Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

หมั่นไส้นานเเล้ว

ArjanPong | 22-05-2556 | เปิดดู 2807 | ความคิดเห็น 0

 

                  

              หมั่นไส้นานเเล้ว...

 

 

                

 

 

 

 

....ไปเลยไป หวดอยู่ได้ หลังลายหมด

 

ตีเอวคด เเอ่นโย้หน้า บ้าเเล้วหรือ?

 

เฆี่ยนอยู่ได้ ชอบโชว์อวด หวดด้วยมือ

 

เห็นไม่ถือ เลยได้ใจ ไล่ตีเพลิน

 

 

 

....นี่เเหนะสม น้ำหน้า ทีข้าบ้าง

 

เป็นตัวอย่าง ดูจะจะ กระเด็นเหิน

 

เอาให้เเข้ง ขาหลุด สะดุดเดิน

 

ชอบโชว์เกิน จะได้จำ ทำไม่ดี....

 

 

 

*****************************************

 

 

   วิธีการ ขายสินค้า ผ่านเว็บ ทำการตลาดออนไลน์

 

(โดยคุณ beauty cosme' )


1. อยากเปิดร้านขายของบนเว็บ ทำยังไง? จำเป็นไหมต้องทำเว็บเองเป็น
หรือต้องจ้างคนเขียนเว็บ?


จริง ๆ แล้ว การขายของผ่านอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้ง่ายกว่าในสมัยก่อนมากครับ
ยิ่งเดี๋ยวนี้ Technology และการแข่งขันที่สูงขึ้น ก็ยิ่งสร้างโอกาสให้คุณสามารถมีร้านค้าออนไลน์ได้ง่าย
ๆ เลยทีเดียว ฉนั้น เรื่องของการเปิดร้านขายของนั้น ผมว่า คุณไม่น่าซีเรียสนักหรอกครับ
เทียบกับสมัยก่อนแล้ว การทำเว็บขายของ ถ้าเขียนโปรแกรมไม่เป็น ต้องจ้างคนทำอย่างเดียวเลย

ถ้าถามว่า จำเป็นไหม ต้องทำเว็บเป็น หรือต้องจ้างคนมาเขียนเว็บ?

ผมขอตอบดังนี้ครับ >> หากคุณยังไม่ได้ทำธุรกิจค้าขายสินค้าออนไลน์ที่เป็นรูปแบบเต็มตัวอย่าง amazon.com ผมคิดว่าในตอนเริ่มแรกนั้น คุณไม่น่าจะจำเป็นต้องจ้างคนเขียนเว็บ ยกเว้นแต่ว่า คุณมีความสามารถในการทำเว็บเองได้ สามารถเขียนโปรแกรมเว็บได้ด้วยตัวเอง ที่สำคัญ ออกแบบเว็บให้สวยได้ด้วยตัวเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณอยากจะทำเองก็ได้ครับไม่มีปัญหาอะไร (ดีซะอีกด้วย เพราะสามารถปรับแต่งให้เป็นไปในแบบที่คุณต้องการได้ โดยเฉพาะคนที่มีหัวทางด้านการออกแบบก็ยิ่งไปได้สวยเลย)

แต่สำหรับคนที่ทำเว็บไม่เป็น แต่อยากขายของ ซึ่งคุณเองก็ยังไม่รู้เลยว่า ทำไปแล้วจะประสบความสำเร็จสักแค่ไหน ในแรกเริ่มต้น ผมแนะนำว่า ให้ลองหาเว็บสำเร็จรูปดี ๆ ซักเว็บ แล้วลงสินค้าที่คุณต้องการขายดู

สาเหตุที่ผมแนะนำแบบนี้ เพราะผมเอง เคยมีประสบการณ์ในการทำเว็บขายของด้วยตัวเองมาก่อน
และผมรู้เลยว่า ถ้าจะทำระบบให้สมบูรณ์แบบนั้น ค่อนข้างใช้เวลานานเลยทีเดียว กินเวลาเป็นเดือน
(โดยเฉพาะคนที่มีงานประจำทำอยู่แล้ว) กว่าจะเสร็จ ก็เหนื่อยเอาการทีเดียว ซึ่งพอผมทำเว็บเสร็จ
เริ่มขายของผ่านเน็ตจริง ๆ ผมก็พบว่า จุดสำคัญของการขายสินค้าผ่านเน็ตนั้น ไม่ได้อยู่ที่เว็บสวย
ดีไซนด์ดีเพียงอย่างเดียว แต่จุดสำคัญของการขายสินค้าผ่านเน็ตคือ ?สินค้า?
และ ?ลูกค้า? ครับ

การสมัครเพื่อลงโฆษณาขายสินค้าในเว็บร้านค้าสำเร็จรูป อาจจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากบ้าง แต่ว่า ยังไงซะก็ง่ายกว่านั่งเขียนเว็บด้วยตัวเองเป็นร้อยเท่าเลยจริง ๆ (อันนี้ผมฟันธงเลย)
เพราะถ้าเราทำให้สมบูรณ์จริง ๆ ก็ต้องทำระบบบันทึกข้อมูลสินค้า ข้อมูลตรวจเช็กการสั่งซื้อ ข้อมูลลูกค้า.. ฯลฯ เยอะแยะมากมาย คิด ๆ แล้ว ไม่คุ้มแรงเลยจริง ๆ แต่ถ้ามองว่า จะไปจ้างคนเขียนเว็บให้มีระบบต่าง ๆ เหล่านี้ ผมประเมินคร่าว ๆ เลยว่า น่าจะไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท

นอกจากนี้เว็บร้านค้าสำเร็จรูปบางแห่ง จะทำรูปแบบเว็บของตนเป็นแบบ shopping mall online โดยจะรวบรวมสินค้าจากร้านค้าต่าง ๆ มารวมเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้คนที่สนใจในสินค้าหมวดนั้น ๆ ได้เข้าไปเลือกหาซื้อสินค้าที่ตนต้องการได้ ก็จะทำให้เว็บร้านค้าของคุณ มีโอกาสที่ลูกค้าจะแวะเข้าไปหา โดยที่คุณไม่ต้องไปโฆษณาโปรโมทที่ไหนเลยก็มี ทำให้นอกจากคุณจะมีเว็บร้านค้าของคุณแบบง่าย ๆ แล้ว คุณอาจจะมีลูกค้ารอซื้อสินค้าของคุณอยู่เลยก็ได้

เว็บร้านค้าออนไลน์ตอนนี้ มีหลายเจ้ามากเลยครับ สุดแท้แต่คุณจะเลือก หากคุณสนใจจะเปรียบเทียบว่าจะใช้เว็บร้านค้าออนไลน์เจ้าไหนดี? ผมแนะนำให้คุณลองเข้า www.google.com แล้วพิมพ์ว่า ? ฟรี ร้านค้าออนไลน์ ? หรือ ? เว็บสำเร็จรูป ? หรือ ?เปิด ร้านค้า ออนไลน์ ? เดี๋ยวก็มีขึ้นมาให้คุณเลือกเพียบเลยครับ ซึ่งเว็บร้านค้าออนไลน์เหล่านี้ จะมีข้อจำกัดอะไรบ้าง ก็ควรอ่านดูให้เรียบร้อย ลองเช็กดูหลาย ๆ เจ้าก่อน ค่อยตัดสินใจอีกทีก็ไม่สายครับ
เว็บร้านค้าออนไลน์แต่ละเจ้า จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หากคุณได้ลองใช้แล้ว ก็จะรู้ถึงข้อจำกัดต่าง ๆ เหล่านี้

