Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ศึกเป๊ปซี่ กับเอสโคล่า

ArjanPong | 26-04-2556 | เปิดดู 4130 | ความคิดเห็น 0

 

        [IMG]  

 
 
 
 
 

          พม่าอ้างกรรมสิทธิ์เหนือ 3 เกาะปัญหากลางทะเลอันดามัน

 


[IMG]

 

 

พม่าอ้างกรรมสิทธิ์เหนือ 3 เกาะปัญหากลางทะเลอันดามัน
ด้วยหลักฐานแผนที่ของอังกฤษ เอกชนระนองห่วงเป็นปมขัดแย้ง

พ.ต.แพ๊ตทูซ่า ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเมียนมาร์-ไทย ด้าน จ.เกาะสอง-ระนอง
หรือทีบีซี ได้แจ้งคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นของ จ.ระนอง
ระหว่างการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ว่า
ห้ามฝ่ายไทยหรือประชาชนไทยเข้าไปทำอะไรในพื้นที่เกาะที่ยังเป็นปัญหา 3 เกาะ คือ
- เกาะหลาม
- เกาะคัน
- เกาะขี้นก

เนื่องจากทางฝ่ายพม่าได้มีการตรวจสอบแผนที่ของอังกฤษที่จัดทำเกี่ยวกับแผนที่น่านน้ำทะเลอันดามันเมื่อปี ค.ศ.1939
พบว่าเกาะทั้ง 3เกาะ อยู่ในน่านน้ำของเมียนมาร์ ดังนั้นจึงแจ้งให้ฝ่ายไทยรับทราบ
นายนิตย์ อุ่ยเต็กเค่ง ที่ปรึกษาคณะกรรมการหอการค้า จ.ระนอง เปิดเผยว่า
ทางองค์กรภาคเอกชนจังหวัดระนอง กำลังหวั่นวิตกต่อกรณีปัญหาเขตพื้นที่ทับซ้อน
ตามแนวชายแดนไทย-พม่า ด้านจังหวัดระนอง
ซึ่งมีอยู่เกือบตลอดแนวพรมแดน ส่งผลให้เกิดกรณีปัญหาราษฏรไทย
เข้าไปบุกรุกในพื้นที่ที่ทับซ้อนจนเกิดปัญหาหลายครั้ง
รวมถึงปัญหาเกาะแก่งหลายเกาะที่ทั้งสองประเทศยังหาข้อสรุปร่วมกันไม่ได้
ส่งผลให้เกิดปัญหาระหว่างกันเช่นกัน

หากยังไม่มีการแก้ไขปัญหากรณีเขตพื้นที่ทับซ้อนที่มีอยู่หลายจุดเชื่อว่าในอนาคตจะกลายเป็นชนวนปัญหา
นำมาซึ่งความขัดแข้งเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแนวพรมแดนด้านประเทศกัมพูชาขณะนี้
โดยที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่ทั้งฝ่ายไทย และฝ่ายพม่าเกิดการรุกล้ำ
จนมีการประท้วงผ่านที่ประชุม ทีบีซี (TBC) อยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หาทางคลี่คลายในเรื่องนี้

 


[IMG]

 

 

สำหรับชายแดนด้านจังหวัดระนองมีปัญหาเรื่องเขตพื้นที่ทับซ้อนสำคัญ
คือ บริเวณเกาะสามเกาะบริเวณปากแม่น้ำกระบุรีที่ทั้งไทยและพม่าต่างก็อ้างสิทธิ์
คือเกาะหลาม เกาะคัน และเกาะขี้นก
เนื่องจากไม่ได้ระบุไว้ในแผนที่เขียว-แดง ที่แนบท้ายอนุสัญญาระหว่างสยามกับอังกฤษ ที่ทำขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1868

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องเกาะตายิ้มเนื้อที่ 7 ไร่ ในแม่น้ำกระบุรีหรือแม่น้ำปากจั่น ที่บ้านหาดจิก ต.ปากจั่น อ.กระบุรี
ที่พม่าก็อ้างสิทธิเช่นกัน และปัญหาการก่อสร้างเขื่อนกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำกระบุรี
ในพื้นที่ต.มะมุ อ.กระบุรี จำนวน 3 จุดที่พม่าประท้วงฝ่ายไทยมาโดยตลอด
ซึ่งทั้งหมดหากยังไม่มีการแก้ไขเชื่อว่าในอนาคตจะเกิดปัญหาอย่างแน่นอน

เส้นเขตแดนไทย-พม่า มีความยาวทั้งสิ้น 2,401 กิโลเมตร แบ่งเป็นเขตแดนทางบก 1,687 กิโลเมตร เขตแดนในแม่น้ำ 714 กิโลเมตร
ซึ่งที่จริงมีหลักเขตแดนหมดแล้ว แต่จากความไม่ชัดเจนของเขตแดนเนื่องจากแผนที่ และสนธิสัญญาต่าง ๆ
ในอดีตยังไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่มีความละเอียด จึงทำให้แนวเขตแดนมีปัญหา

รวมทั้งการกัดเซาะชายฝั่งของแม่น้ำระหว่างประเทศ
ซึ่งมีสนธิสัญญาและแผนที่ที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนไทย-พม่า รวม 8 ฉบับ แต่ที่หลัก ๆ อยู่ 3 ฉบับ
แต่เกี่ยวข้องกับเขตแดนจังหวัดระนอง 1 ฉบับคือ อนุสัญญาปี ค.ศ.1868

by.@navy.mi.th/thaibizcenter/mcot


********************************
[IMG]

 

 

นี่แหละผลที่รัฐบาลมองข้ามปัญหาเล็กๆที่ผมเคยเกริ่นไว้ช่วงสงกรานต์ที่ข่าวที่ผมเคยลงไว้ที่ว่าชาวบ้าน
ที่รุกล้ำป่าในพม่าที่ถูกขับทหารพม่าขับไล่ออกมา
ภายหลังก็มีการบุกสังหารทหารพม่าหลายสิบนายที่ข่าวว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่าย
ที่ผมตั้งข้อสังเกตุว่าไม่ใช่ชาวบ้านแน่นอนที่จะกระทำอย่างนั้นได้

การสร้างประเด็นขัดแย้งชายแดนเพื่อปลุกกระแสชาตินิยมที่สอดคล้องกับบทบาทช่วงทักษิณไปเยือนทวาย
เราก็รู้กันว่าทักษิณมีอิทธิพลต่อรัฐบาล การที่พม่าอ้างสิทธิ์ในเกาะ แน่นอนพม่ามองฉวยโอกาสเหมาะสมประโยชน์ที่จะใด้จากไทย
เพื่อแรกอะไร?ในโครงการทวายอย่างแน่นอน

          

 

**********************************************

 

 

 

[IMG]

[IMG]

************************************


ผมว่าการออกกฏหมานพร่ำเพื่อมกเกินความจำเป็นไป
ความศักดิ์สิทิทธิ์ไปในการใช้หรือควบคุมก็ถูกละเลยให้ความสำคัญจากเจ้าหน้าที่
แต่หากจะเกิดเป็นการส่งเสริมอำนาจให้เจ้าหน้าที่หยิบยกมาเป็นการเอื้อประโยชน์
ในการรีดไถหาประโยชน์กับประชาชนซะมากกว่า

เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับวิถีคุณภาพชีวิตของผู้คน
สังคมจะปรับปรุงเองรัฐไม้ต้องมาเกี่ยวข้องมากนัก
ในสถานบริการต่างๆเขาแข่งขันกันอยู่แล้ว
อย่าไปสร้างภาระกับผู้ที่เขาไม่พร้อมเลย อย่าหวังดีประสงค์ร้ายต่อประชาชน
เพราะแต่ละโถราคาไม่ถูกนะครับ ประโยชน์นะตกที่ใครถ้าไม่ใช่บริษัทขายผลิตภันฑ์
ที่เทวดาครองตลาดอยู่ อย่าเอาใจมากนักเลย ชักชัดเจนเข้าทุกทีแล้วนะ 

 


เป็นไอเดียที่ดีครับ โถส้วมยกสูง
บางท่านอาจจะห่วงเรื่องความสะอาดในห้องน้ำสาธารณธะ ก็ว่ากันไป
..............................................................................................................
ข้อดีของมันคือ
ท่านั่งสูงจะไม่ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นโลหิตใหญ่
เนื่องจากโลหิตไหลเวียนไม่สะดวก โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำ
หรือวัยกลางคนและคนสูงอายุครับ
กรณีนั่งนานๆ กับโถส้วมแบบราบ ตอนลุกขึ้นอาจทำให้หน้ามืดเป็นลม ล้มหัวฟาดพื้นได้ครับ
.........................................................
การบาดเจ็บจากการหกล้มในห้องน้ำ เพราะหน้ามืด มีอันตรายครับ
1. เป็นที่มิดชิด ไม่มีคนเห็น การช่วยเหลืออาจไม่ทันท่วงที
2. คนสูงวัยอาจมีปัญหาเรื่องกระดูกและข้อครับ ถ้าได้รับการกระแทก อาจกระดูกแตก
หรือเบ้าข้อต่อตามจุดหมุนต่างๆ เช่น หัวเข่า สะโพก กระดูกสันหลัง อาจเป็นอันตรายได้...
3. ถ้ากรณีหัวฟาดพื้น อาจมีอันตรายถึงชีวิตครับ หรืออาจนอนเป็นผัก เป็นอัมพาต
เป็นเจ้าหญิง(ชาย) นิทรา ให้เป็นภาระของพ่อแม่ ญาติ พี่น้องครับ..

