Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

20 เคล็ดลับเจ๋ง ๆ ช่วยทำให้ตัวเองดูเด็กลง

ArjanPong | 01-10-2556 | เปิดดู 2610 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

 

                      20 วิธี ดูเด็กลงด้วยตัวเอง 

 


 

                                    

 

 

 

เรื่องหน้าเด็กเป็นเรื่องที่ไม่มีใครยอมใครได้ง่าย ๆ ใครมีสูตรไหนเด็ดสูตรไหนลับสุดยอดก็งัดมาใช้กันแบบเต็มที่เพื่อใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์เท่าเด็กสาวแรกรุ่น วันนี้เราเลยขอจัดสูตรเด็ด เคล็ดลับการดูแลรักษาสุขภาพทั้งทางจิตใจและทางร่างกาย 20 วิธีมาฝากกัน 

1. บริโภควิตามินซีและอีเป็นประจำ ทำให้ดูเด็กลงกว่าเดิมไม่ต่ำกว่า 6 ปี 

2. อย่าอยู่ใกล้ควันบุหรี่ คนที่อยู่ใกล้ ๆ ควันบุหรี่วันละไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง จะดูแก่กว่าอายุจริงราว ๆ 6.9 ปี ซึ่งพอ ๆ กับคนที่สูบบุหรี่เป็น ประจำเลยทีเดียว 

3. แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกวัน คนฟันสวย จะดูเด็กกว่าปกติประมาณ 6.4 ปี 

4. มีเซ็กส์ เซ็กส์ที่มีคุณภาพหมายถึงไปถึงจุดสุดยอดได้มากเท่าไร ใน 1 ปี จะทำให้เราดูเด็กกว่าอายุจริงได้ถึง 1.6-8 ปี เชียวนะ 

5. อย่าอด อาหารเช้าเป็นมื้อที่ควรบริโภคทุกวันจะช่วยให้ดูเด็กกว่าอายุจริง ๆ ลงได้ 2 ปี 

6. หัวเราะเข้าไว้ เพราะการหัวเราะทำให้คุณดูเด็กลง 1.7-8 ปี 

7. เลือกรับประทานอาหารไขมันต่ำ เพราะอาหารไขมันต่ำจะทำให้คุณดูเด็กลงไม่ต่ำกว่า 6 ปี 

8. เรียนรู้สิ่งรอบ ๆ ตัวตลอดเวลา เพราะการเรียนรู้และหากิจกรรมใหม่ ๆ ทำสม่ำเสมอจะทำให้คุณดูเด็กลง 2.5 ปี 

9. สร้างเครือข่ายสังคม การอยู่ในสังคมที่ดี มีเพื่อนสนิทครอบครัวที่รักใคร่ กลมเกลียวจะช่วยลดความเครียดจากการทำงานจะทำให้เราดูเด็กลงได้ตั้งแต่ 2-30 ปี 

10. นอนหลับให้พอ การนอนหลับยาว ๆ นาน ๆ สม่ำเสมอในแต่ละคืนทำให้ดูอ่อนเยาว์กว่าวัย ผู้หญิงควรนอนให้ได้ 7 ชั่วโมง และชาย 8 ชั่วโมง จะทำให้เราดูเด็กลง 3 ปี 

11. เลี้ยงสุนัขและเดินเล่นกับมัน วิธีนี้จะทำให้เราดูเด็กลง 1 ปี 

12. ไปตรวจสุขภาพบ้าง คนที่ดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี จะทำให้เราดูเด็กลงกว่าอายุจริงถึง 12 ปี 

13. ตรวจและสอบประวัติสุขภาพของครอบครัว การป้องกันตัวเองจากโรคที่เคยเป็นในครอบครัวดังกล่าว จะช่วยให้คุณดูเด็กกว่าพ่อแม่ของคุณ เมื่อเวลาที่คุณมีอายุเท่ากับท่านถึง 4 ปี 

14. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังที่เหมาะสมจะทำให้ดูเด็กลง 3-8 ปี 

15. หยุดสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ จะดูแก่กว่าอายุจริง 8 ปี 

16. งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง การติดแอลกอฮอล์จะทำดูแก่กว่าอายุจริง 3-5 ปี 

17. อย่าลืมเรื่องเศรษฐกิจ คนที่มีปัญหาเครียดเรื่องเงินจะทำให้ดูแก่กว่าอายุจริง 8 ปี 

18. รักษาน้ำหนักให้มาตรฐานคงที่ คนที่ลดน้ำหนักลงได้จะทำดูเด็กกว่าอายุจริงไม่ต่ำกว่า 6 ปี 

19. บริโภคอาหารแคลอรีต่ำแต่คุณค่าโภชนาการสูง การบริโภคผักผลไม้สดและปลา จะทำดูเด็กลง 4 ปี 

20. หาทางออกที่เหมาะสมเมื่อพบวิกฤติของชีวิตการเอาชนะปัญหาชีวิตได้ จะทำคุณดูเด็กลง 8-16 ปี 

 

 

ที่มา นิตยสาร APPEAL

 

 

 

 

***********************************

 

 

 

 

 

 

เทศกาลกินเจ 2556 อิ่มบุญอิ่มใจ 5-13 ตุลาคมนี้

 

