Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

สิ้นเเล้ว เนลสัน เเมนเดลา...

ArjanPong | 03-12-2556 | เปิดดู 3194 | ความคิดเห็น 0

 

 

เนลสัน แมนเดลา อดีตผู้นำแอฟริกาใต้ ถึงแก่อสัญกรรม


 

เนลสัน แมนเดลา อดีตผู้นำแอฟริกาใต้ ถึงแก่อสัญกรรม
 



เศร้า!แมนเดลาอดีตผู้นำแอฟริกาใต้ถึงแก่อสัญกรรม (ไอเอ็นเอ็น)
ภาพประกอบจาก RODGER BOSCH / AFP
 
            เนลสัน แมนเดลา ฮีโร่แห่งแอฟริกันชน นักสู้ผู้ต่อต้านการเหยียดผิว ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ ด้วยวัย 95 ปี หลังจากต่อสู้กับปัญหาสุขภาพมาอย่างยาวนาน

            เป็นข่าวเศร้าไปทั่วโลก ในช่วงเวลา 04.45 น. วันที่ 6 ธันวาคม 2556 ตามเวลาประเทศไทย หลังจากมีรายงานออกมาจากปากของ จาค็อบ ซูมา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ว่า "เนลสัน แมนเดลา" อดีตสุดยอดผู้นำ นักสู้ผู้ต่อต้านการเหยียดผิวแห่งแอฟริกันชน ถึงแก่อสัญกรรมลงอย่างสงบแล้วด้วยวัย 95 ปี หลังจากที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่รุมเร้ามาอย่างยาวนาน

            โดยทาง จาค็อบ ซูมา ผู้นำแอฟริกาใต้คนปัจจุบัน เผยว่า "เนลสัน ได้หลับพักผ่อนสบายแล้ว ส่วนลูก ๆ ท่านนั้นเสียใจเป็นอย่างมาก ที่สูญเสียคุณพ่อไป รวมทั้งประชาชนก็เสียใจเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เนลสัน ได้ทำสิ่งที่โลกต้องจารึกไว้อย่างยิ่งใหญ่ เชื่อว่าโลกจะจดจำคนอย่าง เนลสัน ไปอีกนานแสนนาน"

            ทั้งนี้ ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ สั่งให้ลดธงลงครึ่งเสา เพื่อแสดงความไว้อาลัย

            ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้แถลงการณ์ แสดงความเสียใจกับการจากไปของยอดผู้นำ วัย 95 ปี เช่นกัน

            สำหรับ เนลสัน แมนเดลา เกิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ในช่วงปี ค.ศ. 1994-1999 เป็นที่รู้จักกันทั้งในและนอกประเทศในฐานะที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านนโยบายแยกคนต่างผิวออกจากกันในแอฟริกาใต้ จากที่แรกเริ่มเป็นผู้เคลื่อนไหวในทางสันติ ได้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา เขาถูกจำคุกเป็นเวลาทั้งสิ้น 27 ปี โดยตอนหลังกลายมาเป็นกรณีตัวอย่างของความอยุติธรรมของนโยบายแยกคนต่างผิว ซึ่งต่อมาได้รับการปล่อยตัวในปี 1990

            เนลสัน แมนเดลา เป็นที่ยกย่องอย่างสูงภายในประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ชาวแอฟริกันจะขนานนามสมาชิกชายอาวุโสของตระกูลมันเดลาอย่างให้เกียรติว่า "มาดิบา" ซึ่งยอดผู้นำแอฟริกาใต้ ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากกว่า 250 รางวัลตลอดช่วงเวลา 4 ทศวรรษ รางวัลที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 1993

 
 

เนลสัน แมนเดลา

เนลสัน แมนเดลา

 



ขอขอบคุณภาพประกอบจาก DANIEL JANIN MICHEL CLEMENT, JAVIER SORIANO, FATI MOALUSI, DEBBIE YAZBEK / MANDELA FOUNDATION / AFP

          หากจะเอ่ยถึงนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ในทศวรรษนี้ คงจะไม่มีใครปฏิเสธชื่อของ เนลสัน แมนเดลา อย่างแน่นอน เพราะหากปราศจากบุคคลผู้นี้แล้ว โลกของเราก็คงจะยังมีการเหยียดสีผิว..ใช่แล้วล่ะ เขาเป็นรัฐบุรุษของโลก ผู้อุทิศตนต่อสู้เพื่อล้มล้างลัทธิเหยียดผิว และผลักดันให้เกิดสันติภาพทั่วโลก

          และจากข่าวการจากไปของ เนลสัน แมนเดลา ในช่วงที่ผ่านมานี้ ก็พลอยทำให้ประชาชนโดยเฉพาะในแอฟริกาใต้ต่างเศร้าโศกกับข่าวดังกล่าว จนทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับบุคคลผู้นี้ และเขาได้สร้างวีรกรรมอะไรให้กับโลกเราบ้าง วันนี้จึงขอนำเสนอเรื่องราวประวัติชีวิตและการต่อสู้ของ เนลสัน แมนเดลา

          โดย เนลสัน แมนเดลา เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ในครอบครัวชาวเทมบู ซึ่งพูดภาษาโซซา ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางฟากตะวันออกของแหลมเคปของแอฟริกาใต้ เดิมมีชื่อว่า มาดิบา ต่อมาครูในโรงเรียนได้ตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้เขาว่า แมนเดลา

          ต่อมาพ่อของเขาซึ่งเป็นที่ปรึกษาของตระกูลผู้ปกครองชาวเทมบู ได้เสียชีวิตขณะที่เขามีอายุได้ 9 ขวบ เขาจึงได้รับการชุบเลี้ยงจากรักษาการผู้สำเร็จราชการเมืองเทมบู จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2484 เมื่อมีอายุ 23 ปี เนลสัน แมนเดลา ได้หนีจากการถูกจัดให้แต่งงานแบบคลุมถุงชน หลบไปอยู่ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ก่อนจะเข้าเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยวิทส์วอเทอแรนด์ ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นชาวแอฟริกัน และที่นี่ทำให้เขาได้พบเจอผู้คนจากทุกเชื้อชาติ ได้รับความคิดแบบเสรีนิยม และความคิดต่อสู้เพื่อชาวแอฟริกัน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเหยียดผิว การถูกกระทำแบบสองมาตรฐาน ซึ่งผลักดันให้เขากลายเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง

          โดยในปี พ.ศ. 2486 เขาได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคสภาแห่งชาติแอฟริกัน หรือเอเอ็นซี และต่อมาได้ร่วมก่อตั้งสันนิบาตยุวชนเอเอ็นซี อีกทั้งเขาได้ร่วมกับเพื่อน โอลิเวอร์ แทมโบ ก่อตั้งสำนักงานกฎหมายในเมืองโจฮันเนสเบิร์กในปี พ.ศ. 2495 รณรงค์ต่อต้านระบอบปกครองที่เหยียดผิวของพรรคคนผิวขาว ที่กดขี่ชาวผิวดำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ จนทำให้ในปีพ.ศ. 2499 แมนเดลาถูกแจ้งข้อหากบฏพร้อมกับนักเคลื่อนไหวอีก 155 คน แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องเขาหลังสอบสวนอยู่นาน 4 ปี

          ต่อมาได้มีการออกกฎหมาย Pass Laws ฉบับใหม่ซึ่งจำกัดเขตอยู่อาศัยและทำมาหากินของคนผิวดำ ทำให้กระแสต่อต้านการเหยียดผิวได้ขยายตัวไปทั่วแอฟริกาใต้ ขณะที่พรรคเอเอ็นซีก็ถูกประกาศให้เป็นกลุ่มเถื่อนในปี พ.ศ. 2503 ทำให้ เนลสัน แมนเดลาต้องหลบลงใต้ดิน อย่างไรก็ดี กระแสการต่อต้านลัทธิเหยียดผิวได้รุนแรงขึ้นจนถึงที่สุดเมื่อตำรวจได้สังหารหมู่ชาวผิวดำ 69 คนในเมืองชาร์ปวิลล์ในปีเดียวกัน


 

เนลสัน แมนเดลา
 



          เนลสัน แมนเดลา ซึ่งขณะนั้นเป็นรองประธานเอเอ็นซี ได้เปิดปฏิบัติการวินาศกรรมทางเศรษฐกิจจนกระทั่งถูกจับในที่สุด และเขาถูกแจ้งข้อหาก่อวินาศกรรม และพยายามโค่นล้มรัฐบาลด้วยวิธีการรุนแรง โดยระหว่างการพิจารณาคดีที่เมืองริโวเนีย แมนเดลาได้ประกาศความเชื่อของเขาในเรื่องประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเท่าเทียมว่า

          "ผมเชิดชูอุดมคติเรื่องสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพ ที่ซึ่งคนทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ และได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน นี่คือสังคมอุดมคติที่ผมปรารถนาจะไปให้ถึง เป็นอุดมคติที่ผมพร้อมจะอุทิศชีวิตให้"

          อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2507 เขาถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตบนเกาะร็อบเบนเป็นเวลา 18 ปี ก่อนถูกย้ายมายังเรือนจำโพลส์มัวร์บนแผ่นดินใหญ่ในปี พ.ศ. 2525 ซึ่งขณะที่เขาถูกจองจำอยู่นั้น พวกเยาวชนตามเมืองต่าง ๆ ของชนผิวดำยังคงต่อสู้กับการปกครองโดยคนผิวขาวส่วนน้อยต่อไป จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก

