Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

พุทธฺวจน

ArjanPong | 07-10-2557 | เปิดดู 3071 | ความคิดเห็น 0

 

                                                 

 


(พระสูตร ๑) ความสามารถ


อัคคิเวสนะ ! เรานั้นหรือ, จำเดิมแต่เริ่มแสดงกระทั่ง
คำสุดท้ายแห่งการกล่าวเรื่องนั้นๆ ย่อมตั้งไว้ซึ่งจิตในสมาธิ
นิมิตอันเป็นภายในโดยแท้ ให้จิตดำรงอยู่ ให้จิตตั้งมั่นอยู่
กระทำให้มีความเป็นจิตเอก ดังเช่นที่คนทั้งหลายเคยได้ยิน
ว่าเรากระทำอยู่เป็นประจำ ดังนี้.
(พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า ๒๔๗,
พระไตรปิฎก สยามรัฐ ๑๒/๔๖๐/๔๓๐)

(พระสูตร ๒) ความสามารถ


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กล่าวนั้นถูกละ พวกเธออัน
เรานำเข้าไปแล้วด้วยธรรมนี้ อันเห็นได้ด้วยตนเอง ซึ่งให้ผล
ได้ไม่จำกัดกาล ควรเรียกให้มาชม ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชน
พึงรู้ได้เฉพาะตน คำที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม
นี้ อันเห็นได้ด้วยตนเอง ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ควรเรียกให้มา
ชม ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้ เรา
อาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
(พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับสังคายนา ในพระบรมราชูปถัมภ์
พ.ศ.๒๕๓๐, เล่ม ๑๒ ข้อ ๔๐๗ หน้า ๔๕๖)

(พระสูตร ๓) ความสามารถ


ภิกษุทั้งหลาย ! นับตั้งแต่ราตรี ที่ตถาคตได้ตรัสรู้
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จนกระทั่งถึงราตรี ที่ตถาคต
ปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ตลอดเวลาระหว่าง
นั้น ตถาคตได้กล่าวสอน พร่ำสอน แสดงออกซึ่งถ้อยคำใด
ถ้อยคำเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเข้ากันได้โดยประการเดียว
ทั้งสิ้น ไม่แย้งกันเป็นประการอื่นเลย.
(พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า ๒๘๕,
พระไตรปิฎก สยามรัฐ ๒๕/๓๒๑/๒๙๓)

 

(พระสูตร ๑๐) ใช้คำสอนแทนพระองค์


อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า
ธรรมวินัยของพวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว
พวกเราไม่มีพระศาสดา ดังนี้
อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนั้น
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
(มหาปรินิพพานสูตร มหา.ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘)
อานนท์ ! ความขาดสูญแห่งกัลยานวัตรนี้ มีในยุคแห่งบุรุษใด
บุรุษนั้นชื่อว่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายแห่งบุรุษทั้งหลาย...
เราขอกล่าวย้ำกะเธอว่า...
เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

      "จตุพร"โอดล็อกสเปคล้างบาง พท.

http://www.dailynews.co.th/

 

 

 

“จตุพร”โพสต์เฟซบุ๊ก โอด รธน.ชั่วคราวล็อกสเปค ล้างบางเพื่อไทย ฉะแนวคิด “ชัยอนันต์” ล้าหลังไป 82 ปี ระบุถ้าจะคืนอำนาจให้ ปชช. ต้องคืนให้ครบ

 

วันพุธ 15 ตุลาคม 2557 เวลา 16:09 น.
 

เมื่อวันที่ 15 ต.ค.นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเป็นฉบับล็อกสเปค ซึ่งมีการตรามาตรา 35 ไว้ โดยมี 10 วงเล็บ หากจะทำการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ต้องนำกรอบ 10 กรอบนี้ไปปฏิบัติและจะร่างกี่ครั้งก็ต้องออกมาแบบเดิม เพราะถูกล็อคไว้ด้วย 10 ข้อนี้ แต่ไฮไลท์อยู่ที่วงเล็บ 4 ที่กล่าวว่า ผู้ใดที่ต้องคดีเกี่ยวกับการทุจริตเลือกตั้งและถูกตัดสิทธิทางการเมือง จากการยุบพรรคหรือต้องคำพิพากษาคดีทุจริต ไม่สามารถลงรับสมัครเลือกตั้งได้ ซึ่งจากข้อนี้ ต่อให้ผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง พ้นโทษมานานแล้วต้องหมดสิทธิลงเลือกตั้งไปตลอดชีวิต

 