 

 

 


เทศกาลกินเจ

 

 


 
          เทศกาลกินเจ ถือเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาวจีนที่มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล  ซึ่งเทศกาลกินเจนั้น จะเริ่มขึ้นเมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีน) ของทุกปี โดยเมื่อถึงวันดังกล่าวประชาชนจะนำธงพื้นสีเหลืองซึ่งมีตัวอักษรจีนสีแดงโดดเด่นมาประดับตามร้านอาหาร หรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า  ได้เข้าร่วมเทศกาลกินเจนี้ และสำหรับเทศกาลกินเจ ปี 2555 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่  5-13 ตุลาคม 2556 ซึ่งบางคนอาจกินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า "ล้างท้อง" นั่นเอง 
 

          สำหรับใครที่ไม่เคยกินเจมาก่อน แล้วอยากทราบประวัติความเป็นมาของเทศกาลกินเจ รวมถึงต้องการเรียนรู้การกินเจอย่างถูกวิธี เพื่อให้ได้ผลดีต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ อย่างแท้จริงนั้น วันนี้ทีมงานกระปุกดอทคอม ได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับเทศกาลกินเจมาฝากแล้วค่ะ 
 
ความหมายของเจ 
 
          คำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า "อุโบสถ" เดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ 
 
          "การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว 
 
ช่วงเวลากินเจ 

 
          ประเพณีกินเจที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เก้าอ๊วงเจ" หรือ "กิ้วอ๊วงเจ" แปลว่า "เจเดือน 9" เริ่มต้นในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน รวม 9 วัน 9 คืน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย (ตามปฏิทินสากล) สำหรับในปี พ.ศ. 2556 นี้ เริ่มวันที่  5-13 ตุลาคม 
 
          คำว่า "เก้าอ๊วง" หรือ "กิ้วอ๊วง" แปลว่า "พระราชา 9 องค์" หรือนพราชา หมายถึงผู้เป็นใหญ่ทั้ง 9 ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีกินผักกินเจ 
 
ความหมายของ "ธงเจ" 

 
          ในช่วงเทศกาลกินเจ เราจะสังเกตเห็นธงประจำเทศกาล โดยมีพื้นธงเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้กับคนสองกลุ่มเท่านั้น คือกลุ่มกษัตริย์ ราชวงศ์ และกลุ่มอาจารย์ปราบผี ดังจะเห็นจากยันต์สีเหลืองตามภาพยนตร์จีน ดังนั้นสีเหลืองจึงเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล บนธงจะเขียนตัวอักษรสีแดง อ่านว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" เหตุที่ใช้สีแดง เพราะชาวจีนเชื่อว่า เป็นสีมงคล สร้างความเจริญให้แก่ชีวิต 
 
          ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตนถือศีลกินเจได้ตระหนักถึงการไม่ เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน 

กินเจเพื่ออะไร 

 
          จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ 
 
           1. กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ 
 
           2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุก ๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้  
 
           3. กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น 



 
ตำนานการกินเจ 
 
          ตำนานที่มาของการกินเจ มีเรื่องเล่าอยู่ถึง 7 เรื่องได้แก่ 
 
ตำนานที่ 1 รำลึกถึงวีรชนทั้ง 9 

 
          เทศกาลกินเจเริ่มขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว โดยชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูผู้รุกรานอย่างกล้าหาญ ถึงแม้จะแพ้และต้องตายก็ตาม ดังนั้นเมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น เพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่างกาย และจิตใจ 
 
ตำนานที่ 2 บูชาพระพุทธเจ้า 
 
          เชื่อว่า เป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า "ดาวนพเคราะห์" ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้ สาธุชนในพระพุทธศาสนาจะสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีล งดเว้นเนื้อสัตว์ และแต่งกายด้วยชุดขาว 
 
ตำนานที่ 3 เก้าอ๊องฝ่ายมหายาน 
 

          กล่าวไว้ว่า การกินเจเป็นพิธีปฏิบัติที่สืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวร โพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์ (หรือ "เก้าอ๊อง") 
 
          ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ 
 
ตำนานที่ 4 พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้อง 
 
          เชื่อว่า การกินเจเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่ง เป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการ เมือง ประเพณีนี้เข้ามาสู่เมืองไทยโดยชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่ อีกทอดหนึ่ง 
 
ตำนานที่ 5 เล่าเอี๋ย 

 
          เมื่อ 1,500 ปีก่อน ณ มณฑลกังไสซึ่งเป็นแดนแห่งความเจริญรุ่งเรือง ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเก่งทั้งบุ๋น บู๊ ทำให้หัวเมืองต่าง ๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็ง และมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มากกว่าหลายเท่าตัว โอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่า อีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วย แต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสา และเพ่งญาณเห็นว่า ควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญลีฮั้วก่าย 
 
          คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่า มีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบ เศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไป และประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อน และผู้อื่นจึงปฏิบัติตาม จนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย 
 
          เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไส จึงได้ศึกษาตำราการกินเจของ เศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องฮ่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ) 
 
