Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ปาฎิหารย์สมเด็จพระสังฆราช

ArjanPong | 11-11-2556 | เปิดดู 4147 | ความคิดเห็น 0

 

อาลัยขวัญมิ่งแก้ว……………สงฆ์บิดร


สมเด็จพระญาณสังวร……….เยี่ยมหล้า


นิพนธ์จิตนคร………………...งามเด่น


น้อมส่งนิวัติฟ้า………………..สู่ห้วงธรรมสถานฯ "

 

 โดย  อริญชย์               

 

 

 

 

              

 

 

• บอกเล่า"ปาฏิหาริย์" สมเด็จพระสังฆราช


+โพสต์เมื่อวันที่ : 30 ต.ค. 2556

 


.....

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 100 พรรษา เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2556 ถือว่ามีพระชนมายุมากกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตที่ผ่านมา ตลอด 24 ปีที่ทรงดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งยาวนานที่สุดกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ ทรงเป็นพระภิกษุที่เคร่งในพระธรรมวินัยยิ่งนัก เป็นเสาหลักแห่งบวรพระพุทธศาสนาเรื่อยมา และมีพระอัจฉริยภาพด้านต่างๆ รวมถึงพระจริยาวัตรอีกนานัปการ

 

 

 




ภาพที่ยังคงติดตาตรึงใจชาวพุทธทุกคนนั่นคือ ทรงเป็นพระของประชาชนโดยแท้ แม้ว่าจะทรงเป็นสังฆราช แต่ทรงเป็นพระภิกษุผู้เรียบง่าย พระเณร ลูกศิษย์ลูกหา เข้าถวายงานได้อย่างใกล้ชิด ทรงรับกิจนิมนต์ทุกงาน จนทุกคนมีโอกาสได้สัมผัสพระบารมี


เช่นเดียวกับ พระราชรัตนมงคล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ผู้ถวายงานอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เป็นสามเณร ได้เล่าย้อนกลับไปเมื่อครั้งสมเด็จพระสังฆราชเสด็จปฏิบัติธรรมที่วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) จ.บึงกาฬ ได้พบ พระราชรัตนมงคล ตอนนั้นบวชเป็นสามเณร อายุราว 15 ปี จากนั้นสมเด็จพระสังฆราชทรงชักชวนให้เข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ก็ได้อยู่ถวายงานตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์


ตลอดเวลาเกือบ 40 ปี พระราชรัตนมงคลจึงเป็นพระผู้ใกล้ชิด และติดตามสมเด็จพระสังฆราชไปทุกที่ที่พระองค์ท่านเสด็จรับกิจนิมนต์ ด้วยเหตุนี้ พระราชรัตนมงคลจึงเป็นผู้ที่ได้ชมพระบารมี และสัมผัสเหตุ "ปาฏิหาริย์" ของสมเด็จพระสังฆราชอยู่บ่อยครั้ง


เหตุการณ์หนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนนั้นเกิดไฟไหม้ที่ชุมชนบางลำพูหลังวัดบวรฯ ตรงนั้นชาวบ้านอาศัยอยู่หนาแน่น วันนั้นพระองค์ประทับอยู่ที่วัดบวรฯ ทรงพระดำเนินลงจากพระตำหนักไปทอดพระเนตรจุดที่เกิดเหตุด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น ไม่ช้าไฟก็ค่อยๆ ดับ จนข่าวแพร่สะพัดว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงอธิษฐานจิตดับไฟ


พระราชรัตนมงคลเล่าต่อว่า ทุกคนทราบกันดีว่าพระไพรีพินาศวัดบวรฯ ได้รับความนิยมอย่างมาก จึงมีหลายครั้งที่สมเด็จพระสังฆราชต้องเสด็จไปทรงเป็นองค์ประธาน เททองหล่อพระ หรือทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล อาตมาได้ติดตามพระองค์ไปหลายครั้ง ก็เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดหลายครั้ง บางครั้งไฟร้อนๆ เวลาเททอง สายสิญจน์ไม่ขาด ไม่ไหม้ไฟ โดยเฉพาะวันเททองหล่อพระกริ่งปวเรศ รุ่น 2


ชาวบ้านเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงมีบุญบารมี พระหรือวัตถุมงคลที่ท่านสร้างจึงได้รับความนิยม มีบ่อยครั้งที่ลูกศิษย์ที่ได้รับไปกลับมาเล่าให้สมเด็จพระสังฆราชฟังว่ารอดชีวิตจากรถคว่ำ เพราะมีวัตถุมงคลของพระองค์ รวมถึงมีปาฏิหาริย์ให้เห็นในหลายเรื่องด้วย


"อาตมาเคยเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอยู่ครั้งหนึ่ง ด้วยต้องทำหน้าที่ถวายงาน จึงต้องติดตามเสด็จไปไหนมาไหนอยู่บ่อยๆ มีอยู่วันหนึ่ง นั่งเครื่องบินไปกิจนิมนต์ต่างจังหวัด อาตมานั่งใกล้สมเด็จพระสังฆราช ระหว่างทางเหมือนพระองค์จะทรงรู้ล่วงหน้า สมเด็จพระสังฆราชทรงสะกิดอาตมาแล้วบอกให้ตั้งสติดีๆ แล้วสวดมนต์ในใจ หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องบินก็ตกหลุมอากาศรุนแรง" นี่ก็เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรฯ เจอกับตัวเอง


เหตุการณ์ครั้งที่สมเด็จพระสังฆราชเสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตลอดระยะเวลา 11 ปี มีหลายครั้งเกิดเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะตอนพระอาการประชวรของพระองค์ทรุดหนัก ก่อนสิ้นพระชนม์ เครื่องวัดความดันพระโลหิต และความดันของพระหทัย นิ่งอยู่ในระดับ 50 ครั้งต่อนาทีนานมาก เหมือนพระองค์ทรงนั่งกรรมฐาน เป็นเช่นนี้จนกระทั่งพระองค์สิ้นพระชนม์


เรื่องที่ขณะนี้หลายคนพูดถึงกันมากว่าเป็นความน่าอัศจรรย์ คือเรื่อง "ตัวเลข" พระองค์ประสูติเมื่อปี 2456 ประจวบเหมาะวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์ คือวันที่ 24 ตุลาคม ปี 2556 และทรงดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระสังฆราช 24 ปี จึงกลายเป็นความบังเอิญที่น่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย และเมื่อดูจากตำราโหราศาสตร์ ลองคำนวณดูแล้วจากวันประสูติกับวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์ จะเห็นว่ามีดวงดาวที่เป็นวินาศแก่ลัคนาของพระองค์ท่านถึง 5 ดวง


พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เล่าเสริมเหตุการณ์ช่วงที่สมเด็จพระสังฆราชทรงประชวร และประทับอยู่ที่โรงพยาบาลว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง แพทย์ และพยาบาลใช้เข็มฉีดยาเจาะพระโลหิตไปตรวจ ปรากฏว่าเข็มดูดพระโลหิตออกมาไม่ได้ ทุกคนที่อยู่ในห้องตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไปตามแพทย์คนอื่นมาช่วยดู ตอนนั้นมีพระลูกศิษย์ถามว่า ตอนเจาะพระโลหิต ได้ขอประทานอนุญาตสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่ แพทย์และพยาบาลบอกว่าลืม จากนั้นแพทย์จึงได้ขอประทานอนุญาต พระโลหิตจึงไหลออก


"เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเมื่อครั้งที่พยาบาลนำเครื่องวัดชีพจรมาเพื่อวัดความดันพระโลหิต และอัตราการเต้นของพระหทัย พอเสียบเครื่องวัดไปที่นิ้วพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราช เครื่องก็ไม่ทำงาน อาตมาอยู่ในเหตุการณ์จึงถามว่า ไม่ได้เช็กเครื่องให้ดีหรือ แต่เมื่อเอาเครื่องมาเสียบที่นิ้วอาตมากลับใช้ได้ อาตมาเลยถามว่าได้ขอประทานอนุญาตหรือไม่ พยาบาลบอกลืม พอขอประทานอนุญาต เครื่องก็ทำงานตามปกติ"