อื่นๆ
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อต่อจุดหมุน ต้องใช้เงินหลักแสนขึ้นไปครับ
(บางท่านอาจมีประกันชีวิต ประกันสังคม ก็จ่ายเท่ากัน เพียงแต่ท่านไม่ได้จ่ายเองเท่านั้น)

ชักโครกสกปรกกว่ามาก ทำความสะอาดก็ยาก
และต้องนั่งบนแผ่นรองนั่งแผ่นเดียวกัน
บางคนเป็นโรคผิวหนัง ฯลฯ ก็ติดต่อกันง่าย
แต่ส้วมนั่งยอง ไม่ต้องนั่งบนแผ่นรองนั่งเดียวกัน
เพียงแต่นั่งลำบากเท่านั้นเอง

 

หากรัฐไม่ดัจจริตนักเอาเรื่องปรับปรุงห้องส้วมบนรถไฟก่อนดีมั้ย
แสนโคตรสกปรกที่สุดอีกทั้งเป็นการแพร่กระจายเชื้อโรคที่เร็วและแพร่สู่ทั่วพื้นที่ประเทศไทย
ใด้เร็วที่สุดด้วย ที่ขี้ลงรางรถไฟตลอดเส้นทางทั้งขี้เยี่ยวน้ำทิ้งสารพัด
แค่นี้ทำหรือยังทั้งที่อยู่ในการบริหารจัดการของรัฐนะครับ

มีหลายสถานที่ๆของสุขาของรัฐที่ให้บริการประชานชน
แสนจะสกปรกขนาดสร้างส้วมเงินแสนที่ไม่มีใครใช้งาน
ส้วมเงินแสนที่ช้าวบ้านสร้างกันไม่กี่ตังค์อยากเห็นในลำปางนี่แหละมีให้ดู
ชาวบ้านร้องด่านักการเมืองขี้ฉ้อแดกส้วมมาแล้วเมื่อสี่ห้าปี่ก่อน

 

**************************

 

 

ผงซักฟอก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นงนุช ตั้งเกริกโอฬาร

ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์

มหาวิทยาลัยบูรพา


ผงซักฟอกหรือที่เราเรียกติดปากว่า “แฟ๊บ” เป็นสินค้าอุปโภคที่จำเป็นอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน มีคุณสมบัติในการชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มและภาชนะ ต่างๆ ปัจจุบันในท้องตลาดมีการผลิตผงซักฟอกออกมามากมายหลายยี่ห้อ หลายรูปแบบ หลายสูตร ท่านทราบหรือไม่คะว่า ผงซักฟอกมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เริ่มมีการใช้ผงซักฟอกครั้งแรกเมื่อไร ผงซักฟอกมีองค์ประกอบเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันค่ะ

ผงซักฟอกถูกผลิตขึ้นใช้ป็นครั้งแรกในประเทศเยอรมันในสมัยช่วงสงครามโลกครั้ง ที่ 1 ทั้งนี้ เนื่องจากในขณะนั้นไขวัวและน้ำมันพืชซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสบู่ เกิดการขาดแคลน นักวิทยาศาสตร์จึงได้คิดค้นสารสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่เพื่อใช้แทนสบู่ หลังจากนั้นเป็นต้นมาจึงได้มีการค้นคว้าพัฒนาสูตรผงซักฟอกมากมายพร้อมกับการ เกิดความนิยมในการใช้ผงซักฟอกอย่างรวดเร็ว สำหรับในประเทศไทยนั้น บริษัทหลุยส์ทีเลียวโนเวนส์ จำกัด ได้นำเข้าผงซักฟอกยี่ห้อ “แฟ้บ“ จากต่างประเทศมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้แทนสบู่ในการซักเสื้อผ้าและชำระล้างสิ่งสกปรกอื่นๆ ปรากฏว่าเป็นที่นิยมของประชาชนโดยทั่วไป เพราะสามารถชำระล้างสิ่งสกปรกได้ดีกว่าสบู่และสะดวกในการใช้มากกว่า และในปี พ.ศ. 2500 บริษัท คอลเกตปาล์มโอลีฟ จำกัด จึงได้ตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายผงซักฟอกยี่ห้อ “แฟ้บ” ในประเทศไทยขึ้น และต่อมาได้มีผู้ผลิตผงซักฟอกเกิดขึ้นอีกหลายบริษัท มีการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันผงซักฟอกได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด ค่อนข้างสูง ผู้ผลิตจึงต้องปรับปรุงคุณภาพและรูปลักษณ์อยู่เสมอๆ จึงทำให้ในปัจจุบันได้มีผงซักฟอกสูตรต่างๆ วางขายกันตามท้องตลาดมากมาย

ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม คำว่า “ผงซักฟอก” หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่มีสารลดแรงตึงผิวชนิดสังเคราะห์และ/หรือชนิดธรรมชาติเป็น ส่วนประกอบหลัก เป็นเกลือของกรดซัลโฟนิก มีสมบัติชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายได้เช่นเดียวกับสบู่ สำหรับใช้ซักผ้า ครอบคลุมถึง ผงซักฟอกที่มีลักษณะเป็นผง เม็ดเล็กๆ หรือเกล็ด อัดขึ้นรูป กึ่งแข็งกึ่งเหลว แท่ง หรือลักษณะอื่น แต่ไม่ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดเหลว ผงซักฟอกแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ ชนิดซักฟอกด้วยมือ ชนิดซักฟอกด้วยเครื่องซักผ้า และชนิดซักฟอกด้วยมือหรือเครื่องซักผ้า ผงซักฟอกมีส่วนประกอบใหญ่ๆ 2 ชนิด คือ ส่วนประกอบหลัก ที่จำเป็นต้องมีอยู่ในส่วนผสม และส่วนประกอบรองที่อาจมีหรือไม่มีอยู่ในส่วนผสมก็ได้

สารประกอบหลักของผงซักฟอกมี 5 ชนิด คือ

1. สารลดแรงตึงผิว หมายถึง สารซึ่งเมื่อละลายในน้ำแล้วจะช่วยลดแรงตึงผิวของน้ำ ทำให้คราบสกปรกที่ติดอยู่กับเนื้อผ้าหลุดออกได้ง่าย อาจเป็นชนิดสังเคราะห์และ/หรือชนิดธรรมชาติ เป็นสารเคมีประเภท แอนไอออนิก (anionic) แคทไอออนิก (cationic) หรือนอนไอออนิก (nonionic) ประเภท ใดประเภทหนึ่งหรือผสมกัน ปัจจุบันสารที่ผู้ผลิตนิยมใช้คือ สารลิเนียอัลคีลเบนซีนซัลโฟเนท (Linear Alkylbenzensulfonate หรือ LAS)

2. สารลดความกระด้างของน้ำ หมายถึง สารที่ลดความกระด้างของน้ำ สารนี้ไม่ได้ช่วยให้สิ่งสกปรกหลุดออกจากเนื้อผ้าโดยตรง แต่จะช่วยให้สารลดแรงตึงผิวมีประสิทธิภาพดีขึ้น สารที่ผู้ผลิตนิยมใช้กันมาก คือ โซเดียมไทรโพลิฟอสเฟต (Sodium Tripolyphosphate : STPP) ซึ่งในในปัจจุบันเกิดข้อกล่าวหาว่าฟอสเฟตที่เคยใช้เป็นสารลดความกระด้างนี้ เป็นตัวการทำลายแหล่งน้ำ จึงได้เริ่มมีการลดการใช้ฟอสเฟตลงและใช้สารซีโอไลท์แทนในผงซักฟอกบางยี่ห้อ

3. สารรักษาระดับความเป็นด่าง หมายถึง สารที่รักษาระดับความเป็นด่างให้คงที่ตลอดช่วงการใช้งาน ป้องกันการกัดกร่อนของภาชนะที่ทำด้วยโลหะที่ใช้ในการซักและช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพการทำงานของสารลดแรงตึงผิว ได้แก่ โซเดียมซิลิเกต และโซเดียมคาร์บอเนต

4. สารกันคราบคืน หมายถึง สารที่ช่วยไม่ให้คราบหรือสิ่งสกปรกที่หลุดออกไปแล้ว กลับมาจับผ้าอีกขณะซัก เช่น โซเดียมคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (Sodium Carboxymethylcellulose)

5. สารเพิ่มความสดใส หมายถึง สารที่สามารถดูดแสงอัลตราไวโอเลต แล้วให้แสงที่ทำให้ผ้าดูสดใสยิ่งขึ้นเช่น ไทโนพัล ดีเอ็มเอส (Tinopal DMS)

ส่วนประกอบรองหรือส่วนประกอบที่อาจมีได้ที่ผู้ผลิตได้ใส่ลงไปในผงซักฟอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผงซักฟอกและดึงดูดใจลูกค้า สารเหล่านี้มีอยู่ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น ได้แก่ สารเพิ่มฟองหรือสารลดฟอง สารฟอกและสารฟอกต้นตอรวมทั้งสารคงสภาพสำหรับสารฟอกต้นตอ สารช่วยการละลาย สารกันหมอง แอนติออกซิแดนต์ เอนไซม์ น้ำหอม สี สารกันการจับตัวเป็นก้อน สารช่วยขับสิ่งสกปรก สารต้านจุลินทรีย์ สารละมุน สารคงสภาพการเก็บรักษา สารช่วยให้ผ้านุ่ม สารกันไฟฟ้าสถิตย์ สารกันการกัดกร่อนและสารอื่นๆ

แม้ผงซักฟอกจะเป็นสินค้าอุปโภคที่ช่วยทำให้ชีวิตประจำวันของมนุษย์มีความ สะดวกสบายขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนประกอบที่มีอยู่ในผงซักฟอกนั้นก็จัดเป็นสารเคมี หากมีการสะสมอยู่ในแหล่งน้ำมากๆ อาจเกิดผลเสียหรือมลภาวะของสิ่งแวดล้อม เช่น สารพวกฟอสเฟตเที่มีอยู่ในผงซักฟอก เมื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ อาจกลายเป็นปุ๋ยทำให้พืชน้ำเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งขัดขวางการคมนาคมทางน้ำ ทำลายทัศนียภาพของแหล่งน้ำ และเมื่อพืชน้ำตายลง ทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำเกิดการขาดออกซิเจนและตายลงได้ น้ำซักล้างต่างๆ ที่เกิดจากกิจกรรมการใช้ผงซักฟอกทั้งภายในบ้านเรือนหรือภายนอก โดยเฉพาะจากร้านค้าหรือสถานบริการที่รับซักรีดเสื้อผ้าที่ปัจจุบันพบเห็น อยู่เป็นจำนวนมาก สถานที่เหล่านี้จัดเป็นแหล่งกำเนิดของน้ำซักล้างที่เกิดจากการใช้ผงซักฟอก มากที่สุด ดังนั้นจึงควรที่จะมีมาตรการในการควบคุมและบังคับให้มีการบำบัดน้ำทิ้ง ประเภทนี้เสียก่อนที่จะระบายลงสู่แม่น้ำลำคลอง เพื่อช่วยลดมลภาวะน้ำเสียที่เกิดจากการใช้ผงซักฟอกต่อไป

 

 

****************************

 

 

 

ภาพ...นี้ไม่มีคำอธิบาย(เพราะชั่วจริงๆ)
เรียนสูงแต่...จิตใจ สติปัญญาต่ำ ไร้คุณธรรม....
 

