Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

หมาพูดได้

ArjanPong | 21-11-2556 | เปิดดู 3676 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

 

 

         ปฏิทินวันพระ 2556 ร่วมทำบุญให้จิตใจผ่องใส

 

 

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2556 เป็นวันแรม 8 ค่ำ เดือน 12  วันนี้วันพระ.......

 

 

                             

 

                 ค่าจ้างเรือ

 

 

 

 

                           

 

 

 

   ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภคนแจวเรือประจำท่าคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

 

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤๅษี บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์เป็นเวลาช้านาน คิดอยากจะโปรดญาติโยม จึงเข้าไปเที่ยวภิกขาจารในเมืองพาราณสี พระราชาทรงเลื่อมใสแล้วนิมนต์ให้จำพรรษาในสวนหลวงเพื่อถวายทาน พระราชาจะเสด็จไปฟังธรรมวันละครั้ง ฤๅษีมักจะให้โอวาทเป็นประจำว่า "มหาบพิตร พระราชาไม่ควรมีอคติ ๔ อย่าง เป็นผู้ไม่ประมาทสมบูรณ์ด้วยขันติ มีเมตตากรุณา ครองราชย์โดยธรรม ที่สำคัญพระองค์อย่างทรงโกรธเป็นอันขาด ไม่ว่าในที่ไหนๆ จะเป็นในบ้านในป่าหรือที่ลุ่มที่ดอนก็ตาม ถ้าทำได้พระองค์จะเป็นที่รักของทวยราษฎร์ตลอดไป" พระราชาทรงเลื่อมใสยิ่ง จึงถวายหมู่บ้านชั้นดีที่เก็บเงินส่วยภาษีได้ปีละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะให้ ๑ ตำบล แต่ฤๅษีไม่รับเพราะถือเป็นกิเลส จนเวลาผ่านไปได้ ๑๒ ปี

 

          ต่อมาวันหนึ่ง ฤๅษีคิดจะเดินทางไปโปรดญาติโยมที่อื่นบ้างจึงไม่ได้เข้าเฝ้าทูลลาพระราชา เพียงบอกให้คนเฝ้าสวนหลวงไปกราบทูลให้ทรงทราบ แล้วก็ออกเดินทางไปถึงฝั่งแม่น้ำคงคา ที่ท่าเรือมีคนแจวเรือไปส่งคนข้ามฟากแล้ว่ค่อยคิดเงินค่าจ้างเอาตามใจชอบ เมื่อลูกค้าไม่ให้ก็มักจะมีเรื่องทะเลาะชกต่อยและขู่เอาเงินค่าจ้างจากผู้โดยสารอยู่เป็นประจำ

 

          ฤๅษีเมื่อไปถึงท่าเรือแล้วก็ขอใช้บริการเรือจ้างของนายอาวาริย์ปิตานั้น เขาถามขึ้นด้วยอาการเกียจคร้านว่า "ท่านจะให้ค่าจ้างเรือผมเท่าไรละ?" "โยม..อาตมาจะให้ของดีทำให้ร่ำรวยทรัพย์แก่ท่าน" ฤๅษีตอบเขาฟังแบบงง ๆ ว่าจะได้อะไรกันแน่ จึงพาฤๅษีข้ามฟากไป พอถึงฝั่งที่หมายแล้ จึงพูดขึ้นอีกว่า "ท่านจ่ายค่าจ้างด้วยครับ" ฤๅษีจึงบอกของดีเป็นธรรมโอวาทว่า "โยม..ขอค่าจ้างกับคนที่ยังไม่ข้าไปฝั่งโน้นก่อนสิ เพราะจิตใจของคนที่ข้ามฟากแล้วกับคนที่ยังไม่ได้ข้ามต่างกัน โยม.. ขอท่านจงอย่าโกรธนะ ไม่ว่าในที่ไหนๆ ทั้งในบ้าน ในป่า ความร่ำรวยในทรัพย์ก็จะมีแก่โยม นี่แหละของดีนะโยม"


          เขาถามว่า "สมณะ นี่หรือคือค่าจ้างเรือที่ท่านให้ผม"
          ฤๅษี "ใช่ละ โยม"
          คนแจวเรือ "ไม่ได้ ต้องเป็นเงินสิ"


          ฤๅษี "โยม..นอกจากโอวาทนี้แล้ว อาตมาไม่มีอย่างอื่น" เขาโกรธมากพร้อมกับตวาดว่า "เมื่อไม่มีเงินแล้ว ลงเรือผมมาทำไม" ผลักฤๅษีให้ล้มลงแล้วนั่งทับอกตบปากท่านหนึ่งดี ขณะนั้นภรรยาของเขาซึ่งกำลังท้องแก่ได้ถืออาหารมาส่งเขา จำฤๅษีนั้นได้จึงร้องห้ามบอกสามีว่า "พี่.. ฤๅษีนี่ประจำอยู่ราชสำนักนะพี่อย่าตีท่านนะ" เขากำลังอยู่ในอารมณ์โกรธจึงลุกขึ้นตบภรรยาโดยแรง ถาดข้าวแตกกระจาย ภรรยาล้มลงกระแทกพื้นดินทำให้ลูกทะลักออกมาทันที


          ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นต่างมายืนมุงดูและช่วยกันจับมัดเขาไว้เพราะนึกว่าเป็นโจรฆ่าคนตาย นำไปถวายพระราชา เขาถูกวินิจฉัยให้จำคุกตลอดชีวิต

 

         พระพุทธองค์เมื่อตรัสอดีตนิทานจบแล้วได้ตรัสให้โอวาทภิกษุว่า "ภิกษุทั้งหลาย ผู้จะให้โอวาทควรให้แก่คนที่เหมาะสมไม่ควรให้แก่คนที่ไม่เหมาะสม ดังฤๅษีให้โอวาทแก่พระราชาได้ หมู่บ้านชั้นดี แต่ให้โอวาทแก่คนแจวเรือจ้างกลับถูกตบปาก ฉะนั้น

 

 

                                                               

 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : จะกล่าวสอนใครควรดูความเหมาะสม เพราะคนพาลย่อมไม่ยินดีในธรรมเป็นพาลทุกเมื่อ

 

 

ที่มา : หนังสือนิทานชาดก โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม

นักธรรมเอก เปรียญธรรม 9 ประโยค

เจ้าคณะอำเภอทัพทัน เจ้าอาวาสวัดสาลวนาราม ต.หนองจอก

อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี

 

 

 

 

 

*********************************

 

 

 

 

 

                  

 

 

 

พื้นที่ทั้งหมด แค่ 43500 ตรม  ดังนั้น เต็มทั้งเส้นนี้ 50000 คน ก็เต็มแล้วน้องเอ้ย

 

ชมภาพมุมสูงม็อบราชดำเนินเต็มพื้นที่ แกนนำยันเกินล้านแล้ว(ชมวิดีโอคลิป)
       

       แผนที่แสดงพื้นที่การชุมนุมอย่างคร่าวๆ
       


 
ชมภาพมุมสูงม็อบราชดำเนินเต็มพื้นที่ แกนนำยันเกินล้านแล้ว(ชมวิดีโอคลิป)
       

       

       

       

       

       

       

       

       
       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       
       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

 

 

    
   
   
   
   


 

 

                              

 

 

 

 

                   สภาพอากาศเปลี่ยนวิถีแห่งประวัติศาสตร์

 

  

 

                                      

 

 

 

บันทึกทางประวัติศาสตร์มีเรื่องราวที่น่าทึ่งหลายเรื่องซึ่งสภาพอากาศส่งผลอย่างมากต​่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพายุพัดกระหน่ำ


ในปี 1588 กษัตริย์ฟิลิปแห่งสเปนส่งกองเรืออาร์มาดาไปรุกรานอังกฤษ. แต่สิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามแผนเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย.


เมื่อกองเรือสเปนเข้าสู่ช่องแคบอังกฤษ กองเรืออังกฤษจึงออกมาต้าน. เรือของอังกฤษที่คล่องตัวกว่าเข้าต่อสู้กับพวกสเปน แต่สร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยให้กับเรือของสเปน. จากนั้น กองเรืออาร์มาดาจึงทอดสมอใกล้เมืองกาเลส์โดยมีคำสั่งให้รับกองทหารเพื่อเข้าโจมตีอัง​กฤษตามแผนที่วางไว้.


ในช่วงเวลานั้นภายใต้ความมืด พวกอังกฤษจุดไฟเผาเรือของตนบางลำและปล่อยให้ลอยตรงเข้าไปหาเรือของพวกสเปนที่ทอดสมออ​ยู่โดยที่มีลมและกระแสน้ำช่วยพัดไป. เรือสเปนหลายลำต้องตัดสมอของตนเพื่อหนีเรือไฟอังกฤษ. การตัดสมอของเรือสเปนปรากฏว่าเป็นความหายนะสำหรับพวกเขาในเวลาต่อมา.


หลังจากเหตุการณ์นั้นที่เมืองกาเลส์ กองเรือของทั้งสองฝ่ายก็มุ่งหน้าไปที่ทะเลเหนือแล่นเรือไปตามกระแสลม. พอถึงตอนนั้น ดินปืนของกองเรืออังกฤษหมด ดังนั้น พวกเขาจึงถอยทัพกลับไปที่ชายฝั่งอังกฤษ. โดยที่มีลมพัดต้านกองเรือสเปนและมีกองเรืออังกฤษอยู่ระหว่างพวกเขากับประเทศสเปน พวกสเปนจึงถูกบังคับให้แล่นเรือไปทางเหนืออ้อมสกอตแลนด์ จากนั้นไปทางใต้จนพ้นไอร์แลนด์และเพื่อในที่สุดจะกลับไปถึงสเปน.


ในเวลานั้น อาหารและน้ำของกองเรือสเปนจวนจะหมด และเรือที่ได้รับความเสียหายมีทหารที่ได้รับบาดเจ็บหลายคน รวมทั้งบางคนที่ป่วยด้วยโรคลักปิดลักเปิด. ฉะนั้น ทั้งกองเรือจึงมีการปันส่วนอาหาร ซึ่งทำให้ลูกเรืออ่อนแอลงไปอีก.
หลังจากที่กองเรืออ้อมสกอตแลนด์ พายุอันรุนแรงแห่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้พัดเรือหลายลำเข้าหาชายฝั่งไอร์แลนด์. ในกรณีเช่นนี้ ปกติแล้วลูกเรือจะทอดสมอและรอให้กระแสลมพัดไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ. แต่เนื่องจากเรือหลายลำได้ตัดสมอไปแล้วก่อนหน้านี้ตอนที่หนีเรือไฟ เรือสเปน 26 ลำจึงอับปางใกล้ชายฝั่งของไอร์แลนด์โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 5,000 ถึง 6,000 คน.