เหล่านี้คือคำบอกเล่าส่วนหนึ่งเกี่ยวกับพระบารมีของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


 

 

 

ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม หน้า 13

 

 

  

 

 **************************************

 

 

          ผมว่าเกมนี้ ปชป.แพ้หมดตัว

 

ฝ่ายประชาธิปไตยโดนถีบถอยมาหนึ่งก้าว

 
 
 
 

 

ผมคิดว่าศึกยกนี้  ที่เสียและแย่จนหมดตัวคือ "พรรค ปชป.กับนายสุเทพ" ที่ทุ่มจนหมดตัว ถอยไม่ได้ และ สส. ปชป. 8 คนที่ลาออก

 

ฝ่าย อำนาจเก่าเขาก็ยังรักษาอะไรของเขาไว้ "นิดหนึ่ง" สำหรับผมแล้ว แม้จะยอมรับในหลักการของ ศาล รธน.ไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ไร้เดียงสาว่านี่เป็นเรื่องกฎหมาย อย่างเดียว มันเป็นเรื่อง" Power Play เกมการเมือง มันจึงไม่สามารถเอาหลักการมาจับได้ทั้งหมด ก็คือว่า ยังอยู่กันไป แบบกล้ำกลืน

 

ปชป.แพ้หมดตัวครั้งนี้ กลุ่มอำนาจเก่าเขาไม่ได้แคร์ ปชป.เท่าไหร่ เขาแค่รักษาอำนาจต่อรองของเขาไว้ คอยคุมฝ่ายก้าวหน้า เพระาเขารู้ว่า พวกเขาไม่มีพลังเพียงพอที่จะขึ้นมาคุมเอง มันจะเกิดจลาจล เลย "ขอเอาไว้นิด"

 

ผมพอคาดการณ์ได้ตั้งแต่เมื่อวานว่า "เขาจะหยุดเฉพาะการแก้ไขที่มาของ สว." เท่านั้น แต่จะไม่กล้าไปล้มรัฐบาล หรือล้ม สส. เพราะมันจะทำให้เกิดภาวะ Chaos อย่างรุนแรง

 

แต่ "เขา" ก็จำเป็นต้องรักษาพวกพ้องของเขาไว้ ดังนั้นถึงยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมให้ แก้ไขที่มาของ สว. (ในตอนนี้ ในอนาคตมันไม่มีอะไรแน่)

 

สรุปคือ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ Chaos มันก็สามารถยุติกันได้ตรงนี้แหละ คือ หยุด เรื่อง สว.ไว้
 

ต้องให้พ้นยุคเปลี่ยนผ่านครับ
ฝ่ายกลุ่มอำนาจเก่า กับ ฝ่ายก้าวหน้าตอนนี้ต้องเรียนรู้ที่จะ "อยู่ร่วมกัน" ไป เจ็บบ้าง ช้ำบ้าง ก็คงต้องถูลู่ถูกังไปแบบนี้

 

เกมการเล่นกับเวลาอย่างสุขุมรอบคอบ 

การแก้ที่มาสว.

การลากปชป.(จำนวนหนึ่ง)ออกมาแก้ผ้า

การเขย่าฐานอำนาจภายใน

และ ... การจัดการตลก.

มันก้อคือแผนขั้นบันไดที่พท.จัดวางมาสักระยะแล้วคับ

วันฟ้าใสคงได้เห็นอะไรที่ชัดมากขึ้นกว่านี้

 

บอกได้แค่ว่าโหดและเลือดเย็นมากๆ

 

 เหมือนกับว่าขอหยุดไว้ชั่วคราว  

อยากยุบเพื่อไทยใจจะขาด แต่ลำบากถ้าทำตอนนี้

 

 สรุปคือ ยังแก้ปัญหาแบบไทยๆ กันอยู่คือยังไม่แตกหัก ฆ่ากันเป็นเบือเหมือนอาหรับ

เมื่อยุคเปลี่ยนผ่านมาถึง แล้วรัฐบาล สถาปนาความมั่นคงทางอำนาจ เช่น คนในระบบราชการต่างๆ

เร่งเกมมากไป ก็โดนถีบกลับมา แต่ก็ยังไม่ถีบจนตกเหว เพราะกลุ่มอำนาจเก่ากล้วความวุ่นวาย

 

สมัยที่สองของนายกฯปู ฝ่ายหัวก้าวหน้าอาจมีอำนาจมากขึ้น นั่นล่ะ จะคือบทสรุปของเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหลาย ว่าจะจบลงอย่างไร?..........

 

 

 

 

 

******************************************

 

 

 

 

             ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก

 

 

 

 

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

ประเทศเดนมาร์ก

 

ชื่อทางการ  ราชอาณาจักรเดนมาร์ก
พรมแดน  ทางด้านใต้มีพรมแดนติดกับประเทศเยอรมันนี 
ภูมิประเทศ  เดนมาร์กตั้งอยู่ระหว่างทะเลบอลติกและทะเลเหนือ ล้อมรอบด้วยพื้นน้ำเกือบทั้งหมด ภูมิประเทศประกอบด้วยคาบสมุทร Jutland (Jylland) และเกาะต่างๆอีก 406 เกาะ ในจำนวนนี้ มี 76 เกาะที่มีผู้อยู่อาศัย 
ภาษา  ภาษาหลักที่ใช้ในประเทศเดนมาร์ก เราเรียกว่า ภาษาแดนิช (Danish) แต่คนแดนิชส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ดี รวมทั้งใช้ภาษาเยอรมันในแถบชายแดนที่ติดกับเยอรมนีด้วย โดยใช่ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาราชการ 
การปกครอง  ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ
เมืองหลวง  โคเปนเฮเกน
พื้นที่  รวม 43,094 ตร.กม.
สกุลเงิน โครนเดนมาร์ก (DKK) โดย 1 DK ประมาณ 5.5 บาท
ประชากร  ประมาณ  5.4 ล้านคน
เวลา  ช้ากว่าประเทศไทย 5 ถึง 6 ชั่วโมง ประมาณอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม จะมีการเปลี่ยน เวลาให้เร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง (DST) ทำให้เวลาเดนมาร์กช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง และหน้าหนาว ประมาณอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม จะมีการเปลี่ยนเวลาให้ช้าลงหนึ่งชั่วโมง ทำให้เวลาเดนมาร์กช้ากว่าเมืองไทย 6 ชั่วโมง
รหัสโทรศัพท์  45

                

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

        ประเทศเดนมาร์ก เป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มแสกนดิเนเวีย มีอากาศหนาวตลอดทั้งปี (มีหนาวมากกับหนาวน้อย อุณหภูมิต่ำสุดเมื่อปี 2553 ประมาณ -20 องศาเซลเซียส โดยมีช่วงฤดูหนาวยาวนานถึง 6 เดือน)  เดนมาร์กเป็นประเทศที่มีพื้นฐานมาจากเกษตรกรรม ซึ่งปัจจุบันก็มีทั้งการเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่เป็นที่รักรู้จักในเรื่องของฟาร์มโคนม และโด่งดังในเรื่องตำนานของชาวไวกิ้ง หรือเหล่านักรบที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนเรือ ก่อนจะอพยพมาสร้างถิ่นฐานบนภาคพื้นทวีป แถบแสกนดิเนเวียในปัจจุบัน สำหรับค่าครองชีพในเดนมาร์กนั้น ค่าอาหารมื้อหนึ่งตกอยู่ที่ประมาณ 570 บาท น้ำเปล่าแบบขวดลิตร ประมาณ 81 บาท นมลิตรละ 36 บาท ค่าขนส่งสาธารณะตั๋วหนึ่งเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 122 บาท