          ขณะที่ทางฝั่งของ โอลิเวอร์ แทมโบ สหายของแมนเดลา ผู้ลี้ภัยในต่างประเทศ เขาได้เริ่มรณรงค์ในระดับสากล เรียกร้องให้ปล่อยตัวมิตรร่วมอุดมการณ์ในปี พ.ศ. 2523  โดยมีการจัดคอนเสิร์ตที่สนามกีฬาเวมบลีย์ในกรุงลอนดอนในปี 2531 ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 72,000 คน อีกหลายล้านทั่วโลกรับชมทางโทรทัศน์ และร่วมร้องเพลงเพื่อให้ปลดปล่อยเนลสัน แมนเดลา

          โดยกระแสเรียกร้องนี้ ทำให้บรรดาผู้นำโลกเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อระบอบเหยียดผิวของแอฟริกาใต้ ซึ่งได้เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 แล้ว จนในที่สุด ประธานาธิบดี เอฟ ดับเบิลยู เดอ เคลิร์ก ก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันจากทั่วโลกได้ และเลิกสั่งแบนพรรคเอเอ็นซีในปี พ.ศ. 2533 พร้อมกับปล่อยตัว เนลสัน แมนเดลา

          ในปี พ.ศ. 2536 เนลสัน แมนเดลา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และต่อมาชาวแอฟริกาใต้ทุกผิวสีได้ออกเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก ทำให้ เนลสัน แมนเดลาได้รับเสียงโหวตท่วมท้นให้เป็นประธานาธิบดีในวันที่ 10 พฤษภาคม 2537 ซึ่งเขาได้ปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการเหยียดสีผิวหรือชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ และได้รับความยกย่องจากนานาชาติสำหรับการอุทิศตนเพื่อการประสานไมตรีทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542 เขาได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง และได้เป็นรัฐบุรุษอาวุโส ซึ่งเขายังคงอุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับเรื่องสิทธิมนุษยชนและให้ความรู้เรื่องการติดต่อของโรคเอดส์จนกระทั่งอายุ 85 ปี ก่อนจะขอเกษียณเนื่องจากปัญหาสุขภาพ

          และถึงแม้ว่า ณ วันนี้ เนลสัน แมนเดลา จะถึงแก่อสัญกรรมแล้ว หลังจากป่วยด้วยโรคปอดและเกิดอาการแทรกซ้อนเรื้อรังมาอย่างอย่างนาน กระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่เขาก็ยังคงเป็นรัฐบุรุษของโลก และนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในหัวใจของคนทั่วโลกตลอดกาล


 

เนลสัน แมนเดลา

เนลสัน แมนเดลา

 

MANDELA
 


 



ขอขอบคุณภาพประกอบจาก LEON NEAL / DEBBIE YAZBEK / MANDELA FOUNDATION / AFP

            ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ชื่อของนายเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้ ถูกกล่าวถึงบ่อยขึ้น หาใช่เพราะมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่เกิดขึ้นโดยตัวท่านเอง หากแต่เป็นข่าวอัพเดทอาการป่วยด้วยภาวะปอดติดเชื้อ ที่ดูเหมือนจะค่อย ๆ ทรุดลงในทุกครั้งที่ได้ยิน จนล่าสุดแพทย์ได้ให้ความเห็นว่าอาการเข้าสู่ภาวะวิกฤติแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ชาวแอฟริกาใต้รวมถึงผู้คนทั่วโลกไม่อยากจะได้ยินเลยแม้แต่น้อย

            ในฐานะที่ท่านคือผู้ทำคุณประโยชน์อย่างสูงแก่สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ด้วยการอุทิศตนเพื่อล้มล้างการเหยียดผิว และมอบประชาธิปไตยที่แท้จริงสู่ผู้คนโดยไม่เกี่ยงว่าจะผิวขาวหรือดำ ถ้อยคำดี ๆ ของบุรุษท่านนี้ ที่น่าคิดและน่ายึดเป็นหลักในการใช้ชีวิตมาฝากให้ได้อ่านกัน


 

เนลสัน แมนเดลา
 



 

No one is born hating another person because of the color of his skin, or his background, or his religion. People must learn to hate, and if they can learn to hate, they can be taught to love, for love comes more naturally to the human heart than its opposite.

ไม่มีใครเกลียดคนอื่นเพราะมีสีผิว พื้นเพ และศาสนาที่แตกต่างมาตั้งแต่เกิด คนทุกคนจะต้องเรียนรู้ที่จะเกลียดผู้อื่น และเมื่อคนเราสามารถเรียนรู้ที่จะเกลียดได้แล้ว ก็สามารถเรียนรู้ที่จะรักได้เหมือนกัน เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ความรักเกิดขึ้นในหัวใจของคนเราได้ง่ายกว่าความเกลียดเสียอีก



It always seems impossible until it’s done.

ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เสมอ จนกว่าจะลงมือทำจนเป็นรูปเป็นร่าง



After climbing a great hill, one only finds that there are many more hills to climb.

หลังจากพิชิตภูเขาอันยิ่งใหญ่ได้แล้ว คนเราจะค้นพบว่า ยังมีภูเขาอีกมากมายให้ปีนป่ายกันต่อไป



There is nothing like returning to a place that remains unchanged to find the ways in which you yourself have altered.

ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการกลับไปยืนที่เดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน เพื่อค้นหาคำตอบว่าเราเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง



If you want to make peace with your enemy, you have to work with your enemy. Then he becomes your partner.

ถ้าเราอยากจะสร้างสันติกับศัตรู เราจะต้องจับมือกับศัตรู แล้วศัตรูก็จะกลายเป็นหุ้นส่วนของเรา



Education is the most powerful weapon which you can use to change the world.

การศึกษาเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด ที่เราจะนำมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงโลก



If you talk to a man in a language he understands, that goes to his head. If you talk to him in his language, that goes to his heart.

หากคุณพูดกับใครสักคนด้วยภาษาที่เขาเข้าใจ คำพูดเหล่านั้นจะถูกส่งผ่านไปยังสมองของเขา แต่หากคุณพูดกับใครสักคนด้วยภาษาของเขา คำพูดเหล่านั้นจะถูกส่งผ่านไปยังหัวใจ



The brave man is not he who does not feel afraid, but he who conquers that fear.

คนกล้าหาญไม่ใช่คนที่ไม่รู้สึกเกรงกลัวอะไร แต่คือคนที่เอาชนะความกลัวที่มีได้ต่างหาก



Freedom would be meaningless without security in the home and in the streets.

เสรีภาพจะไม่มีความหมายเลย หากปราศจากความปลอดภัยในบ้านและท้องถนน



Resentment is like drinking poison and then hoping it will kill your enemies.

ความขุ่นเคือง คือการที่คุณดื่มยาพิษ แล้วหวังให้ผู้อื่นตาย



If there are dreams about a beautiful South Africa, there are also roads that lead to their goal. Two of these roads could be named Goodness and Forgiveness.

หากเรามีความฝันถึงสังคมแอฟริกาใต้อันงดงาม ก็มี 2 เส้นทางที่นำพาให้ไปถึงจุดหมายนั้นได้ และ 2 เส้นทางที่ว่านั้น ชื่อว่า "ความดี" และ "การให้อภัย"
 


 


 



            ทั้งนี้ เนลสัน แมนเดลา เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของแอฟริกาใต้ ที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากระบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยเข้าดำรงตำแหน่งระหว่าง พ.ศ. 2537-2542 ในช่วงก่อนดำรงตำแหน่งงานเป็นแกนนำในการต่อต้านการเหยียดผิว ซึ่งพยายามแบ่งแยกคนผิวสีออกจากคนผิวขาวในแอฟริกาใต้ และถูกจำคุกนานถึง 27 ปี ในข้อกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ก็ไม่เคยลดละความตั้งใจที่จะนำความเสมอภาคมาสู่ชาวผิวสีพื้นเมืองซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ และแล้วก็ทำได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการสันติภาพขึ้นอีกในหลาย ๆ ประเทศ จนได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 2536 แม้ปัจจุบันแมนเดลาจะละจากตำแหน่งประธานาธิบดีไปแล้ว ท่านก็ยังได้รับยกย่องอย่างสูงในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสของประเทศ และยังคงเป็นที่รักของประชาชนชาวแอฟริกาใต้เสมอมา
 

 

 Don't cry, Africa การแบ่งแยกที่ไม่สิ้นสุด

โดย UniGang.com © 2009 - 2110 All rights reserved.