[ภาพ: dBqu8H.jpg]


มนุษย์ที่ไม่น่าจะประกอบอาชีพที่"หมอ"ที่ต้องเสียสละทั้งกำลังกาย กำลังใจกับเพื่อนมนุษย์ที่เป็นคนไทยด้วยกัน
อยากถามคนพวกนี้ว่า คนปรกติไม่เจ็บป่วยจริงๆเค้าเดือดร้อนจริงมีใครอยากจะไปโรงพยาบาลบ้าง
โดยเฉพาะคนจนต้องไปอาศัยการบริการโรงพยาบาลของรัฐที่พวกคุณทำงานอยู่
ถ้าจิตใจของพวกคุณคิดแต่แสวงหาผลประโยชน์ก็ลาออกไปทำงานโรงพยาบาลเอกชน หรือเปิดคลีนิค"หาแดรก"ซะไป

 

 

 สังคมของแพทย์ปัจจุบัน มันเป็นแบบนี้จริงๆครับ อะไร?ไม่ว่า เงินต้องมาก่อน

โดยเฉพาะ"แพทย์เฉพาะทาง" ถ้าโรคไหน?รักษายาก แพทย์เฉพาะทางโรคนั้นๆ

จะอู้ฟู่ร่ำรวย จนลืมจริยธรรมที่สถาบันเขาสั่งสอนมา....

แพทย์นิสัยเห็นแก่ได้พวกนี้ก็เปรียบเสมือนเหลือบในวงการแพทย์ แต่ก็ยังมีแพทย์ที่จิตใจ

โอบอ้อมอารีย์ที่กำพืดของพวกเขามาจากชนชั้นรากหญ้าอีกไม่น้อย แต่แพทย์เหล่านี้กลับไปอยู่ใน

พื้นที่ธุระกันดาน เพราะการแบ่งชนชั้นในสังคมแพทย์ทุกสถาบัน

 

อย่านี้เรียกจับเอาผู้ป่วยเป็นตัวประกัน จรรยาบรรณแพทย์ อยู่ไหนจ๊ะ คุณหมอขา
 
 
 
 

เปิดใจ หมอ 5 บาท ความดีไม่มีเกษียณ

 

 

ข่าว บทความ สุขภาพ เปิดใจ หมอ 5 บาท วัย 74 ปี ความดีไม่มีเกษียณรักษาทุก โรคโดย รศ.นพ.สภา ลิมพาณิชย์การ หรือ หมอ 5 บาท ฉายาที่ได้มาจากการคิดค่ารักษา สุขภาพ ผู้ป่วยในราคาเริ่มต้นเพียง 5 บาท แม้สภาพร่างกาย หมอ 5 บาท จะร่วงโรยไปตามสังขาร แต่ตราบใดที่มีลมหายใจก็จะรักษาต่อไป อ่าน ข่าว บทความ สุขภาพ เปิดใจ หมอ 5 บาท ได้ที่นี่

 


 

 

 

ภายในโรงพยาบาลศิริราช มีคุณหมอท่าทางใจดีในวัย 74 ปีนั่งทำงานอยู่บนชั้น 2 ตึกผู้ป่วยนอกเก่า อันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเวชนิทัศน์ หน่วยงานในสถานเทคโนโลยีการศึกษาแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล คุณหมอท่านนี้เกษียณอายุมาแล้ว 14 ปี แต่ด้วยความรักในวิชาชีพจึงไม่ยอมเกษียณตัวเองออกจากหน้าที่ ทั้งการเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาสอนหนังสือและการดูแลรักษาคนไข้

 

หลังเลิกงานประมาณ 5 โมงเย็น คุณหมอจะขับรถจากศิริราชไปเปิดคลินิกในซอยระนอง 1 ถนนพระราม 5 โดยใช้ชื่อคลินิกว่า "สำนักงานแพทย์" ของ รศ.นพ.สภา ลิมพาณิชย์การ ผู้ซึ่งได้ฉายาว่า "หมอ 5 บาท" มาจากการคิดค่ารักษาในราคาแสนถูกเริ่มต้นเพียง 5 บาทสำหรับคนที่ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้หวัด

 

คลินิกของคุณหมอสภาเปิดมาตั้งแต่ พ.ศ.2507 โดยรับรักษาโรคทั่วไป จะเก็บเงินเฉพาะค่ายาและเวชภัณฑ์เท่านั้น โดยไม่คิดค่าตรวจวินิจฉัยโรค แต่ถ้าหากผู้ป่วยมาบอกว่าไม่มีเงินจริงๆ ก็ไม่คิดเงิน หรือหากมีไม่พอจะให้เท่าไหร่ก็ได้ เพราะหมอสภาไม่ต้องการให้ผู้ป่วยไปซื้อยารับประทาน

 

"สาเหตุที่ยังทำงานอยู่เพราะเป็นความเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้ และยังรู้สึกเป็นห่วงคนไข้ ห่วงงานที่โรงเรียนด้วย ส่วนการเก็บค่ายาถูกเพราะไม่อยากให้เขาไปซื้อยากินเองตามความเคยชินของคนไทยที่มักจะไปร้านขายยาโดยไม่มีใบสั่งแพทย์ ผลเสียคือ ผู้ป่วยจะไม่รู้ว่าตนเองแพ้ยาชนิดนั้นหรือไม่ และจะทำให้ดื้อยาอีกด้วย แต่ผมจะแนะนำด้วยว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างถึงจะหายป่วย ที่ผ่านมายังไม่มีผู้ป่วยได้ยาที่คลินิกผมไปแล้วมีอาการดื้อยาหรือแพ้ยา และจะให้ยาไปกิน 2 วันเท่านั้นเพราะไม่ต้องการให้เอายาไปทิ้งขว้าง เวลาจ่ายยาจะถามว่ามียาอะไรเหลืออยู่ที่บ้านจะได้ไม่ให้ซ้ำ" หมอสภากล่าว

 

ทุกวันนี้คุณหมอผู้เสียสละยังไม่เคยคิดว่าคลินิกจะได้กำไรหรือขาดทุน เพราะไม่ได้ลงทุนสูงเท่าคลินิกอื่นๆ มีค่าใช้จ่ายแต่เพียงตัวยาเท่านั้นที่จะสั่งซื้อจากบริษัทที่ได้ลิขสิทธิ์มาผลิตยาในไทย เวลาสั่งซื้อแต่ละครั้งจะสั่งจำนวนมากๆ ซึ่งได้ราคาถูก ประหยัดเงินได้มาก แต่ช่วงหลังๆ สั่งซื้อจำนวนน้อยลง ทางบริษัทผลิตยาก็ยังขายในราคาเดิมเป็นการช่วยเหลือกัน

 

"ถ้ามารักษากับผมไม่ต้องเอามาเกิน 100 บาท เพราะคิดแค่ค่ายาในราคาถูกมากๆ เช่นปวดหัวเป็นหวัดคิดแค่ 5 บาท ถ้าเจ็บคอมียาฆ่าเชื้อแก้อักเสบคิด 40 บาท ส่วนรายได้ต่อวันนั้นผมไม่รู้ว่าได้เท่าไหร่ไม่เคยนับ เมื่อได้เงินมาก็จะเก็บไว้เป็นทุนซื้อยา แต่เวลาซื้อจริงๆ ไม่พอต้องถอนเงินตัวเองที่ได้หลังจากเกษียณและเงินจากการเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนเวชนิทัศน์มาซื้อยา"

 

เรื่องคิดค่ารักษาถูกนี้ คุณหมอสภาถ่อมตัวว่าไม่ใช่เพราะอุดมการณ์ใดๆ แต่มาจากการที่ในวัยเด็ก คุณหมอเป็นเด็กขี้โรค ตอน 4 ขวบเป็นโรคคอตีบ โตขึ้นเป็นโรคไทฟอยด์ ต่อมาก็ปอดบวม คุณแม่จึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ เห็นท่านเสียเงินค่ารักษาเยอะจึงสอนให้รู้จักประหยัดอดออม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมื่อมาเปิดร้านคลินิกจึงคิดค่ารักษาแพงๆ ไม่ลง

 

ชีวิตประจำวันของคุณหมอสภา หลังเกษียณอายุมาได้ 14 ปีแล้วแต่ยังคงเดินทางมาทำงานที่โรงพยาบาลศิริราช ทุกวันจันทร์-ศุกร์จนถึง 5 โมงเย็น โดยจะเป็นอาจารย์สอนวิชาเกี่ยวกับภายวิภาค งานถ่ายภาพ วิดีโอ เขียนภาพทางการแพทย์ การปั้นหุ่นจำลองและการทำสื่อทางการแพทย์ทั้งหมด หลังจากนั้นจะขับรถมาไปเปิดคลินิกประมาณ 6 โมงครึ่งถึง 2 ทุ่ม ปิดวันเสาร์และเปิดวันอาทิตย์ ตั้งแต่เปิดคลินิก คนไข้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกซอยระนอง 1 ซึ่งมีหลายครอบครัวเป็นคนไข้ประจำคุณหมอสภานานหลายสิบปี บางคนมาจากต่างจังหวัด