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 


กิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเดนมาร์ก


- โคเปนเฮเกน 
        โคเปนเฮเกนเป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองชายฝั่งทะเลของประเทศเดนมาร์ก ตั้งอยู่ชายฝั่งตะวันออกของเกาะซีแลนด์ มีการทำประมงและเป็นเมืองท่าของการขนส่งสินค้า การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

- เงือกน้อย “Little Mermaid” 
        ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เป็นนักแต่งนิทานที่โด่งดังของเดนมาร์ก หนึ่งในผลงานที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกก็คือเรื่อง เงือกน้อย (ผลงานอื่นๆที่มีชื่อเสียง เช่น พระราชากับชุดล่องหน และ ลูกเป็ดขี้เหร่)  รูปปั้นเงือกน้อยนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งเป็นผลงานของ Edv. Eiriksen ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงจินตนาการของแอนเดอร์สัน

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

- พระราชวังอะมาเลียนบอร์ก (Amalienborg Palace)
         เป็นที่ประทับของราชวงค์เดนมาร์กมาตั้งแต่ค.ศ. 1794  เป็นสถาปัตยกรรมแบบร็อคโคโค ตรงกลางมีพระรูปทรงม้าของพระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 4 ปีกด้านหนึ่งของพระราชวังนั้นเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมห้องต่าง ๆ ที่เคยเป็นพำนักของราชวงศ์ในสมัยก่อน

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

- ปราสาทโรเซนเบิร์ก (Rosenborg Castle)
        เป็นปราสาทสมัยศตวรรษที่ 17 แบบดัตช์เรอเนสซองส์ สร้างในสมัยพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 นอกจากความงามของตัวตึกภายนอกและภายในแล้ว ยังเป็นที่เก็บเครื่องเพชร มหามงกุฎ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของราชวงศ์เดนมาร์กอีกด้วย

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

- น้ำพุแห่งราชินีเกฟิออน (Gefion Fountain)
        น้ำพุแห่งราชินีเกฟิออน ซึ่งได้มีตำนานเรื่องเล่ว่า เทพเจ้าได้ดลบันดาลให้ราชินีเกฟิออนกอบกู้บ้านเมือง พระนางจึงได้แปลงร่างลูกชายทั้ง 4 คนให้กลายเป็นโค เพื่อที่จะได้ช่วยไถพื้นดินขึ้นมาจากใต้น้ำ ซึ่งพื้นดินนั้นก็ได้กลายมาเป็นประเทศเดนมาร์กในปัจจุบันนั่นเอง

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)


- พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง
        พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ที่เมืองโคเปนเฮเกน ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว เดนมาร์กมีบรรพบุรุษเป็นชาวไวกิ้งโบราณ ที่ดำรงชีวิตบนเรือที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ ภายในพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งมีซากเรือไวกิ้งโบราณจัดแสดง ซึ่ง เป็นซากเรือที่กู้มาจากใต้ทะเลลึก มีทั้งแบบที่สมบูรณ์ทั้งลำ และแบบที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)


- อาหารเดนมาร์ก
        วัฒนธรรมอาหารของเดนมาร์กส่วนมากคล้ายคลึงกับกลุ่มประเทศนอร์ดิกอื่นๆ ซึ่งบางส่วนรับวัฒนธรรมการกินมาจากเพื่อนบ้านอย่างเยอรมนี โดยส่วนมากประกอบขึ้นจากปลา, เนื้อ ,อาหารจากนม เป็นต้น ซึ่งบางครั้งจะรวมเบียร์เข้าไปในบางมื้อเช่น มื้อเย็นด้วย

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

 

 

 

    ยูเอ็นเผย “เดนมาร์ก” ครองแชมป์ ประชาชน “สุข” ที่สุดในโลก แม้หนี้ดก

 

 

 

ยูเอ็นเผย “เดนมาร์ก” ครองแชมป์ ประชาชน “สุข” ที่สุดในโลก แม้หนี้ดก

 

 

 เอเอฟพี - พวกเขาคือประชาชนที่เป็นหนี้มากที่สุดในโลก และต้องอดทนผ่านช่วงฤดูหนาวที่ยาวนานและมืดมิด อีกทั้งยังมีช่วงชีวิตสั้นกว่าพลเมืองของหลายๆ ประเทศในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
       
       แต่กระนั้นในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมาชาวเดนมาร์กก็ยังจัดให้ตนเองเป็นชนชาติที่มีความสุขมากที่สุดในโลกอยู่เสมอ
       
       ส่วนชาวต่างชาติในเดนมาร์กได้เพียรพยายามหาทฤษฎีต่างๆ มาอธิบายว่าเหตุใดประชากรเจ้าของประเทศจึงพึงพอใจกับความเป็นอยู่ของตัวเองมากมายเช่นนี้ โดยมีตั้งแต่นโยบายสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมกัน ประวัติศาสตร์ของชาติ ไปจนถึงการพร่ำบ่นว่าเป็นเพราะคนบางกลุ่มมีความสุขที่เรียบง่ายกว่าคนอื่น
       
       “ที่นี่คุณสามารถก้าวไปสู่ตำแหน่งนักการเมืองระดับสูง หรือกรรมการบริหารบริษัท แม้ว่าคุณเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง” โจเซฟิน โฮเอจ์ หญิงชาวฟิลิปปินส์ผู้ที่ย้ายมาอาศัยในประเทศสแกนดิเนเวียแห่งนี้เมื่อ 40 ปีที่แล้วกล่าว
       
       กระทั่งตัวชาวเดนมาร์กเองก็ข้องใจไม่แพ้กันกับความสุขที่พวกเขาถูกกล่าวอ้างว่ามีอยู่เต็มเปี่ยม และบางครั้งนำเรื่องนี้มาเอ่ยอย่างขบขัน เมื่อข้อมูลชี้ว่าพวกเขาไม่น่าจะมีความสุขขนาดนั้น เป็นต้นว่า ข้อมูลจากองค์การความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ที่ระบุว่าชาวเดนมาร์กต่อหัว เป็นผู้บริโภคยาแก้โรคซึมเศร้ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก
       
       ในปีนี้ ประเทศนี้ขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของรายงานประจำปีขององค์การสหประชาชาติที่มีชื่อว่า “รายงานความสุขทั่วโลก” (World Happiness) แม้ว่าจะกำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       ในรายงานฉบับนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามจะถูกขอให้ประเมินสถานะความเป็นอยู่ในปัจจุบันของตนเอง โดยกำหนดระดับความพอใจตั้งแต่ 0 ไปจนถึง 10 ซึ่งตัวเลขระดับสูงสุดนั้นหมายถึงชีวิตที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะมีได้ ในขณะที่เลข 0 หมายถึงชีวิตอันเลวร้ายที่สุด
       
       ทั้งนี้ เดนมาร์กได้คะแนนเฉลี่ย 7.693
       
       “หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ชาวเดนมาร์กมีความสุข ก็คือ ความมั่นคงปลอดภัยในสังคมเดนมาร์ก” เมก ไวกิง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยความสุข ซึ่งเป็นองค์การคลังสมองของเดนมาร์ก ที่มีพันธกิจในการปรับปรุงคุณภาพชีวิต และอื่นๆ ทั้งในเดนมาร์ก และต่างประเทศ

 

ยูเอ็นเผย “เดนมาร์ก” ครองแชมป์ ประชาชน “สุข” ที่สุดในโลก แม้หนี้ดก

 
 