นายจตุพร ระบุอีกว่า นั่นหมายถึงผู้ที่มีชื่ออยู่ในบ้านเลขที่ 111,109 และที่กำลังดำเนินการกับ 308 ซึ่งหมายถึงอดีต ส.ส.และส.ว.ที่กำลังดำเนินการถอดถอนจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว.ให้มีการเลือกตั้ง 100 % ก็น่าจะไม่เหลือเหมือนกัน โดย ป.ป.ช.กำลังดำเนินการส่งเรื่องให้ สนช.จัดการ ทั้งนี้การล้างรุ่นนักการเมืองเป็นที่ชัดเจนว่า เป็นการล้างฝ่ายเดียว คือฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 3 รุ่น แต่ตนรู้ว่าหากใช้กติกานี้จนเดินไปสุดทาง สุดท้ายแล้วประชาชนจะรู้เองว่าจะต้องจัดการกันอย่างไร

 

นายจตุ พร ระบุต่อว่า ในส่วนข้อเสนอของนายชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่ให้ทำการเลือกตั้งและแต่งตั้งกันอย่างละครึ่งนั้น มองว่าเป็นการถอยหลังกลับปี 2475 ความคิดนี้เป็นความคิดตั้งแต่ 82 ปีที่แล้ว ซึ่งในความเห็นของตน ถ้าในการเลือกตั้ง ส.ส. ไม่สามารถมีการเลือกตั้งได้ 100% ก็ไม่ควรที่จะคืนอำนาจให้กับเรา จากเดิมที่ประชาชนอึดอัดอยู่แล้ว จากการแต่งตั้ง ส.ว.จากรัฐธรรมนูญเดิม และจากที่ผู้แทนมี 500 คน แค่นั้นก็ดูแลประชาชนได้ไม่ครบถ้วนแล้ว แต่ในสูตรนี้จะให้มีผู้แทนจังหวัดละ 1 คน รวมเป็น 77 คน หลักการบริหารทำได้ยากมาก ตนไม่ได้มองทางเทคนิค แต่มองว่าอำนาจสิทธิใดที่เป็นของประชาชน ถ้าถึงวันที่นัดหมายจะคืนให้กับเขา ก็ควรคืนให้เขาให้ครบไป.

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                             พระราชบัญญัติ
                                                            ป่าสงวนแห่งชาติ
                                                                พ.ศ. ๒๕๐๗

                                                           ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                                         ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๗
                                                เป็นปีที่ ๑๙ ในรัชกาลปัจจุบัน

หมวด ๒
การควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติ

 

          มาตรา ๑๔ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือ ครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพ ป่าสงวนแห่งชาติ เว้นแต่
           (๑) ทำไม้หรือเก็บหาของป่าตามมาตรา ๑๕ เข้าทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยตามมาตรา ๑๖ มาตรา ๑๖ ทวิ หรือมาตรา ๑๖ ตรี กระทำการ ตามมาตรา ๑๗ ใช้ประโยชน์ตามมาตรา ๑๘ หรือกระทำการตามมาตรา ๑๙หรือมาตรา ๒๐
           (๒) ทำไม้หวงห้ามหรือเก็บหาของป่าหวงห้ามตามกฎหมาย ว่าด้วยป่าไม้
           (มาตรา ๑๔ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๘ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๘)    

หมวด ๓
บทกำหนดโทษ 
 
 

          มาตรา ๓๑ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๔ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หกเดือนถึงห้าปีและปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท
           ในกรณีความผิดตามมาตรานี้ ถ้าได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่
           (๑) ไม้สัก ไม้ยาง ไม้สนเขา หรือไม้หวงห้ามประเภท ข. ตาม กฎหมายว่าด้วยป่าไม้ หรือ
           (๒) ไม้อื่นเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง รวมกันเกินยี่สิบต้น หรือท่อน หรือรวมปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตร หรือ
           (๓) ต้นน้ำลำธาร
           ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และ ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท
           ในกรณีที่มีคำพิพากษาชี้ขาดว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามมาตรานี้ ถ้าปรากฏว่าบุคคลนั้นได้ยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ศาลมี อำนาจสั่งให้ผู้กระทำผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำผิด ออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติได้ด้วย
 

 

 

    

จัดสรรที่ดินให้คนจน คืนความสุขให้เกษตรกรไร้ที่ดิน

 

 

areafamer3ข่าว

 

 

การขีดเส้นตายให้ชาวบ้านชุมชนเก้าบาตร อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ออกจากพื้นที่ที่อยู่อาศัยภายในวันที่ 8 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สร้างความไม่สบายใจให้กับองค์กรและกลุ่มคนหลายฝ่ายที่ติดตามปัญหาการไร้ที่ทำกินของเกษตรกร เนื่องจากกังวลว่าหากเกษตรกรถูกอพยพออกจากพื้นที่ที่อาศัยอยู่ขณะนี้แล้ว หน่วยงานราชการได้มีแผนรองรับการอพยพที่ดีพอ คัดกรองเกษตรกรที่ขาดแคลนที่ดินทำกิน และจัดสรรที่ดินที่เพียงพอให้กับเกษตรกรที่ขาดแคลนที่ทำกินเหล่านี้หรือไม่



