Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ไม่มีอะไรเป็นของฉันมันก็ไม่ทุกข์

ArjanPong | 04-04-2557 | เปิดดู 3066 | ความคิดเห็น 0

 

                                   ไม่มีอะไรเป็น "ของฉัน" มันก็ไม่ทุกข์

 

 

 

พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)

 

 

อากาศตอนนี้ญาติโยมก็บ่นว่าร้อนๆไปตามๆกัน ซึ่งความจริงมันก็ร้อนนั่นแหละ เหงื่อไหลไคลย้อยตลอดวัน แต่ว่าความร้อนนี่มันก็ไม่เที่ยง คือไม่เท่าใดก็หมดร้อน แล้วก็ถึงหน้าฝนต่อไป เพราะอันนี้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติของดินฟ้าอากาศ เราจะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราก็ต้องทนอยู่กันไปตามเรื่องตามราวจนกว่าจะหมดเรื่องนั้นไป การที่จะอยู่ได้ตามปกตินั้น จะต้องหมุนจิตใจของเราให้เข้ากับสิ่งที่เกิดอยู่เป็นอยู่ คือให้พอใจแค่นั้นเอง ถ้าพอใจแล้วมันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่พอใจแล้วก็เกิดความเดือดร้อน

เคยพบพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในห้องเหงื่อท่วมตัว อาตมาก็ไปถามว่าไม่ร้อนหรือ ท่านก็บอกว่ามันเรื่องธรรมดา ท่านตอบว่าอย่างนั้น แล้วท่านนั่งทำงานไปตามปกติ ไม่รู้สึกว่ากระวนกระวาย จิตใจมันเป็นปกติ เหงื่อมันออกมาเป็นเรื่องของร่างกาย แต่ว่าใจนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นั่งทำงานได้ปกติตลอดเวลา อันนี้แสดงว่าท่านผู้นั้นรู้จักหมุนจิตใจต้อนรับสถานการณ์นั้น แล้วก็ไม่เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น

คนเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม เราควรจะอยู่ให้เบาใจสบายใจ อย่าอยู่ให้มีความทุกข์ความหนักใจ เพราะเมื่อมีความหนักใจขึ้นเมื่อใดแล้ว เราก็ไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ถ้าเราไม่มีความหนักใจ แม้ว่าร่างกายเราจะหนักเพราะการเปลี่ยนแปลง แต่ตัวเราก็ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนเพราะเรื่องอย่างนั้น อันนี้แหละเป็นเรื่องสำคัญ

คราวหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพระเทวทัตทุ่มหินลงมา แต่ว่าหินนั้นไม่ถูกพระองค์ เพราะไปชนต้นไม้ สะเก็ดนิดหนึ่งมากระทบถูกพระชงฆ์ คือหน้าแข้งของพระพุทธเจ้า เลือดไหลซิบๆออกมา หมอโกมารภัจจ์ก็ทำยาไปปะแผลให้ยาที่ปะนั้นเป็นยาร้อนก็คล้ายๆกับทิงเจอร์ที่เราใช้กัน แต่ว่าใช้ใบไม้ประเภทหนึ่งเอามาพอกไว้แล้วหมอก็กลับบ้าน หมอก็นอนไม่หลับตลอดคืนมีความเป็นห่วง เพราะนึกในใจว่า ยาที่พอกนั้นเป็นยาที่ร้อน พระผู้มีพระภาคคงจะไม่ได้บรรทม เพราะความร้อนของยาที่ผิวหนัง ตื่นแต่เช้ามืดมาเฝ้าดูพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วก็ถามไปด้วยอาการร้อนรนกระวนกระวายใจว่า "เมื่อคืนนี้พระองค์บรรทมหลับเป็นปกติหรือเปล่า"

 

พระผู้มีพระภาคกลับตอบว่า "เราบรรทมหลับเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น" หมอก็บอกว่า "ข้าพระองค์นอนไม่หลับเมื่อคืนนี้ เพราะมีความกังวลที่ยาปะแผลของพระองค์ว่ามันร้อน" พระผู้มีพระภาคกลับตรัสตอบแก่หมอนั้นว่า "ความร้อนทั้งหลายเราได้ดับมันหมดแล้วที่ใต้ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้ เวลานี้ความร้อนเหล่านั้นไม่มี ท่านจึงไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องมีความทุกข์ในเรื่องเกี่ยวกับความร้อนต่อไป" อันนี้เป็นเครื่องแสดงถึงด้าน ความสงบเย็นของจิตใจของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระองค์ไม่มีความร้อน มีแต่ความสงบเย็น ความร้อนนั้นได้ดับไปตั้งแต่วันตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ใต้ต้นโพธิ์แล้ว ต่อจากนั้นก็ไม่มีความร้อนอะไร จะนั่งอยู่ในที่ร้อนก็ไม่ร้อน จะนั่งอยู่ในที่เย็นก็ไม่เย็น จะอยู่ในที่ใดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจของท่าน