 

สาเหตุที่ทำให้คลินิกรักษาโรคทุกวันนี้มีค่ารักษาแพง คุณหมอชี้ว่ามีปัจจัยจากสภาพแวดล้อมทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ ถ้าลงทุนสูง ค่าเช่าแพง ตกแต่งร้านสวยงามก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องคิดค่ารักษาพยาบาลแพง และคนส่วนใหญ่ก็มองว่าคลินิกที่ดูดีก็น่าจะรักษาดีกว่า แต่ความจริงแล้วคุณภาพยาแทบไม่ต่างกันเลย

 

ส่วนจรรยาบรรณของแพทย์ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ ที่มีเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม จิตใจคนเราก็เปลี่ยนไป การช่วยเหลือกันมันน้อยลง เรื่องคดีความระหว่างคนไข้กับหมอที่เกิดขึ้นมากในเวลานี้เพราะเป็นวิวัฒนาการที่เรากำลังวิ่งตามต่างประเทศ สมัยก่อนคนไทยไม่กล้าฟ้องเรียกค่าเสียหายกับหมอ แต่เดี๋ยวนี้เมื่อคนมีความรู้มากขึ้น สื่อนำเสนอข่าวมากขึ้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หมอจะถูกคนไข้ฟ้อง เพราะไปทำเขาเสียหายและยังเก็บค่ารักษาแพงอีก

 

"อีก 10 ปีข้างหน้า จะขาดแคลนบุคคลที่จะเป็นอาจารย์แพทย์ เพราะปัจจุบันมีแพทย์ที่สนใจจะทำงานในโรงเรียนน้อยลง เพราะการเป็นอาจารย์แพทย์ต้องเสียสละเวลาที่จะถ่ายทอดความรู้นักศึกษา เอาใจใส่ในการสอน มีความชำนาญ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสอนได้ ขึ้นอยู่กับทักษะการถ่ายทอดความรู้ให้นักศึกษาและความรักในอาชีพแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งยังไม่มีเวลาเปิดคลินิกส่วนตัวหารายได้มากเท่ากับแพทย์เฉพาะทาง" คุณหมอ 5 บาทกล่าว

 

แม้สภาพร่างกายจะร่วงโรยไปตามสังขาร แต่ตราบใดที่คุณหมอสภายังมีลมหายใจ คลินิกรักษาโรค 5 บาท ยังต้อนรับให้คนไข้มารักษาอยู่เสมอ

 

 

 

**************************************************************************

 

ศึกเป๊ปซี่ กับ เอส โคล่า มหากาพย์การตลาดไทย

 

                                        

 

 

posted on 30 Nov 2012 11:06 by ajarn-manit

 

ตกใจ ใจหาย และเสียดาย เมื่อเห็นพาดหัวข่าวเรื่องรักร้าว “เป๊ปซี่” และบริษัทเสริมสุข ถือว่าเป็นเรื่องสงครามการตลาดที่ต้องติดตามกันตาไม่กระพริบ และเก็บไว้เป็นกรณีศึกษาต่อไป

 

นี่ตรงกับวิชาที่ผมกำลังสอน “ยุทธศาสตร์การตลาด” ที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬา ตอนนี้เปี๊ยบเลย ลูกศิษย์ก็พยายามคาดคั้นตอบให้ได้ว่า อาจารย์ว่าใครจะชนะครับ

 

ผมก็เลยลองให้ยกมือว่าในนี้ใครเป็นแฟนโค๊กบ้าง ก็ยกมือกันหลายคน พอถามว่าใครเป็นแฟนเป๊ปซี่บ้างคราวนี้ยกมือกันสลอน ผมก็เลยให้วิเคราะห์กันเองสนุกสนานดีเพราะเพิ่งสอนเรื่อง “The Power of Brand” ไปหยก ๆ พอผมให้ยกมือว่าใครจะเปลี่ยนไปเป็น เอส บ้าง ไม่มีใครยกมือเลย แสดงว่าอะไร เป็นสัญญาณบอกอะไร

 

ครับ ศึกเป๊ปซี่ กับ เครื่องดื่มใหม่ “เอส โคล่า” ไทยครั้งนี้ ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์แบบ Frontal Attack หรือที่ผมเรียกว่า “ชนช้าง” เพราะเป็นศึกช้างไทยชนกับยักษ์ใหญ่ระดับโลกของอเมริกา ส่วนใครจะอยู่ใครจะไปเดี๋ยวเราค่อยมาวิเคราะห์กัน เพราะเป็นมวยระดับเฮฟวี่เวททั้งคู่

 

ผมยอมรับว่าตกข่าวไม่ได้ติดตามวงการน้ำอัดลมที่มีการเคลื่อนไหวใหญ่มาตั้งแต่ปี 2010 เมื่อกลุ่ม Pepsi Co. ยักษ์ใหญ๋วงการน้ำดำของโลกขอซื้อหุ้นบริษัทเสริมสุข (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย Pepsi จนเป็นอันดับหนึ่งของตลาดน้ำดำในเมืองไทยมาตั้งแต่ปี 2495

 

ผลสุดท้ายการเจรจาไม่สำเร็จ กลายเป็นกลุ่มไทยเบฟ หรือเบียร์ช้างเป็นผู้เข้าไปเทคโอเวอร์ กลายเป็นการเปิดศึกใหญ่สะเทือนวงการน้ำดำเมืองไทย เมื่อ Pepsi Co. เจ้าของแบรนด์เป๊ปซี่ เอาแบรนด์คืน และ วันที่ ๒ พฤศจิกายนนี้ บริษัทเสริมสุข ใหม่ภายใต้ร่มเบียร์ช้าง ก็ส่งน้ำโคล่า ยี่ห้อใหม่ ชื่อ เอส (ภาษาอังกฤษ Est…) เข้าช่วงชิงตลาด น้ำดำ ๓๘,๐๐๐ ล้านบาทซึ่ง Pepsi มีส่วนแบ่งตลาดกว่าครึ่ง

 

งานนี้ถือเป็นการพิสูจน์ว่าระหว่าง “Power of Distribution” กับ “Power of Brand” ใครจะชนะ สนุกครับ

 

อันที่จริงถ้าจะให้ถือหาง ผมก็อยากจะเชียร์บริษัทเสริมสุข ซึ่งมีคุณทรง บุลสุข เป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งผมให้การคารวะอย่างสูงและสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ก็ยกย่องให้ท่านเข้าทำเนียบ ThaiMarketing Man Hall of Fame โดยเฉพาะคุณสมชาย บุลสุขซึ่งสนิทสนมกับผมดีในฐานะเพื่อนในวงธุรกิจ เพราะสิ่งที่คุณทรง สร้างเกียรติประวัติไว้คือทำให้ Pepsi ในเมืองไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่ชนะ Coca-Cola ซึ่งไม่มีใครทำได้มาก่อน จนฝรั่งอเมริกันต้องยกทัพมาศึกษากรณีของเมืองไทยว่า ทำไมเอาชนะโค๊กผู้ยิ่งใหญ่ได้ และให้รางวัลอย่างยิ่งใหญ่ให้สายสะพายเกียรติยศแบบวีรบุรุษของ Pepsi โลก

 

สิ่งที่ฝรั่งอเมริกันแปลกใจคือ Pepsi ในเมืองไทยรสชาติหวานกว่าโค๊ก แม้จะซ่าน้อยกว่า แต่กลับถูกปากคนไทยมากกว่า ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่บริษัทแม่นำไปคิดปรับสูตรและทำวิจัยกันเป็นการใหญ่ เพราะที่อเมริกานั้น Pepsi ยังมีส่วนแบ่งในตลาดห่างไกลจาก CocaCola มากนัก และในที่สุด Pepsi ก็ค้นพบสูตรสำเร็จ สร้างรสชาติที่ถูกปากคนอเมริกันมากกว่า จนออกแคมเปญ PepsiChallenge ในปี 1985 ท้าทายให้คนอเมริกันพิสูจน์ (Blind Test) จน CocaCola ทนนิ่งอยู่ไม่ไหวสุดท้าย CEO ชาวคิวบาต้องประกาศปรับสูตรเป็น New Coke เพื่อเป็นการตอบโต้ แต่กลายเป็นความหายนะครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์การตลาด เมื่อลูกค้าเก่าของ CocaCola ออกมาตอบโต้เรียกร้องขอสูตรเดิมคืน ทำให้ต้องออกสูตรเก่ามาเป็น CokeClassic และสุดท้ายก็ต้องยกเลิก New Coke ไป

 

แต่โชคชะตายิ่งกลับมาเข้าข้าง Pepsi เมื่อ CEO คนใหม่ คือ Roger Enrico สามารถช้อคคนทั้งโลกได้ด้วยการแอบไปเจรจากับ Michael Jackson ซึ่งกำลังดังระเบิดโลกยุคนั้น ให้มาปรากฎตัวในโฆษณา “Choice of the New Generation” เป็นแคมเปญที่ยิ่งใหญ่สุดพลิกประวัติศาสตร์ทำให้ Pepsi สามารถเฉือนโค๊กแย่งส่วนแบ่งความเป็นผู้นำตลาดได้เป็นครั้งแรก (หนังสือ The Other Guy blinks โดย Roger Enrico)

 

ครับที่เล่ามายืดยาวนี้เพื่อเป็นการปูพื้น ศึก Cola War ระดับโลก ซึ่งต่างระดมยุทธศาสตร์เชือดเฉือนกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันมาเป็นร้อยปี เพราะโคคา โคล่า เกิดก่อนหลายสิบปี กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนอเมริกันเห็นกันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง เป็นเจ้ายุทธจักรที่ยิ่งยงไร้เทียมทานและไม่มีใครเอาชนะได้เลย จนกระทั่งเกิดเรื่องเสียหน้าครั้งแรกคือ ในเมืองไทยนี่เองที่ Pepsi เอาชนะ โค๊ก มาได้ตลอด (จนกระทั่งทุกวันนี้) เป็นเพราะความประมาทและ Ego ของ โค๊กในเมืองไทยเอง