 

ในขณะที่คราบน้ำตาคราบเก่าของชาวแอฟริกันยังไม่จางหาย หยดน้ำตาหยดใหม่ก็ไหลออกมาราวกับว่าในช่วงชีวิตนี้มันจะไม่หยุดไหล หยดหนึ่งน้ำตาที่ผมได้นำเสนอไปแล้วเป็นเรื่องของความอดอยากความหิวโหย ตามด้วยอีกหยดหนึ่งน้ำตาที่มาพร้อมกับการประทุของสงครามกลางเมืองในหลาย ประเทศ น้ำตาหยดที่สามในบทความชุด แอฟริกา อย่าร้องไห้ : Don't cry, Africa ต่อไปนี้เป็นเรื่องความโหดร้ายของมนุษย์ที่ปฏิบัติต่อกันอย่างไม่เคารพต่อ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ใช้วิธีการทุกอย่างแม้กระทั่งการออกกฎหมายที่อัปยศที่สุดมาขีดแบ่ง ความเป็นมนุษย์ ในชื่อตอนว่า การแบ่งแยกที่ไม่สิ้นสุด

          มนุษย์สำคัญตัวเองอยู่เสมอว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐที่สุด มีความสามารถอันสูงส่งกว่าบรรดาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มนุษย์ขีดเส้นแบ่งตัวเองกับสิ่งรอบตัวโดยอ้างเกณฑ์ความเหนือกว่าในฐานะสิ่ง มีชีวิตผู้ประเสริฐ คงไม่แปลกเท่าไรที่มนุษย์จะกล่าวว่าเราอยู่เหนือกว่าสัตว์ทั้งปวง แต่กระนั้นมนุษย์ก็ยังมีความหยิ่งผยองยกตัวเองเหนือกว่ามนุษย์กลุ่มอื่นๆ พร้อมกับขีดเส้นแบ่งโดยใช้เหตุผลตื้นๆเพียงเพราะว่า เขามีสีผิวที่แตกต่าง

          ผมเองได้มีโอกาสอ่านหนังสือเรื่อง Racial and Ethics Relaiton in America ซึ่งผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยที่ผมจำชื่อผู้แต่งไม่ได้ เนื้อหาภายในสะท้อนภาพความโหดร้ายชิงชังของชาวอณานิคมอเมริกันที่ขับไล่ชน พื้นเมืองดั้งเดิมออกไปจนสุดฝั่งมหาสมุทรตะวันตก พร้อมๆกับการกีดกันคนเชื้อสายอื่นทั้งแอฟริกา เอเชีย ให้อยู่ในฐานะพลเมืองชั้นสอง เรื่องนี้เองเป็นแรงบันดาลใจให้ผมพยายามศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความอยุติธรรมใน การแบ่งแยกเชื้อชาติซึ่งมีอยู่มากมายทั่วโลก

พื้นที่นี้สงวนไว้ให้ลงเล่นน้ำเฉพาะคนขาวนั้น

          ในแอฟริกาก็เช่นเดียวกันที่แม้ว่าคนพื้นเมืองดั้งเดิมจะเป็นเจ้าของพื้นที่และได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่มาก่อน แต่ด้วยคำว่า ภาระของคนผิวขาว ใน ยุคแสวงหาอาณานิคมทำให้ชนพื้นเมืองดั้งเดิมต้องกลายเป็นพลเมืองชั้นสองต้อง ยอมทำตามและตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของผู้มาใหม่ทุกประการ ภายหลังจากที่แอฟริกาใต้ได้รับเอกราชจากอังกฤษและฮอลแลนด์ชาวแอฟริกันก็ ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของคนขาวในฐานะเป็นประเทศเอกราชในเครือจักรภพอังกฤษ ด้วยเหตุที่คนขาวมีความรู้ความสามารถมากกว่าจึงใช้อำนาจที่มีกดขี่ข่มเหงคน ดำด้วยนโบบายที่ได้รับการประณามมากที่สุดนโยบายหนึ่งที่มีชื่อว่า นโยบายการแบ่งแยกสีผิว (Apartheid)

 

"Apartheid was racism made law. It was a system dictated in the minutest detail as to how and where the large black majority would live, work and die."

 

          การแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบโดยการตรากฎหมาย หลายฉบับที่มีผลในการรินรอดเสรีภาพแทบทุกด้านของคนแอฟริกาใต้ กฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า Group Areas Act มีข้อบังคับให้คนที่ไม่ใช่คนผิวขาว (Non-whites) ต้องย้ายออกไปอยู่ในดินแดนห่างไกลที่รัฐบาลคนผิวขาวได้กำหนดไว้ โดยกันพื้นที่ที่มีความเจริญและมีสิ่งสาธารณูปโภคไว้สำหรับชนผิวชาวเท่านั้น กฎหมายนี้สร้างความเดือดร้อนอย่างมากให้กับคนผิวดำเพราะต้องเดินทางไกลเพื่อ มาทำงานแลกค่าแรกต่ำในเขตของคนขาว

คนดำต้องถือ Pass Book ติดตัวไว้เสมอเมื่อเข้ามาอยู่ในเขตของคนขาว

          กฎหมายที่มีชื่อ Population Registration Ac t ได้กำหนดให้ผู้ที่อยู่อาศัยในแอฟริกาใต้ต้องมาจดทะเบียนจำแนกตามเชื้อชาติ ของตน มีสี่กลุ่มใหญ่ๆคือ กลุ่มคนขาว(White) กลุ่มคนดำ(Black) กลุ่มคนผิวสี(Coloured) และกลุ่มคนเอเชีย(Asian) กฎหมายฉบับนี้จะจำกัดและกำหนดสิทธิทางสังคม สิทธิทางการเมือง สิทธิในการได้รับบริการจากรัฐและบริการทางการแพทย์ โอกาสทางการศึกษาและสถานะในการทำธุรกิจโดยสิทธิที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับกลุ่ม เชื้อชาติที่พวกเขาสังกัดอยู่และเป็นที่แน่นอนว่าภายใต้กฎหมายฉบับนี้คนที่ ไม่ใช่คนขาว (Non-whites) ก็จะต้องเป็นผู้ที่ถูกริดรอนสิทธิต่างๆมากที่สุด

 

"Those who have no accommodation are forbidden to travel to the cities, and so the white areas are still effectively closed to blacks and black workers are still unable to bring their wives and families to live with them. Freedom of movement, at basic human right, is carefully controlled under the guise of 'orderly settlement"
--- Statement from the ANC Arusha Conference, 1-4 December 1987

 

          กฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่ผมพอจะค้นได้ก็คือ The Separate Representation of Voters Act No. 46 ที่ มีการบังคับใช้ในปี 1951 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับเพื่อจำกัดสิทธิทางการเมืองของคนผิวดำกล่าวคือ เพื่อไม่ให้คนดำได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนของตนในสภานั่นเอง  ซึ่งภายหลังได้ถูกยกเลิกนำมาซึ่งการตั้งพรรคการเมืองของคนผิวดำ เช่น The African National Congress (ANC)

          Terrorism Act No 83 of 1967 เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการป้องกันการก่อการร้ายแต่กลับถูกนำมาใช้ในการปราบ ปรามคนดำที่ไม่เห็นด้วยกับกฎ ข้อบังคับหรือคำสั่งของรัฐบาลคนผิวขาว โดยกฎหมายระบุว่าหากผู้ใดกระทำการใดๆที่อาจเชื่อได้ว่าเป็นการผ่าฝืนต่อ กฎหมายหรือคำสั่ง ผู้นั้นจะต้องถูกจับไปกักขังไว้โดยไม่มีกำหนดเวลาและโดยไม่ต้องผ่านกระบวน การยุติธรรมตามกฎหมาย (to be detained for an indefinite period without trial)

          นโยบายการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มคนผิวดำ เป็นอย่างมากและกลายเป็นชนวนเหตุของการประท้วง การต่อต้านและจราจล แต่สิ่งที่น่าสลดใจก็คือรัฐบาลคนผิวขาวตอบแทนกลุ่มผู้ประท้วงด้วยการใช้ กำลังตำรวจเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง(police brutality) มีการจับตัวกลุ่มผู้ประท้วงไปกักขังโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม มีการทรมานนักโทษตลอดจนการห้ามการรวมกลุ่มของคนผิวดำที่รูปแบบขององค์กร ต่างๆ อาทิ the African National Congress, the Black Consciousness Movement, the Azanian People's Organisation, the Pan Africanist Congress, and the United Democratic Front,

 

"South Africa now, as in past centuries, is governed by brute force not by democratic consent or 'rule of law' developed by the people. Its government has never received the consent of the people, and when it was 'given' independence by its metropolitan master, that independence was given to the colonial minority and not to the people as a whole."
--- Statement from the ANC Arusha Conference, 1-4 December 1987

 

          อ่านถึงบรรทัดนี้แล้วคงไม่ต้องสรุปอะไรมากนักถึงประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษย ชนที่เกิดขึ้นในแอฟริกาใต้ สำหรับผมแล้วนโยบายแบ่งแยกสีผิวอันแสนอัปยศนี้คงอธิบายได้ด้วยคำว่า Crimes Against Humanity เห็นจะเหมาะสมที่สุดกระมัง

 

 

 

*******************

 

 

 

 

                 พ่อครับ...ผมรักพ่อ

 



 


 




ข้อมูลจาก Forward mail
โดย  Chaiyathep Viriyanitikon  
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก glitter.kapook.com

 



            ได้รับมาจากเมลล์ อยากแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้มีโอกาสอ่าน อ่านแล้วรักพ่อ 

            พ่อของผมเป็นคนดุ เสียงดังและมักจะอารมณ์เสียกับเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ เมื่อผมยังเป็นเด็กวัยรุ่น ผมไม่เคยเข้าใจกับคำสั่งของพ่อเลย บางอย่างมันก็เป็นเรื่อง ที่ฝืนความรู้สึกของผมโดยสิ้นเชิง การไปเตะฟุตบอล แล้วกลับบ้านค่ำเหมือนเพื่อนคนอื่น ไม่ถูกต้องนักในสายตาของพ่อ ผมต้องกลับมาช่วยงานที่บ้านทุกวัน บางครั้งผมก็คิดว่าพ่อไม่เคยเข้าใจผมเลย ไม่ได้รักผมเลยแม้แต่นิดเดียว

            เดือนธันวาคมของทุกปีโรงเรียนของผมมีการจัดงานวันพ่อ โดยมากจะมีการจัดบอร์ดเกี่ยวกับในหลวง แต่ปีนี้มีอะไรที่พิเศษกว่าอาจารย์ให้พวกเราเขียนการ์ดวันพ่อ การ์ดจะต้องถูกทำขึ้นเองและให้อาจารย์ตรวจก่อนส่งทางไปรษณีย์ไปที่บ้านของแต่ละคน สำหรับผมแล้ว เรื่องการ์ดนี้ไม่ได้มีความสำคัญไปมากกว่าการได้เตะฟุตบอล หรือ ว่าเตะตะกร้อกับเพื่อนเลย มันออกจะเป็นความกระดากอายด้วยซ้ำที่จะต้องเขียนการ์ดอวยพรให้กับพ่อ