ตำนานที่ 6 เล่าเซ็ง 
 
          มีชายขี้เมาคนหนึ่งชื่อ เล่าเซ็ง เข้าใจผิดว่า แม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่มาเข้าฝันว่า ตนตายไปได้รับความสุขมาก เพราะแม่กินแต่อาหารเจ และหากลูกต้องการพบให้ไปที่เขาโพถ้อซัว บนเกาะน่ำไฮ้ ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งจึงขอตามเพื่อนบ้านไปไหว้พระโพธิสัตว์ด้วย โดยเพื่อนบ้านให้เล่าเซ็งสัญญาว่า จะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงยอมให้ไป แต่ระหว่างทางเล่าเซ็งผิดสัญญา เพื่อนบ้านจึงหนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เช่นกัน เขาจึงขอตามนางไปด้วย 
 
          เมื่อถึงเขาโพถ้อซัว ขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบพระโพธิสัตว์อยู่นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูป แต่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเขาเดินทางกลับ ได้เจอกับเด็กชายยืนร้องไห้อยู่ จึงเข้าไปถามไถ่จนทราบว่า เด็กคนนั้นเป็นลูกชายของเขากับภรรยาเก่าที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วย และต่อมาหญิงสาวที่นำทางเล่าเซ็งไปพบพระโพธิสัตว์ได้มาขออยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข 
 
          หญิงสาวคนนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ มีความประพฤติดี อยู่ในศีลธรรม และถือศีลกินเจอยู่เป็นประจำ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้ว จึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางแต่งตัวด้วยอาภรณ์ขาวสะอาด นั่งสักครู่แล้วก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่ จึงเกิดศรัทธา ยกสมบัติให้ลูกชาย แล้วประพฤติตัวใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่ และหญิงสาว ประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น 
 
ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต 
 
          มีคณะงิ้วจากเมืองจีน มาเปิดการแสดงที่อำเภอกะทู้นานเป็นแรมปี บังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคระบาดก็หาย ชาวกะทู้เกิดความศรัทธาจึงปฏิบัติตาม หลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ก็มีผู้คนเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์แบบตามประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) จากกังไสให้ลอยมาถึงภูเก็ต โดยในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน 
 
          สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจจึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ 
 
ภูเก็ต เมืองแห่งเทศกาลเจ 
 
          จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่จัดประเพณีการกินเจอย่างยิ่งใหญ่ทุก ๆ ปี โดยมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 ดังนั้นเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่ว ๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตว่า เป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบ และระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน 
 
10 วันของเทศกาลกินเจ 

          ประเพณีกินเจจะจัด 9 วัน 9 คืน โดยแต่ละวันมีพิธีต่าง ๆ กันดังนี้ 
 
          วันแรก แต่ละศาลเจ้าก็จะดูฤกษ์ยามว่า จะเชิญเจ้ามาเวลาไหน แต่ไม่เกินเที่ยงวัน โดยใช้ "ปวย" 2 อันเสี่ยงทายโดยการโยน 2 ครั้ง หาก 1 อันหงาย 1 อันคว่ำ แสดงว่า เจ้าทั้ง 9 ได้เสด็จลงมาแล้ว การกินเจจะเริ่มขึ้น แต่คนส่วนใหญ่มักทานกันล่วงหน้าเพื่อล้างท้อง 
 
          ที่ภูเก็ตในตอนกลางคืนจะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้ามาประทับ 
 
          เช้าวันที่สอง จะมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม 
 
          หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่านไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น 
 
          วันที่สี่ เป็นวันที่คนส่วนใหญ่จะมาไหว้เจ้า วันนี้ศาลเจ้าต่าง ๆ จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน 
 
          วันที่เจ็ด จะเริ่มพิธีบูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นอีกวันหนึ่งที่มีการไหว้เจ้า แต่วันนี้สำคัญกว่าวันที่สี่ เรียกว่า "ไหว้เจ้าใหญ่" ในวันนี้จะมีการซื้อเต่า, ปลาไหล, นก ฯลฯ มาไหว้ด้วย 
 
          วันที่แปด วันนี้จะมีการลอยกระทง คล้ายการลอยกระทงของคนไทย เพื่อขอบคุณเจ้าแม่คงคาที่ให้น้ำใช้ น้ำดื่ม และให้สิ่งไม่ดีลอยไปตามน้ำ นอกจากนี้ที่ภูเก็ตยังมีการจัดขบวนแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระลึกถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่าง ๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้นไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้ เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอดเส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด 
 
          วันที่เก้า ช่วงเช้าจะมีพิธีทำทาน หรือเรียกว่า "ซิโกว" เป็นการให้ทานแก่ผีไม่มีญาติ ตอนกลางคืนจะมีแห่มังกร, สิงโต, ขบวนของเด็กที่จัดเพื่อเป็นสีสัน  
 
          ขณะที่จังหวัดภูเก็ตจะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่านร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลง ดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต 