สิ่งสำคัญที่อยากให้จำไว้ก็คือ ความสำเร็จจากการขายของออนไลน์ บางครั้งไม่ใช่ที่เว็บนั้น
ทำขึ้นมาสวยงาม เป็นของเราเอง แต่จุดสำคัญของการขายนั้น นอกจากความสวยงาม ก็คือ
?ตลาด หรือ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา?
และ ?สินค้า? ที่คุณขายนั่นเอง
เพราะว่า เว็บสวย? แต่สินค้าไม่โดนใจตลาด หรือ มีเว็บ แต่ไม่มีคนเข้ามาซื้อ ก็เรียกว่า
ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดีครับ

โฟกัสให้ถูกจุดนะครับ

การที่ผมบอกว่า อยู่ที่ ?สินค้า? และ ?ลูกค้า? นั่นก็เพราะว่า ถ้าเราเปิดร้านขายของ แต่โปรโมทเว็บให้กับกลุ่มลูกค้าผิดประเภท เว็บคุณก็อาจจะขายอะไรไม่ได้เลยก็ได้ หรือแม้แต่ตัวสินค้าเองก็ตาม ถ้าสินค้าที่เรานำมาขายนั้น เราอาจจะคิดว่าคนอื่นน่าจะชอบ น่าจะขายได้ แต่พอขายจริง ๆ แล้ว กลับขายไม่ดีอย่างที่คิด ในขณะที่บางคนก็คิดว่า ต้องขายเฉพาะ สินค้า Entertainment หรือ ?สินค้าเถื่อน? เช่น VCD MP3 เท่านั้น ถึงจะขายผ่านเน็ตได้ สิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิดถนัดครับ สินค้าที่ขายผ่านเน็ตนั้น มีมากมายที่ขายได้จริง (เช่น สินค้า Fashion , Books ฯลฯ ) ขอเพียงแค่คุณโปรโมทให้ถูกกลุ่มเป้าหมายแค่นั้น คุณก็สามารถขายสินค้าของคุณได้อย่างแน่นอน
หรืออยากขายสินค้าจำพวกเครื่องสำอางแบบ beauty cosme' ของเราก็ยินดีครับ


2. มีเว็บขายสินค้าแล้ว จะทำยังไงให้คนเข้ามาในเว็บร้านค้าของเรา?

หลายครั้งเลยทีเดียว ที่ผมเห็นคนที่เปิดร้านขายสินค้าออนไลน์ พอเปิดขึ้นมาแล้ว ก็งง ๆ ไม่รู้จำทำยังไงต่อไป??? ? นั่นสิ? ทำยังไงล่ะ? ผมเองก็เคยมีคำถามนั้นเหมือนกัน นั่งเขียนเว็บเป็นเดือน ๆ กว่าจะถ่ายภาพสินค้าเสร็จ กว่าจะเอาภาพสินค้ามาแต่ง กว่าจะเอาภาพขึ้นเว็บ กว่าจะเขียนรายละเอียดสินค้า ฯลฯ เหนื่อยมาก พอทำเว็บเสร็จ แสนจะดีใจ? แต่ก็แค่นั้นครับ พอเปิดเว็บได้แล้ว ก็ต้องมานั่งคิดต่อว่า จะทำไงต่อดีล่ะ? ใครจะเข้ามาดูเว็บผม? หรือว่า google จะเข้ามาหาเว็บผมเองรึ? หรือว่าลูกค้า search จาก google จนมาเจอเรารึ? ตอนนั้น ผมก็คิดได้ตื้น ๆ แค่นั้นจริง ๆ ครับ จากนั้นก็คิดเยอะขึ้นมาอีกนิด? อืม.. ผมน่าจะลองไปโพสตามเว็บดัง ๆ อย่าง sanook หรือ pantip? ซึ่งมีคนเข้ามาที่เว็บเยอะแยะ น่าจะมีคนเห็นข้อความเราแล้วก็เข้ามาดูเว็บเราบ้าง?

ผมเชื่อเลยว่า ต้องมีหลายคนทีเดียวที่คิดแบบนี้? แต่ที่แน่ ๆ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เปิดเว็บไว้เฉย ๆ คงไม่มีคนรู้จักเว็บเราเป็นแน่ ฉนั้น หากคุณคิดจะขายของบนเน็ต คุณก็ต้องรู้จักวิธีการโปรโมตเว็บครับ

ในส่วนนี้ ผมเลยอยากจะอธิบายหลักการโปรโมตเว็บ ที่ผมและอีกหลาย ๆ ร้านค้าออนไลน์ เคยใช้กันมา ให้ลองใช้ดูครับ ได้แก่

1.ลองไปลงโฆษณาตามเว็บที่ให้คุณประกาศซื้อ - ขายสินค้าได้
ซึงเว็บเหล่านี้ จะแยกหมวดสินค้าเอาไว้ เพื่อให้คนที่ต้องการสินค้าในหมวดนั้น
ๆ ได้เข้ามาเลือกหาสินค้าที่ต้องการ แล้วก็ทำให้มีโอกาสที่จะมาเจอประกาศโฆษณาขายสินค้าของคุณเองก็ได้
โดยเว็บประกาศขายสินค้าในปัจจุบันนี้ มีมากมายจริง ๆ หากคุณอยากรู้จักว่า มีที่ไหนบ้าง?
ก็ลองเข้า google แล้วพิม์ ?ประกาศ ซื้อ ขาย สินค้า? หรืออะไรประมาณนี้
เดี๋ยวก็ขึ้นมาเพียบเลยครับ แนะนำให้เลือกเว็บที่ดัง ๆ หน่อย จะมีคนเห็นโฆษณาของคุณเยอะขึ้นครับ
เช่น www.pantipmarket.com,
http://classified.sanook.com,
http://market.mthai.com,

ฯลฯ การโฆษณานี้ ไม่จำเป็นต้องลงอยู่เพียงที่เดียว การลงหลาย ๆ ที่จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้ลูกค้า
เข้ามาในเว็บร้านค้าของคุณมากขึ้น ลองดูนะครับ


2.ลองหาเว็บที่ขายของลักษณะเดียวกัน แล้ว ?ขอแลก Link? กับเว็บร้านค้าต่าง
ๆ เหล่านั้นดูครับ การแลกเปลี่ยน Link นั้น เราควรจะแลกกับเว็บร้านค้าที่ขายแบบจริง
ๆ จัง ๆ มีการทำตลาดดี ๆ ซึ่งแน่นอน ก็เป็นเหมือนร้านค้าต่างพึ่งพากัน ลูกค้าของร้านนี้
อาจจะเป็นลูกค้าในอนาคตของเราก็ได้ หรือไม่ก็ เขาอาจจะแนะนำให้คนอื่นแวะเข้ามาหาซื้อสินค้าในเว็บของคุณในอนาคตก็ได้