อันที่จริงปัญหาความขัดแย้งไม่ลงตัวในการจัดสรรที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์ มีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2520 และเป็นปัญหาที่ไม่แตกต่างจากชุมชนอีสานอีกหลายแห่ง ที่เกษตรกรไม่มีความมั่นคงด้านที่ดินทำกิน เนื่องจากชุมชนอีสานถูกอพยพโยกย้ายโดยหน่วยงานราชการหลายครั้ง ด้วยเหตุผลของความมั่นคงบ้าง เหตุผลของการอนุรักษ์พื้นที่ป่าบ้าง หรือแม้แต่เหตุผลของการที่ต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม เมื่อหน่วยงานราชการต้องการใช้พื้นที่เพื่อโครงการต่างๆ เช่น โครงการสร้างศูนย์ราชการ โครงการสร้างเขื่อน และอื่นๆ

ความเศร้าใจที่หลายชุมชนเหล่านี้ต้องเผชิญ ก็คือหน่วยงานราชการมักจะให้คำมั่นสัญญากับเกษตรกรว่าจะจัดสรรที่ทำกินชดเชยให้กับพวกเขา มีเกษตรกรจำนวนมากในหลายจังหวัดรอและหวังว่าส่วนราชการ ไม่ว่าจะเป็นทหาร อำเภอ จังหวัด จะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา แต่ในพื้นที่หลายแห่งก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เกษตรกรอีสานในหลายพื้นที่จึงเหมือนถูกหลอกให้รอ กลายเป็นเกษตรกรไร้ที่ดินและไร้ความหวัง
ไม่แตกต่างจากชุมชนเก้าบาตรและอีกหลายที่ในภาคอีสาน ที่สุดท้ายเกษตรกรเหล่านี้ก็หาทางออกเอง ด้วยการเข้าไปเพาะปลูกในพื้นที่เดิมหรือพื้นที่ว่างที่ไม่มีใครใช้ประโยชน์ และจบลงด้วยการถูกส่วนราชการดำเนินคดี ติดคุก หรือถูกอพยพอีกเป็นครั้งที่เท่าไร ก็จำไม่ได้

คำถามสำคัญคือ จะอพยพเกษตรกรเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนได้อีก พื้นที่ถูกตารางนิ้วในบ้านเรา ล้วนมีเจ้าของจับจองแล้วทั้งนั้น ถ้าไม่ได้เป็นของเอกชนที่มีเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมาย ก็มีเกษตรกรรายอื่นทำกินอยู่แล้ว หรือไม่ก็เป็นที่ทางของส่วนราชการที่มีอยู่จำนวนมากเหลือเกิน หรือว่าจะให้พวกเขาไปบุกรุกพื้นที่ป่า และถูกจับกุมอีก

มันคงเป็นเรื่องน่าตลกที่จะตั้งคำถามว่า สรุปแล้วบ้านเราไม่มีหน่วยงานราชการ ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบชัดเจน (แบบ one stop service) ในการจัดสรรที่ทำกินให้กับเกษตรกรยากจน หรือแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรไร้ที่ทำกินใช่ไหม ถ้ามีอยู่จริง หน่วยงานราชการเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน เวลาเกษตรกรเหล่านี้ถูกอพยพโยกย้ายออกจากที่ทำกินเดิม ครั้งแล้วครั้งเล่า

พื้นที่ประเทศไทยที่มีอยู่ ร้อยละ 40 หรือประมาณ 130 ไร่ เป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนคนที่มีอันจะกิน ย่อมมีโอกาสถือครองที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์มากเท่าไรก็ได้ แต่พื้นที่อีกร้อยละ 60 หรือประมาณ 190 ล้านไร่ เป็นที่ดินของส่วนราชการต่างๆ ที่บอกว่ามีอยู่จำนวนมาก และพื้นที่เหล่านี้นี่ล่ะ ที่มักมีปัญหาเป็นกรณีขัดแย้งเรื่องแย่งที่ดินกัน มีคดีพิพาทฟ้องร้องขับไล่เกษตรกรให้ออกจากพื้นที่ ในบางกรณีมีการฟ้องคดีแพ่งเพิ่มอีกกระทงเรียกให้จ่ายค่าเสียหายให้หน่วยงานรัฐ

ในพื้นที่ 190 ไร่ ที่หน่วยงานราชการดูแลอยู่นี้ แบ่งออกเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประมาณ 35 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งรวมพื้นที่อุทยานแห่งชาติอยู่ในนี้ด้วยแล้วประมาณ 145 ล้านไร่ ดูแลโดยกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และที่เหลืออีกประมาณ 10 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งดูแลโดยกรมธนารักษ์

