Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

จับวีระ สมความคิดอีกเเล้ว

ArjanPong | 16-08-2557 | เปิดดู 2594 | ความคิดเห็น 0

 

             

 

 

 

 

 

               ด่วน...วีระ สมความคิด ถูกตำรวจรวบตัวแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

ถ้าปล่อยลิ้มซะ ไอ้พวกม็อบปฎิรูปพลังงานคงไม่ออกมา
ตั้งแต่ลิ้มถูกจับ พรรคพวกก็พยายามโยงประเด็นปตท.ทวงคืนพลังงาน
เข้ากับเรื่องลิ้ม...

แต่เดิม ทวงคืนปตท.กันในเฟส..หลัง(หรือก่อนไม่แน่ใจ)ลิ้มถูกจับ
ก็มีพวกคนในหาดใหญ่ใส่เสื้อสีเขียวมาเดินปฎิรูปพลังงาน
และถูกจับไปค่ายทหาร แต่ปล่อยตัวออกมาเมื่อหลายวันที่ผ่านมา



หลังรสนาไปยื่นคัดค้านเรื่องแยกโรงท่อกาซ
แต่ทหารไม่สน ให้ปตท.แยกโรงท่อกาซออกมา
ก็มีคนหาดูเรืื่่องเก่าๆว่า ปตท.ไม่คืนท่อกาซตามคำสั่งศาล
วีระออกหน้า รสนา ตามหลัง ลิ้มนอนคุก
จนเป็นที่มาของกิจจกรรมเล็กๆของพวกเขาวันนี้
และ ไอ้น้านวยนิ่มมะโน ก็จับวีระติดคุกไทยตามข่าววันนี้..

 

 

 

 

 

24 ส.ค.57, 1640 จนท.ตร. ควบคุมตัวกลุ่มขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน จำนวน 5 คน ขึ้นรถตำรวจ ฐานฝ่าฝืนกฎอัยการศึก และควบคุมตัวนายวีระ สมความคิด ในเวลาต่อมา

รูปภาพของ Jeab Kitty Zeed
รูปภาพของ Jeab Kitty Zeed
รูปภาพของ Jeab Kitty Zeed
รูปภาพของ Jeab Kitty Zeed

 

 

 

         5 อาหารช่วย ตับ ขับพิษ

 

 

"ตับ" --เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย
การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับเป็นประจำจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ตับได้
นอกจากนี้
-- ตับยังช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน ---- เมื่อร่างกายต้องการตับที่แข็งแรงจะส่งผลให้มีสุขภาวะที่ดี
-- เพราะตับช่วยลดการติดเชื้อ โดยช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย
-- เราจึงต้องดูแลตับด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์
-- ถ้าในแต่ละมื้อประกอบด้วยอาหารต่อไปนี้ ก็จะเป็นการช่วยตับให้แข็งแรงได้อีกทางหนึ่ง

1. กระเทียมสด -- สามารถเร่งการขับน้ำดี ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีน้ำดีจางลง จะได้ไม่เกิดอาการท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อยหลังจากกินอะไรมัน นอกจากนี้รกะเทียมยังปกป้องตับจากการสัมผัสสารพิษ จึงเหมาะกับคนที่เป็นโรคตับทั้งมวล นอกจากนี้ การกินกระเทียมสดวันละ 1-3 กลีบจะช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันเลือดจับตัวเป็นลิ่ม ตัวการที่ก่อให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด

2. หัวหอม -- มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเรสตอลรอล LD เพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจกนี้ยังทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น

3. มะนาว -- สีเหลืองของมะนาวมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์สูง จึงช่วยการทำงานของงตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินสุง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอเช้าหลังตื่นนอน จะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น

4. ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี -- ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซนม์ออกมาให้พียงพอในการกำจัดของเสีย

5. บร็อคโคลี่ -- มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็ง เนื่องจากมีวิตามินซีสูง บร็อคโคลี่ยังอุดมด้วยสารกลูโคซิโนเลตเช่นเดียวกับสารซัลโฟราเฟน ซึ่งจะช่วยตับขับสารพิษ รับประทานดิบๆ โดยนำดอกบร็อคโคลี่จิ้มกับซัลซ่า

๐๐ อาหารที่กล่าวมานี้จะช่วยทำให้สารพิษที่เจือปนมากับอาหารอื่นนั้นมีสภาพเป็นกลาง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการผลิตน้ำดีซึ่งช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมถึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

                  วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2557 เป็นวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9

 


              

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                              

 

 

 

                                สัตว์เกิดกลับมาเป็นมนุษย์มีน้อย เพราะไม่รู้อริยสัจ

 

 

ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
: ฝุ่นนิดหนึ่งที่เราช้อนขึ้นด้วยปลายเล็บนี้กับมหาปฐพีนี้ ข้างไหนจะมากกว่ากัน ?

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาปฐพีนั่นแหละเป็นดินที่มากกว่า. ฝุ่นนิดหนึ่งเท่าที่ทรงช้อนขึ้นด้วยปลายพระนขานี้ เป็นของมีประมาณน้อย. ฝุ่นนั้น เมื่อนำเข้าไปเทียบกับมหาปฐพี ย่อมไม่ถึงซึ่ง
การคำนวณได้ เปรียบเทียบได้ ไม่เข้าถึงแม้ซึ่งกะละภาค (ส่วนเสี้ยว)”

ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น :สัตว์ที่เกิดกลับมาสู่หมู่มนุษย์ มีน้อย;
สัตว์ที่เกิดกลับมาเป็นอย่างอื่นจากหมู่มนุษย์ มีมากกว่าโดยแท้. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?

ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ข้อนั้น เพราะความที่สัตว์เหล่านั้นไม่เห็นอริยสัจทั้งสี่.
อริยสัจสี่ อย่างไรเล่า ? สี่อย่าง คือ :-
อริยสัจคือทุกข์
อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.


ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรม อันเป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า “ทุกข์เป็นอย่างนี้,
เหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้”

ดังนี้.

มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๗๘/๑๗๕๗.

* โยคกรรม คือ การกระทำอย่างเป็นระบบ

 

อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา

 

 

 

 

 

 

 

 

    อ่าน เสรีพิสุทธิ์ วิพากษ์ สมยศ พุ่ม ฯ ทาง FM 101 เจิมศักดิ์เอามาแชร์ทางช่องเนชั่น

 

Bugbunny

 

 

 

มันส์พะยะคะ...


เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง shared Nation Channel's ว่า

1.ไม่เห็นมันจะมีผลงานอะไร ทำการค้าอย่างเดียว มีหุ้นและเป็นที่ปรึกษาตั้งไม่รู้กี่บริษัท

2. คนที่ไม่ได้ คือ พล.ต.อ.เอก ยังทำงานมากกว่า

3. ที่มีคนอวยว่า มาช่วย คสช. ดูงานด้านความมั่นคงนั้น ก่อนหน้านี้เคยดูที่ไหน เพิ่งมาดูกันเดือนสองเดือนนี่แหละ

4. ทำอย่างนี้ จะทำให้วัฒนธรรมสอพลอ เล่นพรรคเล่นพวกไม่หมดไปจากวงการตำรวจ ไม่ต้องทำงาน คอยเอาใจคนมีอำนาจ ก็ได้เป็นใหญ่

5. มีตำแหน่งในสมาคมโปโล ก็เห็นคิงพาวเวอร์กับเนวินอยู่ข้างหลังแล้ว

ไม่ได้พูดเอง ตำรวจเขาพูดถึงตำรวจให้ฟัง"

ข้อสังเกตุ

คนวิพากษ์ เสรีพิสุทธิ์
ทางสถานี FM 101 ปีย์ สนธิญาน
คนโดนวิจารณ์ สมยศ พุ่ม ฯ
คนเอามาขยาย เจิมศักดิ์
คนตั้งสมยศ ประยุทธ

 

 

 

 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

           ปูยักษ์อลาสก้า มีเงินอย่างเดียวไม่พอ

 

 

 

 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1408613705

กรรณิกา เพชรแก้ว (เรื่อง/ภาพ)

 

 

 

 

ใน บรรดาอาหารที่เราสรรหาพามากินกันเกินกว่าขอบเขตของการประทังชีวิตหรือพูดให้ มันตรงๆคืออาหารที่มันแพงและมีจริตจะก้านประดับประดาจนเกินวิสัยอาหารปกติ ทั่วไปนี่น่าจะไม่มีอะไรเกิน ปูยักษ์อลาสก้า อีกแล้ว


ด้วยว่ามันทั้งแพง ทั้งหายาก คนจะได้กินต้องมีเงิน และต้องมีกิเลสในการบำรุงบำเรอชีวิตตนเองเกินมาตรวัดปกติไม่น้อย เพราะนอกจากมันจะแพงแล้ว มันยังมีให้หาซื้อไม่บ่อยนัก ต้องจับจ้องเวลาให้ดิบดี บ้างถึงแก่จับจองกันข้ามปี ถ้ามีมาจากต่างประเทศให้แจ้งโดยพลัน หากฉันไม่ทันกิน ฉันมีโกรธเหวี่ยงวีนครบสูตร


เรื่องฉะนี้เกิดขึ้นจริง ไม่เชื่อไปลองถามผู้ดูแลซุปเปอร์มาร์เก็ตในย่านคนดีมีเงินของเมืองกรุงหลายแห่งดู บัญชีจองปูยักษ์อลาสก้านั้นยาวเหยียด และจะตกหล่นใครมิได้

 


ปูยักษ์อลาสก้านั้น มันคือ ปูทะเลธรรมดา แต่มันตัวโต และมันมาจากทะเลแถบขั้วโลกเหนือ ซึ่งไม่ใช่ทะเลของอเมริกา หรือรัฐอลาสก้าอย่างเดียว แต่ครอบคลุมพื้นที่ขั้วโลกเหนือเกือบทั้งหมด แต่ที่เรียกว่าปูอลาสก้า เพราะอลาสก้าเป็นท่าเทียบเรือที่ใหญ่ ที่สุดสำหรับเรือประมงที่ตระเวนจับปลา ปู ในย่านนั้น คือจับมาแล้วต้องมาส่งที่ท่าอลาสก้า จากนั้นค่อยส่งออกไปทั่วโลก


ก็เหมือนเนื้อโกเบของญี่ปุ่น ซึ่งไม่ได้เป็นเนื้อที่ผลิตจากเมืองโกเบ หากแต่ส่งมาจากเมืองใกล้ๆ แล้วมาส่งออกผ่านเมืองโกเบ ซึ่งเป็นเมืองท่าใหญ่


ฉันเคยกินปูยักษ์อลาสก้าแล้ว กินที่อลาสก้าเลยด้วย และฉันรู้สึกว่างั้นๆ แหละ รสนิยมฉันไม่วิไลขนาดแยกแยะปูทะเลนั้นทะเลนี้ได้ ปูสำหรับฉันมันก็คือปู ปูทะเลอ่าวไทยก็อร่อยล้ำแล้วสำหรับฉัน และน่าจะสำหรับเราทุกคน

 


ที่ ว่าปูยักษ์อลาสก้าหายากจนพาให้ราคาสูงลิ่วประหนึ่งเพชรพลอยนั้นหนึ่งเพราะ ทะเลขั้วโลกเหนือจับตัวเป็นน้ำแข็งเกือบตลอดปีจะว่างเว้นไม่กี่เดือนช่วง หน้าร้อนของที่นั่นเป็นเวลาที่เรือประมงล่าปลา ปู จะออกหากินกันอย่างครึกครื้น เวลาที่จำกัดไม่กี่เดือนย่อมทำให้กิจกรรมการล่าปู ปลา ทำได้ไม่มากนัก แม้จะเร่งรีบเพียงใด เวลาก็เป็นกรอบจำกัดอยู่