ตอนที่กองเรืออาร์มาดากลับมาถึงสเปนมีผู้เสียชีวิตไปเกือบ 20,000 คน. สาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและการสูญเสียเรือจำนวนมากก็คือสภาพอากาศ. ดูเหมือนชาวดัตช์จะคิดเช่นนี้. ต่อมาชาวดัตช์จัดทำเหรียญเพื่อฉลองการพ่ายแพ้ของกองเรืออาร์มาดาแห่งสเปน. ในเหรียญนั้นพวกเขาได้จารึกถ้อยคำที่แสดงถึงความเชื่อของคนทั่วไปที่ว่าพระเจ้าเป็นผ​ู้บันดาลภัยธรรมชาติดังนี้: “พระยะโฮวาทรงเป่าและพวกเขาก็กระจัดกระจายไป.”ฝนทำให้พ่ายแพ้

 

 

                              

 

 

อีกเหตุการณ์สำคัญของโลกที่สภาพอากาศได้ส่งผลกระทบอย่างมาก คือสมรภูมิวอเตอร์ลูในปี 1815. ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในสมรภูมิวอเตอร์ลูซึ่งอยู่ไกลประมาณ 21 กิโลเมตรทางใต้ของกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม มีมากกว่า 70,000 คนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บภายในไม่กี่ชั่วโมง. ดุ๊กแห่งเวลลิงตันชาวอังกฤษเลือกสนามรบและยึดพื้นที่สูง. แม้กองทัพฝรั่งเศสของนะโปเลียนจะมีทหารมากกว่าเวลลิงตัน นะโปเลียนต้องเอาชนะข้าศึกให้ได้ก่อนเวลากลางคืน เพราะเวลลิงตันจะได้รับกำลังเสริมจากกองทัพปรัสเซียในคืนนั้น. อย่างไรก็ดี สภาพอากาศส่งผลกระทบอย่างมากอีกครั้งหนึ่ง.


มีฝนตกหนักมากในคืนก่อนการสู้รบ. ทหารส่วนมากจำได้ว่าคืนนั้นเป็นคืนที่ลำบากที่สุดในชีวิตของพวกเขา. แม้เมื่อบางคนกางเต็นท์ขนาดเล็ก ทหารคนหนึ่งก็ยังคร่ำครวญว่าที่นอนในเต็นท์นั้นเปียกโชกราวกับอยู่ก้นทะเลสาบ. พื้นดินซึ่งเฉอะแฉะเนื่องจากฝนก็กลายเป็นหล่มโคลน. นะโปเลียนต้องการเริ่มโจมตีแต่เช้าเพราะอยากเอาชนะเวลลิงตันให้ได้. อย่างไรก็ตาม กว่าเขาจะเริ่มการโจมตีเวลาก็ล่วงเลยมาอีกหลายชั่วโมง.


เหตุผลหลักที่ล่าช้าคือสภาพของพื้นดิน ซึ่งต้องรอให้แห้งบ้างก่อนจะสู้รบกันได้. โคลนยังทำให้ปืนใหญ่ที่นะโปเลียนชอบใช้มีประสิทธิภาพลดลง. ประการแรก พิสัยการยิงลดลง เนื่องจากการเคลื่อนย้ายปืนใหญ่หนักๆในโคลนทำได้ยาก. ประการที่สอง กระสุนปืนใหญ่ถูกออกแบบมาให้กระดอนพื้นและสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นให้แก่กองทัพของ​เวลลิงตัน. อย่างไรก็ดี วันนั้นกระสุนปืนใหญ่ไม่กระดอน เพราะพื้นซึ่งเปียกแฉะดูดซับพลังงานส่วนใหญ่ไว้. นั่นกลายเป็นความหายนะสำหรับนะโปเลียนและกองทัพของเขา. ด้วยเหตุนี้ กองทัพของนะโปเลียนจึงพ่ายแพ้เนื่องจากสภาพอากาศ และเขาก็ถูกเนรเทศ.
ในทั้งสองเหตุการณ์ที่กล่าวมา ดูเหมือนว่าสภาพอากาศเป็นตัวกำหนดว่าเหตุการณ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์จะมีผลออกมาเช​่นไร. ต่อมา เหตุการณ์เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญให้จักรวรรดิอังกฤษขึ้นมามีอำนาจ.

 

 

                                

 

 

และ นี้คือเรื่องจริงจากประวัติศาสตร์.........!!!!!????
คำว่าคะมิกะเซะ(กามิกาเซ-คามิคาเซ)มาจากคำสองคำต่อกัน คือ
kami หมายถึง พระเจ้า (god) และ kaze หมายถึงลม (wind)
รวมกันมีความหมายว่าลมแห่งสวรรค์ หรือ divine wind ในภาษาอังกฤษ

และยังหมายถึง ชื่อพายุไต้ฝุ่นทื่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1824
พายุลูกนี้ทำให้กองทัพเรือของจีนจำนวน 4,500 ลำ
ในสมัยของจักรพรรดิจีนกุบไลข่าน ทื่จะเข้าโจมตียึดญี่ปุ่น

โดยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง...

ชาวญื่ปุ่นเป็นหนี้บุญคุณพายุไต้ฝุ่นลูกนี้เป็นอย่างมากจึงได้ตั้งชื่อว่า "คะมิกะเซะ"
แปลว่า "พายุเทพเจ้า" และเป็นทื่มาของชื่อกองบิน "คะมิกะเซะ"
ในกองทัพอากาศญื่ปุ่นในสงครามโลกครั้งทื่ 2
 

 

 

 

              

 

 

 

 

 

 

***********************************

 

 

 

                   หมาพูดได้

 

 

 

                       

 

 

 

 

 

 imate Dog Tease (74 ล้านวิว)

เป็นคลิปวิดีโอสัตว์เลี้ยงที่ฮิตฮอตกันสุด ๆ เมื่อเจ้าหมาตัวหนึ่งขยับปากพูดได้อย่างที่ไม่ต้องใช้โปรแกรมอะไรช่วย เหมือนจะพูดคุยกับเจ้าของรู้เรื่อง สุดท้ายเจ้าของก็เลยหยิบมาใส่เสียงพากย์เข้าไปเสียเลย ทำเหมือนว่าเจ้าหมาตัวนี้กำลังถูกเจ้าของแกล้งให้สติแตกเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ผลที่ออกมาก็คือ เนียนมาก ๆ ฮาและน่ารักน่าชังสุด ๆ

 

 

 

 

 

 

 

*********************************************

 

 

 

 

 

   

 

              ไม่จิตสัมผัส ก็โดน ‘ผีอำ‘ ได้

 

 

 

 
ไม่จิตสัมผัส ก็โดน ‘ผีอำ‘ ได้

 

 

 

หลายคนอาจเคยได้ยินคนเล่าว่าโดนหรือบางคนก็อาจเคยโดนผีอำมาแล้วหลายครั้งประสบการณ์แบบนี้ชาวต่างชาติเคยประสบกันบ้างไหม อาการเหมือนกันหรือเปล่า

 

การโดนผีอำ เป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวไม่น้อยสำหรับคนที่เคยประสบมาแล้วสำหรับคนไทยแล้ว เรามีความเชื่อว่าช่วงที่เราหลับไม่สนิทหรือกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น เรียกว่า ภวังค์เมื่อมีวิญญาณดวงอื่นมาปลุกวิญญาณเราให้ตื่นขึ้นวิญญาณของเราก็เข้าสู่ภพภูมิของโลกวิญญาณ จึงทำให้รู้สึกหมดแรง ขยับร่างกายไม่ได้รู้สึกเหมือนมีคนมากดร่างกาย หรือนั่งทับหน้าอกไว้ บางคนได้ยินเสียงหรือเห็นเงาดำ

 

อาการแบบนี้ชาวตะวันตกก็เคยเจอเหมือนกันกับเรา ซึ่งอาการที่ว่านี้ เขามีความเชื่อว่าเกิดจากแม่มดแก่ที่เรียกกันว่า "จินน์" "แมร์" ในคำว่า "ไนท์แมร์" ที่แปลว่าฝันร้าย หรือ "โอลด์แฮก" ซึ่ง "โอลด์แฮก" จริงๆหมายถึงแม่มดแก่ๆเท่านั้นในบางประเทศอาจเป็นแม่มดที่คอยจับเด็กที่เข้าใกล้บึงหรือแม่น้ำส่วนในนิทานสลาวิกหมายถึง แม่มดกินคน "บาบายากา"

 

แต่ในนิทานของอังกฤษอเมริกาเหนือ และเปอร์เซีย "โอลด์แฮก" จะนั่งอยู่บนอกของคนที่นอนอยู่เพื่อที่จะส่งกระแสจิตให้คนๆนั้นฝันร้าย และเมื่อคนนั้นตื่นขึ้นจากฝันก็จะหายใจไม่ค่อยออก ไม่สามารถขยับตัวได้ ฉะนั้นเมื่อมีใครโดนผีดำ เขาจะเรียกอาการนี้ว่า "โอลด์แฮกซินโดรม"

 

"โอลด์แฮกซินโดรม" หรือ อาการ "ผีอำ" นี้ทางการแพทย์เรียกว่า "Sleep Paralysis" ส่วนใหญ่อาการนี้จะเกิดขึ้นกับคนที่พักผ่อนน้อย นอนไม่เป็นเวลา หรือนอนหลับไม่สนิทติดต่อกันหลายวัน โดยนอกจากจะไม่สามารถจะขยับร่างกายได้ก็ยังไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้ แต่ยังลืมตามองเห็นสิ่งต่างๆได้ได้ยินเสียงหรือได้กลิ่นได้ เป็นเวลาตั้งแต่ครึ่งนาทีไปจนถึง 10 นาที

 

อาการดังกล่าวเหล่านี้จริงๆแล้วเกิดจากสารที่หลั่งออกมาในขณะที่เราหลับ เพื่อให้เราไม่พูดหรือเคลื่อนไหวร่างกายไปตามที่เราฝัน แต่เมื่อสารนี้ยังไม่หยุดหลั่งหลังจากที่เราตื่นแล้ว ก็จะทำให้เกิดอาการ "ผีอำ" ขึ้นมา ส่วนการที่มีคนบอกว่าเห็นเงาดำ เห็นวิญญาณ รู้สึกตัวลอยขึ้นมา ได้ยินเสียงหรือได้กลิ่นนั้น เป็นเพียงอาการหลอนที่เกิดขึ้นพร้อมกับอาการ "ผีอำ" เท่านั้น

 

 

            ระวังเกิดอาการผีอำขณะเคลิ้มหลับ

 

 

ผีอำ นอนหลับ
 


 

 

 

ระวังเกิดอาการผีอำขณะเคลิ้มหลับ (ไทยรัฐ)



          ผีอำ (sleep paralysis) เป็นอาการของจิตใจแบบหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในขณะกำลังเคลิ้มหลับหรือใกล้ตื่นนอน ในขณะนั้นสภาพจิตใจเริ่มรู้ต้วขึ้นบ้างแต่ยังไม่รู้ตัวเต็มที่ อาจรับรู้ทางหูหรือทางตาได้บ้าง แต่อาจแปลเสียงหรือภาพไปในทางน่ากลัว...

