Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

เเมวตายหมู่

ArjanPong | 16-09-2557 | เปิดดู 2242 | ความคิดเห็น 0

 

                    เเมวตายหมู่

 
 
 
 
 
 
ผวาแมวตายหมู่ 30 ตัว สธ.คาดป่วย “ไข้หวัดแมว“ 

 

 

(8 ก.พ.) น.พ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีแมวตายกว่า 30 ตัว ที่หมู่บ้านที่ 1 และ 3 ต.วังแขม อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เป็นพื้นที่ที่เคยตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกมาก่อนว่าได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกำแพงเพชร สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จ.พิษณุโลก ลงพื้นที่ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์กำแพงเพชร เพื่อควบคุมป้องกันโรคที่หมู่บ้านที่พบแมวตาย อีกทั้ง ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ส่งซากแมวตรวจชันสูตรหาเชื้อ ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคเหนือตอนล่าง จ.พิษณุโลก ผลการตรวจเบื้องต้น ไม่พบเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า

 

ในบ้านที่พบแมวตายประชาชนควรทำความสะอาดพื้นบ้านด้วยผงซักฟอก รวมถึงทำลายอุปกรณ์ต่างๆ หลังใช้ โดยการให้ฝังหรือเผาทำลายทิ้ง หรือหากยังมีแมวตายเพิ่มให้กำจัดซากแมวโดยสามารถทำได้ 2 วิธี คือ ขุดหลุมฝังลึก 75-100 เซนติเมตร หรือใช้วิธีเผาทำลาย ซึ่งสิ่งสำคัญของการทำความสะอาดหรือกำจัดซากแมว ประชาชนควรจะสวมถุงมือยางหรือสวมถุงพลาสติก และสวมหน้ากากป้องกันโรค พร้อมทั้งเผาทำลายหรือฝังอุปกรณ์ทั้งหมดหลังจากใช้งานเสร็จเพื่อความปลอดภัย

 

ทั้งนี้ ได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ อสม.เฝ้าระวังอาการป่วยในคน โดยเฉพาะในบ้านที่มีแมวตาย ให้สังเกตอาการป่วยทุกวัน เป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ หากพบว่า มีไข้ ไอ หอบ ให้ส่งตัวไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วย

 

ด้านสพญ.อภิรมย์ พวงหัตถ์ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรคกล่าวว่า ลักษณะอาการของแมวน่าจะเกิดจากการติดเชื้อในกลุ่มพาร์โวไวรัส (Parvo Virus) ส่งผลทำให้เกิดโรคไข้หวัดแมวซึ่งอาการของโรคนี้หลังจากได้รับเชื้อใน 2-7 วัน จะมีอาการท้องเสียอาเจียนสำหรับลูกแมวที่มีอาการรุนแรงอาจตายภายใน 7 วัน บางตัวมีอาการตาบอดจนถึงเป็นอัมพาต ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแมว แต่อย่างไรก็ตามโรคนี้ไม่สามารถติดต่อสู่คนและสุนัขได้

 

 

 

 

 

 

 

 
 
 
 
วันอังคารที่ 23 กันยายน 2557 เป็นวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10
 


 
 
 
 
 
 
พระผู้มีพระภาค ครั้นตรัสคำนี้แล้ว ได้ตรัส
ข้อความนี้ (เป็นคำกาพย์กลอน) อีกว่า :-

โธ่เอ๋ย ! ความแก่อันชั่วช้าเอ๋ย !
อันทำความน่าเกลียดเอ๋ย !
กายที่น่าพอใจบัดนี้ก็ถูกความแก่ย่ำยีหมดแล้ว.
แม้ใครจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
ทุกคนก็ยังมีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
ความตายไม่ยกเว้นให้แก่ใคร ๆ
มันย่ำยีหมดทุกคน.

อานนท์ ! บัดนี้ เรามีสติสัมปชัญญะ ปลงอายุ
สังขารแล้ว ณ ปาวาลเจดีย์นี้. (พระอานนท์ได้สติจึงทูลขอให้
ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยอิทธิบาทภาวนา กัปป์หนึ่งหรือยิ่งกว่ากัปป์;
ทรงปฏิเสธ)

อานนท์ ! อย่าเลย, อย่าวิงวอนตถาคตเลย มิใช่
เวลาจะวิงวอนตถาคตเสียแล้ว. (พระอานนท์ทูลวิงวอนอีกจน
ครบสามครั้ง ได้รับพระดำรัสตอบอย่างเดียวกัน, ตรัสว่าเป็นความผิดของ
พระอานนท์ผู้เดียว, แล้วทรงจาระไนสถานที่ ๑๖ แห่ง ที่เคยให้โอกาสแก่
พระอานนท์ในเรื่องนี้ แต่พระอานนท์รู้ไม่ทันสักครั้งเดียว)

อานนท์ ! ในที่นั้น ๆ ถ้าเธอวิงวอนตถาคต
ตถาคตจักห้ามเสียสองครั้ง แล้วจักรับคำในครั้งที่สาม,

อานนท์ ! ตถาคตได้บอกแล้วมิใช่หรือ ว่าสัตว์
จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น, สัตว์จะได้
ตามปรารถนา ในสังขารนี้แต่ที่ไหนเล่า, ข้อที่สัตว์จะหวัง
เอาสิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกดับ
เป็นธรรมดา ว่าสิ่งนี้อย่าฉิบหายเลยดังนี้ ย่อมไม่เป็นฐานะ
ที่มีได้ เป็นได้.
มู. ม. ๑๒/๑๖๓/๑๙๒, มหาวาร. สํ ๑๙/๒๘๗/๙๖๓.


สัตว์ทั้งปวง ทั้งที่เป็นคนหนุ่ม คนแก่
ทั้งที่เป็นคนพาลและบัณฑิต
ทั้งที่มั่งมี และ ยากจน
ล้วนแต่มีความตายเป็นที่ไปถึง ในเบื้องหน้า.

เปรียบเหมือนภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นแล้ว
ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่สุกแล้ว และยังดิบ
ล้วนแต่มีการแตกทำลายเป็นที่สุด ฉันใด
ชีวิตแห่งสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นเบื้องหน้าฉันนั้น

วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราริบหรี่แล้ว
เราจักละพวกเธอไป
สรณะของตัวเองเราได้ทำไว้แล้ว

ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท
มีสติ มีศีลเป็นอย่างดี
มีความดำริอันตั้งไว้แล้วด้วยดี
ตามรักษาซึ่งจิตของตนเถิด

ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุใดเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
จักละชาติสงสาร ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
มหา. ที. ๑๐/๑๔๑/๑๐๘.
 
 
 
 

พุทธวจน จากพระโอษฐ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 


เคยได้ยินคำว่า "ไม่เป็นสับปะรด" คำนี้ไม่เกี่ยวกับสับปะรดเลย จริง ๆ แล้ว คำนี้ใช้กันมานานแล้วสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า สรรพรส แปลว่า หลากหลายรส มีรสทั้งหลาย เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ครบหมด

ดังนั้นอาหารที่ ไม่เป็นสรรพรส คืออาหารที่ไม่ค่อยมีรสชาติ ไม่เปรี้ยวหรือหวาน หรือมัน หรือเค็ม อย่างใดทั้งสิ้น นานเข้าคนที่ฟังไม่เข้าใจจึงพูดลาก เข้ามาหาคำว่าสับปะรด จากไม่เป็นสรรพรสเพี้ยนมา เป็น ไม่เป็นสับปะรด แล้วมีความหมายเปรียบเทียบว่า หมายถึงการทำอะไรที่ไม่ได้เรื่องนั่นเอง

 

ที่มา  : รายการคุณพระช่วย 

 


 

 

 

 


"กางเกงลิง" หมายถึงกางเกงชั้นในรัดแนบเนื้อ ไม่มีขาเป็นภาษาปาก หรือภาษาพูด

เชื่อว่าน่าจะมาจากศัพท์ที่ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษใช้ด้วยกันคือคำว่า "ลิงเจอรี-lingerie" ที่แปลว่าชุดชั้นในสตรี

ในสมัยโบราณผู้หญิงไทยนุ่งโจงกระเบน เข้าใจว่าคงไม่มีการใส่กางเกงชั้นในต่อมาเมื่อรับกระโปรงแบบแหม่มมาสวมจึงเริ่มใช้ชุดชั้นในแบบแหม่มด้วยแต่นิสัยคนไทยชอบพูดย่อๆ จึงเรียกกางเกงชั้นในแบบแหม่มเพียงคำต้นของ "ลิงเจอรี" ว่า "กางเกงลิง

ชุดชั้นในของสตรีในยุค 1940

ลองไปค้นดูประวัติของ lingerie ของฝรั่งอ้างว่า กางเกงชั้นใน lingerie นี้ กำเนิดขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประมาณ ค.ศ. 1922 สาวๆเริ่มใส่กระโปรงสั้น สรวมหมวกตอนกลางคืนก็ออกไปเฉิดฉายในงานเต้นรำ

คำว่า lingerie นี้ มาจาก ภาฝรั่งเศส "lin" ที่หมายถึง linen ลินินเริ่มต้นนั้นการใช้ชุดชั้นใน ก็เพื่อความอบอุ่น เพื่อสุขภาพอวัยวะภายในต่อมาเริ่มมีแฟชั่นพัฒนามากขึ้นอีกคำหนึ่งที่ใช้ คือ panties ก็หมายความถึง lingerie เช่นกันเพราะเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ข้างใน ที่เรียกว่า under wear สำหรับผู้หญิง

panties เริ่มใช้ในยุคที่การปฏิวัติฝรั่งเศสโดย Catherine de Medici ซึ่งเกิดไอเดียที่ต้องการขี่ม้าโดยวิธีการขี่คร่อมเช่นเดียวกับผู้ชายจึงต้องมีเสื้อผ้าที่จะสามารถปกปิดร่างกายได้มิดชิดโดยไม่ต้องโชว์หวอสู่สายตาชาวโลก

กล่าวสั้น ๆ คือ ที่เรียกว่ากางเกงลิง เพราะเป็นกางเกงที่ไม่มีขา และทับศัพย์ของคำว่า "ลิงเจอรี-lingerie" โดยพูดสั้น ๆ ว่าลิง จึงกลายเป็นคำติดปากว่า กางเกงลิงนั่นเอง ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับลิงสักตัวเลย



 

 

 

 

กกต.ยันไปดูงานต่างประเทศไม่ใช่ไปเที่ยว - ชี้ใช้งบปี 57 จึงไม่ขัดนโยบายคสช.

 
 
 

"ทุกคนที่ไป ไม่ได้ไปเที่ยว ไปทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย"
แล้วรูปที่โพสใน FaceBook ของนายสมชัย มันรูปกำลังทำงานหรือไปเที่ยว
 
 
 
 
วันที่ 14.00 น. วันที่ 22 ก.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการกกต. กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่และกกต.ใช้งบประมาณเดินทางไปดูงานกับหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) รุ่นที่ 5 ว่า หลักสูตรพตส.ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการเมืองกับงบประมาณของสำนักงานกกต.ซึ่งพตส.เดินทางไปดูงานเป็นงบประมาณที่ขออนุมัติไว้แล้วตั้งแต่ปี 2557 โดยหลักสูตรของพตส.จะต้องไปทัศนะดูงานเกี่ยวกับการเลือกตั้งเพื่อข้อเสนอแนะและนำมาพัฒนาการเลือกตั้ง ยืนยันว่าเป็นการดำเนินการตามงบประมาณที่ขอล่วงหน้าไว้ 6-7 เดือนแล้ว ยอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่เดินทางไปด้วยจริง ซึ่งไปเพื่ออำนวยความสะดวกและเพื่อบันทึกข้อมูล ทุกคนที่ไป ไม่ได้ไปเที่ยว ไปทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย


เมื่อถามว่าการไปทัศนะศึกษาต่างประเทศขัดนโยบายคสช.หรือไม่นายภุชงค์ กล่าวว่า คสช.มอบนโยบายไม่ให้เดินทางไปต่างประเทศในการใช้งบประมาณปี 2558 แต่การเดินทางไปดูงานของพตส.ครั้งนี้ใช้งบประมาณปี 2557และไม่ใช่กกต.หน่วยงานเดียวที่เดินทางไป ก่อนหน้านี้มีหน่วยงานอื่น เช่น ก.พ.สภาฯมหาดไทย เป็นต้น แต่ในงบประมาณปี 2558 ไม่มีการไปทัศนะศึกษาต่างประเทศแน่นอน ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการไปศึกษาดูงานการลงประชามติของสกอตแลนด์เป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไปหรือไม่นั้นตนมองว่าโดยหลักการแล้วระบอบประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง การไปดูงานครั้งนี้จะสามารถนำมาปรับใช้กับประเทศไทย


นายภุชงค์กล่าวด้วยว่า วันเดียวกันนี้ทางเจ้าหน้าที่จากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เดินทางมาสอบถามสำนักงานกกต.เกี่ยวกับการใช้งบประมาณในการจัดการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 2 ก.พ.57 ที่ผ่านมา ภายหลังได้เดินทางไปตรวจสอบในระดับจังหวัดแล้วพบว่ามีงบประมาณของหน่วยงานนอกไม่ตรงกับที่กกต.ได้ขอไว้ โดยสตง.พบว่ามีถึง 16-18 หน่วยงาน แต่กกต.แจ้งว่ามี 12 หน่วยงาน ตามมติครม.ได้ให้หน่วยงานนอกไปของบประมาณจากสำนักงบฯเอง เช่น ไปรษณีย์ ส่วนกกต.จะเป็นผู้สนับสนุนงบฯ ให้หน่วยงานภายในเท่านั้น เช่น ตำรวจและจังหวัด และในส่วนจังหวัด
 
 
ประเด็นนี้พบว่าไปรษณีย์ไปของบประมาณจากสำนักงบฯโดยตรงในการสนับสนุนงานกกต.ในการส่งเอกสารแจ้งเจ้าบ้านถึง 120 ล้านบาท แต่กกต.ขอไปเพียง 80 ล้านบาท และงบประมาณที่กกต.ขอในการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ใช้งบประมาณปี 2554 เป็นหลัก ตัวเลขต่างกันไม่มาก เราได้ติดตามการใช้งบประมาณจากหน่วยงานภายนอกให้รายงานมายังสำนักงาน แต่ที่ยังไม่ได้รับรายงานเพราะมีการเลือกตั้งส.ว.เมื่อวันที่ 30 มี.ค.และเดือน พ.ค.มีการยึดอำนาจ อย่างไรก็ตามข้อเสนอแนะของสตง.กกต.จะนำมาเป็นแนวทางจัดการเลือกตั้งต่อไป  


http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE1UTTNORGN5TlE9PQ%3D%3D

 

ต้นปี 57 มีการเลือกตั้ง วันที่ 2 กุมภาพันธ์
ไม่พยายามจัด
เลือกตั้งล้ม ให้จัดใหม่
ก็ไม่พยายามจัด

แล้วพอปลายปี เอางบปี 57 ไปดูงาน
จำเริญ กกต ประเทศไทย

 

 

 จึงเห็นควรว่า ขณะนี้ นักวิชาการและพรรคการเมือง-ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหลาย ควรนิ่ง ๆ ไว้ก่อนครับ

กระทู้สนทนา




สื่อที่รู้กันดีว่า  อยู่ได้ด้วยงบประมาณพิเศษจากนักการเมือง   ไม่ใช่เพระการประกอบธุรกิจ
นักการเมืองฝ่ายไหนที่อุ้มสื่อประเภทนี้อยู่  ก็รู้กันดี
กล้าที่จะเล่นข่าวโจมตีขนาดนี้
ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ  ไม่ใช่ธรรมดาที่สื่อจะกล้าในสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้

แสดงว่าสื่อประเภทนี้  มี "อำนาจ" ที่คนโดนวิพากษ์วิจารณ์โจมตีเกรงใจหนุนหลังอยู่  ถึงได้กล้า

นักวิชาการจัดเสวนา    โดนห้าม
โลกไซเบอร์  ตัดต่อรูป    โดนเตือน
ใครวิพากษ์วิจารณ์  จะมีคำเตือน  คำขู่ทันที

แต่กับสื่อประเภทนี้   เงียบกริบ

นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า  กำลังมีการขบเหลี่ยมเฉือนคมกันอยู่

ระหว่างใคร  กับใคร   พวกไหน กับพวกไหน   คงไม่ต้องสาธยาย



หากนักวิชาการ  ประชาชน  พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย  เข้าร่วมขบวนการวิพากษ์วิจารณ์
ก็จะกลายเป็นเครื่องมือทางอ้อมฟรี ๆ ทันที

ศาสตร์ที่ว่า  ศัตรูของศัตรูคือมิตร  ใช้ได้เสมอ

ขณะนี้  ผมจึงเห็นควรว่า  นั่งบนภูดีกว่าครับ
อมยิ้ม01

 

 

 

 

 

 

    ดวงอาทิตย์ขึ้น-ตก และ น้ำขึ้น-น้ำลง



คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ผมฟังวิทยุแจ้งพยากรณ์อากาศแล้วสงสัย 1.เขาบอกเวลาอาทิตย์ขึ้นและอาทิตย์ตก ทำไม มีประโยชน์กับใคร 2.น้ำขึ้นเต็มที่เวลา...นาฬิกา บอกทำไม ใครเอาไปใช้ประโยชน์Khunawuth
ตอบ Khunawuth

การบอกเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตกในการพยากรณ์อากาศ มีประโยชน์ดังนี้ 1.ประโยชน์ทางด้านอากาศยาน เพื่อให้นักบินพาณิชย์ที่ควบคุมเครื่องบินผ่านเส้นทางมายังประเทศไทยได้ทราบล่วงหน้าว่า ช่วงขณะที่กำลังผ่านประเทศไทยนั้น ท้องฟ้าจะมืดหรือสว่าง 2.ประโยชน์ในการตีความ ในการสืบสวนทำคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจต้องตีความตามกฎหมายว่า เวลาที่เกิดเหตุเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน เจ้าหน้าที่จะยึดเวลาขึ้น-ตกของดวงอาทิตย์ในการตีความ

