว่า เย็นวันเกิดเหตุ น.ส.ณัฏฐพัชร์ ไม่พอใจที่นายมหาหินและนายบิ๊ก รับค่าจ้างแล้วไม่ลงมือก่อเหตุสร้างสถานการณ์โดยเร็ว เพราะต้องการกลับภูมิลำเนาแล้ว ระหว่างนั้นตนรู้สึกรำคาญและด้วยความคึกคะนองจึงอาสาก่อเหตุให้ โดยขอค่าจ้าง 10,000 บาท เพื่อนำเงินไปใช้สำหรับการคลอดบุตรของแฟนสาว ซึ่ง น.ส.ณัฏฐพัชร์ รับปากว่าจะจ่ายให้หลังก่อเหตุเรียบร้อย
นายยุทธนา อ้างด้วยว่า หลังรับอาสานายบิ๊ก ได้ส่งสิ่งของทรงกลม สีน้ำตาล ซึ่งอ้างว่าเป็นระเบิดที่ผลิตเองมีอนุภาพคล้ายระเบิดปิงปอง และสอนวิธีถอดสลักก่อนขว้างให้ เพราะนายยุทธนาจะทำหน้าที่ขว้าง โดยมีนายมหาหิน เป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ให้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะนายมหาหินอ้างว่ามีปัญหาสุขภาพที่มือไม่สามารถปาของหนักได้ กระทั่งเวลา 19.00 น. จึงขี่รถจักรยานยนต์ยไปยามาฮ่า รุ่นมีโอ ทะเบียน วงต 967 กรุงเทพมหานคร ออกจากที่พักไปยังศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก โดยมีนายยุทธนา เป็นผู้ขี่ และนายมหาหิน ซ้อนท้าย เมื่อมาถึงบริเวณห่างจากศาลอาญาประมาณ 200 เมตรจึงสลับเปลี่ยนกันโดยนายยุทธนาไปเป็นคนซ้อนและให้นายมหาหิน เป็นผู้ขี่รถจักรยานยนต์แทน และหลังจากขี่รถผ่านหน้าศาลอาญาถนนรัชดาภิเษกนายยุทธนาจึงขว้างระเบิดเข้าไปภายในพื้นที่ของศาลอาญาฯ และพยายามหลบหนีแต่ไม่รอดถูกควบคุมตัวเอาไว้ได้
"""""""""""""""""""""""""""""
นายยุทธนา ยังให้ปากคำต่อทีมซักถามด้วยว่า ในการสนทนาในกลุ่มไลน์ พบว่ากลุ่มคนเสื้อแดงวางแผนจะก่อเหตุสร้างสถานการณ์ครั้งใหญ่ในวันที่ 15 มีนาคม 2558 โดยวางแผนวางระเบิดในกรุงเทพมหานครอย่างน้อย 100 จุด ซึ่งนายยุทธนาอ้างว่าตัวเขาไม่เห็นด้วยและคิดว่าเป็นไปไม่ได้จึงแยกตัวออกจากห้องสนทนาที่มีแนวคิดเช่นนี้
- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/638127#sthash.2eC2sRkw.dpuf

 

 


ภาพจากเฟซ นายยุทธนา เย็นภิญโย 
https://www.facebook.com/profile.php?id=100006811507227
...................
ข่าวระเบิดเมื่อคืน เริ่มขึ้นช่วงหัวค่ำ ตอนแรกๆ ดูสับสนมาก
บางข่าวว่าแค่ขว้างระเบิด บางข่าวว่ามียิงกัน..
ข่าวสับสนในช่วงแรก สุดท้ายกลายเป็นว่า พบว่ามีจยย.ล้ม และทหารจับคนได้ 2 คน
ชื่อ ยุทธนา เย็นภิญโญ และ มหาหิน ขุนทอง...
....


ในเวลาต่อมาหลักจากพวกทหารออกมาตรวจแล้ว นั่นรวมทั้ง พล.ต.อภิรัชย์ ที่ออกมาด้วย
กลายเป็นว่า ทหารไล่ยิงยุทธนา บาดเจ็บ โดนไปสี่นัด เข้ารพ.พระมงกุฎของทหาร
ส่วนนายมหาหิน ทหารคุมไปสอบในเซฟเฮาร์ซึ่งคาดว่าคือ ราบ11..

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

โอบามากับ “ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน” ประเด็นร้อนท้าทาย “ดุลยภาพตะวันออกกลาง”

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 

 

 

  

        Weekend Focus:โอบามากับ “ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน”  ประเด็นร้อนท้าทาย “ดุลยภาพตะวันออกกลาง” 

 

 

 

การออกโรงโจมตีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามาแบบออกนอกหน้า และเผ็ดร้อนของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โดยเฉพาะในกรณีโครงการพัฒนาด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน ถือเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนด้านต่างประเทศที่มีผู้คนติดตามมากที่สุดประเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
       
       นายกรัฐมนตรีเบนจามิน “บีบี”เนทันยาฮู ของอิสราเอล ในวัย 65 ปีได้ใช้โอกาสที่ขึ้นกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมสภาคองเกรสส์ของสหรัฐฯ ในวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ประณามความพยายามของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ในการจับมือมหาอำนาจอื่นๆ ผลักดันให้เกิดข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมในเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์กับอิหร่าน โดยเนทันยาฮู ชี้ว่า รัฐบาลวอชิงตันในเวลานี้กำลังเปิดช่องทางให้อิหร่านไ ด้กลายเป็นผู้ครอบครองอาวุธมหาประลัยอย่างระเบิดนิวเคลียร์ได้อย่างชอบธรรม
       
       เนทันยาฮูซึ่งครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอิสราเอลสมัยแรกระหว่างปี 1996-1999 ก่อนได้กลับเข้ามาครองอำนาจอีกครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2009 กล่าวโจมตีโอบามาในการเป็นตัวตั้งตัวตีผลักดันข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน โดยระบุว่าผู้นำเมืองลุงแซมทำผิดพลาดมหันต์ที่ยอมปล่อยให้อิหร่านได้ก้าวเดินบน “เส้นทางสายนิวเคลียร์” ต่อไป ทั้งๆที่โอบามาน่าจะทราบดีอยู่แก่ใจว่า ภูมิภาคตะวันออกกลางที่คุกรุ่นด้วยไฟแห่งความขัดแย้งมาโดยตลอด จะยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเพียงใดหากปล่อยให้อิหร่านแผ่ขยายอิทธิพลของตนได้ตามชอบใจ แถมยังมีสถานะสมาชิกของสโมสรนิวเคลียร์ (nuclear club) พ่วงท้าย
       