          ซึ่งอาจสัมพันธ์กับความฝันที่เกิดขึ้นก่อน อาจเห็นภาพผี ได้ยินเสียงร้องหรือรู้สึกเหมือนมีคนมาจับขา มาฉุดขา ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นตอนนั้น ร่างกายจะไม่สามารถเคลื่อนไหวตามคำสั่งสมองได้ ทำให้รู้สึกตกใจกลัวเพราะเคลื่อนไหวหนีหรือต่อสู้ไม่ได้ รู้สึกอึดอัด บางทีเหมือนมีอะไรมาทับหน้าอกไว้ เพราะเคลื่อนที่ไม่ได้นี่เอง ความรู้สึกเหมือนถูกผีหลอกนี้เองทำให้คนทั่วไปเรียกว่า "ผีอำ"

          อาการหมดแรงอย่างสมบูรณ์หรือเพียงบางส่วน ทำให้มีลักษณะเหมือนเป็นอัมพาตทั้งตัว ขยับแขนขาไม่ได้ ลืมตาไม่ได้ พูดไม่ได้ หรือหายใจลึก ๆ ไม่ได้ ในขณะที่รู้สึกว่าตนเองตื่นอยู่ มักจะมีการเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงหลอน หรือฝันร้ายร่วมด้วย ทำให้ตกใจกลัวมากขึ้น คนที่เกิดผีอำมักจะรู้สึกถึงสภาพหมดแรงที่เกิดขึ้นได้ดี ทั้งที่อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น เพราะกำลังจะหลับหรือกำลังจะตื่น และมักจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีเมื่อตื่นขึ้น

          ผู้ที่เกิดผีอำครั้งแรกมักจะตกใจกลัวมาก จนรู้สึกเสมือนว่า ตนเองกำลังจะตาย โดยเฉพาะถ้าเห็นภาพหลอนหรือได้ยินเสียงหลอนที่คุกคามชีวิตของตนด้วย เมื่อตกใจตื่นขึ้นในอีกไม่กี่นาทีต่อมา จึงอาจร้องเอะอะโวยวาย ร้องไห้ หอบเหนื่อย หน้าซีด ตัวสั่น หรือแสดงอาการตกใจกลัวอื่น ๆ

          ผู้ที่เกิดผีอำมาแล้วหลาย ๆ ครั้งจะไม่ค่อยตกใจกลัว เพราะรู้ว่าอาการดังกล่าวไม่มีอันตรายอะไร และมักเป็นอยู่ชั่วครู่เดียว ไม่เกิน 10 นาที

          สาเหตุของอาการผีอำที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังจะหลับ มักจะเกิดจากโรคลมหลับ (narcolepsy) และโรคผีอำตามกรรมพันธุ์ (familial sleep paralysis) อาการผีอำที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังจะตื่น อาจจะเกิดจากโรคลมหลับ หรืออาจจะเกิดในคนที่อดนอนหรือนอนไม่พอมาหลายวัน หรือเข้านอนผิดเวลาได้

          อาการผีอำมักเกิดทันทีเมื่อหมดช่วงการหลับแบบตากระตุก จะเป็นอยู่ไม่กี่นาที แล้วค่อย ๆ หายหรือหายทันที เมื่อถูกเรียก ถูกสัมผัส ถูกปลุก โดยใครก็ได้ ผู้ที่เป็นผีอำจะรู้สึกว่าตนนั้นตื่นอยู่ แต่ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทั้งที่ตนได้พยายามขยับเขยื้อนแล้ว พยายามตะโกนเรียกให้คนช่วยแล้ว แต่ไม่มีคนได้ยิน เพราะไม่มีเสียงออกมา และเมื่อตื่นขึ้นจะจำเหตุการณ์และเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นได้

          อาการที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่าผีอำนั้น แท้ที่จริงคือ ล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า โดยเฉพาะหลังจากทำงานหรือดูหนังสือ แม้กระทั่งดูโทรทัศน์ เมื่อเรานอนด้วยความล้า ก็เกิดการประสานกันระหว่างสารเคมีกับสภาพชีวเคมีของร่างกาย เกิดอาการทั้งกดทั้งค้าง ทำให้เราขยับเขยื้อนไม่ไหว

          ในขณะนั้นเราตื่นอยู่ สมองเราก็ทำงานได้ แต่ร่างกายเรา ขยับเขยื้อนไม่ไหว เหมือนมีคนมาคุมเราอยู่ มาจับเราอยู่ มาตรึงเราอยู่ เราเลยเกิดเชื่อมโยงว่ามีผีมาจับตัวเรา ในที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ผีสางที่ไหน ที่แท้คือความไม่สัมพันธ์กันระหว่างสมองกับร่างกายของเรา ซึ่งเป็นอาการชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นเอง

          อาการผีอำเกิดจากการที่กล้ามเนื้อของร่างกาย เข้าสู่ภาวะการหลับที่เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) แต่สมองส่วนที่เป็นจิตสำนึกยังตื่นอยู่ อาการผีอำเป็นอาการที่ร่างกายกับจิตสำนึกหลับไม่พร้อมกัน หรือ ตื่นขึ้นมาไม่พร้อมกัน

          ผีอำเป็นสภาวะที่คล้าย ๆ กับการฝัน เพราะขณะที่ถูกผีอำคนคนนั้นจะอยู่ในสภาวะที่ขยับตัวไม่ได้ ในภาวะหลับแบบตากระตุก (REM sleep) จะมีการฝัน กล้ามเนื้อต่าง ๆ จะผ่อนคลายหมด ขยับตัวไม่ได้ ยกเว้นต้องตื่น คำว่าตื่น หมายถึงต้องมีการเขย่าตัวรุนแรง แล้วในช่วงเวลานั้นถ้ามีสิ่งเร้าอะไรที่มาทำให้ไม่สบาย เช่น อาจจะมีหมอนข้างมาวางอยู่บนตัวหรือขา หรืออาจจะนอนในท่าที่ไม่สบายนัก ก็จะมีการแปลภาวะนั้นเป็นความไม่สบาย แล้วบางทีก็ไปผูกเรื่องกับความฝัน ทำให้อยากจะออกจากสถานการณ์นั้น แต่ว่าทำไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อมันคลายไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นในภาวะอย่างนั้น ก็จะเป็นสภาวะที่รู้สึกเหมือนกับว่าใครมากดทับ เป็นสภาวะที่หลีกหนีไปไม่ได้ แต่สักพักหนึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง

          อาการอึดอัดหายใจไม่ออก ขยับตัวก็ไม่ได้แม้เพียงปลายนิ้ว เหมือนกับร่างกายถูกตรึงด้วยอำนาจลึกลับที่ถาโถมสู่ร่างกายอย่างน่าสะพรึงกลัว บางคนถึงกับอยากตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่บริเวณนั้น แต่ทำไม่ได้ ได้แต่นอนตัวแข็งอยู่บนเตียงด้วยหัวใจเต้นตูมตาม

          ผู้ที่ถูกผีอำส่วนใหญ่จะนอนอยู่บนเตียง มีเป็นส่วนน้อยที่จะโดนอำในท่านั่งหลับบนเก้าอี้ หรือท่าที่ไม่น่าจะสบายนัก และมักจะเกิดกับคนที่นอนหงายมากที่สุด ระยะเวลานานตั้งแต่ 2-3 วินาที จนถึง 10 นาที โดยจะหายไปเอง หรือไม่ก็ผู้ที่ถูกผีอำพยายามเอาชนะอาการเอง หรือมีคนมาช่วยสะกิดปลุกให้ตื่นขึ้น

          โดยมีอาการหลอนทางประสาทสัมผัสเกิดร่วม ได้แก่ หลอนว่าตัวลอยหรือบินได้ หรือเหมือนกำลังออกจากร่าง หมุนเคว้ง หลอนทางสัมผัสกาย เช่น มีใครมากดทับหน้าอก หรือมีใครมาสัมผัสตัว หรือดึงตัวเอาไว้กับเตียง บางทีก็รู้สึกว่าผ้าคลุมเตียงเคลื่อนไหว บางคนก็โดนเขย่าตัว หรือมีความเจ็บปวดเกิดขึ้น

          หลอนทางการได้ยิน เช่น ได้ยินเสียงย่างเท้า เสียงเคาะประตู เสียงหายใจ เสียงคุย เสียงกระซิบ เสียงฮัม เสียงหึหึ หลอนทางการมองเห็น เช่น เห็นหมอกควัน หรือ ความมืดคลึ้ม เห็นร่างคน สัตว์ หรืออสูรกาย บางทีก็มีการโต้ตอบทั้งทางกายหรือวาจากับสิ่งที่เห็นนั้น อย่างเป็นเรื่องเป็นราว หลอนทางการได้กลิ่น เช่น ได้กลิ่นเครื่องหอม กลิ่นสาบ

          โดยทั่วไปมักจะเกี่ยวข้องกับการนอน และสัมพันธ์กับสถานการณ์ ในชีวิตประจำวัน เช่น สถานการณ์ที่ทำให้เขากังวล ตื่นเต้น พูดได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะถูกผีอำได้ ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตใจอะไรหรอก เป็นเพียงตะกอนความคิดที่เกิดจากชีวิตประจำวัน บางคนหาทางออกไม่ได้ ก็ไปออกในช่วงที่นอน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นเริ่มมีภาวะความเครียด แล้วเดี๋ยวร่างกายก็ปรับสมดุลได้เอง ไม่มีที่นอนแล้วผีอำทุกวัน ไม่ถือเป็นโรค ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วมันจะหายเอง

          รายที่เป็นมาก แสดงว่ามีปัญหามาก แล้วมักจะเก็บไปฝัน ซึ่งบางคนอาจจะมาในแง่ฝันร้าย ถ้าฝันร้ายแล้วหลับสนิท ก็จะเล่นไปในฝัน แต่ถ้าตื่นขึ้นมานิดนึงก็จะรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้ ครึ่งหลับครึ่งตื่น กำลังเคลิ้ม เหมือนจริง เป็นสภาวะของผีอำ

          การรักษาผีอำไม่มีอันตราย ในคนปกติก็เกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องการการรักษาใด ๆ ทั้งสิ้นเมื่อรู้สึกว่าโดนผีอำอยู่ ให้รีบตั้งสติทันที อย่าตกใจ การออกจากผีอำจะได้ผลดีที่สุดเมื่อรีบทำตั้งแต่มันเกิด พยายามขยับกล้ามเนื้อตา กล้ามเนื้อนิ้ว อะไรที่เล็ก ๆ ก่อน เพราะหากขยับได้ มันจะทำให้เราหลุดออกทันที ถ้านาน ๆ เป็นครั้ง หรือเกิดจากการอดนอน นอนไม่พอ หรือนอนผิดเวลา ไม่ต้องรักษา นอกจากนอนพักผ่อนให้พอ และอย่านอนผิดเวลาเท่านั้น

          ถ้าเป็นบ่อยหรือเป็นมาก กลัวมาก หรือไม่สามารถหลับให้พอได้เอง การใช้ยาที่ลดการหลับแบบตากระตุก เช่น ยาอิมิพรามีน (imipramine เม็ดละ 25 มิลลิกรัม) 1-2 เม็ดก่อนนอน จะช่วยให้หลับแบบตาไม่กระตุกเพิ่มขึ้น ทำให้อาการผีอำและอาการหลอน ซึ่งเกิดในการหลับแบบตากระตุก ลดลง และทำให้อาการผีอำดีขึ้น หรือหายไปได้

          ผ่อนคลายความเครียดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง ไม่ทำอะไรที่มันตื่นเต้น เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกมส์ ก่อนนอนอาจจะอาบน้ำอุ่น หรือดื่มนมอุ่น ๆ โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง จะทำให้หลับสบายขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีสะกดจิตเข้าช่วยโดยการโปรแกรมจิตใหม่ก็จะช่วยได้

          กรณีที่มีอาการมาก ๆ อาจใช้ยาคลายเครียด หรือยาต้านเศร้า ซึ่งจะทำให้หลับสนิทขึ้นโดยไม่ฝันมากนัก คือคนที่ผีอำจะฝันปนอยู่ด้วย เราก็ทำความฝันนั้นให้น้อยลง อาการผีอำก็จะลดลงเหมือนกัน หลักง่าย ๆ เวลาโดนผีอำให้นอนเฉย ๆ สักพักอาการจะหายไปเอง


 

 

 

 

 

 

                        

 

 

 

 

 

 ********************************

 

 

 

 

 

 
 

 

 

 

 

 


เวทีนางเลิ้ง
.......................