3.ประโยชน์ในการท่องเที่ยว มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่นักท่องเที่ยวจะไปเฝ้าชมดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก การรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาจึงเป็นประโยชน์แก่นักท่องเที่ยว และที่กรมอุตุฯ ต้องรายงานว่า ดวงอาทิตย์ขึ้นที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เวลา... ดวงอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต เวลา... จะเปลี่ยนเป็นที่อื่นบ้างได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะจุดดังกล่าวเป็นจุดซึ่งเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นและตกเป็นจุดแรกและจุดสุดท้ายของประเทศไทย

ส่วน น้ำขึ้น น้ำลง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ผู้ที่ต้องพึ่งพาอาศัยน้ำในกิจวัตรประจำวัน เช่น คนเดินเรือ ชาวประมง จำเป็นต้องรู้เวลาน้ำขึ้นน้ำลงในแต่ละวัน โดยน้ำในแหล่งน้ำตามธรรมชาติจะขึ้นสูงและลดลงต่ำสลับกันวันละ 2 รอบ แต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 13 ชั่วโมง ทั้งนี้ การที่วัตถุใดๆ จะเคลื่อนที่ได้ จะต้องมีแรงมากระทำกับวัตถุนั้น ในกรณีนี้ น้ำในส่วนต่างๆ ของโลกถูกทำให้เคลื่อนที่โดยแรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นจากดวงจันทร์ แรงโน้มถ่วงที่กระทำระหว่างโลกและดวงจันทร์เรียกว่า แรงไทดัล (Tidal force) ซึ่งบนพื้นผิวของโลกแต่ละตำแหน่งได้รับแรงกระทำไม่เท่ากัน

แรงไทดัลทำให้รูปร่างของโลกและดวงจันทร์ไม่เป็นทรงกลมที่สมบูรณ์ ทำให้โลกมีรูปร่างกลมแป้น คือ มีรัศมีในแนวเส้นศูนย์สูตรมากกว่ารัศมีในแนวขั้วโลกเล็กน้อย และทำให้ดวงจันทร์ ซึ่งหันด้านเดียวเข้าหาโลกตลอดเวลา มีแกนกลางค่อนมาทางโลกเล็กน้อย เหตุนี้เองทำให้น้ำซึ่งเป็นองค์ประกอบถึง 2 ใน 3 ของพื้นโลก และเป็นของเหลวเคลื่อนที่ไหลเวียนไปได้ทั่วทั้งโลก ได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์อย่างเห็นได้ชัด น้ำที่อยู่ด้านใกล้กับดวงจันทร์จะถูกแรงดึงดูดดึงเข้าไปหาดวงจันทร์ ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น (High tide) และเพราะแรงไทดัลกระทำกับทุกๆ ส่วนของโลกไม่เท่ากัน ทำให้น้ำบนโลกที่อยู่อีกด้านหนึ่งที่อยู่ไกลจากดวงจันทร์มากที่สุดได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับทุกที่ จึงเกิดน้ำขึ้นเช่นกัน

ขณะที่เกิดน้ำขึ้นในบริเวณที่อยู่ใกล้และไกลที่สุดจากดวงจันทร์ น้ำลง (Low tide) ก็เกิดขึ้นในอีกสองบริเวณบนโลกที่อยู่ในแนวเส้นตั้งฉากกับเส้นที่ลากระหว่างดวงจันทร์และตำแหน่งที่น้ำขึ้นทั้งสองผ่านจุดศูนย์กลางของโลก ดังนั้น ในขณะที่ดวงจันทร์โคจรไปรอบโลก ตำแหน่งต่างๆ บนโลกก็จะเกิดน้ำขึ้นสองครั้ง คือ เมื่อดวงจันทร์อยู่เหนือบริเวณนั้นและอยู่ใต้บริเวณนั้นพอดี และเกิดน้ำลงสองครั้งในช่วงเวลาระหว่างน้ำขึ้นแต่ละครั้ง โดยความแตกต่างของระดับน้ำระหว่างการเกิดน้ำขึ้นและน้ำลง อาจสูงถึง 15 เมตรในทะเลเปิดที่มีลักษณะแคบและยาว หรือเพียงแค่ 1 เมตรในทะเลทั่วไป

การประกาศน้ำขึ้นน้ำลงเพื่อประโยชน์ 1.การก่อสร้างอาคาร ที่อยู่อาศัย การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ ที่ใกล้แม่น้ำ ทะเล ควรคำนึงถึงเรื่องน้ำขึ้นน้ำลง 2.แรงดันจากกระแสน้ำขึ้นและกระแสน้ำลงสามารถนำไปใช้ในระบบชลประทานและการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 3.การประมงชายฝั่ง สามารถจับสัตว์น้ำได้มาก เนื่องมาจากน้ำขึ้น และสัตว์น้ำขึ้นมากินอาหารและขยายพันธุ์ในแหล่งป่าชายเลน 4.กรุงเทพมหานครใช้ประโยชน์ของน้ำขึ้นน้ำลง ในการทำความสะอาดคลอง 

 

 

 

สารพันปัญหาต่างประเทศที่รอต้อนรับ รมว.ต่างประเทศของ คสช. ที่ยูเอ็น

Bugbunny

 

ผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวถึงปัญหาจากต่างประเทศที่ต้องรับความจริงว่า เป็นเรื่องหนักยิ่งสำหรับ รมว.ต่างประเทศ ของ รัฐบาล คสช. พล อ.ธนศักดิ์ ปฏิมาประกรณ์ ผู้จะต้องเตรียมตัวตอบคำถามจากสังคมโลก ในการไปร่วมประชุมสหประชาชาติในอีกไม่นานนี้ ปัญหาเหล่านั้นก็เช่น

 