          วันที่สิบ เป็นวันส่งเจ้ากลับ 
 
อาหารเจ 

          อาหารเจนับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ และไม่มีพิษต่อร่างกาย เพราะได้โปรตีนจากถั่วต่าง ๆ และยังย่อยง่ายเป็นการแบ่งเบาภาระของระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ผู้ที่รับประทานเจ สามารถเลือกส่วนผสมดังต่อไปนี้มาปรุงอาหารได้ คือ ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่าง ๆ ปัจจุบันมีเมนูอาหารจำนวนมาก ซึ่งหลายเมนูทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ได้เหมือนจริง เช่น ขาหมูเจที่ทำจากแป้ง และถั่ว ฯลฯ 
 
ความแตกต่างของ "เจ" กับ "มังสวิรัติ" 

          หลายคนอาจสงสัยว่า "กินเจ" ต่างกับ "กินมังสวิรัติ" อย่างไร เพราะอาหารมังสวิรัติก็เป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกัน แต่มังสวิรัติสามารถทานผักได้ทุกชนิด แต่ อาหารเจ ต้องเว้นผักฉุน 5 ประเภท คือ ผักชี กระเทียม หัวหอม (รวมทั้งหอมแดง หอมขาว หัวหอมใหญ่ ต้นหอม) หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน ไม่ค่อยพบในประเทศไทย) กุยช่าย และใบยาสูบ รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการถือศีลกินเจที่แท้จริง ขณะที่มังสวิรัติ หมายถึง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น 
 
หลักธรรมในการกินเจ 
 
          การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ 
 
           1. การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือ ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน, ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน และไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตัวเอง 
 
           2.การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเอง คือ จะรับประทานสิ่งใดเข้าไปต้องไม่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเท่ากับเป็นการเบียดเบียนตนเอง ดังนั้นจึงมีการห้ามของมึนเมา สารเสพติด ขณะที่วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ยืนยันว่า เลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย เนื้อสัตว์เหล่านี้จึงจัดเป็นพิษชนิดหนึ่งเช่นกัน การละเว้นจึงส่งผลดีต่อร่างกายอีกด้วย 
 
ข้อปฏิบัต ข้อห้าม กินเจ
 
 
การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ 

 
          ช่วงเวลา 9 วันที่กินเจนั้น ผู้ที่ต้องการเป็นผู้ถือศีลกินเจอย่างครบสมบูรณ์ตามประเพณี ต้องปฏิบัติตัวดังนี้ 
 

           1. งดเว้นเนื้อสัตว์ และทำอันตรายต่อสัตว์ 
 
           2. งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์ 
 
           3. งดอาหารรสจัด ทั้งอาหารเผ็ด หวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด 
 
           4. งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม หลักเกียว กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ และของมึนเมาต่าง  ๆ เพราะผักดังกล่าวนี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษคอยทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายใน ทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ
 
           5. รักษาศีลห้า 
 
           6. ทำบุญทำทาน สำหรับคนที่เคร่งครัดจะนุ่งขาวห่มขาว 
 
           7. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ 
 
          สำหรับผู้ที่เคร่งครัดมาก  ๆ จะทานอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นคนปรุงเท่านั้น รวมทั้งจะต้องล้างหม้อจนสะอาด แยกภาชนะสำหรับใส่เนื้อสัตว์ออก เพื่อปรุงอาหารเจเฉพาะ นอกจากนี้ยังจุดตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับ เพื่อเป็นพุทธบูชา และรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้อง ตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด 
 
ประโยชน์ของการกินเจ 
 

          การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลรักษาประเพณี และละเว้นชีวิตแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ 
 
           1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน เพราะสารอาหารจากพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ 
 
           2. เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อย ๆ เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส ร่างกายแข็งแรงรู้สึกมีสุขภาพดี 
 
           3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี แข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์ 
 
           4. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่าง ๆ ได้แก่ สารเคมี ยาฆ่าแมลง มลภาวะ และก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ ซึ่งสารอาหารในพืชผัก จะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่าง ๆ ได้ 
 
           5. สามารถต้านทานสารพิษได้สูงกว่าคนปกติ ในบรรดาผู้ที่ทานเจมักไม่ปรากฏโรครุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ฯลฯ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ 
 
           6. การกินเจทำให้เกิดความเมตตา เกิดความสงบสุขุม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่โมโหง่าย ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้บารมีธรรมสูงขึ้นเรื่อย ๆ 
 
           7. หยุดการสร้างบาป เวรกรรม ทำให้ไม่เกิดการอาฆาต พยาบาท จึงปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งทำร้ายตามจองเวร 
                
          จากข้อมูลที่นำเสนอไปข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่า เทศกาลกินเจ ไม่ใช่แค่การงดรับประทานเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการถือศีล และทำบุญ เพื่อให้ทั้งร่างกาย และจิตใจ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งประโยชน์ของการเข้าร่วมเทศกาลกินเจ  นอกจากจะช่วยปรับสมดุลภายในร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใสแล้ว ยังส่งผลให้จิตใจสดชื่น เบิกบาน สามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น และมีความสุข
 