เทพ ประชุมการ์ด .......

 

 

 

 

 

 

รถทัวร์ขนคนจากภูเก็ตมุ่งหน้าเติมม็อบราชดำเนิน


คว่ำที่สุราษฎร์ เบื้องต้นยังไม่มีผู้เสียชีวิต


แต่ป้ายที่เตรียมไปด่ารัฐบาลเสียหายหมด

 

 

18.16น.กลุ่มผู้ชุมนุมคปท.หยุดขบวนที่แยกนางเลิ้ง ต่อเนื่องแยกพาณิชย์ประชิดแท่งแบรริเออร์เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์

 

0103.jpg

 

 โดย #PNC pic.twitter.com/8DILJDoIH1

 

 

น่าจะชิงยึดพี้นที่ไม่ให้ตำรวจเข้าไปใช้สนามม้านางเลิ้งหรือเปล่าครับ

เพราะปักหลักตรงทางเข้าสนามม้าพอดี เพราะตอนพันธมิตรยึดทำเนียบ

ตำรวจก็ไปใช้สนามม้านางเลิ้งเป็นฐานปฏิบัติการ

 

แล้วเตรียมพื้นที่ให้ทางราชดำเนินได้ใช้ ยาวจนจรดสะพานมัฆวาน


 

 

จุดตรงนี้มันใกล้ทำเนียบมากกว่า มัฆวานเยอะ  แค่มีคลองกั้น กับประตูแคบๆ

 

ฝ่ายตำรวจตั้งแบร์ริเออร์ก็ได้แค่พื้นที่เล็กๆ ได้แต่ตั้งรับ บุกไม่ได้

 

สะพานมัฆวาน เหมาะสำหรับอยู่ยาว 

 

มาตั้งถนนพิษณุโลก ก็เพื่อจ่อคอหอย เตรียมกดดันรัฐบาล

 

อีกอย่าง ถ้า 24 คนมาเยอะ ก็จะได้ไหลลงมาตามราชดำเนิน ถึงมัฆวานได้เอง

 

ลุงจำลอง เค้าสอบเสธ อันดับหนึ่งของรุ่นนะครับ ขอบอก

 


 

 

แนวทางของพันธมิตรมันถูกปฎิเสธโดยสิ้นเชิง ดูจากคนเลือกที่จะก้าวไปกับม๊อบราชดำเนินมากกว่า

 

ผมสงสัยว่ามีฮิดเด้นอะเจนด้าอะไร ในเมื่อทุกอย่างกำลังไปได้ตามแนวทางของปชช.ที่ไม่ต้องการความรุนแรง

แต่นี่พยามให้เกิดการปะทะอยู่เรื่อย  รู้ก็รู้ว่าตรงนี้เขานัดรวมพลของกลุ่มนักศึกษามหาลัย เขาไม่ได้ต้องการมารวมกลุ่มกับคปท.หรือพันธมิตร

ดูยังไงก็เหมือนพยามจะขอเอี่ยว เพราะรู้ว่ากลุ่มนี้มาเยอะแน่ หรือเพราะรู้ว่าจะมาเลยมาขวางทางไว้ก่อน ดูจากฟีลของลิ้มหลังๆออกแนวเกลียดปชป.มากกว่าทักกี้

 

คนไม่ได้มากก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ย้ายมาตั้งเวทีตรงนี้ ดูจากแนวปิดการจราจร เดือดร้อนไปหมดแบบนี้เข้าทางตรีนรัดทะบานเลย

 

ผมรู้แนวของคปท.กับพันธมิตร มาทางอยากจะฮาร์ดคอร์อยากให้ปะทะ อยากให้มีเรื่องสร้างแรดกดดัน อยากให้จบเร็วๆ  

แต่ผมว่า หยุดเถอะครับคนเขาไม่เอา เขามากันขนาดนี้โดยไม่ต้องมีพันธมิตร ไม่หนุนก็อย่าทำให้มันล่มเลย กลับที่ตั้งเถอะครับ


 

 

 

 

 

พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ศอ.รส. 
เปิดเผยว่า การข่าวประเมินว่าจะมีผู้ชุมนุมสูงสุด
ประมาณ 70,000 คน กลุ่มผู้ชุมนุมมีแนวโน้มใน
การเคลื่อนไหวในลักษณะดาวกระจายไป ยังสถานที่
สำคัญต่าง ๆ หลายแห่ง ในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.นี้ 

ศอ.รส. มีการจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว จำนวน 40 นายต่อ 1 ชุด 
ในทุกพื้นที่ เพื่อเตรียมพร้อมประจำจุดที่คาดว่า 
กลุ่มผู้ชุมนุมจะไปเคลื่อนไหวปิดกั้นสถานที่ หรือ ดาวกระจาย 
สำหรับการชุมนุมของ กลุ่ม นปช. ทาง ศอ.รส. ได้ประสานกับแกนนำ 
แกนนำแจ้งว่าจะนัดชุมนุมที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน 
วันที่ 24 พ.ย. ไม่มีการเคลื่อนไหวไปยังสถานที่อื่น 
ซึ่ง ศอ.รส. ได้จัดกำลังในการดูแลความสงบเรียบร้อย 
และเตรียมป้องกันไม่ให้ มวลชนทั้ง 2 กลุ่ม 
ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง เกิดการเผชิญหน้ากันครับ

 

 

เข้ามาเหอะ เข้ามามากๆ อยู่นานๆเล๊ย ซักสิบปีก็ได้ จะได้หาข้ออ้างย้ายทำเนียบชั่วคราว ไปอยู่อิสานบ้าง เหนือบ้าง ให้ ครม.ได้เปลี่ยนบรรยากาศสดชื่นบ้าง อยู่ใกล้คนบ้านานๆ เดี๋ยวจะเครียด ถ้ามันดี ก็จะได้ตั้งหลักอยู่โน่นเลย เศรษฐกิจทางโน้นจะได้เฟื่องฟูบ้าง ไม่ซีเรียสหรอก ตามสะบาย

 

ถ้าสีเขียวไม่เล่นด้วย ดิ้นตายยังไง มันก็ไม่ได้ผลหรอก มันจะเปลี่ยนอะไรได้ จะเปลี่ยนมีอยู่สองทาง คือมีอำนาจทางทหาร สองมีอำนาจรัฐ อำนาจรัฐอยู่ในมือเพื่อไทย ถ้าอีกอำนาจไม่เล่นด้วย ก็ให้มันดิ้นตายอยู่นั่นแหละ รอจนกว่าคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่เรียกร้องให้ปราบโน่นแหละ ถึงจะให้ทหารลงมือปราบ

 

เรียกว่าหนามยอก ต้องเอาหนามบ่ง งวดแล้วใช้อะไรปราบเขา เขาก็ไม่เกินเลย ก็ใช้อันนั้นแหละปราบคืน อย่าร้อง เพราะทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างมาแล้วว่าทำได้.............

 

 

 

*****************************************************

 

 

 

 

 

                         

        

 

             

 ประวัติของ... ชนเผ่าตองเหลือง

 

 

ตองเหลือง เป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ทำไมใครๆ กลับเรียกว่า “ผีตองเหลือง” แล้วพวกเขาคือ ผีประเภทไหน ในเมื่อมีหลายคำถามเกิดขึ้นในใจ คงปล่อยให้ความสงสัยที่ผ่านมาค้างคาอยู่ไม่ได้ จึงนำประวัติมาให้ดูกัน
 

                    ชนเผ่าตอง เหลือง หรือที่เรียกตนเองว่า “เผ่าบลาบรี” เป็นชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ใน ภาคเหนือของประเทศ และเป็นชนเผ่าพื้นเมืองเดิมคือ เป็นชนเผ่าดั้งเดิม ไม่ใช่ชนเผ่าที่พึ่งอพยพย้ายมาภายหลังเหมือนบางชนเผ่า ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดน่าน และจังหวัดแพร่ เป็นชนเผ่าที่เร่ร่อนอยู่ในป่า มีประชากรประมาณ(ไม่เกิน) ๕๐๐ คน

 

                    ความ เป็นอยู่ ชนเผ่านี้ เดิมอยู่ในป่าที่มีภูมิประเทศลักษณะเป็นลำห้วย หรือภูเขาที่มีป่าทึบ(ดงดิบ)  เพื่อจะหาอาหารง่าย เพราะในป่าจะมีล้ำต้นเผือกหรือมันตามธรรมชาติ อีกอย่างชนเผ่านี้ อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง จะตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ ลำห้วย เพื่อไปเอาน้ำสะดวก และมีการใช้ไม้หรือกิ่งไม้ที่หาได้ง่ายมาทำเป็นเพลิงหมาแหงนมีใบตองกล้วยมุง เป็นหลังคา เมื่อยู่ถึง ๔ วัน หรือ ๗ วันใบตองกล้วยกลายเป็นสีเหลือง เขาก็ต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นแต่ไปไม่ไกล อาจเป็นเหนือลำห้วยหรือใต้ลำห้วย หรืออาจเป็นเขาอีกลำห้วยหนึ่ง แล้วแต่การหาอาหารที่จะสะดวก เมื่อเวลาชนเผ่าพบหรือเจอกัน ให้ดูสัญลักษณ์ที่ใบหู คือมีใบหูเจาะรูไว้หรือไม่ ถ้าเจาะไว้ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน จากนั้นค่อยทักทายกัน

 