1.การถูกรัฐบาลสหรัฐ ฯ ขึ้นบัญชีประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องการใช้แรงงานทาส กฎหมายสหรัฐนั้นระบุชัดเจนว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ จะต้องมีมาตรการตอบโต้ต่อประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีนี้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน เส้นตายตามกฎหมายใกล้จะมาถึงในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้แล้ว แต่ยังไม่มีมาตรการใด ๆ ที่เป็นรูปธรรมเลยจากรัฐบาลประยุทธ นอกจากคำชี้แจงแบบไม่เต็มปากเต็มคำจาก ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เมื่อมีข่าวนี้ วันนี้นายสีหศักดิ์หมดหน้าที่ตอบแล้ว เป็นเรื่องของรัฐมนตรี

2.คำแถลงเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยหลังจากการรัฐประหารที่ผ่านมา ขององค์การนิรโทษกรรมสากลที่ระบุว่า รัฐบาล คสช.ละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายร้อยครั้ง มีพยานหลักฐานจำนวนมากที่ทางองค์กรนิรโทษกรรมสากลระบุว่าได้มาจากการสำรวจเองขององค์กรและจากตัวผู้ถูกกระทำ การตอบโต้แบบคำพูดของ พล อ.ประยุทธ นั้น ไม่อาจทำให้สังคมโลกเชื่อได้ แต่ยิ่งทำให้มีปฏิกิริยาความไม่พอใจจากสังคมโลกสะท้อนกลับมาแน่ เพราะองค์กรระดับได้รับรางวัลโนเบลอย่าง Amnesty International นั้น ไม่ใช่ที่ประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกที่ทุกคนจะต้องเงียบเมื่อ ผบ.ทบ.พูด แต่เป็นปัญหาสำหรับ รมว.ต่างประเทศที่จะต้องตอบพวกเขาแน่นอน

3.มีคำถามมากมายต่อข้อมูลการสนทนาที่แท้จริง จากการที่เอกอัครราชทูตบางประเทศ เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น เข้าพบ รมว.ต่างประเทศ หลังรับตำแหน่งว่า ท่านทูตเข้ามาพบด้วยเรื่องใด แน่นอนที่ต้องเริมการสนทนาด้วยคำพูดแสดงความยินดีที่เข้ารับตำแหน่งตามมารยาท แต่หลังจากนั้น คำถามก็คือ มีการปรึกษาหารือกันด้วยเรื่องแนวใด เป็นการแสดงการสนับสนุนรัฐบาล คสช. หรือเป็นการขอความชัดเจนเรื่องในอนาคต เช่นการเร่งรัดให้กลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยหรือเรื่องใดกันแน่ เพราะไม่มีการแถลงการณ์ร่วมกันอย่างเป็นทางการภายหลังการเข้าพบเลย

4.สำหรับการต่อต้านทางเศรษฐกิจต่อ คสช.นั้นชัดเจนอยู่แล้ว เช่น การที่ EU ไม่ยอมจัดการเจรจาเรื่องการลดหย่อมภาษี (GSP) กับ คสช. รวมทั้งมาตรการอื่นที่ออกมากดดันทันทีที่มีการรัฐประหาร เรื่อง GSP นั้นสิ้นเดิอนธันวาคมนี้ไทยจะไม่ได้รับการผ่อนปรนทางภาษีจาก EU อีกแล้ว หรือมาตรการไม่เจรจากับตัวแทนรัฐบาล คสช.ของอีกหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐ ญี่ปุ่น ฯลฯ หรือการที่นักลงทุนจากหลายประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตสำคัญหลายอุตสาหกรรมออกจากประเทศไทยไปยังอินโดเนเซีย กับเวียดนามแทน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ เรื่องเหล่านี้แม้จะไม่ตรงกับหน้าที่ของ รมว.ต่างประเทศ แต่แน่นอนที่จะต้องถูกนำมาเป็นประเด็นเกี่ยวกับการลงทุนของประเทศไทย

5.เรื่องการคงกฎอัยการศึกไม่ยอมยกเลิกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องโดนนำมาเป็นประเด็นแน่ เพราะในฐานะประเทศที่มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยว แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา กฎอัยการศึกทำให้บริษัทประกันไม่ยอมรับประกันการเดินทาง และไม่มีใครจะเสี่ยง แม้รัฐบาลเผด็จการพยายามอ้างว่าไม่มีปัญหาใด ชีวิตยังคงปกติ แต่นั่นคือการมองเข้าข้างตัวเอง เพราะถ้าไม่มีอะไร ทำไมไม่ยกเลิกการใช้กฎหมายของทหาร รัฐมนตรีคงตอบคำถามนี้ลำบากแน่ โดยเฉพาะเมื่อถูกถามว่า ในเมื่อมีกฎอัยการศึกรักษาความสงบ แต่ทำไมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษจึงถูกสังหาร และการแต่งบิกินีริมหาดนั้น กฎอัยการศึกสั่งห้ามด้วยหรือ

ฯลฯ

เรื่องจริงก็คือประเทศไทยไม่เคยมีปัญหาเหล่านี้ให้ รมว.ต่างประเทศไทยต้องปวดหัวเลยในช่วงที่ประเทศมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ปัญหาทั้งหมดตามมาเป็นระลอกหลังรัฐประหาร ควรยอมรับความจริงกัน

คำถามที่สังคมโลกอาจจะถามหรือไม่ถามก็ได้ แต่ รมว.ต่างประเทศไทยน่าจะตอบยากมากคือคำถามที่ว่า

“ตั้งแต่รัฐบาลนี้ตั้งขึ้นมา มีผู้นำประเทศใดส่งสารมาแสดงความยินดีบ้าง แม้แต่ผู้นำรัฐบาลจากประเทศอาเซียนเพื่อนบ้านเองก็ตาม”

 

 

 

 


จนท.สั่งระงับห้องเรียนปชต.ครั้งที่ 2 มธ.รังสิต - เชิญอาจารย์นิธิ ไปโรงพัก

 

  

 

 

