Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ประเทศเงินเฟ้อมากที่สุดในโลก...

ArjanPong | 10-02-2556 | เปิดดู 3769 | ความคิดเห็น 0

 

 

                             ตรุษจีนปีนี้...

 

 

 

 

                    

 

 

 

 

 

 

....ตั้งใจว่า วันนี้ ขายดีเเน่

 

ยอดย่ำเเย่ หนักทุกวัน หวั่นใจเสีย

 

ทั้งหนี้เก่า หนี้ใหม่ ไม่ไหวเคลียร์

 

วุ่นนัวเนีย เพราะไม่จ่าย ขายไม่ดี

 

 

 

 

....เปิดเช้ามา ไม่อยากเชื่อ เหลือเป็นเข่ง

 

เงียบวังเวง ขายกล้วยไป ได้สองหวี

 

หมดสิ้นกัน วันนี้ฉัน ต้องขายดี

 

ลูกค้าหนี ไม่เห็นพบ คงจบกัน....

 

 

 

*******************************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*************************************************************************

 

 

เงินเฟ้อ (Inflation) คืออะไร เกิดจากอะไร วัดอย่างไร และถ้าสูงขึ้นมาก ๆ จะเกิดอะไรขึ้น
Espresso
 


ภาวะเงินเฟ้อคืออะไร?
หลายคนเมื่อได้ยินคำว่าเงินเฟ้อ อาจจะสงสัยว่าเงินเฟ้อคืออะไร แล้วเมื่อไรถึงจะเรียกว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ คำว่าภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็จะมีผลทำให้ค่าของเงินที่เราถืออยู่ลดลง ตัวอย่างของค่าของเงินที่ลดลงเช่น ราคาน้ำมันดีเซลเคยอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร สมมติเราเคยเติมน้ำมัน 10 ลิตร ก็จะใช้เงิน 250 บาท แต่ปัจจุบัน ราคาน้ำมันได้กลายเป็น 30 บาทต่อลิตร หากเราใช้เงินเท่าเดิมคือ 250 บาท เราจะเติมน้ำมันได้ไม่ถึง 10 ลิตรแบบที่เคยเติมได้ ซึ่งหากต้องการที่จะเติมน้ำมัน 10 ลิตร เท่าเดิม แปลว่าเราต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาท หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การเกิดภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้เงินจำนวนเท่าเดิมที่เราถืออยู่มีค่าลดลง ทำให้ซื้อของได้น้อยลง


 

ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นแบบนี้ ต้นทุนในการขนส่งสินค้าจากแหล่งผลิตที่จะส่งไปขายยังที่ต่าง ๆ ก็ย่อมต้องสูงขึ้น และทำให้ราคาสินค้าชนิดอื่นๆ ต้องขึ้นราคาตามไปด้วย แต่การที่มีสินค้าแค่ชนิดใดชนิดหนึ่งแพงขึ้น จะยังไม่เรียกว่าเงินเฟ้อ เพราะภาวะเงินเฟ้อหมายถึง ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วๆ ไปแพงขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะมีราคาสินค้าบางอย่างถูกลงด้วยในเวลาเดียวกัน แต่โดยรวม ๆ แล้ว หากราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น และเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปสักพักหนึ่ง ถึงจะเรียกได้ว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยที่เราจำเป็นต้องรู้เรื่องเงินเฟ้อ ก็เพื่อที่จะใช้สำหรับวัดค่าครองชีพหรือมาตรฐานการครองชีพของเรา (ประชาชน) ว่าดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร


 

 


 


เงินเฟ้อเกิดจากอะไร?
ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ในทางวิชาการมักจะแบ่งสาเหตุการเกิดเงินเฟ้อได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่ Cost-push inflation และ Demand-pull inflation
(1) เกิดจากต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า Cost-push inflation ซึ่งต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าอาจจะสูงขึ้นได้จากทั้งส่วนผสมหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า ค่าจ้างแรงงาน รวมทั้งค่าขนส่งสินค้า มีราคาแพงขึ้น เช่น กรณีของราคาน้ำมันที่แพงขึ้นก็เป็นตัวอย่างได้ หรือการที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน หรือเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตเกษตรเสียหาย ราคาสินค้าเกษตรก็แพงขึ้น เป็นต้น หรือแม้แต่ในกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนลง จาก 35 บาท เป็น 40 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงว่าเราต้องใช้เงินบาทจำนวนที่มากขึ้นเพื่อไปซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต) หรือแม้แต่การที่รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เช่น การเก็บภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หรืออาจเกิดจากผู้ผลิตต้องการกำไรที่สูงขึ้นจึงขึ้นราคาสินค้า ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ก็จะมีส่วนทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นได้
ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ อาจจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และทำให้ราคาสินค้าและบริการหลายๆ ชนิดแพงขึ้นพร้อมๆ กัน ความรุนแรงของเงินเฟ้อก็จะมากขึ้นด้วย