   
       ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า การเข้าร่วมเทศกาลกินเจ นอกจากจะทำให้อิ่มบุญ อิ่มใจ กันถ้วนหน้าแล้ว ผู้ที่หมั่นทำบุญ ถือศีล อย่างเคร่งครัด ย่อมได้รับสิ่งเข้าดี ๆ เข้ามาในชีวิตอีกด้วย แต่สำหรับท่านใดที่ไม่สะดวกในกินเจ สามารถถือศีล 5 ศีล หรือ 8 เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้เช่นกัน เมื่อรู้ข้อดีของการกินเจแล้ว วันที่  5-13 ตุลาคม 2556 นี้ หากมีโอกาสก็อย่าลืมมาร่วมกินเจด้วยกันนะคะ 
 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
elib-online.com 
panyathai.or.th  

 

 

 

 

 ************************************

 

 

 

 

 

 

 

                                  ใบสั่ง



 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ใบสั่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรออกให้ผู้ขับขี่ที่ละเมิดกฎนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522

ส่วนใหญ่แล้ว ตำรวจจราจรจะใช้อำนาจได้ 2 ทาง กรณีพบเห็นผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอันเกี่ยวกับการจราจร ได้แก่ 1.ใช้อำนาจว่ากล่าวตักเตือน 2.ใช้อำนาจออกใบสั่งให้ผู้ที่ขับขี่ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบ 

เมื่อเจ้าพนักงานเลือกใช้อำนาจออกใบสั่งแล้ว ต้องใช้แบบใบสั่งของเจ้าพนักงานจราจรออกให้แก่ผู้ขับขี่ หากไม่พบตัวผู้กระทำผิด เช่น จอดรถทิ้งไว้ในที่ห้ามจอดก็จะออกใบสั่งโดยติดไว้ที่รถที่ผู้ขับขี่เห็นได้ง่าย 

ส่วนกรณีออกใบสั่งต่อหน้าผู้ขับขี่ เจ้าหน้าที่จะเรียกหรือไม่เรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวก็ได้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ หากเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่เจ้าหน้าที่จะออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ให้ผู้ขับขี่ถือไว้แทนเพื่อใช้ในการขับรถต่อไปชั่วคราวไม่เกิน 7 วัน ระหว่างนั้นผู้ขับขี่ต้องรีบไปชำระค่าปรับ 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ได้ต่อเมื่อมีการออกใบสั่งให้แก่ผู้ขับขี่ก่อน ถ้าไม่ออกใบสั่งก็ไม่มีอำนาจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่

หากผู้ขับขี่ฝ่าฝืนไม่ยอมส่งมอบใบอนุญาตขับขี่ให้ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจร จะมีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน ปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เมื่อผู้ขับขี่ได้รับใบสั่งแล้วตามมาตรา 141 ของพ.ร.บ.จราจรทางบก ผู้ได้รับใบสั่งสามารถเลือกชำระค่าปรับตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบสั่ง หรือตามจำนวนที่พนักงานสอบสวนแจ้งให้ทราบ ณ สถานที่และภายในวันเวลาที่ระบุไว้ในใบสั่ง

หรือเลือกชำระค่าปรับตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบสั่ง โดยส่งธนาณัติหรือส่งตั๋วแลกเงินของธนาคารทางไปรษณีย์ลงทะเบียน สั่งจ่ายให้แก่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยสำเนาใบสั่งไปยังสถานที่ และภายในเวลาที่ระบุไว้ในใบสั่ง 

หากไม่ไปชำระค่าปรับโดยไม่มีเหตุอันควร ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนไม่ไปชำระตามใบสั่ง มีความผิดโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท และพนักงานสอบสวนมีอำนาจออกหมายเรียกผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน เพื่อเปรียบเทียบปรับตามกฎหมาย 

หรือหากพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกไม่ได้ก็จะแจ้งไปยังนายทะเบียนรถยนต์หรือนายทะเบียนขนส่งทางบกให้งดรับชำระภาษีประจำปีสำหรับรถคันดังกล่าวไว้ชั่วคราว จนกว่าผู้ได้รับใบสั่งจะมาพบพนักงานสอบสวน และยอมชำระค่าปรับ

 

 

 

 ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามป.อาญามาตรา336 

 

ม.336 ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษ... 


ผู้ใด หมายถึง บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ซึ่งมิใช่ผู้ถูกกระทำ 
ทรัพย์ หมายถึง วัตถุที่มีรูปร่างและมีราคา 
ฉกฉวยซึ่งหน้า หมายถึง การแย่งไปต่อหน้า 
เจตนา หมายถึง การกระทำโดยรู้สำนึกและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

 

จะผิดวิ่งราวทรัพย์ได้...ต้องครบองค์ประกอบเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ก่อน.. 
๑.เอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่น...........ไป(ในลักษณะตัดกรรมสิทธิ์หรือครอบครอง) และ 
๒.เจตนาภายใน โดยเจตนาทุจริต (เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย....) 
การปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมาย..ย่อมไม่มีเจตนาทุจริต..