 

นอกจากนั้น ทะเลขั้วโลกเหนือ ยังเป็นทะเลที่ไม่มีมนุษย์รายใดอยากไปสัมผัส เพราะหนาวเย็น มืดครึ้ม (แม้ในหน้าร้อนก็ตามที) คลื่นและลมแรงเกินกว่าสิ่งมีชีวิตจะใช้ชีวิตเป็นปกติ จึงเป็นเหมือนทะเลนรก ที่คนกล้าตายเท่านั้นจึงจะอยากไปสัมผัส


นั่นทำให้กิจกรรมการหาปู ปลา ในทะเลแถบขั้วโลกเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายที่สุด เรือหาปู ปลา ลำใหญ่เท่าตึก 5 ชั้น จะต้องเจอคลื่นใหญ่สูงกว่าเท่าตัวซัดใส่อยู่ตลอดเวลา คนทำงานบนเรือต้องเสี่ยงภัยกับการถูกคลื่นและลมพัดตกเรือ เพราะเมื่อตกลงไปในน้ำที่เย็นจัดก็ยากจะมีชีวิตรอด


ค่าตัวคนทำงานบนเรือประมงล่าปู ปลา ในทะเลแถบขั้วโลกเหนือจึงสูงลิ่ว คนงาน 1 คน ทำงาน 3 เดือน ถ้าอยู่รอดปลอดภัยและทนได้ จะได้ค่าจ้างราว 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบล้านบาท เท่ากับค่าแรงกรรมกรยามปกติเกือบ 2 ปี จึงมีคนหนุ่มจากทั่วโลกบ่ายหน้าไปเสี่ยงชีวิตทำงานบนเรือเหล่านี้ทุกปี

 


ค่าตัวกรรมกรคนละล้าน ทำให้ราคาปูยักษ์อลาสก้าแพงจนสะท้านสะเทือนใจ เพราะฉะนั้นเวลาละเลียดเนื้อปูพวกนี้ ให้รู้ว่ามันคือปูธรรมดาที่ผ่านการจับโดยได้ค่าตัวคนละล้านนะคุณ


วิธีจับปู เขาก็ไม่ได้พิสดารอะไร เขาจะเอาเหยื่อเป็นปลา และอะไรต่อมิอะไรไปวางไว้ในลอบ เสร็จแล้วหย่อนลอบลงไปในทะเล พอถึงเวลาก็มากู้ลอบ แล้วเอาปูออกมาแยกขนาด ใส่ไว้ในน้ำให้มันไม่ตายจนกว่าจะถึงฝั่ง เพราะปูเป็นขายได้ราคาดีกว่าปูตาย


ฟังดูเหมือนไม่มีอะไรยาก แต่ที่ยากคือ ทุกอย่างที่ทำต้องทำบนเรือท่ามกลางคลื่นซัดตลอดเวลา ไม่มีหยุดนิ่งให้หายใจหายคอแม้แต่นิดเดียว อากาศและน้ำหนาวเย็นจัด คนงานจึงทำงานเหมือนหุ่นยนต์ กัดฟันอดทนให้มันผ่านไป เวลาพักก็หลับเป็นตายเพื่อจะตื่นมาสู้กับงานใหม่ เป็นเช่นนี้กันไปวันๆ

 


และเห็นอยู่ไกลโพ้นและหนาวเย็นเช่นนี้ เชื่อหรือไม่กรรมกรที่ไปทำงานมากที่สุดคือ คนจีน คนจีนคนหนึ่งแววตาแกแบบตายเป็นตาย บอกว่าผมพร้อมเสี่ยง เพราะเงินที่ได้มันเท่ากับผมต้องทำงานตลอด 2 ปี แกบอกว่าบ้านแกไม่เคยหนาวเกิน 15 องศาเซลเซียส แต่แกมาทำงานกลางทะเลที่อุณหภูมิติดลบ 10 องศาเซลเซียส เอากับแกสิ


เมื่อเรือขนปูมาถึงฝั่งก็จะมีเจ้าหน้าที่ด้านคุณภาพอาหารตรวจดู เจอปูล็อตไหนมีปัญหาเรื่องสารปนเปื้อนก็ต้องกำจัด แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเจอ เพราะทะเลอาร์กติกทั้งไกล ทั้งหนาวเย็น ทั้งคลื่นแรง ไม่มีใครที่ไหนอยากไปทำอะไรปนเปื้อนแถบนั้นแน่ ทะเลแถบนั้นมีแต่นักวิจัยแขนงต่างๆ กองเรือป้องกันชายฝั่งของอเมริกา แล้วก็บรรดาเรือประมงหาปูหาปลาเท่านั้น

 


นัก ท่องเที่ยวที่ไปอลาสก้าเขาจะมีโปรแกรมทัวร์พาไปตกปลาในทะเลหนาวเหน็บไป จับปูแต่อันนั้นคือทำโชว์ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปอวดกันเฉยๆจับกันแบบไก่กา การจับปลาจับปูแท้จริงของอลาสก้านั้นโหดเหนือโหด ดังนั้น ใครที่มีรูปจับปูจับปลาเล่นแบบนักท่องเที่ยวแถวอลาสก้า อย่าเอามาอวดเชียว


ฉันเคยถามเชยๆ ว่า ทำไม เขาไม่เพาะเลี้ยงปูเอาล่ะ จะต้องไปเสี่ยงชีวิตคนออกไปกลางทะเลลึกทำไม เจอเขาย้อนถามว่า จะเลี้ยงทำไม ในเมื่อกลางทะเลมันมีอยู่มากมาย จับเท่าไหร่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมด เออ! สินะ


นอกจากจ้องจะกินมันนักหนาแล้ว ฉันเห็นนักท่องเที่ยวที่ไปอลาสก้าชอบถ่ายรูปกับปูยักษ์ตัวเป็นๆ ปล่อยให้มันดิ้นดุ๊กดิ๊ก ดิ้นรนจะเป็นอิสระโดยไม่ใส่ใจในความทุกข์ใจของมัน พากันแหกแข้งแหกขาปูแล้วยิ้มร่า เอามาอวดลูกหลาน คือจะกินมันเลยก็ไม่กิน ทรมานทรกรรมเขาอยู่นั่นแหละ


ฉันสงสัยว่า คนพวกนี้ป่วยหรือเปล่า?

 

 

 

18 ตุลาคม 1867 หรือเมื่อประมาณ145ปีที่แล้ว เป็นวันที่อะแลสกาของรัสเซีย เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐโดยสมบูรณ์ โดยในวันนั้น ที่เมือง โนวา - อาร์คานเกลสค์ เมืองหลวงอะแลสกาของรัสเซีย ที่ต่อมาถูกเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมคือ ซิทก้า ได้มีพิธีส่งมอบคาบสมุทรแห่งนี้ให้กับสหรัฐ

 

ตาม ประวัติ เชื่อว่าคนเชื้อสายเอเชีย อพยพข้ามช่องแคบแบริ่ง เข้ามาลงหลักปักฐานที่อะแลสการาวเมื่อ 1 หมื่น 2 พันปีก่อน การเข้าไปติดต่อกับคนที่นี่ของชาวยุโรป เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1741 เมื่อ วิตุส แบริ่ง เดินทางไปที่นั่นกับเรือเซ็นต์ปีเตอร์ เพื่อทำการสำรวจให้กับกองทัพเรือรัสเซีย และเมื่อคณะสำรวจกลับออกมา ขนสัตว์จากที่นั่นก็ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพดีเยี่ยม คณะนักค้าขนสัตว์เล็กๆจึงเริ่มมาที่อะแลสกา โดยหลักฐานการตั้งหลักฐานของชาวยุโรปที่นี่ว่าเกิดขึ้นในปี 1784

 

ตั้งแต่ ช่วงต้นจนถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 1800 รัสเซียและสหรัฐเริ่มเข้ามาสำรวจอะแลสกา เพื่อโครงการขยายอาณานิคม แต่รัสเซียไม่เคยผนวกอะแลสกาเป็นอาณานิคมโดยสมบูรณ์ และก็ไม่ได้หาประโยชน์จากดินแดนแห่งนี้มากนัก ผิดกับฝ่ายสหรัฐที่ได้แสดงความสนใจในดินแดนแห่งนี้

 

ข้อ ตกลงเรื่องการขายอะแลสกา ลงนามโดยนายวิลเลี่ยม เซวาร์ด รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเมื่อ 30 มีนาคม 1867 งานนี้ ฝ่ายอเมริกันต้องจ่ายเป็นค่าดินแดนขนาด 1 ล้าน 5 แสนตารางกิโลเมตรเพียง 7 ล้าน 2 แสนดอลล่าร์ หรือเทียบเท่ากับ 11 ล้านรูเบิ้ลทองคำ

 

ใน ยุคปัจจุบันนี้ นักประวัติศาสตร์หลายคนออกมาตำหนิการตัดสินพระทัยขายอะแลสกาของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ว่ามองการณ์ใกล้ และไม่มีความรักชาติเอาเสียเลย ขายไปได้ยังไง คนรัสเซียที่อยู่ที่นั่นก็ตั้งมากมาย แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนบอกว่าในยุคที่ขายนั้น คนรัสเซียในอะแลสกามีอยู่แค่ไม่กี่ร้อยคน ทรัพยากรธรรมชาติมีค่าอะไรก็ยังหาไม่พบ

 

ส่วนทางฝ่ายสหรัฐฯ หลายคนในยุคนั้น มองไม่เห็นประโยชน์ของการซื้ออะแลสกา ดินแดนที่ทั้งไกลก็ไกล ร้างผู้คนก็ร้าง สื่อมวลชนในยุคนั้นก็ล้อเลียนรัฐบาลว่าเสียเงินไปมากมายเพื่อซื้อก้อนน้ำแข็ง ถึงขั้นมีข่าวลือว่า นักการทูตรัสเซียยัดเงินใต้โต๊ะ ให้ข้าราชการสหรัฐเดินเรื่องเพื่อให้มีการซื้อขาย เพิ่งจะปลายศตวรรษที่ 19 เท่านั้น ที่เริ่มมีการค้นพบทองคำ ต่อมาก็ยังพบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีกมากมายมหาศาล

 

ตอน แรกเมื่อมาอยู่กับสหรัฐ อะแลสกา อยู่ในการดูแลของกระทรวงการทหาร ต่อมาก็ถูกยกระดับสถานะเรื่อยมา จนได้เป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐ เมื่อ 1959

 

พื้นที่ 1,717,855 ตร.กม. ประชากร 626,932 คน

 

 

 

......

Deadliest Catch เป็นชื่อเรียก ของอาชีพๆหนึ่ง

 

ที่เรียกเป็นภาษาไทยให้เข้าใจง่ายๆว่า อาชีพจับปูอลาสก้านั่นเอง

.
จับปู แล้วจะรวย และเสี่ยงตายได้อย่างไร ? ความจริงก็คือ

 

อาชีพจับปูอลาสก้านั้น ถือเป็นอาชีพที่ทำรายได้งดงามมากๆ

 

แต่ก็ถือเป็นอาชีพที่เสี่ยงตายที่สุดในโลกอาชีพหนึ่งเช่นกัน!!!