           หลายวันนั้นผมทำอะไรหลายอย่างกว่าจะได้ทำการ์ดก็เป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะส่งการ์ดสีฟ้าทำมาจากกระดาษแข็งที่เหลือมาจากจัดบอร์ดที่โรงเรียน ลายขลิบสีทองข้างๆ ผมก็ได้มาจากหมวกวันปีใหม่เก่าๆ ของน้อง ผมเขียนข้อความลงไปว่า ขอให้พ่อมีความสุขและหายป่วยจากโรคที่เป็นอยู่ ผมคิดว่าถ้าผมเป็นอาจารย์ไอ้การ์ดใบนี้คงได้คะแนนไม่เกินห้าจากเต็มสิบแน่ๆ สองวันต่อมาผมกะว่าการ์ดจะต้องถูกส่งมาถึงที่บ้าน ทุกเย็นเมื่อกลับถึงบ้านผมจะรีบไปที่ตู้ไปรษณีย์เพื่อที่จะเก็บการ์ดของผมก่อนพ่อจะได้รับมัน

            หลายวันต่อมาผมก็ไม่เห็นมีการ์ดส่งมาที่บ้านแล้วผมก็ลืมเรื่องนี้ไป

            วันหนึ่งพ่อใช้ให้ผมไปหยิบของที่โต๊ะบัญชี  เมื่อไขล็อคกุญแจและดึงลิ้นชักออกมา ผมพบการ์ดใบนั้นวางอยู่ ผมไม่รู้ว่าพ่ออ่านมันรึยัง ความรู้สึกของผมตอนนั้นคือ เจ้าการ์ดใบนี้คือสิ่งที่ไม่น่าเก็บไว้ มันไม่ได้ทำมาจากความตั้งใจของผมเลย มันน่าจะหายไป แต่ว่าผมก็ยังไม่อยากจะทิ้งมันไปเลยนำมันซ่อนไว้ในลิ้นชักข้างๆ กัน ต่อมาเมื่อผมเปิดลิ้นชักอีกครั้งก็พบการ์ดใบนี้วางอยู่เสมอ

            คราวนี้ทุกครั้งที่ผมเจอมัน ผมจะนำมันไปเก็บไว้ที่อื่นเสมอ และไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมเปิดลิ้นชักเดิมก็จะพบว่ามันอยู่ที่เดิมเสมอ ครั้งสุดท้ายที่ผมพบมัน ผมเก็บมันไว้ในที่ที่คิดว่าจะไม่เจอมันอีกเลย  และเรื่องนี้พ่อกับผมไม่เคยพูดถึงมันเลย  

            จากนั้นไม่นานพ่อก็จากไปด้วยโรคประจำตัว

            ห้องของพ่อเหมือนกับถูกปิดตาย ไม่มีธุระจำเป็นจริง ๆ หรือว่าทำความสะอาด ก็จะไม่มีคนเข้าไปในห้องนั้นเลย ผมเข้ามาเรียนต่อในที่ใหม่ มีเรื่องใหม่ให้พบให้เจอทุกวัน ความทรงจำหลายอย่างเกี่ยวกับพ่อก็จางหายไป....

            จนวันหนึ่งผมเจอปัญหาในหัวของผมมีแต่เรื่องสับสน อยากหนีปัญหาไปไกล ๆ ไม่อยากเจอแม้แต่ผู้คน ผมกลับมาที่บ้านไขกุญแจห้องพ่อแล้วเข้าไปในนั้น ที่ห้องของพ่อทุกอย่างยังเหมือนเดิม ข้าวของทุกชิ้นยังอยู่ครบเหมือนครั้งที่พ่อยังอยู่ ในห้องเงียบมากผมได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจของตัวเอง

            ผมเดินไปที่โต๊ะบัญชีที่พ่อมักจะนั่งอยู่ที่นั่นเสมอ ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าพ่อยังอยู่พ่อจะทำอย่างไร จะแนะนำผมอย่างไร แล้วจะช่วยผมแก้ปัญหาอย่างไร ทันใดนั้นผมคิดถึงเรื่องเก่า ๆ เรื่องนึงขึ้นมา ผมรีบเอากุญแจไขลิ้นชักโต๊ะบัญชีด้วยความหวังว่ามันจะยังอยู่ เมื่อเปิดลิ้นชักผมก็พบมัน การ์ดสีฟ้าขลิบทอง ยังดูโดดเด่นอยู่ลิ้นชักของพ่อ มันยังอยู่ที่เดิมเหมือนทุกครั้ง 

            ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพ่อรักผมมากขนาดไหน ทุกครั้งที่การ์ดใบนี้หายไปพ่อจะหามันแล้วนำมันมาเก็บไว้ที่เดิม ไม่ว่ามันการ์ดที่ไม่มีราคาค่างวดใดๆและแทบจะหาความสวยงามใดๆไม่ได้เลย พ่อก็เก็บมันไว้เสมอ และ สิ่งที่พ่อสอนผมด้วยการกระทำมันมากกว่าคำพูดทั้งหมด พ่อสอนให้ผมมีความรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง ให้มีความอดทนและไม่ท้อแท้กับปัญหาใดใด เหมือนพ่อเคยเจอเสมอและผ่านมาได้ทุกครั้ง

            ผมรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าปัญหาที่ผมเจอตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย กำลังใจจากการ์ดใบนั้นเหมือน จะค่อย ๆ แผ่ซ่านจากมือเข้ามาสู่หัวใจผม ในใจของผมรู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดเหมือนกับพ่ออยู่ในนั้น

            ผมวางการ์ดเก็บไว้ที่ลิ้นชักตามเดิมและออกมาจากห้องของพ่อด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง กับเมื่อตอนที่เข้ามา ก่อนประตูจะปิดลงผมบอกออกไปด้วยความรู้สึกที่พ่อก็มีให้ผมมาตลอดว่า "พ่อครับ ผมรักพ่อ"

 

 

 

 

*******************************

 

 ผลสำรวจ IQ เด็กไทย คนเหนือไอคิวเฉลี่ยสูงที่สุดในประเทศ

 

เด็กลำปาง IQ สูงกว่าเด็กกรุงเทพฯ

 

 

 

การจัดอันดับ (Ranking) รายจังหวัด
ผลการสำรวจระดับสติปัญญาเด็กนักเรียนไทย 2554

จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ย IQ > 100                                           จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ย IQ = 100
          จำนวน 18 จังหวัด (24%)                                    จำนวน 20 จังหวัด (26%)


อันดับ

จังหวัด

Mean IQ

Total N

 

อันดับ

จังหวัด

Mean IQ

Total N

1

นนทบุรี

108.91

979

 

19

เพชรบุรี

100.78

945

2

ระยอง

107.52

995

 

20

ตรัง

100.68

927

3

ลำปาง

106.62

972

 

21

สมุทรปราการ

100.41

947

4

กรุงเทพฯ

104.50

1163

 

22

น่าน

100.15

938

5

ชลบุรี

103.92

983

 

23

พระนครศรีอยุธยา

100.04

978

6

สมุทรสาคร

103.73

944

 

24

พิษณุโลก

99.80

1030

7

ตราด

103.51

916

 

25

พิจิตร

99.75

939

8

ปทุมธานี

103.34

990

 

26

ตาก

99.71

943

9

พะเยา

103.32

954

 

27

แม่ฮ่องสอน

99.70

851

10

ประจวบคีรีขันธ์

103.17

961

 

28

ชุมพร

99.68

917

11

นครปฐม

103.09

984

 

29

จันทบุรี

99.65

956

12

ราชบุรี

102.72

944

 

30

ลพบุรี

99.62

953

13

สิงห์บุรี

102.67

907

 

31

บุรีรัมย์

99.54

1000

14

ภูเก็ต

102.66

945

 

32

สุโขทัย

99.36

977

15

สมุทรสงคราม

102.48

908

 

33

เชียงราย

99.32

967

16

นครสวรรค์

102.29

996

 

34

อุทัยธานี

99.23

954

17

แพร่

101.83

959

 

35

ลำพูน

99.05

947

18

เชียงใหม่

101.35

967

 

36

ชัยนาท

98.98

919

 

 

37

ปราจีนบุรี

98.95

941

       

 

38

หนองคาย

98.93

983

                                                                                                                            

การจัดอันดับ (Ranking) รายจังหวัด
ผลการสำรวจระดับสติปัญญาเด็กนักเรียนไทย 2554 (ต่อ)

จังหวัดที่มี IQ เฉลี่ย < 100;             จำนวน 38 จังหวัด (50%)


อันดับ

จังหวัด

Mean IQ

Total N

 

อันดับ

จังหวัด

Mean IQ

Total N

39

อ่างทอง

98.83

894

 

58

สตูล

96.86

899

40

สุราษฏร์ธานี

98.74

945

 

59

ระนอง

96.53

869

41

สงขลา

98.64

975

 

60

ยะลา

96.52

949

42

สุพรรณบุรี

98.50

983

 

61

อำนาจเจริญ

96.29

928

43

นครนายก

98.42

910

 

62

ชัยภูมิ

96.16

934

44

นครศรีธรรมราช

98.03

942

 

63

ขอนแก่น

95.93

964

45

พัทลุง

97.81

936

 