 

 ให้พิจาณาถึง เจตนา ที่แท้จริงว่า ต้องการเอาไปซึ่งหน้าซึ่งกุญแจโดยทุจริตหรือไม่ หรือ ต้องการเอารถไปบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือ ต้องการดำเนินคดีฐานอื่นๆ แต่ก็สุ่มเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ และไม่เหมาะ ไม่ควรทั้งนั้น ไม่ควรทำเด็ดขาด 

...เคยมีแนวฎีกา เรื่องยึดกุญแจรถบรรทุกโดยอำเภอใจ โดยพลการ โดยข่มขืนใจเขา เข้าข่ายผิด กม.แต่ ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆ ไปด้วย 


...ปกติ ตร.ไม่จำเป็นต้องยึดรถ เว้นแต่ ต้องการยึดไว้ตรวจสอบสภาพเครื่องกลอุปกรณ์ หรือ การได้มา ว่าถูกต้องตาม กม.หรือไม่และต้องมีเหตุนำ เช่น ได้รับวิทยุแจ้งสกัดจับ ให้ตรวจสอบอะไรประมาณนั้นด้วย 


...หากต้องการจับเรื่องอื่นจะออกใบสั่งก็ได้ ไม่ต้องเอากุญแจไว้ หากเอาไว้ก็ไม่ชอบด้วยหน้าที่ได้เหมือนกัน เรื่องแบบนี้บางครั้งขิงก็ร่าข่าก็แรง ทั้งมอไซค์และ ตร.ที่จับ 


...หากถามแบบวิชาการไม่มีเหตุนำ ก็ต้องว่า ผิดได้เหมือนกันกับการเอาทรัพย์ไปซึ่งหน้า แต่หากมีเหตุนำมาโต้เถียง มีไม่ยอมอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด ก็อาจออกไปได้อีกทาง คดีขึ้นศาลเมื่อไร ก็ต้องสืบกันละเอียดลึกซึ้ง ยังไงๆ กรรมก็เป็นเครื่องชี้เจตนาว่า ตร.ยึดกุญแจ แบบลุแก่อำนาจหรือไม่ด้วย

 

 

 

 

**************************

 

 

                      ทำงานไม่เคยถูกใจหัวหน้าเลย ทำอย่างไรดี?...

 

 

 

อ.อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา กรรมการบริหาร บริษัท ออคิด สลิงชอท จำกัด

   

 

 

  Q : เคยอ่านปัญหาต่างๆที่อาจารย์ตอบใน manger online ดิฉันมีปัญหาเกี่ยวกับตัวเองค่ะ คือเวลาที่ตั้งใจทำอะไรไปแล้ว สิ่งที่ทำลงไปจะผิดทุกครั้ง ไม่เคยถูกใจหัวหน้าเลย จนรู้สึกแย่ไม่อยากจะทำงานต่อไปแล้วค่ะ อาจารย์มีคำแนะนำให้ไหมคะ ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
       
       A : คำถามนี้ตอบยากนะครับ เพราะไม่รู้ว่าที่ทำผิด นี่ผิดอะไร และที่สำคัญผิดเพราะไม่รู้ ผิดเพราะทำไม่เป็น หรือผิดเพียงเพราะไม่ถูกใจหัวหน้าเท่านั้น เอาเป็นว่าตอบแยกทีละปัญหาแล้วกัน
       
       1. ถ้าผิดเพราะไม่รู้ - งั้นผมแนะนำว่าให้กล้าที่จะสอบถาม ไม่ต้องกลัวโง่ ถามคำถามโง่ๆ ดีกว่าทำผิดแบบโง่ๆ เมื่อถามแล้วให้จด จดแล้วนำกลับไปทบทวน ถ้าจำไม่ได้ ใหม่ๆ คงต้องใช้วิธีการท่อง เหมือนสมัยเรียนที่ถูกบังคับให้ท่องสูตรคูณ สมัยนั้นก็ไม่รู้ว่าจะท่องไปทำไม แต่พอโตขึ้นจึงรู้ว่าเป็นประโยชน์อย่างหาค่ามิได้เลยทีเดียวเชียว นอกจากนั้นจงเปิดใจให้กว้าง อย่าคิดว่า "รู้แล้วทุกเรื่อง" ผมมีพี่คนหนึ่งที่รู้จักกัน ทุกครั้งไม่ว่าใครพูดอะไร แกจะพูดคำว่า "รู้แล้วรู้แล้ว" จนติดปาก ระยะหลังๆ หลายคนเลยรู้สึกหมั่นใส้ ไม่มีใครอยากบอกอะไรแกอีก ครั้นพอพี่เขาเอ่ยปากสอบถาม ก็มีคนแซวว่า "อ้าว รู้แล้ว ไม่ใช่เหรอ" กลายเป็นคนทำผิดเพราะคิดว่าตัวเองรู้ แต่จริงๆ ไม่รู้ ไปเสียฉิบ
       
       2. ผิดเพราะทำไม่เป็น - ความรู้เพียงอย่างเดียวไม่ช่วยให้เราทำงานได้ ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้เราใช้ "ทักษะ" มากกว่า "ความรู้" ในการทำงาน การสอน การบอก การอบรม ให้แค่ "ความรู้"กับเราเท่านั้น แต่ความรู้นั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนมาเป็น "ทักษะ" ได้เลย หากขาดการฝึกฝนจนชำนาญ ยกตัวอย่างง่ายๆ ทำไมคนไทยเรียนภาษาอังกฤษมา 10 กว่าปี (ตั้งแต่ป.1 ถึง ม.6) แต่พูดภาษาอังกฤษไม่เอาถ่าน เพราะเราเน้นเพียงความรู้ในห้อง แต่ขาดการฝึกฝนอย่างจริงๆภายหลังจากการเรียนรู้ ดังนั้นหากทำผิดเพราะทำไม่เป็น นอกจากใฝ่หาความรู้แล้ว จงฝึกฝนให้เกิดความเชี่ยวชาญจนกลายเป็นทักษะ
       