 


(2) เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า Demand-pull inflation ส่วนใหญ่ในช่วงที่ปกติ ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ก็ย่อมจะวางแผนการผลิตสินค้าโดยดูว่ามีคนต้องการซื้อสินค้าของเราเท่าไรในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น ปริมาณสินค้าที่มีในตลาดก็น่าจะอยู่ใกล้เคียงกับความต้องการซื้อสินค้า แต่หากความต้องการสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการมีอยู่ในตลาดมีไม่พอ ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นได้ ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนจะยิ่งรีบใช้เงินซื้อสินค้าและบริการมาตุนไว้ ก่อนที่ค่าเงินที่มีอยู่จะลดลง เพราะซื้อสินค้าได้น้อยลง ราคาสินค้าและบริการจะยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นไปกว่าเดิม เพราะคนจะยิ่งรีบใช้เงินที่มีอยู่
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว หน่วยงานของทางการก็มักจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง โดยทางการอาจจะเข้ามากำกับดูแลการปรับขึ้นราคาสินค้า ตัวอย่างเช่น การขอความร่วมมือให้ ขสมก. เลื่อนการขึ้นค่ารถเมล์ไปก่อน หรืออนุญาตให้ค่ารถเมล์ปรับขึ้นราคาได้บ้างนิดหน่อย เป็นต้น หรือในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย อาจใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนน้อยที่สุด

เงินเฟ้อวัดอย่างไร?
อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยวัดโดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้ประกาศอัตราเงินเฟ้อเป็นประจำทุกเดือน โดยวิธีวัดอัตราเงินเฟ้อทำได้โดยการวัดการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาของสินค้าและบริการกลุ่มหนึ่ง ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งระดับราคาของสินค้าและบริการ ใช้ชื่อว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index-CPI) ตัวอย่างการคำนวณอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน ซึ่งคือเดือนกุมภาพันธ์ 2549 เพื่อที่จะบอกว่าราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปแพงขึ้นหรือถูกลงเมื่อเปรียบเทียบกัน โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ที่ประกาศโดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า อยู่ที่ 114.5 ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ปี 2549 อยู่ที่ 111.9


 

ดังนั้น
อัตราเงินเฟ้อของเดือนกุมภาพันธ์ 2550   frac{{(114.5 - 111.9)}}{{111.9}} times 100 = 2.3%
ซึ่งอันนี้จะมีความหมายว่า ระดับราคาสินค้าและบริการโดยรวมมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน 2.3% หรือหากเรามีเงินจำนวนเท่าเดิมกับปีที่แล้ว ค่าของเงินที่เราถืออยู่จะด้อยค่าไป 2.3% ซึ่งทำให้ซื้อของได้น้อยลง


 


ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

ถ้าเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ๆ จะเกิดอะไรขึ้น?
โดยปกติแล้ว หากเงินเฟ้อสูงขึ้นนิด ๆ หน่อย ๆ (ปกติตามหลักวิชาการคือเงินเฟ้อที่สูงไม่เกิน 5% จะเรียกเงินเฟ้ออย่างอ่อน (Mild inflation)) จะเป็นสิ่งที่ดีที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุนขยายการผลิต และมีการจ้างงาน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้ดี ไม่มีผลเสียต่อเศรษฐกิจ แต่หากเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ๆ และสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนยากที่จะคาดเดาได้ว่าเงินเฟ้อจะเป็นเท่าไร (Hyper inflation) จะมีผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะจะทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถวางแผนการผลิตและลงทุนได้ เพราะไม่รู้ว่าวัตถุดิบที่จะซื้อเข้ามาราคาจะเป็นเท่าไร จะตั้งราคาสินค้าเท่าไร เพื่อให้ยังมีกำไร ขณะที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคเองก็ไม่แน่ใจว่าราคาสินค้าจะแพงขึ้นอีกหรือไม่ เงินจำนวนเท่าเดิมที่มีอยู่ในกระเป๋าก็ด้อยค่าลงไป เพราะข้าวของแพงขึ้น ทำให้ซื้อของได้น้อยลง ธุรกิจก็ขายของได้น้อยลง ซึ่งที่สุดแล้วจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศแย่ลงได้
โดยสรุปคือ ภาวะเงินเฟ้อใช้เพื่อวัดค่าครองชีพของประชาชน ภาวะเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นต่อเมื่อราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปสูงขึ้นต่อเนื่อง หากสูงขึ้นแล้วปรับลดลง จะไม่นับว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อในระดับอ่อนๆ จะไม่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ แต่หากเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงๆ จะทำให้ค่าของเงินที่เรามีอยู่ด้อยค่าลงไป ทำให้ซื้อของได้น้อยลง ธุรกิจไม่สามารถผลิตหรือลงทุนได้เพราะมีความไม่แน่นอนเรื่องราคาอยู่สูง ซึ่งจะมีผลกระทบทางลบต่อระบบเศรษฐกิจในที่สุด

