Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ทำไมเราถึงล้าหลัง

ArjanPong | 23-12-2555 | เปิดดู 2642 | ความคิดเห็น 0

 

  ทำไมไทยเราไปไม่ถึงไหน?

 

จากคุณ สุทธิชัย หยุ่น

ทำไมไทยเราไปไม่ถึงไหน?

 

ผู้หวังดีท่านหนึ่งส่งข้อความมาให้อ่านว่าด้วยเรื่องการ "ปฏิรูป" ประเทศอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

ไม่ใช่แค่คุยโม้โอ้อวดหรือใช้เพียงวาทกรรมให้ฟังดูดี

ผมอ่านแล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง และเชื่อว่าคนไทยไม่น้อยก็ต้องการจะหาทางออกให้บ้านเมือง ในยามที่ใครต่อใครดูเหมือนจะเห็นว่าเรามาถึงทางตันที่ไม่มีใครยอมใคร

ทุกคนฟังแต่สิ่งที่ตนเองอยากได้ยิน ไม่มีใครฟังเสียงใคร ไม่มีใครอยากฟังความเห็นอีกด้านหนึ่ง และใครพูดในสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วย ก็จะพาลหาเรื่องว่าเป็นศัตรูกันเสียอีก

 

ผมจึงดีใจมากที่ได้อ่านข้อความที่เพื่อนคนนี้ส่งมาให้อ่านว่า ความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศด้อยพัฒนานั้น มันอยู่ตรงไหนกันแน่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเคยเสียเอกราชให้ใครในอดีตหรือเปล่า

เขายกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นและเยอรมนี ที่แม้จะแพ้สงครามโลก แต่ก็กลับมายิ่งใหญ่ในเศรษฐกิจโลก ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเก่าแก่ด้วยอารยธรรมหรือไม่ ตัวอย่างเช่น อินเดีย กับ อียิปต์ ซึ่งมีอารยธรรมยาวนานกว่า 3,000 ปี แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจน ไร้ความหวังอยู่

เขายกตัวอย่าง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ว่าเป็นประเทศเล็กๆ ที่เมื่อแค่ 100 ปีก่อนนี้ไม่มีศักยภาพอะไรเลยล้าหลังกว่าไทยแน่นอน

แต่วันนี้เขากลับพัฒนาเป็นประเทศร่ำรวย ก้าวหน้าและมีความมั่นคง

 

 

หรือจะอ้างว่าความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศด้อยพัฒนานั้น อยู่ที่ทรัพยากรของประเทศนั้นๆ หรือเปล่า?ก็เปล่าอีก

ญี่ปุ่น มีพื้นที่เกษตรกรรมน้อยมาก กว่า 80% ของพื้นที่เป็นภูเขา ไม่เหมาะกับการทำการเกษตรเลย แต่เขากลับสร้างตนเองเป็นประเทศส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรอันดับต้นๆ ของโลก

ยกตัวอย่าง สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีอากาศหนาวจัด ปีหนึ่งทำการเกษตรได้เพียง 4 เดือน และไม่มีการทำไร่โกโก้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำช็อกโกแลตส่งออกรายใหญ่ของโลก

อีกทั้งยังนำเอาความซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา และมีระเบียบของคนในสังคมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ จนเป็นที่ยอมรับว่าเขามีธนาคารที่มีมาตรฐานอาชีพที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

หรือความแตกต่างเกิดจากสีผิวและเผ่าพันธุ์...ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ

 

 

แรงงานที่เคยเกียจคร้านในประเทศของตนเอง พอย้ายไปหากินประเทศที่เจริญแล้ว ก็กลับกลายเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็งและมีคุณภาพขึ้นมาทันที เช่นกัน

เพราะว่าบรรยากาศในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะไม่อนุญาตให้ใครขี้เกียจหรือเกาะคนอื่นกินเป็นอันขาด

เขาถึงถามว่า แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนากับประเทศที่ยังล้าหลัง?คำตอบ ไม่ได้อยู่ที่ประวัติศาสตร์หรือทรัพยากรของประเทศนั้นๆ