 

…..
ลองดูราคาปูกันก่อนดีกว่า สำหรับปูอลาสก้านั้น

 

ในประเทศไทยจะมีราคาสูงถึง กิโลกรัมละ 3,000 บาทโดยประมาณ

 

และจะแพงกว่านี้ ถ้าหากถูกนำไปขายในประเทศที่นิยมกินปูอลาสก้ากัน

 

ลองคิดดูว่า ปูอลาสก้าตัวนึง ที่เป็นปูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

 

จะมีน้ำหนักประมาณสักกี่กิโลกรัมกัน??

 

……

....

หนึ่งในผู้ทำอาชีพนี้กล่าวว่า เค้าได้เงินหลังจากการจับปูอลาสก้า

 

ครั้งละประมาณ 5 แสนบาทเลยทีเดียว และ 4-5 แสนบาทเนี่ย

 

ใช้เวลาเตรียมตัว เตรียมเรือประมาณ 2 เดือน

 

แต่การออกเดินทางจับปูอลาสก้าใช้เวลาเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น

 

และคนส่วนใหญ่ที่ทำอาชีพนี้ จะออกไปรับงานอย่างอื่นทำ

 

ในช่วงที่หมดเทศกาลจับปูอลาสก้า

 

……
ฟังดูดีนี่ แล้วอะไรกันคือความเสี่ยงตาย ?

.

ปูอลาสก้า ก็ต้องอยูที่ อลาสก้าน่ะสิ แล้วทำไมน่ะหรอ

 

ง่ายๆเลยคือ ทะเลที่อาศัยของเหล่าปูอลาสก้านั้น

 

จะประกอบไปด้วย คลื่นลมแรง และสูงอย่างต่ำ 7 - 10 เมตรตลอดเวลา

 

ทำให้เรือนั้นไม่มีทางที่จะอยู่นิ่งๆได้เลย

 

นอกจากนี้ ด้วย อุณหภูมิ ประมาณ 0 องศา นั้น

 

ก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำทะเลที่กระฉอกเข้ามาในเรือกลายเป็นน้ำแข็งได้ทันที

.
ในขณะที่กำลังหาปลาอยู่ท่ามกลางอุณหภูมิ ต่ำกว่า 0 องศาเช่นนี้

 

ภายในน้ำทะเล จะยิ่งมีความเย็น

 

ไม่ต่างจากการลงไปแช่ในน้ำแข็งสักเท่าไหร่นัก

 

.....

 

และทุกๆครั้งที่มีเทศกาลจับปูอลาสก้าเกิดขึ้น

 

จะต้องมีผู้เสียชีวิตเป็นเรื่องธรรมดา

 

และสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตนั้น

 

ก็คือการที่ผู้จับตกลงไปในน้ำซึ่งหนาวจัด

 

และเกิดภาวะ สูญเสียความร้อนอย่างเฉียบพลัน นั่นเอง
…….

 

เรือทุกลำที่ออกไปตามบริเวณต่างๆเพื่อหาปูอลาสก้า

 

จะเรียกได้ว่า พร้อมจะช่วยเหลือกันอยู่ตลอดเวลา

 

จะไม่มีเลยที่ว่า ตำแหน่งใครมีปูเยอะ เราก็จะจับคนเดียว

 

หากแต่ยังเรียกบรรดาเรือใกล้เคียงให้มาช่วยกันจับอีกด้วย

 

ซึ่งถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าประทับใจ

 

และที่สำคัญ หากมีลูกเรือลำใด ตกลงไปในน้ำ

 

เรืออื่นที่ใกล้เคียง จะรีบมาช่วยกัน ทันที

 

โดยคิดว่า ถ้าหากเป็นเราตกลงไปในน้ำ

 

เราคงต้องอยากที่จะได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกัน

 

เพราะโอกาสโชคร้ายแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว

 

…..
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ต้องกังวลอีกมาก

 

ไม่ว่าจะเป็นขนาดของปูที่จับได้นั้น

.

จะต้องตรงตามที่กฏหมายกำหนดเท่านั้น

 

มิเช่นนั้นอาจถูกเพิกถอนใบอณุญาติกันได้ทันทีเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                 ความผิดลหุโทษ

                                                          เขียนโดย ลีลา LAW

 

 

 

                                                        

 

 

 

ความผิดลหุโทษ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหมวดหนึ่งซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แม้จะได้กระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้โดยไม่มีเจตนา ก็ต้องรับโทษ ซึ่งแตกต่างจากการกระทำผิดอาญาอื่นๆที่ต้องรับโทษเมื่อกระทำโดยเจตนาเท่านั้น ทั้งนี้เพราะความผิดในหมวดนี้เน้นการป้องกันและระงับข้อพิพาทระหว่างบุคคลมิให้ลุกลามใหญ่โต ไม่ใช้สิทธิของตนในการก่อความรำคาญแก่ผู้อื่นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข

 

ตัวอย่างลักษณะความผิดลหุโทษที่น่าสนใจ เช่น

1. มาตรา 367 ผู้ใดเมื่อเจ้าพนักงานถามชื่อหรือที่อยู่เพื่อปฏิบัติการตามกฎหมาย ไม่ยอมบอกหรือแกล้งบอกชื่อหรือที่อยู่อันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 100 บาท

 

2. มาตรา 370 ผู้ใดส่งเสียง ทำให้เกิดเสียง หรือกระทำความอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 100 บาท

 

3. มาตรา 371 ผู้ใดพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุสมควร หรือพาไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการ การรื่นเริง หรือการอื่นใด ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 100 บาท และให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบอาวุธนั้น

 

4. มาตรา 372 ผู้ใดทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณะหรือสาธารณสถานหรือกระทำโดยประการอื่นใดให้เสียความสงบเรียบร้อยในทางสาธารณะหรือสาธารณสถาน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

 

5. มาตรา 374 ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิตซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่น แต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

6. มาตรา 378 ผู้ใดเสพย์สุราหรือของเมาอย่างอื่น จนเป็นเหตุให้ตนเมา ประพฤติวุ่นวาย หรือครองสติไม่ได้ขณะอยู่ในถนนสาธารณะ หรือสาธารณสถาน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

 

7. มาตรา 383 ผู้ใดเมื่อเกิดเพลิงไหม้หรือสาธารณภัยอื่น และเจ้าพนักงานเรียกให้ช่วยระงับ ถ้าผู้นั้นสามารถช่วยได้ แต่ไม่ช่วย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

8. มาตรา 384 ผู้ใดแกล้งบอกเล่าความเท็จให้เลื่องลือจนเป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

9. มาตรา 390 ผู้ใดกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

10. มาตรา 397 ผู้ใดในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารกำนัล กระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการรังแกหรือข่มเหงผู้อื่น หรือกระทำให้ผู้อื่นได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ปกติการกระทำผิดอาญาในขั้นพยายามหรือการเป็นผู้สนับสนุน ต้องรับโทษอาญาลดหลั่นกันไปตามลักษณะความผิดที่เกิดขึ้น แต่สำหรับความผิดลหุโทษแล้ว ถือเป็นความผิดอาญา แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะประมวลกฎหมายอาญาได้กำหนดมิให้ต้องรับโทษฐานพยายามทำผิดลหุโทษหรือฐานเป็นผู้สนับสนุน

รูปแบบความผิดลหุโทษดังกล่าวข้างต้นนั้น มักเกี่ยวกับการกระทบกระทั่งของบุคคลที่อาจก่อความวุ่นวายในสังคม หรือช่วยส่งเสริมให้คนมีน้ำใจช่วยเหลือกัน หรือป้องปรามมิให้ความผิดอาญาขยายหนักเกินเหตุ

 

สถานการณ์ที่หลายท่านมักพบเห็นบ่อยครั้งและอาจถูกลงโทษได้ เช่น ชาวบ้านทะเลาะตีกัน เมาแล้วอาละวาดทำร้ายคนอื่น ชายตบตีเมียหรือลูกตามข้างถนน นักเลงข่มขู่ชาวบ้านให้กลัวเพื่อรีดไถ ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน เห็นคนอยู่ในอันตรายแล้วไม่ยอมช่วย ทั้งที่ช่วยได้ เป็นต้น หากประชาชนพบความผิดที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายหรือวุ่นวายอันมีลักษณะละเมิดสิทธิของท่าน เพียงแจ้งร้องเรียนกับตำรวจในเขตท้องที่ซึ่งเกิดเหตุความผิด ผู้กระทำผิดจักได้รับการตักเตือนอย่างมีเมตตาหรือลงโทษตามกฎหมายแล้วแต่ดุลพินิจของตำรวจซึ่งล้วนทำเพื่อรักษาความปลอดภัยและความสงบสุขของประชาชนตามอำนาจที่กฎหมายกำหนดไว้

 

 

 

 

 

 

************************

 

 ถาม

ผมอยู่ในคอนโดกึ่งโรงแรม คือครึ่งหนึ่งของตึกเป็นโรงแรมอีกครึ่งเป็นคอนโด ผมอยู่ในส่วนคอนโด แต่ข้างห้องผมนั้นเจ้าของห้องปล่อยห้องเช่าให้กับนักท่องเที่ยว แขกส่วนใหญ่เป็นฝรั่งและตะวันออกกลางซึ่งสูบบุหรี่จัดมาก มักจะออกมายืนสูบที่ระเบียงห้องเพื่อชมวิว ผมเลยได้ควันบุหรี่เต็มๆ เคยคอมเพลนกับเจ้าของห้องไปครั้งสองครั้งแต่ปัญหาก็ยังเหมือนเดิม ผมเดาเอาว่าเขาคงไม่ได้สนใจ


เคยดูกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องบุหรี่ ซึ่งว่าตามคอนโดหรือโรงแรมนั้นสูบได้เฉพาะในห้องส่วนตัว ผมก็ไม่รู้ว่าระเบียงนี่ถือเป็นห้องส่วนตัวหรือเปล่าแต่มันก็รบกวนผู้อื่นได้แบบเดียวกับมายืนสูบตามทางเดิน คำถามคือถ้าผมจะห้ามห้องข้างๆไม่ให้สูบบุหรี่บนระเบียงนี่ ผมทำได้มีสิทธิ์ตามกฎหมายหรือเปล่า และการที่เจ้าของห้องไม่ได้เป็นคนสูบแต่แขกเขาสูบนี่ ตัวเจ้าของห้องมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรตามกฎหมายหรือเปล่า ขอบคุณครับ

 

ตอบ

สถานที่สาธารณะ” หมายความว่า สถานที่หรือยานพาหนะใด ๆ ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้..ดังนั้น....ระเบียงน่าจะเป็นสถานที่สาธารณะ ตาม พรบ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 มาตรา 3 จึงห้ามสูบบุหรี่ ถ้าฝ่าฝืน ต้องปรับไม่เกินสองพันบาท ตาม มาตรา 12....ผู้ดำเนินการ คือเจ้าของห้อง ไม่ จัดให้มีเครื่องหมายในเขตสูบบุหรี่หรือเขตปลอดบุหรี่ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนด จะมีโทษปรับสองพันบาท เช่นกัน ตาม มาตรา 11 ครับ

 

ขอถามเพิ่มเติมนะครับ

อย่างกรณีเพื่อนบ้านรบกวนไม่ว่าด้วยอะไรก็แล้วแต่เช่น เปิดเพลงเสียงดัง ทะเลาะกันตึงตัง รวมไปถึงควันบุหรี่นี่ เราสามารถโทรแจ้งตำรวจได้หรือเปล่าครับ มันเป็นหน้าที่ของตำรวจหรือเปล่าครับ

 

 ตอบ

ก็แจ้งได้ แต่มีโทษน้อย คือปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท บางทีตำรวจอาจไม่สนใจก็ได้ครับ
มาตรา 370 ผู้ใดส่งเสียง ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท

 