อันนี้เป็นเรื่องพิเศษที่จะเกิดมีเฉพาะบุคคลที่มีจิตหลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง หรือพ้นแล้วจากการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวเรื่องตน ที่เราเรียกในภาษาธรรมะว่า "อัตตวาทุปาทาน" คือ การยึดมั่นถือมั่นในตัวฉันในของของฉัน ถ้ายังมีความยึดมั่นอยู่ตราบใด ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ ความร้อนก็ยังมีอยู่ อะไรๆที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันก็มีอยู่กับผู้นั้น แต่ว่าถ้าถอนความยึดมั่นถือมั่นได้เมื่อใด สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่มี มันมีของมันอยู่ตามธรรมชาติไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ว่าจิตไม่ได้เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น เช่น ว่าความร้อนทางกายก็มีอยู่ เจ็บปวดมันก็มีอยู่ แต่ว่าจิตไม่ปวดในเรื่องนั้น ไม่ได้เจ็บไปกับเรื่องนั้น ดูอาการมันเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในใจ อันนี้เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ

แต่ว่าจิตของพระอริยเจ้านั้น ท่านไม่มีเหมือนเรา จิตท่านแตกต่างจากเรา เพราะท่านปฏิเสธหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นของท่าน อะไรๆมันเกิดขึ้นท่านก็เฉยๆคล้ายๆกับเรื่องอย่างนี้ เหมือนกับว่ามีอะไรของใครเขาหาย เราไม่ได้เป็นทุกข์กับเขา เช่นว่า คนหนึ่งเขามีของหายไป เรารู้เราก็เฉยๆ ที่เฉยๆ ก็เพราะว่าของนั้นมันมิใช่ของเรา บ้านคนอื่นถูกไฟไหม้อยู่ห่างไกลจากบ้านเรา เราก็ไม่ได้เป็นทุกข์ ไม่ได้เดือดร้อนใจ ที่ไม่ได้เป็นทุกข์ก็เพราะว่าเราไม่ได้นึกว่าเป็นบ้านของเราอยู่นั่นเอง แต่ถ้าว่าบ้านของเราถูกไฟไหม้ เราก็ร้อนอกร้อนใจมีความทุกข์ความเดือดร้อน ความทุกข์ความเดือดร้อนตัวนี้เกิดขึ้นเพราะจิตเข้าไปยึดถือว่าเป็นบ้านของฉัน เงินทองของฉัน อะไรๆ ของฉัน พอเอาคำว่า “ของฉัน” เข้าไปใส่ไว้ไม่ว่าในเรื่องอะไร ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นทันที เพราะเรื่องเข้าไปยึดถือในสิ่งนั้น อันนี้แหละเป็นเรื่องที่มีอยู่ในจิตใจของ มนุษย์ทุกคนที่เราพอมองเห็นได้ คือมองเห็นได้ว่า ถ้าเมื่อใดใจเราปล่อยวางเสียได้ เราก็สบายใจ แต่เมื่อใดเรา เข้าไปยึดถือมันไว้ เราก็มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ

อันนี้สังเกตได้ง่าย ขอให้เราสังเกตคือการศึกษาธรรมะน่ะ เรารู้หลักทางหนังสือแล้วต่อไปก็ต้องเอามาค้นคว้าจากพฤติการณ์ของเราเอง จากความคิด จากการกระทำของเรา แล้วคอยสังเกตว่า เวลาที่เกิดทุกข์นี่มันทุกข์เพราะอะไร เวลาทุกข์ที่หายไป มันหายไปเพราะอะไร เพื่อจะค้นหาสมุฏฐานของความทุกข์ที่เกิดขึ้นภาย ในจิตใจของเรา ถ้าหากเราสังเกตจะพบว่า สิ่งที่ทำให้เราเกิดความทุกข์นั้น ก็คือการยึดมั่นถือนั่นเอง เราจึงเรียกว่า “อุปาทาน” ตามภาษาธรรมะ พอมีอุปาทานขึ้นมาเมื่อใด ใจมันก้ไปติดอยู่กับสิ่งนั้น ไปยึดอยู่กับสิ่งนั้น พอสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนใจไม่สมใจเราก็มีความทุกข์ขึ้นมาทันที

อันนี้เป็นเครื่องชี้อยู่ในตัวแล้วว่า เราเป็นทุกข์เพราะ มีความยึดมั่นถือมั่น ถ้าจะไม่ให้เกิดทุกข์ก็ต้องผ่อนคลาย ความยึดมั่นถือมั่นออกไปจากใจของเราเสียบ้าง


เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรม วันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ". ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเองคงไม่รู้สึกว่าเป็นอย่างไร ดิฉันรับความรู้สึกนี้มานานแล้ว เหมือนกับที่เคยบอกไว้ว่าจะไม่ให้มีที่ยืนเลยหรือ ที่ดิฉันอยู่วันนี้ก็เพื่อรักษาประชาธิปไตย การที่หลายคนออกมาเรียกร้องให้ดิฉันลาออก จึงอยากถามกลับไปว่า การลาออกคือคำตอบหรือ เพราะถ้าดิฉันลาออกเพื่อเปิดทางให้เกิดสูญญากาศ ฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นประชาธิปไตย จะทำได้อย่างไร ..