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่เขาบอกว่าที่ทำให้เกิดความแตกต่างนั้น คือ "ทัศนคติ"

 

 

ทัศนคติที่เกิดจากการหยั่งรากลึกนานปีของระบบการศึกษา และการอบรมปลูกฝังที่กลายเป็น "ค่านิยม" ของคนในสังคมส่วนใหญ่ ที่ต้องยึดมั่นเพื่อสร้างสรรค์สังคมให้แข็งแกร่งบนพื้นฐานแห่งจริยธรรม เขาวิเคราะห์พฤติกรรมของคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็สรุปได้ว่าคนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตบนหลักปรัชญา เช่น

1. ใช้จริยธรรมนำชีวิต2. ความซื่อสัตย์3. ความรักในงาน4. ความรับผิดชอบต่อหน้าที่5. จิตใจมุ่งมั่น สู่ความเป็นที่หนึ่ง6. เคารพต่อกฎระเบียบ7. เคารพสิทธิของผู้อื่น8. ตรงต่อเวลา9. อดออมและสนใจในการลงทุนอย่างมีเหตุมีผล

 

คนไทยเราขาดทัศนคติที่ถูกต้องและเอาจริงเอาจังกับชีวิตอย่างนี้ จึงเหมือนรถไฟสมัยโบราณที่ "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง"

มิหนำซ้ำ ยังมีค่านิยมทางเลวร้ายเกิดขึ้นมา เพราะวัฒนธรรม "บริโภคนิยม" และ "ความมักง่าย"

อะไรที่ได้มายากเย็นหรือต้องทำงานหนัก ก็จะกลายเป็นเรื่องไม่พึงปรารถนา ไม่มีใครอยากทำ

ด้วยความมักง่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่งนี่เอง เราก็เริ่มจะได้ยินว่าเด็กไทยสมัยนี้เห็นความซื่อสัตย์และเสียสละ เป็นคุณสมบัติที่ไม่มีความหมาย และไร้ความสำคัญ

ถึงขั้นที่การสำรวจวิจัยหลายสำนักยืนยันตรงกันอย่างน่าตกใจ ว่า คนรุ่นใหม่เห็นว่านักการเมืองหรือข้าราชการหรือนักธุรกิจนั้น สามารถฉ้อราษฎร์บังหลวง และกระทำการเข้าข่ายคอร์รัปชันได้ ตราบใดที่ทำแล้วมีคนเห็นว่าเก่ง หรือสามารถจะสนองตอบเป้าหมายทางวัตถุได้

 

นี่คือ สัญญาณอันตรายอย่างยิ่งของสังคมไทย ที่ "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" เห็นการทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม ผิดหลักจริยธรรมเป็นเรื่องธรรมดา ที่ "ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น"ดังนั้น หากวันนี้มีใครบ่นให้คุณฟังว่าบ้านเมืองเราทำไมจึงล้าหลัง ทำไมไม่สามารถเอาตัวเองออกจากความขัดแย้ง ทำไมยังมีความยากจนอย่างกว้างขวาง ทำไมความเหลื่อมล้ำในสังคมยังมีให้เห็นกันมากมาย

ก็ต้องตอบกันตรงๆ ว่า เพราะเราหลงเข้าใจผิดว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เรามีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เรามีความโอบอ้อมอารี เรา (คิดว่าเรา) เป็นพุทธศาสนิกชน ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็จะต้องช่วยให้เราพัฒนาโดยอัตโนมัติ

เผลอๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ถ้าเราเชื่อว่ามีจริง) ก็อาจจะย้อนถามเราได้ว่า "คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?"อาจจะเพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่เราอ้างว่าเรามีนั่นแหละ ที่เป็นสาเหตุแห่งความด้อยพัฒนาของเรา

จึงต้องไม่ลืมที่ "ขงจื๊อ" เคยกล่าวไว้ว่า"หากเจ้าวางแผนไว้ 1 ปี...จงปลูกข้าวหากวางแผน 10 ปี...จงปลูกต้นไม้หากวางแผน 100 ปี...จงให้ความรู้แก่บุตรหลาน"

