Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

เทคโนโลยีเเห่งอนาคต

ArjanPong | 06-10-2556 | เปิดดู 2763 | ความคิดเห็น 0

 

 

ไปไม่รอด! สื่อปลาดิบแฉ “พานาโซนิค” เลิกผลิต “ทีวีพลาสมา” ต้นปีหน้า

 

 

 

                      

 

 

 เอเอฟพี – บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ พานาโซนิค เตรียมเลิกผลิตทีวีพลาสมาตั้งแต่ต้นปีหน้า ตามแผนปรับโครงสร้างบริษัทเพื่อความอยู่รอด สื่อญี่ปุ่นรายงานวันนี้ (9)
       
       หนังสือพิมพ์นิกเกอิ รายงานว่า พานาโซนิค มีแผนจะปิดโรงงานผลิตทีวีพลาสมาที่เมืองอามางาซากิ จังหวัดเฮียวโกะ ภายในสิ้นเดือนมีนาคมปี 2014 พร้อมประกาศขายโรงงานทิ้ง
       
       ท่าทีดังกล่าวสอดรับกับแนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในญี่ปุ่นที่เริ่มหันหลังให้กับเทคโนโลยีจอภาพพลาสมา โดย ฮิตาชิ และ ไพโอเนียร์ ก็ประกาศยุติการผลิตทีวีพลาสมาไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้
       
       โฆษกพานาโซนิค ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจที่แน่นอน และบริษัทยังอยู่ระหว่างหารือยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ แต่ยอมรับว่าโรงงานในจีนได้เลิกผลิตจอพลาสมาไปเรียบร้อยแล้ว
       
       พานาโซนิค, โซนี และชาร์ป ต่างประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักในธุรกิจทีวี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากราคาตกต่ำแล้ว ยังต้องแข่งกับผู้ผลิตในเกาหลีใต้และไต้หวันซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า
       
       ธุรกิจทีวีพลาสมาของ พานาโซนิค ขาดทุนต่อเนื่องมา 2 ปีซ้อน โดยปีงบประมาณที่ผ่านมาทำบริษัทสูญเม็ดเงินไป 754,250 ล้านเยน (ราว 243,000 ล้านบาท) ส่วนปีก่อนหน้าก็ขาดทุนถึง 772,170 ล้านเยน (ราว 249,000 ล้านบาท) ซึ่งนับเป็นสถิติย่ำแย่ที่สุดสำหรับบริษัทญี่ปุ่นที่ไม่ได้อยู่ในภาคการเงิน
       
       พานาโซนิค เริ่มกลับมาทำกำไรอีกครั้งในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน โดยได้แรงหนุนจากมาตรการตัดทอนรายจ่ายบริษัท และค่าเงินเยนที่อ่อนลง

 

 

                                                               Panasonic

 

 

ผู้ผลิตทีวีรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น Panasonic เตรียมการเลิกพัฒนา และผลิตจอภาพพลาสมาแล้ว หลังจากมีข่าวลือมาตั้งแต่ช่วงปีก่อน จนกระทั่งมีรายงานว่า Panasonic ได้ปิดศูนย์พัฒนาเกี่ยวกับจอภาพพลาสมาไปเมื่อเดือนก่อน

 

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ทีวีพลาสมารุ่น ZT60 จะกลายเป็นรุ่นสุดท้ายของ Panasonic ที่จะใช้จอภาพพลาสมา แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว Panasonic ก็ยังยืนยันว่าจะยังขายทีวีพลาสมาไปอีกอย่างน้อยจนถึงปี 2014

 

ส่วนอนาคตของธุรกิจทีวี Panasonic จะทุ่มกำลังไปที่จอภาพ OLED โดยมีแผนโยกคนส่วนหนึ่งจากฝั่งพลาสมามาเสริมทัพที่ฝั่ง OLED และภายในปีสองปีนี้ทีวี OLED จะเข้าไปทดแทนไลน์เดิมของทีวีพลาสมาทั้งหมด

 

เมื่อตลาดเดินมาแบบนี้ คงถึงเวลาโบกมือลาทีวีพลาสมากันจริงๆ แล้วล่ะครับ

 

  

 

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

 

 

 

 

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
peoplecine.com, daydev.com

          ในปัจจุบันจอภาพแบบ LCD และ LED ได้มาแทนที่จอแก้วแบบ CRT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยข้อดีต่าง ๆ ที่ดีกว่าจอ CRT ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นความบาง, ความคมชัดของภาพ, ประหยัดพลังงานกว่า และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในอนาคตอันใกล้ กำลังจะมีจอชนิดใหม่ที่จะมาแทนที่ LCD (และ LED) แล้ว ก็คือจอภาพแบบ OLED นั่นเอง เนื่องจากมีอุปกรณ์หลายชนิดที่หันไปใช้จอภาพแบบ OLED กันพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, เครื่องเกมพกพา ฯลฯ แต่เชื่อว่าคงมีหลาย ๆ ท่านที่ยังไม่ค่อยทราบว่าเจ้า OLED นั้นมันเป็นยังไง มีอะไรดี แล้วมันต่างกับ LCD ยังไงบ้าง วันนี้จึงขอพาท่านไปทำความรู้จักกับ OLED กันครับ



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


      

    OLED (Organic Light Emitting Diodes) คือจอภาพที่มีลักษณะคล้ายแผ่นฟิล์ม ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสารอินทรีย์ที่สามารถเปล่งแสงเองได้เมื่อได้รับพลังงานไฟฟ้า เรียกว่ากระบวนการอิเล็คโทรลูมิเนเซนส์ (Electroluminescence) โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาแสง Backlight และจะไม่มีการเปล่งแสดงในบริเวณที่เป็นภาพสีดำ ส่งผลให้สีดำนั้นดำสนิท อีกทั้งยังช่วยพลังงานด้วย

          นอกจากนี้ จอภาพแบบ OLED ยังมีความบางกว่า LCD รวมทั้งมีความยิดหยุ่น สามารถโค้งงอได้ เนื่องจาก OLED มีโครงสร้างที่แตกต่างจาก LCD โดยโครงสร้างของ OLED นั้นประกอบด้วยสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าที่เป็นของแข็ง ทำจากวัสดุอินทรีย์มีทั้งแบบ Polymer และโมเลกุลขนาดเล็ก ซึ่งมีความหนาเพียง 100-500 นาโนเมตรเท่านั้น (บางกว่าเส้นผมของคน 200 เท่า) และอาจมีชั้นสารอินทรีย์เป็นองค์ประกอบอยู่  2 หรือ 3 ชั้น

รายละเอียดโครงสร้างของ OLED (แบบที่มีสารอินทรีย์ประกอบ 2 ชั้น)



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 

 

1. Substrate เป็นชั้นผิวหน้าของจอภาพ อาจทำจากกระจก, ฟลอยด์โลหะ หรือพลาสติกใส ซึ่งหากทำจากฟลอยด์หรือพลาสติกใสจะทำให้ได้จอภาพที่มีความยืดหยุ่นสูง

2. Anode (ขั้วบวก) ทำด้วยวัสดุโปร่งใส (Indium Tinn Oxide ; ITO) เป็นตัวทำหน้าที่ดึงกระแสอิเล็กตรอน

3. Organic Layer ทำจากสารประกอบอินทรีย์ หรือโพลิเมอร์ของสารอินทรีย์ โดยถูกแบ่งออกเป็น 2 ชั้นย่อย ๆ ได้แก่

          Conducting Layer ทำจากโมเลกุลของสารอินทรีย์ที่เป็นสี ทำหน้าที่ส่ง Hole ของอิเล็คตรอนจาก Anode

          Emissive Layer ทำจากโมเลกุลของสารอินทรีย์ที่เป็นสี ทำหน้าที่เคลื่อนย้ายอิเล็คตรอนจาก Cathode โดยชั้นนี้เป็นชั้นที่ทำให้เกิดการเปล่งแสง

4. Cathode (ขั้วลบ) อาจทำด้วยวัสดุโปร่งใสหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของ OLED เป็นตัวทำหน้าที่ปล่อยกระแสอีเล็กตรอน



หลักการทำงานของกระบวนการอิเล็คโทรลูมิเนเซนส์ (Electroluminescence)

 
ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต


 

1. จอ OLED ได้รับกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหรือแบตเตอรี่

2. กระแสไฟฟ้าไหลจาก Cathode ผ่านชั้นสารอินทรีย์ไปยัง Anode โดย Cathode จะส่งอิเล็กตรอนให้ Emissive Layer

3. Anode ดึงอิเล็กตรอนจาก Conductive Layer ทำให้เกิด Electron Holes ขึ้น

4. ระหว่าง Emissive Layer และ Conductive Layer จะเกิดปฏิกิริยา Electron (-) รวมตัวเข้ากับ Hole (+) ขึ้น

5. เนื่องจากอิเล็กตรอนมีระดับพลังงานทีสูงกว่า Holes จึงต้องลดระดับของพลังงานของอิเล็กตรอนลง ด้วยการเปลี่ยนรูปของพลังงานไปเป็นพลังงานแสงแทน

6. จอภาพ OLED เปล่งแสงจากพลังงานแสง



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 

 