 

 

 

 

 

 
 

 

 

                เอาแล้วไง ทั่นนายกฯของผมเจอรับน้องซะแล้ว

 
โรงเรียนยังไม่ทันเปิด แต่กิจกรรมรับน้องใหม่ดันเริ่มต้นขึ้นแล้วละครัชชชชชช


'มาร์ค' แนะเร่งปฏิรูปฯ หาก 'บิ๊กตู่' นั่งนายกฯ

วันที่ 19 ส.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนยังเป็นห่วงเรื่องการปฏิรูปพลังงาน เพราะเกรงว่าผู้ที่เข้ามาเป็นกรรมการสรรหาเป็นคนที่อยู่กับระบบพลังงานอยู่แล้ว จะไม่สนับสนุนผู้ที่มีแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน จึงต้องตีโจทย์ให้ชัด เช่น ปัญหาเรื่องท่อก๊าซที่ตีโจทย์ยังไม่ถูก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ต้องแยกมาเป็นบริษัท แต่ความจริงคือมีการผูกขาดโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่เป็นธรรม รูปแบบที่เหมาะสมไม่ใช่เฉพาะคู่แข่งของผู้ประกอบการด้านพลังงาน แต่ต้องเป็นธรรมกับทั้งประเทศและประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรนี้

"ตอนนี้จะพยายามแยกบริษัทออกมาแล้วบอกว่า สร้างความเป็นธรรมระหว่างบริษัทคู่แข่งขันท่อก๊าซเท่านั้น ทั้งที่โดยหลักแล้วผู้ที่จะมาบริหารจุดนี้จะต้องเป็นอิสระ ไม่ควรมีส่วนได้ส่วนเสียกับการประกอบธุรกิจพลังงานในส่วนอื่น และท่อก๊าซไม่ควรเป็นของผู้ที่มีส่วนได้เสียทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ซึ่งรัฐต้องมาคิดว่าจะใช้กลไกใดในการแก้ไขปัญหานี้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

http://www.thairath.co.th/content/444310

ปล.หลังจากพูดเสร็จ วันรุ่งขึ้นขบวนการได้เริ่มเดินขบวนขานรับทันที แต่โดนทหารสกัดไว้ทันที



ด่วน! ทหารห้ามกลุ่มปฏิรูปพลังงานเดินเท้าเข้ากทม. พร้อมเชิญแกนนำเข้าค่าย!

รายงานข่าวจากจังหวัดสงขลาเมื่อเวลา 15.10 น.วันที่ 20 สิงหาคมนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจาก มณฑลทหารบกที่ 42 ค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ ร่วมกับฝ่ายปกครองอำเภอรัตภูมิและตำรวจภูธรรัตภูมิ ได้ร่วมกันเชิญตัวแกนนำ เครือข่ายขาหุ้น ปฏิรูปพลังงาน ที่อยู่ในช่วงการทำกิจกรรมเดินเท้าเข้าสู่ กทม.ภายใต้แนวคิด”เดินวันละโยชน์ เพื่อประโยชน์คนทั้งชาติ”อยู่ในพื้นที่อำเภอรัตภูมิ โดยเชิญตัวผู้ร่วมกิจกรรมรวม 14 คน ที่นำโดย นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.รพ.จะนะ จ.สงขลา นายประสิทธิชัย หนูนวล ซึ่งเป็นแกนนำหลักในการเดินเท้าครั้งนี้ โดยได้ขึ้นรถบัสของ มทบ.42 ที่มีรถฮัมวี่นำ มุ่งหน้าไปยัง มทบ.42 อ.หาดใหญ่ พร้อมจัดเก็บธงสัญลักษณ์ในการทำกิจกรรมต่างๆไปทั้งหมด



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1408527423

นี่ขนาดยังไม่เริ่มต้นทำงานของท่านนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ที่รักยิ่งของพวกเราท่านอภิสิทธิ์ ยังรับน้องจัดม๊อบมาเตรียมต้อนรับขนาดนี้ ซึ่งการทำอย่างนี้คงเป็นการส่งสัญญาณแจ้งเตือนก่อนว่าหากทางท่านไม่ทำตามสิ่งอันต้องประสงค์ของกระผม อนาคตการทำงานของท่านอาจจะไม่ราบเรียบ ราบรื่น เพราะท่านจะต้องเจอกับสารพัดม๊อบที่กระผมจะปลุกขึ้นมาจากทางภาคใต้ถิ่นของพลพรรคของกระผมนะขอรับ หึ หึ หลังจากนี้ต่อไป คงต้องจับตามองให้ดี คงมีอะไรสนุกๆอีกเยอะให้ดูละครับท่าน

 

 

 

 

 

 

สหรัฐฯ ส่งหน่วยรักษาดินแดนคุมเฟอร์กูสัน ผลชันสูตรศพชี้ “วัยรุ่นผิวสี” ถูก ตร.ยิง 6 นัด

 

 

 

สหรัฐฯ ส่งหน่วยรักษาดินแดนคุมเฟอร์กูสัน ผลชันสูตรศพชี้ “วัยรุ่นผิวสี” ถูก ตร.ยิง 6 นัด
เอเจนซีส์ – รัฐมิสซูรีส่งกองกำลังรักษาดินแดนไปควบคุมสถานการณ์ในเมืองเฟอร์กูสัน หลังจากผู้ประท้วงยังคงปะทะกับตำรวจก่อนมาตรการเคอร์ฟิวมีผลเป็นวันที่สอง ขณะที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ สั่งชันสูตรศพ ไมเคิล บราวน์ หนุ่มวัยรุ่นผิวสีที่ถูกตำรวจยิงดับโดยเร็วที่สุด ด้านนิวยอร์กไทม์สรายงานผลการชันสูตรเบื้องต้นว่า บราวน์ ซึ่งถูกตำรวจผิวขาวยิงเสียชีวิตเมื่อต้นเดือนจนเป็นที่มาของการจลาจลในเฟอร์กูสัน ถูกยิงทั้งหมด 6 นัด โดย 2 นัดพุ่งเข้าศีรษะ

 

 

เจย์ นิกสัน ผู้ว่าการรัฐมิสซูรี ลงนามคำสั่งในการส่งกองกำลังรักษาดินแดนไปยังเมืองเฟอร์กูสันเมื่อวันจันทร์ (18) เพื่อฟื้นความสงบเรียบร้อยและปกป้องพลเมือง โดยการตัดสินใจนี้มีขึ้นหลังจากตำรวจปะทะกับกลุ่มชนที่โกรธแค้นก่อนมาตรการเคอร์ฟิวมีผลในคืนที่สองเพียงไม่นาน

รายงานระบุว่า การชุมนุมอย่างสงบตลอดช่วงกลางวันวันอาทิตย์ (17) เปลี่ยนเป็นความรุนแรงทันทีเมื่อเข้าสู่ช่วงพลบค่ำ โดยหลังจากเจ้าหน้าที่สั่งให้ผู้ชุมนุมสลายตัว ผู้ชุมนุมจำนวนมากล่าถอยกลับบ้าน แต่ยังมีอีกราว 100 คนที่ปักหลักห่างจากตำรวจ 2 ช่วงตึก กระทั่งตำรวจต้องยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปหนึ่งชุด

กระนั้นก็ดี ผู้ประท้วงยังนำคอนกรีตบล็อกมาขวางบนถนนใกล้ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งที่ถูกเผาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เพื่อไม่ให้รถตำรวจเข้าไปได้ และมีการเผาถังขยะในบริเวณใกล้เคียง รวมทั้งมีเสียงปืนดังประปรายห่างออกไปหลายช่วงตึก และมีการการปล้นร้านค้าเกิดขึ้นด้วย

ตำรวจสามารถเคลียร์พื้นที่บนถนนเวสต์ฟลอริสแซนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทางสัญจรหลักของชุมชนภายในเวลาสองชั่วโมง และถนนสายต่างๆ กลับสู่ความเงียบสงบเมื่อมาตรการเคอร์ฟิวเริ่มต้นขึ้นในเวลาเที่ยงคืน และมีผลจนถึง 5.00 น. วันจันทร์ (18)

รอน จอห์นสัน ผู้บัญชาการตำรวจทางหลวงมิสซูรีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสถานการณ์ในเฟอร์กูสัน แถลงเมื่อวันจันทร์ (18) ว่า ผู้ประท้วงขว้างระเบิดขวดใส่กองกำลังความมั่นคงจนทำให้เจ้าหน้าที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบโต้

“สำหรับผู้ที่อ้างว่าเคอร์ฟิวนำไปสู่ความรุนแรง ผมขอย้ำว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนเริ่มเคอร์ฟิว 3 ชั่วโมงครึ่ง” จอห์นสัน กล่าว พร้อมสำทับว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 2 คนจากกระสุนปืน

 

 

สหรัฐฯ ส่งหน่วยรักษาดินแดนคุมเฟอร์กูสัน ผลชันสูตรศพชี้ “วัยรุ่นผิวสี” ถูก ตร.ยิง 6 นัด

 

 

 ทั้งนี้ เหตุการณ์สังหาร บราวน์ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อกระแสความตึงเครียดด้านเชื้อชาติรุนแรงระหว่างชุมชนคนผิวสีกับสำนักงานตำรวจเฟอร์กูสันที่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันผิวขาว นำไปสู่การปะทะหลายครั้งจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องขอให้ตำรวจทางหลวงของรัฐเข้ารับผิดชอบสถานการณ์แทนตำรวจท้องที่

ตำรวจเฟอร์กูสันยังใช้เวลาถึง 6 วันจึงจะเปิดเผยว่า ผู้ที่ยิง บราวน์ คือ ดาร์เรน วิลสัน ซึ่งเป็นนายตำรวจที่รับราชการมานาน 6 ปีโดยไม่เคยมีประวัติถูกร้องเรียน พร้อมกันนี้ยังมีการเปิดเผยเอกสารหลักฐานที่กล่าวหาว่า บราวน์ ขโมยของในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งก่อนที่จะถูกยิงเสียชีวิต

โธมัส แจ็กสัน ผู้บัญชาการตำรวจเฟอร์กูสัน ให้สัมภาษณ์รายการ “ดีส วีก” ของสำนักข่าวเอบีซีเมื่อวันอาทิตย์ (17) ว่า ไม่รู้มาก่อนว่าจะมีการเผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านที่ บราวน์ ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปขโมยบุหรี่ซองละ 49 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ คนส่วนใหญ่โกรธแค้นเพราะรู้สึกว่าเป็นความพยายามใส่ความเด็กหนุ่มที่ถูกยิงเสียชีวิต

นอกจากนี้ ตำรวจยังพาดพิงถึงการเผชิญหน้าระหว่าง บราวน์ กับ วิลสัน น้อยมาก โดยระบุเพียงว่า มีการต่อสู้กันซึ่ง วิลสัน ได้รับบาดเจ็บและ บราวน์ ถูกยิง ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า บราวน์ ชูมือเหนือศีรษะขณะที่ วิลสัน ระดมยิงเข้าใส่เขาหลายนัด

ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของ ดร. ไมเคิล เบเดน อดีตหัวหน้าคณะแพทย์ผู้ตรวจสอบของนิวยอร์กซิตีว่า บราวน์ ถูกยิงอย่างน้อย 6 นัด โดย 2 นัดเจาะเข้าที่ศีรษะ และอีก 4 นัดที่แขนขวา โดยกระสุนทั้งหมดยิงเข้าทางด้านหน้า