  “ความมั่นคงทางการเงินอยู่ในระดับที่สูงมาก หากถูกเลิกจ้าง รัฐบาลก็ยังช่วยเหลือเรา เมื่อไม่สบาย เราก็สามารถไปโรงพยาบาลได้ และอื่นๆ อีกมากมาย” เขากล่าวเสริม
       
       ถึงแม้เดนมาร์กจะเป็นประเทศที่มีการเรียกเก็บภาษีสูงที่สุดในโลก เมื่อเทียบเป็นอัตราร้อยละของเศรษฐกิจโดยรวม แต่ชาวเดนมาร์กจำนวนมากก็ตระหนักถึงคุณค่าของเงินประกันสังคมที่ได้รับกลับมา ซึ่งรวมถึง การได้เงินสงเคราะห์เพื่อดูแลเด็ก และเงินประกันสังคมการว่างงาน ซึ่งประชาชนจะได้รับเงิน 80 เปอร์เซ็นต์ของค่าแรง เป็นเวลา 2 ปี หากพวกเขาถูกเลิกจ้าง
       
       ทั้งนี้ รัฐบาลกลางซ้ายชุดปัจจุบันจำเป็นต้องตัดทอนผลประโยชน์บางส่วน เป็นต้นว่า ทุนการศึกษาให้เปล่า และเงินประกันสังคมสำหรับการว่างงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ มอบให้นานถึง 4 ปี แต่ถึงแม้จะลดลงแล้ว เดนมาร์กก็ยังคงขึ้นนำเป็นชาติที่ใจกว้างที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอยู่ดี
       
       นอกจากนี้ ไวกิ้งยังบอกด้วยว่าสิ่งสำคัญอีกประการที่ทำให้ผู้คนที่นี่มีความสุขก็คือ การที่ประชาชนมีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันสูง แม้กระทั่งกับคนแปลกหน้าที่เดินตามท้องถนน
       สิ่งนี้อาจเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการที่ประชาชนไว้วางใจในรัฐบาลมาก เนื่องจากมีประวัติการคอรัปชันน้อย
       
       “เรามีความเชื่อว่า สถาบันประชาธิปไตยต่างๆ ของเราคอยปกป้องดูแลเรา และรัฐต้องการทำในสิ่งที่เป็นผลดีต่อเรา” เขากล่าว
       
       ***
       ความเป็นรัฐสวัสดิการของเดนมาร์ก ไม่ได้ต่างจากประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคยุโรปเหนืออะไรนักหนา ทว่า ผลสำรวจชี้ว่าประเทศนี้มีคะแนนสูงกว่าพวกประเทศเพื่อนบ้านในด้านความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคม ซึ่งเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้คนประเทศนี้มีความสุข
       
       ไวกิ้งชี้ว่า “สังคมเดนมาร์ก มีความสมัครสมานสามัคคีกว่า และคุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมก็ค่อนข้างแน่นแฟ้นกว่า” ประเทศสแกนดิเนเวียอื่นๆ
       
       “ประเทศนี้มีชมรมและสมาคมต่างๆ มากมายที่สมาชิกส่วนใหญ่จะมองข้ามความแตกต่างทางชนชั้นอยู่บ่อยครั้ง อย่างที่ชมรมหมากรุก ผู้บริหารสูงสุดอาจจะเล่นกับใครสักคนที่เป็นพนักงานของร้านค้าก็ได้”
 
 
 
ยูเอ็นเผย “เดนมาร์ก” ครองแชมป์ ประชาชน “สุข” ที่สุดในโลก แม้หนี้ดก
 

 

 ส่วนเหตุผลอื่นๆ ที่อาจอธิบายได้ว่าว่าเหตุใดชาวเดนมาร์ก ถึงมองว่าตนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในประวัติศาสตร์ประจำชาติ
       
       ทั้งนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 17 เดนมาร์กเคยเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ดังที่เว็บไซต์ทางการของประเทศนี้ระบุว่า ขนาดของดินแดน และอิทธิพลของประเทศในปัจจุบัน “เป็นผลมาจากการถูกบีบบังคับให้สละดินแดนบางส่วน และการพ่ายแพ้สงครามมานาน 400 ปี”
       
       “ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยชนะอะไรเลย เอาแต่แพ้ลูกเดียว และนั่นทำให้ชาวเดนมาร์กสนใจแต่ประเทศของตน และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่พวกเขาหลงเหลืออยู่” ไมเคิล บูต ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่เดนมาร์กกล่าว ทั้งนี้เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ประเทศที่เขาย้ายมาอาศัยอยู่ โดยมีชื่อว่า “ชนชาติผู้เกือบสมบูรณ์แบบ” (The Almost Nearly Perfect People)
       
       นอกจากนี้ เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ชาวเดนมาร์กมีความสามารถในการปฏิเสธความจริงที่น่าเบื่อหน่าย
       
       “พวกเขาเป็นประชาชนที่มีหนี้ส่วนบุคคลในระดับสูงที่สุดของโลก ... แต่พวกเขาก็เก่งในเรื่องการปล่อยวางปัญหา แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป” เขากล่าว
       
       “ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พวกเขาเก่งในเรื่องการให้อภัยแก่บุคคลสำคัญของสาธารณะ ที่ทำผิด อย่างอันเดอร์ส โฟฟ รัสมุสเซ็น นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ทำให้ประเทศชาติต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามเลวร้ายถึงสองครั้งสองครา คือ สงครามที่อัฟกานิสถาน และอิรัก อีกทั้งประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้เรื่องอีกด้วย”
       
       บูตกล่าวเสริมว่า “เขาทำให้เศรษฐกิจย่อยยับขนานแท้ แต่คุณจะไม่มีทางได้ยินใครพูดถึงเขาในแง่ร้ายหรอก”
       
       นอกจากนั้น ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวเดนมาร์กไม่ต้องทำงานหนักมากนัก โดยเฉลี่ยพวกเขาทำงานเพียงสัปดาห์ละ 33 ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งนี้ ตามข้อมูลของมูลนิธิร็อกวูล
       
       อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตอนต้นๆ เขารู้สึกเกลียดภาษี สภาพอากาศ “และความรู้สึกอับอายในความทะเยอทะยาน และความสำเร็จของปัจเจกชนที่น่าอึดอัด” บูตก็ยอมรับว่านับตั้งแต่เขาเป็นพ่อคน ก็ไม่คิดว่ามีที่ไหนน่าอยู่ไปกว่าเดนมาร์กอีกแล้ว
       
       “เดนมาร์ก ถ้าไม่ได้เป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดก็คงเป็นประเทศที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกในการมีลูก เพราะที่เดนมาร์กทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการออกแบบมาให้เอื้อต่อการมีครอบครัว”

 

 

 

 ส่วนเหตุผลอื่นๆ ที่อาจอธิบายได้ว่าว่าเหตุใดชาวเดนมาร์ก ถึงมองว่าตนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในประวัติศาสตร์ประจำชาติ
       
       ทั้งนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 17 เดนมาร์กเคยเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ดังที่เว็บไซต์ทางการของประเทศนี้ระบุว่า ขนาดของดินแดน และอิทธิพลของประเทศในปัจจุบัน “เป็นผลมาจากการถูกบีบบังคับให้สละดินแดนบางส่วน และการพ่ายแพ้สงครามมานาน 400 ปี”
       
       “ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยชนะอะไรเลย เอาแต่แพ้ลูกเดียว และนั่นทำให้ชาวเดนมาร์กสนใจแต่ประเทศของตน และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่พวกเขาหลงเหลืออยู่” ไมเคิล บูต ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่เดนมาร์กกล่าว ทั้งนี้เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ประเทศที่เขาย้ายมาอาศัยอยู่ โดยมีชื่อว่า “ชนชาติผู้เกือบสมบูรณ์แบบ” (The Almost Nearly Perfect People)
       