ไม่มีใครทำข้อมูลสถิติไว้ชัดเจนว่า มีเกษตรกรไร้ที่ทำกินเข้าไปจับจองพื้นที่เพาะปลูก ทำกินในที่ดินรัฐเหล่านี้มากน้อยเพียงใด มีเพียงตัวเลขคร่าวๆ ซึ่งน่าจะต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ว่ามีเกษตรกรที่บุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 184,710 ราย มีเกษตรกรที่บุกรุกพื้นที่ป่าสงวน 340,000 ราย มีเกษตรกรที่บุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน 5,426 ราย และยังมีเกษตรกรบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ บุกรุกที่ราชพัสดุ บุกรุกที่นิคมสร้างตนเอง ที่ไม่ทราบจำนวนรายที่ชัดเจนอีก

เป็นไปได้ว่า ถ้านับรวมพื้นที่รัฐที่เกษตรกรเหล่านี้เข้าไปจับจองทำกินรวมๆ แล้วน่าจะหลายสิบล้านไร่ เพราะลำพังตัวเลขสถิติเกษตรกรไร้ที่ทำกิน ที่เป็นทางการของสำนักงานสถิติแห่งชาติปัจจุบันก็เกือบหนึ่งล้านครอบครัว จากจำนวนเกษตรกรทั้งหมด 5.9 ล้านครอบครัว ไม่นับรวมพื้นที่กว่า 40 ล้านไร่ ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุชัดว่า เกษตรกรทำกินในพื้นที่คนอื่น โดยไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดิน และไม่ได้จ่ายค่าเช่า ซึ่งหมายรวมถึงทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ที่สาธารณะประโยชน์และที่ดินรัฐอื่น ส่วนที่รวมถึงที่ดินได้ทำฟรีโดยไม่ได้จ่ายค่าเช่าคงมีไม่มากนัก

ที่กล่าวมาทั้งหมด เพื่อชี้ให้เห็นว่า ถ้าไม่จัดสรรที่ดินให้กับคนจน ไม่แก้ปัญหาเกษตรกรไร้ที่ทำกิน ปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินระหว่างเกษตรกรกับหน่วยงานราชการไม่มีวันจบ มิหนำซ้ำการฟ้องร้องดำเนินคดีความกับคนยากคนจนเรื่องการบุกรุกที่ดิน ก็จะมีมากขึ้นตามลำดับ ไม่มีวันลดลง

บ้านเมืองเราก็แปลกประหลาด แทนที่หน่วยงานราชการจะมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข เอื้ออำนวยให้เกษตรกรมีความมั่นคงทางรายได้และเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงและความสุขของคนในชาติ แต่หน่วยงานราชการกลับทำหน้าที่ฟ้องร้องดำเนินคดี แย่งที่ดินกับเกษตรกรคนจนเสียเอง แล้วมันจะมีความสงบสุขได้อย่างไร

หน่วยงานราชการทุกหน่วย ควรมีหน้าที่ในการช่วยเหลือเกษตรกร หรือหากมีที่ดินในความรับผิดชอบดูแลอยู่จำนวนมาก ก็ควรทำหน้าที่ในการจัดสรรที่ดินให้กับเกษตรกรยากจน ไม่ใช่ไปแย่งที่ดินกับเขา ไปขับไล่เขาออกจากพื้นที่ และอ้างว่าพื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ของหน่วยงานตนเอง ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่

เพราะว่าการขับไล่อพยพเกษตรกร ออกจากพื้นที่หน่วยงานตนเอง ก็เท่ากับการปัดภาระให้พ้นตัว แต่ไม่ได้ใส่ใจ รับผิดชอบต่อประเด็นในทางสาธารณะและสังคมว่า เกษตรกรเหล่านี้จะมีที่ทำกินต่อไปในอนาคตอย่างไร พวกเขาจะไปบุกรุกพื้นที่ของหน่วยงานราชการอื่นที่ไม่ใช่หน่วยงานของตนเองหรือไม่ แก้ปัญหาแบบนี้ มันก็ไม่มีทางจบ

เหมือนกับชุมชนเก้าบาตร ที่เดินอยู่บนเส้นทางแก้ปัญหาที่ดินมาแล้ว 37 ปี ก็ยังวนกลับมาที่ปัญหาเดิมอีกจนได้

 

 

 สู้คดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ศาลจะเห็นว่า ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน

จึงไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งนั้น จะสู้ยาก และหากเอาเจตนาว่าไม่ทราบว่า

บริเวณดังกล่าวเป็นป่าสงวน คงสู้ไม่ได้ และศาลที่ผมอยู่นั้น หากไม่เกินสืบไร่

ไม่ถึงกับจำคุก ประมาณ รอลงอาญา

ข้อ 1 ถ้าให้แนะนำควรรับสารภาพ โอกาสที่จะรอการลงอาญาคือไม่ติดคุกมีสูงมาก
ข้อ 2 รอไว้ถูกฟ้องคดีแพ่ง แล้วค่อยเจรจาต่อรอง


 

 