                    โดยปกติชนเผ่านี้ไม่ชอบสวมใส่เสื้อผ้า อยู่อย่างสมถะ ความพออยู่พอกิน (เป็นชนเผ่าที่รักเศรษฐกิจพอเพียงมากที่สุด) มีภูมิปัญญาที่จะดำรงอยู่ในป่า คือ การจุดไฟด้วยฝ้ายแห้งและหินจำนวน ๒ ก้อน มากระทบกันเกิดประจุไฟ แล้วกองฟืนแห้งกลายเป็นไฟก่อ สามารถเผาเผือก มัน ให้สุกได้

 

 

 

 

               

 

                        

   

 

 

  ภาษาและวัฒนธรรมและประเพณีชนเผ่าตองเหลือง มี ภาษาของตัวเอง มีวัฒนธรรมและประเพณี เช่นเวลาแต่งงาน (สมรส) ถ้าชายและหญิงพอใจกัน ก็จะไปบอกพ่อแม่ฝ่ายหญิง พ่อแม่ฝ่ายหญิงถามว่า รักกันจริงหรือชายหญิงก็ตอบว่า รักกันจริง จากนั้นก็ไปอยู่ด้วยกันเลยไม่ต้องกินเลี้ยงฉลองแต่งแต่อย่างใด โดยจะอยู่กับพ่อแม่ฝ่ายหญิงก่อน เดือนหรือ ๒ เดือน หรือเป็นปี จากนั้นก็ให้แยกออกไปหากินอิสระได้ ชายหญิงช่วยกันหากิน ส่วนอายุของชายหญิง แต่งงานได้แล้วหรือไม่นั้น ให้ดูที่ขีดความสามารถในการหาอาหารแต่ละคน เวลาใครเสียชีวิตเมื่อรู้แน่ว่าตายแล้ว ก็ให้นำศพไปไว้ในโพรงไม้ แล้วนำก้อนหินไปปิดไว้ ไม่ต้องมาทำพิธี ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจเอาศพเก็บไว้ข้ามคืน ปัจจุบันชนเผ่าตองเหลือง เริ่มเข้ามารวมกันอยู่เป็นหมู่บ้าน เช่น หมู่บ้านห้วยหยวก หมู่ ๖ตำบลแม่ขะนิง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน มี ประชากรทั้งหมด ๓๐ ครอบครัว มีจำนวน ๑๕๙ คน ย้ายมาตั้งอยู่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มีนายศรี หิรัญคีรี เป็นหัวหน้า มีนายแก้ว นายป๋า และนายทอง เป็นกรรมการ สำหรับนายทองและนายป๋า พูดคำเมืองเก่งมาก ทั้งหมดนี้ทางราชการได้ให้สัญชาติไทยแล้ว จึงสามารถเลือกตั้งผู้แทนราษฎร (สมาชิกสภา) ได้เช่นเดียวกับเรา

 

                    การศึกษา ปัจจุบัน ชนเผ่าตองเหลืองเรียนหนังสือในเวียง จังหวัดน่าน แต่ไม่ค่อยอยู่กับเพื่อนได้เนื่องจากความมีปมด้อยของชนเผ่า คือ มีคนเรียกเขาว่า ผีตองเหลือง เขาจึงรับไม่ได้ อย่างไรก็ตามมีเด็กตองเหลืองเรียนจนถึง ม.๓ ก็มีแล้ว แต่ทว่าสังเกตดู เวลาเราขอถ่ายรูปกับเผ่าตองเหลือง และมอบเงินทองให้เขา เขาจะบอกว่าไม่เอาไม่รับ หากต้องการก็ให้ไปมอบที่หัวหน้าเผ่า แสดงว่าในจิตใจของเขายังไม่เกิดความโลภ เป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ไม่เหมือนบางชนเผ่าหรือบางหมู่บ้าน ที่เวลานักท่องเที่ยวขอถ่ายรูปก็จะขอเงินด้วย

 

                    ศาสนา เดิม ชนเผ่าตองเหลือง ไม่มีศาสนาเหตุผลคือ อ้างว่าการนับถือศาสนาคือการเสียเวลา ไปไหนต้องบอกท่าน หากเราไม่นับถือ ไปไหนก็ไม่ต้องบอกท่านแต่ปัจจุบันเผ่าตองเหลืองที่บ้านห้วยหยวกฯ นับถือศาสนาคริสต์ ถามว่าทำไม? ไม่นับถือศาสนาพุทธ นายป๋าบอกว่าศาสนาพุทธมีพิธีเยอะและเสียเวลา คุกเข่าแล้วเจ็บหัวเข่าด้วย พวกเราชาวพุทธทำอะไรอยู่ น่าเสียดายจัง....

 

 

 

จากวารสารพระธรรมจาริก
เขียนโดย: พันตำรวจโท  นาวิน  วงศ์รัตนมัจฉา
นิสิตพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่

 

 

 

 

***********************************

 

 

 

   ประวัติความเป็นมาของทะเบียนบ้าน

 

 
วิวัฒนาการทะเบียนบ้าน
 
        "ทะเบียนบ้าน" เป็นเอกสารราชการที่สำคัญซึ่งทางราชการจัดทำ
ขึ้นเพื่อระบุรายละเอียดที่ตั้งของบ้าน และรายการต่าง ๆ ของบุคคลในบ้าน
ได้แก่ ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน ชื่อบิดามารดา ภูมิลำเนาเดิม
ฯลฯ และจัดทำขึ้นอีกหนึ่งฉบับมอบให้กับเจ้าบ้านแต่ละบ้านถือใช้ประโยชน์
เรียกว่า 
"สำเนาทะเบียนบ้าน" ทะเบียนบ้านถือเป็นส่วนหนึ่งของทะเบียน
ราษฏร ซึ่งรวมทะเบียนคนเกิด คนตาย ย้ายที่อยู่ และการดำเนินการเกี่ยว
กับบ้าน เช่น การขอเลขที่บ้าน การรื้อถอนบ้าน เป็นต้น
 
        ทะเบียนราษฎรของไทยนั้น จะเริ่มเมื่อใด และมีวิธีปฏิบัติอย่างไร
นั้น ไม่มีหลักฐานปรากฏให้แน่ชัด        แต่อาจกล่าวได้ว่า จุดเริ่มของงาน
ทะเบียนราษฎรนั้นน่าจะมาจากการจดทะเบียนชายฉกรรจ์ เพื่อไว้ใช้ในราช
การสงคราม ซึ่งเรียกว่า 
"การจดบัญชีพลเมืองหรือสารบัญชี"
 
        การเกณฑ์ชายฉกรรจ์เพื่อเข้ารับราชการทหารนั้น  มีมาตั้งแต่สมัย
สุโขทัย หรือก่อนตั้งสุโขทัยก็ว่าได้  จนสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ยังมีการจดบัญชี
พลเมืองเหมือนกัน แต่เรียกว่าการสักข้อมือ หลังมือ หรือการสักเลข ซึ่งนอก
จากจะใช้เพื่อประโยชน์ในการเกณฑ์พลเมืองมาเป็นทหารแล้ว ยังสามารถใช้
ประโยชน์ในการใช้เก็บภาษีอากรได้ด้วย
 
        ในปี  พ.ศ.2452   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง
พระราชดำริเห็นว่า   สมควรที่จะให้คิดจัดทำบัญชีคนในพระราชอาณาเขต
เพื่อทราบความแน่นอนว่ามีคนอยู่เท่าใด  และเพื่อประโยชน์ที่จะบำรุงความสุข
และรักษาการแผ่นดินให้เหมือนกับที่เป็นอยู่ในประเทศทั้งปวง จึงทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าให้ตรา  พ.ร.บ.สำหรับทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร
ร.ศ.128 ขึ้น  โดยกำหนดหลักการที่จะต้องดำเนินการสำคัญตามกฏหมาย
ฉบับนี้เป็น 3 ประการ ด้วยกัน

         ประการแรก         ให้จัดทำบัญชีสำมะโนครัวขึ้น
         ประการที่สอง        ให้จัดทำบัญชีคนเกิดและคนตาย
         ประการที่สาม        ให้จัดทำบัญชีคนเข้าออกขึ้น
 
     บัญชีสำมะโนครัว : ต้นกำเนิดของทะเบียนบ้าน
 
                   ในปี พ.ศ.2457  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง
พระราชดำริเห็นว่า พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่  ร.ศ.116    สมควรที่จะ
แก้ไขให้ตรงกับวิธีการปกครองที่เป็นอยู่ทุกวันนี้   จีงได้ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯ  ให้แก้ไข โดยกำหนดว่า  กรณีที่แห่งใดยังใช้ได้ให้คงไว้ แห่งใดที่เก่า
เกินกว่าวิธีปกครองทุกวันนี้ ก็แก้ไขให้ตรงกับเวลา   และได้รวบรวมตราเป็น
พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พุทธศักราช  2457  ขึ้น  ซึ่งได้มีส่วนที่เกี่ยว
ข้องกับการจัดทำทะเบียนสำมะโนครัวในหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และ
 อำเภอ ดังนี้


                                ".........เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านที่จะจัดทำบัญชีสำมะโนครัวในหมู่บ้านของตน
                                        และคอยแก้ไขให้ถูกต้องอยู่เสมอ  กำนันต้องรักษาบัญชีสำมะโนครัว  และทะเบียนบัญชี
                                        ของรัฐบาลในตำบลนั้น  และคอยแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องกับบัญชีของผู้ใหญ่บ้าน   และ
                                        หน้าที่ของกรมการอำเภอในการทะเบียนบัญชี    นั่นคือทำบัญชีสำมะโนครัวและทะเบียน
                                        ทุก ๆ อย่างบรรดาที่ต้องการใช้ในราชการ..........."
 