       นอกจากนี้ เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ชาวเดนมาร์กมีความสามารถในการปฏิเสธความจริงที่น่าเบื่อหน่าย
       
       “พวกเขาเป็นประชาชนที่มีหนี้ส่วนบุคคลในระดับสูงที่สุดของโลก ... แต่พวกเขาก็เก่งในเรื่องการปล่อยวางปัญหา แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป” เขากล่าว
       
       “ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พวกเขาเก่งในเรื่องการให้อภัยแก่บุคคลสำคัญของสาธารณะ ที่ทำผิด อย่างอันเดอร์ส โฟฟ รัสมุสเซ็น นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ทำให้ประเทศชาติต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามเลวร้ายถึงสองครั้งสองครา คือ สงครามที่อัฟกานิสถาน และอิรัก อีกทั้งประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้เรื่องอีกด้วย”
       
       บูตกล่าวเสริมว่า “เขาทำให้เศรษฐกิจย่อยยับขนานแท้ แต่คุณจะไม่มีทางได้ยินใครพูดถึงเขาในแง่ร้ายหรอก”
       
       นอกจากนั้น ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวเดนมาร์กไม่ต้องทำงานหนักมากนัก โดยเฉลี่ยพวกเขาทำงานเพียงสัปดาห์ละ 33 ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งนี้ ตามข้อมูลของมูลนิธิร็อกวูล
       
       อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตอนต้นๆ เขารู้สึกเกลียดภาษี สภาพอากาศ “และความรู้สึกอับอายในความทะเยอทะยาน และความสำเร็จของปัจเจกชนที่น่าอึดอัด” บูตก็ยอมรับว่านับตั้งแต่เขาเป็นพ่อคน ก็ไม่คิดว่ามีที่ไหนน่าอยู่ไปกว่าเดนมาร์กอีกแล้ว
       
       “เดนมาร์ก ถ้าไม่ได้เป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดก็คงเป็นประเทศที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกในการมีลูก เพราะที่เดนมาร์กทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการออกแบบมาให้เอื้อต่อการมีครอบครัว”

 

 

 ส่วนเหตุผลอื่นๆ ที่อาจอธิบายได้ว่าว่าเหตุใดชาวเดนมาร์ก ถึงมองว่าตนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในประวัติศาสตร์ประจำชาติ
       
       ทั้งนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 17 เดนมาร์กเคยเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ดังที่เว็บไซต์ทางการของประเทศนี้ระบุว่า ขนาดของดินแดน และอิทธิพลของประเทศในปัจจุบัน “เป็นผลมาจากการถูกบีบบังคับให้สละดินแดนบางส่วน และการพ่ายแพ้สงครามมานาน 400 ปี”
       
       “ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยชนะอะไรเลย เอาแต่แพ้ลูกเดียว และนั่นทำให้ชาวเดนมาร์กสนใจแต่ประเทศของตน และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่พวกเขาหลงเหลืออยู่” ไมเคิล บูต ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่เดนมาร์กกล่าว ทั้งนี้เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ประเทศที่เขาย้ายมาอาศัยอยู่ โดยมีชื่อว่า “ชนชาติผู้เกือบสมบูรณ์แบบ” (The Almost Nearly Perfect People)
       
       นอกจากนี้ เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ชาวเดนมาร์กมีความสามารถในการปฏิเสธความจริงที่น่าเบื่อหน่าย
       
       “พวกเขาเป็นประชาชนที่มีหนี้ส่วนบุคคลในระดับสูงที่สุดของโลก ... แต่พวกเขาก็เก่งในเรื่องการปล่อยวางปัญหา แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป” เขากล่าว
       
       “ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พวกเขาเก่งในเรื่องการให้อภัยแก่บุคคลสำคัญของสาธารณะ ที่ทำผิด อย่างอันเดอร์ส โฟฟ รัสมุสเซ็น นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ทำให้ประเทศชาติต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามเลวร้ายถึงสองครั้งสองครา คือ สงครามที่อัฟกานิสถาน และอิรัก อีกทั้งประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้เรื่องอีกด้วย”
       
       บูตกล่าวเสริมว่า “เขาทำให้เศรษฐกิจย่อยยับขนานแท้ แต่คุณจะไม่มีทางได้ยินใครพูดถึงเขาในแง่ร้ายหรอก”
       
       นอกจากนั้น ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวเดนมาร์กไม่ต้องทำงานหนักมากนัก โดยเฉลี่ยพวกเขาทำงานเพียงสัปดาห์ละ 33 ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งนี้ ตามข้อมูลของมูลนิธิร็อกวูล
       
       อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตอนต้นๆ เขารู้สึกเกลียดภาษี สภาพอากาศ “และความรู้สึกอับอายในความทะเยอทะยาน และความสำเร็จของปัจเจกชนที่น่าอึดอัด” บูตก็ยอมรับว่านับตั้งแต่เขาเป็นพ่อคน ก็ไม่คิดว่ามีที่ไหนน่าอยู่ไปกว่าเดนมาร์กอีกแล้ว
       
       “เดนมาร์ก ถ้าไม่ได้เป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดก็คงเป็นประเทศที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกในการมีลูก เพราะที่เดนมาร์กทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการออกแบบมาให้เอื้อต่อการมีครอบครัว”

 

 

ยูเอ็นเผย “เดนมาร์ก” ครองแชมป์ ประชาชน “สุข” ที่สุดในโลก แม้หนี้ดก

 
 
 
 
 
 
 

 

 

 

 

 

 

***************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อาถรรพณ์สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า กักตัวทหารเรือสหรัฐไว้ 60 ปี

 

 

 

 

 

                            

  

 

 

 

เกิดเหตุยากต่อการอธิบาย เมื่อนักประดาน้ำคนหนึ่งโผล่จากน้ำ กลางมหาสมุทรแอตแลนติก เขาคิดว่าตนเองดำน้ำปฏิบัติการภารกิจลับเพียงวันเดียวและเป็นยุคที่มีประธานาธิบดีชื่อ แฟรงคลิน รูสเวลท์...แต่ความจริงวันเวลาผ่านมาเกือบ 60 ปีที่แล้ว

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เมืองไบอามี่ สหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและหน่วยกู้ภัยต่างพากันขนลุกเป็นแถว เมื่อพบกับเรื่องพิสดารเกินกว่าจะกล่าวได้เมื่อกัปตันเรือเช่าตกปลา เฟรด แอพพานี พบชายผู้หนึ่งในชุดประดาน้ำรุ่นเก๋ากึกลอยตุ๊บป่องอยู่กลางทะเลห่างจากฝั่งรัฐฟลอริดา ราว 7 ไมล์

 

                เป็นที่รู้จักกันดี น่านน้ำนอกฝั่งฟลอริดาออกไปนั่นคือริมขอบของพื้นที่ลึกลับเรียกว่าสามเหลี่ยมมรณะเบอร์มิวด้า

 

                ความลึกลับสามเหลี่ยมปีศาจ ได้กลืนกินชีวิตชาวเรือไปนับร้อยลำในช่วงเวลา 100 ปีที่ผ่านมา เครื่องบิน บินอยู่อากาศแท้ๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งฝูงรวม 3 ลำ ถูกดูดลงทะเล หายไปปราศจากร่องรอยใดๆ

 

 

        มีเสียงเล่าลือกันว่า กลางสามเหลี่ยมปีศาจมีแหล่งน้ำวนขนาดใหญ่มีแรงดูดมหาศาลมาก กลืนทุกอย่าง ที่ผ่านเข้าไปในรัศมี แม่แต่เรือสินค้าใหญ่โตก็ตาม

 

          บางกระแสก็ว่า ใต้ทะเลเบอร์มิวด้า เป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการลับของบรรดามนุษย์ต่างดาวทั้งหลาย ซึ่งเดินทางมาถงโลก หลายพันปีก่อน