       หลังการปราศรัยของนายกรัฐมนตรีอิสราเอล บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งปฏิเสธไม่ยอมพบปะหารือกับเนทันยาฮูระหว่างที่นายกฯยิวสายเหยี่ยวผู้นี้เดินทางเยือนอเมริกาคราวนี้ ออกมาตอบโต้กลับว่า คำพูดของเนทันยาฮู “ไม่มีอะไรใหม่” และ “ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์” ใดๆในการป้องกันไม่ให้อิหร่านได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
       
       สำหรับชายที่ชื่อเบนจามิน เนทันยาฮูแล้ว ความก้าวหน้าในโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านไม่เพียงแต่จะคุกคามความอยู่รอดของอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นประเด็นร้อนที่สั่นคลอนอนาคตทางการเมืองของเขา ที่ต้องเผชิญบททดสอบสำคัญในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 17 มีนาคมนี้ด้วยเช่นกัน
       
       ด้านมาร์ซีห์ อัฟกัม โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน ออกโรงตราหน้าเนทันยาฮูว่าเป็น “นักโกหกลวงโลก” ที่คอยสร้างข้อมูลเท็จมาป้ายสีเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์เชิงสันติของรัฐบาลเตหะราน ขณะที่เฟเดริกา โมเกรินี ประธานนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) ชี้ว่า นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกำลังทำในสิ่งที่เรียกว่า “โหมกระพือความหวาดกลัว” โดยไม่มีความจำเป็น
       
       ในอีกด้านหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่าทีของรัฐบาลโอบามาในการ “โอนอ่อน” ต่ออิหร่านในเรื่องนิวเคลียร์ กำลังสร้างความกังวลใจไม่น้อยให้กับบรรดารัฐอาหรับอย่างซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงอียิปต์ ที่ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของอเมริกาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดใน “โลกอาหรับ” ด้วยเช่นกัน
       
       แหล่งข่าวทางการทูตในภูมิภาคตะวันออกกลางเผยว่า ในยามนี้กระแสความไม่พอใจสหรัฐฯ กำลังเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะในซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงอียิปต์ เพราะชาติพันธมิตรอาหรับเหล่านี้ต่างกำลังรู้สึกว่า ตนเองถูก “หักหลัง” จากวอชิงตันที่หันไปผูกไมตรีกับอิหร่านที่ถือเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” ของรัฐอาหรับสายสุหนี่มาช้านาน
       
       มิชาล อัล-เกอร์กาวี ผู้อำนวยการใหญ่สถาบัน “เดลมา” ในอาบูดาบี ให้ความเห็นไว้อย่างเจ็บแสบว่า รัฐบาลบารัค โอบามากำลังผลักไส “เพื่อนรักที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในโลกอาหรับ” ให้ตกลงไปใต้ท้องรถบัส และพร้อมแล่นทับจนสิ้นใจ แต่ในขณะเดียวกันโอบามากลับอ้าแขนเชื้อเชิญ “ศัตรูคู่อาฆาต” อย่างอิหร่านขึ้นมานั่งจิบไวน์อยู่บนรถบัสหน้าตาเฉย
       
       ด้านอาลี วาเอซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอิหร่านแห่งสถาบัน “International Crisis Group” ออกมาระบุว่า จุดยืนที่ล่อแหลมของรัฐบาลโอบามาต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน นอกจากจะทำให้อิหร่านได้มีโอกาสขยับเข้าใกล้ความเป็น “รัฐนิวเคลียร์” มากขึ้นทุกขณะแล้ว ท่าทีดังกล่าวของรัฐบาลวอชิงตันยังอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ “ดุลอำนาจ” ในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างสำคัญด้วยการผลักดันให้รัฐชีอะห์อย่างอิหร่านรวมถึงซีเรีย ได้ผงาดเหนือฝ่ายสุหนี่ที่มีซาอุดีอาระเบียเป็นแกนนำอีกด้วย
       
       ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องที่น่าประหลาดในหรือเกินความคาดหมายแต่อย่างใด หากนับจากนี้เป็นต้นไป เราจะมีโอกาสได้เห็นผู้นำของรัฐอื่นๆในตะวันออกกลาง ออกมากล่าวโจมตีสหรัฐฯในเรื่องโครงการนิวเคลียร์อิหร่านซ้ำรอย นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลอีก และคงต้องติดตามต่อไปว่าประเด็นร้อนฉ่าเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านนี้จะจบลงเมื่อใดและในลักษณะใด รวมถึงจะส่งผลกระทบต่อ “ดุลยภาพของตะวันออกกลาง” ที่แสนเปราะบางมากน้อยเพียงใด

 

 

       Weekend Focus:โอบามากับ “ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน”  ประเด็นร้อนท้าทาย “ดุลยภาพตะวันออกกลาง” 

 

      Weekend Focus:โอบามากับ “ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน”  ประเด็นร้อนท้าทาย “ดุลยภาพตะวันออกกลาง” 

 

 

      Weekend Focus:โอบามากับ “ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน”  ประเด็นร้อนท้าทาย “ดุลยภาพตะวันออกกลาง” 

 

 

      Weekend Focus:โอบามากับ “ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน”  ประเด็นร้อนท้าทาย “ดุลยภาพตะวันออกกลาง” 

 

 

 

 

 

 

 

 

 น่าสนใจจากเฟสบุ๊คครับ

 

 

                    

 

 

ภาวะเศรษฐกิจซบเซาในตอนนี้เป็นเพราะเครื่องยนต์หลักของประเทศไม่สามารถทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ ภาคเกษตรราคาสินค้าเกษตรอย่างข้าว ยางพาราราคาตกต่ำ กำลังซื้อและความมั่งคั่งของชาวเกษตรก็หดหาย คนในภาคเกษตรหลายล้านครัวเรือนที่รายได้ลด กำลังซื้อนับแสนล้านก็หดหายไปด้วยการดึงเงินหนีไปจากมือคนจนก็คือการทำลายกำลังซื้อ และทำลายความร่ำรวยของผู้ค้าและธุรกิจต่างๆไปด้วย