64

นครราชสีมา

95.69

964

46

เพชรบูรณ์

97.67

997

 

65

นครพนม

95.57

985

47

พังงา

97.59

897

 

66

สระแก้ว

95.38

926

48

อุดรธานี

97.53

970

 

67

มหาสารคาม

95.28

999

49

ศรีสะเกษ

97.44

981

 

68

กำแพงเพชร

95.22

931

50

สุรินทร์

97.42

1057

 

69

หนองบัวลำภู

94.06

952

51

กาญจนบุรี

97.14

972

 

70

กระบี่

93.85

916

52

อุตรดิตถ์

97.13

984

 

71

กาฬสินธ์

93.78

970

53

เลย

97.08

984

 

72

สกลนคร

93.74

983

54

ยโสธร

97.08

945

 

73

อุบลราชธานี

93.51

982

55

ฉะเชิงเทรา

97.03

944

 

74

ร้อยเอ็ด

91.65

1014

56

สระบุรี

96.97

967

 

75

ปัตตานี

91.06

946

57

มุกดาหาร

96.95

928

 

76

นราธิวาส

88.07

979

 

 

 

 

 

 

 

*************************************

 

 

 

-- บิ๊กแจ๊ด อัศวิน ถูกเรียกเข้าพบ --

 

 

 [​IMG]
 

 

 

    

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

"กำนันเทือก" ประกาศเผด็จศึกรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีก -

นัดดีเดย์เผยแผน 6 ธันวาฯ

 


เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 4 ธ.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.
ปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันพรุ่งนี้ (5 ธ.ค.) เป็นวันมิ่งมหามงคลของชนชาวไทย

ขอให้ประชาชนมาพร้อมกันที่เวทีราชดำเนิน กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชฯ
ในเวลา 17.00 น. และหากประชาชนมีฉันทานุมัติ ตนจะขอเป็นผู้นำจุดเทียน
ชัยถวายพระพรและจะกล่าวคำสัตย์ปฏิญานตนแทนประชาชนชาวไทย โดย
จะเตรียมเทียนให้ประชาชนจำนวน 1 ล้านเล่ม ซึ่งในวันนี้และวันพรุ่งนี้จะขอ
พักรบไม่ด่ารัฐบาลเพราะเป็นวันมหามงคล จากนั้นในคืนวันที่ 6 ธ.ค. กปปส.
จะประกาศเผด็จศึกในการต่อสู้อย่างเด็ดขาด

 

 

 

 

 

 

        วีรบุรุษชมัยมรุเชษฐ์

 

 

1474449_546383805447573_1769880184_n.jpg


 

 

วีรบุรุษชมัยมรุเชษฐ์ ตอนที่ 1

ไอ้อ้วน..นักสู้กางเกงในตัวเดียว..เป็นข่าวดังไปทั่วโลก..คนที่ตำรวจหวาดผวามากที่สุด

น้องกบ "วีรบุรุษชมัยมุรเชษฐ์" สุดยอดนักสู้ สู้จนเหลือกางเกงในตัวเดียว เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ขึ้นเวทีนางเลิ้ง เปิดเผยเหตุการณ์ต่อสู้ที่เกิดขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม 2556 เปิดเผยความรู้สึกจากใจ ลุกขึ้นมาต่อสู้เพราะทนไม่ไหวกับรัฐบาล

..น้องกบเล่าว่าดวลกับตำรวจแบบใจถึง..ตำรวจขว้างแก๊สน้ำตามา น้องกบหยิบขว้างกลับไป..ตำรวจหมายหัวน้องกบ ระดมยิงแก๊สน้ำตา 50 ลูก สู้กันไปสู้กันมา..แถมมีการด่าท้าทายกันเป็นระยะ

"มึงกินอะไรมาว๊ะ ถึงได้ทนฉิบหาย คนอื่นเขาวิ่งหนีแก๊สน้ำตา แต่มึงกลับวิ่งเข้าใส" ตำรวจตะโกนถามข้ามกำแพงแบริเออร์ระหว่างสู้กัน

ตำรวจทั้งโกรธทั้งมัน แต่ยอมแพ้ใจห้าวหาญของน้องกบ ผมเชื่อว่าตำรวจบางส่วนประทับใจในความกล้าหาญแบบสุดๆของน้องกบ

ตำรวจที่ต่อสู้สงครามควันที่ชมัยมรุเชษฐ์ตั้งฉายาน้องกบว่า "ไอ้อ้วน"

น้องกบฉีดถังดับเพลิงเข้าใสตำรวจ ตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเข้าใส่หลายสิิบนัด นัดหนึ่งโดนเข้าที่หน้าผาก จนบาดเจ็บถูกหามส่งโรงพยาบาลพระมงกุฎ หมอให้พักรักษา 3 วัน แต่น้องกบอยู่ 3 ชั่วโมง ถอดสายน้ำเกลือหนีออกจาก รพ. มาสู้ที่สนามรบชมัยมุรเชษฐ์ต่อ

เมื่อตำรวจเห็นน้องกบวิ่งเข้าใส่ ตำรวจตะโกนบอกกัน "..เฮ้ย ไอ้อ้วนมันมาอีกแล้วโว๊ย.." "น้องกบ" หรือ "ไอ้อ้วน" นักสู้จอมทรนงแห่งชมัยมรุเชษฐ์ คนนี้แหละเขาคือคนที่

ชนะใจตำรวจ !! ชนะใจคนไทยทั้งประเทศ !!

Ranger Thai ขอสดุดีในความกล้าหาญ และขอชื่นชมหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของน้องกบไว้ ณ โอกาสนี้ครับ

3 ธันวาคม 2556 23.00 น.

----------------------------

 

วีรบุรุษชมัยมรุเชษฐ์ ตอนที่ 2

ไคลแมกซ์ "สู้ยังไงถึงเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว !!"

"วีรบุรุษชมัยมุรเชษฐ์" หรือ น้องกบ เล่าให้ฟังถึงบรรยากาศการต่อสู้สงครามแก๊สน้ำตาต่อไปอีกว่า

"..ช่วงนั้นผมโดนไปประมาณ 20 ถึง 30 ลูก พอมันโยนมาผมก็โดยนใส่กลับมันไป แล้วมันก็บอกว่าเหม็น แล้วคนอื่นเค้าไม่เหม็นมั่งรึงไง ไอ้ฉิบหาย.." (ผู้ชุมนุมปรบมือดังก้อง)

พิธีกรถามเคยมีประสบการณ์แก๊สน้ำตามาก่อนมั๊ย ? "..ไม่เคยเลย ไม่เคยมาก่อน ไม่รู้ว่ามันแสบขนาดนี้.." น้องกบตอบ

พิธีกรถามว่าทำไมถึงสู้ "..ไปหนีมันทำไม หนีมันเราก็โดนอีก สู้เลย สู้จนเหลือกางเกงในตัวเดียว !! (เสียงปรบมือดังกึกก้องอีกครั้ง)..แต่มันก็ไม่ก็ไม่หยุด.."

"มึงรักษากฎหมายของมึงยังไงอ้ะ ถ้าเขาโยนใส่มึงมั่ง มันจะเป็นยังไง..พ่อแม่มึงก็นั่งอยู่ข้างกูแหละไอ้*** !! " (เสียงปรบมือดังลั่น) ผมโมโหครับ ผมขอโทษนะครับที่พูดคำหยาบผมโมโห.."

มาถึงจุดไคลแมกซ์ที่ว่าน้องกบเค้าสู้ยังไงถึงเหลือแต่ "กางเกงในตัวเดียว"

น้องกบเล่าถึงที่มาของการต่อสู้จนเหลือกางเกงในตัวเดียวด้วยความรู้สึกสะเทือนใจว่า "..คือผมแสบครับ ผมถอดเสื้อผ้า ผมกำลังจะอาบน้ำ แล้วจะกลับบ้าน ผมเห็นยายคนหนึ่งเป็นลม เข็นรถพยาบาลไป ผมบอกไอ้*** ทำพี่น้องกู..ไปเลย..ผมหิ้วไปเลยถังดับเพลิง เอาฉีดมันเลย มันก็บอกว่ากูเหม็นกูแสบตา แล้วกูไม่แสบหรือไง ผมฉีดไป 15 ถัง.." (ผู้ชุมนุมที่เวทีน่างเลิ้งส่งเสียงเฮลั่น)

"..แล้วผมก็โดนยิงสลบ แตกครับ เย็บ 4 เข็ม ผมไปโรงพยาบาลพระมงกุฎ จะล็อคตัวผมไว้ 3 วัน หมอบอกผมต้องดูอาการนะ ผมอยู่ได้ 3 ชั่วโมง ผมถอดเข็มน้ำเกลือหนีกลับ ผมออกมาทั้งชุดพยาบาล ไอ้ตำรวจประกาศ มันมาอีกแล้ว !!.." (ผู้ชุมนุมส่งเสียงเฮลั่นอย่างยาวนาน

"..ถ้าผมวิ่งไป มันจะบอก มันมาแล้ว มันมาอีกแล้ว !!.."

"..ถ้าวันนั้น ถ้าใครอยู่วันนั้นจะได้ยินเสียงตำรวจบอกว่า ไอ้อ้วนมาแล้ว ไอ้อ้วนมาแล้ว..!!

"..พอมันขว้างมา คนอื่นหนี แต่ผมไม่หนี ผมเอาขว้างกลับไป แก๊สน้ำตามันนั่นแหละ !!.."