 

 สำหรับคนประหลาดในชุดประหลาด เป็นชายอายุไม่เกิน 30 ปี พูดจา วกวน สวมชุดดำน้ำรุ่นโบราณ ชุดเสื้อทำจากผ้าใบกันน้ำ ตีนกบยาวใหญ่ หนักถึง 40 ปอนด์ ส่วนหัวสวมด้วยหมวกเหล็ก แบบฝาครอบเกลียวหมุนหน้ากากเป็นกระจก มีท่ออากาศต่อเข้าใบหน้ากากเหล็กทั้งชุด เป็นเทคโนโลยีเมื่อ 50-60 ปีก่อน

 

 กัปตันเฟรด ซึ่งช่วยชีวิตหนุ่มลึกลับผู้นี้จากท้องทะเล กล่าวว่า "ดูเขาหลงยุค หรือไม่ก็เสียสติไปแล้ว เรารู้เพียงว่าเขาชื่อ ราล์ฟ บัวร์แลนด์ เป็นทหารเรือสหรัฐอเมริกา"

 

   "ความจริงขณะที่เราพบตัวเขา ผมสังเกตเห็นท่ออากาศลอยโผล่ขึ้นมา ด้วยความสงสัยจึงหยุดเรือช่วยกันลากขึ้นมาพบตัวเขาลอยขึ้นมา แทบไม่น่าเชื่อยังมีชีวิตอยู่อีกได้ เพราะในน้ำคงขาดออกซิเจนไปนานแล้ว"

 

  ทหารเรือราล์ฟ ถูกนำส่งโรงพยาบาลเขาบอกชื่อโรงพยาบาลทหารเรือแห่งหนึ่งแต่ปรากฏว่าไม่มีใครรู้จักโรงพยาบาลแห่งนี้เลย"เขาบอกผมว่า มาปฏิบัติการลับใต้น้ำตามคำสั่งประธานาธิบดี รูสเวลท์

 

  เมื่อสงสัยหนักขึ้นตำรวจเมืองไมตมี่จึงตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนี้ไปยังกองทัพเรือสหรัฐ ปรากฏว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง คือในปี ค.ศ.1938 หรือเมื่อ 60 ปีก่อน ครั้งนั้นสหรัฐมีประธานาธิบดีชื่อ แฟรงคลิน เดลาโน่ รูสเวลท์ มีคำสั่งลับสุดยอดให้กองทัพเรือส่งทหารออกปฏิบัติการใต้ทะเลเพื่อป้องกันประเทศ

 

     ยุทธการลับดังกล่าวคือ การทดลองระเบิดน้ำลึก และการวางทุ่นระเบิด

 

           มนุษย์กบสังกัดกองทัพเรือหมู่หนึ่งจำนวน 12 คน ออกปฏิบัติงานตามแผน 1 ในจำนวนนี้มีชื่อ ราล์ฟ ธอมัสบัวร์แลนด์ รวมอยู่ด้วย ขณะนั้น เขามีอายุ 24 เท่านั้น

                ผลการปฏิบัติการปรากฏว่ามนุษย์กบทั้งชุดสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาทางกองทัพแทงบัญชีสาบสูญไป

                 เมื่อชายหนุ่มประหลาดยืนยันว่าเขาคือทหารเรือ ราล์ฟ บัวแลนด์จริง จึงมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย

 

 1.เขารอดชีวิตจากการหายสาบสูญในท้องทะเลเมื่อ 60 ปีก่อน ได้อย่างไร

2.เขาหายใจได้อย่างไรเมื่อขาดอากาศหายใจ

3.ทำไมเขายังดูหนุ่มแน่นทั้งที่หายไปตั้ง 60 ปีมาแล้ว

4.เขาตกไปอยู่ในมิติเร้นลับหรือไม่ จนกาลเวลาผ่านไปโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว

 

 

                "มีเรื่องอีกมากที่เราต้องซักถามเขา ขณะนี้รอให้เขาพักฟื้นในโรงพยาบาลจนแข็งแรงเสียก่อน"ตำรวจเมืองไมอามี่ผู้หนึ่ง กล่าวอย่างไม่สิ้นความกังขาสงสัย

 

 

 

         

                     

 

 

 

 

           สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าปริศนาที่ถูกเปิดเผย

   
 

 

 

 

 

 

 

นักวิทยาศาสตร์ สามารถไขความลับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า? ที่ก่อนหน้านี้เป็นปมปริศนาที่มันสามารถดูดกลืนเรือและเครื่องบินที่ผ่านบริเวณนั้นจมหายสาปสูญ จนมีผู้กล่าวขานสามเหลี่ยมดังกล่าวว่า สามเหลี่ยมผีสิง ที่จำนำพาไปสู่อีกมิติ

ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ การก่อตัวของก๊าซธรรมชาติ โดยเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ ทำให้เรือและเครื่องบินเสียการควบคุม ก่อนที่จะจมดิ่งสู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ซึ่งศาสตราจารย์โจเซฟ โมนาแกน หนึ่งในสองผู้วิจัยงานศึกษาไขปริศนาดังกล่าวเสริมว่า บริเวณนั้นมีก๊าซมีเทนจำนวนมากปะทุเป็นฟองก๊าซขนาดใหญ่ แล้วแตกตัวเหนือบริเวณดังกล่าว

เมื่อก๊าซเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศและขยายตัวเป็นวงกว้าง แล้วก่อตัวเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ หากเรือลำใดแล่นผ่านมายังบริเวณนั้น แน่นอนว่าเรือก็จะเข้าไปในฟองก๊าซมีเทนขนาดใหญ่ จนทำให้เรือเสียการควบคุม และจมสู่ทะเลในที่สุด

รายงานยังระบุว่า หากฟองก๊าซมีขนาดใหญ่มากๆ ครอบคลุมความหนาแน่นระดับสูงเพียงพอ ยังสามารถทำให้เครื่องบินที่อยู่บนน่านฟ้า   เหนือสาม เหลี่ยมฯ เสียการควบคุม และดิ่งสงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว

ทฤษฎีดังกล่าว จึงกลายเป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุด และอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าได้อย่างชัดเจนที่สุด  ดังนั้นจึงไม่แปลกหากที่ผ่านมา  เรือหรือเครื่องบินหลายลำจะเสียการควบคุมก่อนถูกดูดกลืนให้จมลงสู่ท้องทะเลลึกอย่างไร้ร่องรอยใดๆ  เพราะก๊าซมีเธนจำนวนมากนี้จะมีพลังมหาศาลที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจมลงสู่ก้นบึ้งของท้องทะเล 

ส่วนคำถามที่ว่าแล้ววัตถุที่จมลงสู่ท้องทะเลนั้นหายไปไหน  ทำไมไม่มีใครเคยค้นพบเศษซากของเรือและเครื่องบินที่สูญหายเลยซักครั้ง นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่มีใครกล้าเดินทางเข้าไปในบริเวณดังกล่าว  และนักสำรวจที่เคยเดินทางเข้าไปเพื่อตรวจสอบความจริงบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็ไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาเพื่อให้ข้อมูลใดๆ ได้เลย                         ************************************

                           โลภโมโทสันต์......

 

 

 

                                  

 

 

 

 


....ลิ้นกับฟัน ปัญหา มากระทบ

 

ยืนท้ารบ ศึกสงคราม ลามเสียหาย

 

ผลย่อยยับ สาดกระเซ็น กระเด็นตาย

 

ชีพสลาย เเย่งผืนดิน สิ้นเกรงใจ

 

 


....เป็นบ้านพี่ เมืองน้อง มาหมองหม่น

 

เพราะจิตคน ใจคดเคี้ยว เลี้ยวลื่นไหล

 

เพียงความโลภ โกรธหลงฉุด หยุดฟังใคร

 

สุดท้ายได้ สลายยับ ดับผุพัง.....