Related link:
www.price.moc.go.th , www.bot.or.th

 

 

 

 

 

 

หมายเหตุ * ข้อมูลจริง
( ) รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนตุลาคม 2555
     

รายงานนโยบายการเงิน ย้อนหลัง

ประจำปี

- พม่า 36.9%

- ซิมบับเว 16170%

 

 

 

 

Everybody are billionaire....
(ทุก ๆ คนเป็นเศรษฐีพันล้าน)



To buy food in plastic packet......you have to spend at least 10 million
(ซื้ออาหารสำเร็จรูป...คุณต้องจ่ายเงินอย่างน้อย 10 ล้าน)



To buy vegetables.....5 million
(ซื้อผัก...5 ล้าน)



To buy Eggs...6000 million .....
(ซื้อไข่ไก่...6000 ล้าน)



To buy Chicken.....how many million?
(ซื้อไก่...จะกี่ล้านละเนี่ย)



If you want to eat in restaurant, please prepare the money........
(ถ้าคุณต้องการจะไปกินอาหารในร้านอาหารล่ะก็....กรุณา เตรียมเงิน)



After meal, have to drink...
(หลังอาหาร ก้อต้องดื่ม)



After getting montly salary.......you need to rent a taxi or lorry to bring back the money.....
(หลังจากได้รับเงินเดือน...คุณจำเป็นที่จะต้องเช่าแท ๊กซี่หรือรถบรรทุก เพื่อนำเงินกลับ)



Young kid....already become millionaire
(เด็กน้อย ก้อป็นเศรษฐีกันแล้ว)



Nobody want to count the money, just weight it.......
(ไม่มีใครใช้การนับเงิน ต้องใช้การชั่งน้ำหนักเอา)



Otherwise, this what you should do everytime you go to shop, market, bus station etc.....
(ไม่งั้นคุณต้องนับตลอดเวลาเมื่อคุณไปร้านค้า ,ตลาด ,สถานีรถประจำทาง ฯลฯ)

 

 

 

************************************************************

 

 

"หมอวรงค์" โพสต์เฟสบุ๊คเหน็บ "เต้น" หน้าแตกกลางสภาฯ ลั่นยินดีพิสูจน์ข้อเท็จจริงจำนำข้าว

 

วันที่ 9 ก.พ. นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.พิษณุโลก ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟสบุ๊คส่วนตัว (Warong Dechgitvigrom) ระบุถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เตรียมแจ้งความเอาผิดตน โดยจงใจนำข้าวมาปลอมแปลงประกอบการอภิปรายในสภาเพื่ออธิบายว่า เป็นข้าวในสต๊อกของรัฐบาลที่อยู่ในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า "ผมได้ตรวจสอบข่าวออนไลน์พบว่า ท่านอำมาตย์เต้นกำลังเต้นกับกระทู้ข้าวเน่า สงสัยคงหน้าแตกกลางสภาฯ เพราะเห็นหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ เลยแจ้งให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) มาดำเนินคดีกับผม ซึ่งผมว่าจะเป็นการดีมากเลยที่ท่านเต้น จะดำเนินคดีกับผมจริงๆ อย่างน้อยผมจะได้พิสูจน์ต่อสังคมว่า นิสัยผมถ้าไม่มีหลักฐานจริงหรือมีเอกสารยืนยันผมไม่พูดหรอก ผมไม่ใช่ประเภทบอกให้เผาจะรับผิดชอบเองแล้วไม่รับผิดชอบ ผมจะได้ขออำนาจศาลพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า โครงการรับจำนำข้าวนั้น "ทุจริตแบบไร้รอยต่อจริงๆ" ต้องย้ำว่า ข้าวเน่าไม่ใช่เน่าเพราะการจัดเก็บแต่เป็นการสมรู้ร่วมคิดเอาข้าวเน่ามายัด ใส่โกดังรัฐบาล และมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะกับพวกตรวจคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) ส่วนข้าวขาวดีๆ ไปอยู่ไหนนั้น ก็เอาไปขายซิ"

 

 

มติชน

 

///////////////////////

 

 

 

เมื่อวาน

 

 

 

รองผู้ว่าฯ ตำรวจ สื่อมวลชน และ จนท. อคส.อตก.ตรวจโกดังข้าว สร 04 ไม่มีปัญหาข้าวเสื่อมคุณภาพ ตามที่ ปชป.เอามาอ้าง