.. ดิฉันในฐานะประชาชนและผู้นำรัฐบาล ต้องรักษาประชาธิปไตย ประคับประคองไปให้ถึงรัฐบาลใหม่ แม้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ดิฉันขอทำหน้าที่ของตนเองจนถึงนาทีสุดท้าย ถึงเวลาแล้วค่ะที่ทุกฝ่ายควรหันหน้ามาพูดคุยกัน เพื่อให้เกิดความลงตัวเร็วที่สุดสำหรับทางออกของประเทศที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ.."

 

 

 

 

 

 

 

 กปปส. ยอดรวม 3,630 คน :
สวนลุม 2,500 คน
ปปช.400 คน
แจ้งวัฒนะ 200คน
คปท.400คน
มท 80 คน
กรมทดแทนพลังงาน 50 คน
.....
นปช.ที่ บริเวณ ถ.อักษะ เขตทวีวัฒนา ยอดรวม 30,000 คน ทยอยเข้าอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ซึ้ง เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ก่อนตาย

 

 


 

ซึ้ง เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ก่อนตาย
 




ขอขอบคุณภาพประกอบจาก news.ifeng.com

เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ป่วยหนัก รักษาชีวิตแม่หลังตัวตาย

เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2557 เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษ เปิดเผยเรื่องราวสุดซาบซึ้งที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เมื่อเด็กชายวัยเพียง 7 ขวบ ที่ป่วยเป็นมะเร็งสมอง ได้ตัดสินใจบริจาคไตให้กับแม่ที่ป่วยหนัก เพื่อรักษาชีวิตแม่ไว้

เหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน เฉิน เสี่ยวเทียน เด็กชายที่มีอายุเพียง 5 ขวบในตอนนั้น ได้พบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งในสมอง ซึ่งแม้จะสามารถเยียวยาได้ในช่วงแรก ๆ แต่ต่อมาแพทย์ก็จำใจต้องบอกว่า เฉินอาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวัยรุ่น

หลังจากนั้นไม่กี่เดือน นางโจว หลู่ แม่วัย 34 ปี ของเฉินก็ป่วยเป็นโรคไต ทำให้ทั้งแม่ลูกกลายเป็นคนป่วยหนัก แต่ทั้งคู่ก็ต่อสู้และต่างเป็นกำลังใจให้กันมาโดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ถึงอย่างนั้นอาการป่วยก็แย่ลงเรื่อย ๆ นางโจวต้องฟอกไตเป็นประจำ ขณะที่เฉินเองก็ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ตลอด 24 ชั่วโมง มะเร็งในสมองได้ทำให้เขาอ่อนแอมาก ตาบอดทั้งสองข้าง และเข้าใกล้ภาวะอัมพาตเข้าไปทุกที

กระทั่งล่าสุด หลู่ หยวนเสี้ยว แม่วัย 57 ปี ของนางโจว ก็ได้พูดคุยกับแพทย์ และแพทย์ได้บอกเธอว่า หลานชายของเธออาจมีชีวิตรอดได้อีกไม่นาน แต่ไตของเฉินสามารถช่วยชีวิตแม่ของเขาได้ ซึ่งหลังจากที่นางหลู่ได้ฟังดังนั้น จึงไปบอกนางโจวในสิ่งที่แพทย์คุยกับเธอ แต่นางโจวได้ปฏิเสธที่จะทำอย่างนั้น และขอให้หยุดพูดเรื่องนี้ให้เธอได้ยินอีก

ระหว่างนั้นเอง เฉินก็บังเอิญได้ยินในสิ่งที่แม่กับยายของเขาคุยกัน จึงตัดสินใจขอร้องแม่ว่า ในเมื่อเขาจะไม่รอดจากมะเร็งในสมองแล้ว ขอให้เขาได้บริจาคไตให้แม่เถิด ทำให้นางโจวน้ำตาไหลออกมาและยอมรับคำขอร้องของลูกชาย เธอคิดว่าแม้ว่าลูกชายจะเสียชีวิตในอีกไม่นาน อย่างน้อยไตของลูกชายก็ยังคงอยู่ในตัวเธอ