 

ผมเองจับพลัดจับพลูไปเกี่ยวข้องกับ Cola War นิดหน่อยในปี 1970 เพราะช่วงนั้น ผมเป็น Copywriter อยู่ที่ (Ling) McCann Erickson เอเยนซีโฆษณาของ Coca Cola ทั่วโลก มีหน้าที่โดยตรงในการแปลแคมเปญของ Coca Cola ระดับโลกให้เป็นภาษาไทย ตอนนั้นแคมเปญที่ใหญ่มากคือ “It’s the real thing” ซึ่งออกมาตั้งใจฟัน Pepsi ตรง ๆ ว่า Coca Cola คือของแท้ และ เจ๋งจริง ๆ ส่วน Pepsi เป็นของเลียนแบบ ซึ่งเดิมผมจะแปลว่า โคคา โคล่า คือของแท้ ตรง ก็ดูสะเหร่อ และไม่เข้ากับเพลงประกอบที่ไพเราะมาก ชื่อ I teach the world to sing ของนักร้องสาวสุดสวย สุดท้ายผมก็แปลว่า “โคคา-โคลา ถูกใจจริง ๆ” เพราะเข้ากับเพลงได้ดี แต่ช่วงนั้นแฟน Pepsi แน่นเหนียวมากกับแคมเปญง่าย ๆ “เป๊ปซี่ดีที่สุด (บริสุทธิ์ ดื่มแล้วชื่นใจ)” ซึ่งได้ยินกันทั้งเมือง โดยเฉพาะ สปอตในโรงหนังทุกโรง (Solus Position) ก่อนหนังฉาย ซึ่งถือว่าเป็นยุทธการที่เฉียบขาดมาก

 

ปัญหาของโคคา-โคลาคือ แคมเปญทุกอย่างต้องอนุมัติจากแอตแลนต้าหมด กว่าจะออกแคมเปญได้ เป๊ปซี่ก็ไปถึงไหนแล้ว เพราะเขาทำได้เอง ออกได้เอง ทางเมืองนอกเขาปล่อยอิสระเต็มที่ กว่าเพลงโฆษณาในหนังกับแคมเปญที่ผมแปลเป็นไทย(แคมเปญคิดมาจากเมืองนอกหมด)จะออกตลาดได้ก็ช้าเป็นปี ไม่ทันกิน นี่ก็อาจเป็นสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่ที่ไม่ปล่อยมือให้ Bottler ทั่วโลกเพราะกลัวจะทำให้เสียแบรนด์ระดับโลก

 

ตอนนั้นผมเองก็ต้องเปลี่ยนจากที่เคยชอบเป๊ปซี่ตั้งแต่เด็กมาเป็น โคคา โคล่า เพราะถือเป็นมารยาทในทางธุรกิจ ถ้าผมทำโฆษณาโคคา-โคล่า แต่กิน เป๊ปซี่ ถ้าลูกค้ารู้เข้าถือว่าตายอย่างเขียด รับรองโดนไล่ออกแน่ เพราะขนาดเรียกชื่อ เป๊ปซี่ ยังไม่ได้เลย ต้องเรียกว่า “คู่แข่ง” หรือ “The other brand” ห้ามเอ่ยชื่อเป๊บซี่ในบริษัทเด็ดขาด (นี่เป็นวัฒนธรรมสากลที่ผมเรียนรู้จากฝรั่ง เพราะเขาถือว่า Brand คือ เทพ คือ ศาสนา ห้ามแปรพักตร์เด็ดขาด) ผมก็เลยเป็นสาวก โคคา-โคล่าตั้งแต่นั้นและไม่ได้เปลี่ยนอีกเลย

 

ปัจจุบันต้องถือว่า Coca Cola คือ แบรนด์อันดับหนึ่งของโลกเทียบกับทุกบริษัทของโลก มีมูลค่า(เฉพาะแบรนด์) ถึง US$78,000 ล้านเหรียญลองคูณ 30 บาทดูจะรู้ว่าแค่ยี่ห้อตัวเล็ก ๆ นี้มูลค่าแค่ไหน ส่วน PepsiCo แม้จะเล็กกว่าและมูลค่าแบรนด์น้อยกว่า คือ ประมาณ US$21,000 ล้านเหรียญ แต่ในตลาดน้ำดำถ้ารวมกับ Mountain Dew ก็ถือว่ายอดขายสูสีไม่น้อยหน้า Coca Cola เท่าไร แถมยังขยายธุรกิจไปในวงการอาหาร ทั้ง KFC, Gatorade, Frito-Lay ฯลฯ

 

เพราะฉะนั้นเวลาผมถามลูกศิษย์ในห้องว่าจะเปลี่ยนแบรนด์จาก Coke ไปเป็น Pepsi หรือ จาก Pepsi ไปเป็น Coke ไหม ทุกคนก็ส่ายหน้าดิก บอกว่าไม่มีวัน (เว้นแต่ถ้าจำเป็นไม่มีจริง ๆ ก็ทดแทนได้ชั่วคราว) นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่า Spiritual Marketing การตลาดยุคใหม่ที่ทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณ กลายเป็นสัญลักษณ์ของสังคม กลายเป็นค่านิยม (ที่ผมเขียนในหนังสือ การตลาด 4.0 – BrandAge Books) กลายเป็นไลฟ์สไตล์ กลายเป็นสัญลักษณ์แสดงอัตลักษณ์ และภาพลักษณ์ในสังคม

 

เพราะฉะนั้นงานนี้สนุกแน่ครับ เพราะยักษ์ใหญ่ชนกัน ทาง Pepsi ถือเป็น แบรนด์ระดับโลกคงไม่ดับง่าย ๆ ในเมืองไทย(แถมยังมี CEO เป็นสาวใหญ่ชาวอินเดียที่ดังระเบิดอเมริกา ขนาดทีมโอบามาจะเชิญไปร่วมรัฐบาล) เพราะมีความได้เปรียบหลายขุมคือ ฐานลูกค้าที่แน่นเหนียวกว่า ถึงแม้จะหาซื้อยากขึ้นและหายไปชั่วคราว (ได้ข่าวว่าสินค้าบางส่วนจะหายไปถึง ๘ เดือน เพราะสร้างโรงงานใหม่ ทุ่มทุนเป็นหมื่นล้านบาทที่ระยอง) ทีมยุทธศาสตร์ของเขาก็ต้องกลับมาทวงตำแหน่งคืนแน่นอน(ได้ข่าวว่าแอบไปคุยกับเบียร์สิงห์ซึ่งอำนาจต่อรองไม่แพ้กัน) ซึ่งช่วงนี้เป๊บซี่ก็อาจถูกโค๊กแย่งแชร์ไปบ้าง เพราะตลาดว่างชั่วคราว ส่วนลูกค้า Pepsi เก่าก็คงรอจนกว่าตลาดจะเข้าที่ หาซื้อได้ เพราะจะมีแต่ขวดพลาสติกกับกระป๋อง)

 

สำหรับเสริมสุขใหม่ ใต้เงาเบียร์ช้าง (ซึ่งมีเงินมหาศาลแทบซื้อที่ดินได้เกือบหมดประเทศไทยและกวาดซื้อแบรนด์ไปหลายแบรนด์แล้ว) ก็ต้องฝากความหวังกับการสร้าง แบรนด์ใหม่ เอส โคล่า (Est Cola) ซึ่งผมว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะลูกค้าเก่าก็คงซื้อขวดแรกมาลองชิมดู จากนั้นก็เป็นเรื่องหลักวิชา Brand DNA คือ

 

1. Core Benefit คือ รสชาติ กลิ่น ว่าจะถูกใจลูกค้าเก่าหรือไม่ เพราะหัวเชื้อและสูตรก็คงต้องคิดใหม่ ไปใช้ของ Pepsi ไม่ได้

 

ผมลองก็แอบดูคำวิจารณ์ของแฟน ๆใน WebBoard ดูแล้วก็น่าเป็นห่วง เพราะทุกคนตั้งเป้าว่าจะต้องเหมือนสูตรเก่าเปี๊ยบซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะหา Position ใหม่ได้ ว่าดีกว่า อร่อยกว่าอย่างไร ซึ่งไม่ง่ายเลย แค่คิดยังหนักใจแทน ยกเว้นแต่รอได้ ไม่หักโหม ค่อย ๆ ทำไป ปรับไปแบบ Big Cola ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปี แต่การใช้ยุทธศาสตร์ Frontal Attack ส่วนตัวผมคิดว่าสู้ด้วย Emotional อันตรายและเสี่ยงเกินไป

 

2. Core Value คือ Brand Loyalty ของสินค้าเดิมจะเป็นอุปสรรคใหญ่ เพราะเรื่องการสร้างแบรนด์ เป็นงานยิ่งใหญ่และซับซ้อน ต้องใช้เวลาและประสบการณ์สูงมาก

 

3. Attributes นั้น ผมแปลกใจว่า ชื่อ เอส มีแฟนเพจวิจารณ์กันเยอะว่าไม่เพราะ ไม่โดน ไม่ทราบว่าทีมมาร์เก็ตติ้งทำวิจัยมาได้ผลอย่างไร แถมยังเขียนภาษาไทยกับภาษาอังกฤษไม่เหมือนกันอีก ยิ่งแพ็คเกจจิ้ง คนบอกว่าใกล้ Pepsi มากไปกลายเป็น Me Too ไม่มี Positioning ของตัวเอง

 

ครับ งานนี้ไม่ง่ายเหมือน The Pizza Com ที่เอาชนะ Pizza Hut การพลิกโฉมเปลี่ยนชื่อร้านแล้วกลายเป็น Market Leader ซี่งเป็นฝีมือพ่อมด Bill Heineke ฝรั่งสัญชาติไทยซึ่งแทบจะถือว่าเป็นรายเดียวของโลกเลย ว่างๆ จะเล่าให้ฟังครับ