 

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ในความเป็นจริงก็คือ คนจนคือคนที่ขาดปัจจัยต่างๆในการดำรงชีวิต มีความต้องการสินค้าต่างๆที่จำเป็นมากกว่าคนรวยที่มีทุกอย่างพร้อม เมื่อได้เงินหรือมีเงินจึงมีความต้องการใช้มากกว่า เขาคือลูกค้ากลุ่มใหญ่ของคนทำธุรกิจค้าขายเพราะความเข้าใจในบริบทนี้นโยบายต่างๆของบางรัฐบาล จึงเน้นการให้เงินกับฐานราก แล้วเกิดการจับจ่ายหมุนเวียน กระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีด้วย ทำให้รากแก้ว ฐานรากของสังคมแข็งแรงไปด้วยเงินยิ่งหมุนรัฐยิ่งเก็บภาษีได้หลายรอบ และผ่องถ่ายหมุนเวียนไปหาพ่อค้านักธุรกิจให้ร่ำรวยมีกำไรไปด้วย เพราะคนจนเขาซื้อเพราะเขายังไม่พอสำหรับปัจจัยดำรงชีวิต

 

การมองคนละมุมทำให้พวกอนุรักษ์และอำนาจนิยม มองการช่วยฐานรากเป็นปีศาจประชานิยมคอยหลอกหลอน ทั้งที่แท้จริงแล้วคนรวยพ่อค้านักธุรกิจก็ได้ประโยชน์ตามกลไกและหน้าที่ในสังคมพอตกหล่มการหลอนตัวเองว่าการช่วยชาวนาอย่างจำนำข้าว การอุดหนุนราคายาง เป็นความเลวร้ายและเสียหายต่อชาติ แต่ประชาชนได้ประโยชน์ชาติที่เสียหายจึงไม่รู้หมายถึงใคร เพราะชาติคือประชาชนการยกเลิกเงินอุดหนุนพวกนี้จึงเป็นการดึงกำลังซื้อมหาศาลออกจากระบบเศรษฐกิจจึงได้เหงาเป็นหมาป่วย จะกลับมาทก็เป็นการกลืนน้ำลายตัวเองที่ถ่มรดเขาไว้ สุดท้ายหันไปหันมา ก็มาทำตลาดข้างทำเนียบเอาไว้ดูเล่น แบบไปกะบ่ฮอด จอดก็พอกะเทิน ขายผักขายปลาเค็มอยู่อย่างนี้........

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

             กุลี-จับกัง

 

 

รู้ไปโม้ด
โดย...น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com





 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

น้าชาติครับ กุลีจีนกับจับกังมีความหมายเหมือนกันไหม เข้ามาเมืองไทยอย่างไร ขอบคุณครับ ป.ล.เป็นแฟนน้าชาตินานกว่าทศวรรษแล้วนะครับ

ปักษีทอง



ตอบ ปักษีทอง


เริ่มจากความหมาย ของศัพท์ จับกัง และ กุลี ก่อนนะ

ศ.ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต อรรถาธิบายไว้ว่า คำว่า จับกัง และ กุลี เป็นคำเรียกกรรมกรแบกหามชาวจีน หรือคนไทยที่ทำงานกับคนจีน กรรมกรแบกหามงานหนักอย่างนี้ บางคนเรียกว่า กุลี บางคนเรียกว่า จับกัง

คำว่า จับกัง เป็นคำจากภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า งาน 10 อย่าง จับกัง หมายถึงผู้ที่สามารถทำงานได้หลายอย่าง แต่มักเน้นงานที่ต้องใช้กำลังกาย หรืองานช่าง ปัจจุบันมักเข้าใจว่าจับกังเป็นกรรมกรแบกหามเท่านั้น

ส่วนคำว่า กุลี เป็นคำมาจากคำภาษาอังกฤษว่า coolie เป็นคำที่อังกฤษรับมาจากคำว่า guli ในภาษาฮินดีอีกทอดหนึ่ง

guli เป็นคำที่สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำ goli ซึ่งเป็นชื่อ ชนเผ่าหนึ่งหรือวรรณะหนึ่งในแคว้นคุชราต เป็นพวกที่รับจ้างทำงานขนถ่ายสิ่งสกปรกที่น่ารังเกียจ

สำหรับประวัติของคนจีนที่เข้ามาขายแรงงานเป็นกุลีในประเทศ ไทย (สยาม) ได้ข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ห้องจัดแสดง 2 กุลีจีน ว่า

ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากสังคมศักดินาสู่ระบบทุนนิยม ชาวสยามยังเป็นแรงงานบังคับในระบบไพร่ ไม่มีอิสระที่จะไปรับจ้าง จึงใช้แรงงานจีน หรือกุลีจีน ซึ่งเป็นแรงงานต่างชาติ แรงงานจีนถือเป็นแรงงานรับจ้างรุ่นแรก

ในการทำงานบุกเบิกสังคมไทย โดยต้องผูกปี้ครั่งที่ข้อมือเป็นสัญลักษณ์การเสียภาษีให้รัฐไทยราวปีละ 2 บาท แลกกับอิสระในการเดินทางและทำงานรับจ้าง

แรงงานจีนขยันขันแข็ง ทำงานหลากหลายประเภท เช่น เป็น กุลีลากรถ ขุดคลอง แรงงานอู่ต่อเรือ กะลาสีเรือ ก่อสร้าง สร้างถนน เป็นคนงานในโรงงานน้ำตาล โรงสี โรงเลื่อย คนงานเหมืองแร่ แต่ได้ค่าตอบแทนน้อยเมื่อเทียบกับงานที่หนักมาก ขาดหลักประกันในการทำงาน และจำนวนมากต้องกลายเป็นคนติดอบายมุข สูบฝิ่น เพราะรู้สึกสบายหายปวดเมื่อย

 

 


 





 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 นอกจากนี้ยังมีการรวมกลุ่มจัดตั้งองค์กรที่เรียกว่า อั้งยี่ ขึ้นมา และอาศัยองค์กรประเภทนี้ดูแลพิทักษ์ผลประโยชน์ แต่อั้งยี่ก็กลายเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นสมาคมลับ เมื่อมีการออกกฎหมายอั้งยี่ขึ้นมาในปี พ.ศ.2440