ทั้งนี้ การผ่าตัดเปลี่ยนไตจากลูกสู่แม่ ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ทันทีที่เฉินเสียชีวิตลงอย่างสงบ ศพของเขาก็ถูกนำไปผ่าตัดไตทั้งสองข้างและตับออกมา เพื่อนำไตข้างหนึ่งไปเปลี่ยนให้นางโจว ส่วนไตอีกข้างและตับถูกนำไปเปลี่ยนให้กับผู้ป่วยอีก 2 ราย นับว่าเฉินได้ช่วยชีวิตคนถึง 3 คนเลยทีเดียว



 

ซึ้ง เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ก่อนตาย
 


 

ซึ้ง เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ก่อนตาย
 


 

ซึ้ง เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ก่อนตาย
 

 


 

           

 

 

 

                          อาการเนื้องอกในสมอง

 

เนื้องอกในสมองเป็นภาวะที่มีการเติบโตอย่างผิดปกติของเซลล์ในสมอง เนื้องอกในสมองอาจเป็นเนื้องอกธรรมดา (Benign) หรือเป็นมะเร็ง (Malignant) ทั้งสองชนิดสามารถลุกลามในสมองเองจนเป็นอันตรายหรือทำให้เกิดความพิการต่อผู้ป่วยได้ พบได้ประมาณร้อยละ 1.67 ของโรคมะเร็งทั้งหมด พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ส่วนใหญ่จะพบมากใน 2 ช่วงอายุคือ อายุ 5 – 9 ปี และ 50 – 55 ปี ซึ่งถ้าในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นเด็กเนื้องอกในสมองถือเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุด ส่วนในผู้ใหญ่หรือคนสูงอายุ อาจเป็นเนื้องอกที่เกิดขึ้นภายในกะโหลกศีรษะ หรือเป็นเนื้องอกที่แพร่กระจายมาจากที่อื่น (เช่น ปอด เต้านม ไต ต่อมไทรอยด์ กระเพาะลำไส้)

 

 

อาการเนื้องอกในสมอง

รูปภาพประกอบจาก : http://inside919.ning.com/profiles/blogs/will-you-need-surgery-for-your-headache

 

 

 

 

สาเหตุการเกิดเนื้องอกในสมอง

 

เนื้องอกสมองส่วนใหญ่นั้นปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากอะไร แต่มีเนื้องอกในสมองส่วนน้อยบางส่วนที่ทราบสาเหตุว่าเกิดขึ้นจากความผิดปกติของสารพันธุกรรมในเซลล์เนื้องอกสมองของผู้ป่วย นอกจากนี้อาจมีปัจจัยภายนอกบางอย่างที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเนื้องอกในสมองได้ เช่น เคยได้การได้รับการฉายรังสีบริเวณศีรษะมาก่อน ทำให้มีโอกาสเป็นโรคเนื้องอกสมองได้มากกว่าคนทั่วไป เป็นต้น

 

อาการเนื้องอกในสมอง

 

เนื้องอกในสมองจะมีอาการได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตำแหน่งเนื้องอกในสมองนั้น จะทำให้สมองส่วนใดผิดปรกติไปจากเดิม เช่น ถ้าเกิดในตำแหน่งที่ควบคุมการทรงตัว ในเด็กจะมีอาการเดินเซ และหกล้มบ่อย ในรายอื่นๆอาจจะมีอาการแขนขาอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีก, อาการตาเข, ตากระตุก, ปากเบี้ยว หรืออาการชักเกร็งหรือกระตุก อาการจะมีมากขึ้นถ้าก้อนเนื้องอกโตมากหรือโตเร็ว เป็นต้น

 

อาการเนื้องอกในสมองโดยทั่วไป

 

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว โดยมีลักษณะเฉพาะคือ ปวดมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอสายๆอาการจะดีขึ้น หรืออาจปวดมากเวลาล้มตัวลงนอน หรือเวลาไอ จาม หรือเบ่งอุจจาระ อาการปวดศีรษะจะรุนแรงขึ้นทุกวันจนผู้ป่วยต้องสะดุ้งตื่นตอนเช้ามืด ต่อมาจะมีอาการอาเจียนร่วมกับอาการปวดศรีษะ อาจมีลักษณะอาเจียนพุ่งรุนแรง โดยไม่มีอาการคลื่นไส้นำมาก่อน นอกจากนี้ยังอาจมีอาการตามัวลงเรื่อยๆ เห็นภาพซ้อน หูอื้อ ตาเหล่ ตากระตุก วิงเวียน เดินเซ มือเท้าทำงานไม่ถนัด แขนขาชาหรืออ่อนแรง และอาการชัก ซึ่งอาจชักทั้งร่างกายหรือเฉพาะส่วนของร่างกาย ความจำเสื่อม มีบุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิม ในรายที่เป็นเนื้องอกของต่อมใต้สมอง (Pituitary tumor) นอกจากจะมีอาการดังกล่าวแล้ว ถ้าพบในผู้หญิงอาจทำให้เป็นประจำเดือนไม่มา มีน้ำนมออกผิดธรรมชาติ (Galactorrhea) หรือมีอาการของโรคคุชชิงร่วมด้วย