ตามที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้(7 ก.พ.) โดยในการพิจารณาวาระกระทู้ถามสดของ นายวรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรีถึงปัญหาการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของ รัฐบาล พร้อมนำถุงข้าวสาร 2 ถุง โดยระบุเป็นตัวอย่างข้าวเสื่อมคุณภาพที่ได้จากโกดังจังหวัดสุรินทร์ ของปี 2556 นั้น

วันนี้(8 ก.พ.) นายพิภพ ดำทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมคณะกรรมการโครงการรับจำนำข้าวจังหวัดสุรินทร์ ประกอบด้วย พานิชย์จังหวัด การค้าภายใน ตำรวจ สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่ อคส. อตก. และเจ้าหน้าที่ เซอร์เวย์เยอร์ ร่วมกันตรวจสอบข้าวสารที่คลังสินค้ากลาง ข้าวสาร อคส.ปี 2555/56 ที่ หจก.สหพืชผลท่าตูม เลขที่ 280 ม.7 ต.ท่าตูม อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นโกดังเพียงแห่งเดียวของจังหวัดที่เก็บข้าว( รหัส สร. 04 )ตามที่มีการกล่าวอ้าง ว่ามีข้าวเหลือง ข้าวไม่ได้คุณภาพ ปรากกฎว่า ข้าวที่ตรวจ เป็นข้าวสีขาวปกติและได้มาตรฐาน ไม่มีสิ่งเจือปนตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ซึ่งนายพิภพ ดำทองสุข กล่าวว่า คณะกรรมการตามโครงการรับจำนำข้าวของจังหวัดสุรินทร์ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของการรับจำนำข้าวทุกประการ และข้าวสารที่บรรจุกระสอบ รหัส สร.04 ก็มีอยู่ที่โกดังแห่งนี้เพียงแห่งเดียว ผลการตรวจสอบก็ได้มาตรฐานตามที่รัฐบาลกำหนด และโครงการนี้ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือเกษตรกรชาวนาทุกคน

ส่วนนายสมชาย พรเรืองวงศ์ เจ้าหน้าที่ เซอร์เวย์เยอร์ บริษัท อามานะ จำกัด ซึ่งเป็นกรรมการร่วมกันตรวจสอบข้าวสารที่โกดัง ของ อคส.ในจังหวัดสุรินทร์( รหัส สร. 04 ) กล่าวว่า การนำข้าวมาเก็บที่โกดังแห่งนี้ ได้ดำเนินการตามระเบียบทุกขั้นตอนที่จะนำข้าวมาเก็บในโกดัง คณะกรรมการได้ตรวจเช็คอย่างละเอียดทุกกระสอบก่อนที่จะนำมาเก็บยังโกดังของ อคส.และ อตก. นอกจากนี้ยังได้ทำการอบรมควันฆ่าแมลงครั้งแรกภายใน 45 วัน และจะดำเนินการครั้งต่อไปในทุกๆ30 วัน เพื่อป้องกันมอดและแมลงต่าง ๆ ที่จะทำให้ข้าวเสียหายได้ จึงขอยืนยันว่าข้าวตามรหัส สร 04 เป็นข้าวที่มีคุณภาพทุกกระสอบ

เดลินิวส์

///////////

 

 

 

จริงถ้าวารงสามารถชี้โกดังที่มาได้..และทำแบบไม่ได้ใส่ร้าย...ประชาชนจะเชียร์เยอะนะ

หากมีการปล่อยให้สลับเปลี่ยนเอาข้าวเน่า มาแทนข้าวดีได้

ผมก็จะด่าไม่เลี้ยงเหมือนกัน..แต่ขอหลักฐานที่ชัดๆหน่อย เท่านั้นเอง

แบกกระสอบข้าวทำด้วยป่าน...เข้ามาในสภา

 

ทำเหมือนชาวบ้านรู้ไม่ทัน...

สมัยนี้เขาใช้กระสอบใยสังเคราะห์เพื่อกันความชื้นกันเเล้ว.....

 

 

7 ก.พ.56
หมอวรงค์ตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสภาผู้เเทนราษฎร  :" ...เชื่อว่าไอ้พวกที่อ้างเสียงข้างมาก อ้างไร้รอยต่อ วันใดเข้าคูหากาบัตรต้องลงโทษ,,,,,,"

9 ก.พ.56
เลือกตั้งซ่อมพลบุรี เขต 4
พรรคเพื่อไทย 49,146 คะแนน (+10,284 คะแนน)
พรรคภูมิใจไทย 36,994 คะแนน (-7,872 คะแนน)

นโยบาย รับจำนำข้าว แผลงฤิทธ

ลพบุรี สิงหบุรี อ่างทอง ชัยนาท อยูธยา สุพรรณบุรี

แหล่งปลูกข้าวขนาดใหญ่ของประเทศ

คนลพบุรีเขาช่วยลงโทษพรรคเพื่อไทยให้แล้วนะ..คุณหมอ..................

 

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Mon May 20 03:40:12 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>