การเรียกร้องของครอบครัว บราวน์ ทำให้ อีริก โฮลเดอร์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ สั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางชันสูตรศพ บราวน์ เป็นครั้งที่ 3 “โดยเร็วที่สุด” และนำผลการชันสูตรไปพิจารณาประกอบการตรวจสอบกรณีการละเมิดสิทธิพลเมืองของกระทรวงยุติธรรม

เดวิด เวนสไตน์ อดีตอัยการรัฐที่รับผิดชอบด้านสิทธิพลเมืองของสำนักงานอัยการไมอามี เปิดเผยว่า การชันสูตรของรัฐบาลจะมุ่งเน้นจุดที่กระสุนเจาะเข้าสู่ร่างกาย ตลอดจนบาดแผล และรอยฟกช้ำจากการป้องกันตัว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวน และเสริมว่าคำสั่งชันสูตรศพของกระทรวงยุติธรรมไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังเป็นเพราะรัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนที่กังวลว่า จะไม่มีการดำเนินการใดๆ กับคดีนี้

 

สหรัฐฯ ส่งหน่วยรักษาดินแดนคุมเฟอร์กูสัน ผลชันสูตรศพชี้ “วัยรุ่นผิวสี” ถูก ตร.ยิง 6 นัด

 

 

สหรัฐฯ ส่งหน่วยรักษาดินแดนคุมเฟอร์กูสัน ผลชันสูตรศพชี้ “วัยรุ่นผิวสี” ถูก ตร.ยิง 6 นัด


 
สหรัฐฯ ส่งหน่วยรักษาดินแดนคุมเฟอร์กูสัน ผลชันสูตรศพชี้ “วัยรุ่นผิวสี” ถูก ตร.ยิง 6 นัด

 

 

 

นางแอนนา เม บูลล็อก ที่ผู้อ่านท่านที่เคารพรู้จักกันในวงการเพลงในชื่อ ทินา เทอร์เนอร์ คนนี้เป็นนักร้องแนวโซลอาร์แอนด์บีที่ชื่อดังมากนะครับ ตอนนี้แกประกาศสละสัญชาติอเมริกันและยื่นเรื่องขอเป็นพลเมืองสวิสกับรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ผมเชื่อว่าผู้อ่านท่านที่เคารพจำนวนไม่น้อยเป็นสมาชิกของเครือข่ายสังคมออนไลน์หมายเลข 1 ของโลกอย่างเฟซบุ๊ก ท่านที่ตามประวัติความเป็นมาของเฟซบุ๊กก็คงจะทราบนะครับว่า ผู้ร่วมก่อตั้งคนหนึ่งของเฟซบุ๊กคือ เอดูอาร์โด ซาเวริน ซึ่งนายคนนี้ก็ประกาศสละสัญชาติอเมริกันและหันไปยื่นเรื่องขอถือสัญชาติสิงคโปร์สำเร็จแล้วเช่นกัน

 

ตอนนี้มีคนอเมริกันขอสละสัญชาติอเมริกันกันเยอะมาก แค่ 6 เดือนแรกของ พ.ศ.2557 มี 1,577 คน ปีที่แล้ว พ.ศ. 2556 มี 2,999 คน และตอนนี้มีแนวโน้มว่าจะมีคนยื่นเรื่องขอสละสัญชาติอเมริกันกันเยอะมากขึ้น ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีเงินได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในอัตราที่สูงกว่าหลายประเทศ ซึ่งตอนนี้สูงถึง 39.6%

 

สหรัฐฯเป็นประเทศเดียวในโลกที่เรียกเก็บภาษีกับพลเมืองที่ไม่ได้มีถิ่นพำนักอยู่ในสหรัฐฯ ในอัตราและเงื่อนไข ‘เดียวกัน’ กับพลเมืองอเมริกันที่อาศัยอยู่ในประเทศ

 

สภาพความเป็นอยู่ในสหรัฐฯ กำลังถูกวิจารณ์อย่างมากครับ นอกจากจะเรื่องภาษีมหาโหดแล้ว ก็ยังมีเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของคนผิวที่ต่างกัน ชนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ ทำอะไรผิดนิดหน่อยก็มักจะถูกเจ้าหน้าที่ใช้กำลังจับกุม บางทีก็มีการยิง หรือรุมยิงกันจนเสียชีวิต

 

ถ้าเป็นสมัยก่อนตอนที่ยังไม่มีเครือข่ายสังคมออนไลน์ การรุมจับและรุมฆ่าชนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ ก็เป็นแต่เพียงข่าวที่เป็นตัวอักษร หรืออย่างมากก็เป็นภาพข่าวซึ่งเป็นภาพนิ่ง แต่สมัยนี้การถ่ายภาพเคลื่อนไหวทำได้ง่าย และการนำมาลงในเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็ทำให้ภาพเคลื่อนไหวพวกนี้แพร่ขยายกระจายไปได้ไวขึ้น เรื่องที่แพร่ภาพและแพร่เรื่องราวอยู่ในอินเตอร์เน็ตนี่แหละครับ ทำให้คนแขยงแขงขนและกลัวการถือสัญชาติอเมริกัน ทำให้สหรัฐอเมริกามิได้เป็นดินแดนในฝันของประชาชนคนทั้งโลกอีกต่อไป

 

2 ปีที่แล้ว สตรีอเมริกันเชื้อสายจีนอายุ 44 ปีคนหนึ่ง เดินเข้าไปในร้านแอปเปิลสโตร์ที่เมืองนิวทาวน์ รัฐแมสซาชูเสตต์ เธอขอซื้อไอโฟน 4 เครื่อง สุภาพสตรีชาวจีนคนนี้พูดจาภาษาอังกฤษไม่เก่งและก็ไม่รู้มาก่อนว่าแอปเปิลสหรัฐฯ มีนโยบายจำหน่ายโทรศัพท์มือถือไอโฟนให้แก่ลูกค้าคนละ 2 เครื่องเท่านั้น เธอคิดแต่เพียงว่าเธอมีเงินก็อยากจะซื้อไปฝากญาติที่เมืองจีน เมื่อพนักงานของแอปเปิลปฏิเสธการขาย เธอก็ไม่ออกไปจากร้าน

 

พนักงานแอปเปิลโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจ ตำรวจ 2 คนมาถึงก็ใช้ที่ช็อตไฟฟ้าช็อตจนเธอล้มลงไปนอนกับพื้นและร้องอย่างโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ผู้หญิงจีนตัวเล็กนิดเดียว ตำรวจสหรัฐฯ ตัวใหญ่โตยังนั่งคร่อมเธอและใช้ที่ช็อตไฟฟ้าช็อตไปที่ตัวเธออย่างไม่หยุด

 

9 สิงหาคม พ.ศ.2557 นายบราวน์ ชาวผิวสี อายุ 18 ปี เข้าไปขโมยซิการ์ 1 กล่อง ราคา 50 ดอลลาร์ ในร้านสะดวกซื้อ เมื่อตำรวจผิวขาวมาถึง ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงดอกครับ ยิงวัยรุ่นผิวสีคนนี้ตายกลายเป็นผีทั้งที่ไม่มีอาวุธและชูมือเปล่าขึ้นไปในอากาศ ซึ่งเป็นลักษณะอาการที่บอกว่า ผมยอมแล้ว ผมยอมให้จับแล้ว ในประเทศอื่น ตำรวจจะไม่ฆ่าผู้ร้ายที่ยกมือขึ้นไปในอากาศในลักษณะยอมจำนน แต่ตำรวจอเมริกันผิวขาวคนนี้ไม่ยอมครับ กระหน่ำยิงซะจนตาย ตอนนี้ก็เลยมีการประท้วงกันใหญ่ แอฟริกันอเมริกัน ละตินอเมริกัน เอเชียนอเมริกัน ต่างก็มาร่วมเดินประท้วงกันมากและนานจนผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศเคอร์ฟิว

 

อเมริกาไม่ใช่ดินแดนในฝันของมนุษย์อีกต่อไป.

 

คุณนิติ นวรัตน์

 

 

                       
 

 

คุณค่าทั้งหลายในโลกที่ยึดถือกันในปัจจุบันไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง สิ่งที่ดูเหมือนดูจะเป็นของปกติธรรมดา ทุกอย่างต้องมีก้าวแรก และก้าวแรกนี่เอง ที่จะต้องถูก "รับน้อง" จากค่านิยมความเชื่อเก่าๆ แรงต้านทานความเปลี่ยนแปลงนั้นรุนแรงเสมอ ดังตัวอย่างสำคัญที่สุดตัวอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกนี้

"เจมส์ เมเรดิธ นักศึกษาผิวดำคนแรก"





หลังเรียนจบมัธยม เจมส์ เมเรดิธ สมัครเป็นทหารอยู่นาน 9 ปีก่อนจะยื่นใบสมัครเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี ความพยายาม 2 ครั้งแรกของเขาประสบความล้มเหลว แต่แล้วในวันที่ 31 พฤษภาคม 1961 ศาลสูงสุดของอเมริกาก็ตัดสินให้เขาสามารถเข้าเรียนได้ แม้กระนั้นเมื่อเมเรดิธเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยวันแรก ประตูหน้าของมหาวิทยาลัยกลับถูกรอส บาร์เน็ตผู้ว่าการรัฐมิสซิสซิปปียืนขวางทางอยู่ โดยอ้างว่าเขาได้ละเมิดกฎหมายห้ามคนดำไป
เลือกตั้งซึ่งทำให้เขาหมดสิทธิ์เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยประจำรัฐ นายโรเบิร์ต เอฟ เคเนดี้ อัยการสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกาต้องต่อสายโทรศัพท์เจรจากับนายบาร์เน็ตหลายครั้งจนในที่สุดก็ยอมให้เมเรดิธเข้าไปลงทะเบียนเรียนอย่างเสียไม่ได้

ในการไปเรียนวันแรกของเมเรดิธ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารคุ้มกันถึง 500 นาย คุ้มครองเขาจากนักศึกษาผิวขาวที่เหยียดสีผิวซึ่งก่อม๊อบมาขัดขวางและปะทะกับเจ้าหน้าที่จนมีผู้บาดเจ็บมากมาย และมีผู้เสียชีวิตถึง 2 คน การเรียนของเมเรดิธเป็นไปโดยยากลำบาก เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยทั้งกลั่นแกล้งและแสดงความรังเกียจต่อเขาต่างๆ นานา ไม่ว่าจะกลั่นแกล้งในห้องเรียน แสดงความรังเกียจด้วยการไม่นั่งด้วยในโรงอาหาร เพียงเพราะเขามีสีผิวที่ต่างไปจากตัวเอง หลังจากนั่งกินข้าวอย่างโดดเดี่ยวอยู่หลายปี เขาก็สามารถเรียนจบสาขารัฐศาสตร์ได้ในปี 1963 และกลายเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนคนสำคัญ


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                       ลีน่า จัง เธอบ้าไปเเล้ว...

 

 

                          

 

 

 

 

 

             เรื่องใหญ่ คสช.สั่งเดินหน้าเก็บภาษีมรดก ที่ดิน

 
ประยุทธ์สั่งคลัง นำพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง บรรจุในแผนปฏิรูปเสนอสนช.
3เป้าหมายคือ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็ธรรมและขยายฐานภาษีสร้างรายได้ให้รัฐบาล
คาดว่าจะมีรายได้เข้ารัฐไม่ต่ำกว่า หนึ่งแสนล้านบาท
ครังยังเสนอเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม7%เป็น10ในปีงบประมาณ2559 อีกด้วย

 

 


เครดิตโพสต์ทูเดย์

ในอดีตรัฐบาลจากการเลือกตั้งพยามทำเรื่องนี้มาหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ.......................