       3. ผิดเพราะไม่ถูกใจหัวหน้า - ในชีวิตการทำงานต้องยอมรับว่า "ความถูกต้อง" กับ "ความถูกใจ" เป็นเรื่องใกล้เคียงกันมาก แยกลำบาก เรื่องนี้จึงยากเพราะค่อนข้างเป็นนามธรรมและขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน เอาเป็นว่าเราคงเปลี่ยนวิธีการและความเชื่อของเจ้านายไม่ได้ กลับมาคิดว่าเราจะทำอย่างไรให้ถูกใจนายคนนี้ (โดยไม่ผิดศีลธรรมและจรรยาบรรณ) น่าจะดีกว่า ข้อแนะนำคือเอาอคติของเรากองไว้ข้างๆ หยุดตั้งคำถามว่า "มันถูกต้องไหม" ศึกษาแนวทางและวิธีคิดของหัวหน้า เช่น เขาเป็นคนชอบฟังรายละเอียดก่อนข้อสรุปหรืออยากได้ยินข้อสรุปก่อนรายละเอียด เขาชอบที่จะฟังหรือชอบที่จะดูเอกสาร เขาต้องการข้อมูลมากหรือเอาแต่เนื้อๆ เป็นต้น ศึกษาสไตล์ของหัวหน้าแล้วปรับจูนให้ตรงกัน ใหม่ๆ อาจยอมโดนด่าบ้าง

 

แต่ทุกครั้งที่ถูกต่อว่า ต้องได้เรียนรู้ เหมือนสมัยเด็กๆ ที่ผมเริ่มต้นทำงาน หัวหน้าคนแรกในชีวิตสอนว่าในการทำงาน "No Pain, No Gain" แปลว่า "ไม่เจ็บก็ไม่ได้เรียนรู้" แกยังพูดต่อไปอีกว่า "But someone always pain, never gain" หมายความความ แต่บางคนเจ็บตลอดเวลา (แปลว่าโดนด่าบ่อยๆ) แต่ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นเมื่อทำผิด ถูกตำหนิ ต้องเรียนรู้และอย่าทำผิดซ้ำ สำหรับผม คิดว่าคนทำอะไรไม่ผิดเลยคงไม่มี ยกเว้นคนไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้นการทำผิดไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่สิ่งที่รับไม่ได้คือทำผิดซ้ำๆ โดยไม่มีการแก้ไขอะไรนี่ซิ "รับไม่ได"้ ดังนั้นหากทำได้ไม่ถูกใจ ก็ศึกษาดูว่าสิ่งที่เรียกว่า "ถูกใจ"สำหรับหัวหน้า เป็นอย่างไร แล้วก็ทำตามนั้น จบ ง่ายๆ จริงไหมครับ
       
       ลองดูครับ ได้เรื่องหรือไม่ได้เรื่อง อย่าลืมส่งข่าว
       
       อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
       apiwut@riverorchid.com

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 


โวย อบจ.อุตรดิตถ์ จัดงบพา ขรก.-เมียทัวร์ดูงานจีนได้/กลับเมินช่วยชาวบ้าน

 

 

 อุตรดิตถ์ - ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอุตรดิตถ์จวก อบจ.จัดงบขน ขรก.-เมียเที่ยวจีน อ้างศึกษาดูงานรับอาเซียนได้ แต่เมินจัดงบแก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม และพยุงราคาผลผลิตการเกษตรชาวบ้านบางพื้นที่

       
       นายชาลี คำด้วง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าคาย อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 2-6 ต.ค. 56 องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุตรดิตถ์มีโครงการใช้งบประมาณมากกว่า 2 ล้านบาทพาคณะผู้บริหาร, ผู้อำนวยการกอง, หัวหน้าฝ่าย, อดีตข้าราชการระดับสูงสำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย-ภรรยา, ข้าราชการระดับสูงกรมการปกครอง-ภรรยา และข้าราชการระดับสูงสำนักงานท้องถิ่น จ.อุตรดิตถ์ พร้อมภรรยา รวมคณะ 67 คน เดินทางไปประเทศจีน ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายต่อหัวมากกว่า 30,000 บาท โดยอ้างว่าไปศึกษาดูงานเพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน
       
       ทั้งที่ก่อนหน้านี้ อบต.และชาวบ้านเคยร้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก อบจ.เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาว ต.ป่าคาย โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้ง-น้ำท่วม เนื่องจาก อบต.ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ กลับไม่ได้รับการดูแล
       
       “การที่ อบจ.อุตรดิตถ์นำคณะไปเที่ยว แต่อ้างว่าไปศึกษาดูงานที่ประเทศจีนครั้งนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือเหมาะสมแล้วหรือ หน่วยงานระดับจังหวัดคงไม่สามารถยับยั้งอะไรได้เพราะมีผู้บริหารระดับสูงร่วมคณะเดินทางไปด้วย” นายชาลีกล่าว
       