ทุกวันนี้คนไทยไม่น้อยที่คิดว่าทำงานแค่ 1 ปี แต่จะขอให้มีผลงานยืนยาวถึง 100 ปีฝันไปหรือเปล่า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พรรคการเมืองในบ้านเราในอดีตที่ผ่านมา
ด้วยความเป็นนักกฏหมายมากกว่านักธุรกิจ การคิดนโยบายแบบซับซ้อนเพื่อให้ประเทศชาติเกิดความเจริญก้าวหน้าจึงไม่มี พวกก็เลยนิยมใช้วิธีลอกแผนการบริหาร ที่ราชการทำไว้แล้ว แล้วก็มาแต่งเติมด้วยการไล่แจกเพื่อเรียกคะแนนนิยมแบบง่าย ๆ ....เขาทำกันได้เพียงแค่นี้..... ด้วยเวลากว่า 60 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองจึงไม่เดินไปถึงไหน

ต่อเมื่อมีนักธุรกิจอาสา ก้าวเข้ามาทำงานการเมือง นโยบายแบบเป็นรูปธรรมจึงเริ่มมีขึ้น
แล้วนักการเมืองเก่าแก่ที่ชินกับการไม่มีนโยบายของตนเอง จะเอาอะไรไปสู้......เขาก็ต้องเลือกใช้วิธีที่ง่ายที่สุดคือ "ปาก" ถ่มน้ำลายรดคู่ต่อสู้ไปวัน ๆ ....เป็นวิธีที่่ง่ายที่สุดสำหรับการลดความสำคัญของคู่ต่อสู้ทางการเมือง .... ซึ่งเห็นว่าเหมาะกับสังคมคนไทยในยุคนี้ที่ไม่ชอบค้นหาข้อเท็จจริง ชอบฟังเรื่องประโลมโลกที่ใส่สีเสกสรรสร้างตัวร้ายเหมือนนิยายน้ำเน่าที่ยังขายได้และมีคนดูตั้งแต่นายจ้างยันแจ๋วในบ้านจนถึงในตลาดสด

หากสังคมยังไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตจากแนว
เดิม ๆ เชื่อเถอะคนอย่างมาร์คและกรณ์ ยังก็ขายได้

 

 

 

เรื่องกล่าวหาที่อยู่ระหว่างดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง
เลขรับ /วันที่รับเรื่อง : เลขรับที่ 27825 รับวันที่ (29/03/2554)
เลขดำที่ : 54331658, 52631820, 54630201
ข้อมูลผู้ถูกกล่าวหา : นางพรทิวา นาคาศัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารและคณะทำงานเพื่อดำเนินการเปิดประมูลระบายข้าวสารในสต๊อครัฐบาล - ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ - ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี
รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) - ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายมนัส สร้อยพลอย
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะทำงานระบายข้าวสาร กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
พฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหา: ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีเอื้อประโยชน์ในการประมูลข้าวของกระทรวงพาณิชย์ (ข้าวเจ้า) กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานร่วมกันอนุมัติให้ความเห็นชอบขายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดมาก เอื้อประโยชน์ให้บ
ครั้งที่มีมติ : คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ 278-25/2554
วันที่มีมติ : 29/03/2554
ขั้นตอนการดำเนินการปัจจุบัน : กรณีทุจริต ไต่สวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน
รายละเอียดขั้นตอนการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ดำเนินการ
การดำเนินการ
ขั้นตอนการไต่สวนข้อเท็จจริง
มีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบการที่คณะกรรมการป.ป.ช.เป็นองค์คณะไต่สวนและประชุมไต่สวนนัดแรก กำหนดแนวทางไต่สวน
 
สรุปสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
 
เสนอสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา
 
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ
ไต่สวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน
 
พิจารณาพยานหลักฐานที่รวบรวมได้
 
แจ้งข้อกล่าวหา
 
ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
 
รวบรวมพยานหลักฐานที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างหรือพยานหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติม
 
สรุปสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง
 
เสนอคณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง
 
ไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
 

 

 

 
 

 

 

 
 

 

vv

 
 

 

 
 

 

 

 

 

 
 

 

 
 

 

 

 
 

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Sat May 18 23:00:14 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>