ยังมีข้อมูลจากบทความเรื่อง กำเนิดและวิถีชีวิตของชุมชนแรงงานรับจ้างในประเทศไทย โดย รศ.ดร.พรรณี บัวเล็ก แห่งมหาวิทยาลัยเกริก ระบุว่า กุลีที่อพยพมาในประเทศไทยมี 2 ลักษณะ คือ อพยพอย่างอิสระ และอพยพโดยผ่านระบบตั๋วสัญญา

การค้ากุลีในประเทศจีนดำเนินโดยบริษัทของชาติมหาอำนาจที่ร่วมกับกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น รัฐบาลชิงไม่สามารถยับยั้งได้ และในที่สุดจำเป็นต้องยอมรับการทำสนธิสัญญาปักกิ่งใน พ.ศ.2403

ผลของสัญญาทำให้รัฐบาลต้องอนุญาตให้ชาวจีนเดินทาง ออกนอกประเทศได้ และเปลี่ยนแปลงนโยบายจากการห้าม ชาวจีนอพยพออกนอกประเทศเป็นนโยบายคุ้มครองแรงงานคนจีนที่ไปทำงานต่างประเทศไม่ให้ถูกขูดรีดจากพ่อค้ากุลีมากเกินไป

การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลชิงนี้ ทำให้ชาวจีนที่เคยลักลอบเดินทางออกนอกประเทศ เดินทางออกนอกประเทศได้สะดวกมากขึ้น ไม่ผิดกฎหมาย

นอกจากอยู่ในภาวะที่ถูกบีบบังคับให้ยอมรับการค้ากุลีของชาติมหาอำนาจที่เกิดขึ้นแล้ว ยังเห็นข้อดีจากชาวจีนโพ้นทะเลว่าเป็นพวกที่มีศักยภาพสามารถช่วยเหลือประเทศในด้านการเงินได้อย่างดี

การเปลี่ยนแปลงทันทีและนโยบายของรัฐบาลชิงต่อชาวจีนโพ้นทะเลทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกประเทศจีนมีมากขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         

 
 
 
4 มี.ค. 58 ที่วัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ได้แถลงผ่านเครื่องขยายเสียง เรียกร้องพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำบุญที่วัดอ้อน้อย เนื่องในวันมาฆบูชา ร่วมระดมช่วยกระจายความผิดของเครือข่ายวัดพระธรรมกายที่ละเมิดพระธรรมวินัย โดยการระดมเขียนไปรษณียบัตรต่อต้านพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และมหาเถรสมาคม ส่งไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี

 

พร้อมกล่าวถึงเรื่องที่ฝ่ายวัดพระธรรมกายเคลื่อนไหวให้ยกเลิก คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีนายไพบุลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ในวันที่ 12 มี.ค. ว่าตนจะตามไปทุกที่เพื่อให้ความรู้ชี้แนะ และจะตามจี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ถ้ายังบังคับให้′พระธัมมชโย′ สึกจากความเป็นพระไม่ได้ ′พระพุทธะอิสระ′ จะลาสิกขาทันที เพราะละอายตัวเองที่ไม่สามารถช่วยรักษาพระธรรมวินัยได้ ชีวิตนี้ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อรักษาพระธรรมวินัย และปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ไม่ฝักใฝ่การเมือง ไม่เป็นหมาเชื่อง ๆ ให้ใครจูงจมูก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ชูวิทย์ แขวะ พระสุเทพ สำนึกผิด แนะ พระพุทธอิสระเอาเยี่ยงอย่าง
 

 
              
 
 
 
 
  ชูวิทย์ โพสต์แขวะ พระสุเทพ พระสุดเทพสำนึกได้ รู้ว่าอดีตตัวเองทำอะไรผิด แนะพระพุทธะอิสระ เอาเยี่ยงอย่าง

                จากกรณีที่ พระสุเทพ ปภากโร (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี) ได้กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมือง ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากพวกมีกิเลสมาก หรือ พวกอยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ และพวกขี้ขลาด ที่อยู่ด้วยความกลัว วิตกจริตว่าเพื่อนจะมาทำร้ายจึงชิงทำร้ายเพื่อนก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น [อ่าน พระสุเทพ ชี้ นายกฯ เป็น ส.ส. หรือคนนอกก็ได้ ขอเพียงได้คนดีจริง คลิก

                และล่าสุดวันนี้ (4 มีนาคม 2558) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์รูปภาพ และข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ I'm No.5 เพื่อแสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า ในที่สุดธรรมะก็ช่วยขัดเกลาพระสุเทพให้สำนึกได้เสียที รู้ว่าในอดีตตัวเองก่อกรรมทำผิดอะไรไว้ อีกทั้งยังระบุว่า น่าจะให้พระพุทธะอิสระเอาเป็นเยี่ยงอย่างบ้าง

ชูวิทย์ แขวะ พระสุเทพ สำนึกผิด แนะ พระพุทธอิสระเอาเยี่ยงอย่าง
 
                โดยข้อความทั้งหมดมีดังนี้

                "ผมหยุดแล้ว พี่อิสล่ะ หยุดหรือยัง?”

                สุเทพพูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่า "ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากพวกมีกิเลสมาก หรือ พวกอยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ และพวกขี้ขลาด ที่อยู่ด้วยความกลัว วิตกจริตว่าเพื่อนจะมาทำร้ายจึงชิงทำร้ายเพื่อนก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ"

                โอ้โห ในที่สุดธรรมะก็ช่วยขัดเกลาพระสุเทพให้สำนึกได้เสียที รู้ว่าในอดีตตัวเองก่อกรรมทำผิดอะไรไว้ เพราะที่พระสุเทพพูด

                "พวกมีกิเลสมาก" หมายถึง พวกที่ไม่ยอมแพ้ คิดแต่จะเอาชนะ จิตพะวักพะวง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
                "อยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้" หมายถึง อยากเป็นนายกฯ อยากเป็นรัฐบาล แต่ไม่อยากเลือกตั้ง
                "พวกขี้ขลาด" หมายถึง พวกไม่ยอมสู้ต่อหน้า มักชอบวิธีลอบกัด หน้าอย่างหลังอย่าง
                “อยู่ด้วยความกลัว วิตกจริตว่าเพื่อนจะมาทำร้าย” อันนี้ยิ่งกว่าตรง เพราะพระสุเทพหมายถึงตัวเอง ที่ไม่เล่นตามกติกา ทำร้ายเพื่อน ท้ายสุดจึงต้องหนีหน้าโกนหัวเข้าวัด