"..แล้วมันตะโกนถามมา ไอ้*** แล้วมึงไม่มีหน้ากงหน้ากากมั่งหรือไง.." (เสียงผู้ชุมนุมเฮลั่นเวทีนางเลิ้ง

พิธีกรถามแล้วที่เป็นแผลแตกนี่โดนอะไร ?

"..โดนสะเก็ดครับ โดนสะเก็ดแก๊สน้ำตา มันยิงรุมมาใส่ผมครับ มันบอก..เอาไอ้อ้วน เอาไอ้อ้วนคนเดียว !!.."

นี่คือเรื่องราวของ น้องกบ "วีรบุรุษชมัยมรุเชษฐ์"

นี่คือตำนานเล่าขานอย่างไม่รู้จบ ของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผู้มีเลือดนักสู้เต็มร้อย เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ และมากล้นด้วยความรักชาติ

เขาคือคนที่ร่วมต่อสู้ร่วมเรียงเคียงไหล่กับพี่น้องคนไทยหัวใจรักชาติทุกๆคน อย่างทรนงองอาจ เป็นแบบอย่างให้นักสู้คนอื่นรู้สึกฮึกเหิม กล้าหาญไปด้วย

เรารู้ดีว่าทุกสมรภูมิแก๊สน้ำตา มีคนเก่ง มีคนกล้า อยู่มากมาย แต่วันนี้เวลานี้ เราขอมอบหัวใจให้แก่นักสู้คนนี้ด้วยความนับถือยิ่ง

Ranger Thai Facebook ไปร่วมสนามรบแก๊สน้ำตามาหลายที่ เพิ่งจะเจอคนใจถึงขนาดนี้ หัวใจห้าวหาญขนาดนี้ จึงขอคารวะน้องกบมาอย่างสุดหัวใจ แล้วเราจะได้พบเขาอีกในสมรภูมิการต่อสู้เพื่อประเทศชาติของเราทุกคน

4 ธันวาคม 2556 14.49 น.

-------------------------------------

 

วีรบุรุษชมัยมรุเชษฐ์ ตอนที่ 3

หัวใจที่เด็ดเดี่ยว กับ เดิมพันอันยิ่งใหญ่

น้องกบเล่าให้ฟัง ถึงเบื้องหลังความคิดในการต่อสู้ ที่คนไทยทั้งประเทศ ฟังแล้วถึงกับสะอึก เจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง เมื่อรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วตำรวจทำเพื่อใคร ??

".. ผมทะเลาะกับมันนะ ผมไปอยู่หน้าแดนตั้งแต่วันแรก ผมถามว่า..เฮ้ยมึงเป็น***อะไรไอ้ขี้ข้า ไอ้ขี้ข้า..มันก็เดิมพันว่า มันบอกว่า ถ้ามึงแพ้กูเอาลูกพี่กูกลับมา.."

"..ผมถามว่าลูกพี่มึงอ๊ะใครว๊ะ.."

"..ทักษิณ !!.." (ผู้ชุมนุมที่เวทีนางเลิ้งโห่ร้องอย่างไม่พอใจ)

"..ผมบอกว่า..ถ้ากูชนะ มึงต้องลาออกนะ..มันบอก เออ !! " (เสียงผู้ชุมนุมปรบมือรัว)

"..ผมบอกมันกูขอดูหน้ามึงหน่อยสิ พอมันเปิดหน้ากาก ผมเอาถังดับเพลิงฉีดใส่หน้ามันเลย.." (เสียงผู้ชุมนุมเฮลั่น)

"..แล้วทีนี้มันก็ยิงผมสลบเลย !! "

พิธีกรบอกว่าในเฟซบุ๊กมีข่าวลือกันมากกว่าน้องกบตายไปแล้ว

"..ทุกคนนะครับผมยังไม่เสียชีวิต ในเฟซบุ๊กเขียนกันว่าผมเสียชีวิต ผมขอบอกเลยนะครับว่า กูตายไม่ได้ ถ้ามึงไม่ออก กูตายไม่ได้.." น้องกบประกาศความมุ่งมั่นของตน

พิธีกรบอกว่าผู้คนในเฟซบุ๊กเป็นห่วงน้องกบทุกคน ขอให้แสดงความรู้สึกกับพี่น้องหน่อย

สายตาน้องกบแข็งกร้าว น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

"..ผมจะอยู่ตรงนี้กับทุกคน เหมือนกับพ่อแม่พี่น้องผม (ยกมือไหว้) ผมขอปกป้องทุกคนด้วยชีวิตของผม..เต็มที่ผมก็สู้แค่ตาย !!

Ranger Thai ซาบซึ้งในความคิด จิตใจ ความมุ่งมั่น ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของลูกผู้ชายชื่อ "น้องกบ" คนนี้เหลือเกิน..ขอให้น้องทำสำเร็จตามปณิธานของน้องครับ

4 ธันวาคม 2556 15.55 น.

 

******************

 

 

 

                                จอมสร้างภาพ

 

ท่ามกลางบรรยากาศที่กลุ่มมวลชนโห่ร้อง ประกาศชัยชนะ หลังจากสามารถเข้าไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.56 ได้สำเร็จ ยังมีอีกหนึ่งบรรยากาศที่ก่อตัวเป็นความชุลมุนวุ่นวาย และกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างขณะนี้ สำหรับกรณี ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ที่ถูกมวลชนเป่านกหวีด ขว้างปาก้อนหิน และขวดน้ำใส่ที่ตึกไทยคู่ฟ้า
       
       เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังจากที่ "ชูวิทย์" ปรากฏตัวขึ้นบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล พร้อมเตรียมโบกธงชาติไทย แต่กลับกลายเป็นเสียงก่นด่าถึงการโผล่ออกมาเพื่อ "สร้างภาพ" หรือบ้างก็บอกว่า "ไม่ช่วยแต่ขโมยซีน" เห็นได้ชัดจากคำพูดของนางสาวอัญชะลี ไพรีรักษ์ ที่พูดผ่านเครื่องขยายเสียงว่า "อย่ามาตีกินทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่วมเหนื่อยกับประชาชน" ซึ่งจุดประเด็นความวุ่นวายกลบข่าวชัยชนะแบบงงๆ กันไปเลยทีเดียว
       
       

556000015672401.JPEG

       
       "ชัยชนะเป็นของประชาชน" ชูวิทย์ตะโกนขึ้นท่ามกลางผู้ชุมนุมจำนวนมากที่กรูเข้าไปด่าทอ และดึงให้ออกจากพื้นที่ แต่ด้วยการป้องกันตัวที่ดูเหมือนเป็นการผลักผู้ชุมนุมบางคนออกไป ทำให้กลุ่มมวลชนที่เห็นพฤติกรรมดังกล่าวไม่พอใจ เป่านกหวีดขับไล่ พร้อมกับปาขวดน้ำ และสาดน้ำใส่ตามที่เป็นข่าว
       
       ทันทีที่ข่าวแพร่สะพัดออกไป ปฏิกิริยาของคนในออนไลน์ โดยเฉพาะโลกโซเชียลฯ เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยส่วนใหญ่เห็นว่า เป็นการสร้างภาพเพื่อหวังเรียกคะแนนความนิยมให้ตัวเอง
       
       "ตัวขโมยซีน ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย พอเขาชนะ ก็เข้ามาร่วมแจมเลยนะ นายชูวิทย์"
       
       "ชูวิทย์ทำเนียน จริงๆ แอบเข้าข้างรัฐบาลทรราช แต่เนียนมากลมกลืนกับมวลชน ถ้ามีเลือกตั้งคราวหน้า หรืออะไรก็แล้วแต่ ชูวิทย์ลงรับสมัคร คนกรุงเขาไม่เอาอีกแน่ๆ (คะแนนตกเกินครึ่ง)"
       
       "เออ แล้วจะเข้าไปทำไมตอนนี้ ตอนที่เขาลำบากกันไม่เข้าไปดูแลเขา พอเขาจะสงบศึกดันทะลึ่งเข้าไป เขาไม่กระทืบตายก็บุญแล้วชู"
       
       ไม่เพียงแต่กระแส "สร้างภาพ" จากการปรากฏตัวของ "ชูวิทย์" เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการประกาศชัยชนะที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว เหตุการณ์ม็อบปะทะตำรวจหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาลเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ซึ่งมีเขาโผล่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย ก็ถูกมองว่า เป็นการสร้างภาพด้วยเช่นกัน

 

 

 
556000015672404.JPEG
       
       กระนั้น ท่ามกลางเสียงก่นด่า ยังมีเสียงให้กำลังใจ พร้อมกับชื่นชมความเป็นลูกผู้ชายตัวจริงของนักการเมืองท่านนี้กันด้วย ซึ่งทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ขอยกบางความเห็นในเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ I'm No.5 ซึ่งเป็นเพจของคุณชูวิทย์มานำเสนอให้เห็นกันอีกมุม
       
       "ขณะที่คุณว่าคนอื่นสร้างภาพ แล้วคุณเอาแต่เจ๋งหน้าคอมฯ โทรศัพท์ น่านับถือจริงๆ!!" ศกุนต์ปภา วิบูลย์ 
       
       "ในขณะที่ชูวิทย์โดนด่าว่าสร้างภาพ แต่แกนนำไม่ว่าสีอะไรเคยทำแบบนี้บ้างมั้ย ให้ประชาชนเห็นว่ามึงเสียสละเพื่อประชาชนจริงๆ เอาวะถ้าสร้างภาพแล้วลงทุนเสี่ยงตาย กูเลือก" Tumm Holytree
       
       "ผมไม่เคยเห็น ส.ส.มาทำแบบนี้นะ ปกติจะอยู่หลังประชาชน ขอคุณชูวิทย์รักษาจุดยืนของตัวเองนะครับ ไม่เสียแรงที่เลือกคุณเป็น ส.ส."Suchart Khoonnarm
       