 

 

 

 

*********************************************

 

 

 

 

 

 

ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “MERS” ในโอมาน

 

เสียชีวิตแล้ว

 

 

 

 

 

 

รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ “MERS” โคโรนาไวรัสรายแรกของโอมาน เสียชีวิตลงแล้วที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในวันอาทิตย์ (10) จากอาการปอดล้มเหลว

       
       รายงานจากสำนักข่าว “โอเอ็นเอ” ของรัฐบาลโอมานระบุว่าชายวัย 68 ปีที่ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเมื่อช่วงเดือนที่แล้วที่เมืองนิซวา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงมัสแคต หลังติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่มาจากภายนอกประเทศได้เสียชีวิตลงแล้ว
       
       ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า ขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อมรณะดังกล่าวที่ได้รับการยืนยันจากผลตรวจของห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์รวม 150 รายทั่วโลก ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสมรณะที่ยังไม่มีหนทางรักษาชนิดนี้มีทั้งสิ้น 64 ราย นับตั้งแต่พบการระบาดครั้งแรกในเดือนกันยายนปีที่แล้ว
       
       ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียที่เชื่อกันว่าเป็นต้นตอของการระบาดถือเป็นดินแดนที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด และมีรายงานการพบผู้ป่วยทั้งในกาตาร์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ตูนิเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเดือนกันยายน ปีคศ. 2012 ในประเทศซาอุดิอาระเบีย มีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อโคโรน่าไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2012 เป็นครั้งแรก และมีรายงานการติดเชื้อผู้ป่วยใหม่จากไวรัสชนิดนี้โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) อยู่เป็นระยะ จนถึงปัจจุบัน และภายหลังได้รับการตั้งชื่อว่า   Middle East Respiratory Syndromes Coronavirus, MERS-CoV หรือ เมอรส์ โคโรน่าไวรัส

ลักษณะของเมอรส์ โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่
ถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะ มีอาการแสดงคล้ายโรคซารส์ (SARS) ที่เคยระบาดมาก่อน แต่เชื้อที่ทำให้ก่อโรคมีสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน จากการศึกษาทางพันธุวิทยาของเมอร์ส พบว่ามีความใกล้ชิดกับโคโรน่าไวรัสของค้างคาว แต่ในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปถึงวิธีการติดต่อ และแหล่งโรคได้อย่างแน่ชัดว่าเกิดจากสัตว์ชนิดใด

 

 

ภาพที่ 1 เชื้อโคโรน่าไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2012 หรือ เมอรส์ โคโรน่าไวรัส


เชื้อไวรัสโคโรนา ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2508 เป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอสายเดี่ยว (single stranded RNA virus) ในตระกูล Coronaviridae ซึ่งประกอบด้วยสายพันธุ์ย่อยหลายชนิด สามารถทำให้เกิดโรคได้ทั้งในคนและสัตว์ เช่น หนู สุนัข แมว กระต่าย ไก่ วัว กระบือ สุกร ขณะนี้ไวรัสโคโรนาที่ก่อโรคในคนที่รู้จักมี 6 ชนิด โดย 4 ชนิดทำให้เกิดโรคไข้หวัด และอีก 1 ชนิดทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ “โรคซาร์ส”

สถานการณ์การติดเชื้อเมอร์สไวรัสสายพันธุ์ใหม่
กันยายน 2012, เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย รายงานการตรวจพบเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่เป็นครั้งแรก จากเสมหะของผู้ป่วยที่อาการปอดอักเสบ และไตวายเฉียบพลัน ซึ่งได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2012 หลังจากนั้นมีตรวจพบเชื้อไวรัสดังกล่าวได้จากผู้ป่วยรายใหม่ที่มีอาการเจ็บ ป่วยคล้ายกับผู้ป่วยรายแรก แต่ได้รับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งผู้ป่วยรายนี้เป็นชาวกาตาร์มีประวัติการเดินทางไปเที่ยวที่ซาอุดิอาระ เบีย

ข้อมูลในปัจจุบัน (3 กรกฎาคม คศ. 2013)

  • มีการตรวจพบผู้ป่วยทั้งสิ้นจำนวน 77 ราย
  • เสียชีวิตจำนวน 42 ราย
  • อัตราการเสียชีวิตร้อยละ 54.5 (42/77)
  • ประเทศซาอุดิอาระเบีย มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 80.5 (62/77) ของผู้ป่วยที่รายงานทั้งหมดทั่วโลก
    • มีจำนวนผู้ป่วย 62 ราย
    • เสียชีวิต 36 ราย
    • อัตราการเสียชีวิตร้อยละ 58.1 (36/62)
  • มีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ จากประเทศฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี อังกฤษ จอร์แดน กาตาร์ ตูนีเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรต

ข้อมูลจากยุโรปและตูนิเซียพบว่า

  • ผู้ป่วยส่วนมากมีอาการป่วยหลังจากเดินทางกลับจากประเทศในตะวันออกกลาง
  • มีรายงานการติดต่อจากคนสู่คนอย่างจำกัด เฉพาะผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยเท่านั้น
  • ผู้ป่วยส่วนมากมีอาการรุนแรง
  • มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง (ประมาณร้อยละ 55)
  • กลุ่มเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยชนิดรุนแรง คือผู้ที่มีโรคประจำตัวดังต่อไปนี้
    • โรคระบบทางเดินหายใจ
    • เบาหวาน
    • โรคหัวใจ
    • โรคไตเรื้อรัง
    • ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

มีรายงานการระบาดของเชื้อ โดยการติดต่อจากคนสู่คน

  • พบว่ามีการระบาดของเชื้อเกิดขึ้นภายในโรงพยาบาล บริเวณภาคตะวันออกของประเทศซาอุดิอาระเบีย
  • มีผู้ที่ติดเชื้อรายใหม่ ได้แก่ ญาติใกล้ชิดของผู้ป่วยเอง ผู้ป่วยที่อยู่ในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก ห้องไตเทียม รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยด้วย และผู้ที่ติดเชื้อมีอาการแสดงที่รุนแรงมักจะมีโรคประจำตัวร่วมด้วย

ระบาดวิทยา

  • เชื้อโคโรนาไวรัสโดยทั่วไปพบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในเขตอบอุ่น
  • มักพบในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ
  • พบได้ในทุกกลุ่มอายุ 
  • มีการติดต่อคล้ายกับโรคทางเดินหายใจ คือ ผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ จากการไอ หรือหายใจรดกัน หรือจากมือที่เปื้อนเชื้อโรคสัมผัสจมูก หรือตา
  • มีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 3-4 วัน ส่วนเชื้อก่อโรคซาร์สมีระยะฟักตัว 4-7 วัน (อาจนาน 10-14 วัน)
  • หากไวรัสอยู่ภายนอกร่างกายจะสลายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง และถูกทำลายได้ด้วยสารซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาด
  • จากการศึกษาวิจัยพบว่า สัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ค้างคาว
  • ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ทั้งระบบทางเดินอาหาร และระบบทางเดินหายใจ โดยพบว่า ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้ถึงร้อยละ 35 มีอาการได้ตั้งแต่ ระดับน้อยเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา จนถึงระดับรุนแรง (โรคซาร์ส) ทำให้เกิดอาการหายใจติดขัด ระบบการหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้
     

ภาพที่ 2 แสดงบริเวณที่มีการระบาดของเมอรส์ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่

อาการและอาการแสดงของผู้ป่วย 
ผู้ป่วยมักจะมีอาการของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเช่น มีไข้ มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ หรือบางคนอาจจะมีอาการของปอดอักเสบ เช่น หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือบางรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีระบบหายใจล้มเหลวได้ และจากรายงานของกลุ่มผู้ป่วยยังสามารถพบ อาการและอาการแสดงทางอวัยวะอื่นได้ เช่น อาการไตวายเฉียบพลัน ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้