                สาธุ... อนุโมทนา นับเป็นบุญที่คนทำผิดพลาดแล้วรู้จักสำนึก 

                น่าจะให้พุทธะอิสระนำเอาไปเป็นเยี่ยงอย่าง วันใดวันหนึ่งภายภาคหน้าคงได้เปล่งวาจาอย่างพระสุเทพบ้าง



 

 

 

                                                          นรกมาเกิด

 

 

 

             รู้จัก “ไอเอส“ กลุ่มก่อการร้าย รวยที่สุดในโลก

 

 

 

การตัดหัวคนเป็นว่าเล่นไม่น่าเกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน แต่เวลานี้มันกำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและนับวันจะโหดร้ายป่าเถื่อน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของกลุ่มไอเอส ที่วันนี้ถูกขึ้นบัญชีเป็นกลุ่มก่อการร้ายหมายเลข 1 ของโลกไปเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะไปดูกันว่า ไอเอสเป็นใครและว่ากันว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่รวยโคตรโคตร

 

เอะอะ เอะอะ "ตัดหัว" เอะอะ เอะอะ "ตัดหัว" จะใครเสียอีก ถ้าไม่ใช่ กลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม หรือไอเอส ที่นับวัน ความโหดร้ายจะมาแรงแซงโค้งกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ เท่าที่โลกเคยเห็น ล่าสุด โลกก็ต้องตกตะลึงตาค้างอีกครั้ง เมื่อชายชุดดำ เพชฌฆาตจอมโหด ถือมีดด้ามยาวอยู่ข้างตัว มองดูศีรษะของ นายปีเตอร์ แคสซิก หรือ อับดุล เราะห์มาน แคสซิก ชาวอเมริกัน วัย 44 ปี ที่ศีรษะต้องกระเด็นออกจากคอ ด้วยน้ำมือของเพชฌฆาตผู้นี้

 

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีชายชุดดำอีกหลายคน ที่ร่วมกัน เชือดคอทหาร และนักบินซีเรียอีก 18 คน นับเป็นการเชือดคอหมู่ครั้งแรก ที่โหดเกินกว่าโลกจะยอมรับได้ นี่คือการแก้แค้นของกลุ่มไอเอส ต่อการที่สหรัฐและชาติพันธมิตรโหมโจมตีรังของไอเอส ทั้งในอิรักและซีเรีย แถมสหรัฐยังเตรียมส่งทหารเข้าไปเพิ่มในอิรัก ให้ได้ถึง 3,000 คน ในการทำสงครามบดขยี้กลุ่มไอเอส ไอเอสจึงต้องชำระแค้น ให้สาสม.....!!!

 

กลุ่มไอเอส หรือ Islamic state เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มนักรบ หลายเครือข่าย ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่สงครามอิรัก ในปี 2546 เดิมเป็นสาขาหนึ่ง ของอัลกออิดะห์ในอิรัก แต่ต่อมาแตกคอกัน เลยแยกมาตั้งกลุ่มใหม่ แบบเดี่ยวๆ และค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น จนแซงหน้าอัลกออิดะห์ไปเรียบร้อยแล้ว ความสามารถพิเศษของไอเอสคือการปลุกระดมนักรบได้ทั่วโลก อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งสหรัฐ ยุโรป ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ออสเตรเลีย ผู้หลงเชื่อส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม โดยส่วนใหญ่ถูกล่อลวงผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ผู้นำคนปัจจุบันของไอเอสคือ "อะบู บากา อัล แบกดาดี" เขาเป็นบุคคลลึกลับ ทำตัวเงียบๆ Low Profile ไม่ชอบออกหน้า ออกตา แต่โหดสุดๆ สหรัฐฯ รู้ข้อมูลของเขาน้อยมาก รู้เพียงว่า เขาเกิดที่อิรัก และจบการศึกษาระดับด็อกเตอร์ทางด้านศาสนาจากมหาวิทยาลัยในกรุงแบกแดด

 

ไอเอสรวยมากค่ะ โดยไม่ได้เป็นแค่กลุ่มก่อการร้าย แต่ยังเป็นพ่อค้าน้ำมันรายใหญ่ ตอนนี้ครอบครองบ่อน้ำมันถึง 11 แห่งในอิรัก และซีเรีย ในเขตพื้นที่ที่เปิดศึกยึดครองมาได้ นอกจากนี้ ยังมีแหล่งขุดเจาะน้ำมันอีก 7 แห่ง และโรงกลั่นน้ำมันอีก 2 แห่ง อยู่ในมือ

 

โดยเมื่อไอเอสยึดเมืองไหนได้ ก็จะปล้นธนาคาร และขู่กรรโชกทรัพย์คนในพื้นที่ หรือไม่ก็จับคนไปเรียกค่าไถ่ ไอเอสยังมีรายได้เสริมจากการลักลอบนำวัตถุโบราณของอิรัก ส่งขายให้ตุรกี ทำรายได้แบบเหนาะๆ หลายล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สิ่งที่ดิฉันคาใจมากที่สุด คือเหตุใด เด็กหนุ่มสาวมากมายจากประเทศตะวันตก ทั้งสหรัฐ และยุโรป ถึงถูกล้างสมองให้ไปเป็นสาวกของไอเอส ได้อย่างง่ายดาย พวกเขายอมพลีกาย พลีชีพ เพื่ออุดมการณ์ ความรุนแรง ชนิดที่เด็กในวัย 20 ต้นๆ น่าจะยังไม่เดียงสา หรือลึกซึ้งกับการต่อสู้ เพื่อจัดตั้งรัฐอิสลาม ตามอุดมการณ์สูงสุดของไอเอส เด็กๆ เหล่านี้ ไปเป็นสาวกของไอเอส เพื่อ....?? ต้องรีบหาคำตอบให้ได้ค่ะ ไม่งั้นก็จะไม่มีวันถอนรากถอนโคนไอเอสได้เลย

 

เรื่องโดย: กิตติมา ณ ถลาง

 

 

 

 

        สหรัฐฯ เผยปฏิบัติการถล่มทางอากาศฆ่านักรบ IS ไปแล้วกว่า 8,500 ศพ

 