3.หากคุณมั่นใจว่า สินค้าของคุณ เป็นที่ต้องการของคนอื่น ๆ แน่นอน สามารถขายได้
มีกำไร ผมอยากแนะให้คุณ ซื้อ ?ตำแหน่งโฆษณาพิเศษ? ในเว็บประกาศดัง
ๆ ครับ ทั้งนี้ ให้คุณลองคำนวณดูว่า ค่าใช้จ่ายที่เสียไปแล้วนั้น หากเป็นรายได้กลับคืนมา
จะได้คุ้มกับที่เสียไปไหม? บางครั้ง เราอาจจะคิดว่า ค่าโฆษณาดูแพง แล้วไม่อยากลงทุนในจุดนี้
แต่ผมอยากให้มองกลับกันครับ ให้นึกว่า การจ่ายเงินตรงนี้ ถือเป็นการลงทุนอย่างนึง
ผมเชื่อ และเคยพบเห็นมาหลายครั้งแล้วว่า ร้านค้าต่าง ๆ ที่เสียเงินโฆษณานั้น
เขาขายได้มากขึ้นจริง ๆ และรายได้ที่ได้นั้น มากกว่าค่าใช้จ่ายที่เสียไป ถือเป็นการลงทุนที่คุ้ม
เพราะลูกค้าจะแวะมาเข้าร้านมากขึ้น และลูกค้าเหล่านี้ อาจจะไม่ได้ซื้อกับเราแค่ครั้งเดียว
แต่ในอนาคต เขาอาจจะแวะกลับมาซื้อสินค้าในร้านคุณอีกก็ได้


4.ในระยะยาวแล้ว หากคุณอยากให้เว็บของคุณมีคนเข้ามาเรื่อย ๆ และมากขึ้น นอกจากการโฆษณาฟรี
หรือโฆษณาพิเศษแบบเสียเงิน อีกทางหนึ่งของการโฆษณาที่ได้ผลคือ การทำให้เว็บของคุณ
ติดอันดับอยู่ใน Search Engine ดัง ๆ อย่าง Google เพราะจะทำให้คนค้นหาสินค้าของคุณแล้วเจอง่าย
ๆ และเพิ่มโอกาสทางการขายของคุณให้มากขึ้นอีกด้วย การทำเว็บให้ติดอันดับใน google
นั้น หลาย ๆ ท่านมักเรียกวิธีนี้ว่า ?การทำ SEO?
หรือ ?Search Engine Optimization?
โดยขั้นตอนและวิธีการทำ SEO นั้น คุณสามารถหาอ่านบทความต่าง ๆ อย่างคร่าว ๆ ได้ทางเน็ตครับ
เข้า google แล้วพิมพ์ ?การทำ SEO? หรืออะไรประมาณนี้ เดี๋ยวก็ขึ้นมาให้คุณได้ศึกษาคร่าว
ๆ เพียบเลยครับ เอาไว้มีเวลา ผมจะมาเขียนบทความการทำ SEO กับการขายของผ่านเน็ตอีกทีครับ
ที่กล่าวมา 4 ข้อข้างต้นนั้น เป็นวิธีทั่ว ๆ ไปที่ใช้กัน และค่อนข้างได้ผลทีเดียว
ความสำเร็จ อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในวัน หรือ 2 วัน อาจจะกินเวลามากกว่านั้น แต่เชื่อเถอะว่า
ถ้าคุณทำ โอกาสสำเร็จก็มีไปกว่าครึ่งแล้วครับ

จะทำเว็บให้เป็นที่รู้จักนั้น เราต้องไม่ขี้เกียจครับ เจียดเวลาซักนิด โปรโมทมาก
ๆ หน่อย เพื่อยอดขายที่ดีในอนาคตครับ

อย่าง beauty cosme' ของเราลองหาใน google ดูนะครับ
เราเป็นเจ้า "ขายส่งเครื่องสำอางเกาหลี" "ขายส่งbergamo" ฯลฯ ก็จะติดอันดับต้นๆใน google ครับ


3. คนเข้ามาในเว็บเราแล้ว แต่ไม่ยักกะซื้อสินค้าแฮะ?
เพราะอะไรหนอ?

นี่ก็เป็นอีก 1 ในหลาย ๆ ปัญหาที่คนขายของผ่านเน็ตมักพบเจอ
การที่ลูกค้าเข้ามาในเว็บแล้วไม่ซื้อสินค้านั้น เกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่อไปนี้

?ร้านค้าดูไม่น่าเชื่อถือ
?สินค้าดูไม่น่าสนใจ
ร้านค้าดูไม่น่าเชื่อถือนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเลย
เช่น

1.เว็บร้านค้าดูไม่สวย การจัดวางหน้าเว็บดูมั่วไปหมดจนไม่อยากจะดูหน้าถัดไป


2.เว็บนั้นไม่มีการ update อะไรเลย เคยเข้ามาเมื่อ 3 เดือนก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น
ทำให้ไม่แน่ใจว่า เว็บนี้ยังมีตัวตนอยู่ หรือว่าเว็บร้าง


3.ไม่มีคำแนะนำ อธิบาย วิธีการใด ๆ เลย เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
ก็ไม่รู้ว่าจะถามใครได้? ถึงแม้ว่าเราจะเตรียม email ให้เขาติดต่อก็ตาม? แต่เชื่อเถอะว่า
การสอบถามทาง email นั้น บางครั้งก็ไม่ได้ดึงดูดใจให้คนคลิกเพื่อพิมพ์ไปสอบถามซักเท่าไหร่นักหรอก


4.ความไม่น่าเชื่อถือของร้านนั้น นอกจากที่กล่าวมา อาจจะเกิดขึ้นได้กับกรณีที่ลูกค้าเก่าที่ไม่ประทับใจในสินค้าหรือบริการ
นำไปโพสด่าว่าในเว็บบอร์ดต่าง ๆ ซึ่งเชื่อเถอะว่า เดี๋ยวนี้ คนซื้อสินค้าบางคน
เขาก็ search ข้อมูลร้านของคุณก่อนจะสั่งซื้อสินค้า โดยเอาชื่อร้านไป search
ใน google ดูว่า ประวัติร้านนี้เป็นไงมั่ง? เคยมีใครโดนร้านค้านี้หลอกหรือไม่?
ที่พูดมาเช่นนี้ เพราะผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่า ถ้าเราต้องการขายสินค้าใด ๆ ก็ตาม
การบริการต้องมาเป็นอันดับแรก ถ้าบริการดี ลูกค้าก็จะไปพูดบอกต่อ แต่ถ้าบริการแย่
แม้เพียงครั้งเดียว ก็อาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์แย่ ๆ ตามมาภายหลังได้

 

วิธีการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้านั้น สามารถทำได้ดังต่อไปนี้



1.ปรับเปลี่ยนร้านให้ดูเป็นระเบียบ จัดวางสินค้าในตำแหน่งที่ดี หมั่นปรับเปลี่ยนหน้าร้านสม่ำเสมอ


2.การเขียนบทความ หรือข่าวสาร ให้ลูกค้าได้อ่านบ้าง โดยข่าวสารนั้น อาจจะเป็นข่าวสารดี
ๆ เกี่ยวกับวิธีการเลือกซื้อสินค้าที่คุณขาย หรือวิธีการใช้สินค้าอย่างถูกวิธี
ฯลฯ ซึ่งบางครั้งข่าวสารเหล่านี้ก็ทำให้ร้านค้าของคุณดูน่าเชื่อถือมากขึ้น