จำกัดการถือครอง ก็น่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้บ้าง

เวนคืนมาเป็นของรัฐ แล้วขายให้ผู้ไม่มีที่ทำกินราคาถูก โดยมีเงื่อนไข ห้ามขายต่อ...ปี

แต่ถ้าจำกัดการถือครองแล้ว คนที่จะซื้อก็คงซื้อไม่ได้ถ้าถือครองเต็มแล้ว

เห็นด้วย เป็นอย่างยิ่ง รปห ครั้งนี้ ต้องทำในสิ่งที่รัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถ
ทำได้สักที ได้แก่


1) รถไฟ รางคู่ ชวนหลีกภัย บอกจะสร้างตั้งแต่สมัย ชวน 1 มาชวน 2 มา มาร์ค 1 แหม่ง ! นอกจาก
มีแค่รางเดียว แล้ว ยังตกรางอีก
2) ภาษี ที่ดิน
3) ภาษี มรดก
4) ภาษี กำไรจากการขายหุ้น
5) กฏหมายคอรัปชั่น ต้องไม่หมดอายุความ ถึงตายไปแล้ว ทายาท ก็ต้องรับผิดชอบ
ถ้า ท่าน ประธาน คสช ทำได้ 3 ใน5 ข้อ ก็ถือว่า ที่ท่าน รปห ไม่เสียของ ประเทศชาติ
ไม่เสียเวลาเปล่าๆแล้วครับ

 

 

 

 

 

 

มันต้องหยั่งงี้ซิ ปปช. อัยการสั่งไม่ฟ้อง มันต้องฟ้องเอง เอาผิดมันให้ได้ จัยมาก !!!

 

 
ไม่ต้องไปสนมัน ถ้าใครถามว่าปิดล้อมรัฐสภา คดีถึงไหน ?
ไม่ต้องสนมัน ใครจะบอกว่าปิดสนามบิน ผู้ก่อการร้ายสากลไปถึงไหน ?
ไม่ต้องไปสนมัน ใครจะถามว่าปิดทำเนียบ ถุงยางเกลื่อน เมื่อไหร่จะเสร็จ ?

เราต้องเดินหน้าเอาผิด
รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ให้ได้
เพราะบังอาจเอาแก๊สน้ำตายิงคนเสียชีวิตได้

เรื่องอื่นไม่สน ทิ้งให้หมด
เราจะแก้แค้นแทนสนธิ..
หน็อย..บังอาจเอาพ่อลิ้มเข้าคุกก่อนไอ้แม้วซะได้

เดินมาถูกทางแล้ว ปปช.
นายแน่มากกกก ลุยโลดดดดดดดดด !!!
 
 
 
 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

               ตำนานวังหน้า - กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท

 

 

 

  พญาเสือ

"อันกรุงรัตนอังวะครั้งนี้ฤา.............จักพ้นเนื้อมืออย่าสงสัย
พม่าจะมาเป็นข้าไท......................จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา
แม้นสมดังจิตไม่ผิดหมาย..............จะเสี่ยงทายตามบุพเพวาสนา
จะได้ชูกู้ยกนัครา..........................สมดังปรารถนาทุกสิ่งอัน


ถ้าเสร็จการอังวะลงตราบใด............จะพาใจเป็นสุขเกษมสันต์
อ้ายชาติพม่ามันอาธรรม์.................เที่ยวล้างขอบขัณฑ์ทุกพารา
แต่ก่อนก็มิให้มีความสุข..................รบรุกฆ่าฟันเสียหนักหนา
แต่บ้านร้างเมืองเซทั้งวัดวา..............ยับเยินเป็นป่าทุกตำบล...."

 

 

 
 

 

 

 

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท

 
 
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
Maha Sura Singhanat.jpg
'"สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท"'

พระนาม สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
ราชวงศ์ ราชวงศ์จักรี
ข้อมูลส่วนพระองค์
ประสูติ วันพฤหัสบดีขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 ปีกุน
(
1 พฤศจิกายนพ.ศ. 2287) [1]
สวรรคต 3 พฤศจิกายนพ.ศ. 2346
(59 พรรษา)
พระราชบิดา สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี)
พระราชมารดา พระอัครชายา (หยก)
พระชายา เจ้าครอกศรีอโนชา

 

 

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท หรือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระนามเดิม บุญมา เป็นพระราชภาตาร่วมพระราชชนกชนนี กับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 5 ในสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกทองดี และพระชนนีหยก ประสูติในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันพฤหัสบดีขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 ปีกุน พ.ศ. 2286 มีนิวาสถานอยู่หลังป้อมเพชร ในกรุงศรีอยุธยา เมื่อทรงเจริญวัยได้รับราชการเป็นมหาดเล็กตำแหน่งนายสุดจินดา มหาดเล็กหุ้มแพร ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ มีพระเชษฐา พระเชษฐภคิณี พระอนุชาร่วมพระชนก ประกอบด้วย

 

 

 การทำศึกสงคราม

 

พระบวรราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ณ วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร

 

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงร่วมศึกสงครามขับไล่อริราชศัตรูปกป้องพระราชอาณาจักรตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ได้เสด็จไปในการพระราชสงครามทั้งทางบก และทางเรือ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถึง 16 ครั้ง และในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อีก 8 ครั้ง ได้แก่

 

  • พ.ศ. 2310 ตีค่ายโพธิ์สามต้นของข้าศึก
  • พ.ศ. 2311 ตีค่ายพม่าที่บางกุ้ง และที่สมุทรสงคราม ขณะนั้นทรงมีบรรดาศักดิ์เป็น พระมหามนตรี และเสด็จไปรับพระเชษฐาธิราช จาก อำเภออัมพวา เข้ามารับราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และทรงรับสถาปนาเป็น พระราชวรินทร์
  • พ.ศ. 2311 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงยกกองทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพิษณุโลก และยกไปปราบชุมนุมเจ้าพิมายที่นครราชสีมา พระมหามนตรี และพระราชวรินทร์ได้ร่วมการสงครามที่ด่านขุนทด มีชัยชนะในเวลา 3 วัน ความชอบในการสงครามครั้งนี้ พระราชวรินทร์ได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระมหามนตรี เป็นพระยาอนุชิตราชา จางวางตำรวจ
  • พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระยาอนุชิตราชา ยกทัพไปปราบกรุงกัมพูชา ตีได้เมืองเสียมราฐ
  • พ.ศ. 2313 พระยาอนุชิตราชาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ เป็น พระยายมราช ได้ยกทัพไปร่วมกับทัพหลวงปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ตีได้เมืองสวางคบุรี และได้หัวเมืองเหนือไว้ในพระราชอำนาจทั้งหมด เมื่อเสร็จราชการศึกครั้งนี้ ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก เป็นผู้ปกป้องพระราชอาณาจักรฝ่ายเหนือ และได้ยกทัพไปตีทัพโปมยุง่วนที่มาล้อมเมืองสวรรคโลก
  • พ.ศ. 2315 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ได้ยกทัพไปปราบพม่าที่ยกมาตีเมืองลับแล หรืออุตรดิตถ์ และเมืองพิชัยจนแตกพ่ายไป
  • พ.ศ. 2316 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และพระยาพิชัย ได้ยกทัพไปรบถึงประจัญบาน กับทัพโปสุพลาที่เมืองพิชัย จนข้าศึกแตกพ่าย ครั้งนี้เองที่พระยาพิชัยได้รับสมญานามว่า "พระยาพิชัยดาบหัก"
  • พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งขณะนั้นเป็น เจ้าพระยาจักรี กับเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ยกทัพหัวเมืองเหนือไปตีเมืองเชียงใหม่ มีชัยชนะ และเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราชได้คุมทัพเหนือไปล้อมทัพพม่า

ที่เขาชะงุ้ม ตีค่ายพม่าที่เขาชะงุ้ม และปากแพรกแตกจนพม่ายอมแพ้

  • พ.ศ. 2318 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และเจ้าพระยาจักรี ได้รับพระราชบัญชาให้ยกทัพจากพิษณุโลกไปขับไล่โปสุพลา ที่ยกมาตีเมืองเชียงใหม่ และต่อมาอะแซหวุ่นกี้ ยกมาล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาทั้งสองจึงนำไพล่พลออกจากพิษณุโลกไปตั้งมั่นที่เมืองเพชรบูรณ์ ต่อมาพม่าถอนกำลัง จึงได้คุมกำลังเมืองนครราชสีมาติดตามตีทัพที่กำลังถอยแตกกลับไป
  • พ.ศ. 2320 ได้ยกทัพจากกรุงธนบุรีไปสมทบทัพเจ้าพระยาจักรีที่นครราชสีมา ตีเมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองอัตบือสุรินทร์สังขะขุขันธ์ ไว้ได้ จากความชอบในการพระราชสงครามครั้งนี้ เจ้าพระยาจักรี ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก"
  • พ.ศ. 2321 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช เกณฑ์ทัพเรือจากกัมพูชา ไปล้อมเมืองเวียงจันทน์ 4 เดือนจึงตีได้ และตีหัวเมืองต่างๆ ในแคว้นลาวจนจดตังเกี๋ยของญวนไว้ได้ด้วย และในครั้งนั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อัญเชิญพระพุทธมหามุนีรัตนปฏิมากร กลับคืนเวียงจันทน์มาประดิษฐานที่กรุงธนบุรีด้วย
  • พ.ศ. 2324 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช เป็นแม่ทัพหน้าร่วมกับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีกัมพูชา แต่ต้องเสด็จกลับกรุงธนบุรี เนื่องจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระประชวร บ้านเมืองเกิดจลาจล สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เสด็จปราบดาภิเษก

 

 

เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์ และสถาปนากรุงเทพมหานคร เป็นราชธานี เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล บันทึกบางฉบับจะเอ่ยพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคลบ้าง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์บ้าง (หมายความรวมถึงรัชกาลที่ 1 และสมเด็จวังหน้า) ไม่เป็นที่แน่นอน ซึ่งพระนามนี้ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดระเบียบเกี่ยวกับพระเกียรติเจ้านายใหม่ โดยให้ขานพระนามว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท

 

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงร่วมการพระราชสงคราม ระหว่าง พ.ศ. 2325 ถึง พ.ศ. 2345 รวม 8 ครั้ง คือ