          สำหรับสีของแสงที่ปรากฏออกมาจะขึ้นอยู่กับชนิดของโมเลกุลของสารอินทรีย์ในชั้น Emissive layer ซึ่งในจอ Full Colour OLED จะมีสารอินทรีย์ทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ สารอินทรีย์ที่ให้แสงสีแดง, เขียว และน้ำเงิน (RGB) โดยสารทั้ง 3 ชนิดนี้ถูกเคลือบอยู่บน OLED เพียงแผ่นเดียวเพื่อให้เกิดสีสันต่าง ๆ ส่วนความสว่างของแสงที่ปรากฏบนจอภาพจะขึ้นอยู่กับปริมาณของกระแสอิเล็กตรอน หากมีกระแสมากแสงก็จะมีความสว่างมากขึ้น ซึ่งปกติ OLED จะใช้กระแสไฟฟ้าที่ประมาณ 3-10 โวลต์

OLED สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ PMOLED และ AMOLED

          PMOLED (Passive Matrix OLED) ในแต่ละชั้นจะมีลักษณะเป็นแถบแยกออกจากกัน โดยชั้นของ Cathode และ Anode จะวางในแนวขวางซึ่งกันและกัน โดยเมื่อมีกระแสไหลผ่านในแต่ละช่อง Cathode และ Anode จะทำให้ฟิล์มเกิดการเปล่งแสงบริเวณที่ขั้ว Cathode และ Anode วางตัดกัน ดังนั้นการควบคุมการเปล่งแสงของ PMOLED จึงขึ้นอยู่กับการเลือกช่องทางเดินของกระแส โดยข้อดีของ OLED ชนิดนี้คือสร้างได้ง่าย และต้องการกระแสจากวงจรภายนอก ส่งผลให้ต้องใช้พลังงานมากกว่า OLED ชนิดอื่น ๆ (แต่ก็ยังประหยัดพลังงงานมากกว่า LCD) ซึ่ง PMOLED เหมาะสำหรับทำจอภาพขนาดเล็กที่มีความกว้างประมาณ 2-3 นิ้ว อย่างเช่น จอของโทรศัพท์หรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ แต่ปัจจุบันนิยมหันใช้ AMOLED กันมากกว่าแล้ว



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


      

    AMOLED (Active Matrix OLED) ในแต่ละชั้นจะต่อเนื่องกันทั้งชั้น แต่ในชั้น Anode จะมีลักษณะเป็นฟิล์มบางที่เป็นวงจรในตัวเอง และควบคุมการเกิดภาพได้เอง โดย AMOLED จะใช้พลังงานน้อยกว่า PMOLED เนื่องจากลักษณะโครงสร้างที่เป็นแบบฟิล์มบาง และยังสามารถขยายให้มีขนาดใหญ่ได้ด้วย จึงทำให้ AMOLED เหมาะสำหรับทำจอภาพที่มีขนาดใหญ่ เช่น จอโทรทัศน์, จอคอมพิวเตอร์ หรือจอป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันก็นิยมใช้เป็นจอภาพของอุปกรณ์พกกาอื่น ๆ เช่นกัน



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต 
 


 

OLED ยังแบ่งเป็นประเภทย่อย ๆ ตามลักษณะการใช้งานได้อีก 4 ชนิด

1. Transparent OLED ประกอบด้วยชั้นที่โปร่งแสงทุกชั้น เมื่อปิดจอ แสงจากภายนอกจะสามารถผ่านจอได้ถึง 85 % และเมื่อเปิดจอกระแสไฟฟ้าก็จะถูกส่งเข้าระบบ และเปลี่ยนเป็นแสงส่องผ่านออกมาจากจอได้ทั้งสองด้าน ซึ่งสามารถสร้างจอภาพที่มองเห็นภาพได้ทั้ง 2 ด้าน โดย Transparent OLED นี้สามารถสร้างได้ทั้งแบบ PMOLED และ AMOLED



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


2. Top-emitting OLED เป็นจอแบบทึบแสงหรือสะท้อนแสง โดยจอภาพแบบนี้จะเป็นแบบ AMOLED ซึ่งถูกนำไปใช้กับ Smartcard เป็นส่วนใหญ่


 

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


3. Foldable OLED ทำด้วยวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง เช่น แผ่นฟลอยด์โลหะหรือพลาสติกใส มีน้ำหนักเบา และมีความทนทานสูง เหมาะใช้สำหรับโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ เพื่อช่วยลดปัญหาหน้าจอแตก นอกจากนี้ ยังสามารถเย็บติดกับเส้นใยผ้าต่าง ๆ อย่างเสื้อผ้าได้อีกด้วย



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


4. White OLED เป็น OLED ที่ให้แสงสีขาว ช่วยประหยัดพลังงานและมีคุณภาพดีกว่าแสงที่ได้จาก หลอดฟลูออเรสเซนต์ ทำให้เห็นสีแท้จริง เช่นเดียวกันแสงสว่างตามธรรมชาติ และมีแนวโน้มว่าเมื่อทำให้มีขนาดใหญ่ จะสามารถใช้แทนแสงฟลูออเรสเซนต์ที่ใช้ตามบ้านและตึกต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าการใช้หลอดไฟธรรมดา



 
ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต


 

จุดเด่นของ OLED

บาง เบา และมีความยืดหยุ่นสูง
เมื่อนำพลาสติกมาทำจอของ OLED แทนกระจก จะทำให้จอมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับให้โค้งงอได้
สามารถทำเป็นจอแบบโปร่งใส และมองเห็นได้จากทั้งสองด้าน
ให้ความสว่างได้มากกว่าจอปกติ
สีดำ ดำสนิทกว่าจอปกติ เนื่องจากไม่มีแสง Backlight
เนื่องจากสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง
สามารถสร้างให้เป็นขนาดใหญ่ได้ง่าย โดยมีความปลอดภัยสูง เพราะสามารถสร้างจากพลาสติกได้
มีมุมมองกว้างถึงเกือบ 180 องศา

จุดด้อยของ OLED

ฟิล์มที่ให้กำเนิดสีน้ำเงินมีอายุการใช้งานสั้นเพียง 1,000 ชั่วโมง (แต่สำหรับสีแดง และเขียว มีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึงประมาณ 10,000-40,000 ชั่วโมง
สารอินทรีย์ที่ใช้ทำ OLED จะเสียหายได้ง่ายเมื่อโดนน้ำหรือออกซิเจน

 



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


         

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน OLED ยังไม่ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายเท่ากับ LCD และ LED จากคาดว่าในอนาคต OLED น่าจะเข้ามาแทนที่ LCD และ LED อย่างแน่นอน รวมทั้งอาจได้เห็นการใช้จอ OLED บนอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ก็ได้ เช่น แว่นตา, หนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งบนผืนผ้า โดยเฉพาะจุดเด่นด้านความยืดหยุ่นที่สามารถโค้งงอได้นั้นเป็นสิ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้หลากหลายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น แท็บเล็ตที่สามารถม้วนเก็บได้ หรือจอโทรทัศน์ที่สามารถโค้งรับกับมุมห้องได้ แค่นึกภาพก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมล่ะครับ

 

 

 

 ***********************************

 

 

 

 

                              

 

 

 

 

 

 

 นคร'ของขึ้น!หลังแผนปฏิรูปปชป.ถูกเมิน ด่ากราด'หวงอำนาจ-กลัวเสียตำแหน่ง' เชื่อเลือกตั้งแพ้ทุกครั้งวอนคนในพรรคหนุน

 

                 9ต.ค.2556 นายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมการเสนอแนวทางปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกผิดหวังที่โมเดลการปฏิรูปพรรคของเราได้รับความเห็นชอบเพียงบางส่วน
 
                 "สิ่งที่เป็นจุดอ่อนยังไม่ถูกแก้ไข จุดแข็งก็ยังไม่ถูกสร้าง ทำให้พรรคยังไม่ได้รับการปฏิรูปอย่างแท้จริง ทั้งที่การปฏิรูปไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เป็นการเสริมจุดแข็งให้แก่พรรคในทุกมิติ ให้นำไปสู่การเป็นสถาบันทางการเมือง ไม่ยึดติดกับบุคคลและเพื่อเป็นพรรคทางเลือก ตอบโจทย์ให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งหากประชาธิปัตย์ยังอยู่ในกรอบคิดในวิถีทางเดิมแบบนี้ ก็จะลบคำสบประมาทที่ว่าเราแพ้การเลือกตั้งมากว่า 20 ปีลงไปไม่ได้ "นายนคร กล่าวและว่า

                 สมาชิกพรรคกว่าครึ่งหนึ่งเห็นด้วยกับแนวทางการปฏิรูป แต่สมาชิกพรรคและผู้ใหญ่บางคนยังไม่แสดงออก สงวนท่าที ทำเหมือนบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น เนื่องจากเกรงว่าหากโมเดลนี้ไม่ผ่านจะส่งผลกระทบต่อลำดับในบัญชีรายชื่อ กลัวว่าจะไม่มีตำแหน่ง ส่วนกลุ่มคนที่มีอำนาจอยู่ในพรรคก็ย่อยสลายทำลายแผนปฏิรูป กลัวเสียตำแหน่งที่มีอยู่สำหรับเอาไว้พิมพ์ในนามบัตร
 
                 "ถ้าบริหารพรรคแล้วชนะก็จะไม่มีใครว่าอะไร แต่ถามกลับว่าหากบริหารแล้วแพ้การเลือกตั้งแบบนี้จะเข้าไปมีอำนาจหรือตำแหน่งได้อย่างไร และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคก็ได้ไฟเขียวให้มีการเสนอไปยังคณะกรรมการบริหารพรรคแล้ว " นายนคร กล่าว