3.ควรมีระบบเว็บบอร์ด ที่มีการพูดคุยโต้ตอบกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ (อย่าปล่อยให้เว็บบอร์ดร้าง
หรือไม่มีข้อความใด ๆ เลย เพราะลูกค้าอาจจะคิดว่าเว็บนี้ไม่ดี เพราะไม่มีใครมาพูดคุยอะไรในเว็บบอร์ดซักคน)
เชื่อผมเถอะว่า ส่วนใหญ่ลูกค้าที่เข้ามา ก็อยากจะเห็นว่าเว็บของคุณ เคยมีคนมาซื้อสินค้า
และได้สินค้าจริง ๆ ซึ่งเว็บบอร์ดนี้ บางครั้งจะช่วยให้ร้านของคุณดูน่าเชื่อถือขึ้นมากทีเดียว
โดยเฉพาะถ้ามีลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าไปแล้ว และมาพูดชมสินค้า หรือบริการของร้านคุณในเว็บบอร์ด
ก็จะทำให้ลูกค้าใหม่ที่เข้ามาที่ร้านของคุณ แล้วมาเจอกระทู้นี้ เกิดความเชื่อมั่นในร้านค้าของคุณมากขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว


4.มีช่องทางให้ลูกค้าติดต่อสอบถามให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น e-mail, เบอร์มือถือ,
โทรศัพท์, แฟกซ์, เว็บบอร์ด?



สินค้าดูไม่น่าสนใจ การที่สินค้าดูไม่น่าสนใจนั้น เกิดจากสาเหตุเช่น



1.รูปถ่ายสินค้า (Product Photo) ไม่ชัดเจนเพียงพอ.. ภาพถ่ายของสินค้านี่สำคัญเลยครับ
หากคุณขายของผ่านเน็ต คนซื้อสามารถสัมผัสได้เพียงแค่ ?ภาพ? และ ?เสียง?
ของสินค้าเท่านั้น ถ้าภาพสินค้าดูหม่น ๆ มืด ๆ ก็อาจจะทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่า
สินค้านั้นดูไม่มีราคาเลย

2.ไม่อธิบายรายละเอียดสินค้าให้เพียงพอ? บางครั้งคนเห็นสินค้าแต่รูป แต่ไม่รู้ว่าสินค้านี้
มีข้อดีอะไรบ้างที่จะทำให้เขาตัดสินใจซื้อ เขาก็อาจจะไม่สนใจสินค้าเลย


วิธีการเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้า สามารถทำได้ดังนี้ครับ

1.ให้ความสำคัญกับภาพสินค้าซักหน่อย หาองค์ประกอบดี ๆ มาวางถ่ายคู่กับสินค้า
หรือตกแต่งภาพซักนิดก่อนนำภาพสินค้ามาลง เพียงเท่านี้ ก็ทำให้สินค้าของคุณดูน่าสนใจขึ้นมากเลยทีเดียว

2.เขียนคำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าให้เพียงพอครับ ทางที่ดี คุณควรจะมีการเปรียบเทียบคุณสมบัติของสินค้า
หรือมีวิธีการแนะนำสินค้าอย่างละเอียด ให้ลูกค้าได้อ่านทำความเข้าใจ เป็นการประกอบการตัดสินใจซื้อที่ดีครับ


3.ถ้าเป็นไปได้ เปิดช่องให้ลูกค้าได้วิจารณ์เกี่ยวกับสินค้าครับ เพราะคำวิจารณ์สินค้าดี
ๆ ก็ช่วยให้สินค้าดูน่าเชื่อถือ และช่วยในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้มีมากขึ้น


4.มีโปรโมชั่นบ้างครับ เช่น ซื้อ 2 แถม 1 หรือ สะสมแต้มเพื่อซื้อสินค้าในราคาลดลงในอนาคต
หรือ ประมูลสินค้า? โปรโมชั่นดี ๆ จะดึงดูดใจให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้ามากขึ้น

5.นำเสนอภาพสินค้าที่ต้องการขาย หรือสินค้าจูงใจให้เด่น ๆ ครับ สินค้านี้ควรจะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปสนใจ
และสะดุดตาเมื่อพบเห็น โดยสอดแทรกภาพสินค้าอื่น ๆ หรือมี link ที่ทำให้คนเข้าไปเห็นภาพสินค้าอื่น
ๆ ด้วย ก็จะทำให้สินค้าอื่น ๆ ได้รับการพบเห็นมากขึ้นด้วย
ลองปรับเปลี่ยนตามคำแนะนำข้างต้นดูนะครับ เชื่อผมเถอะว่า ช่วยให้ร้านค้าของคุณขายดีขึ้นแน่นอน

เราอยากให้ขายดีกันทุกๆคนเลยนะครับ

 

4. การขายสินค้าออนไลน์ มีปัญหาอะไรบ้าง?



ปัญหาในการขายสินค้าออนไลน์นั้นมีมากมาย แล้วแต่คนที่พบเจอ แต่หลัก ๆ แล้ว เท่าที่พบส่วนใหญ่ก็คือ

1.ลูกค้าสั่งแล้ว ไม่จ่ายเงิน - มีหลายร้านค้าเลยทีเดียว ที่เพิ่งเปิดร้าน
แล้วต้องการสร้างเครดิตร้านตัวเองให้ดี ๆ ก็เลยรีบส่งสินค้าให้ลูกค้า (ทั้ง ๆ
ที่ลูกค้ายังไม่ได้โอนเงินมาให้เลย) มีจริง ๆ ครับ ร้านที่ทำแบบนี้ และลูกค้าที่สั่งแล้วไม่ยอมโอนเงินมาให้?
ถ้าคุณเพิ่งเปิดร้าน อย่าไว้ใจลูกค้าเกินไปครับ ควรแน่ใจเสียก่อนว่าเขาโอนเงินมาให้แล้ว
ค่อยส่งของให้ดีกว่าครับ


2.ส่งของผิด - ไม่ว่าจะเป็นส่งไม่ตรงตามที่ลูกค้าต้องการ หรือส่งผิดสถานที่
ปัญหาแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ แม้ว่าเราจะคิดว่าเป็นปัญหาเล็ก ๆ ก็ตาม แต่บางครั้งพอเกิดขึ้น
นอกจากเสียเครดิตจากลูกค้าแล้ว การตามสินค้าคืนนั้น ก็ลำบาก เสียเวลา และอาจจะทำให้กำไรหายไปเลยก็มี
ฉนั้น ก่อนจะส่งของ ควรยืนยันกับลูกค้าให้แน่นอน ว่าเขาสั่งสินค้านั้น ๆ มาแน่แล้ว
และสถาที่ส่งสินค้า คือที่นั่น ที่นี่ เพื่อความแน่ใจก่อนส่งสินค้า และที่สำคัญ
เก็บหลักฐานการส่งสินค้า (เช่นใบเสร็จ EMS) ไว้ให้ดีครับ จนกว่าว่า สินค้าจะไปถึงมือลูกค้าแน่แล้วจริง
ๆ เพราะไม่แน่ว่า ถ้ามีปัญหาสินค้าถูกตีคืนกลับมา คุณก็ยังเอาใบเสร็จไปขอรับของคืนได้