 

ถ้าประสบการณ์ส่วนตัว ก็เหมือนกับ 20 ปีที่แล้ว ที่ผมเริ่มคิดสินค้า M-150 คิดฉลากใหม่ ตั้งชื่อใหม่ สร้างทีมพิเศษคิดสูตรใหม่ แพ็คเกจจิ้งใหม่ ยุบบริษัทเก่าย้ายทีมมารวมกัน สุดท้ายทีมงานช่วยกันสืบสานพลิกกลับมาชนะ กระทิงแดงในที่สุดกลับมาครองผู้นำตลาดได้อย่างเดิม วันนี้ถ้ามัวแต่ขายลิโพวิตัน-ดีของญี่ปุ่น ป่านนี้โอสถสภาฯเสร็จเป็นเต้าหู้ยี้ถ้าไม่มีแบรนด์ของตัวเองวันนี้ งานนั้นต้องยอมรับว่า บริษัทเสริมสุขนี่แหละมีส่วนสร้างชัยชนะอย่างสำคัญให้กับโอสถสภา แต่สุดท้ายเมื่อโอสถสภารวย ก็ทิ้งเสริมสุขเหมือนกับ Pepsi นี่แหละ

 

เก็บไว้เล่าคราวหน้าดีไหมครับ ความลับที่ผมแอบเก็บมากว่า ๒๐ ปี ถือเป็นวิทยาทานก็แล้วกัน นี่ไม่ได้คิดจะอวดอ้างหรือทวงบุญคุณใคร เพราะตอนนี้ก็สบายแล้วและหยุดแล้ว พอแล้ว แต่ความจริงก็คือความจริง เพราะตอนนี้มีคนอวดโอ้ว่าเป็นเซียน คุยโม้เรื่องสร้างแบรนด์โน่นนี่เยอะแยะ แต่คนทำสำเร็จด้วยฝีมือจริงมีไม่กี่คนเท่านั้นที่ผมยอมรับและนับถือ

 

อ. มานิต รัตนสุวรรณ 1/12/12

 

 

******************************************************

 

 

 

 

การเสียชีวิตคือลิ่มเลือดไปอุดที่เส้นเลือด จากกรณีคุณแม่ของคุณซี ศิวัฒน์

 

การเสียชีวิตคือลิ่มเลือดไปอุดที่เส้นเลือด จากกรณีคุณแม่ของคุณซี ศิวัฒน์

 

# จากกรณีคุณแม่ของคุณซี ศิวัฒน์ เสียชีวิตในการรับการผ่าตัดเข่า ข่าวสุดท้ายสาเหตุการเสียชีวิตคือลิ่มเลือดไปอุดที่เส้นเลือดปอด # </p><p>- มาทำความรู้จักโรคนี้ด้วยภาษาง่ายๆกัน - </p><p>ในบรรดาโรคที่อัตราเสียชีวิตสูงมากเกือบ 100% ที่หนทางรักษาแทบจะไม่มีหรือทำได้ยาก เท่าที่มีในการแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น<br />โรคพิษสุนัขบ้า , การได้รับสารพิษพาราควอท , และหนึ่งในนั้นคือ >> ภาวะเส้นเลือดปอดอุดตันเฉียบพลัน << </p><p>> สิ่งที่จะไปอุดตันเส้นเลือดปอดอาจจะเป็น<br />- เนื้อเยื่อรกและน้ำคร่ำ ( เช่นข่าวที่แม่ตั้งครรภ์เสียชีวิตกระทันหัน ที่เป็นกรณีข่าวกับคุณบิณฑ์ เมื่อปีที่แล้วก็ภาวะนี้ ) <br />- ** ลิ่มเลือดขนาดใหญ่อุดตัน ( ในรายนี้ ) ** </p><p># ระบบไหลเวียนเลือดมี 2 ทาง <br />เลือดแดง : วิ่งจากหัวใจ ->ไปยังอวัยวะต่างๆ <br />เลือดดำ : วิ่งจากอวัยวะต่างๆ -> กลับหัวใจ </p><p>โรคนี้เป็นระบบเลือดดำ ลิ่มเลือดก่อตัวขึ้นในเส้นเลือดดำแขนขา -> กลับหัวใจ -> อุดเส้นเลือดปอด ( ตามรูป ) </p><p>>> ลิ่มเลือดเกิดขึ้นได้อย่างไร ? <br />คนปกติเลือดไหลเวียนในเส้นเลือดดำไหลสะดวกเหมือนน้ำในแม่น้ำ เพราะปัจจัย 3 อย่าง<br />1. เราขยับแขนขาตลอดเวลา ไม่ได้แช่ขาไว้นิ่งๆ เลือดดำจึงไหลตลอดไม่อยู่นิ่งขัง<br />2. เรามีเส้นเลือดดำที่เป็นท่อผนังเรียบ น้ำจึงไหลผ่านดี ไม่สะดุด <br />3. เรามีระบบสารในเลือดป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัว </p><p>เมื่อคุณสูญเสียปัจจัยข้อใดข้อหนึ่ง หรือทั้งสามข้อ จะทำให้น้ำไม่ไหลดีเหมือนเดิมและค่อยๆจับตัวเป็นลิ่มเลือด เป็นเหมือนตะกอนในแม่น้ำ </p><p>เช่นในรายนี้ <br />- สูญเสียข้อ 1 : ในผู้ป่วยกระดูกขา/ เข่าหักมักทำให้การเคลื่อนไหวขานั้นลดลงหรือหยุดนิ่ง<br />- สูญเสียข้อ 2 : กระดูกที่หักเคลื่อน อาจทำให้เกิดรอยแผลของผนังเส้นเลือดดำ การไหลเวียนเปลี่ยนไป </p><p>ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น อายุมาก , การรับการผ่าตัด </p><p>ดังนั้น" ผู้ป่วยอายุมากกระดูกหักที่ขาและเข้ารับการผ่าตัด " จึงเป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่จะเกิดลิ่มเลือดซ่อนอยู่รอเวลาจะหลุดมาอุดที่ปอดได้เมื่อใดก็ได้ </p><p>ถ้าลิ่มเลือดขนาดไม่ใหญ่มากการให้ยาช่วยสลายลิ่มเลือดอาจช่วยได้ทัน , แต่ถ้าลิ่มใหญ่มาก อุดเฉียบพลันที่ปอด เลือดจากหัวใจจะออกไปไหนไม่ได้เพราะติดที่ปอด หัวใจก็หยุดเต้นอย่างรวดเร็ว </p><p>และเนื่องจากหัวใจโดนขวางไม่มีเส้นทางให้เลือดฉีดไปไหนได้ - การปั๊มหัวใจกู้ชีพจึงมักไม่ค่อยสำเร็จ อัตราเสียชีวิตสูงมาก - </p><p>- เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดอย่างเฉียบพลัน ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้า , ลิ่มเลือดที่อุดซ่อนอยู่ไม่มีอาการนำแจ้งเตือนมาก่อน ผู้ป่วยมักดูสบายดี , มักเกิดช่วงรับการผ่าตัด , มักปั๊มหัวใจไม่ขึ้นและเสียชีวิต จึงมักเป็นเคสที่ญาติรับไม่ได้ และมักโทษว่าเป็นการรักษาผิดพลาดของแพทย์ หรือเป็นคำแก้ตัวของแพทย์ และเป็นเป้าโจมตีชั้นดีของสื่อมวลชนที่ไม่ทำความเข้าใจความจริงให้ดีก่อน - <br />( ต้องแสดงความชื่นชมคุณ ซี ที่เข้าใจเรื่องนี้ และไม่ได้เอาเรื่องโรงพยาบาลตามคำยุจากสื่อออนไลน์ที่ไม่ค่อยจะทำความเข้าใจอะไรอยู่แล้วครับ )

 

# จากกรณีคุณแม่ของคุณซี ศิวัฒน์ เสียชีวิตในการรับการผ่าตัดเข่า ข่าวสุดท้ายสาเหตุการเสียชีวิตคือลิ่มเลือดไปอุดที่เส้นเลือดปอด #

 

- มาทำความรู้จักโรคนี้ด้วยภาษาง่ายๆกัน -

 

ในบรรดาโรคที่อัตราเสียชีวิตสูงมากเกือบ 100% ที่หนทางรักษาแทบจะไม่มีหรือทำได้ยาก เท่าที่มีในการแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น
โรคพิษสุนัขบ้า , การได้รับสารพิษพาราควอท , และหนึ่งในนั้นคือ >> ภาวะเส้นเลือดปอดอุดตันเฉียบพลัน <<

 

> สิ่งที่จะไปอุดตันเส้นเลือดปอดอาจจะเป็น
- เนื้อเยื่อรกและน้ำคร่ำ ( เช่นข่าวที่แม่ตั้งครรภ์เสียชีวิตกระทันหัน ที่เป็นกรณีข่าวกับคุณบิณฑ์ เมื่อปีที่แล้วก็ภาวะนี้ )
- ** ลิ่มเลือดขนาดใหญ่อุดตัน ( ในรายนี้ ) **

 

# ระบบไหลเวียนเลือดมี 2 ทาง
เลือดแดง : วิ่งจากหัวใจ ->ไปยังอวัยวะต่างๆ
เลือดดำ : วิ่งจากอวัยวะต่างๆ -> กลับหัวใจ

 

โรคนี้เป็นระบบเลือดดำ ลิ่มเลือดก่อตัวขึ้นในเส้นเลือดดำแขนขา -> กลับหัวใจ -> อุดเส้นเลือดปอด ( ตามรูป )

 