                 เขายังกล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยเสนอว่า คือความหวังดี มีประโยชน์ อย่างยิ่งต่อประชาธิปัตย์และบ้านเมือง
        
                 "แต่ก็น่าเสียดายที่ถูกปฏิเสธไปเช่นกัน บนบ้านที่เก่าแก่ทรุดโทรมหลังนี้ เราต้องเปิดโอกาสให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความสามารถจากทั่วหล้าได้เข้ามาเติมเต็มแก้ไข แต่ถ้ายังมีมุมมองคับแคบ อยู่กันอย่างพรรคพวก หวังสืบทอดอำนาจ ก็จะมีแต่แพ้กับแพ้” นายนคร ชี้

                 นายนคร กล่าวต่อว่า ขอให้กำลังใจการเสนอแนวคิดของ นายอลงกรณ์ พลบุตร ต่อไป ซึ่งกลุ่มที่เสนอแนวทางปฏิรูปก็คงต้องทำใจ แต่จะไม่ละทิ้งความพยายาม และอุดมการณ์ อยากให้สมาชิกพรรคที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ช่วยกันสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อปฏิรูปพรรคให้นำไปสู่ความหลากหลาย ชนะการเลือกตั้ง เป็นฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ และอยากให้ผู้มีอำนาจในพรรคฟังเราบ้าง

 

 

 

 

 *********************************************

 

 

 

 

 

 เป็นความภูมิใจที่ได้ฆ่า!! “ตอลิบาน” ประกาศจะเอาชีวิต “มาลาลา” อีกครั้ง – อ้างทำไปเพราะปกป้อง “ศาสนา”

 

 

 

           

  เอเจนซีส์ - “มาลาลา ยูซาฟไซ” เด็กสาวชาวปากีสถาน วัย 16 ปี นักรณรงค์ด้านการศึกษา ที่รอดตายจากการพยายามถูกสังหารของกลุ่มตอลิบาน ล่าสุดกลุ่มก่อการร้ายให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ABC ของอเมริกาว่าจะลงมือสังหารเธออีกครั้ง เหตุเพราะเธอพูดล้อเล้นเชิงหมิ่นศาสนาอิสลาม และถือเป็นความภาคภูมิใจของกลุ่มในการเสียชีวิตของเธอ
       
       มาลาลา ยูซาฟไซ เด็กสาวชาวปากีสถาน วัย 16 ปี ซึ่งมีแนวคิดต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายตอลิบานตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ปี ที่ในขณะนั้นเธอได้เขียนลงในบล็อกของบีบีซีเพื่อเรียกร้องสิทธิของเด็กผู้หญิงที่จะได้ไปโรงเรียนในการตอบโต้มีคำขู่ของกลุ่มตอลิบานที่ก่อนหน้านั้นต้องการปิดโรงเรียนของเด็กผู้หญิงในปากีสถาน ซึ่งข้อเรียกร้องของเธอบนบล็อกบีบีซีนั้นได้ไปปรากฏบนหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ในภายหลัง และในขณะที่เธออายุได้ 15 ปี มาลาลาได้ถูกยิงยิงเข้าที่ศรีษะทางด้านซ้ายในขณะที่เธอและเพื่อนโดยสารรถรับส่งนักเรียนกลับบ้าน
       
       โดยล่าสุด ชาฮิดูเลาะห์ ชาฮิด โฆษกของกลุ่มก่อการร้ายตอลิบานประกาศผ่านการสัมภาษณ์กับสื่อ ABC ของอเมริกาว่า “กลุ่มตอลิบานไม่ได้ต้องการเอาชีวิตมาลาลาเหตุจากการรณรงค์ด้านการศึกษาสำหรับเด็กผู้หญิง แต่ทางกลุ่มต้องสังหารเธอ เพราะมาลาลา “พูดจาล้อเล่น” เชิงดูหมิ่นศาสนาอิสลาม และกล่าวโจมตีศาสนาศักดิ์สิทธิ์นี้ ซึ่งเธอเป็นคนยอมรับเองว่าเธอกล่าวโจมตีศาสนาของเธอเอง นั่นเป็นเหตุผลที่พอเพียงแล้วสำหรับเราที่จะลงมือ ทางกลุ่มจะพยายาม “ฆ่า” เด็กสาวผู้นี้อย่างแน่นอน” ชาฮิดยังเผยต่อไปว่า “ซึ่งทั่วไปแล้ว ศาสนาอิสลามมีกฎห้ามสังหารสตรีหรือเด็กผู้หญิง แต่ยกเว้นพวกเธอเหล่านั้นจะสนับสนุนคนนอกศาสนามาทำสงครามกับศาสนาของเรา”
       
       การขู่ฆ่ามาลาลาครั้งนี้เกิดขึ้นอีกครั้งท่ามกลางกระแสข่าวหนาหูที่เกิดขึ้นว่ามาลาลาเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ถูกเสนอเพื่อเข้าชิงราวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่จะประกาศในวันที่ 11 นี้ โดยมาลาลาได้ให้ความเห็นเรื่องถูกเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัลโนเบิลว่า “ถ้าดิฉันได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมาครอบครอง ถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของดิฉัน แต่ถ้าหากว่าดิฉันไม่ได้รับรางวัลนี้ มันก็คงไม่ได้สำคัญแต่อย่างไร เพราะเป้าหมายของดิฉันเพื่อ “สันติภาพ” ไม่ใช่เพื่อ “รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ” และที่สำคัญ...เพื่อการศึกษาสำหรับเด็กผู้หญิงทั่วโลก”
       
       นอกจากนี้ มาลาลายังได้กล่าวถึงระบบความกลัวที่กลุ่มก่อการร้ายตอลิบานต้องการปลูกฝังในปากีสถาน ซึ่งเป็นเหตุให้เธอต้องก้าวออกมาสู่สาธารณะเพื่อเอ่ยถึงในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งเธออายุ 11 ปี “การลงโทษของกลุ่มตอลิบานเสมือนการสังหารคนที่ Green Chowk (จุดชุมชนในเขตบ้านของเธอที่ปากีสถาน) หรือใครสักคนสาดน้ำกรดใส่หน้าผู้หญิง หรือการทำร้ายร่างกายพวกเธอเหล่านั้นและค่อยปลิดชีวิตภายหลัง ดิฉันกลัวในอนาคตของตนเอง และในขณะนั้นทุกคนต่างกลัวกับทุกสิ่งรอบตัว ในทุกชุมชน ที่เมืองมินโกรา” โดยมาลาลามีกำหนดจะเปิดตัวหนังสือประวัติชีวิตของเธอ “I am Malala : The Girl Who Stood Up For Education And Was Shot By The Taliban” ในวันพรุ่งนี้( 8)
       
       โดยในขณะนี้ทั้งครอบครัวมาลาลาและเด็กสาวผู้นี้ได้ย้ายมาอยู่ที่อังกฤษในเมืองเบอร์มิงแฮม และเธอได้เข้าศึกษาต่อในชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนอิดจ์บาสตัน ไฮสกูล ในเดือนมีนาคม ต้นปีนี้ มาลาลามีแผนจะเดินทางกลับปากีสถานในทันทีที่เธอสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดและมีศักยภาพมากพอในทำสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมากระสุนปืนของกลุ่มตอลิบานนอกจากไม่สามารถปลิดชีวิตเธอได้แล้ว มันยังไม่สามารถดับความหวังเธออีกด้วย มาลาลาได้ฉลองวันเกิดอายุครบ 16 ปีเต็ม ด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ที่ยูเอ็น นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิมาลาลาเพื่อให้การสนับสนุนเด็กผู้หญิงทั่วโลกด้านการศึกษา

 

 

 

 

มาลาลา ยูซาฟไซ( ซ้าย) ขณะได้กลับไปเรียนต่อครั้งแรกที่โรงเรียนอิดจ์บาสตัน ไฮสคูล หลังจากฟื้นตัวจากการเข้ารับรักษาตัวที่อังกฤษ

 

 

 

 

มาลาลา ยูซาฟไซ ขณะที่กำลังเข้ารับรักษาตัวที่อังกฤษดังโดนกลุ่มก่อการร้ายตอลิบานลอบสังหารเมื่อเธอมีอายุได้ 15 ปี

 

 

 

โรงเรียนหญิงล้วนในปากีสถานที่ต้องมีเจ้าหน้าที่ีความมั่นคงของปากีสถานคอยให้ความปลอดภัย โดยโรงเรียนแห่งนี้ได้เปลี่ยนชื่อภายหลังเพื่อเป็นเกียรติแก่มาลาลาหลังจากเธอถูกลอบสังหาร

 

 

 คำบอกเล่าของหญิงปากีสถานหลัง "ถูกบังคับให้เดินเปลือยกายรอบหมู่บ้าน"

 

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ตำรวจปากีสถานจับกุมชายสองคนที่ถูกกล่าวหาว่าทำการบังคับให้สตรีวัยกลางคนรายหนึ่งเดินเปลือยกายกลางหมู่บ้าน หลังจากหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าบุตรชายของเธอแอบมีความสัมพันธ์กับภรรยาของเขาจนกระทั่งตั้งครรภ์ หลังจากนั้นเธอก็ได้เปิดเผยเรื่องราวต่างๆที่ชวนให้น่าตกใจ

 

 

 

 

 