3.ลูกค้าส่งของกลับ บอกว่าตำหนิ และขอเปลี่ยน - เจอบ่อยครับ คุณควรจะตรวจสอบสภาพสินค้าก่อนส่งนะครับ
ให้แน่ใจว่าไม่มีตำหนิ แล้วก็บรรจุในบรรจุภัณฑ์กันกระแทกเสียหายให้ดีที่สุด จะได้แน่ใจว่าปัญหามาจากการขนส่ง
หรือลูกค้าทำเอง

4.อย่าพยายามขายสินค้าแบบเก็บเงินปลายทางครับ - เจอบ่อยเช่นกัน ลูกค้าหัวใส
ขอดูสินค้าก่อนจ่ายเงิน พอเปิดมาเห็นสินค้าไม่ถูกใจ ไม่เอาซะอย่างนั้น อันนี้เราก็แบกภาระค่าขนส่งไปเต็ม
ๆ อย่าประมาทครับ เราควรมีภาพถ่ายสินค้าที่ชัดเจน ให้ลูกค้าได้เห็นมากพอที่จะตัดสินใจซื้อจะดีกว่าครับ
จริง ๆ แล้วปัญหายังมีอีกมากมาย แล้วแต่ชนิดของสินค้า และความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ฉนั้น สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ เราควรมีกฎระเบียบในการขายที่ชัดเจนให้ลูกค้าทราบขั้นตอนการซื้อ
และมีการตรวจสอบการสั่งซื้อให้แน่ชัดตั้งแต่ตอนสั่งซื้อไปจนถึงส่งของ รวมถึงการตรวจเช็กสภาพสินค้าก่อนส่ง
เพราะข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายที่น่าเหนื่อยใจตามมากมากมายก็ได้ครับ

 

5 กลยุทธ์นี้น่าจะทำให้ประสบความสำเร็จทางการตลาดออนไลน์ในปีนี้

 

1.ผู้ชื่นชอบต้องทันสมัย
ผู้ชื่นชอบในที่นี้มิได้หมายถึงเฉพาะผู้ชื่นชอบหรือ Like ในเฟซบุ๊คเท่านั้น แต่รวมไปถึงผู้ติดตามในทวิตเตอร์ อีเมล์สมาชิกหรือลูกค้า หรือแม้กระทั้งหมายเลขโทรศัพท์ก็ตาม โดยจะต้องปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย เช่น ต้องไม่มีการส่งข้อความแล้วตีกลับ หรือติดต่อไม่ได้
จะต้องกระตุ้นให้ผู้ชื่นชอบที่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับแบรนด์ให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่นการสร้างกิจกรรม เกมร่วมรับรางวัล เป็นต้น ยิ่งกระตุ้นให้ผู้ชื่นชอบมีส่วนร่วมมากเท่าไร จะสามารถเข้าใจพฤติกรรมของพวกเขาได้มากขึ้นเท่านั้น เช่น การเรียนรู้พฤติกรรมจากการคลิกอ่านบทความผ่านอีเมล์ หรือการตอบกลับด้วยข้อความสั้น SMS เป็นต้น
ผลลัพธ์ที่ได้คือจะสื่อสารกับผู้ชื่นชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างโอกาสการขายและเพิ่มจำนวนผู้ชื่นชอบได้มากยิ่งขึ้น


2.เน้นที่ลูกค้าปัจจุบันมากกว่า

การได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ก็มีความสำคัญ แต่ต้นทุนหรือความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาลูกค้าปัจจุบันให้คงความเป็นลูกค้าต่อไปแล้ว "การรักษาลูกค้าปัจจุบันย่อมดีกว่า" จะต้องเน้นกลยุทธ์ในการดึงลูกค้าปัจจุบันให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ การตลาดออนไลน์ถือว่าเป็นการตลาดที่ต้นทุนไม่สูงและสามารถเข้าถึงลูกค้าปัจจุบันของคุณได้เป็นอย่างดี อาจจะใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อสนทนากับลูกค้าเหล่านี้ เพื่อจะได้ใจลูกค้าและสร้างความประทับใจได้ในที่สุด ...สุดท้าย ก็อาจจะได้ลูกค้าเป็นตัวแทนหรือ แบรนด์แอมบาสเตอร์ของก็ได้

 

3.นำเสนอให้แตกต่างกับลูกค้าที่ต่างกัน

ผู้บริโภคทุกคนต้องการการนำเสนอที่เป็นตรงใจและเป็นตัวของเขาเองมากกว่า การสร้างกลุ่มเป้าหมายย่อยด้วยการสื่อสารแบบส่วนบุคคล (Personalization) จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้บริโภค การสนทนาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยแอพพลิเคชั่น Social CRM จะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะเข้าใจผู้บริโภคได้มากขึ้น หรือการสื่อสารกับผู้บริโภคด้วยแอพพลิเคชั่นการตลาดอีเมล์ที่สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้บริโภคได้และส่งแคมเปญอีเมล์ใหม่จากพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นต้น



4.สร้างโปรไฟล์ของผู้ชื่นชอบ

ต้องให้ความสำคัญกับโปรไฟล์หรือข้อมูลเชิงลึกของผู้ชื่นชอบของคุณมากขึ้น ข้อมูลโปรไฟล์เหล่านี้จะช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยอาจเพิ่มคำถามเชิงลึกหลังจากที่ผู้ชื่นชอบหรือสมาชิกลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์

อีกกลยุทธ์ที่ได้รับนิยมมากขึ้นคือการดึงโปรไฟล์จากเว็บไซต์สังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Twitter หรือ G+ ในการลงทะเบียนหรือเข้าสู่ระบบในเว็บไซต์ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกของสมาชิก โดยที่ไม่ต้องถาม เพราะสามารถได้ข้อมูลของผู้ชื่นชอบทันทีจากเว็บไซต์สังคมออนไลน์เหล่านั้น
ผู้บริโภคยินดีที่จะให้ข้อมูลเชิงลึก หากเขาได้รับประโยชน์หรือบริการที่ดีมากยิ่งขึ้น


5.โมบายโมบายและโมบาย

โมบาย ทั้งสมาร์ทโฟนและแทบเล็ต จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการตลาดออนไลน์ของปี 2556 และอนาคต ดังนั้นจะต้องเตรียมกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ผ่านโมบายไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่เป็นโมบายไซต์? หรือโมบายแอพพลิเคชั่นรวมไปถึงกิจกรรมออนไลน์ที่เคยผ่านคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปมาสู่โมบาย อาทิการสั่งซื้อออนไลน์การชำระเงินออนไลน์หรือธุรกรรมต่างๆ

เพียงแค่ 5 กลยุทธ์นี้ ก็สามารถประสบความสำเร็จอย่างงามในการตลาดออนไลน์ของปีนี้แน่นอน

ลองไปทำดูกันนะครับ


 

 

***************************************

 

 

 

 

 

 

'เอาเงินมาจ้างเป็นคอมฯ'

 มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา

 