 ทำไร่มา30กว่าปีโดนคดีบุกรุกแผ้วถางป่าสงวนแห่งชาติ

 

อยากจะขอปรึกษาทนายค่ะคือว่าพ่อของดิฉันอายุ 60 กว่า ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้แจ้งความจับดำเนินคดีข้อหาบุกรุกแผ้วถางป่าสงวนแห่งชาติ พ่อทำไร่ปลูกมันสำปะหลังในที่ดินแปลงนี้มาตั้งแต่พ.ศ.2517 หลังจากกลับจากไปรบที่เวียดนามมา แต่ทางการเพิ่งมาประกาศป่าสงวนเมื่อไม่นาน  พ่อได้ไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากที่ต่าง ๆ และทางศูนย์ดำรงธรรมก็ได้มีหนังสือแจ้งให้ทราบว่าพ่อยังคงสามารถทำกินได้แต่ห้ามมิให้ไปตัดต้นไม้(เป็นที่เตียนโล่งอยู่แล้ว) แต่เมื่อไม่นานเจ้าหน้าที่แจ้งความจับแยกเป็น 2 คดี คดีแรกบุกรุก 8 ไร่ เสียค่าปรับไป 7000 บาท ผ่านมาไม่ถึง 10 วันก็จับอีกข้อหาบุกรุกเพิ่มเติมอีก 63 ไร่ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยที่ดินที่พ่อทำอยู่มีเพียง 20 กว่าไร่ เขาไปเอาที่ดินของคนอื่นอีก 3-4 คนมารวมเป็นของพ่อหมดเลย

 

เจ้าหน้าที่ตำรวรับแจ้งความโดยที่ไม่ได้ไปดูสถานที่อะไรเลย ถามเขาว่าทำไมเป็นเช่นนี้ ตำรวจตอบว่าของกลางอยู่กับใครคนนั้นคือโจร ดิฉันงงมาก คดีที่ 2 นี้ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ยื่นอุทธรณ์ต่อและเมื่อวันที่ 21 ที่ผ่านมาศาลอุทธรณ์นัดฟังคำพิพากษายังยืนตามศาลชั้นต้นและในวันนั้นได้ขอยื่นประกันตัวไปแล้วเจ้าหน้าที่บอกให้รอศาลฎีกาสั่งและในวันนี้ก็ได้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศาล เขาแจ้งว่าศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัว เหตุผลเพราะเกรงหลบหนีและโทษไม่เกิน 5 ปี (ในวันนั้นยื่นขอประกันตัวอย่างเดียวยังไม่ได้ยื่นคำร้องขอฎีกา) อยากจะขอถามทนายดังนี้ค่ะ

- ในการขอฎีกาจะเขียนคำร้องขอฎีกาไปพร้อมกับการยื่นประกันตัวไปก่อนได้หรือไม่แล้วจึงจะมาเขียนฎีกาทีหลัง

-พ่ออายุ 62 ปี สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เป็นทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม คดีแบบนี้โอกาสจะฎีกาหลุดคดีมีมากน้อยเพียงใด

-

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

 

 

 

ในการขอฎีกาจะเขียนคำร้องขอฎีกาไปพร้อมกับการยื่นประกันตัวไปก่อนได้หรือไม่แล้วจึงจะมาเขียนฎีกาทีหลังพ่ออายุ 62 ปี สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เป็นทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม

- ได้ครับ เข้าใจว่าท่านมีทนายความอยู่แล้ว ลองปรึกษากับทนายที่เขาทำคดีให้ท่านมาก่อน เขาจะเป็นคนทราบขั้นตอนศาลมากที่สุด

คดีแบบนี้โอกาสจะฎีกาหลุดคดีมีมากน้อยเพียงใด

- ขึ้นอยู่ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและดูลพินิจของศาลครับ

 

 

ถึงคุณ Cat

คุณไม่จำเป็นต้องประกันตัวหรอกค่ะ เพราะพ่อของดิฉันก็เป็นเหมือนพ่อคุณนั่นแหล่ะค่ะ พ่อดิฉันทำไร่มาตั้งแต่ดิฉันยังไม่เกิด จนปัจจุบันดิฉันอายุ 32 ปี จะเข้า 33 ปีอยู่แล้ว พ่อของดิฉันติดคุกคดีเหมือนพ่อคุณเป๊ะเลย ยื่นศาลฎีกาแล้ว แต่เค้าไม่ให้ประกันตัว เหมือนที่คุณบอก และมีสถานเดียวคือติดคุก ดิฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม คนที่ทำมาในปีเดียวกันไม่ติดคุก แถมเค้าทำไม้อีกต่างหาก

 