 

การรักษาเนื้องอกในสมอง

 

การรักษาเนื้องอกในสมองมีอยู่ 3 วิธีหลักๆคือ การผ่าตัด การฉายรังสี และการให้ยา ในบางครั้งอาจจะต้องใช้หลายๆวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด

 

1. การผ่าตัด

เป็นวิธีหลักของการรักษาเนื้องอกในสมองส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นเพียงการเจาะดูดเอาเนื้องอกมาตรวจวินิจฉัย ผ่าตัดเนื้องอกออกบางส่วนหรือผ่าตัดเนื้องอกออกทั้งหมด ถ้าเนื้องอกอยู่ในตำแหน่งที่สามารถทำผ่าตัดออกได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย

 

ในปัจจุบันมีการทำผ่าตัดโดยจุลศัลยกรรม (Microneurosurgery) ทำให้สามารถมองเห็นจุดเล็กๆในสมองส่วนที่อยู่ลึกได้ มีการนำเครื่องนำวิถี (Navigation) มาใช้เพื่อช่วยให้การผ่าตัดสมองมีความแม่นยำมากขึ้น มีการทำผ่าตัดร่วมกับเอกซเรย์แม่เหล็กในห้องผ่าตัด (Intraoperative MRI) เพื่อช่วยให้ผ่าตัดเนื้องอกออกมาได้มากขึ้น หรือมีการทำผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง (Neuroendoscopic surgery) เพื่อช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก และในบางครั้งเนื้องอกในสมองอาจอยู่ในตำแหน่งที่มีอันตรายต่อการทำผ่าตัด และอาจมีการผ่าตัดโดยที่ผู้ป่วยยังคงรู้ตัวไม่สลบระหว่างผ่าตัด เพื่อที่แพทย์จะสามารถหาตรวจหาตำแหน่งการทำงานของสมองไปได้ด้วยระหว่างการผ่าตัด (Awake craniotomy and brain mapping)

 

ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาในอนาคตอาจจะมีอุปกรณ์และเทคนิคใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อช่วยให้การผ่าตัดมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากขึ้น

 

2. การฉายรังสี

 

การฉายรังสีมักจะใช้เป็นการรักษาเพิ่มเติมหลังการผ่าตัดเนื้องอกในสมองแล้ว และบางอย่างที่ไม่สามารถผ่าตัดออกได้หมด ในบางกรณีสามารถใช้เป็นวิธีการรักษาหลักได้อีกด้วย การฉายรังสีรักษาเนื้องอกในสมองนั้นปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างมาก มีการนำเทคนิคการฉายรังสีวิธีใหม่ที่เรียกว่า การฉายรังสีรักษา 3 มิติมาใช้ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างของลำรังสีได้ตามรูปร่างของก้อนเนื้องอก ทำให้ได้ปริมาณรังสีรวมสูงสุดอยู่ที่ก้อนเนื้องอกเพียงตำแหน่งเดียว โดยที่สมองส่วนอื่นๆ ได้ปริมาณรังสีน้อยมาก เทคนิคนี้ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณรังสีที่ก้อนเนื้องอกได้สูงขึ้นมาก ซึ่งในบางครั้งอาจจะสามารถฉายรังสีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น (Radiosurgery) และนับเป็นความก้าวหน้าทางรังสีรักษาในการรักษาเนื้องอกในสมองในขณะนี้

 

3. การให้ยา

 

เนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงบางชนิดสมควรได้รับการรักษาโดยการให้ยาเคมีบำบัด และเนื้องอกในสมองของต่อมใต้สมองบางชนิดสามารถรักษาโดยการให้ยาควบคุมการสร้างฮอร์โมน ปัจจุบันยาเคมีบำบัดบางตัวมีราคาแพงมากและไม่สามารถเบิกจ่ายได้ในผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสังคมหรือบัตรทอง จึงเป็นอุปสรรคทำให้ภาระค่าใช้จ่ายไปตกอยู่ที่ผู้ป่วย หรือทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้

 

 

 

 

 

 

 

                      [​IMG]
                                                               ภาพหายาก ..ทรงพระเจริญ

 
 [​IMG]
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 [​IMG]

 

 

 

 [​IMG]
[​IMG]
[​IMG]

 

 [​IMG]
[​IMG]
[​IMG]

 

 [​IMG]
[​IMG]
[​IMG]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                             [​IMG]

 

[​IMG]
 

 


[​IMG]
 

 

 *** Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์

นี่เป็นการแสดงบัตรประชาชนโดยพร้อมเพรียงที่สุด เพื่อให้พวกประชาธิปัตย์ กปปส. และคนในกองทัพ ให้ได้เห็นว่า ณ ถนนอักษะแห่งนี้ มีแต่คนไทยที่มีหัวใจรักประชาธิปไตย


[​IMG]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                ไขปริศนา ทำไมนอนในรถถึงตาย?