เช้าวันอังคาร เป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี จะมีประชาชนที่เดือดร้อนกลุ่มต่างๆ เดินทางมาร้องทุกข์อยู่เป็นประจำ และอังคารที่ผ่านมา ตัวแทน "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" (ผรท.) จากภาคอีสาน ยกขบวนมาพบกับ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความชัดเจนในแนวทางการช่วยเหลือ ผรท.ตามคำสั่งนายกฯ ยิ่งลักษณ์

 

การเคลื่อนไหวของ ผรท. กลายเป็นปัญหาเรียกร้องไม่รู้จบ อันต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว เพราะมี "แกนนำ ผรท." หลายคนร่ำรวยจากการเป็น "นายหน้า" หากินกับหัก "หัวคิว" อดีตสหายที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว

 

แกนนำพวกนี้ จะอ้างเรื่องคำสั่งที่ 66/2523 ว่า กองทัพจะดำเนินการช่วยเหลือ "ผู้กลับใจเข้ามอบตัว" ทั้งที่ พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ฯ ได้ยกเลิกไปแล้ว บังเอิญว่า รัฐบาลชุดก่อนได้ช่วยเหลือไปเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้เกิด "ลัทธิเอาอย่าง" ก่อกระแสแห่ขอเงินรัฐบาลอย่างกว้างขวาง

 

ขณะนี้ ปรากฏการณ์ "เอาเงินมาจ้างเป็นคอมมิวนิสต์" แพร่ระบาดไปในพื้นที่ "สีแดงเก่า" ซึ่งเคยเป็นเขตการสู้รบของทหารปลดแอกฯ กับทหารรัฐบาล เนื่องจากแกนนำไปปูดข่าวว่า รัฐบาลจะช่วยเหลือ ผรท.รุ่นตกค้าง โดยไม่จำกัดเฉพาะผู้ที่เคยเข้าป่าเท่านั้น

 

จึงมีชาวบ้านที่อยากได้เงินแสน พากันกำเงินสดๆ คนละ 1-2 พันบาท มาสมัครเป็นสมาชิก ผรท. ซึ่งแกนนำบางกลุ่ม จะบรรจุให้เป็น "สหาย" ในทันที มีทั้งชื่อจัดตั้ง และชื่อเขตงาน แถมเอกสารชุดหนึ่งให้ไปท่องจำไว้ เวลาที่ กอ.รมน.เรียกไปสอบ จะได้ตอบถูกว่า อยู่เขตงานไหน? มีหน้าที่อะไร?

 

วันก่อน นักข่าวสายทหาร "คม ชัด ลึก" ไปคุยกับ พล.ต.คณิต อุทิตสาร ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานการปฏิบัติที่ 4 กอ.รมน. จึงทราบว่า รัฐบาลสุรยุทธ์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ช่วยเหลือ ผรท.ทั่วประเทศไปแล้ว 9,181 ราย โดยจ่ายเงินให้รายละ 225,000 บาท เป็นงบประมาณ 1,961 ล้านบาท

 

เมื่อนายกฯ ยิ่งลักษณ์ มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ชุดตกค้าง โดยล่าสุด ที่ประชุมได้มีการอนุมัติการช่วยเหลือเงินค่าประกอบอาชีพให้กับ "ผรท.กลุ่มที่ 1" ที่ผ่านการพิจารณาอุทธรณ์ คัดกรอง จำนวน 1,175 ราย ให้การช่วยเหลือรายละ 225,000 บาท รวมเป็นเงินงบประมาณช่วยเหลือทั้งสิ้น 264,375,000 บาท

 

รายชื่อ ผรท.พันกว่าราย เป็นกลุ่มที่คณะกรรมการช่วยเหลือ ผรท.ในรัฐบาลอภิสิทธิ์เห็นชอบแล้ว แต่ยังจ่ายเงินให้ไม่ทัน เพราะยุบสภาไปเสียก่อน

 

ส่วนแนวทางการช่วยเหลือ "ผรท.กลุ่มที่ 2" ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตกค้าง และตกสำรวจที่มีคุณสมบัติและเงื่อนไขในการช่วยเหลือตามมติที่ประชุมคณะ กรรมการ ครั้งที่ 2/2555 โดยช่วยเหลือเป็นเงินรายละ 225,000 บาท

 

ผรท.กลุ่มที่ 2 มีจำนวน 6,059 คน ต้องมีการคัดกรองภายใน 60 วัน นับตั้งแต่ 4 มีนาคม 2556 ให้เรียบร้อยภายในวันที่ 2 พฤษภาคม 2556

 

พล.ต.คณิต อุทิตสาร บอกว่า กลุ่มที่มีปัญหามากที่สุดคือ "ผรท.กลุ่มที่ 3" เพราะมีการเคลื่อนไหว และปลุกระดมให้ข้อมูลแก่ประชาชนแบบผิดๆ ทำให้มีตัวเลข ผรท.ตกค้างสูงถึง 1.3 แสนคน โดยบางกลุ่มเรียกร้องเงินช่วยเหลือถึง 650,000 บาทต่อคน

 

เดิมที คณะกรรมการช่วยเหลือ ผรท. ได้กำหนดคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือจะต้องเกิดไม่เกินปี 2509 ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือมาก่อน มีรายได้ไม่เกินปีละ 60,000 บาท และจะต้องเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรค และกองกำลังติดอาวุธ ส่วนพวกมวลชนหรือแนวร่วมในหมู่บ้าน จะไม่ได้รับสิทธินี้

 

พวกแกนนำ "นายหน้า ผรท." ก็พยายามจะแก้ไขกฎระเบียบ โดยขยายอายุไปถึงปี 2528 และไม่จำกัดเฉพาะกองกำลังติดอาวุธในป่าเขา บรรดาชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่สีแดง ล้วนมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือหมด

 

แต่คณะกรรมการชุดรองนายกฯ เฉลิม ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องเงื่อนไขใหม่ จึงมอบหมายให้ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นผู้รับผิดชอบในการเจรจากับแกนนำ ผรท.กลุ่มต่างๆ

 

จะว่าไปแล้ว แนวทางการช่วยเหลือดังกล่าวข้างต้นถือว่า ถูกต้องและชอบธรรมแล้ว เพราะรายชื่อสมาชิก ผรท.ประมาณแสนกว่าคนนั้น พูดกันตรงไปตรงมา มันมี "สหายตัวจริง" ไม่ถึง 10%

 

ที่สำคัญ "เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น" บางคนมีส่วนสนับสนุนให้เกิดขบวนการล่ารายชื่อ ผรท.ตัวปลอมเต็มบ้านเต็มเมือง ฝากให้ กอ.รมน.ส่วนกลาง ช่วยกำจัด "เหลือบในเครื่องแบบ" เหล่านี้ด้วย

 

ขอให้การช่วยเหลือ ผรท. จบสิ้นในรัฐบาลชุดนี้ มิเช่นนั้น การต้มตุ๋นชาวบ้าน "เอาเงินมาจ้างเป็นคอมมิวนิสต์" ก็ไม่มีวันจบ

...........

(หมายเหตุ : 'เอาเงินมาจ้างเป็นคอมฯ' : มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา)

 

 

 

“มาร์ค” ช่างกล้า ยกหลัก อริยสัจสี่ แนะรบ.