ระยะเวลาฟักตัวของเชื้อยังไม่ทราบแน่นอน แต่อยู่ในช่วงประมาณ 1-12 วัน ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) และสำนักงานควบคุมโรคและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC) ให้คำแนะนำ สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางให้สังเกตอาการภายในระยะเวลา 14 วัน

การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคนอกจากอาการและประวัติดังกล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว จำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมเพื่อช่วยวินิจฉัย WHO และ CDC ให้คำแนะนำในการส่งสิ่งตรวจเพื่อช่วยในการวินิจฉัย ดังนี้

  1. การตรวจสารพันธุกรรมของไวรัส โดยวิธี real-time reverse-transcriptase polymerase chain reaction หรือ rRT-PCR จากสิ่งส่งตรวจ ซึ่งเก็บจากบริเวณต่างๆ ดังต่อไปนี้
    • เสมหะทางเดินหายใจส่วนล่าง ซึ่งเก็บจาก
      • การดูดสารคัดหลั่งจากหลอดลม (Tracheal aspiration)
      • น้ำล้างถุงลมและหลอดลมฝอย (Bronchoalveolar lavage fluid)
    • เสมหะทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเก็บจาก
      • การป้ายเก็บสิ่งส่งตรวจจากโพรงจมูกและคอ (Nasopharyngeal and throat swab)
      • การดูดสารคัดหลังจากช่องโพรงจมูก (Nasopharyngeal aspiration)
    • อุจจาระในผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย
    • เลือด น้ำเหลือง ซึ่งใช้เป็นตัวช่วยเสริม แต่ยังไม่ทราบความแม่นยำในการวินิจฉัย
    การส่งสิ่งส่งตรวจโดยเก็บตัวอย่างจากตำแหน่งต่างๆ ที่แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย จะช่วยเพิ่มความไวในการวินิจฉัยโรคได้มากขึ้น
  2. การเก็บเลือดเพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อในเลือด (Serology testing) โดยเก็บในช่วงที่เป็นในระยะเริ่มแรก และหลังจากมีอาการแล้วอย่างน้อย 3 สัปดาห์
     

ใครบ้างที่ต้องพิจารณาส่งตรวจดังกล่าว

  • ผู้ป่วยที่มีอาการและอาการแสดงทางระบบทางเดินหายใจ คือ มีไข้สูงมากกว่า 38 °C ไอ สงสัยมีปอดอักเสบ รวมทั้งภาพรังสีปอดมีความผิดปกติ และมีประวัติเดินทางหรือท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง และประเทศใกล้เคียง ภายในระยะเวลา 14 วัน และไม่สามารถอธิบายสาเหตุอาการป่วยของผู้ป่วยได้
  • ผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจรุนแรง ซึ่งมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการ หลังจากเดินทางไปหรือท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางภายใน 14 วัน

ใครบ้างที่ควรไปพบแพทย์
ผู้ที่มีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก หายใจหอบเหนื่อย หรือหายใจลำบาก ภายในระยะเวลา 14 วัน หลังจากเดินทางกลับมาจากกลุ่มประเทศในคาบสมุทรอาระเบีย (ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ เยเมน โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรต คูเวต อิรัค อิสราเอล ซีเรีย จอร์แดน เลบานอน ) โดยที่จำเป็นต้องแจ้งประวัติการเดินทางให้แพทย์ทราบด้วย

การรักษา
ให้การรักษาแบบประคับประคองและตามอาการ เหมือนการติดเชื้อโคโรน่าไวรัสชนิดอื่นๆ เนื่องจากไม่มียาต้านไวรัสในการรักษาผู้ป่วย และขณะนี้ไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรค เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา
   

การป้องกันการติดเชื้อ

  1. หลีกเลี่ยงผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อ เช่น ผู้ที่มีไข้ ไอ น้ำมูก
  2. หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด หรือที่สาธารณะที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก
  3. ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของโรคทางเดินหายใจ
  4. ควรล้างมือบ่อยครั้งด้วยน้ำและสบู่ เนื่องจากเชื้อพบได้ทั้งในอากาศ น้ำมูก และเสมหะ ซึ่งอาจปนเปื้อนที่มือของผู้ที่ติดเชื้อแล้วไปจับสิ่งของหรือวัตถุทั่วไป
  5. เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ควรใช้ช้อนกลาง เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
  6. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  7. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับปศุสัตว์มีชีวิต หรือ สัตว์ป่า ในกรณีที่เดินทางไปในประเทศในตะวันออกกลาง
     

การควบคุมการติดเชื้อ เนื่องจากเชื้อนี้มีความรุนแรงสูง CDC ได้ให้คำแนะนำดังต่อไปนี้

  • ให้ทำการเฝ้าระวังในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากก่อให้เกิดความทุพลภาพ และเสียชีวิตได้สูง
  • หลักฐานของการติดเชื้อจากคนสู่คนยังมีค่อนข้างจำกัด
  • โรคมีอาการและอาการแสดงไม่จำเพาะ
  • ยังไม่ทราบถึงช่องทางในการติดเชื้อดังกล่าว
  • ยังไม่มียาในการรักษาและวัคซีนในการป้องกัน
  • หน่วยงานที่สามารถตรวจหาไวรัสดังกล่าวยังค่อนข้างอยู่ในวงจำกัด ซึ่งในประเทศไทยสามารถส่งตรวจได้ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โรคพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

คำแนะนำสำหรับสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์

  • ในกรณีที่มีผู้ป่วยที่สงสัยการติดเชื้อดังกล่าวควรแยกผู้ป่วยไว้ในพื้นที่พิเศษ สำหรับดูแลผู้ป่วยที่มีการแพร่เชื้อโรคทางอากาศ (Airborne Isolation)
  • สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ควรป้องกันการติดเชื้อโดยใช้อุปกรณ์ป้องกัน ได้แก่ 
    • แว่นตาหรือ หน้ากากป้องกันใบหน้า
    • สวมหน้ากาก N95 สำหรับป้องกันการติดเชื้อทางการหายใจ
    • สวมถุงมือ และสวมเสื้อกาวน์ทุกครั้ง
    • ปฏิบัติตามมาตรฐานการล้างมือทุกครั้งทั้งก่อนและหลังการสัมผัสผู้ป่วยและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งหลังจาการถอดอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ

คำแนะนำเพื่อการป้องกันตนเอง สำหรับผู้ที่วางแผนจะเดินทางไปต่างประเทศ

  • หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ ถ้าไม่มีน้ำและสบู่สามารถใช้แอลกอฮอล์ล้างมือใช้แทนได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส ตา จมูกและปาก เนื่องจากเชื่อแพร่ผ่านช่องทางเหล่านี้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
  • ตรวจสอบประวัติการฉีดวัคซีนของตัวเองว่าเป็นอย่างไร
  • อาจจะต้องไปพบแพทย์ก่อนเดินทางอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ เพราะหากในเวลานั้นสามารถผลิตวัคซีนป้องกันได้สำเร็จจะได้ดำเนินการฉีดก่อนเดินทาง
  • ถ้ารู้สึกว่าตนเองป่วยให้ปฏิบัติตัวดังนี้
    • ปิดปาก ปิดจมูกเวลาไอหรือจามด้วยกระดาษทิชชู และทิ้งกระดาษที่ใช้แล้วลงในถังขยะ
    • ควรระมัดระวังที่จะแพร่เชื้อของตนเองไปสู่ผู้อื่น
    •  

 

( จาก Bookok Health.com)

 

 

 

**********************************************

 

ความคิดเห็น

วันที่: Thu May 09 22:44:27 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>