  • พ.ศ. 2328 สงครามเก้าทัพ รบกับทัพพระเจ้าปดุง ที่ยกทัพเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ แม้มีไพร่พลน้อยกว่าข้าศึก แต่ทรงทำกลอุบายลวงข้าศึก จนสามารถมีชัยชนะ ในปีนั้น ยังได้เสด็จนำทัพเรือไปตีพม่าที่ไชยา และเสด็จไปปราบปัตตานีที่เอาใจออกห่าง และตีเมืองกลันตัน ตรังกานู เป็นเมืองขึ้นของไทยด้วย
  • พ.ศ. 2329 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จนำทัพไปรบกับพระเจ้าปดุง ที่เข้ามายึดตำบลท่าดินแดง และสามสบ ได้ตีทัพพม่าแตก
  • พ.ศ. 2330 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จยกทัพไปตีเมืองลำปางคืน และตีทัพพม่าที่ป่าซางแตก เสร็จการสงครามนี้ ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากเมืองเชียงใหม่ มาประดิษฐาน ณ พระราชวังบวรสถานมงคล ที่กรุงเทพฯ
  • พ.ศ. 2336 เสด็จไปตีเมืองทวายสำเร็จ
  • พ.ศ. 2340 เสด็จยกทัพไปป้องกันเมืองเชียงใหม่ ตีพม่าที่ลำพูน และเชียงใหม่แตก
  • พ.ศ. 2345 ได้เสด็จไปขับไล่กองทัพข้าศึกออกจากเชียงใหม่ แต่เมื่อเสด็จไปถึงเมืองเถิน ทรงพระประชวรโรคนิ่ว ต้องประทับรักษาพระองค์โดยมีสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) ทรงพยาบาลพระอาการอยู่ต่อมาเมื่อเสด็จกลับกรุงเทพฯ พระอาการประชวรกำเริบ ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2346 พระชนมายุ 60 พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระโกศ (พระลอง) ย่อมุมไม้สิบสองหุ้มทองคำประดิษฐานพระบรมศพไว้ที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานในพระราชวังบวรสถานมงคล หลังจากการถวายพระเพลิง ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวงเสร็จสิ้น พระบรมอัฐิถูกอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่งวายุสถานอมเรศในหมู่พระวิมาน ปัจจุบันอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่หอพระนาคในพระบรมมหาราชวัง อนึ่ง คำว่าสวรรคตนั้นนอกจากจะใช้กับพระมหากษัตริย์และพระราชินี พระราชินีนาถ พระราชชนนีแล้วยังสามารถใช้ได้กับสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระฯ สยามบรมราชกุมารีได้อีกด้วย ทว่าในส่วนกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญในรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระราชวังบวรสถานพิมุขนั้นกำหนดให้ใช้คำว่า ทิวงคต

 

มีคำกล่าวกันมาแต่ก่อนว่า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสร้างพระราชมณเฑียรและสถานที่ต่างๆในพระราชวังบวรฯ ทรงทำโดยปราณีตบรรจงทุกๆอย่าง ด้วยตั้งพระราชหฤทัยว่า เมื่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชสิ้นพระชนมายุขัยสวรรคต ถึงเวลาพระองค์ทรงครอบครองราชสมบัติ จะเสด็จประทับอยู่พระราชวังบวรฯตามแบบอย่างสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่เสด็จลงมาอยู่วังหลวง เป็นคำเล่ากันมาดังนี้ แต่พระราชประวัติมิได้เป็นไปตามธรรมดาอายุขัย กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จดำรงพระยศมาได้ ๒๑ พรรษา ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๓๔๕ มีพระอาการประชวรเป็นนิ่วในเวลาเมื่อเสด็จเป็นจอมพลไปรบพม่าที่มาตีเมืองเชียงใหม่ เสด็จขึ้นไปถึงกลางทางประชวรลงในเดือน ๓ ต้องประทับอยู่ที่เมืองเถิน ให้กรมพระราชวังหลังเสด็จขึ้นไปบัญชาการรบแทนพระองค์


เมื่อมีชัยชนะข้าศึกสงครามเสด็จกลับลงมาถึงกรุงเทพฯ พระอาการค่อยทุเลาขึ้นคราวหนึ่ง ครั้นถึงเดือน ๘ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๔๖ พระโรคกลับกำเริบอีก คราวนี้พระอาการมีแต่ทรงอยู่กับทรุดลงโดยลำดับมา จนถึงเดือน ๑๒ ประชวรหนัก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปช่วยรักษาพยาบาล(๑) มาจนถึงวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ เพลาเที่ยงคืน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคตในพระที่นั่งบุรพาภิมุข คำนวนพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ครั้นรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จไปพระราชทานน้ำสรงพระศพพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์ ทรงเครื่องพระศพตามพระเกียรติยศเสร็จแล้ว เชิญลงพระลองประกอบด้วยพระโกศไม้สิบสองหุ้มทองคำ(๒) ซึ่งโปรดฯให้สร้างขึ้นใหม่ แห่ไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พร้อมด้วยเครื่องประดับตามสมควรแก่พระเกียรติยศพระมหาอุปราช แล้วโปรดฯให้มีหมายประกาศให้คนโกนหัวไว้ทุกข์ทั่วพระราชอาณาจักร(๓)



ตรงนี้จะต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกรมพระราชวังบวรฯทรงพระประชวรจะสวรรคต ด้วยเกี่ยวข้องเนื่องกับตำนานวังหน้าในชั้นหลังต่อมา เรื่องราวเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นมีปรากฏอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดาร และพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับทั้งในเรื่องนิพพานวังหน้า พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรพระราชธิดากรมพระราชวังบวรฯ ซึ่งนักองค์อีเป็นเจ้าจอมมารดาได้ทรงนิพนธ์ไว้ พิมพ์แล้วทั้ง ๓ เรื่อง พิเคราะห์เนื้อเรื่องที่ยุติต้องกัน ได้ความดังนี้




เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสังเกตเห็นอาการที่ทรงพระประชวร มีแต่ทรงอยูกับทรุดลงเป็นอันดับมา จนพระสิริรูปซูบผอมทุพพลภาพ ทรงรำคาญด้วยทุกขเวทนาที่มีในอาการพระโรค วันหนึ่งจึงทรงอธิษฐานเสี่ยงทายพระสุธารสว่า ถ้าหากพระโรคที่ประชวรจะหายไซร้ ขอให้เสวยพระสุธารสนั้นให้ได้โดยสะดวก พอเสวยพระสุธารสเข้าไปก็มีอาการทรงพระอาเจียน พระสุธารสไหลกลับออกมาหมด แต่นั้นกรมพระราชวังบวรฯก็ปลงพระราชหฤทัยว่าคงจะสวรรคต มิได้เอาพระทัยใส่ที่จะเสวยพระโอสถรักษาพระองค์ และทรงสั่งเสียพระราชโอรสธิดา ข้าราชการในวังหน้า ตามพระอัธยาศัยให้ทราบทั่วกันว่า พระองค์คงจะเสด็จสวรรคตในไม่ช้าแล้ว



อยู่มาในกาลวันหนึ่ง ทรงระลึกถึงวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ซึ่งไฟไหม้เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๔๔ ทรงสถาปนาใหม่การยังค้างอยู่ จึงดำรัสสั่งให้เชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลื่ยง เสด็จออกมายังวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ว่าจะทรงนมัสการพระพุทธรูป ครั้นเสด็จถึงหน้าพระประธานในพระอุโบสถ ดำรัสเรียกพระแสง ว่าจะจบพระหัตถ์อุทิศถวายให้ทำเป็นราวเทียน ครั้นพนักงานถวายพระแสงเข้าไป ทรงเรียกเทียนมาจุดเรียบเรียงติดเข้าที่พระแสงทำเป็นพุทธบูชาครู่หนึ่ง ขณะนั้นพออาการพระโรคเกิดทุกขเวทนาเสียดแทงขึ้นเป็นสาหัส ก็ทรงปรารภจะเอาพระแสงแทงพระองค์ถวายเป็นพุทธบูชา พระองค์เจ้าลำดวนลูกเธอองค์ใหญ่ที่ตามเสด็จไปด้วยเข้าแย่งพระแสงเสียไปจากพระหัตถ์ กรมพระราชวังบวรฯทรงโทมนัสทอดพระองค์ลง ทรงกันแสงแช่งด่าพระองค์เจ้าลำดวนต่างๆ ในที่สุดเจ้านายและข้าราชการที่ไปตามเสด็จ ต้องช่วยกันปล้ำปลุกเชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลี่ยงกลับคืนเข้าพระราชวังบวรฯ



ต่อนั่นมาในไม่ช้าอีกวันหนึ่ง กรมพระราชวังบวรฯมีรับสั่งว่า พระราชมณเฑียรสถานได้ทรงสร้างไว้ใหญ่โตมากมายเป็นของปราณีตบรรจง ประชวรมาช้านานไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นให้รอบคอบ จะใคร่ทอดพระเนตรให้สบายพระราชหฤทัย จึงโปรดฯให้เชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลี่ยงบรรทมพิงพระเขนย เชิญเสด็จไปรอบพระราชมณเฑียร กระแสรับสั่งของกรมพระราชวังบวรฯเมื่อเสด็จประพาสพระราชมณเฑียรครั้งนี้เล่ากันมาเป็นหลายอย่าง บางคนเล่าว่ากรมพระราชวังบวรฯทรงบ่นว่า "ของนี้อุตส่าห์ทำขึ้นด้วยความคิดและเรี่ยวแรงเป็นนักหนา หวังว่าจะได้อยู่ชมให้สบายนานๆ ก็ครั้งนี้จะไม่ได้อยู่แล้ว จะได้เห็นวันนี้เป็นที่สุด ต่อนี้ไปก็จะเป็นของท่านผู้อื่น" เล่ากันแต่สังเขปเท่านี้ก็มี เล่ากันอีกอย่างหนึ่งยิ่งไปกว่านี้ว่า กรมพระราชวังบวรฯรับสั่งบ่นว่า "ของใหญ่ของโตดีดีของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุนให้แรง ก็สร้างขึ้นด้วยกำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นานไปใครมิใช่ลูกกู ถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง ขอให้ผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข" ตามพระหฤทัยที่โทมนัส เล่ากันอย่างหลังนี้โดยมาก(๔)



ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า กรมพระราชวังบวรฯประชวรครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมพระประชวร เมื่อแรกเสด็จกลับลงมาจากเมืองเถินครั้ง ๑ ต่อมาเมื่อทรงทราบว่าพระอาการมาก จะเสด็จขึ้นไปรักษาพยาบาล ครั้งหลังนี้พวกข้าราชการวังหลวงจะขึ้นไปตั้งกองรักษาพระองค์ พวกวังหน้ามากีดกันห้ามปราม ไม่ยอมให้พวกวังหลวงเข้าไปตั้งกองล้อมวงลงได้ เจ้าพระยารัตนาพิพิธที่สมุหนายกต้องเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จขึ้นไปเป็นประธานจัดตั้งกองล้อมวง เจ้าพระยารัตนาพิพิธกับเจ้าพระยายมราช เดินตามเสด็จไปสองข้างพระเสลี่ยง พวกวังหน้ายำเกรงพระบารมีจึงยอมให้ตั้งกองล้อมวง



เรื่องตั้งกองล้อมวงที่ปรากฏตรงนี้ บางทีท่านผู้อ่านจะมีความสงสัยว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวรกรมพระราชวังบวรฯถึง ๒ ครั้ง ครั้งก่อนก็เป็นการเรียบร้อย เหตุใดจึงมาเกิดการเกี่ยงแย่งเรื่องล้อมวงขึ้นต่อครั้งหลัง ข้อนี้อธิบายว่าที่จริงการที่วังหลวงเสด็จขึ้นไปวังหน้านั้น โดยปกติย่อมมีเนืองๆ เหมือนดังเช่นเสด็จในงานพระราชพิธีโสกันต์ลูกเธอวังหน้าเป็นต้น แต่การเสด็จโดยปกติจัดเหมือนอย่างเสด็จวังเจ้านายต่างกรม ไม่มีจุกช่องล้อมวงเป็นการพิเศษอย่างใด แต่ครั้งหลังนั้น เพราะจะเสด็จขึ้นไปรักษาพยาบาลกรมพระราชวังบวรฯซึ่งประชวรหนักจวนสวรรคต จะประทับอยู่เร็วหรือช้าหรือจนถึงแรมค้างคืนวันก็เป็นได้ เป็นการผิดปกติ จึงต้องจัดการจุกช่องล้อมวงรักษาพระองค์ให้มั่นคงกวดขัน ฝ่ายข้างพวกวังหน้าถือว่าพวกวังหลวงเข้าไปทำละลาบละล้วงในรั้ววังลบหลู่เจ้านายของตน จึงพากันขัดแข็งเกะกะ เพราะพวกข้าราชการวังหลวงกับวังหน้ามีทิฐิถือเป็นต่างพวกต่างฝ่ายกันอยู่แล้ว