นางชาห์นาซ บีบี ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านนีลอร์ บาลา ทางตอนเหนือของปากีสถาน ขณะที่สามีของเธอเดินทางไปทำงานเป็นคนขับรถที่เมืองละฮอร์ เปิดเผยว่า วันนั้น เธอไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงว่ามีคนกำลังพังประตูบ้าน และร้องตะโกนโวยวายถามบุตรชายวัย 11 ขวบของเธอว่าเธออยู่ที่ไหน และเขาก็บอก

 

นางบีบี กล่าวว่า ชายสี่คนพร้อมอาวุธปืนพังประตูเข้ามายังห้องของเธอ และเธออกล่าวว่า เธอรู้จักพวกเขาดีเพราะเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน และรู้ตัวอีกที่เมื่อพวกเขาจับเธอมัดข้อมือและผลัดกเธอออกไปนอกถนน พูดจาข่มขู่ และบางครั้งก็ผลักเธอลงไปกองกับพื้น ก่อนที่จะลากเธออกไปยังลานกว้างแห่งหนึ่ง และฉีกเสื้อผ้าเธออกจนหมด และลากเธอไปตามท้องถนน นานกว่าหนึ่งชั่วโมง เธอร้องไห้ และอ้อนวอนให้พวกเขาปล่อยตัว แต่ไม่มีใครฟังแต่กลับทุบตีเธอหนักขึ้น

 

"ไม่นานคนในหมู่บ้านก็ได้เห็นเหตุการณ์นั้นทั้งหมด"

 

ไม่ว่าผู้หญิง เด็ก ผู้ชาย ทุกคนเห็นหมด แต่ไม่มีกล้าเข้ามาช่วย ไม่มีแม้แต่ใครที่จะกลาเข้ามาปกป้อง เธอกล่าว ชายหนึ่งในสี่คนชูปืนไรเฟิลขึ้นและขู่ว่าหากใครเข้ามาจะต้องเจอดี กลายเป็นว่าเหมือนคนทั้งหมู่บ้านกำลังยืนดูละครโทรทัศน์ ในระหว่างที่เธอถูกทำร้ายและลากไปมาตามหมู่บ้าน ชายคนหนึ่งกล่าวว่า ลูกชายของเธอแอบไปมีอะไรกับผู้หญิงในครอบครัวของพวกเขา เธอกล่าวแต่เพียงว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย

 

นางบีบี กล่าวว่า เธอรู้ก่อนหน้านี้มาแล้วว่า หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านหย่าร้างกับสามี แต่ไม่ทราบว่าลูกชายของเธอเป็นสาเหตุของเรื่องดังกล่าวหรือไม่

 

ตำรวจเปิดเผยว่า เคยมีการรวมกลุ่มของสมาชิกชายในหมู่บ้านเพื่อหาทาง"เสียบประจาน"คนที่เป็นสาเหตุของการหย่าร้างครั้งนั้น และหลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มคนเหล่านั้นก็มุ่งหน้ามาที่บ้านของนางบีบี

 

เธอกล่าวว่าพวกเขาควรหารือกับเธอก่อน หรือไม่ก็ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจหากคิดว่าลูกชายของเธอเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้จริงๆ แต่พวกเขาบอกเพียงว่า ต้องการให้เธอได้รับความอับอาย

 

"ตลอดเวลาฉันเฝ้าตามกับตัวเองว่าทำไมคำสาปร้ายนี้จึงเกิดขึ้นกับเธอ ฉันทำอะไรผิด? ฉันได้แต่ร้องขอให้พวกเขาหยุดเสียที"

 

ท้ายที่สุด เธอได้รับการปล่อยตัว แต่ก็ทำร้ายเธอเพิ่มอีก หลังจากนั้นจึงวิ่งกลับไปที่บ้านและรีบหาเสื้อผ้ามาใส่

 

แต่ก่อนที่เธอจะบอกเล่าวว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอหลังจากนั้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือและเริ่มกัดริมฝีปากล่าง ก่อนที่จะร้องไห้ออกมาอย่างฟูมฟาย และเล่าเหตุการณ์ต่อไปว่า เธอและลูกชายต่างพากันร้องไห้และวิ่งหนีไปยังป่านอกหมู่บ้าน และนอนค้างคืนที่นั่น เพราะอับอายเกินกว่าที่จะไปพบหน้าคนในหมู่บ้าน เนื่องจากเธอไม่มีเงินติดตัว จึงร้องขอให้คนขับรถคนหนึ่งพาเธอไปไกลๆจากที่นั่น จนกระทั่งตอนนี้ เธอก็ยังไม่ได้กลับไปยังหมู่บ้านอีกเลย แต่กลับไปยังอำเภอที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อไปแจ้งความกับตำรวจ

 

"รู้ไหม ไม่มีใครสักคนที่คิดจะไปแจ้งความให้ฉัน" เธอกล่าว

 

ตำรวจรับเรื่องของเธอไว้และจัดการต่อหลังจากนั้น ผู้ถูกกล่าวหาบางคนถูกจับตัวแล้ว ขณะที่อีกบางคนยังคงลอยนวล เธอยังคงหวั่นเกรงว่าใครบางคนในกลุ่มหรือญาติพี่น้องของพวกเขาอาจย้อนกลับมาทำร้ายเธออีก

"ฉันอยากให้พวกเขาได้รับโทษ แม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยอะไรฉันมากก็ตาม"

 

ในปากีสถาน การพุ่งเป้าทำร้ายผู้หญิงแทนสมาชิกในครอบครัวถือเป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติแต่อย่างใด มีรายงานเหตุการทำร้ายผู้หญิงเกิดขึ้นทั่วไป ทั้งการสาดน้ำกรด ตัดแขนหรือขาเพื่อทำให้พิการ ข่มขืน หรือแม้กระทั่งการสังหาร

 

ประมวลกฎหมายอาญาของปากีสถาน มีกฎหมายเฉพาะที่ระบุโทษของการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการจับสตรีเปลื้องผ้าและประจานในที่สาธารณะ ว่าอาจถูกจำคุกหรือกระทั่งประหารชีวิต

 

"เรื่องของเรื่องก็คือ ฉันยากจนและไม่ได้เป็นคนที่ได้รับการนับหน้าถือตาจากใครๆ แต่ฉันก็มีความสุขดี แต่หลังจากนี้ ชีวิตฉันจบสิ้นลงแล้ว"

 

"ฉันจะแบกหน้ากลับไปยังหมู่บ้านที่ทุกคนเห็นฉันถูกลากประจานเปลือยได้อย่างไร ฉันไม่มีหน้าไปหาใครๆแม้แต่พี่น้องของตัวเอง"

 

 

 

 

 

 

  ศาลฎีกาปากีสถาน สั่งปล่อย 5 คนร้ายรุมข่มขืน มุคตรัน มัย

 

                                             

 

วันที่ 25 เม.ย.ว่า ศาลสูงปากีสถานได้ปฎิเสธที่พลิกคำตัดสินการขออุทธรณ์คดีมุคตรัน มัย หญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย ซึ่งเผชิญชะตากรรมถูกรุมข่มขืนตามคำสั่งของสภาหมู่บ้าน เพื่อเป็นการลงโทษแก้แค้นความผิดของน้องชายเธอที่ก่อคดีข่มขืนหญิงอื่น โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกตลอดชีวิต คนร้ายคนหนุ่ง แต่ให้ปล่อยตัวคนร้าย 5 รายที่ร่วมกันข่มขืนนางมัย ด้วยข้ออ้างกันกับศาลอุทธรณ์ 

นางมัย กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังต่อการตัดสินของศาลสูง และระบุว่า เธอจะไม่เชื่อศาลใด ๆ ในปากีสถานอีกต่อไปแล้ว แต่จะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปตามความเมตตาของพระอัลเลาะห์

คดีนางมัย ถูกจับตามองอย่างมากจากตะวันตกในฐานะตัวอย่างของการกดขี่ต่อหญิงปากีสถาน โดยมีกลุ่มพิทักษ์สิทธิสตรีปากีสถานซึ่งเป็นชายและหญิงกว่า 100 คน จัดการชุมนุมประท้วงในเมืองมุลตัน ภายหลังศาลมีคำตัดสินปฎิเสธการพลิกคำตัดสิน

ทั้งนี้ มีการประเมินว่า มีผู้หญิงปากีสถานนับพันชีวิตเผชิญชะตากรรมถูกข่มขืนในช่วงปี 2010 และมีผู้หญิงกว่า 2,000 คน ถูกลักพาตัวและเกือบ 1,500 คน ถูกฆาตกรรม โดยจำนวนนี้ 500 รายยังเป็นเหยื่อการถูกข่มขืนแทนความผิดผู้อื่นเช่น สามีและญาติสนิทด้วย

คดีของนางมุคตรัน มัย ได้รับโทษแทนน้องชายชายวัย 12 ที่ถูกกล่าวหาไปสัมพันธ์กับหญิงสูงศักดิ์ โดยสภาหมู่บ้านแห่งหนึ่งตัดสินให้ ผู้ชายในหมู่บ้านจำนวนหนึ่งไปรุมข่มขืน เป็นคดีที่ส่งผลสะเทือนและสร้างความเสื่อมเสียให้กับปากีสถานในระดับนานาชาติในความโหดร้ายที่เกิดกับผู้หญิง การไร้ความเป็นธรรมและการละเมิดสิทธิ์สตรีอย่างร้ายแรง แม้ศาลชั้นต้นได้สั่งตัดสินประหารชีวิตผู้ร่วมก่อคดีในตอนแรก แต่ศาลอุทธรณ์ก็ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยเหล่านั้น