ที่มา มติชนออนไลน์

วันที่ 18 กันยายน 2557 กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD) ได้จัดกิจกรรม "ห้องเรียนประชาธิปไตย : บทที่ 2 การล่มสลายของเผด็จการในต่างประเทศ" โดยมีวิทยากร ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ อาจารย์ ดร.เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ อาจารย์ ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ คุณภาณุ ตรัยเวช และดำเนินรายการโดย อาจารย์ ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติที่ ห้อง 206 อาคารบรรยายรวม 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

ทั้งนี้ ได้มีจดหมายขอความร่วมมือจาก กองบังคับการควบคุม กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 ในการงดจัดกิจกรรมดังกล่าวส่งถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยอ้างถึงคำสั่งคสช.ที่ต้องการให้ประเทศเกิดความสงบเรียบร้อยไม่สร้างความแตกแยก ลงชื่อโดย พันเอก พัลลภ เฟื่องฟู ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุม กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 แต่อย่างไรก็ตาม ทางคณะผู้จัดงานยืนยันว่าจะจัดกิจกรรมดังกล่าวต่อไป เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ความรู้ประชาชนแลบะนักศึกษาทั่วไป

ทั้งนี้มีรายงานว่า มหาวิทยาลัยจำต้องปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ จึงต้องล็อคห้องเรียนที่จะจัดงานในครั้งแรก โดยห้ามเข้าไปใช้เด็ดขาด จึงต้องย้ายมาจัดกันบริเวณโถง บร.1 ด้านล่างอาคารของห้องเรียนดังกล่าว ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชน รวมทั้งนักศึกษาอย่างมาก

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ และ ทหารนอกเครื่องแบบ คอยตรวจตราดูความเรียบร้อยในการจัดกิจกรรม จากนั้นได้เรียกผู้จัดงานไปพูดคุย ขอความร่วมมือ วิทยากร ให้ยุติการจัดงาน ล่าสุด งานเสวนาถูกสั่งให้เลิก ระหว่างที่อาจารย์นิธิกำลังพูดอยู่ ตอนนี้ตำรวจเชิญผู้จัดและวิทยากรไปโรงพัก ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น สภ.คลองหลวง แต่ทางผู้จัดงานได้ต่อรองขอให้มีการพูดคุย ณ สถานที่จัดงาน 

 

 

 

 

 

 

               18 ก.ย.2557 สกอตแลนด์จะแยกประเทศ

 
 
 
 
 




 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
คนไทยเรียกประเทศอังกฤษ แต่ชื่อเต็มอย่างเป็นทางการของอังกฤษคือ สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ประกอบด้วยผู้คนจาก 4 กลุ่มชาติพันธุ์มาอยู่รวมเป็นประเทศเดียวกันคือ อังกฤษ เวลส์ สกอต และไอร์แลนด์เหนือ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ.2557 จะมีการลงประชามติของคนสกอต ว่าจะแยกสกอตแลนด์ไปตั้งเป็นประเทศเอกราชชาติใหม่หรือไม่? ตอนนี้ผู้คนทั้งสองฝ่าย ในสกอตแลนด์ต่างก็รณรงค์เพื่อให้ประชาชนออกไปเลือกตั้งตามที่ฝ่ายตนต้องการ

ฝ่ายที่อยากอยู่กับอังกฤษต่อไป ก็ออกมาโพนทะนาสาธยายว่า สกอตแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรมานานตั้ง 307 ปี จนกลายเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้ว จะแยกประเทศไปหาพระแสงด้ามยาว ด้ามสั้นทำไมกันอีก?

พวกที่อยากแยกก็บอกว่า เรามีพื้นที่เพียง 1 ใน 3 และประชากรเพียง 1 ใน 10 ของสหราชอาณาจักรก็จริง แต่เรามีเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินอันดับ 2 ของสหราชอาณาจักร คือเมืองเอดินบะระ มีกลาสโกว์เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 3 แยกประเทศออกไปเป็นเอกราชชาติใหม่เมื่อใด เราไปได้โลดแน่ เรามีแม้กระทั่งแอเบอร์ดีนซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าน้ำมันของยุโรป เป็นจุดเชื่อมกับทะเลเหนือ อย่ามาบอกว่า ถ้าสกอตแลนด์แยกไปเป็นเอกราชชาติใหม่แล้วจะไปไม่รอด ต้องบอกว่าสหราชอาณาจักรต่างหากที่จะด้อยลง

ที่เราพูดเช่นนี้ก็เพราะ เมืองในสกอตแลนด์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสูง อย่างดันดี ขณะนี้ก็เป็นเมืองที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดในทวีปยุโรป หรือเมืองหลวงเก่าของสกอตแลนด์อย่างสเตอร์ลิง ก็มีเขตสูงซึ่งเป็นดินแดนทะเลสาบภูเขาไฟที่กว้างใหญ่ไพศาล เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยที่สุดในสหราชอาณาจักร

ทรัพยากรมนุษย์ของสกอตแลนด์ก็เด่นมาตั้งแต่ก่อนง่อนชะไร แมกซเวลคิดทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ลอร์ดเคลวินและแรงคินค้นคว้าหาความจริงเรื่องอุณหพลศาสตร์ได้ เจมส์ วัตต์พัฒนาเครื่องจักรไอน้ำสำเร็จ จนมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม และทำให้อังกฤษกลายเป็นเจ้าอาณานิคม ชาวสกอตเกิดมาเพื่อพัฒนาโลก ผลงานประดิษฐ์โทรศัพท์ โทรทัศน์ เรดาร์ การคิดค้นยาปฏิชีวนะ พัฒนาเทคนิคการผ่าตัดสมัยใหม่ ฯลฯ เป็นของชาวสกอตทั้งนั้น

คนสกอตก็เก่งด้านการเงินการธนาคาร ชาวสกอตนี่แหละเป็นคนค้นคิดตู้เอทีเอ็ม นวัตกรรมทางการเงินอย่างการเบิกเงินเกินบัญชีนี่ ก็คิดโดยชาวสกอต ชาวสกอตเป็นคนเอาระบบทศนิยมมาใช้ในการธนาคาร ผู้ตั้งธนาคารขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของทวีปยุโรป อย่าง HSBC และ RBS หรือแม้แต่ผู้ตั้ง Bank of England ก็เป็นชาวสกอต