กระทู้ข่าว


 


 

“มาร์ค” ยกหลัก อริยสัจสี่ แนะรบ.ใช้หาทางออกให้ประเทศ งง ส.ส.เพื่อไทย ภูมิใจ มีตัวเงินตัวทอง ร่วมเสนอกม.ปรองดอง ห่วง มหาดไทยถลุงงบ สานเสวนา หาคำตอบให้รบ. ชี้ ถ้าผลไม่ถูกใจถูกฉีกอีกแน่นอน ซัด พวกจ้องดิสเครดิตศาล ยัน รธน.50 เปิดช่อง “ทักษิณ” อุทธรณ์ได้หากมีข้อมูลใหม่
 


นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การปรองดองแห่งชาติ ฉบับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ นั้น ตนอยากให้ย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่ร.ต.อ.เฉลิม เคยให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบ ซึ่งวันนั้นมีตัวเงินตัวทองเดินผ่านวงสัมภาษณ์ และร.ต.อ.เฉลิม บอกว่า ขนาดตัวเงินตัวทองยังเห็นด้วย จึงไม่แปลกที่ตัวเงินตัวทองจะไปร่วมอยู่ในการยื่นร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯ ด้วย

 

โดยทางกลุ่มส.ส.ที่ไปยื่นก็รู้สึกภูมิอกภูมิใจบอกว่า แม้แต่ตัวเงินตัวทองยังปรองดองด้วย ถ้าคิดเช่นนั้นตนก็คงยอมแพ้ ทั้งนี้ยืนยันว่า แม้จะมีการตัดมาตรา 5ออกไป ก็ยังคงเป็นกฎหมายการเงินอยู่ดี เพราะในมาตรา 4 กำหนดเรื่องสิทธิในการเรียกร้องทรัพย์สินคืนจากรัฐ ซึ่งต้องดูต่อไป เพราะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของประธานสภาฯ หากเห็นว่า เป็นกฎหมายการเงิน ก็ต้องส่งให้นายกฯ เซ็นรับรอง แต่หากมีการยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับกฎหมายการเงิน ถ้ากระบวนการไม่ชอบก็จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เราสามารถนำหลักธรรม อริยสัจสี่ยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม ดูกันด้วยเหตุ ด้วยผล แก้ปัญหาจากต้นเหตุ มาหาทางออกให้กับประเทศได้

http://www.dailynews.co.th/politics/206731



โอว์ คราวก่อนเป็นหมอดู คราวนี้เป็นผู้ทรงศีล

************************************

 

 

 

 

 พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ) หรือในนาม พุทธทาสภิกขุ

 

 

       

 

 ***********************************************

 

 

                          คำสาปมรณะ

 

 

 

Curse of Tippecanoe หรือที่รู้จักกันในชื่อ คำสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือจะอีกมากมายหลายชื่อ เช่น
 


  • คำ สาปของเทคุมเซ่ (Tecumseh's curse) เนื่อง จากเป็นคำสาปที่หัวหน้าเผ่าเผ่าชอว์นี ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ (Tecumseh) ได้ทำการสาปแช่ง คนขาวที่มาบุกรุก แย่งชิง ฆ่าฟัน ชาวอินเดียแดง ซึ่งเป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน ของพวกเขาไปด้วยความเหี้ยมโหด
  • คำสาป ปีที่ลงท้ายด้วยศูนย์ ( zero-year curse ) เนื่องจาก คำสาปนี้จะส่งผลต่อ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับเลือกตั้งมาในปีที่ลงท้ายด้วยศูนย์ จะต้องมีอันเป็นไปในระหว่างดำรงณ์ตำแหน่ง จริงจะกล่าวถึงต่อไป
  • คำ สาปยี่สิบปี ( The twenty-year curse ) เนื่องจาก ทุกๆยี่สิบปี ที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องมีอันเป็นไป

 

 

 

 

รูป ซ้าย รูปหัวหน้าเผ่าชอว์นี ( Shawnee ) ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ที่ได้ทำการสาปแช่งให้ประธานาธิบดีสหรัฐจงมีอันเป็นไป


รูปขวา เป็นอนุสรณ์สถานบริเวณในพื้นสนามรบที่ เทคุมเซ่ ถูกยิงตาย ในการรบในสงครามที่เรียกว่า Thames War ในแคนนาดาเหนือ มีข่าวลือว่า เขาถูกยิงตายโดยปืนไรเฟิล ของ พันเอกริชาร์ด เมนเตอร์ จอห์นสัน ( Col. Richard Mentor Johnson ) ในขณะนั้น และด้วยผลงานนี้ส่งผลทำให้ จอห์นสัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 9 ส่วนศพของ เทคุมเซ่ ได้มีการขุดขึ้นมา เพื่อนำไปฝังใหม่โดยสถานที่นั้นถือเป็นความลับสูงสุดของชนเผ่าชอว์นี

ซึ่ง คำสาปนี้ได้ส่งผลให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอันเป็นไปตั้งแต่ปี 1840 เรื่อยมาจนถึงปี 1960 เป็นเวลากว่า 120 ปี นำมาซึ่งความหวาดกลัวให้แก่ผู้นำประเทศที่เป็นมหาอำนาจของโลกนี้ แต่คำสาปนี้ก็เริ่มเสื่อมคลายอำนาจลง ในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ( Ronald Reagan ) ที่ได้รับการเลือกตั้งมาในปี 1980 ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ถูกลอบยิงในเดือนมีนาคม 1981 ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้ คาดว่านั้นเป็นเหตุให้คำสาปเสื่อมลง

 

ผู้เริ่มเปิดเผย ความลับแห่งคำสาปทมิฬ



First widely คำสาปนี้ถูกเปิดประเด็น และได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือ ริปลีย์ เชื่อหรือไม่ ( Ripley's Believe It or Not ) ในปี 1931 โดยมีจุดเริ่มต้นคำสาปมาจาก ประธานาธิปดี วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ที่ได้รับเลือกตั้งมาในปี 1840 และเสียชีวิตลงในปี 1841 และคำสาปนี้ก็แสดงให้เห็นถึง ว่ามันเป็นจริงเรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง

 

จุด เริ่มต้น แห่งความแค้น สุดสยอง และคำสาป

Began of Curse จุดกำเนิดของคำสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นี้เกิดขึ้นเมื่อสงครามปีค.ศ.1811 ( 1811 Bettle ) ระหว่างกองกำลังของรัฐบาล กับชาวอินเดียแดง เนื่องจาก นโยบายของ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ที่ขณะนั้นดำรงณ์ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอินเดียน่า เข้ามายึดครองพื้นที่ดินทำกินของชนเผ่าอินเดียแดงโดยมิชอบธรรม โดยการกลวิธีเพียงนำเหล้าวิสกี้ ( Whiskey ) ไปมอมเมาเท่านั้นเพื่อให้บรรดาหัวหน้าเผ่านำที่ดินมาแลก และเข้ายึดครองดินแดนศักดิ์ของบรรพชนของชนเผ่าชอว์นี ซึ่งนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่ หัวหน้าเผ่าชอว์นี ( Shawnee ) ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ซึ่งเป็นเผ่าอินเดียแดงที่ยิ่งใหญ่ และเข้มแข็งที่สุด

 