คดีเกิดขึ้นในหมู่บ้านเมียร์วาลา ในแคว้นปัญจาบ ประเทศปากีสถาน เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2545 มุคตรัน มัย ปัจจุบันอายุ 30 ปี ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ถูกคำสั่งของสภาหมู่บ้านให้ไปรับโทษแทนน้อยชายวัย 12 ที่ถูกกล่าวหาว่าไปมีสัมพันธ์กับหญิงที่สูงศักดิ์และร่ำรวยกว่าและเป็นลูกของผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง โดยให้ผู้ชายกลุ่มหนึ่งเข้าไปข่มขืนเธอเป็นการลงโทษ ทั้งนี้คนในครอบครัวของมัย กล่าวว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้เป็นการสร้างเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องน้องชายของเธอไปเห็นการคุกคามทางเพศเด็กชายโดยผู้ชายจำนวนหนึ่ง

คดีข่มขืนในปากีสถาน ส่วนใหญ่ผู้หญิงไม่กล้าออกมาต่อสู้ แต่นางมัย กล้าเผชิญหน้ากับสาธารณะจึงได้ดึงดูดความสนใจให้สื่อนานาชาติได้กระจายข่าวเรื่องอาชญากรรมในผู้หญิงในประเทศปากีสถาน ดังนั้นในการขึ้นศาลครั้งแรกของเธอนั้น ศาลชั้นต้นได้ตัดสินประหารชีวิตผู้ชาย 6 คนที่มีส่วนร่วมในการข่มขืนมัยและปล่อยตัวไป 8 คน

กระนั้นต่อมาทางศาลอุทธรณ์ ที่ลาฮอร์ ก็ได้ตัดสินเป็นตรงกันข้ามโดยปล่อยตัวชาย 5 คนออกมาโดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นลดโทษเหลือเป็นจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งล่าสุด เธอต้องผิดหวังอีกครั้งจากคำตัดสินของศาลฎีกา

ในรัฐบาลเพอเวซ มูชาราฟ ประธานาธิบดีปากีสถานในเวลานั้น ได้สั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศเมื่อเธอต้องการจะเดินทางไปที่อเมริกา เนื่องจากหวั่นเกรงว่า เรื่องของเธอจะแพร่ขยายออกไปมากขึ้นและจะทำให้ปากีสถานเสื่อมเสียชื่อเสียงมากขึ้น แต่ในที่สุดทางปากีสถานก็ยอมยกเลิกคำสั่งนั้นเมื่อสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รู้สึกหมดหวังกับปากีสถานและ คอนโดลิซ่า ไรซ์ ก็ได้ขอร้องกับรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถานเป็นการส่วนตัว ในที่สุดมัยก็ได้หนังสือเดินทางที่ถูกรัฐบาลยึดไว้กลับคืนม

อย่างไรก็ตาม แม้ชาวปากีสถาน ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม แต่บางแห่งยังมีกฎระเบียบของชนเผ่าครอบคลุมอยู่ ทำให้หลักการอิสลาม ไม่ถูกนำมาใช้

 

 

 

**********************************

 

 

 

                 สยอง..ไฟมือถือส่องถังน้ำมันระเบิดสนั่น

 

 

                                           

 

 

 

 

 

 

 ******************************

 

 

 

 

   รุกฆาตกองทัพนิรนาม

 

 

 aemy2(1).jpg

 

 

 

 Fongsanan Chamornchan
Chulalongkorn University


ปูมโหร......7-8-9ตุลาคม2556 วันตัดสินใครจะอยู่จะไปในบ้านเมือง หลังจากนั้นจะตามมาด้วยประกาศผลสรุปตามชะตากรรมให้ทราบตามมาเป็นระยะๆ...อย่างตื่นเต้นเร้าใจ
 
อธิบาย......เพราะเป็นระยะที่พระเสาร์กาลกิณีชาติดวงเมืองเข้าใกล้ชิดเป็นดวงเดียวกันมีอิทธิพลสูงสุดระรานสร้างการเปลี่ยนแปลงและโทษทุกข์ให้ดวงเมืองก่อนที่จะคอนเวร์สต่างคนต่างแยกกันลดอิทธิพลลง ระยะนี้จึงเป็นวันตัดสินสถานการณ์สำคัญในบ้านเมืองแล้ว รอดูผลสรุปเป็นระยะๆที่จะตามมา
 
เปรียบเทียบคือ
 
1...ตั้งแต่ 16 กันยายน 2556 เป็นต้นมา เสาร์-ราหูเริ่มเข้าใกล้กันสามองศา(แต่คนละราศีกับครั้งนี้)เปรียบเหมือนช่วงกองทัพไทยยกไปตั้งรับข้าศึกที่ลาดหญ้า/เปรียบเหมือนความขัดแย้งของรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณกับจปร.5ขึ้นสู่กระแสสูงหลังจากกรณีรถโมบาย-ตั้งคุณเสรีพิศุทธิ์เป็นผู้การกองปราบ 
 
2.ระยะวันที่7-8-9 ตุลา 2556 พระเสาร์-ราหูมีอิทธิพลสูงสุดก่อนแยกจากกัน เหมือนคราวสงครามเก้าทัพ ที่ไทยมีกำลังน้อยกว่ามากแถมยังขยาดพม่าเมื่อคราวเสียกรุงศรีฯอยู่ไม่อยากสู้แล้ว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงทำครก-ใหญ่ตั้งหน้าค่ายขู่เพื่อตำพวกทหารไทยหนีทัพพม่า -เอาไม้ทำลูกปืนใหญ่ยิงใส่ค่ายพม่า -ทำสงครามกองโจรโดยขุนเณร -ให้ทหารแอบออกจากค่ายกลางคืนกลับเข้ากลางวันให้ข้าศึกเห็นว่าไทยมีกำลังคนเสริมมากฯลฯ ....
 
ช่วงนี้จึงเป็นช่วงตัดสินสถานการณ์แล้วด้วยฝีมือรอแตกหักหรือประกาศผลเท่านั้น
 
ดวงเมืองตอนนี้และดวงดาวทำมุมคล้ายกันเหมือนกันเหมือนสงครามเก้าทัพคือจะมีเหตุการณ์พลิกผัน...พวกกำลังน้อยอย่างกองทัพไทยต้องสู้เพื่อเอาตัวและบ้านเมืองรอด เพราะพระอังคารตัวแทนดวงเมืองจร ถึงพระราหูเดิม ....ตำราบอกมีอาการราชสีห์จะแพ้หมู ....คือฝูงหมูไปเจอฝูงราชสีห์ รู้ว่าจะถูกจับกินแน่เลยท้าราชสีห์รบ ในอีก3วัน7วัน ราชสีห์ย่ามใจและขำเลยรับคำท้า พวกฝูงหมูรอดตายชั่วคราวแล้วพากันไปคลุกปลักขี้3-7วัน .....พอได้เวลานัดกันที่ชายป่าฝูงหมูชาร์ทเข้าใส่ ฝูงราชสีห์วิ่งหนีกระเจิง
 
ช่วงนี้ที่ลาดหญ้าสถานการณ์ศึกไม่น่าไว้วางใจถึงขนาดล้นเกล้าฯรัชกาลที่1ทรงนำทัพจากกรุงเทพฯไปที่ลาดหญ้าเองเลยเมื่อ 8มกราคม 2328 กรมพระราชวังบวรฯขอให้ทรงมั่นใจและเสด็จกลับไปช่วยศึกด้านอื่น
 
ถ้าเป็นช่วงน้าชาติ เป็นช่วงที่ผลสรุปของรุ่น5 ออกมาแล้วว่าจะยึดอำนาจ โดยฟางเส้นสุดท้ายคือการแต่งตั้งพลเอกอาทิตย์กำลังเอก เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อ20 กุมภาพันธ์ 2534
 
3..ระยะหลัง7-8-9 ตุลาคม 2556-25ตุลาคม 2556-สิ้นปี2556 เป็นช่วงประกาศผล 
 
เปรียบเทียบคือ
 
หลังจากนั้นข้าศึกอ่อนแอเสียขวัญเรื่อยๆ วันที่17 กุมภาพันธ์ 2328 ค่ายพม่าที่ลาดหญ้าถูกตีแตก กระเจิง
 
ถ้าเทียบกับช่วงนี้จะเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือนหลังจาก7-8-9ตุลา ก็ตกประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน2556
 
ตามด้วยไทยชนะศึกถลางมีวีรสตรีเกิดขึ้นสองคน-ชนะศึกที่ใต้นครศรีฯ
 
ตามด้วยพม่าแพ้ทางดวงเมือง.......... เกรงวุ่นวายภายในยกทัพกลับ
 
เห็นไหมเสาร์-ราหูมากวนเมืองชั่วครั้งชั่วคราว ดวงเมืองเดิมเราเข้มแข็งเสียอย่างยังไงก็รอด55555......เมื่อถึงเวลา เก้าทัพยงยับย่อย
 
เปรียบเทียบสมัยนายกฯชาติชายหลังจปร.5วีนรัฐบาลมานาน วันที่23 กุมภาพันธ์2534ก็ยึดอำนาจ
 
แต่คนยึดก็รักษาอำนาจไม่ได้ เกิดพฤษภาทมิฬ 2535 
 
แล้วไทยก็เข้าสู่ยุคใหม่ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง (เข้าสู่ยุคใหม่ทางการเมือง ) ได้ไอทีวี.
 