        ต่อมา พ.ศ.2458  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง
พระราชดำริเห็นว่า ตามที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรา พ.ร.บ.การทำบัญชีคนใน
พระราชอาณาจักรขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2452  แล้ว  และบัดนี้การปกครอง
ท้องที่ก็ได้จัดเป็นหลักฐานมั่นคงแล้ว  จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มี
การจดทะเบียนคนเกิด  คนตายตามหัวเมือง  พุทธศักราช2459 โดยให้ใช้
กฏนี้ในหัวเมืองทุกมณฑล นอกจากมณฑลกรุงเทพ   ซึ่งให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่
1 เมษายน  2459  เป็นต้นไป พร้อมนี้ได้ออกระเบียบว่าด้วยการแจ้งความ
และจดทะเบียนคนเกิด คนตาย ในหัวเมืองด้วย นับแต่ปี พ.ศ. 2452 เป็นต้นมา
 
 
เรามีกฏหมายที่ใช้กับการทะเบียนราษฎร ดังนี้
      1. พ.ร.บ.สำหรับทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2452)
      2. กฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยการทำสำมะโนครัวในมณฑลกรุงเทพฯ  ลงวันที่  17  กรกฎาคม  ร.ศ. 128
      3. กฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยการจดทะเบียนคนเกิ ดาย  ลงวันที่  13  สิงหาคม  ร.ศ.128
      4. กฏเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยการจดทะเบียนคนย้ายตำบลในมณฑลกรุงเทพฯ ลงวันที่ 13 สิงหาคม ร.ศ.128
      5. กฏการจดทะเบียนคนเกิด คนตายหัวเมือง พุทธศักราช 2459
      6. พ.ร.บ.การตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัว และการจดทะเบียนคน เกิด คนตาย  คนย้ายตำบล พุทธศักราช 2460
      7. กฏเสนาบดีกระทรวงนครบาลประกอบพระราชบัญญัติการตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัวและการจดทะเบียนคนเกิด
          คนตาย   คนย้าย  ตำบล พ.ศ.2460
      8. พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช 2479
      9. พ.ร.บ.การสำรวจสำมโนครัว พุทธศักราช 2479
    10. กฏกระทรวงมหาดไทย ออกตามความใน พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พ.ศ.2479
    11. พ.ร.บ.การสำรวจสำมะโนครัว พ.ศ.2490
    12. กฏกระทรวงมหาดไทยออกตามความใน  พ.ร.บ.การสำรวจ  สำมะโนครัว  พ.ศ.2490
 
 
 
 

ทะเบียนบ้านยุคแรก ปี 2499

           พ.ร.บ. และกฏเสนาบดีต่าง ๆ ที่บังคับใข้เพื่อการทะเบียนราษฎรนั้น

จะเห็นว่ามีอยู่หลายฉบับ    และแต่ละฉบับจะมีกฏข้อบังคับ และระเบียบการวางไว้
ให้ปฏิบัติอีกมาก ล้วนแยกเขตอำนาจหน้าที่ไว้อย่างสับสน เช่นในเขตเทศบาลก็ให้ใช้ 
พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พ.ศ. 2479 เฉพาะเจตมณฑลกรุงเทพฯ  
ก็ใช้   พ.ร.บ.  การตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัวและการจดทะเบียนคนเกิด  คนตาย  
คนย้ายตำบล  พระพุทธศักราช  2460 และนอกมณฑลกรุงเทพฯ นอกเขตเทศบาลให้ใช้ 
พ.ร.บ. ทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร ร.ศ.128 เป็นต้น   นับว่าเป็นการยากแก
่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและแก่ราษฎรผู้จะต้องปฏิบัติตามกฏหมายด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงม
ีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เห็นสมควรให้ปรับปรุงกฏหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
 
 
โดยรวยรวมยกร่างขึ้นใหม่ และรวมวิธีปฏิบัติไว้ในที่แห่งเดียวกัน เรียกว่า "พ.ร.บ.การทะเบียน
ราษฎร พ.ศ.2499" พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2499  ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 
พ.ศ.2499 แต่ยังมิได้มีการบัคับใช้ทุกมาตรา โดยในมาตรา  8  และมาตรา 11 ถึงมาตรา  35  
จะใช้บังคับเมื่อใดให้ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา การที่ไม่ได้ประกาศใช้บังคับพร้อมกันหมด
ทุกมาตรานั้น    เนื่องจากในระยะเวลาที่รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้เป็นระยะเวลา
ที่มีการสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรทั่วราชอาณาจักร โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา36 แห่ง  
พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2499  ซึ่ง ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2499  ให้มีการสำรวจ
ตรวจสอบทะเบียนราษฎรทั่วราชอาณาจักรใน พ.ศ. 2499 ตั้งแต่วันที่  31 พฤษภาคม  พ.ศ. 2499  
ถึงวันที่  30  มิถุนายน  พ.ศ.2499  โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการ  ซึ่งวิธีดำเนินการนี้
คงมีหลักการปฏิบัติคล้ายคลึงกับการสำรวจสำมะโนครัวทั่วราชอาณาจักร คือ
 
 
1. ในการสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรนี้ ไม่มีการสำรวจเจ้า บ้านล่วงหน้า  แต่ได้จัดทำ
บัญชีเจ้าบ้านขึ้น  เพื่อให้นายทะเบียนคัดรายชื่อเจ้าบ้านจากทะเบียนสำมะโนครัวที่มีอยู่ 
และจากสมุดคู่มือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ดังนี้
 
                 ก.  ท้องที่ในเขตเทศบาลให้นายทะเบียนท้องถิ่น(ให้นายกเทศมนตรีเป็นผู้แต่งตั้ง)  
เตรียมคัดบัญชีเจ้าบ้านจากทะเบียนสำมะโนครัว   โดยให้ปรากฏ ชื่อเจ้าบ้าน เลขบ้าน ถนน ตรอก 
ซอย ตำบล อำเภอ ตลอดจนจำนวนคนที่อยู่ในบ้านนั้นลงในบัญชีเจ้าบ้าน
 
                     ข.  ท้องที่นอกเขตเทศบาลในเขตมณฑลกรุงเทพเดิม คือ จังหวัด  พระนคร   ธนบุรี    นนทบุรีและสมุทรปราการ  ให้นายอำเภอดำเนินการเช่น   เดียวกับนายทะเบียนท้องถิ่น โดยจัดเจ้าหน้าที่
ระดมกันคัดบัญชีเจ้าบ้านขึ้น

             ค.  ท้องที่นอกเขตเทศบาล และนอกเขตมณฑลกรุงเทพฯ  เดิมให้นายอำเภอแยกทะเบียนสำมะโนครัวออกเป็นรายหมู่บ้านและมอบให้ผู้ใหญ่บ้าน  ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าหน้าที่สำรวจตรวจสอบไปตรวจ สอบกับสมุดคู่มือกำนัน ผู้ใหญ่บ้านของตน แล้วคัดชื่อเจ้าบ้านลงในบัญชีเจ้าบ้านทั้งนี้  ให้ผู้ใหญ่บ้านได้ตรวจตราให้ตรงกับความเป็นจริงกับบ้านที่อยู่ใน การปกครองของตนอย่าให้ตกหล่น
ไดการดำเนินการในเรื่องนี้จะต้องกระทำให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 15 เมษายน 2499

       2. ในการสำรวจตรวจสอบจำเป็นจะต้องแบ่งเป็นเขตตรวจสอบโดยให้นายอำเภอกำหนดเขตหมู่บ้านหนึ่งเป็นเขตตรวจสอบ   ถ้าหมู่บ้านใดมีราษฎรน้อยจะรวมหลายหมู่บ้านเป็นเขตเดียวกันก็ได้   แต่จำนวนราษฎรในเขตนั้นต้องไม่เกิน  1,000  คน สำหรับในเขตเทศบาลให้แบ่งเขตตรวจสอบโดยใช้เกณฑ์จำนวนราษฎรไม่เกิน 2,000 คน ต่อหนึ่งเขต

       3. เจ้าหน้าที่สำรวจตรวจสอบให้แต่งตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าหน้าที่สำรวจตรวจสอบในเขตหมู่บ้านของตน  ถ้าพิจารณาเห็นว่าไม่เหมาะสม  หรือเป็นท้องที่ที่ไม่มีกำนัน   ผู้ใหญ่บ้าน  ก็ให้มอบหมายให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถทำการสำรวจตรวจสอบได้   เช่น   ครู  นักศึกษา  ฯลฯ  เป็นเจ้าหน้าที่การสำรวจตรวจสอบให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน  เมื่อการสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรเสร็จสิ้นแล้ว   จึงได้มีการ จัดทำ"ทะเบียนบ้าน"   ของแต่ละบ้านขึ้น   โดยคัดลอกรายการคนที่อยู่ในบ้านจากแบบสำรวจตรวจสอบ หรือทะเบียนสำมะโนครัวที่จัดทำไว้ก่อนนั้น และนับจากวันที่  15  เมษายน  2499  เป็นต้นมา
จึงได้มีการใข้หลักฐาน "ทะเบียนบ้าน"  เพื่อเป็นทะเบียนประจำบ้านอย่างเป็นทางการ   โดยเรียก
ทะเบียนบ้านฉบับแรกนี้ว่า  "ทะเบียนบ้านฉบับปี 2499"




ทะเบียนบ้านรุ่นที่สอง ปรับปรุงรายการเพิ่มเติม
 
                      ต่อมาในปี 2515 ได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 234 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2515
แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฏร พ.ศ. 2499 บางมาตรา    เพื่อให้ข้อกฏหมายบางเรื่อง
มีความชัดเจนและเหมาะสมกับระยะเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป  และในปีนี้เองได้มีการกำหนดรูปแบบ
ทะเบียนบ้านขึ้นใหม่ โดยปรับปรุงแก้ไขช่องบันทึกรายการบุคคลในบ้านให้มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น
เช่น  ช่องรายการบิดา  และมารดาผู้ให้กำเนิด เป็นต้น โดยเรียกทะเบียนบ้านฉบับนี้ว่า "ทะเบียนบ้านฉบับปี 2515"
 
 
 



ทะเบียนบ้านรุ่นที่สาม : กำหนดเลขประจำตัวประชาชน      

  ปี 2526  ภายหลังจากที่ได้ดำเนินงานโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชนได้ 1 ปี
ผู้อำนวยการทะเบียน อาศัยอำนาจตาม   พ.ร.บ.การทะเบียนราษฏร พ.ศ. 2499
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 234  ลงวันที่ 31  ตุลาคม  2515  ข้อ 2
กำหนดแบบพิมพ์ทะเบียนบ้านขึ้นใหม่ โดยเพิ่มช่องตารางกำหนดเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
เลขรหัสประจำบ้าน  และเลขรหัสกำกับรายการต่าง ๆ ของบุคคลในบ้านเพื่อประโยชน์ในการบันทึก
และประมวลผลข้อมูลการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์  ซึ่งในช่วงนั้นนับได้ว่าเป็นยุคบุกเบิก
งานการทะเบียนราษฏรที่ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการปฏิบัติงานเป็นครั้งแรก และสำหรับทะเบียน
บ้านที่กำหนดขึ้นใหม่ครั้งนี้ เรียกว่า   "ทะเบียนบ้านฉบับปี  2526"

        กรมการปกครองจัดทำ "สำเนาทะเบียนบ้านฉบับคอมพิวเตอร์" ซึ่งพิมพ์จากฐานข้อมูลกลางทะยอยแจกจ่ายให้กับเจ้าบ้านทั้งประเทศจำนวนประมาณ 14  ล้านหลัง  ระหว่างปี  พ.ศ.2531-2539   จึงครบทุกหลังคาเรือน และในปี 2531  ได้เริ่มเปิดบริการคัดสำเนาทะเบียนบ้านของทั่วราชอาณาจักรได้ที่ "หน่วยบริการข้อมูล" ซึ่งตั้งที่สำนักทะเบียนกลาง นางเลิ้ง  ในการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎร   ตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชน  ผู้อำนวยการทะเบียนได้อาศัยอำนาจตาม  พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร  พ.ศ.2499  แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 234  ลงวันที่  31  ตุลาคม  2515  ข้อ 2 วางระเบียบรองรับในการปฏิบัติงานเรียกว่า   "ระเบียบสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร   กรมการปกครองว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎรสำหรับสำนักทะเบียนในเขตปฏิบัติการตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชน พ.ศ.2528