แล้วช่วงที่พ่อของดิฉันติดคุกอยู่ก็มีการขนไม้เป็นคันรถ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนเข้ามาดูแล ปล่อยให้ขนกันเยอะแยะและทำกันอย่างสนุกสนาน ดิฉันก็อยากทราบเหมือนกันค่ะว่า กรณีคดีบุกรุกแบบนี้ คดีมันสามารถรื้อมาได้ด้วยหรือ แล้วกี่ปีถึงจะหมดอายุ หรือว่าอยากให้ติดคุกตอนไหนก็เอาขึ้นมาขุดคุ้ย แล้วจับยัดเข้าคุกงั้นเหรอ ถ้าใครตอบได้ช่วยตอบด้วย ปัจจุบัน พ่อดิฉันติดคุกอยู่ แต่ดิฉันก็ยังข้องใจอยู่ว่า หากเราต้องการความกระจ่างมากกว่านี้ต้องติดต่อที่ไหน หรือว่าปรึกษาที่ไหนได้บ้าง

no-nae13@hotmail.com

ขอบคุณ

 

 

 

 

 

สำนักข่าว อิศรา "พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา: จะเอาอะไรกับผมนักหนา "

 

 

 

 

รัฐบาลการเมืองนักการเมือง

13 ต.ค. 57 สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org โทรศัพท์สัมภาษณ์ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ถึงประเด็นร้อนของเงินส่วนต่าง 47 ล้าน ที่ไม่ถูกแจ้งไว้ในยอดเงินฝากของ พล.อ.ปรีชา แต่กลับมาปรากฏอยู่ในยอดรวมบัญชีเงินฝากทั้งหมด 10 บัญชี
“ที่มา” ของเงินดังกล่าวคืออะไร คำตอบอยู่ในถ้อยคำเหล่านี้   

@ : เงินบัญชีที่เกินมา 47 ล้านบาท ในยอดบัญชีที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. มีที่มาอย่างไร
ปรีชา : เกินมายังไง ตอนไหน ผมไม่เห็นรู้เลย

@ ในส่วนของยอดเงินฝาก ที่คุณแจ้ง ป.ป.ช. ไว้ 42 ล้านบาท แต่ยอดรวมของบัญชีเงินฝากที่คุณแจ้งไว้ 10 บัญชี รวม 89 ล้านบาท หมายความว่าเกินมา 47 ล้านบาท
ปรีชา : ก็ไปดูให้แน่สิ ว่าผมชี้แจงไปเท่าไหร่

@ คือข้อมูลในส่วนที่คุณแจ้งไว้กับ ป.ป.ช. สำนักข่าวเราตรวจสอบพบตัวเลขนี้  
ปรีชา : จะเอาอะไรกับผมนักหนา ผมมีที่มาที่ไปนะ บ้านผมไม่ใช่ว่าจนนะ ต้องไปดูรายละเอียดให้ชัดเจน
ไปดูสิ เงินเดือนผม รายได้ต่อปี เท่าไหร่ ไปดูให้ละเอียด แล้วค่อยเขียน ไม่ใช่จับตัวเลขปั๊บแล้วมาเขียน เหมือนกับเราไปโกงใครเขามา พ่อผมขายที่ได้ เขาก็แบ่งให้คนละแปดสิบล้าน ร้อยล้าน นายกฯเขาก็ได้ นี่ถ้าไปตรวจสอบนายกฯ เขาก็ไม่ผิด น้องชาย น้องสาวเขาก็ไม่ผิด  

@ เราสอบถามตามข้อมูลที่แจ้ง ต่อ ป.ป.ช.
ปรีชา : สงสัยว่าทำไมไม่ไปตรวจสอบคนอื่นที่เขามีห้าร้อยล้าน พันล้าน ทำไม ไม่ไปตรวจสอบเขาบ้าง ผมอยากจะรู้

      เฮ่อ คนดีศรีสยาม  ดีแต่ไล่บี้คนอื่นรึป่าว ทีตัวเองโดนบ้าง เอาแต่แถ กับเบ่ง ยียวน  รึป่าว
อ่านเต็มๆๆ
http://isranews.org/isranews-article/item/33593-preecha_33593.html

 

 

 

 

 

 

 




....................




 

 

 

 

"ชุดดำพลิกลิ้น" แฉถูกซ้อมให้รับสารภาพ

 

ทีมทนายความยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้กลุ่มผู้ต้องหา คนร้ายชุดดำ หลังกลับคำรับสารภาพอ้างถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกาย

นายวิญญัติ ชาติมนตรี พร้อมด้วยทีมทนายความกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน หรือ กนส. ยื่นหนังสือ ถึงนายกมล ธรรมเสรีกุล อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับ 5 ผู้ต้องหา คนร้ายชุดดำ ที่ใช้อาวุธปืนก่อเหตุทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชน ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช. เมื่อ ปี 2553

โดยนายวิญญัติ ระบุว่าทีมทนายความ ได้เข้าพบผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ที่เรือนจำ และผู้ต้องหาทั้ง 5 คน กลับคำรับสารภาพ ระบุว่าถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกายอย่างต่อเนื่อง และทนต่อการถูกทำร้ายร่างกายไม่ไหวจึงยอมรับสารภาพ

และเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองจึงเป็นคดีพิเศษตามมติ คณะกรรมการคดีพิเศษ พนักงานสอบสวนกองปราบปราม จึงไม่มีอำนาจการสอบสวน เป็นอำนาจการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ จึงขอให้ทางอัยการไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราว หรือมีคำสั่งสอบสวนคดีนี้ใหม่

นอกจากนี้นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า การยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมในครั้งนี้ไม่ได้ใส่ร้ายใคร แต่เป็นการนำข้อเท็จจริงมาเสนอต่ออัยการ

ด้านนายกมล ระบุว่า ทางพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้ขอสำนวนคดีดังกล่าวไปสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่าอยู่ในส่วนรับผิดชอบของคดีพิเศษ และหากดีเอสไอส่งสำนวนกลับมาให้อัยการอีกครั้ง ก็จะอยู่ในอำนาจการพิจารณาของอัยการคดีพิเศษ ในการสั่งคดี ส่วนหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจะรับไว้ และจะประสานอัยการสูงสุดดำเนินการต่อไป
 

 

  

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ไคโรเเพรคติก

 

 

หลายคนคงเคยได้ยินการรักษาอาการปวดต่างๆด้วยวิธีการจัดกระดูก ในประเทศไทยมีร้านนวดแผนไทยหลายร้านที่มีการรักษาอาการปวดด้วยวิธีการจัดกระดูก บางคนหายจากอาการปวด แต่บางคนอาจจะเป็นหนักกว่าเดิมเพราะความไม่ชำนาญของหมอนวด วันนี้เราจะมาแนะนำศาสตร์ของการจัดกระดูกที่เป็นที่ยอมรับจากองค์กรอนามัยโลก นั่นก็คือ ไคโรแพรคติก และในประเทศไทยเอง ก็ได้มีการออกใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ ให้แก่ ไคโรแพรคติกแพทย์ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ กองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข และสมาคมไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทย

 

167234932

 

 

ศาสตร์วิชาการแพทย์ ไคโรแพรคติก เป็นแขนงการดูแลสุขภาพ โดยตรวจรักษาระบบประสาท การดูแลกระดูกสันหลัง และข้อต่างๆ ในร่างกายเพื่อให้ระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จ่ายยา ใช้เข็ม หรือผ่าตัด ด้วยการรักษาความผิดปกติของโครงสร้างและการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Structure and Biomechanic) หรือการคลาดเคลื่อนจากตำแหน่งปกติ ของข้อกระดูกสันหลัง เนื่องจากกระดูกสันหลังเป็นจุดศูนย์กลางของดุลยภาพในการเคลื่อนไหวของร่างกาย ฉะนั้นหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นในบริเวณนั้น อาจจะมีผลกระทบต่อระบบประสาท ซึ่งควบคุมร่างกายทั้งหมดของเรา การแพทย์ ไคโรแพรคติก เน้นถึง ความสมดุลของระบบโครงสร้าง สภาวะจิต และสารเคมีต่าง ๆ ในร่างกาย

 

การแพทย์ ไคโรแพรคติก มีมานานกว่า 100 ปีแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกาปัจจุบันเป็นการแพทย์ทางเลือกที่มีจำนวนผู้เชี่ยวชาญมากที่สุดในสหัฐอเมริกา แต่สำหรับในประเทศไทยยังไม่แพร่หลายนัก เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่า การดูแลกระดูกเป็นเรื่องของคนสูงอายุหรือคนพิการเท่านั้น

 

ศาสตร์วิชาการแพทย์ไคโรแพรคติก (Chiropractic) เริ่มต้นเกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Davenport รัฐ Iowa ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1895 (พ.ศ.2438) ผู้เริ่มคนแรก คือ DR. D.D. Palmer ท่านได้พัฒนาศิลปะปรัชญา และวิทยาศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรคติก คำว่า Chiropractic เป็นภาษากรีก ซึ่งคำว่า “Cheir” และ “Praktikas” มาผสมกัน ซึ่งความหมายก็คือ “รักษาด้วยมือ”

 

การตรวจรักษา

 

ในความเป็นจริงแล้ว หลาย ๆ โรคที่เกิดจากการคลาดเคลื่อนจากตำแหน่งปกติของข้อกระดูกสันหลัง โดยเกิดจากสาเหตุง่าย ๆ เช่น ท่าทรงตัวที่ไม่ถูกต้อง, ยกของหนัก, การนั่งนานเกินไป, การขาดการออกกำลังกาย หรือการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง ตามหลักโภชนาการ การสูบบุหรี่ ปัญหามลภาวะ การรับแรงกดที่ผิดปรกติ และความเครียดด้านจิตใจ และความผิดปกติของร่างกายหลายอย่าง สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการแพทย์ไคโรแพรคติก อาทิ อาการปวดศีรษะเรื้อรัง, ปัญหาของไซนัส ปัญหากระดูกกะโหลกศีรษะ ปวดหลัง คอ แขน ขา หมอนรองกระดูก อาการชาตามมือ หรือเท้า อาการปวดประจำเดือน อาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เป็นต้น