ลงทุนทำเป็นตารางเลยน่ะเนี่ย แต่ไม่คิดจะออกพ๊อตเก็ตบุ๊คอีกหรอกน่ะ..แค่ช่วยๆอ่านและคิดตามเท่านั้นก็ดีใจมักๆๆๆ
 
และช่วยๆแชร์กันให้คนไทยอ่านมีกำลังใจรวมเป็นหนึ่งเพื่อเอาชนะดวงเมืองแตกคราวนี้ด้วย....ขอบพระคุณ

 

 

 

 เอาทุกเม็ด !!! ตร.โยนความผิดกองทัพธรรม เป็นตัวบงการให้ต้องปิดถนน ??? http://fb.me/2NjHvQDTI
ดูชัดๆ !!! ตร.ติดป้ายบนฟุตบาทพร้อมข้อความว่า " กองทัพธรรม ชุมนุมปิดถนนหน้าทำเนียบ โปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง"


 
tnews_1381211862_7646.jpg

 

 

วันนี้ ( 8 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า   ความคืบหน้าการชุมนุมของ กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ หรือ กปท. ที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ และ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ คณะเสนาธิการร่วมฯแถลงยืนยันจะปักหลักชุมนุม ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาลต่อไป แม้รัฐบาลจะนำเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาปิดกั้นทางเข้าออกไม่ให้กลุ่มชุมนุมมาสมทบก็ตาม ทั้งนี้ ย้ำว่าการจราจรโดยรอบทำเนียบรัฐบาล ที่ต้องปิดลงไม่ได้เกิดจากมวลชน แต่เกิดจากตำรวจที่หวาดระแวงว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะยกระดับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้กองทัพประชาชน ประกาศว่าจะขอใช้ถนนแค่ 1 เลนในการชุมนุมเท่านั้น ส่วนกระแสข่าวที่ออกมาว่าจะมีคนในรัฐบาลขอเจรจาให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม และกลับที่ไปที่สวนลุมพินีนั้น เบื้องต้นยังไม่ได้รับสัญญาณใดๆ จากตัวแทนรัฐบาล แต่หากรัฐบาลอยากเจรจา กองทัพฯก็พร้อมที่จะเจรจา
 
ล่าสุดในเพจ "น้านัส ชีพจรลงเท้า" ได้มีการแชร์ภาพ  "กองทัพธรรม ชุมนุมปิดถนนหน้าทำเนียบ โปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง"   ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าม็อบที่เข้าร่วมชุมนุมยังมีจำนวนน้อยกว่าตำรวจด้วยซ้ำ เหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องติดป้ายประกาศเช่นนี้   หรือมีวัตถุประสงค์ต้องสร้างภาพให้ผู้ชุมนุมเป็นพวกป่วนเมือง ทั้งที่การชุนนุมครั้งนี้ยังอยู่ในกรอบของกฎหมาย ???????

 

 

 

************************************************

 

 

 

 

             เป็นไงล่ะ?..

 

 

 

 

                         

 

 

 

 

....เเค่อยากบอก ว่าท้อ ขอพักนิด

 

เคยก้าวผิด คิดพลาด หวาดไม่หาย

 

ระบมช้ำ ย่ำเป็นจุด ฉุดเกือบตาย

 

หยดสุดท้าย เลือดไหลหลั่ง พังเเล้วใจ

 

 

 

....ก็ไม่รู้ ถูกหรือผิด คิดว่ารัก

 

จึงฟูมฟัก ประคองชิด พิศมัย

 

เเล้วจุดจบ เป็นไงล่ะ? สะมั๊ยใจ?

 

หลบร้องไห้ อ่อนเเอเเท้ เเย่จังเอ็ง....

 

 

 

 

***********************

 

 

 

                                   มิตร ชัยบัญชา

 

 

 

                                                16ปีแห่งความหลัง.jpg

 

 

 

มิตร ชัยบัญชา (28 มกราคมพ.ศ. 2477 - 8 ตุลาคมพ.ศ. 2513) หรือชื่อจริง พันจ่าอากาศโท พิเชษฐ์ ชัยบัญชา (นามสกุลเดิม พุ่มเหม) เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงปลาย พ.ศ. 2499 เป็นพระเอกภาพยนตร์ไทยในช่วง พ.ศ. 2500 - 2513 มีผลงานเด่นในช่วง พ.ศ. 2501 - 2517 ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ 16 มม.[2] มีผลงานนับได้ขณะนั้น 266 เรื่อง จากทั้งสิ้น 300 กว่าเรื่อง

 

ผลงานเรื่องแรกคือเรื่อง ชาติเสือ ผลงานเรื่องที่สองที่ออกฉายคือ จ้าวนักเลง หรืออินทรีแดง ทำให้มิตร ชัยบัญชามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก ทำรายได้เกินล้านบาท มิตรมีผลงานแสดงที่โดดเด่นมากและหลากหลาย ทั้งบทบู๊ รักกุ๊กกิ๊ก รักรันทด ตลก เชยเด๋อด๋า หรือชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา

 

พ.ศ. 2506 ภาพยนตร์เรื่อง ใจเพชร ทำรายได้สูงสุด และมีภาพยนตร์ที่ทำรายได้เกินล้านอีกหลายเรื่อง โดยเมื่อ พ.ศ. 2508 รับพระราชทานรางวัล "โล่ห์เกียรตินิยม"นักแสดงนำชาย ที่ทำรายได้สูงสุด จากภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน ซึ่งทำรายได้เป็นประวัติการณ์ ต่อมา พ.ศ. 2509 ภาพยนตร์เรื่อง เพชรตัดเพชร ทำรายได้ทำลายสถิติ เงิน เงิน เงิน ได้ 3 ล้านบาทในเวลา 1 เดือน และรับพระราชทานรางวัลดาราทอง จากคุณสมบัติหลัก 4 ประการ คือ ศรัทธา หน้าที่ ไมตรี และ น้ำใจ ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของผู้รับรางวัล ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2513 ภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ เป็นภาพยนตร์เพลงลูกทุ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำรายได้มากกว่า 6 ล้านบาทและยืนโรงได้นานกว่า 6 เดือนในกรุงเทพ ทำรายได้ทั่วประเทศ กว่า 13 ล้านบาท

 

 

 

                              

 

ต่อมา เมื่อ พ.ศ. 2512 มิตรได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อพิสูจน์ความนิยมในตัวเองอีกครั้ง ตามคำขอของเพื่อน แต่ไม่ใช่ระดับท้องถิ่นอีกต่อไป เพราะเขาได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตพระนคร กับ ปราโมทย์ คชสุนทร เพื่อหวังทำงานรับใช้ประชาชน และต้องการช่วยนักแสดง ให้การแสดงเป็นอาชีพที่มั่นคง มีสวัสดิการ ได้รับการดูแลเหมือนอาชีพเฉพาะทางอื่นๆ โดยขณะหาเสียงมิตรยังคงมีงานถ่ายภาพยนตร์อยู่มากหลายเรื่อง รวมทั้งต้องเคลียร์คิวหนังไปถ่ายต่างประเทศด้วย 2 เรื่อง เรื่องแรกไปถ่ายที่ญี่ปุ่น อีกเรื่องไปถ่ายที่ปีนัง โดยคู่แข่งขันกล่าวกับประชาชนว่า ถ้ามิตร ชัยบัญชา ได้รับเลือกตั้งก็จะไม่ได้มาแสดงภาพยนตร์ให้ดูอีก มิตรไม่ได้รับเลือกเป็นครั้งที่ 2[13] ด้วยคะแนนที่สูงพอสมควรแต่ขาดไปเพียง 500 คะแนน ได้เป็นที่ 16 จากความต้องการ 15 คน การลงสมัครเลือกตั้งนี้เองทำให้เงินทองและทรัพย์สินของมิตรร่อยหรอลงไปหลายล้านบาท พร้อมกับบ้าน 1 หลังที่จำนองกับธนาคาร เขาเก็บความผิดหวังไว้เงียบๆ  

 

และอีกความเจ็บปวด คือ หญิงคนที่รักมากได้ตีห่างจากไป (เพราะเหตุผลว่าเขาผิดสัญญาที่ลงเล่นการเมืองเป็นครั้งที่ 2 และเลือกประชาชน มากกว่า เลือกเธอ) ทำให้มิตรเสียใจมาก เขาพยายามตั้งใจ อดทนสู้ใหม่ รับงานหนังอีกหลายเรื่อง เช่น 7 สิงห์คืนถิ่น, วิมานไฟ, จอมโจรมเหศวร, ทรชนเดนตาย, ฟ้าเพียงดิน, ไอ้หนึ่ง, ชาติลำชี, ขุนทาส, สมิงเจ้าท่า, แม่ย่านาง, ลมเหนือ, 2สิงห์จ้าวพยัคฆ์, กำแพงเงินตรา, วิญญาณดอกประดู่, สวรรค์เบี่ยง, ฝนเดือนหก ฯลฯ และปีเดียวกัน มิตรได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง รอยพราน ในนามชัยบัญชาภาพยนตร์ ด้วย

 