แต่ก่อนง่อนชะไร สกอตแลนด์เป็นชาติเอกราช จนกระทั่ง ค.ศ.1603 หรือเมื่อ 411 ปีก่อน พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ ได้ครองบัลลังก์ของกษัตริย์อังกฤษด้วย โดยใช้พระนามว่า พระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ทำให้ทั้งคนสกอตและคนอังกฤษต้องมามี
พระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน

อีก 104 ปีต่อมาจึงมีการตราพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ.1707 ทำให้ราชอาณาจักรอังกฤษ (ที่มีสกอตแลนด์รวมอยู่ด้วย) กลายเป็นราช-อาณาจักรบริเตนใหญ่

ปัจจุบัน คนสกอตเป็นพลเมืองของสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ อยู่ภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นประมุขของรัฐ และนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน เป็นประมุขฝ่ายบริหาร

หากแยกสำเร็จ ประเทศใหม่ของชาวสกอตจะมีพื้นที่ใหญ่ไหม? ตอบว่าก็ 78,772 ตารางกิโลเมตร เขียนให้เห็นภาพก็คือเท่ากับเชียงราย + เชียงใหม่ + ตาก + น่าน + พะเยา + แม่ฮ่องสอน (11,678.4 + 20,107.1 + 16,406.6 + 11,472.1 + 6,335.1 + 12,681.2 =78,680.5 ตารางกิโลเมตร) ประชากรก็เท่า 6 จังหวัดทางเหนือของไทยรวมกัน คือ 5 ล้านคน

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยไอซีเอ็มเปิดผลสำรวจออกมาแล้วครับ ว่าประชาชนหนุนการแยกตัวออกไปเป็นประเทศใหม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เพิ่มมากถึง 39% แล้ว กว่าจะถึงวันลงประชามติ คนสกอตจะออกมาหนุนเกินครึ่งแน่

ส่วนคนอังกฤษขู่คนสกอตว่า ถ้าคุณแยกออกไปตั้งประเทศใหม่ เราจะไม่ให้คุณใช้เงินสกุลปอนด์สเตอร์ลิง และจะขัดขวางไม่ให้คุณเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป

คนสกอตแลนด์ย้อนกลับว่า........

“แล้วใครเขาไปสนใจในไอ้เรื่องพวกนั้นล่ะ?”

“ไอ้บ้าเอ๊ย!”


http://www.thairath.co.th/column/oversea/worldsky/412532
 
 
 
 
 
 
 

 

 

ชักเสียว! โพลใหม่พบฝ่ายหนุนสกอตแลนด์แยกตัวจาก UK กำลังจี้ติด

 

 

ไฟแนนเชียลไทม์ส - การรณรงค์คัดค้านสกอตแลนด์แยกตัวออกจากสหราชอาณาจักรยังเดินหน้าอย่างไม่ลดละ แต่โพลใหม่ของ 2 สำนักกลับพบเหลือคะแนนนิยมนำหน้าลดน้อยลงเรื่อยๆ ท่ามกลางการหาเสียงที่เข้มข้นก่อนหน้าการลงประชามติในวันพฤหัสบดีนี้ (18 ก.ย.) อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนคาดหมายว่าท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนจะโหวตเป็นปึกแผ่นเดียวกันต่อไป

ผลสำรวจความคิดเห็นของของไอซีเอ็ม ที่จัดทำให้แก่หนังสือพิมพ์สกอตส์แมน พบว่าคะแนนนิยมของฝ่ายสนับสนุนอยู่ในสหราชอาณาจักรต่อไป อยู่ที่ร้อยละ 52 ส่วนร้อยละ 48 บอกว่าจะโหวตแยกตัวเป็นเอกราช ถือเป็นการลดระยะห่างเหนือแค่ร้อยละ 4 หลังจากผลสำรวจหนก่อนหน้านี้เมื่อเดือนที่แล้วพบว่า ฝ่าย “โหวตโน” คัดค้านการแยกตัว เคยมีคะแนนนำห่างถึงร้อยละ 10 กระนั้นก็ดีทั้งหมดทั้งมวลนี้ ยังไม่นับรวมกับผู้ที่มีสิทธิออกเสียงที่ยังไม่ตัดสินใจ

ส่วนผลสำรวจของ Opinium ที่จัดทำให้กับเดลี เทเลกราฟ ก็พบว่าฝ่ายสนับสนุน “โหวตโน” นำหน้าฝ่ายหนุนหลังการสิ้นสุด 307 ปีแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างอังกฤษและสกอตแลนด์ อยู่ที่ร้อยละ 52 ต่อ 48 เช่นกัน ซึ่งผลโพลของสองสำนักบ่งชี้ว่าการลงประชามติครั้งนี้ยังคงเบียดเสียดกันอย่างสูสี แม้ในตลาดการเงินเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นว่าสกอตแลนด์จะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรต่อไป

ท่ามกลางการรณรงค์หาเสียงที่เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการลงประชามติในวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) เหล่านักวิเคราะห์ด้านการเงินบอกว่านักลงทุนกะเก็งกันว่ามีโอกาสแค่เล็กน้อยเท่านั้นสำหรับชาวสกอตต์แลนด์ที่จะโหวตแยกตัว “ไม่มีลูกค้าของเรารายใดที่กำลังเตรียมตัวสำหรับการแยกตัวของสกอตแลนด์” วาเลนติน มารินอฟ นักยุทธศาสตร์จากซิตี้กรุ๊ปกล่าว

ฝ่ายคัดค้านการแยกตัวเพิ่งโหมเร่งรณรงค์ ภายใต้สโลแกน “Better Together” เมื่อ 10 วันก่่อน หลังมีสัญญาณว่าการรณรงค์แยกตัวเป็นเอกราชของนายอเล็กซ์ ซัลมอนด์ เริ่มเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะที่โพลสำรวจความคิดเห็นบ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายยังคงสูสี ก็ดูเหมือนว่าสัญญาณการคัดค้านแยกตัวของภาคธุรกิจ จะช่วยคืนชีพให้แก่ฝ่ายที่ต้องการเห็นสหราชอาณาจักรยังคงเดิม

กระนั้นนายซัลมอนด์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสกอตแลนด์ ประกาศจะเดินหน้าในวันพุธ (17 ก.ย.) เรียกร้องผู้มีสิทธิ์ออกเสียงปฏิเสธกลยุทธ์สร้างความตื่นกลัวของฝ่ายรณรงค์โหวตโน โดยบอกว่าผู้ลงคะแนนควรคว้าโอกาสที่ยิ่งใหญ่และการมีอำนาจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในการลงประชามติในวันพฤหัสบดีนี้ (18 ก.ย.)