และในครั้งนั้นยังมีเหตุอื่นอีก ซึ่งทำให้พวกวังหน้ากระด้างกระเดื่อง เนื่องมาแต่ครั้งรบพม่าที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๔๐ คราวนั้นโปรดฯให้กรมพระราชวังบวรฯเสด็จเป็นจอมพล เจ้านายไปตามเสด็จมีกรมพระราชวังหลัง เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ และกรมขุนสุนทรภูเบนทร์(๕) กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต ๒ พระองค์นี้เป็นลูกเธอชั้นผู้ใหญ่ของกรมพระราชวังบวรฯ พึ่งจะออกทำสงครามในครั้งนั้น กรมพระราชวังบวรฯเสด็จขึ้นไปถึงเมืองเถิน ทรงจัดกองทัพที่จะยกไปรบพม่าที่มาตั้งล้อมเมืองเชียงใหม่เป็น ๔ ทัพ ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงหริรักษ์ กับพระยายมราชคุมกองทัพวังหลวงยกไปทัพ ๑ ให้กรมขุนสุนทรภูเบนทร์กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัตคุมกองทัพวังหน้ายกไปทัพ ๑ ให้เจ้าอนุอุปราชซึ่งยกกองทัพเมืองเวียงจันทน์มาช่วยยกไปทัพ ๑ แล้วให้กรมพระราชวังหลังยกไปเป็นทัพหนุนอีกทัพ ๑ การสงครามครั้งนั้นต่างทัพต่างทำการรบพุ่งประชันกัน มีชัยชนะตีกองทัพพม่ายับเยิน จนจับได้อุบากองนายทัพพม่าคน ๑



ต่อมาถึงปีจอ พ.ศ. ๒๓๔๕ พม่ายกกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่อีก จึงโปรดฯให้กรมพระราชวังบวรฯเสด็จเป็นจอมพล และจัดกองทัพให้เหมือนครั้งก่อน เว้นแต่กรมพระราชวังหลังไม่ได้เสด็จขึ้นไปในชั้นแรก กรมพระราชวังบวรฯเสด็จขึ้นไปถึงเมืองเถิน ไปประชวรในคราวที่จะสวรรคตนี้ กองทัพเจ้าอนุเวียงจันทน์ก็ยกมาไม่ทันกำหนด กรมพระราชวังบวรฯจึงทรงจัดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์กับพระยายมราชคุมกองทัพวังหลวงยกขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ทางเมืองลี้ทัพ ๑ ให้กรมขุนสุนทรภูเบนทร์กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัตและพระเสน่หาภูธร ชื่อทองอิน ภายหลังได้เป็นพระยากลาโหมราชเสนา เป็นคนซึ่งกรมพระราชวังบวรฯทรงพระเมตตาเหมือนอย่างพระราชบุตรบุญธรรม คุมกองทัพวังหน้าขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ทางเมืองนครลำปางอีกทัพ ๑



ข้างฝ่ายกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทราบข่าวกรมพระราชวังบวรฯประชวร โปรดฯให้กรมพระราชวังหลังเสด็จตามขึ้นไป กรมพระราชวังบวรฯจึงให้กรมพระราชวังหลังคุมกองทัพหนุนขึ้นไปอีกทัพหนึ่ง กองทัพที่ยกขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ครั้งนี้ ทัพหลวงที่ไปทางเมืองลี้ไปเข้าใจผิดถอยลงมาเสียคราวหนึ่ง จนทัพวังหน้าตีได้เมืองลำพูนจึงยกตามขึ้นไปตั้งประชิดค่ายพม่าที่ล้อมเมืองเชียงใหม่ ครั้นกรมพระราชวังหลังเสด็จขึ้นไปถึง มีรับสั่งให้กองทัพยกเข้าระดมตีค่ายพม่าพร้อมกัน กองทัพวังหน้าก็ตีได้ค่ายพม่าก่อน ต่อพวกวังหน้าชนะแล้วทัพวังหลวงจึงตีค่ายได้



กรมพระราชวังบวรฯทรงขัดเคืองกองทัพวังหลวง ดำรัสบริภาษติเตียนต่างๆแล้วปรับโทษให้ขึ้นไปตีเมืองเชียงแสนแก้ตัว ด้วยกันกับกองทัพเจ้าอนุเวียงจันทน์ซึ่งยกมาไม่ทันรบพม่าที่เมืองเชียงใหม่ การสงครามคราวนี้จึงเป็นเหตุให้พวกวังหน้าที่เป็นตัวสำคัญ คือพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต และพระยากลาโหมทองอิน ซึ่งเป็นพวกรุ่นหนุ่มไปมีชื่อเสียงมาในคราวนี้ เกิดดูหมิ่นพวกวังหลวงว่าในการรบพุ่งทำศึกสงครามสู้พวกวังหน้าไม่ได้ ข้างพวกวังหลวงเมื่อเห็นพวกวังหน้าดูหมิ่นก็ต้องขัดเคือง จึงเลยเป็นเหตุให้ไม่ปรองดองกันในเวลาเมื่อจะตั้งกองล้อมวงเตรียมรับเสด็จ

 

 

แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปถึงพระราชวังบวรฯ ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จพระอนุชาธิราชประชวรมาก ก็ทรงพระอาลัยและทรงพระกันแสงรำพรรณต่างๆ พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรเฝ้าอยู่ในที่นั้น ได้ทรงพรรณนาไว้ในกลอนเรื่องนิพพานวังหน้าเป็นน่าจับใจ จึงคัดมาลงไว้ต่อไปนี้

"พระปิตุลาปรีชาเฉลียวแหลม
ขยายแย้มสั่งให้ห้อยมณฑาหอม
พระโองการร่ำว่านิจาจอม
ถนอมขวัญตรัสโอ้พระอนุชา

ว่าพ่อผู้กู้ภพทั้งเมืองพึ่ง
จงข้ามถึงพ้นโอฆสงสาร์
ดำรงจิตคิดทางพระอนัตตา
อนาคตนำสัตว์เสวยรมย์

ครั้งทรงสดับโอวาทประสาทสอน
ค่อยเผยผ่อนเคลื่อนคล้อยอารมณ์สม
แต่หนักหน่วงห่วงหลังยังเกรงกรม
ประนมหัตถ์ร่ำว่าฝ่าละออง

บุญน้อยมิได้รองยุคลคืน
ยิ่งทรงสะอื้นโศกสั่งกันทั้งสอง
จึงทูลฝากพระนิเวศน์ที่เคยครอง
ประสิทธิ์ปองมอบไว้ใต้ธุลี

ฝากหน่อขัตติยานุชาด้วย
จงเชิญช่วยโอบอ้อมถนอมศรี
แต่พื้นพงษ์จะพึ่งพระบารมี
จงปรานีนัดดาอย่าราคิน

เหมือนเห็นแก่นุชหมายถวายมอบ
จะนึกตอบแต่บุญการุญถวิล
ก็จะงามฝ่ายุคลไม่มลทิน
ก็เชิญผินนึกน้องเมื่อยามยัง

อนึ่งหน่อวรนาถผู้สืบสนอง
โปรดให้ครองพระนิเวศน์เหมือนปางหลัง
อย่าบำราศให้นิราแรมวัง
ก็รับสั่งอวยเออพระโองการ

จึงตรัสปลอบพระบัณฑูรอาดูรด้วย
ว่าจะช่วยเอาธุระแสนสงสาร
เป็นห่วงไปไยพ่อให้ทรมาน
จะอุ้มหลานจูงลูกไม่ลืมคำ

อันเยาวยอดสืบสายโลหิตพ่อ
พี่ตั้งต่อสุจริตอุปถัมภ์
ครั้นทรงสดับแน่นึกสำเนาคำ
ก็คลายร่ำทุกข์ถ้อยบรรเทาทน"

เนื้อความตามที่ปรากฏในกลอนของพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร ก็ตรงกับคำที่เล่ากันมา ว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวร กรมพระราชวังบวรฯกราบทูลฝากพระโอรสธิดา แล้วกราบทูลขอให้ได้อยู่อาศัยในวังหน้าต่อไป บางทีความข้อหลังนี้เองจะเป็นเหตุให้พระองค์เจ้าลำดวน และพระองค์เจ้าอินทปัตเข้าพระทัยไปว่า พระราชบิดาได้ทูลขอให้ลูกเธอได้ครองวังหน้า อย่างรับมรดกกันในสกุลคนสามัญ ไม่รู้สึกว่าเป็นพระราชวังสำหรับพระมหาอุปราช ครั้นเมื่อกรมพระราชวังบวรฯเสด็จสวรรคตแล้ว ไม่ได้เข้าไปครองวังหน้าดังปรารถนา จึงโกรธแค้นคบคิดกันช่องสุมหากำลังจะก่อการกำเริบ

ในชั้นแรกมีความปรากฏทราบถึงพระกรรณแต่ว่า พระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต เกลี้ยกล่อมหาคนดีมีวิชาอยู่คง ไปลองวิชากันที่ในวังในเวลากลางคืนเนืองๆ บางทีลองวิชาพลาดพลั้งถึงผู้คนล้มตายก็เอาศพซ่อนฝังไว้ในวังนั้น เพื่อจะปิดความมิให้ผู้อื่นได้รู้

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยังทรงแคลงพระทัยอยู่ ให้แต่งข้าหลวงปลอมไปเข้าเป็นสมัครพรรคพวกของพระองค์เจ้าทั้งสองนั้น ก้ได้ความสมจริงดังำที่กล่าว จึงโปรดฯให้จับมาชำระ ได้ความว่าคบคิดกับพระยากลาโหมทองอินด้วย ครั้นจับพระยากลาโหมกับพรรคพวกที่เข้ากันมาชำระ จึงให้การรับเป็นสัตย์ว่าคบคิดกันจะทำร้ายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อวันเสด็จพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯ

และทำนองถ้อยคำซึ่งกรมพระราชวังบวรฯได้ตรัสว่าประการใดเมื่อเวลาทรงพระประชวร ก็เห็นจะปรากฏขึ้นในเวลาชำระกันนี้ จึงเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงน้อยพระทัยในสมเด็จพระอนุชาธิราช ว่าเพราะผู้ใหญ่พูดจาให้ท้ายเช่นนั้นเด็กจึงกำเริบ แต่แรกดำรัสว่าจะไม่ทำพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯ

แต่ครั้นคลายพระพิโรธลงก็โปรดฯให้ทำพระเมรุใหญ่ตามเยี่ยงอย่างพระเมรุพระมหาอุปราชครั้งกรุงเก่า แต่ดำรัสให้เชิญพระบรมสารีริกธาตุออกสมโภชที่พระเมรุเป็นพุทธบูชาเสียก่อน ไม่ให้เสียพระวาจาที่ว่าจะไม่ทำพระเมรุกรมพระราชวังบวรฯ
ครั้นพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯแล้ว จึงโปรดฯให้เชิญพระอัฐิไปประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งวายุสถานอมเรศ อันเป็นพระวิมานกลางในหมู่มหามณเฑียรในพระราชวังบวรฯ จึงเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิแต่นั้นมา ส่วนการพระเมรุแต่นั้นก็เลยเป็นประเพณี เวลามีงานพระเมรุท้องสนามหลวงจึงเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกสมโภชก่อนงานพระศพ สืบมาจนรัชกาลหลังๆ

 

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Apr 26 05:07:03 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>