       "ปกติชอบเข้ามาอ่านเฉยๆ บางคนก็ชมบ้าง ด่าบ้างปนกันไป โดยส่วนตัวผมว่าถึงคุณชูวิทย์จะทำเอาหน้า หรือสร้างภาพแต่อย่างน้อยก็ยังได้ทำเพื่อประชาชน ทุกอย่างมันเป็นการลงทุนคุณชูวิทย์ทำไปก็หวังให้คนเห็น ให้คนรู้ ให้ได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น แต่ที่สำคัญสุดก็คือยังได้ทำ ดีกว่า สส.หลายคนซึ่งไม่ทำอะไรเลย" Nara Kerdpunya
       
       ต่อกรณีที่เกิดขึ้น ทั้งการถูกมวลชนเป่านกหวีดขับไล่ ขว้างปาก่อนหิน และขวดน้ำใส่ เพราะมองว่า ขโมยซีน หรือการทำหน้าที่เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยระหว่างม็อบกับตำรวจจนถูกมองว่า เป็นการสร้างภาพ และนี่คือการโพสต์เปิดใจบนเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขาถึงกระแสก่นด่าในโลกออนไลน์ พร้อมกับแนบภาพการทำงานช่วยเหลือประชาชนเพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้สร้างภาพอย่างที่ใครหลายคนกล่าวหา
       

       "วันนี้ม็อบบุกเข้าทำเนียบฯ ประกาศชัยชนะ ประชาชนโห่ร้อง ผมไม่จำเป็นจะต้องตีเนียนออกหน้า เพราะทุกที่ที่ผมไป มีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าเป็นใคร จะชอบผมหรือไม่ จะด่าว่าผมอย่างไร แต่หน้าที่คือหน้าที่ นี่เป็นหลักฐานภาพถ่ายที่ผมไปมาทุกที่ เพียงแต่ผมไม่ได้เปิดเผยตัว ออกหน้าตีเนียนเหมือนคนบางคน เพราะปลอมตัวเข้าไป

       
       วันก่อนใส่แว่นกันแก๊สน้ำตา ที่ปิดจมูก ผ้าชุบน้ำคลุมหัว ไปแถว บช.น. ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นผม ยังเจอคุณกรณ์ยืนทำท่าเท่ๆ ตอน 3 ทุ่มอีกภาพเมื่อวานนี้ ที่สะพานชมัยมรุเชฐ และตอนเย็นไปห้ามทัพที่แยกการเรือน 
       
       หน้าที่ผมนั้น ไม่ได้สนับสนุนให้ใครทำร้ายประเทศไทย แต่มีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนตามหน้าที่ ผมไม่จำเป็นจะต้องไปเป็นแกนนำปราศรัยบนเวที ปรากฏตัวให้คนเขาเห็นเพื่อแสดงว่าผมเป็นพวก หรือไปเยี่ยมคนเจ็บตามโรงพยาบาล อย่างนั้นผมทำไม่เป็น
       
       หน้าที่ของผมชัดเจนตรงไปตรงมา ใครจะว่าผมอย่างไร ผมยินดีรับฟัง แต่ขอให้รู้ว่า คุณยังไม่รู้จักผมดีพอ ผมเป็นคนไทย อ่อนมาผมอ่อนกลับ แรงมาผมแรงกลับ และผมไม่จำเป็นต้องไปเลือกข้าง แต่ผมช่วยคนไทยทุกคน"
       
       ล่าสุดได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวในกรณีเดียวกันนี้อีกด้วยว่า
       
       "ผมไม่ได้อยู่บนเวที ไม่ได้เป็นแกนนำ ไม่ได้อยู่บนรถปราศรัย ไม่ได้เป็นคนสั่งการ และผมไม่จำเป็นต้องเข้าข้างใคร จริงๆไม่มีข้างด้วยซ้ำ ผมเป็นของผมแบบนี้ เพราะผมเป็นคนไทย 
       
       ผมทำหน้าที่ของผม ดูเอาด้วยตาดีกว่าครับ ระหว่างเมื่อวานนี้ที่แยกการเรือน ห้ามไม่ให้เขาตีกันระหว่างประชาชนกับตำรวจ กับวันนี้ที่ทำเนียบฯว่าเป็นยังไง? 
       
       ตรงนี้ใช่ไหมครับที่เรียกว่า "ทำเนียบรัฐบาล"? ผมก็เป็นประชาชนคนไทย ทำไมไม่มีสิทธิ์เข้า?
       
       ผมมันคนธรรมดา มีทั้งคนรัก และคนเกลียด ไม่ได้อยู่บนเวที หรือบนรถปราศรัย ถึงจะได้เห็นผมทุกวัน แต่มันไม่สำคัญหรอกครับ
       
       ผมชื่อชูวิทย์ ไปทุกที่ที่มีเรื่อง หากไม่มีเรื่อง เดี๋ยวชูวิทย์ไป สักพักก็มีเรื่อง"
       
       สุดท้ายแล้ว จะสร้างภาพหรือไม่ คงไม่มีใครตอบได้ดีไปกว่าตัวคุณชูวิทย์เอง แต่การอยู่เฉยๆ และลดบทบาทลงบ้างก็น่าจะทำให้เสียงก่นด่าจากสังคมบางกลุ่มเบาบางลงได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งบทเรียนในครั้งนี้ พอจะสอนให้รู้ว่า การปรากฎตัวแบบผิดที่ผิดเวลาในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยคราบเลือด หยาดเหงื่อของมวลมหาประชาชน มีแต่เสียกับเสีย แม้ปากจะบอกว่าออกมาช่วยเหลือประชาชนก็ตาม
       
        เรื่องโดย ทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live

 

 

 

*******************************

 

 

  

  ด่วน..! มาแล้วโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีล่าสุด

 

 

 

 

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

 

   ถึงเวลา... หน้าที่พลเมืองดี เห็น"ผัวซ้อมเมีย"ต้องรีบแจ้ง

 

 

 

                           
 

 

 

 

 

นับเป็น "ข่าวดี" ของคนทำงานเรื่องผู้หญิง เพราะเมื่อ 2 สัปดาห์ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว เรียบร้อยแล้ว โดยจะบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน หลังจากที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

"ข่าวดี" นี้ แน่นอนว่า ย่อมเป็น "ข่าวดีที่สุด" สำหรับผู้ถูกกระทำ เพราะสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือการให้ความคุ้มครองผู้ถูกกระทำโดยระวางโทษผู้กระทำจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท

เป็นการวางโทษให้เห็นอย่างรูปธรรมและชัดเจนหาก "ใคร" ก็ตามที่คิดว่า การทำร้าย "เมีย" , "ลูก" หรือคนในบ้าน เป็นเรื่องปกติ



กฎหมายฉบับนี้ยัง "ดีที่สุด" สำหรับ "เหยื่อ" ของความรุนแรง เพราะยังระบุในมาตรา 5 ด้วยว่า "ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวหรือผู้ที่พบเห็นหรือทราบการกระทำความรุนแรงในครอบครัว มีหน้าที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ การแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง เมื่อได้กระทำโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง"

นั่นหมายความชัดเจนว่า ต่อไปนี้ "เพื่อนบ้าน" หากพบการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงาน

"การที่จำเป็นต้องกำหนดให้ผู้พบเห็นมีหน้าที่ในการแจ้งความนั้น จุดประสงค์หลักเพื่อต้องการสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวไทย ให้ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที ได้รับการแก้ไขทันเวลา" นางกิ่งแก้ว อินหว่าง รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว บอกถึงประโยชน์ของกฎหมายฉบับนี้

รองผู้อำนวยการยังเล่าต่ออีกด้วยว่า ที่ผ่านมาจากการทำงานด้านผู้หญิงและได้พบเจอคดีความการทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวมานาน เห็นชัดเจนว่า หลายกรณีที่ถูกทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง เพื่อนบ้านรู้แต่ไม่กล้าที่จะไปแจ้งความเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของผัวเมียอย่าไปยุ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานความคิดของสังคมไทยที่ถูกปลูกฝังว่า เรื่องของครอบครัวไม่ควรเข้าไปยุ่ง ทำให้คนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็กไม่ได้รับการเยียวยา ต้องทนเห็นพฤติกรรมความรุนแรงเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา และเสี่ยงต่อการลอกเลียนแบบเป็นอย่างมาก


ทว่า...หากถามกันจริงๆ แล้วนางกิ่งแก้วยืนยันว่า "คนไทยยังไม่แล้งน้ำใจ" เพียงแต่ยัง "กังวล" เรื่องการฟ้องกลับข้อหาหมิ่นประมาท

"จริงๆ แล้ว เวลาที่ลงพื้นที่ไปตามชุมชนต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านรับรู้สิทธิต่างๆ หลายคนบอกว่า อยากช่วยเพื่อนบ้าน เวลาที่ถูกสามีทำร้ายร่างกาย แต่กลัวว่า ถ้าเขาคืนดีกัน เราจะกลายเป็นหมาหัวเน่า และอาจถูกฟ้องกลับได้ ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้ จึงได้กำหนดให้คุ้มครองผู้แจ้งเหตุด้วย กรณีที่ผู้แจ้งเล็งเห็นแล้วว่าเหตุการณ์การทำร้ายร่างกายอาจบานปลายเป็นอันตรายต่อผู้ถูกกระทำ เป็นไปด้วยเจตนาดี ก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดฐานแจ้งความเท็จหรือหมิ่นประมาท"