ภาพการเจรจาระหว่าง หัวหน้าเทคุมเซ่ กับ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สันแต่ผลการเจรจาล้มเหลว

ภาพ การเจรจาระหว่าง หัวหน้าเทคุมเซ่ กับ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน แต่ผลการเจรจาล้มเหลว

 

แต่ ละการเจรจาระหว่าง เทคุมเซ่ กับ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ล้มเหลวเมื่อ แฮรร์สัน ปฏิเสธคืนดินแดนให้ ทำให้เกิดการสู้รบกันในปี 1811 แต่ไหนเลย หอก ธนู จะสู้ ปืนได้ ปีเดียวกันนั้นเอง กองทัพแฮรร์สันได้เข้าโจมตีที่มั่นสุดท้ายของชนเผ่าชอว์นี บริเวณแม่น้ำ Tippecanoe จนแตกพ่ายแพ้อย่างย่อยยับลง เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ผู้ที่จิตใจมีแต่ ความโกรษแค้นอาฆาต ได้ทำพิธีสาปแช่ง วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน และประธานาธิปดีสหรัฐฯ ทุกคนที่มีที่มาเหมือนดังเช่น วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน จงมีอันเป็นไปทุกคน ตราบนานเท่านาน
 

ตาราง เหล่าประธานาธิปดีที่ คาดว่าพบกับ คำสาป สุด สยอง ที่ต่างมีอันเป็นไปต่างๆนานา
 
 

 

 

 

 



รูป ได้รับการเลือกตั้งในปี ชื่อประธานาธิบดี เหตุของการเสียชีวิต วันที่เสียชีวิต
1840 วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน
(William Henry Harrison)
โรคปอดบวม 4 เมษายน 1841
1860  อับบราฮัม ลินคอร์น        ถูกลอบสังหาร 15 เมษายน 1865
1880 เจมส์ เอ. การ์ฟิลด์
( James A. Garfield )
ถูกลอบสังหาร 19 กันยายน 1881
1900 วิลเลียม แม็กคินลีย์
( William McKinley )
ถูกลอบสังหาร 14 กันยายน 1901
1920 วอร์เรน จี. ฮาร์ดิงก์
( Warren G. Harding )
หัวใจล้มเหลว หรือ
ถูกลอบวางยา พิษ
2 สิงหาคม 1923
1940 แฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์
( Franklin D. Roosevelt )
เส้นเลือดในสมองแตก 12 เมษายน 1945
1960 จอห์น เอฟ. เคนเนดี้
( John F. Kennedy )
ถูกลอบสังหาร 22 พฤศจิกายน 1963
1980 โรนัลด์ เรแกน
( Ronald Reagan)
ถูกลอบสังหาร
ได้รับบาดเจ็บ
สาหัญแต่รอด ชีวิต
5 มิถุนายน 2004
2000 จอร์จ ดับเบิลยู. บุช
( George W. Bush )
เคยถูกลอบสังหาร ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่

 

 

***********************************************

 

สมัยก่อนโคลัมบัส

นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานว่ามนุษย์มาถึงทวีปอเมริกาครั้งแรกเมื่อ 40,000 ถึง 14,000 ปีก่อนในยุคน้ำแข็ง เพราะระดับน้ำทะเลลดลงทำให้ช่องแคบแบริ่งตื้นเขิน ทำให้ชาวเอเชียอพยพเข้ามากลายเป็นชาวอินเดียนพื้นเมืองต่างๆทั้งทวีปอเมริกาในปัจจุบัน

ผิดกลับอเมริกากลาง ในอเมริกาเหนือชาวพื้นเมืองไม่ได้สร้างอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นอัซเทคหรืออินคา แต่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนล่าสัตว์ (Hunter-gatherers) หรือบางพวกก็ตั้งถิ่นฐานทำเกษตรกรรม อารยธรรมเกษตรกรรมในอเมริกาเหนือที่พัฒนามากที่สุดคือวัฒนธรรมมิสซิสซิปปี (Mississipian Culture) ในประมาณค.ศ. 1000 ถึง ค.ศ. 1400 มักจะสร้างมูลดินขึ้นมาเพื่ออยู่อาศัยและพิธีกรรมศาสนา จึงเรียกว่า พวกสร้างมูลดิน (Mound-builders) ชุมชนที่ใหญ่ที่สุดของวัฒนธรรมมิสซิสซิปปี คือคาโฮเกีย (Cahokia) ในรัฐอิลลินอยส์

แม้โคลัมบัสจะพบทวีปอเมริกาในค.ศ. 1492 แต่ก็วนเวียนอยู่ในหมู่เกาะแคริบเบียนเท่านั้น ในค.ศ. 1513ควน ปองเซ เด เลออง (Juan Ponce de Léon) นักสำรวจชาวสเปนมาฟลอริดาเพื่อค้นหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัย (Fountain of Youth) สเปนเป็นชาติแรกที่ตั้งอาณานิคมในอเมริกา แต่แค่ผิวชายฝั่ง ไม่เข้าไปลึกมาก ในค.ศ. 1540เดอ โคโรนาโด (Francisco Vásquez de Coronado) ชาวสเปนสำรวจทะเลทรายทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ พบแกรนด์แคนยอน

ส่วนอังกฤษนั้นตั้งอาณานิคมแรกคือเจมส์ทาวน์ (Jamestown) ในค.ศ. 1607 ตั้งชื่อตามพระนามพระเจ้าเจมส์ที่ 1 โดยบริษัทลอนดอนเวอร์จิเนีย (London Virginia Company) ซึ่งจะพัฒนากลายเป็นรัฐเวอร์จิเนีย ในปีแรกๆฤดูหนาวนั้นหนาวเหน็บผู้คนล้มตายเพราะขาดอาหาร แต่ด้วยความช่วยเหลือของชาวพื้นเมือง ทำให้อาณานิคมยังอยู่รอด และได้ยาสูบ (tobacco) เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ ปลูกเป็นไร่ขนาดใหญ่ (Plantation) มีการนำทาสผิวดำจากแอฟริกามาใช้

ในอังกฤษเกิดสงครามกลางเมืองอังกฤษและการกดขี่ศาสนา ทำให้พวกนิกายต่างๆหลบหนีมาอเมริกาเพื่อตั้งรกราก พวกพิลกริม (Pilgrim) นั่งเรือเมย์ฟลาวเวอร์ (Mayflower) มาตั้งอาณานิคมพลิมัธ ประกาศ Mayflower Compact เพื่อปกครองตนเอง พวกกลุ่มเพียวริตัน ได้รับการกดขี่ในอังกฤษหนีมาตั้งอาณานิคมอ่าวแมสซาชูเซตต์ (Massachusette Bay) เพื่อสร้างดินแดนในอุดมคติของนิกายพิวริตัน ในค.ศ. 1675 ชาวอาณานิคมทำสงครามกับชาวพื้นเมืองอย่างดุเดือดในสงครามพระเจ้าฟิลิป (King Philip's War) ทำให้ชาวพื้นเมืองและชาวอาณานิคมล้มตายมากมาย อาณานิคมพลีมัธและแมสซาชูเซตรวมกันในค.ศ. 1691 รวมเรียกว่า อังกฤษใหม่ (New England)

ความคิดเห็น

วันที่: Thu May 09 04:23:34 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>