>> ลิ่มเลือดเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
คนปกติเลือดไหลเวียนในเส้นเลือดดำไหลสะดวกเหมือนน้ำในแม่น้ำ เพราะปัจจัย 3 อย่าง
1. เราขยับแขนขาตลอดเวลา ไม่ได้แช่ขาไว้นิ่งๆ เลือดดำจึงไหลตลอดไม่อยู่นิ่งขัง
2. เรามีเส้นเลือดดำที่เป็นท่อผนังเรียบ น้ำจึงไหลผ่านดี ไม่สะดุด
3. เรามีระบบสารในเลือดป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัว

 

เมื่อคุณสูญเสียปัจจัยข้อใดข้อหนึ่ง หรือทั้งสามข้อ จะทำให้น้ำไม่ไหลดีเหมือนเดิมและค่อยๆจับตัวเป็นลิ่มเลือด เป็นเหมือนตะกอนในแม่น้ำ

 

เช่นในรายนี้
- สูญเสียข้อ 1 : ในผู้ป่วยกระดูกขา/ เข่าหักมักทำให้การเคลื่อนไหวขานั้นลดลงหรือหยุดนิ่ง
- สูญเสียข้อ 2 : กระดูกที่หักเคลื่อน อาจทำให้เกิดรอยแผลของผนังเส้นเลือดดำ การไหลเวียนเปลี่ยนไป

 

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น อายุมาก , การรับการผ่าตัด

 

ดังนั้น" ผู้ป่วยอายุมากกระดูกหักที่ขาและเข้ารับการผ่าตัด " จึงเป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่จะเกิดลิ่มเลือดซ่อนอยู่รอเวลาจะหลุดมาอุดที่ปอดได้เมื่อใดก็ได้

 

ถ้าลิ่มเลือดขนาดไม่ใหญ่มากการให้ยาช่วยสลายลิ่มเลือดอาจช่วยได้ทัน , แต่ถ้าลิ่มใหญ่มาก อุดเฉียบพลันที่ปอด เลือดจากหัวใจจะออกไปไหนไม่ได้เพราะติดที่ปอด หัวใจก็หยุดเต้นอย่างรวดเร็ว

 

และเนื่องจากหัวใจโดนขวางไม่มีเส้นทางให้เลือดฉีดไปไหนได้ - การปั๊มหัวใจกู้ชีพจึงมักไม่ค่อยสำเร็จ อัตราเสียชีวิตสูงมาก -

 

- เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดอย่างเฉียบพลัน ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้า , ลิ่มเลือดที่อุดซ่อนอยู่ไม่มีอาการนำแจ้งเตือนมาก่อน ผู้ป่วยมักดูสบายดี , มักเกิดช่วงรับการผ่าตัด , มักปั๊มหัวใจไม่ขึ้นและเสียชีวิต จึงมักเป็นเคสที่ญาติรับไม่ได้ และมักโทษว่าเป็นการรักษาผิดพลาดของแพทย์ หรือเป็นคำแก้ตัวของแพทย์ และเป็นเป้าโจมตีชั้นดีของสื่อมวลชนที่ไม่ทำความเข้าใจความจริงให้ดีก่อน -

 


( ต้องแสดงความชื่นชมคุณ ซี ที่เข้าใจเรื่องนี้ และไม่ได้เอาเรื่องโรงพยาบาลตามคำยุจากสื่อออนไลน์ที่ไม่ค่อยจะทำความเข้าใจอะไรอยู่แล้วครับ )

 

 

*******************************************

 

 

โทรโข่ง"ปชป."( ปากเน่า นำพรรคถึงจุดเสื่อมขั้นล่มสลาย )

 

 

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์

โทรโข่ง"ปชป."

สมิงสามผลัด

                     

 

 

เอะอะอะไรก็อ้างประชาชนสั่งสอนตระกูลชินวัตร

 

ขนาดพรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งซ่อมส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 แบบขาดลอย

 

"เจ๊แดง"เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พรรคเพื่อไทยคว้าชัยเกือบ 7 หมื่นคะแนน ทิ้งห่างนางกิ่งกาญจน์ ณ เชียงใหม่ จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้เพียงแค่ 2 หมื่นเศษๆ

 

ทิ้งห่างกัน 3 เท่าตัว !?

 

แต่ทีมงานโฆษกพรรคปชป.ก็ยังดันทุรัง แถลงทำนองว่าคนเชียงใหม่ 2 หมื่นเสียงเลือกนาง กิ่งกาญจน์

 

เพราะต้องการสั่งสอนเจ๊แดง สั่งสอนทักษิณ

 

ว่าไปนั่น

 

แล้วถ้าจะมองกลับกัน

 

คนเชียงใหม่เกือบ 7 หมื่นเลือกเจ๊แดงเป็นส.ส.

เพราะต้องการสั่งสอนปชป. สั่งสอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้หรือเปล่า ?

 

ทีมโทรโข่งปชป.แถลงแบบนี้มีแต่เข้าตัว

เข้าตำราขโมยไก่ไม่ได้ กลับเสียข้าวสารไปกำมือ

น่าเอาเวลาไปศึกษาเรื่องที่สำคัญๆ มากกว่านี้

 

เช่น ควรไปดูว่าทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงอนุมัติ "ซื้อ" รถเมล์เอ็นจีวี 3,184 คัน ในราคาแค่ 13,000 ล้าน

ถูกกว่าโครงการ "เช่า" รถเมล์ 4,000 คันมูลค่า 65,000 ล้านในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ต้องศึกษาว่าทำไมลงทุน "ซื้อ" ถูกกว่า "เช่า" ถึง 4-5 เท่าตัวทีเดียว

 

หรือไปศึกษาว่าทำไมโครง การสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ 6 พันล้านถึงกลายเป็นปัญหาคาราคาซัง

หลังจากรัฐบาลที่แล้วให้รวมสัญญาว่าจ้างบริษัทรับเหมา

สร้างกันมา 3 ปีแล้ว แต่ไม่เสร็จสักโรงพัก

สุดท้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องยกเลิกสัญญา

 

อีกทั้งป.ป.ช.ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯในขณะนั้น กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯคุมสตช.ในขณะนั้นว่าเข่าข่าย "ฮั้ว" ประมูลหรือเปล่า

 

แถมล่าสุดดีเอสไอส่งเรื่องให้ป.ป.ช.สอบทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ซ้ำอีกคดีฮั้วประมูลแฟลตตำรวจ 163 แห่ง งบประมาณกว่า 3,500 ล้านบาท

 

ทีมโทรโข่งควรเอาเวลาไปหาข้อมูลเพื่อชี้แจงเรื่องพวกนี้ให้กระจ่าง

 

น่าจะมีประโยชน์กว่าคอยค่อนแคะฝ่ายตรงข้าม

 

 

 

*****************************************

 

 

หัวเราะบำบัด

โดย DMH Staffs
ฝึกร่างกาย สั่งอวัยวะให้หัวเราะ

การหัวเราะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ หัวเราะธรรมชาติ เกิดจากถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขัน ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และหัวเราะบำบัด เป็นการหัวเราะแบบรู้ตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากการหัวเราะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราอารมณ์ดี มีความสุข จนมีนักวิชาการบางท่านนิยามสารชีวเคมีนี้ว่าเป็น "สารสุข"

 

**********************************

 

คนเราเมื่ออารมณ์ดี จะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในรายงานการตีพิมพ์ของวารสาร The Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ตีพิมพ์งานวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโตรอนโต คานาดา บอกว่าอารมณ์ของคนเราน่าจะมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลของสมอง ถ้าอารมณ์ดีจะช่วยขยายความคิดสร้างสรรค์ให้กว้างขึ้น ในทางกลับกันถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดวิตก เคร่งเครียด หรือแม้แต่ความมุ่งมั่นมากเกินไป จะมีผลต่อความคิดจะหดแคบเข้ามา อารมณ์ดีหรือไม่ดีมีผลต่อกระบวนการคิดและแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ของคนเรา

ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจงมาร่วมกันผลิตสารแห่งความสุขผ่านกระบวนการหัวเราะ ซึ่งไม่ว่าท่านจะหัวเราะแบบบำบัด หรือหัวเราะแบบธรรมชาติ ก็เชื่อว่าร่างกายก็จะหลั่งสารชีวเคมนี้ได้ด้วยเช่นกัน

การหัวเราะบำบัดมีหลายแบบ เช่น Lauther Yoga ของอินเดีย ซึ่งผสมผสานระหว่างการหัวเราะและควบคุมการหายใจของโยคะเข้าด้วยกัน และเป็นที่มาของการหัวเราะบำบัดในกว่า 40 ประเทศ หรือกลุ่มหัวเราะในประเทศออสเตรเลีย ที่เดินทางไปสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนทั่วไปด้วยพฤติกรรมตลก สำหรับประเทศไทย ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้คิดค้นการหัวเราะบำบัด โดยผสมผสานการควบคุมการหายใจ การเปล่งเสียงหัวเราะ และการบริหารร่างกายไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นการหัวเราะที่ให้ผลเชิงสุขภาพโดยไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ขัน ใช้เวลาในทำกิจกรรมประมาณ 2-3 ชั่วโมง

ข้อดีของการหัวเราะ

การหัวเราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใน 7 ระบบได้แก่

ระบบทำงานของสมอง การหัวเราะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทสมองส่วนพรีฟรอนทอลคอร์เทกซ์ (prefrontal cortex) บริเวณสมองส่วนหน้า (ซึ่งสมองบริเวณนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความคิดที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของอารมณ์เชิงบวกและลบ) ที่ทำให้เกิดการหลั่งของสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า endorphin ซึ่งเป็นสารชีวเคมีของสมองที่มีฤทธิ์ "เพชฆาตความเจ็บปวด" หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือในด้านที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้นให้มีเพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวกและสร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัดและฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

ระบบหายใจ (Breathing) ในระหว่างที่หัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า กลั้นหายใจ และหัวเราะ (หายใจออกยาวๆ) ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จึงทำให้เซลล์ประสาทหัวใจ ปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกายให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญพลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรคและป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด

ระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย (Digestion and Gastrointestinal) การหัวเราะบำบัดช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ เล็ก ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วน โรคบูลิเมีย (Bulimia : โรคที่กินอาหารเข้าไปแล้วรู้สึกผิด จนบางครั้งต้องกินยาถ่าย หรืออาเจียนออก) หน้าท้องหย่อน ท้องป่อง โรคเบื่ออาหาร กินไม่ลง ท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น

ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulation and Cardio-vascular system) การหัวเราะบำบัดเป็นการออกกำลังทุกส่วนของร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆ ได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะเร็วบ้าง ช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจ ตลอดจนอาการใจสั่น เสียงสั่น ตัวสั่น ตื่นตระหนกและประหม่าง่าย

ระบบพักผ่อนและผิวพรรณ (Rest and Skin system) การหัวเราะบำบัดช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้เส้นประสาท กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ทำให้ร่างกายเกิดการพักผ่อน นอนหลับสนิท ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่น และไม่เป็นโรคทางผิวหนัง ช่วยให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสงบ มีสมาธิมากขึ้น

ระบบเจริญพันธุ์ (Reproduction) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายทุกส่วนขยับขับเคลื่อน ส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนนอก ส่วนกลาง และส่วนใน ให้ทำงานดีขึ้น เป็นระบบขึ้น ทำให้สมองคิดแง่ดี มองโลกแง่บวก อารมณ์ดี พัฒนาอารมณ์รัก และการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยป้องกันอาการไร้อารมณ์ หงอยเหงา โดดเดี่ยว ไม่อยากเข้าสังคม การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และการเข้าสังคม

สัญชาติญาณการอยู่รอด (Survival instinct) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แข็งแรง ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาท กระดูก กล้ามเนื้อ ร่างกายทำงานเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคไขข้อ โรคกระดูกต่างๆ ทั้งกระดูกพรุน ปวดหลัง ปวดเอว อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โรคซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยทำลายสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย


แนวคิดของการหัวเราะบำบัด

อิงตามหลักของศาสตร์ตะวันออกที่มองทุกอย่างเป็นองค์รวม โดยเน้นฝึกด้วยท่าหัวเราะ หลายๆท่าต่อเนื่อง 2-3 ชั่วโมง เพราะในแต่ละท่าจะมีประโยชน์ต่างกัน โดยใช้เสียง โอ อา อู เอ นำมาประยุกต์ในกระบวนการหัวเราะบำบัด ซึ่งเป็นเสียงพื้นฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก

เสียงโอ/ท้องหัวเราะ เป็นการออกเสียงจากท้อง โดยยืนตัวตรง กางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปด้านข้างของลำตัว งอแขนเล็กน้อย กำมือทั้งสองข้างโดยชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น ตามองตรง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ กักลมไว้ จากนั้นค่อยๆเปล่งเสียง “โอ โอะ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงซานตาคลอสหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับขยับแขนขึ้นลง

เสียงอา/อกหัวเราะ เป็นการเปล่งเสียงออกจากอก ให้ยืนตรงกางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปข้างลำตัวเหมือนนกกระพือปีก หงายมือขึ้น และปล่อยมือตามสบาย ตามองตรง สูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ ค่อยๆเปล่งเสียง “อา อะ ๆ ๆ…” ดังๆเหมือนเสียงเจ้าพ่อหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับกระพือแขนขึ้นลง
ประโยชน์ของท่าอกหัวเราะ เมื่อเปล่งเสียงอา จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก หัวใจ ปอดและไหล่ขยับเขยื้อนไปด้วย ท่านี้จะช่วยให้อวัยวะบริเวณหน้าอกทั้งหมดทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้การสูบฉีดและการไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น

เสียงอู/คอหัวเราะ เป็นการเปล่งเสียงออกจากลำคอ เริ่มด้วยยืนตรง กางขาเล็กน้อย แขนแนบลำตัว ยกตั้งฉากชี้ไปข้างหน้า งอนิ้วนางและนิ้วก้อยเข้าหาตัวเอง ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นและชี้นิ้วชี้และนิ้วกลางไปข้างหน้าในลักษณะชิดติดกัน เหมือนท่ายิงปืน ตามองตรง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ แล้วค่อยๆเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงหมาป่าหอน ขณะเดียวกันค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมกับแทงมือไปข้างหน้า

เสียงเอ/ใบหน้าหัวเราะ ท่านี้จะทำแบบสบายๆ โดยยืนตามสบาย ค่อยๆยกมือขึ้นมาตามถนัด สูดลมหายใจลึกๆ แล้วขยับทุกนิ้วทั้งหัวแม่มือ ชี้ กลาง นาง และก้อย ตามองตรง ระหว่างนั้นให้เปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ออกมา เหมือนหยอกล้อเด็ก นอกจากจะได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กที่นิ้วมือแล้วท่านี้ยังช่วยบริหารสมองด้วย

ประโยชน์ของท่าใบหน้าหัวเราะ คนสมัยนี้ชอบคิดมาก บึ้งตึง จึงทำให้เครียด ปวดศีรษะ ปวดสมอง เมื่อเปล่งเสียงเอ ใบหน้าจะมีลักษณะเหมือนกำลังฉีกยิ้มโดยอัตโนมัติ เหมือนเรากำลังเล่นจ๊ะเอ๋กับเด็กตัวเล็กๆ เสียงเอจะทำให้เรายิ้มง่ายขึ้น

ฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเอง

การฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเองไม่ใช่เรื่องยาก ขั้นแรก ฝึกหัวเราะโดยมีสิ่งกระตุ้น เช่น ดูภาพยนตร์ตลก และหัวเราะเสียงดัง จากนั้นฝึกหัวเราะโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น โดยแยกอารมณ์ขันออกจากการหัวเราะ หรือเข้าใจว่าการหัวเราะไม่จำเป็นต้องมาจาก "ความรู้สึกตลก" เสมอไป การหัวเราะโดยไม่มีเหตุผลนี้ให้เริ่มจากหัวเราะคิกคักและหัวเราะเสียงดังด้วยการเปล่งเสียงออกมาจากท้องผ่านลำคอและริมฝีปาก

หากต้องการให้การหัวเราะได้ผลดียิ่งขึ้น ควรเปล่งเสียงหัวเราะ เพื่อเคลื่อนไหวอวัยวะภายใน 4 ส่วนด้วยการเปล่งเสียงต่างๆ กัน คือเสียง "โอ" ทำให้ภายในท้องขยับ เสียง "อา" ทำให้อกขยับขยาย เสียง "อู" เสียง "เอ" ทำให้ลำคอเปิดโล่ง และช่วยบริหารใบหน้า

ขั้นตอนเริ่มจากหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักครู่ เปล่งเสียงเป็นจังหวะเช่น โอ โอ โอ โอ ยาวๆ จนกว่าจะหมดอากาศที่เก็บไว้ สูดหายใจเข้าใหม่ หัวเราะเสียงละ 3 ครั้ง เมื่อออกเสียงเป็นจังหวะแล้วให้บริหารร่างกายไปด้วย เริ่มจากเสียง "โอ" ให้ย่ำเท้าอยู่กับที่ เสียง "อา" ให้ยกแขนขึ้นสูงๆ แล้วโบกไปมา เสียง "อู" ให้ส่ายเอวท่าฮูลาฮูบ เสียง "เอ" ให้หมุนหัวไหล่ โดยทำท่าเหล่านี้ในระหว่างที่หัวเราะด้วย

นอกจากนี้ยังมีท่าหัวเราะบำบัดอีก ดังนี้

จมูกหัวเราะ ย่นจมูกขึ้นและทำเสียง “ฮึๆ…” ในจมูกเหมือนม้า ท่านี้จะช่วยไล่สิ่งสกปรกในจมูกออกมา บำบัดภูมิแพ้ ไซนัส หวัด โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจ ท่านี้จะช่วยให้จมูกโล่ง

ตาหัวเราะ กะพริบตาถี่ๆ กรอกตาขึ้นลงเป็นวงกลม แล้วเปล่งเสียง “อ่อย ๆ ๆ…” เล่นหูเล่นตา มองซ้ายที ขวาที เพื่อการบริหารดวงตาให้ผ่อนคลาย ใครที่มีปัญหาตาแห้งหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ท่านี้จะทำให้มีน้ำหล่อเลี้ยงที่ตา ช่วยให้ตาชุ่มชื้นขึ้น

สมองหัวเราะ โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเครียดมักจะปิดปาก เป็นเหตุให้ความดันขึ้นสมอง ท่านี้จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยปิดปากแล้วเปล่งเสียง “อึ ๆ ๆ…” ดันให้เกิดการสั่นสะเทือน ขึ้นไปนวดสมอง เมื่อทำเสร็จจะรู้สึกโล่ง โปร่งสบาย

ไหล่หัวเราะ เป็นการบริหารช่วงไหล่ ยืนตรงแล้วส่ายไหล่ไปมา เหมือนการว่ายน้ำฟรีสไตล์ พร้อมกับเปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับไหล่ ท่านี้ช่วยได้

เอวหรือก้นหัวเราะ ช่วยบริหารบริเวณไขสันหลัง ก้นและสะโพก โดยช่วงกลางลำตัวต้องนิ่งอยู่กับที่ ขณะทำให้แขม่วท้องขมิบก้น พร้อมเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…”

หากวันนี้คุณยังหาวิธีออกกำลังที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้ลองชวนคนในครอบครัวมาหัวเราะพร้อมเคลื่อนไหวร่างกายด้วยกันสิคะ นอกจากได้ออกกำลังแล้ว ยังสร้างรอยยิ้มในครอบครัวคุณอีกด้วย

*******************************************

ที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับ 1 ต.ค. 2549


http://www.pnas.org/




 

ผู้แต่ง: โดย DMH Staffs - dmhstaff@dmhthai.com - 15/8/2007

ความคิดเห็น

วันที่: Sun May 19 03:51:23 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>