 

 

  

              

   

 

การนอนในรถนั้น เป็นเรื่องที่มีหลายคนมักไม่รู้เท่าไม่ถึงอันตรายและอาจนะไปสู่การเสียชีวิตได้ การจอดรถนอนนั้นเป็นเรื่องที่เราแนะนำให้คนจำนวนมากทำ โดยเฉพาะในหมู่นักเดินทางที่เหนื่อยล้าจากการขับรถทางไกลเป็นเวลานานๆ อาการดังกล่าวนั้น อาจส่งผลให้เกิดการหลับในและก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้

 

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการจอดรถหลับพักผ่อนสักหน่อยก่อนจะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ดูผิวเผินการจอดรถนอน คงไม่ใช่เรื่องอะไรที่ซับซ้อน จนอาจเป็นอันตรายถึงขนาดทำให้เราสามารถเสียชีวิตคารถสุดที่รัก อย่างกรณีของคุณพ่อของนางเอกวิก 7 สี แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า หากเรานอนในรถโดยไม่เข้าใจอย่างถูกต้องแท้จริง นี่อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิตก็เป็นได้

 

อันตรายจากการจอดรถนอนหลับนั้นความจริงแล้วเป็นภัยใกล้ตัวที่เราอาจวิตกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตมากกว่าคิดถึงเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ ที่เรามักจะอ่านข่าวพบว่า มีคนเสียชีวิตจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้แล้วเปิดแอร์นอน สิ่งที่ผิดที่สุดของแนวคิดการนอนในรถนั้นไม่ใช่ระบบปรับอากาศ แต่มันคือการสตาร์ทเครื่องยนต์เดินเบาทิ้งเอาไว้ เพื่อให้ระบบปรับอากาศนั้นสร้างความเย็นสบายตลอดเวลา ความคิดที่รักสบายนี่เอง ทำให้หลายคนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ เพราะ แม้เครื่องยนต์และระบบปรับอากาศในห้องโดยสารจะไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่าความจริงนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความตาย โดยปกติแล้วระบบปรับอากาศภายในรถยนต์นั้น จะทำงานคล้ายๆกับระบบแอร์ทั่วไป คือ แลกเปลี่ยนอุณภูมิผ่านน้ำยาที่เป็นตัวนำไประบายความร้อนออก แล้วกลับมาวนปรับอุณภูมิต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ จนได้อุณหภูมิตามต้องการ

 

แม้เราจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าระบบปรับอากาศในห้องโดยสาร เป็นพื้นที่ปิดเพื่อใช้กักเก็บอุณหภูมิ แต่สิ่งที่อยู่ในระบบกับการดูดอากาศภายนอกบางส่วนมาหมุนเวียนในห้องโดยสารนั้นกลับเป็นชนวนต้นเหตุความตาย นี่เองที่เป็นสาเหตุหลักที่อาจทำให้คุณตายได้โดยไม่รู้ตัว เพราะ เมื่อคุณติดเครื่องยนต์รถทิ้งไว้ไอเสียบางส่วนก็จะถูกพัดลมแอร์ดูดเข้ามาในห้องโดยสาร ซึ่งถ้าหากมันมาเป็นจำนวนมากคุณจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงและตื่นขึ้นเหมือนสัญญาณเตือนของร่างกาย ซึ่งในรถยนต์บางรุ่นจะติดตั้งตัวดักไอเสียสู่ห้องโดยสาร เพื่อป้องกันคนนอนในรถเป็นเวลานานๆ แต่กลับกันเมื่อเจ้าก๊าซพิษค่อยๆย่างกรายเข้ามาทีละนิด ในขณะที่กำลังฝันหวานก็ไม่ทางรู้สึกเลยว่ากำลังชะตาขาดขณะพักผ่อน

 

หลายคนคงเคยรู้สึกปวดหัวเวลาขับรถไปเจอการการจราจรขัดติด โดยมากคงนึกว่าเรากำลังผจญภาวะความเครียด แม้เหตุผลดังกล่าวจะถูกต้องในส่วนหนึ่ง แต่ความจริงแล้วอีกด้านเรากำลังสูดดมก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ที่มีส่วนผสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสารพิษเข้าสู่ร่างกาย และจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์ ได้กล่าวถึง อันตรายของการสูดดมก๊าซคาร์บอนไซด์ว่า อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง ปวดศีรษะ เซื่อมซึม เคลิบเคลิ้ม สั่นกระตุก หายใจติดขัด หมดสติไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นปิดปกติ เนื่องจาก มีฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ และมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต

 

มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพบว่า ถ้าเราสูดดมไอเสียทีละน้อยเป็นเวลากว่า 5-6 ชั่วโมง อาจส่งเราสู่สุคติได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้หากคุณมีความจำเป็นจริงๆในการนอนในรถระหว่างเดินทางเราก็มีวิธีที่ถูกต้องมาแนะนำให้ปฏิบัติตามกัน 1.หาที่เหมาะสม เมื่อเริ่มรู้สึกง่วงพยายามหาที่เหมาะสมในการจอดรถ เราแนะนำให้จอดในสถานีบริการ ถ้าเป็นไปได้ หรือถ้าไม่มีก็พยายามหาจุดที่เป็นชุมชน ป้อมตำรวจทางหลวง หรือ ไม่ก็มีแสงไฟสลัวๆดีกว่า เพื่อป้องกันโจรไปด้วยในตัว 2.ดับเครื่องยนต์ เมื่อจอดแล้วดับเครื่องยนต์ทันทีแม้อาจจะเริ่มรู้สึกอึดอัดบ้าง หากคิดว่าไม่สบายตัวก็แง้มกระจกลงสักนิด 2-3 เพื่อระบายอากาศและรับลมจากภายนอก 3.ปรับเบาะเอนเบาะนอนให้เหมาะสม

 

การนอนในรถไม่ใช่การที่คุณเอนนอนทั้งหมด เพราะ แต่ละคนมีท่านอนที่ชอบไม่เหมือนกัน ให้คุณปรับเอนนอนให้พอดีเพียงพอ เพราะการเอนนอนมากไปจะทำให้คุณเมื่อล้าได้ภายหลัง 4.ใช้พัดลมแอร์ช่วยให้หลับ เมื่อพร้อมจะหลับก็ให้บิดกุญแจไปที่จังหวะออนเพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงาน แล้วจึงบิดเปิดสวิทช์แอร์ เมื่อเปิดแล้วให้หาปุ่มที่เขียนว่า A/C หรืออาจะเป็นรูปรถที่มีลูกศรชี้เข้ามาในตัวรถจากภายนอกให้เลือกกดปุ่มดังกล่าว ซึ่งพัดลมแอร์จะดูดอากาศมาหมุนเวียนในห้องโดยสารแม้จะไม่เย็นเหมือนแอร์แต่ก็พอให้คุณเคลิ้มหลับได้สบาย ซึ่งบางคนอาจเกรงว่าแบตจะหมด แต่เราแค่ต้องการพักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งแบตเตอร์รี่ขนาด 60 แอมป์ สามารถใช้ได้นานกว่า 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว นี่เป็นวิธีการนอนในรถที่ถูกต้องและเราไม่แนะนำให้ใช้รถเป็นโรงแรมคลื่อนที่ เนื่องจากแม้จะนอนได้แบบพอทน แต่มันก็ไม่ดีต่อสุขภาพกระดูกสันหลัง เช่นเดียวกับความไม่ปลอดภัยในชีวิต หากจำเป็นควรนอนพอให้หายอ่อนเพลียประมาณ 30-40 นาที เมื่อพร้อมแล้วจึงเดินทางต่อให้ถึงจุดหมายปลายทางครับ

ภาพประกอบจาก Gettyimages.com

 

 

 

 

 

 

 

ป้าธิดาแถลงข่าวที่ช่องเชียอั้พเดท...ผ่านมาประมาณครึ่งชั่วโมง

ป้าธิดาพูดว่า...ขณะนี้คุณปึ๊ง สุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ

ได้มีหนังสือถึง ICC...ว่าประเทศไทยพร้อมลงนามกับ ICC

ขณะเดียวกันนี้ทางซาอุ...จะนำคดีของคุณไอลูว่ารีไปฟ้องศาลโลกด้วย

Clapping......Clapping.....Great Idea

 

 

 

'สุรพงษ์'ทำหนังสือถึง'ไอซีซี'คดี90ศพ

 

 

สุรพงษ์"รองนายกฯ ทำหนังสือถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือไอซีซี ดูคดี 90ศพ หากกระบวนการยุติธรรมไทยไม่คืบ

 

ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า

ตนได้ทำหนังสือไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี)เรียบร้อยแล้ว

เพื่อสอบถามกรณีที่ประเทศไทยจะรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ

ในเหตุการณ์การชุมนุมปี2553 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง

เบื้องต้นที่อัยการของไอซีซีมาพบตนเมื่อปลายปี 2555 ตนได้สอบถามว่ากรณีใดบางที่ไอซีซีจะเข้ามาดำเนินการได้