ในส่วนของฝ่ายสนับสนุนโหวตโนนั้น นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ให้สัญญาแบบข้ามพรรคว่าจะขยายอำนาจใหม่ๆ แก่รัฐสภาสกอตแลนด์ ความเคลื่อนไหวที่มีเจตนาโน้มน้าวผู้มีสิทธิออกเสียงที่ยังไม่ตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งมันก็ก่อความขุ่นเคืองแก่เหล่า ส.ส.หัวอนุรักษนิยมของอังกฤษ

 
 
 
 

 

 

 

 

 

 

สิ่งที่ "คนญี่ปุ่น" คนนี้พูดถึงคนไทย นับว่าตรงทุกข้อ ช่างน่าละอายใจนัก 

 
 
 



 

 

สิ่งที่เขาพูดมาไม่ผิดเลยสักข้อ ไม่ควรไปโกรธเขา แต่ควร "ยอมรับ" และ "แก้ไข"

"นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ" ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นประจำกรุงเทพฯ ระบุว่าไทย ไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน ในสายตาของนักลงทุนญี่ปุ่น โดยแสดงทรรศนะถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อ คือ

1 . "คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก" โดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม คือ เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ

2. "การศึกษายังไม่ทันสมัย" คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า

3. "มองอนาคตไม่เป็น" คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

4. "ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่" ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึง ความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ

5. "การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่" ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

6. "การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง" ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว

7. "อิจฉาตาร้อน" สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี้ยงเป็นศรีธนญชัย ยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้าย ดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. "เอ็นจีโอค้านลูกเดียว" เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์ เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่มีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศไทยเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน

9. "ยังไม่พร้อมในเวทีโลก" การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกประเทศไทยยังขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. "เลี้ยงลูกไม่เป็น" ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม

 

 

 


 

 

 

อย่างกะคนญี่ปุ่นมันดีเลิศประเสริฐศรีมณีเด้งมาก บ้าหรือเปล่ามาทำอุ้มบุญเด็กมากกว่า 10 มนุษย์ปกติเขาทำอุ้มบุญเพราะมีลูกตามธรรมชาติยาก และจะทำแค่คนสองคน ไม่ใช่ทำทีเป็นโรงงานผลิตเด็ก คนที่ทำแบบนี้ต้องมีอาการทางจิต ใคนอยากรู้เปิดดูรายการเปิดปม ทางไทยพีบีเอสเทปวันที่ 15 สิงหาคม 2557 เจตนามันส่อไปในทางค้ามนุษย์อยู่แล้ว พวกคนญี่ปุ่นที่ชอบด่า ดูถูกคนไทย หัดมองเงาหัวตัวเองซะบ้างก่อนที่จะด่าใครเขา คนทุกคนเกิดมามีศักดิ์ศรีกันทั้งนั้น ไม่ใช่คนบางคนที่เห็นชีวิตมนุษย์เป็นของเล่น

 

สรุปว่าญี่ปุ่นนี่เป็นชนชาติที่ดี ไม่เคยก่อสงคราม ไม่เคยเข้าไปข่มขืนต่างชาติ
ไม่เคยมีแก๊งค์อาชญากร ไม่มีโสเภณี ...แหม่ มันดีทุกอย่าง เลยมาวิจารณ์คนอื่นเขา
ไอ้คนไทยบางคนมันก็เห็นดีเห็นงาม เกลียดบ้านตัวเอง ถึงกะเรียก "ทุยแลนด์"
เหยียดหยามพวกกันเอง แล้วทำให้ตัวเองดูดีขึ้น ว่างั้น

 

รู้สึกว่า... จริงๆแล้ว จะเป็น คุณวิกรม กรมดิษฐ์ พูดไว้ ตั้งแต่ปี 2550 นะครับ
ออกอากาศทางวิทยุ อสมท.
รายการซีอีโอวิชั่น
10-11 มกราคม 2550

http://www.geranun.com/archives/234

 

                                                  Subaru - Tanimura Shinji

  

 

 

 

 

 

 

[​IMG]

 

 


บริษัทใหญ่ๆที่หลบภาษี ตามได้หรือเปล่า เอาชื่อเมีย เป็นที่ปรึกษารับเงินเดือน ค่าเอ็นเทอเทน ค่ารถ น้ำมันรถ เอาชื่อพี่น้องมาเป็นพนักงาน มาหักค่าใช้จ่ายบริษัทเพื่อให้กิจการดูมีกำไรน้อยหรือขาดทุนจะได้เสียภาษีน้อย

 

บัญชีรายได้มี2แบบ แบบจริงเอาไว้ดู แบบปลอมเอาไว้ยื่นภาษี บริษัทพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทครอบครัว แถมบางทีมีพวกสรรพากรรับจ้างช่วยทำบัญชีด้วย เหนื่อยนะ ส่วนพวกรากหญ้าก็มีหลายแบบ แบบแผงก๋วยเตี๋ยวขายดีก็เก็บไปเถอะแต่ที่เป็นแผงคนจนเว้นไว้ก็ดี

 

 

 
 
 
 
 
 
 
สิ่งที่คุณไม่เคยรู้....." การลงจอด หรือ landing ของเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์...!!!!
 
 
                                    ณ.สนามบินสุวรรณภูมิ
  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         แล้วไม่ให้เจ๊งได้งัย!!!...

 

 

   
 
 

ความคิดเห็น

วันที่: Thu Apr 25 21:21:45 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>