 

 ในปี พ.ศ.2534  ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตรา "พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร  พ.ศ.2534" ขึ้น   โดยยกเลิกฏหมายการทะเบียนราษฎรเดิมทั้งหมดแล้วใช้  พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร   พ.ศ.2534 เพียงฉบับเดียว มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่   22  มีนาคม  2535  เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน นับเป็นกฏหมายการทะเบียนราษฎรฉบับแรกที่มีบทบัญญัติรองรับการปฏิบัติในเรื่องการจัดเก็บบันทึกและประมวลผลข้อมูล ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนประวัติราษฏรด้วยระบบคอมพิวเตอร์   ซั่งมีผลต่อการวางแนวทางในการใช้ทะเบียนบ้านแบบใหม่ในยุคต่อมาในที่สุดความพยายามในการที่จะนำรูปแบบการบริการประชาชนที่สะดวก รวดเร็ว  และถูกต้อง  ซึ่งกรมการปกครองได้ใช้เวลาประมวลผลข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรทั้งประเทศมาเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่ปี 2526 มาใช้ก็บังเกิดผล โดยเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2538  คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เห็นชอบให้ดำเนินการตามโครงการให้บริการประชาชนด้านทะเบียนและบัตรแบบใหม่  ตามที่กรมการปกครองเสนอ
 

 

ทะเบียนบ้านรุ่นที่สี่ : พิมพ์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์
 
         ปี 2531  ได้มีการปรับปรุงบแบบทะเบียนบ้านฉบับปี 2526 อีกครั้ง โดยเปลี่ยนแปลงขนาด    และชนิดของกระดาษพิมพ์ให้สอดคล้องกับระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถรายการต่าง ๆ ในทะเบียนบ้านที่กำหนดใหม่นี้ได้โดยอัตโนมัติ ส่วนช่องรายการต่าง ๆ คงรูปแบบเดียวกันกับฉบับปี 2526  และเรียกทะเบียนบ้านที่กำหนดใหม่ในปีนี้ว่า "ทะเบียนบ้านฉบับปี 2531"              
 
 
 


ทะเบียนบ้านแบบใหม่ : ทะเบียนบ้านฉบับสมุดพก
 
    
 
  นายชูวงศ์  ฉายะบุตร   อดีตอธิบดีกรมการปกครอง ในฐานะผู้อำนวยการทะเบียนกลาง  ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา   8(1)  กำนดแบบพิมพ์ทะเบียนบ้านขึ้นมาใหม่ เรียกว่า "ทะเบียนบ้านฉบับสมุดพก" มีลักษณะคล้ายสมุดเงินฝากธนาคารนับเป็นการปฏิวัติรูปแบบทะเบียนบ้านที่เคยมีมาแต่เดิมอย่าง  สิ้นเชิง  ทั้งนี้   การประกาศใช้ทะเบียนบ้านฉบับสมุดพก เริ่มในเขตพื้นที่อำเภอเมืองปทุมธานี  จังหวัดปทุมธานี   เป็นแหล่งแรกของประเทศเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2538 เพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพรนมพรรษาและต่อมาก็ประกาศใช้ในทุกเขตพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่   1 มกราคม  2539        
 
               
          นอกเหนือจากเอกสาร  "ทะเบียนบ้าน"  ตามกฏหมายการทะเบียนราษฎรฉบับต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ยังได้มีการกำหนดให้จัดทำหลักฐานเอกสารสำคัญอื่น ๆ ด้วย   ที่สำคัญควบคู่กับทะเบียนบ้านคือ รายงานคนเกิด ทะเบียนคนเกิด สูติบัตร ใบแจ้งความย้ายที่อยู่   ใบแจ้งการย้ายที่อยู่ รายงานคนตาย ทะเบียนคนตายและมรณบัตร   เป็นต้น  เอกสารการทะเบียนราษฎรต่าง ๆ  ดังกล่าว   ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบในแต่ละยุคสมัยเป็นลำดับ  แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเอกสารที่ได้จัดทำให้แก่บุคคลได ๆ  แล้วระยะเวลาจะผ่านพ้นไปนานเท่าใดก็ตาม  ก็สามารถนำมาอ้างอิง พิสูจน์ หรือตรวจสอบตัวบุคคลอันก่อให้เกิดผลทางด้านกฏหมายได้ทั้งสิ้น

             

 

 *****************************

 

 

 

 

 

'คปท.'จี้พท.ปลดป้ายหน้าพรรค อัดที่ทำการของกบฏ

 

วันศุกร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556, 16.12 น.
 
 

 

   
 
 
  
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
วันที่ 22 พ.ย. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดยนายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษาคปท. ได้เดินทางมาที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนเพชรบุรี เพื่อเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยปลดป้ายพรรคออก เนื่องจากพรรคนี้กลายเป็นที่ทำการของกบฏไม่ใช่พรรคการเมืองอีกต่อไป
 
โดยทางกลุ่มคปท. ได้นำริบบิ้นผูกโบสีดำมาวางใกล้ป้ายพรรค พร้อมประกาศว่าจะให้เวลา 1 สัปาดาห์ หากไม่ยอมปลดป้ายออกจะนำคนมาปลดป้ายพรรคออกเอง และในสัปดาห์หน้าจะเดินทางไปทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา เพื่อขับไล่ส.ส. และส.ว.จำนวน 312 คน ที่ลงมติแก้ไขร่างรธน.ประเด็นที่มา ส.ว. ต่อไป
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

 

 จับสังเกตุ บิ๊กเนม สส เพื่อไทย แต่ละท่าน ไม่เห็นตื่นเต้นอะไรเท่าไรนัก จึงเดาๆ เอาว่า น่าจะมีไม้เด็ดอะไรอยู่หรืออาจเป็นเป้าหมายลวง แต่สถานการณ์การเมืองในรอบเดือนที่ผ่านมา เจตนา ไม่น่าจะหวังผลสำเร็จ ถ้าสำเร็จก็ถือเป็นโบนัสก้อนโต ไม่ว่า กม.นิรโทษกรรมสุดซอย การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ สว. แม้นแต่การระดมสรรพกำลังของ นปช. อาจเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นเบรคม็อบนกหวีด ไม่ให้แรงเกินเหตุ ประเด็นอาจจะอยู่ที่แก้ผ้าเครืองข่ายฝั่งตรงข้าม ให้ออกมายืนแก้ผ้าให้ ปชช ทั่วไปได้เห็นอย่างชัดเจน ว่าใครเป็นใคร ใครใหญ่ใครเล็ก เขาแบ่งงานกันทำอย่างไร รับไม้ต่อแล้วจะไปไหน ฯลฯ ซึ่งอาจเป็นวัตถุประสงค์หลัก หรืออาจจะเป็นการสร้างความชอบธรรมในการปรับเปลี่ยนบุคคลหรือโครงสร้างองค์กรอิสระ ไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามในการทำงานการเมืองต่อไปในภายภาคหน้า

ส่วนผลพลอยได้ จะอยู่ที่ พรบ.กู้ 2.2 ล้านล้าน มากกว่า เพราะ พรบ.นี้ไม่ใช่ พรบ.เกี่ยวกับการเมือง แต่เป็น พรบ.ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ให้ไปสู่การแข่งขันกับนานาอารยประเทศ และจะเป็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอันสำหรับไปหาเสียงได้อีกหลายยก แต่ถ้า พรบ.นี้ไม่ผ่าน ก็ตีกินเรียกคะแนนสงสาร ปชช สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ แถมเป็นการกระชากหน้ากาก เหล่าลิ่วล้ออำมาตย์ว่า เป็นตัวถ่วงความเจริญของชาติ

 

 

**************************************

 

 

 

 

                                                     พระเมรุมาศ

 

 

 

 

                                 

 

 

 

คำว่า "เมรุ" อ่านว่า เมน หมายถึง ภูเขากลางจักรวาล มียอดเป็นที่ตั้งแห่งเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นที่ประทับของพระอินทร์ เป็นที่มาของการส่งวิญญาณสู่สวรรค์ในพิธีเผาศพ โดยสร้างเมรุมีหลังคาเป็นยอด มีรั้วล้อมรอบด้วย

สำหรับพระมหากษัตริย์ เรียกว่า พระเมรุมาศ (อ่านว่า เม-รุ-มาศ) พระบรมวงศานุวงศ์ เรียกว่า พระเมรุ ส่วนสามัญชนเรียกว่า เมรุ

จากหนังสือ "ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย" สำนักพิมพ์มติชน อธิบายการสร้างเมรุหรือพระเมรุ ว่า เกี่ยวพันถึงคติความเชื่อในสังคมไทย ที่รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาและพราหมณ์

ย้อนกลับไปในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ผ่านพ้นไป 8 วัน ในครั้งนั้น มัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินารา พร้อมด้วยประชาชน และพระสงฆ์ มีพระมหากัสสปเถระ เป็นประธาน พร้อมกันกระทำการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ประดิษฐานบนจิตกาธาน คือ เชิงตะกอนที่ทำด้วยไม้แก่นจันทน์สูง 120 ศอก แสดงว่า ในสมัยพุทธกาลยังไม่ได้ทำรูปแบบเมรุแบบในปัจจุบัน

ทางพุทธศาสนา ยึดถือคติไตรภูมิ กล่าวถึงเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของภูมิทั้งสาม

ทางศาสนาพราหมณ์ เชื่อถือว่ากษัตริย์เป็นพระศิวะหรือพระนารายณ์แบ่งภาคลงมาบำรุงโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นอายุขัย ย่อมกลับคืนสู่สวรรค์

ความเป็นสมมติเทพของกษัตริย์ การประกอบพิธีถวายพระเพลิง ณ พระเมรุมาศ เป็นการส่งพระศพและดวงวิญญาณเสด็จกลับยังเขาพระสุเมรุ

หลักฐานการสร้างพระเมรุในไทย มีปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยพิธีพระบรมศพ ถือเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ของบ้านเมือง มีแบบแผนถือปฏิบัติอย่างมีระเบียบ

การจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงสร้างพระเมรุมาศเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศที่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ถวายแด่พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตล่วงแล้ว พิจารณาพระเดชานุภาพในการสร้างพระเมรุมาศ

ไกรฤกษ์ นานา เขียนในมติชน ว่า การสร้างพระเมรุน่าจะเริ่มในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ราวพ.ศ.2181 ใช้เผาศพเจ้านายเท่านั้น ส่วนชาวบ้านเผาบนเชิงตะกอนง่ายๆ

สันนิษฐานว่าการสร้างพระเมรุมาศในยุคกรุงศรีอยุธยา สร้างเลียนแบบนครวัด "วิษณุโลก" ที่จำลองเขาพระสุเมรุ โดยจินตนาการจากภูเขาหิมาลัย