8 ตุลาคมพ.ศ. 2513 มิตร ชัยบัญชาเสียชีวิตขณะถ่ายทำฉากโหนบันไดเชือกเฮลิคอปเตอร์ จากภาพยนตร์เรื่อง อินทรีทอง ท่ามกลางความอาลัยของมหาชน นับเป็นบุคคลธรรมดาที่มีผู้มาร่วมงานศพมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์[3] ได้มีการตั้งศาลบริเวณ หาดจอมเทียนพัทยาใต้ สถานที่ที่มิตร ชัยบัญชาเสียชีวิต ต่อมามีการปรับปรุงและสร้างรูปหล่อของมิตร ชัยบัญชา ในชุดอินทรีทอง ไว้ที่ศาลด้วย ปัจจุบันอยู่ด้านหลังโรงแรมจอมเทียน เมื่อ พ.ศ. 2548 ได้มีการสร้างละครเรื่อง "มิตร ชัยบัญชา มายา-ชีวิต" ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ละครสร้าง ดัดแปลงมาจากเรื่องและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของมิตร ชัยบัญชา เพื่อรำลึกถึงพระเอกดาราทองยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย เป็นที่รักของมหาชนทั่วประเทศ พ.ศ. 2549 - 2550 มีการรวมใจสร้างอนุสรณ์สถานมิตร ชัยบัญชา พร้อมหุ่นไฟเบอร์กลาส ที่บ้านไสค้าน จังหวัดเพชรบุรี บ้านเดิมของมิตร ชัยบัญชา ด้วย

 

 

 


 


      

    หากกดปุ่มย้อนกาลในอดีตได้.....ให้หน้าปัด ไทม์แมชชีน หยุดนิ่ง ณ คาบเวลา 16.13 นาฬิกา ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ต.ค. 2513 อันเป็นซึ่งเป็นวินาทีที่ มิตร ชัยบัญชา ลอยละลิ่ว ร่วงจากเฮลิคอปเตอร์...ณ หาดดงตาลจอมเทียน เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

          .....ขณะเข้าฉากภาพยนตร์เรื่องอินทรีทอง ใน บทบาท โรม ฤทธิไกร หนีออกจากรังโจรด้วยการโหนบันไดเครื่องบินดิ่งลงมากระแทกจอมปลวกเสียชีวิตทันที

          เป็นการอวสานชีวิตพระเอกยอดนิยมในอดีต เมื่อสมัยคุณย่ายังสาว แต่ก็ยังมีเรื่องให้กล่าวขานถึง... แม้จะมีเส้นกั้นกลางที่แตกต่างระหว่างภพภูมิก็ตาม!!!

          บรรจง เบญจมาศ นักข่าวไทยรัฐประจำเมืองพัทยา ชลบุรี เล่าให้เหนือฟ้าใต้บาดาลฟังว่า.... ตอนนั้นรับราชการได้ยศสิบตำรวจโทถูกส่งมาประจำการที่พักสายตรวจ ตำบลพัทยา เพราะยังไม่มีโรงพัก มิตร ชัยบัญชา ได้ติดต่อตำรวจหลายนาย รวมทั้งตัวเขา ด้วย ให้ร่วมเข้าฉากแสดงเป็นตำรวจขึ้นเรือเร็วไล่ ล่าคนร้าย แล้วยิงปะทะอย่างดุเดือด

          ยอมรับว่า นิยมชมชอบพระเอกยอดนิยมท่านนี้มาก เพราะเป็นคนมีน้ำใจ อัธยาศัยดี ให้เกียรติผู้ร่วมงานทุกคน แม้จะมีบทบาทน้อยก็ตาม จึงเต็มใจช่วยงานกันอย่างเต็มที่...

          ถ่ายทำกันตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อย ก็ไม่เห็นมีลางบอกเหตุอะไร หลังเสร็จสิ้นจึงกลับไปพักผ่อนกัน พอตกเย็นมีคนส่งข่าวบอกว่าพระเอกมิตร ตกเครื่องบินตาย.....ถึงกับใจหายวาบ ไม่เชื่อหูตัวเอง เลยรีบมาดูกับตา

          วันนั้น.....ได้ค่าตัวแสดงหนัง 100 บาท รุ่งขึ้นจึงแบ่งทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับมิตร ชัยบัญชา ปัจจุบัน ถ้าผ่านมาศาลมิตร ชัยบัญชา จะแวะรำลึกถึง....จุดธูป ขอโชคลาภบ้างในบางครั้ง

          หาดดงตาลจอมเทียน...วันนี้ไม่เหลือริ้วรอยอดีต เหลือให้เห็น คงพบแต่สูงเสียดฟ้าป่าคอนกรีตเบียดต้นมะพร้าว แถมดงตาลโตนดล้มหายแทบสูญพันธุ์

          จะเหลือไว้เพื่อเตือนความทรงจำกับเหตุการณ์ ที่ช็อกวงการบันเทิงเมื่อ 38 ปีที่แล้ว ก็ตรงโค้งหนุมาน แยกจากถนนสายพัทยา-หาดจอมเทียนเข้าไปสัก 100 เมตร

          ซึ่งอนุสรณ์สถานเพียงแห่งเดียว.... คือเป็นที่ตั้งของ ศาลมิตร ชัยบัญชา อันเป็นจุดที่พญามัจจุราชกระชากวิญญาณออกจากร่างพระเอกอินทรีทอง ลักษณะเรือนไทยขนาดย่อม ภายในศาลมีรูปหล่อทองเหลืองขนาดเท่า ตัวจริง พร้อมภาพถ่ายหลากหลายอิริยาบถของผู้ที่จากไป เป็นการเตือน ความทรงจำ...

          ...ส่วนรายรอบจะตลบอบอวล ไปด้วยควันธูป เปลวเทียน ตุ๊กตาแก้ บน ช้าง ม้า เสื้อผ้าเครื่องแบบทหารอากาศ อาหารคาว-หวาน แกงส้มมะละกอ ผัดผักกระเฉด เนื้อทอดกระเทียมพริกไทย อันเป็นอาหารจานโปรดสมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่อย่างครบครัน

 



          มิตร ชัยบัญชา.....หรือ พิเชษฐ พุ่มเหม เป็นชาวท่ายางจังหวัดเพชรบุรี โดยกำเนิด แรกเกิดถูกพ่อแม่ทิ้งให้ อยู่กับหลวงตาที่วัด จึงเรียกว่า บุญทิ้ง ก้าวเข้าสู่โลกมายา ครั้งแรกแสดงหนังเรื่อง ชาติเสือ เมื่อปี 2500 กลายเป็นที่รู้จักมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างสุดโต่ง เมื่อแสดงคู่กับนางเอก สาว เจ้าของฉายานัยน์ตาอาบน้ำผึ้ง เพชรา เชาวราษฎร์ จนกลายเป็นพระนางคู่ขวัญ

          กาลเวลาที่ผ่านไปจะนานถึงเกือบครึ่งศตวรรษ.... ศาลมิตร ชัยบัญชา ในปัจจุบันเป็นจุดแห่งที่พึ่งทาง ใจ ยิ่งในสภาวะมรสุมเศรษฐกิจซัดกระหน่ำทำให้สุขภาพจิตเสื่อมถอย....

          ....ผู้คนต่างเพศต่างวัย หลากหลายสาขาอาชีพที่ สีหน้าเปื้อนทุกข์ พากันไปบนบานศาลกล่าวขอให้ วิญญาณมิตร ชัยบัญชา ช่วยปัดเป่า..... ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาชีวิต คิดไม่ตก อกหัก รักสามเส้า ของหาย ขายที่ดินไม่ได้ โรคภัยรุมเร้า สอบเข้าทำงาน รวมทั้งหวังรวยทางหวย 2 ตัว 3 ตัว สารพัด สารเพต่างพากันไปจุดธูปขอให้ช่วยเหลือ

          ลุงสมชาติ บุษสระเกษ วัย 60 ปี อดีตครูโรงเรียน บ้านหนองบุญมาก อ.หนองบุญมาก นครราชสีมา มาใช้ ชีวิตปั้นปลายหารายได้พิเศษขายพวงมาลัยดอกไม้สด และ เครื่องแก้บนอยู่บริเวณหน้าศาลมานานกว่า 8 ปี เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า.....


 



          ลุงต้องออกตัวก่อนนะว่าไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องผีเรื่องสาง แต่จากปากลูกค้าที่มาสั่งของแก้ บนบ่อยครั้งขึ้นก็จะโอนเอียงตาม

          อย่างเช่น ชายคนหนึ่งบ้านอยู่สัตหีบ เพิ่งซื้อรถมอเตอร์ไซค์ใหม่ๆหาย จึงไปแจ้งความตำรวจหลายวันแล้วไม่คืบหน้า เลยมาจุดธูป 5 ดอก ขอให้มิตร ชัยบัญชา ช่วยให้ได้ของคืน พอกลับไปบ้าน ตำรวจมาบอกว่าให้ไปดูรถที่โรงพัก จึงได้รถคืน แต่ ไม่ใช่ฝีมือตำรวจ คือคนขโมยมันขี่ไปชนกับรถคันอื่นจนตัวเอง บาดเจ็บ.....

         อีกราย.....หญิงสาว สามีเป็นชาวเยอรมัน อยาก ไปอยู่กับครอบครัวสามี ขอวีซ่าหลายครั้ง หมดเงินไป หลายโขก็ไม่ผ่าน สุดท้ายเดินเข้าไปจุดธูปบนหัวหมู และชุดทหารอากาศ...สัปดาห์ต่อมาวีซ่าเข้าเมืองเยอรมนีผ่านฉลุยเลย...