       ด้านนายอุดม อินทร์หม่อม นายก อบต.บ้านด่านนาขาม อ.เมืองอุตรดิตถ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ประสานไปยัง อบจ.อุตรดิตถ์เพื่อให้นำงบประมาณมาช่วยพยุงราคาลางสาด และลองกองที่ตกต่ำมากในปีนี้ เหมือนกับที่ อบจ.ไปเปิดจุดรับซื้อลางสาดและลองกองที่เทศบาลตำบลหัวดง ต.นานกกก อ.ลับแล แต่ได้รับการปฏิเสธ อ้างว่าไม่มีงบประมาณ จน อบต.ต้องนำงบประมาณที่เหลือเพียง 50,000 บาทไปแทรกแซงแทน พอทำให้ความเดือดร้อนของชาวสวนลดลงไปได้บ้าง
       
       นายอุดมบอกว่า น่าเสียดายงบประมาณกว่า 2 ล้านบาทที่ อบจ.อุตรดิตถ์นำไปใช้เพื่อการท่องเที่ยวแต่อ้างว่าศึกษาดูงานที่ประเทศจีน เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ชาวอุตรดิตถ์เลยแม้แต่น้อย แทนที่จะนำงบประมาณไปแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รับซื้อผลผลิตของชาวสวนที่ราคาตกต่ำ จึงอยากให้กระทรวงมหาดไทย หรือรัฐบาลได้ออกกฎระเบียบให้ชัดเจนว่า ห้ามนำงบประมาณของท้องถิ่นไปเที่ยวโดยอ้างศึกษาดูงาน เพราะขณะนี้ประเทศก็กำลังเป็นหนี้มหาศาลอยู่แล้ว

 

 

"ก็พอๆกัน ระดับ อบจ.ก็ไปเที่ยวต่างประเทศ ระดับ อบต.ก็เที่ยวกันในประเทศ โดยอ้างว่าไปดูงาน ซึ่งเป็นเรื่องตลกมาก อย่างเช่น ภาคอีสานไปดูงานพัทยา ซึ่งมันคนละเรื่องกัน อีสานมีแต่ขุนเขาเป็นที่ราบสูง ไปดูงานที่เป็นทะเลและการปลูกพืชผลก็ต่างกัน อย่างนี้ไม่เรียกว่าไปเที่ยวจะเรียกว่าอะไร เป็นการสิ้นเปลืองงบแบบไม่มีประโยชน์อะไรเลย....."

 

 "เป็นมุกหากินเบิกงบประมาณไปเที่ยวต่างประเทศมากกว่า

 

ประชาคมอาเซียน AEC เนี่ย คนภาครัฐอาศัยช่องนี้แหละ

เป็นโบนัสจัดงบประมาณไปเที่ยว แต่อ้างสัมมนา ดูงาน

 

AEC ชื่อนี้จะหลอกรับประทานงบประมาณได้อีก ปีสองปี"


 สำหรับหน่วยงานราชการ "ไปสัมมนาต่างประเทศ" หมายความว่า "ไปเที่ยวเมืองนอกฟรี" 

 

 

 

*****************************

 

 

 

 

หลังจากถีบยอดหน้า ก็ตามซ้ำด้วยเตะเจาะยางอีก 1 ดอก

 

 

"ตีเหล็กต้องตีตอนที่มันกำลังร้อนครับ....จัดหนักต่อเนื่องไปครับท่านนายก
ปชช. ตาดำๆอย่างผมสนับสนุนเต็มที่

 

 


 

 

 

หลังจากถีบยอดหน้า ก็ตามซ้ำด้วยเตะเจาะยางอีก 1 ดอก 
ครม. สั่งกฤษฎีร่าง กม. ตรวจสอบทรัพย์สินองค์กรอิสระ
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2556 เวลา 17:27 น.
เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ท. หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.มีมติให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ไปศึกษากฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ดำรงตำแหน่งระดับสูง รวมถึงองค์กรอิสระต่าง ๆ ว่าได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินแล้วหรือไม่ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้เกิดความโปร่งใสและต่อต้านคอร์รัปชั่น หากยังไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุมเนื้อหาในส่วนนี้ก็ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไป ร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้น เพราะปัจจุบันการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิ้นนั้น มีเฉพาะข้าราชการการเมืองเพียงฝ่ายเดียว และเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ยกร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว ขอให้นำเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาต่อไป.

"คนที่จะตรวจสอบคนอื่น ต้องยอมให้คนอื่นตรวจสอบได้ด้วย เพื่อความโปร่งใส
และเห็นควรให้มีการตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่วันที่รับตำแหน่งด้วย
ถ้ามีช่องพอไม่อยากให้เว้นแม้แต่ผู้ที่หมดวาระไปแล้วด้วย
ก็สมควรแล้ว หลังผ่านร่าง กม เฉดหัว สวลากตั้งออกจากสภา ก็ตามด้วยการตรวจสอบองค์กรอิสระ.............."

 

 

**********************************
 

ความคิดเห็น

วันที่: Thu May 09 12:54:23 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>