จากนั้นปรับปรุงแบบแผนจนมีรูปแบบศิลปะไทยในยุคหลังๆ แสดงงานศิลปกรรมแบบอยุธยาอย่างสมบูรณ์

ในสมัยรัชกาลที่ 5 (ครองราชย์ พ.ศ.2411-2453) โปรดให้สร้างเมรุเผาศพอย่างถาวรด้วยปูนไว้ในวัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย (แต่เอกสารบางชิ้นระบุว่า มีเมรุปูน วัดสระเกศฯ ใช้เผาศพตั้งแต่รัชกาลที่ 3)

สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยึดหลักการสร้างแบบพระเมรุมาศตามตำราโบราณราชประเพณีครั้งกรุงเก่าทุกประการ คือ ทำเป็นพระเมรุอย่างใหญ่ มีตัวพระเมรุ 2 ชั้นต่างไปอยู่ภายในพระเมรุชั้นนอกที่ทำเป็นพระเมรุยอดปรางค์หรือยอดรูปดอกข้าวโพด ส่วนใหญ่เป็นไปตามแบบแผนมีต่างกันไปในรายละเอียดเรื่องการออกแบบตามฝีมือช่าง

พระเมรุมาศพระบรมศพรัชกาลที่ 4 ถือเป็นพระเมรุมาศสุดท้ายที่ทำตามแบบโบราณราชประเพณี

สำหรับชาวบ้าน เมรุเผาศพค่อยๆ แพร่ไปอยู่ในวัดสำคัญในกรุงเทพฯ ช่วงปี 2500 ซึ่งหลังจากไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรก (พ.ศ.2504-2509) แล้ว ชนชั้นกลางต้องการเผาศพบรรพบุรุษบนเมรุแบบเจ้านายและชนชั้นสูง จึงสร้างเลียนแบบไว้ตามวัดสำคัญ ก่อนกระจายไปยังวัดเล็กวัดน้อยทั่วประเทศ

ทุกวันนี้ การเผาศพบนเมรุ กลายเป็นสิ่งที่แสดงฐานะและเชิดชูคุณงามความดีของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว


 

 

 

 

***************************************

 

 

 

 

    เจ้าของเขาไม่ได้อยากล้ม รบ.ปู แต่เขาก็ป้องกันเขตอำนาจของพวกเขา

 

 

 

                                   

 

โดย ลูกชาวนาไทย

 

 

ตอนนี้เราวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ดูเหมือนสิ้นหวังเต็มทน มันไม่มีองค์กรที่จะทานอำนาจศาลรัฐธรรมนูญได้ พวกเขาจึงใช้อำนาจโดยปราศจากการควบคุมใดๆ เลย ดังนั้นไม่ว่าเราทำอะไรไป พวกเขาก็ขัดขวาง จนเกิด Deadlock ตรงนั้นหมด แม้การกระทำของ ตลก. ไม่ทำให้ฝ่ายเขาได้อำนาจรัฐ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้

ต่อให้เราโหวตวาระ 3 ก็คงเจออย่างเดิมอีก (แต่ก็ไม่มีปัญหาที่เราจะสู้ดีกว่าอยู่เฉยๆ) ก็คงต้องตรึงกันไปอย่างนี้

แต่หากพวกโนไปฟ้อง ปปช. มันก็เปลี่ยนแค่คนโหวกเท่านั้น แต่ "เจ้าของ" เขายังไม่ลุยหากเขาจะลุย ก็ลุยเมื่อวานนี้ไปแล้ว แต่เขากลัวภาวะจลาจล ไร้ระเบียบที่ควบคุมไม่ได้

หากเราไม่ไร้เดียงสาเกินไป เราต้องยอมรับว่า "เจ้าของ" เขาไม่ให้แก้ รธน.เรื่องที่มาของ สว. แต่เขาก็ไม่ต้องการให้วุ่นวายมากจนควบคุมไม่ได้ และเกิดวิกฤติ จึงไม่ล้ม รบ./สภา เพราะหากเกิดวิกฤติในช่วงเปลี่ยนผ่านต่างๆ พวกเขาย่อมเสียประโยชน์มากกว่า

ถึงแม้ว่าพวกเขาต้องการล้ม รบ. ปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญคือ ไม่สามารถหาคนที่ "ทุกฝ่ายยอมรับ" มาปกครองได้ การเอา รัฐบาลตีตราคนดีแบบ สุรยุทธ์ จุลลานนท์มา ก็ไปไม่รอด พวกเขาลองอีกครั้ง โดยเอาคนอย่างอภิสิทธิ์ขึ้นมา ก็มีแต่ความวุ่นวาย

แต่พอ "นายกฯปูขึ้นมา" ความวุ่นวายก็หายไป แม้บริวารจะต่อต้านนายกฯปูบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แบบจำลองนายกฯปู จึงน่าจะเป็นสิ่งที่ "เขา" พอใจแล้ว

สถานการณ์ตอนนี้ จึงมีแต่ปูเท่านั้นที่เอาอยู่ "แต่เขาก็ไม่ต้องการให้เราไปละเมิดเขตอำนาจเขา" มันก็เลยคาราคาซัง อยู่กันไป เขาแฮบปี้ดี เรารุกเข้าไปในเขตอำนาจที่เขาสงวน เขาก็ถีบกลับมา

เขาคือระบอบอำมาตย์

พวกเขาไม่เชื่อมือ ปชป.แล้ว แต่ทำรัฐประหารก็ไม่ได้ ตั้ง รบ.แห่งชาติพวกเสื้อแดงก็สู้หนัก บริหารไม่ได้ ภาวะแบบนี้ให้พวกเราบริหารไป เขาก็มีที่ยืน

สำหรับม็อบต้าน พรบ.นั้น เจ้าของบางกลุ่ม (เธอ) หนุน แต่มันจบไปตั้งแต่ ปูถอยเรื่อง พรบ.แล้ว คนเสื้อเหลืองส่วนใหญ่ไม่ออกมา ตอนนี้มันก็แค่ "ม็อบสุุเทพ" เขาไม่สนใจหรอก คนเข้าร่วมก็น้อย ไม่กระเทือนระบบแต่อย่างใด

เจ้าของมีหลายคน เชื่อว่าเจ้าของมากที่สุด วางเฉย พอปลุกไม่ขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าไปไม่รอด เขาก็คงเลิกสนใจ

เมื่อเราพอรู้เจตนาของเจ้าของเขาแล้ว ผมฟันธงว่า เขาได้ตกลงใจอะไรบ้างแล้ว ในการเปลี่ยนผ่าน เราพอเห็นร่อยรอยอยู่ หากสังเกตุให้ดี เขาเตรียมตัวให้ "บุรุษ" ขึ้น นั้นน่าจะเป็น "ประโยชน์สูงสุด" ของเขา ไม่เกี่ยวกับว่าใครจะเป็นรัฐบาล เพราะนั้นมันแค่บริวารอำมาตย์ บุรุษขึ้นอย่างมั่นคง มีคนส่วนใหญ่ของประเทศ (เสื้อแดง) ยอมรับ มันไม่มีอะไรสมบูรณ์เท่านี้อีกแล้ว ก็แค่ไปปลอบโยนบริวารบ้างเท่านั้น

เรารอดูเดือนหน้า หากมีอะไรสำคัญเราจะพอเห็นทิศทาง อันนี้เพื่อนวิเคราะห์มา

หากเดือนหน้า มีบางอย่างเกิดขึ้นนั่นคือ สัญญาญของจริง

ผมคิดว่าเมืองไทย คงไม่นองเลือดแล้ว เพราะมันนองไปแล้วตั้งแต่ปี 53 พวกเขาก็เรียนรู้ และขณะนี้เขาก็ "แจ่มใสขึ้น" อาจคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว

หากเป็นอย่างที่ผมคิด พวกเขาฉลาดมาก เขาส่ง บางคนขึ้นฝั่งได้แล้ว พวกเขาจะต้องการอะไรมากกว่า ให้เขาคนนั้นขึ้นฝั่งได้ มีที่ยืน

สำหรับ นปช. ก็ต้องเสนอมากเอาไว้ก่อน เช่นการโหวตวาระสาม เพราะปลุกคนมาแล้ว ตอนนี้ป้องกันเมืองสำเร็จ ป้องกันนายกฯปูได้แล้ว นี่คือขั้นตอนส่งพี่น้องเสืี้อแดงกลับบ้าน

ที่ผ่านมาสามสัปดาห์นี้ เป็นสงครามของ "เธอ" ไม่ใช่สงครามของเจ้าของ แต่เธอไปไม่รอด และบุรุษก็มีกองทัพส่วนตัวแล้ว แสดงว่าเจ้าของอนุญาติให้ "เขา" ป้องกันตัวได้ เพื่อเตรียมตัวต่อไป ก็ต้องมีกองทัพที่ไว้ใจได้ปกป้อง

บุรุษเขาก็ต้องคุ้มครอง พท. ด้วย เพราะต้องยกมือในการเปลี่ยนผ่านด้วยเป็นการเอื้อผลประโยชน์กัน เจ้าของเขาก็คงไม่อยากทำลาย กำลังของ "บุรุษ"

เราอย่าไปอิน กับการโหวตวาระสามมาก พูดได้ ลุยได้ แต่อย่าตั้งความหวังไว้มาก เราต้องอยู่ไปแบบนี้จนกว่าจะพ้นระยะเปลี่ยนผ่าน

สรุป สงครามครั้งนี้เราไม่ชนะทั้งหมด แต่ไม่ได้เสียอะไรมาก แต่สำหรับเสื้อแดงเข้มแข็งขึ้นมาก ทักษิณ/พท ต้องฟัง นี่คือชัยชนะของประชาชนในขั้นนี้

สิ่งที่พังไปในยุทธการสามสัปดาห์นี้คือ "การเจรจาของทักษิณ" ต่อไปทักษิณคงรู้ตัวว่าแนวทางนั้นไม่รอด ต้องรอพ้นระยะเปลี่ยนผ่านอย่างเดียว

ผมคิดว่า เจ้าของเขามีความสุข ช่างหัวบริวารมัน ช่วยมันแค่ที่ช่วยได้ ดูแล "เขา" ให้ยืนได้ก็คือความสำเร็จแล้ว และอย่าไปแหย่ประชาชนมากนัก

ปูบริหารไป นปช./เสื้อแดงสร้างเครือข่าย และค่อยๆ เปลี่ยนพรรคเพื่อไทย สนับสนุน primary vote ในเขตที่ทำได้ มันมีเวลาสงบช่วงหนึ่งระยะก่อนครบวาระ

อย่างน้อยอำนาจต่อรองของ "วัง นปช./เสื้อแดง" ในพรรคเพื่อไทยก็มากขึ้น พวกประจบสอพลอก็ลดอิทธิพลลง เราแค่กำจัด สว.สรรหายังไม่ได้

 

 

 

 

 

*************************************

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri May 10 02:27:27 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>