          ....กับเพื่อนสนิทของ ลุงสมชาติ ชื่อ นายถนอม วัดกลาง เจ้าของอู่ซ่อมมอเตอร์ไซค์ ตลาดต้นโพธิ์ หาดจอมเทียน มาบนบานเพราะเจอปัญหา เมื่อได้รับความช่วยเหลือพอพ้นทางตัน กลับเบี้ยว ไม่ยอมไปแก้บน

          วันหนึ่งไปแหลมแม่พิมพ์ มีหมอดูเข้ามาทักว่าเคยไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนให้ไปแก้ซะ ไม่งั้น ชีวิตจะต้องเจออุบัติเหตุ...แต่ นายถนอม ก็ยัง ไม่ใส่ใจ แล้ววันหนึ่งขณะขับรถไปอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พร้อมคนในรถอีกหลายคน เกิดอุบัติเหตุชนกัน บาดเจ็บทั้งคัน สำหรับถนอม แค่ฟกช้ำ หลังเรื่องร้ายผ่านพ้น เพื่อนคนนี้ได้ย้อนไปแหลมแม่พิมพ์อีกครั้ง

          แล้ว หมอดู คนเดิมก็ทักซ้ำอีกว่า หากไม่ไปทำตามสัญญา กับ วิญญาณ จะต้องเกิดอุบัติเหตุซ้ำสอง และ อาจถึงขั้นรุนแรงแก่ชีวิต...พอกลับมาเลยรีบไปแก้บนขอโทษขอโพย เรื่องดีๆ จึงมีเข้ามาในชีวิตเรื่อยมา

          นั่นคือคำถ่ายทอดจากปากของอดีตพ่อพิมพ์ ที่เคยสอนวิชาสมัยใหม่ ให้ได้รู้ถึง.....รอยต่อระหว่างโลกวิญญาณ กับ สังคมยุคดิจิตอล...!!!

 

 

 

 

 

 

***********************************************

 

 

 

 

 

ปรากฏการณ์ช็อกโลก เมื่อรัฐบาล US ประสบภาวะ “shutdown” หนแรกในรอบ 17 ปี

 

 

 

 

 

 

  ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในข่าวต่างประเทศที่ได้รับความสนใจมากที่สุดข่าวหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ การที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (United States federal government ) บางส่วน จำเป็นต้องปิดทำการ หรือประสบภาวะที่เรียกว่า “shutdown” ในวันอังคารที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการปิดตัวครั้งแรกในรอบระยะเวลา 17 ปี
       
       ปรากฏการณ์สุดช็อกดังกล่าว ซึ่งไม่ต่างจากฝันร้ายที่กลายมาเป็นความจริง บังเกิดขึ้นหลังจากสภาคองเกรสส์สหรัฐฯ ซึ่งประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรที่มีพรรค “รีพับลิกัน”ครองเสียงข้างมาก กับวุฒิสภาที่มีฝ่าย “ เดโมแครต” กุมอำนาจอยู่ ไม่สามารถประนีประนอม ยุติความขัดแย้งด้านงบประมาณกันได้ทันกำหนดเส้นตายในช่วงเที่ยงคืนวันจันทร์ ที่ 30 กันยายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ 2012/13
       
       สาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การ “shutdown” เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีของรัฐบาลสหรัฐฯนั้น มาจากการที่สภาผู้แทนราษฎรซึ่งควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน ได้เสนอร่างกฎหมายงบประมาณที่ให้มีการอัดฉีดงบรายจ่ายให้แก่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางตามยอดเดิมที่เคยได้ไปพลางก่อนจนกระทั่งถึงวันที่ 15 ธันวาคมปีนี้ แต่มีเงื่อนไขสำคัญว่า จะต้องมีการชะลอการบังคับใช้กฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเรียกขานกันว่า “โอบามาแคร์” ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญทางด้านสังคมที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาผลักดันมาโดยตลอด
       
       และสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ วุฒิสภาสหรัฐฯที่มีพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโอบามา ครองเสียงข้างมากอยู่ ได้กระทำตามที่ประกาศกร้าวเอาไว้ นั่นคือ ไม่ยอมรับร่างงบประมาณฉุกเฉินที่เสนอโดยรีพับลิกัน จนนำไปสู่การที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางต้องปิดตัวลงแบบไม่มีกำหนดในที่สุด
       
       การ “shutdown” นี้มีผลให้ลูกจ้างที่ทำงานในหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลอเมริกันกว่า 800,000 คน ต้องพักงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน และเป็นการพักงานแบบไม่มีกำหนด ขณะที่บรรดานักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าชมอนุสาวรีย์ พิพิธภัณฑ์ และอุทยานแห่งชาติต่างๆทั่วสหรัฐฯได้ มีเพียงแค่บางหน่วยงานซึ่งถือว่ามีภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งและไม่อาจหยุดทำการได้ เช่น หน่วยงานที่รับผิดชอบการควบคุมการจราจรทางอากาศเท่านั้น ที่ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปนับจากวันที่ 1 ตุลาคม ขณะที่กระทรวงต่างๆ รวมถึงทำเนียบขาว เหลือเพียงพนักงานหลักๆ จำนวนน้อยที่มาทำงานตามปกติ

 

 

 

 

 

 

แฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐฯ ประกาศว่าการกระทำของพรรครีพับลิกันเช่นนี้ ไม่ต่างจากการก่อการร้าย ที่มีประชาชนชาวอเมริกันตกเป็น “ตัวประกันทางการเมือง” สอดคล้องกับถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโอบามาระบุว่า พรรครีพับลิกันจับชาวอเมริกันเป็นตัวประกัน เพียงเพื่อต้องการแลกเปลี่ยนกับข้อเรียกร้องของกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขั้วอย่างพวก “ที ปาร์ตี้”ในพรรคของตัวเอง ที่มีจุดยืนคัดค้าน “โอบามาแคร์” แบบหัวชนฝา จนส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯต้องปิดทำการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996
       
       ทว่า จอห์น เบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ตอบโต้กลับว่า พรรคของตนไม่ได้ต้องการให้หน่วยงานรัฐปิดทำการ แต่การบังคับใช้กฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเรียกขานกันว่า “โอบามาแคร์” นั้นจะทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และงบประมาณของประเทศ ทั้งยังกล่าวหาโอบามาว่าไม่ยอมเจรจาอย่างสุจริตใจ
       
       โดยรวมแล้ว การ shutdown ของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในศึกชิงไหวชิงพริบระหว่างประธานาธิบดีโอบามากับบรรดาส.ส.ฝ่ายรีพับลิกันเกี่ยวกับขนาด และบทบาทรัฐต่อชีวิตประจำวันของประชาชน
       
       หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่าการ shutdown ครั้งนี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่หลังเพิ่งเผชิญการถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ขณะที่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักระบุตรงกันว่า หากสถานการณ์การปิดตัวของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯครั้งนี้ยืดเยื้อนาน 2 สัปดาห์ จะมีผลทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองลุงแซมในปีนี้ หายไปทันที “0.3 เปอร์เซ็นต์”

 

 

 

 

 

 

  ขณะเดียวกัน การปิดหน่วยงานรัฐ ยังจะส่งผลร้ายแรงต่อบรรดาลูกจ้างภาครัฐที่ถูกพักงาน ซึ่งอาจต้องนำเงินออมมาใช้ ระงับการจ่ายหนี้บ้าน ผิดนัดการผ่อนรถ และค่าใช้จ่ายอื่นๆในชีวิตประจำวัน ขณะที่ภารกิจทางการทหารของสหรัฐฯ ในต่างแดนก็ถูกปกคลุมด้วย “เมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอน” และส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในสายตาชาติพันธมิตรอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
       
       นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มว่า ตลาดการเงินทั่วโลกอาจประสบภาวะผันผวนหนักยิ่งขึ้น หากนักการเมืองสหรัฐฯทั้ง 2 พรรคยังหาทางออกจากวิกฤต shutdown ครั้งนี้ไม่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะหากยิ่งนานไปสถานการณ์ก็ดูจะยิ่งซับซ้อน เนื่องจากใกล้ถึงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐฯต้องขอให้สภาคองเกรสส์อนุมัติการ “ขยายเพดานก่อหนี้” โดยที่ทางฝ่ายรีพับลิกันเองก็เตรียมตั้งป้อมเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโอบามายอมอ่อนข้อในเรื่องโอบามาแคร์เป็นการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกัน
       
       และหากนักการเมืองในสภาคองเกรสส์ไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องขยายเพดานหนี้ สหรัฐฯซึ่งถูกยกให้เป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกก็มีหวังต้อง “ผิดนัดชำระหนี้” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะถือเป็นวิกฤตที่เลวร้ายเป็นเรื่องที่สองต่อจากการ “shutdown”
       
       ขณะที่ ผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยรอยเตอร์/อิปซอส ระบุว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 24 โทษนักการเมืองพรรครีพับลิกันว่าเป็นต้นเหตุของการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งนี้, ส่วนร้อยละ 19 คิดว่าเป็นความผิดของโอบามาและพรรคเดโมแครต ขณะที่ร้อยละ 46 เชื่อว่าเป็นความผิดของ “ทุกฝ่าย” ที่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางการเมืองโดยเอาประชาชนเป็น “ตัวประกัน”

 

 

 

**************************************

 

 

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Thu May 09 15:54:32 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>