ซึ่งก็มีกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือการทำลายมนุษยชาติ โดยเฉพาะกรณีที่กระบวนการยุติธรรมในประเทศไม่ทำงาน

แต่วันนี้กระบวนการยุติธรรมในประเทศยังเดินอยู่ เช่น ศาลอาญามีคำสั่งให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.มามอบตัว

 

 

และให้นายอภิสิทธิ์ ไปขึ้นศาล ทั้งนี้หากในอนาคตมีหลายฝ่ายเรียกร้องเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

ก็ต้องมีการเตรียมการว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เรื่องนี้มีหลายประเทศที่เกิดการฆ่ากันตายจากเหตุการณ์การชุมนุมจนเกิดความวุ่นวาย

 

 

เพราะผู้นำใช้ความโหดร้ายทำลายมนุษยชาติ ซึ่งเราต้องเตรียมการไว้ในกรณีเกิดอำนาจนอกระบบ อำนาจเผด็จการ

และกระบวนการยุติธรรมไม่มีแล้ว ก็ต้องใช้อำนาจระหว่างประเทศเอาคนผิดมาลงโทษ

ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 

 

นายสุรพงษ์ กล่าวถึงกรณีการเชิญนายบัน คี มุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)

มาเป็นตัวกลางในการเจรจาปัญหาทางการเมืองภายในประเทศไทยว่า กำลังอยู่ระหว่างรอคำตอบ

ซึ่งน่าจะได้คำตอบเร็วๆนี้ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว ไม่ได้เป็นการดึงชาวต่างชาติเข้ามาแทรกแซงปัญหาในประเทศไทย

เพราะไอซีซีมาพบตน และมีความเห็นว่าถ้ากระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปจนแล้วเสร็จ

ญาติพี่น้องของผู้สูญเสียไม่ได้รับความเป็นธรรม และมีการเรียกร้อง ไอซีซีก็สามารถพิจารณาได้เป็นกรณีๆไป

 

 

เมื่อถามว่า หากการดำเนินคดี 90 ศพ ไม่เดินหน้าเรื่องจะถึงไอซีซีหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า

ตนไม่คิดที่จะไปก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรมในไทย แต่เป็นการเตรียมความพร้อมในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น

ตนเป็นคนทำงานโดยคิดทางออกไว้หลายๆทาง เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเข้าสู่ทางตันหรือเกิดอันตราย

ในอดีตที่ผ่านมาเราอธิบายการที่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนถูกยุบได้อย่างยากเย็นมาก

แต่วันนี้เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยเป็นเรื่องที่สามารถอธิบายให้สังคมเข้าใจได้มากขึ้น

คนที่เป็นกลางได้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทย อย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากกระบวนการต่างๆ

ได้เห็นความแตกแยกทางสังคมจากกระบวนการเหล่านี้ วันนี้ทั้งโลกหูตาสว่างขึ้น

สำนักข่าวต่างประเทศรู้กระบวนการต่างๆ ในการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย

วันนี้ถ้าประเทศไทยไม่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยลำบาก สังคมโลกไม่ยอมรับ

อย่างไรก็ตามสังคมโลกรู้หน้าที่ ไม่ได้เข้ามากดดัน แต่พวกเขาพยายามเสนอทางออกและเรียกร้องโดยสงบตามกระบวนการประชาธิปไตย

ไม่เช่นนั้นเราอาจจะเป็นเหมือนเมียนมาร์ที่ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

 

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20140404/573339/สุรพงษ์ทำหนังสือถึงไอซีซีคดี90ศพ.html

 

'สุรพงษ์' ชี้ญาติ 'อัลรูไวลี่' ฟ้องศาลโลกเป็นสิทธิ
 
 
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ
กล่าวถึงกรณีที่อุปทูตซาอุดีอาระเบียจะนำคดีอุ้มฆ่านายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่
นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียยื่นต่อศาลโลก ว่า เป็นสิทธิที่เขาสามารถทำได้
หากเขาไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
 
ทั้งนี้ เรื่องที่ตนไปพูดคุยกับอุปทูตซาอุดีอาระเบียก็ไม่มีใครทำมาก่อน
แต่ตนเป็นคนกล้าที่จะพูดเป็นครั้งแรก เพราะเห็นว่าความจริงก็คือความจริงจะไปหลบเขาทำไม
อย่างไรก็ตาม หากประเทศซาอุดีอาระเบีย เอาเรื่องนี้ไปพูดให้พันธมิตรประเทศมุสลิมของเขาฟัง ประเทศไทยก็เสียหายแน่นอน
 

http://www.komchadluek.net/detail/20140404/182283.html

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

     

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Thu Apr 25 10:44:02 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>