 

 

สหรัฐฯ เผยปฏิบัติการถล่มทางอากาศฆ่านักรบ IS ไปแล้วกว่า 8,500 ศพ

 

 

เอพี - พันธมิตรทางทหารในอิรักที่นำโดยสหรัฐฯ สามารถปลิดชีพพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) มากกว่า 8,500 ศพ นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการถล่มทางอากาศเมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อน นายพลผู้ดูแลภารกิจเผยเมื่อวันอังคาร (3 มี.ค.) พร้อมระบุนักรบกลุ่มนี้สูญเสียแสนยานุภาพในการบุกยึดดินแดนใหม่ๆ แล้ว

พล.อ.ลอยด์ ออสติน หัวหน้ากองบัญชาการกลางสหรัฐฯ (Central Command) ซึ่งควบคุมปฏิบัติการโจมตีไอเอส บอกว่าพวกรัฐอิสลามซึ่งควบคุมพื้นที่สำคัญๆทางภาคเหนือและตะวันตกของอิรักมาตั้งแต่ฤดูร้อนปีก่อน ไม่มีแสนยานุภาพพอที่จะบุกจู่โจมและยึดครองดินแดนใหม่ๆ อีกต่อไป “ข้อเท็จจริงคือ พวกเขาไม่ทำแบบเดียวกับในระยะเริ่มแรกได้อีกแล้ว”

นายพลรายนี้บอกกับคณะกรรมาธิการกิจการทหารของสภาคองเกสต่อว่ามีนักรบไอเอสถูกสังหารอย่างน้อย 8,500 คน ขณะที่ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศที่นำโดยสหรัฐฯยังสามารถทำลายยานพาหนะ รถถังและอาวุธหนักได้อีกหลายร้อย นอกจากนี้การถล่มทางอากาศยังลดความสามารถของไอเอส ในการแสวงหารายได้จาการค้าน้ำมันเถื่อน ด้วยการโจมตีโรงกลั่นและแหล่งเก็บน้ำมันที่ญิฮัดกลุ่มนี้ยึดครอง โดยเฉพาะในซีเรีย

ความคิดเห็นดังกล่าวของออสตินปรากฏอยู่ในถ้อยแถลงของเขาต่อคณะกรรมาธิการกิจการทหารของสภาคองเกสที่กำลังพิจารณาคำร้องของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ขออำนาจทางกฎหมายใหม่ในการสู้รบกับพวกรัฐอิสลาม

ขณะเดียวกัน ความเห็นของนายพลรายนี้ยังมีขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนของทิศทางการสู้รบกับพวกรัฐอิสลาม ขณะที่กองทัพอิรักและกองกำลังอาวุธท้องถิ่นชาวชีอะห์เรือนหมื่นเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่รุกยึดคืนเมืองติกริตจากพวกไอเอส

 

 

 

 

                     อนันตริยกรรม

 

 

 

                                                  

 

 

 

อนันตริยกรรม หมายถึง กรรมหนักที่สุด (ครุกรรม) ฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันที มี 5 อย่าง คือ

  1. มาตุฆาต - ฆ่ามารดา
  2. ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา
  3. อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์
  4. โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ ขึ้นไป เช่น พระเทวทัตได้ทำร้ายพระพุทธองค์ ในสมัยพุทธกาล
  5. สังฆเภท - ยังสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสงฆ์

อนันตริยกรรม 4 ประการแรก คือ มาตุฆาต ปิตุฆาต อรหันตฆาต และโลหิตตุปบาท จัดเป็นสาธารณอนันตริยกรรม คือ เป็นอนันตริยกรรมที่ทั่วไปแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งหลาย หมายความว่า บรรพชิตก็ทำได้ คฤหัสถ์ก็ทำได้


ส่วนสังฆเภท เป็นอสาธารณอนันตริยกรรม คือ เป็นอนันตริยกรรมที่ไม่ทั่วไป หมายความว่า ภิกษุคือบรรพชิตเท่านั้น จึงจักกระทำสังฆเภทอนันตริยกรรม นี้ได้

ในส่วนของโทษหนักเบา และลำดับการให้ผลก่อนหลัง ของอนันตริยกรรม เรียงลำดับจากแรงที่สุดลงไป ได้ดังนี้

 

  • สังฆเภทอนันตริยกรรม (หนักที่สุด เพราะทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย)
  • โลหิตุปบาทอนันตริยกรรม (สำคัญมากแต่ปัจจุบันทำไม่ได้เพราะพระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว)
  • อรหันตฆาตอนันตริยกรรม (สำคัญปานกลาง เพราะพระอรหันต์ผู้ซึ่งไม่เบียดเบียนใครเลยและยังเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน)
  • มาตุฆาตปิตุฆาตอนันตริยกรรม (สำคัญน้อยกว่าอนันตริยกรรมอื่น ๆ เพราะถือว่าอยู่ในเพศฆราวาส)

โทษแห่งอนันตริยกรรม

 

ด้วยกรรมแห่งอนันตริยกรรมทั้ง 5 ประการนี้จัดเป็นกรรมหนักหรือครุกรรม ผู้ใดทำกรรมอนันตริยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้นั้นจะได้รับโทษทั้งทางโลกและทางธรรม โทษของทางโลกคือจะถูกผู้คนประณามและสาปแช่ง ไม่คบค้าสมาคมใดๆเลย และยังถูกกฎหมายบ้านเมืองลงโทษอีก(โดยเฉพาะมาตุฆาต ปิตุฆาต และอรหันตฆาตเท่านั้น ยกเว้นสังฆเภทและโลหิตตุปบาทที่กฎหมายไม่สามารถลงโทษได้) ส่วนโทษของทางธรรมคือจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปหนักบาปหนาที่สุด ฟ้าไม่อาจจะยกโทษให้เลยแม้แต่น้อย พระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดทำกรรมอนันตริยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจะไม่สามารถบวชเข้ามาเป็นภิกษุได้เลยเพราะถือว่าเป็นผู้ต้องปาราชิกสำหรับฆราวาสแล้วและจะไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานใดๆเลยตลอดชีวิตในชาติที่ยังมีชีวิคอยู่ และเมื่อตายจากโลกไปจะต้องตกนรกเพียงสถานเดียว ไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ ต่อให้ทำกรรมดีมากมายเพียงใดก็ไม่อาจหลุดพ้นจากนรกไปได้