แม้กฎหมายจะเขียนว่า "เป็นหน้าที่" แต่พิจารณาแล้วจะพบว่าไม่ได้มีการระบุความผิด หากผู้พบเห็นเหตุการณ์ไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ เรื่องนี้ คนทำงานเพื่อผู้หญิง บอกว่า กฎหมายฉบับนี้มิได้มุ่งเป้าให้เกิดการลงโทษ แต่มุ่งการปลุกจิตสำนึกของคนในสังคมว่า หากพบเจอเหตุการณ์ความรุนแรงแบบนี้ คนในสังคมควรจะช่วยกันดูแล เพื่อสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยการเกื้อกูล ช่วยเหลือ และปกป้องเหตุซึ่งกันและกัน เพราะตามกฎหมายฉบับนี้ เมื่อมีการแจ้งเหตุ ผู้รับแจ้งสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ถ้าเห็นผู้หญิงถูกซ้อม ถูกลาก ก็สามารถแยกตัวได้ และสามารถพาไปรักษาพยาบาลได้ทันที ซึ่งจะช่วยให้ผู้ถูกกระทำได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที


"ดิฉันเชื่อว่า กฎหมายฉบับนี้จะช่วยให้ผู้หญิง หรือเด็ก หรือคนในบ้านจะไม่ถูกทำร้ายมากขึ้น เพราะจริงๆ แล้ว ปัญหาเหล่านี้ คนในสังคมส่วนหนึ่งก็ยังไม่รู้ว่ามี มันเป็นปัญหาหลบอยู่ใต้พรม อีกนัยหนึ่งคือ เป็นการป้องปรามพฤติกรรมของผู้กระทำด้วยว่า มีกฎหมายแล้ว น่าจะยั้งคิดได้มากขึ้น"

ความคิดเรื่องครอบครัวอย่ายุ่ง ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่หากเมื่อใดก็ตามมีการละเมิดสิทธิ์และเกิดเหตุการณ์ทำร้ายร่างกาย คนในสังคมก็มิควรอยู่นิ่งเฉย เพราะนั่นอาจหมายถึง "การช่วยชีวิต" คนคนนั้น 1 ชีวิตทีเดียว

อ้างอิง จาก มติชน
http://women.mthai.com/views_Women-Variety_11_49_9601_1.women

 

 

 สามี-ภรรยา ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายกัน อาจติดคุกได้

 

 
บ่อยครั้งที่ทางสถานีตำรวจภูธรวังน้ำคู้ ได้รับคำร้องทุกข์เกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทระหว่างสามี-ภรรยา หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่า “เรื่องผัวๆเมียๆ” หลายท่านมีความเข้าใจว่า คู่สมรสทำร้ายร่างกายกันเองได้ ไม่ต้องรับโทษอาญาใดๆ เพราะเป็นเรื่องผัวๆเมียๆ อย่างที่กล่าวมาแล้ว เป็นธรรมดาของชีวิตคู่ ต้องมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง อันนี้ไม่ขอโต้แย้งครับ แต่การทะเลาะกันถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน ไม่มีกฎหมายฉบับใดอนุญาตให้ทำได้ ซึ่งถือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก ระหว่างการทะเลาะกันระหว่างสามี-ภรรยา กับการทำร้ายร่างกาย

ก่อนอื่นต้องทราบว่า การทำร้าย คือ พฤติกรรมใช้กำลังทุกรูปแบบเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บทางกายหรือจิตใจ จะใช้อาวุธร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม

ประมวลกฎหมายอาญากำหนดโทษของคดีทำร้ายร่างกายโดยเจตนาไว้หลายระดับตามความหนักเบาของบาดแผลที่เกิดขึ้น เป็นการกระทำต่อบุคคลเฉพาะที่กำหนดไว้ หรือมีพฤติกรรมพิเศษ ดังนี้

มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ จิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยกตัวอย่างเช่น ตบหน้ามีรอยแดงๆ ชกต่อยเพียงฟกช้ำไม่มีเลือดไหล ศีรษะโน เป็นต้น


มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา 296 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ถ้าได้กระทำต่อบุคคลเฉพาะเจาะจง เช่น บุพการี เจ้าพนักงาน เป็นต้น หรือพฤติการณ์พิเศษ เช่น การวางแผนล่วงหน้า กระทำทารุณกรรม เป็นต้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตราย สาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี โดยกำหนดลักษณะบาดแผลซึ่งถือเป็นอันตรายสาหัสไว้ เช่น ตาบอด ใบหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว แท้งลูก ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือทำงานไม่ได้เกินกว่า 20 วัน เป็นต้น

ตามหลักกฎหมายเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายข้างต้นนั้น จะสังเกตเห็นว่ากฎหมายใช้คำว่า “ผู้ใด” ดังนั้นกฎหมายจึงใช้บังคับกับ “ผู้ใด” ที่ทำร้าย ผู้อื่น ซึ่งมีผลในการคุ้มครองผู้เสียหายและลงโทษผู้ใช้กำลังทำร้ายโดยไม่จำกัดเพศ สถานภาพทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของสามีภรรยา ครูอาจารย์ บิดามารดา ล้วนอาจถูกลงโทษตามหลักนี้ได้ ไม่มีข้อยกเว้นว่าผู้ที่ทำร้ายและผู้ที่ถูกทำร้ายหากเป็นสามีภรรยากันแล้ว กฎหมายจะยกเว้นให้ไม่ต้องรับโทษ ความเป็นสามีภรรยาไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิในเนื้อตัวร่างกายที่จะทำร้ายคู่สมรสของตนได้ เนื่องจากสิ่งนี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญซึ่งผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ถ้ามิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้กระทำได้

ส่วนใหญ่ที่เราเห็นว่าสามีภรรยาตกลงยอมความกันได้ที่สถานีตำรวจนั้น เป็นเพียงการด่าทอ ดูหมิ่น หรือตบตีกันไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเปรียบเทียบปรับที่สถานีตำรวจได้เท่านั้น หากว่าได้รับอันตรายถึงแก่กายหรือจิตใจ ก็ไม่อาจยอมความกันได้ จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยให้ศาลเป็นผู้ใช้ดุลพินิจพิจารณาตัดสิน

ดังนั้น ความเข้าใจผิดเรื่องสามีภรรยาสามารถตบตีทำร้ายกันได้ ครูอาจารย์โบยตีลูกศิษย์ บิดามารดาฟาดตีเด็กในปกครอง จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ผู้กระทำต้องรับโทษอาญา ไม่ว่าจะเป็นจำคุก ปรับ แล้วแต่ดุลพินิจของศาล อีกอย่างหนึ่งซึ่งพึงเตือนใจก่อนใช้กำลังทำร้ายคนอื่นด้วยว่า หญิงซึ่งเป็นภรรยาก็ไม่มีอภิสิทธิ์ในการทำร้ายร่างกายของสามีด้วย ส่วนเด็กที่ทำร้ายพ่อแม่ปู่ย่าตายายซึ่งถือเป็นบุพการี จักต้องรับโทษหนักพิเศษ เพราะสังคมไม่ส่งเสริมพฤติกรรมเช่นนี้และไม่ต้องการให้ใครถือเป็นเยี่ยง อย่างด้วย

 

 

***********************************

 

 

 

 

 

ศาลอาญาห้ามตำรวจนำหมายจับไปเผยแพร่กับผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอาจ เจอข้อหาละเมิดอำนาจศาล

 

 

  

   

 

 

 



ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 ธ.ค. นี้ ศาลได้เรียก พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์ ผกก. สน.ทุ่งสองห้อง ในฐานะพนักงานสอบสวน มาไต่สวน กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายจับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ข้อหากบฏฯ ,มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, และเป็นหัวหน้าหรือผู้มีหน้าที่สั่งการและเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก แต่ไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113,215 ประกอบมาตรา 216 ไปเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ และนำไปโปรยทางเฮลิคอปเตอร์เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ให้แก่ผู้ชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ

โดยศาลได้ไต่สวนแล้วเสร็จ จึงมีคำสั่งว่า การดำเนินการตามหมายจับของศาล เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องต้องกระทำเพียงเพื่อจับกุมบุคคลตามหมายจับโดยเคร่งครัด การนำหมายจับไปเปิดเผยต่อผู้ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมิใช่เพื่อจับกุมบุคคลตามหมายจับโดยตรง ย่อมปราศจากอำนาจที่กระทำได้ ศาลอาญา จึงออกข้อกำหนด ห้ามมิให้เจ้าพนักงานกระทำการใด ๆ อันเป็นการเผยแพร่หมายจับต่อบุคคลผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจับกุมบุคคลตามหมายจับ​โดยตรง มิฉะนั้นถือว่า เป็นการละเมิดอำนาจศาล และแจ้งคำสั่งศาลให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผ.ตร.)ทราบ

 

 

 

                     

 

 

 โอ้ว นี่ผมเพิ่งรุ้นะ อนุมัติหมายจับแล้ว แต่เผยแพร่ไม่ได้ แล้วสื่อนักข่าวจะเอาไปเผยแพร่ ถือว่ามีความผิดด้วยมั้ยเนี่ย

ทำไมนักโทษทั่วไปถึงติดประกาศจับ  อ้าวจะรู้ไดไง ใครผิด แล้วผิดอะไร แล้วควรจะทำอะไรกับคนทำผิดนี้........

 

 

 

[Image: 0politionaryword1472.jpg]

 

 

 

 

****************************

 

ความคิดเห็น

วันที่: Thu May 09 15:31:10 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>