 

ผุ้ทำอนันตริยกรรมจะต้องตกนรกลงไปยังขุมนรกที่ลึกที่สุดคือ มหาขุมนรกอเวจี ซึ่งอยู่ชั้นที่ 8 เป็นขุมนรกขุมใหญ่ที่มีการลงโทษหนักโดยไม่มีผ่อนผันหรือหยุดพักแต่ใดๆเลยแม้แต่วินาทีเดียว สัตว์นรกที่ตกขุมนรกนี้จะได้รับความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสและเป็นเวลายาวนานที่ไม่อาจจะนับได้เลยหรือเรียกว่า กัลป์

 

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ทำอนันตริยกรรมเพียงข้อใดเพียงข้อเดียว มีจิตสำนึกผิดที่ได้กระทำลงไปและได้ทำกรรมดีมากมายขณะยังมีชีวิต เมื่อตายจากโลก บุญกุศลที่ทำไว้จะนำมาหักกับบาปแห่งอนันตริยกรรมก็จะได้รับการลดโทษด้วยการไม่ไปบังเกิดไปยังมหาขุมนรกอเวจี แต่จะให้ไปเกิดขุมนรกอื่นแทนแต่ต้องได้รับโทษยาวนานเช่นกัน ตัวอย๋างเช่น พระเจ้าอชาตศัตรูได้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดา ต่อมาสำนึกผิดและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาตลอดชีวิตจนถูกพระราชโอรสลอบปลงพระชนม์ บุญกุศลที่ได้ทำไว้ทำให้พระองค์ไม่ไปบังเกิดมหาขุมนรกอเวจี แต่ให้ไปเกิดขุมนรกที่ชื่อว่า โลหกุมภีนรก เสวยทุกขเวทนาเป็นเวลา 60,000 ปีนรก

 

ส๋วนถ้าใครทำอนันตริยกรรมไว้หลายข้อ ก็จะต้องไปบังเกิดมหาขุมนรกอเวจีสถานเดียวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้ทำกรรมดีเท่าใดก็ไม่พ้นและได้รับการลงโทษเป็นเวลายาวนานมากหรือหลายกัลป์ แต่บางครั้งอาจได้รับการลดโทษด้วยการลดเวลาการลงโทษเหลือเพียง 1 กัลป์ ตัวอย่างเช่นพระเทวทัตทำกรรมหนักไว้ 2 ประการคือโลหิตุปบาทและสังฆเภท พระเทวทัตสำนึกผิดจึงให้บรรดาพระลูกศิษย์พาตนไปหาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่วัดเชตวันมหาวิหารเพื่อขอขมา แต่เมื่อไปถึงสระโบกขรณีหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร บรรดาพระลูกศิษย์ได้หยุดพักแวะอาบน้ำชำระร่างกายก่อนเข้าเฝ้า พระเทวทัตต้องการจะอาบน้ำชำระเช่นกัน เมื่อเท้าของท่านสัมผัสกับแผ่นดิน ด้วยบาปกรรมที่หนักมากจนแผ่นดินไม่อาจรองรับไว้ได้จึงสูบเอาพระเทวทัตลงไปสู่มหาขุมนรกอเวจี ไม่มีใครช่วยได้เลย แต่ก่อนที่จะจมลงธรณี พระเทวทัตซึ่งเหลือแต่เศียรได้มองไปยังวัดเชตวันมหาวิหารที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ก็กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณและถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชาและยึดเอาพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งตลอดกาล เมื่อลงสู่มหาขุมนรกอเวจีแล้ว บุญกุศลจากการถวายกระดูกคางก็ทำให้ถูกลงโทษในนรกอเวจีเพียง 1 กัลป์เท่านั้น

 

 

สงฆ์เเตกเเยก

 

 

 

 

 

 

หลังจากการทำสังคายนาผ่านไปไม่นานนัก มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า "ปุราณะ" พร้อมด้วยบริวารประมาณ ๕๐๐ รูป อยู่จำพรรษาที่ทักขิณาคีรีชนบท ในคราวทำสังคายนาเมื่อท่านทราบว่า สังคายนาทำเสร็จแล้ว ท่านและบริวารจึงได้เข้าสู่กรุงราชคฤห์ พระสังคีติกาจารย์ที่ร่วมในการทำสังคายนาได้เข้าไปแจ้งให้ท่านทราบว่า พระสงฆ์ได้ทำสังคายนากันแล้ว ขอให้ท่านยอมรับด้วย


พระปุราณะกลับกล่าวว่า "ท่านทั้งหลาย พระเถระทั้งหลายได้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยกันเรียบร้อยก็ดีแล้ว แต่ผมได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าว่าอย่างไร จักถือปฏิบัติตามนั้น เมื่อได้ชี้แจงกันพอสมควรแล้ว ปรากฏว่าพระปุราณะมีความเห็นตรงกับพระสังคีติกาจารย์ส่วนมาก แต่มีความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องวัตถุ ๘ ประการ ซึ่งเป็นพุทธานุญาตพิเศษที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุทำได้ในคราวเกิดทุพพิกภัย แต่เมื่อภัยเหล่านั้นระงับก็ทรงบัญญัติห้ามมิให้กระทำอีก เรื่องวัตถุ ๘ ประการนั้นก็คือ


๑. อันโตวุฏฐะ เก็บของที่เป็นยาวกาลิกคืออาหารไว้ในที่อยู่ของตน


๒. อันโตปักกะ ให้มีการหุงต้มอาหารในที่อยู่ของตน

๓. สามปักกะ พระลงมือหุงปรุงอาหารด้วยตนเอง

๔. อุคคหิตะ คือการหยิบเอาเองซึ่งเคี้ยวของฉันที่ยังมิได้ประเคน


๕. ตโตนีหตะ ของที่นำมาจากที่นิมนต์ ซึ่งเป็นพวกอาหาร

๖. ปุเรภัตตะ การฉันอาหารก่อนเวลาภัตตาหาร ในกรณีที่ตนรับนิมนต์ไว้ในที่อื่น แต่ฉันอาหารอื่นก่อนอาหารที่ตนจะต้องฉันในที่นิมนต์


๗. วนัฏฐะ ของที่เกิดหรือตกอยู่ในป่า ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ


๘. โปกขรณัฏฐะ ของที่เกิดในสระ เช่น ดอกบัว เง่าบัว


วัตถุทั้ง ๘ ประการ เป็นพุทธานุญาตพิเศษในคราวเกิดทุพภิกขภัย ๒ คราว คือ ที่เมืองเวสาลีและที่เมืองราชคฤห์ แต่เมื่อทุพภิกขภัยหายไปแล้ว ทรงห้ามมิให้ภิกษุกระทำ พระปุราณะและบริวารของท่านคงจะได้ทราบเฉพาะเวลาที่ทรงอนุญาต จึงปฏิบัติไปอย่างนั้น เนื่องจากการอยู่กันกระจัดกระจายคนละทิศละทาง การติดต่อบอกกล่าวอาจไม่ถึงกัน จะถือว่าท่านดื้อรั้นเกินไปก็หามิได้ เพราะท่านถือตามที่ท่านได้สดับมาจากพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เมื่อพระสังคีติกาจารย์ชี้แจงให้ท่านฟัง ท่านปุราณะก็มีความเห็นว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ ไม่สมควรที่จะบัญญัติห้ามแล้วอนุญาต อนุญาตแล้วกลับบัญญัติห้ามมิใช่หรือ"

สรุปแล้ว ความแตกแยกในทางข้อปฏิบัติคือความเสียแห่งสีลสามัญญตา ได้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาหลังจากพุทธปรินิพพานไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง ความไม่เสมอภาคกันในแนวทางปฏิบัติอย่างน้อยได้แตกแยกออกเป็น ๒ ฝ่ายคือ


๑. พวกที่ยอมรับนับถือมติของพระสังคีติกาจารย์ ในการทำสังคายนาครั้งแรก


๒. พวกที่สนับสนุนคล้อยตามมติของพระปุราณะกับพวก อย่างน้อยฝ่ายนี้ต้องมีไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ รูป และในที่สุดอาจจะได้บริวารเพิ่มมาอีกก็เป็นได้

 

 

 

 

 

 

พระโสภณคณาภรณ์, (ระแบบ ฐิตญาโณ), ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, พ.ศ. ๒๕๒๘ น. ๑๓๐

 

 

 

 

 

 

 

สนช.ตั้งภรรยาควบ 3 ตำแหน่ง รับเงินเดือนละ 5.9 หมื่น

 

 

 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1425433113

 

จากกรณีที่วิป สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติให้สมาชิกที่ตั้งบุคคลใกล้ชิดและเครือญาติมาช่วยงาน ให้ปรับออกทั้งหมดโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. เพื่อให้เป็น สนช.เป็นสภาตัวอย่าง

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบจากเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา พบว่าในส่วนของ สนช. ที่แต่งตั้งคนใกล้ชิด ก่อนที่ วิป สนช.จะแนะนำให้ปรับออกนั้น มีบางกรณีที่น่าสนใจ เช่น พล.ร.อ.ธราธร ขจิตสุวรรณ ได้เสนอแต่งตั้ง พล.ร.ต.หญิง พวงพลอย ขจิตสุรรณ ภรรยานั่ง 3 ตำแหน่ง คือ ผู้ช่วยประจำตัว สนช.เงินเดือน 15,000 บาท , ผู้ชำนาญการประจำตัว เงินเดือน 20,000 บาท และผู้เชี่ยวชาญประจำตัว เงินเดือน 24,000 บาท รวม 3 ตำแหน่ง 59,000 บาท

 

นอกจากนั้น ยังตั้งบุตรสาว ร.ต.หญิง อนพัทย์ ขจิตสุวรรณ เป็นผู้ชำนวญการประจำตัว เงินเดือน 20,000 บาทด้วย อย่างไรก็ตาม นายตวง อันทะไชย สมาชิก สนช.ที่ตั้งบุตรชายมาช่วยงาน กล่าวว่า

 

ที่ผ่านมา ส.ส.และ ส.ว.ก็ทำ แต่ไม่มีใครออกมาพูด มาพูดตอนนี้มีวาระซ่อนเร้นเพื่อทำลายความเชื่อมั่น สนช.ใช่หรือไม่ และตำแหน่งเงินเดือนเพียง 14,000 บาท ให้คนอื่นมาทำคงไม่มีใครเอา ถ้าไม่อยากให้ตั้งก็ตัดออก อยากได้ของดีราคาถูก โลกนี้มีที่ไหน ส่วนนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 กล่าวว่า สมาชิกหลายคนชี้แจงว่า การตั้งคนในครอบครัวเพราะมีเหตุผลด้านการเมืองและมีข้อมูลที่เป็นความลับ จึงต้องการคนที่ไว้ใจได้ไม่เช่นนั้นความลับจะรั่ว และเงินเดือนประจำตำแหน่งต่างๆ น้อยเกรงว่าไม่มีใครยอมมาทำงาน จึงจำเป็นต้องตั้งคนใกล้ชิด แต่เมื่อสังคมสังเกตถึงความไม่เหมาะสม เราก็ต้องแสดงสปิริต

 

 

 

 

 

 

 

 

ปมยิ่งลักษณ์ จ่ายเงินเยียวยาเสื้อแดง 577 ล้าน โดยมิชอบ ป.ป.ช.เผย สืบพยานครบแล้ว เตรียมพิจารณา ว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ ภายใน มี.ค. นี้

 

วันที่ 4 มีนาคม 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประธาน (ป.ป.ช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการไต่สวน คดีกล่าวหาคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการ ชุมนุมทางการเมือง (ตั้งแต่ปลายปี 2548-พฤษภาคม 2553) วงเงินรวม 577 ล้านบาทว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงจากคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ของคณะอนุกรรมการว่า จ่ายเงินเยียวยาถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่ โดยเบื้องต้นสืบสวนพยานครบหมดแล้ว โดยภายในเดือนนี้ จะเสนอเรื่องให้อนุกรรมการฯ ที่มีนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน เพื่อพิจารณาว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่

 

ทั้งนี้ นายปานเทพ กล่าวว่า ใน คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ประกอบไปด้วย คณะรัฐมนตรีชุดที่ 1 และชุดที่ 2 ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงาน ตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่ง ชาติ (ปคอป.) และนายปกรณ์ พันธุ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

 

ความคิดเห็น

วันที่: Sat Sep 21 08:00:13 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>