 

การตรวจรักษาจะเริ่มต้นด้วยการซักประวัติอาการไปจนถึงการอ่านฟิล์มเอกซเรย์คนไข้ ส่วนการรักษาโดยปกติจะใช้มือจัดข้อของกระดูกสันหลัง และ กระดูกเชิงกรานให้เกิดความสมดุล จากตำแหน่งผิดปกติให้กลับเข้าสู่ภาวะที่ปกติโดยไม่ใช้ยา เข็ม หรือการผ่าตัด

 

สำหรับระยะเวลาในการรักษา จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 4 ประการ คือ

 

  1. อาการรุนแรงเพียงใด
  2. มีอาการมาเป็นเวลานานแค่ไหน
  3. ร่างกายของคนไข้มีความสามารถในการรักษาตัวเองมากเพียงใด
  4. คนไข้ปฏิบัติตามคำแนะนำโดยเคร่งครัดหรือไม่
  5.  

และนอกจากการแพทย์ไคโรแพรคติก จะรักษาอาการต่างๆ ได้ ยังสามารถตรวจเช็คระบบประสาท ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าหากคอยจนร่างกายแสดงอาการผิดปกติออกมา จะทำให้การรักษาลำบากและใช้เวลานานขึ้น (It is easier to stay well than try to get well)

 

ไคโรแพรคติก ทำการรักษาอย่างไร

 

ซึ่งก็คล้ายแพทย์ทั่วๆไปที่จะต้องมี

 

  1. การซักประวัติการเจ็บป่วย
  2. ตรวจร่างกาย ทั้งทางกล้ามเนื้อ กระดูก และระบบประสาท รวมถึงการเช็คลักษณะโครงสร้างร่างกาย ที่ผิดปกติ
  3. ตรวจ x-ray เพื่อช่วยในการวินิจฉัย
  4. วินิจฉัยโรค และบำบัดรักษา
  5.  

การรักษาแบบการแพทย์ไคโรแพรคติกจะทำการรักษาด้วยมือ โดยไม่มีการใช้ยาหรือการผ่าตัดแต่อย่างใด โดยปกติจะใช้มือจัดข้อกระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกรานจากตำแหน่งที่ผิดปกติให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ เพื่อทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นปกติ รวมถึงการทำงานของระบบประสาทที่ดีด้วย

 

นอกจากนี้ อาจจะจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือ ทางการแพทย์ไคโรแพรคติกบางอย่างช่วยคลายกล้ามเนื้อ หรือลดการเจ็บปวดของคนไข้เมื่อจำเป็น

 

ผู้ที่มีอาการอะไรบ้างควรมาพบไคโรแพรคเตอร์

 

การแพทย์ไคโรแพรคติก มุ่งเน้นในการบำบัดอาการเกี่ยวกับกระดูกสันหลังและระบบประสาท และกล้ามเนื้อ ผู้ที่มีอาการเหล่านี้ควรจะเข้ารับคำปรึกษา

 

  1. ปวดศีรษะโดยรอบ หรือ ข้างเดียว
  2. ไมเกรน (Migraine)
  3. ปวดคอ
  4. ปวดไหล่ ปวดแขน
  5. ปวดหลัง
  6. ปวดหรือชาตามแขน ขา
  7. บาดเจ็บจากการกีฬา (Sport injuries)
  8. บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ (Accident)
  9. หมอนรองกระดูกเคลื่อน
  10. ปวดตามข้อต่างๆ
  11. บาดเจ็บจากการยกของหนัก
  12. อาการอ่อนเพลียนอนไม่หลับ
  13. กระดูกสันหลังคด
  14. อาการเครียด
  15. เส้นเอ็นอักเสบ

การแพทย์ไคโรแพรคติก ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับส่วนสำคัญของร่างกาย 4 ส่วนใหญ่ๆ

 

  1. กระดูกสันหลัง (Spine)
  2. ระบบประสาท (Nervous System)
  3. โครงสร้างของร่างกาย (Structure)
  4. โภชนาการด้านอาหารและวิตามิน (Nutrition)

การทำงานภายในร่างกายของมนุษย์  ถือเป็นความสำคัญส่วนหนึ่งของสุขภาพและนั้นก็คือความเกี่ยวข้องระหว่างระบบประสาทที่เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในการควบคุมการทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา

 

การแพทย์ไคโรแพรคติก (Chiropractic) เป็นสาขาการดูแลสุขภาพใหญ่เป็น อันดับที่ 2 ของสหรัฐอเมริกา ไคโรแพรคติก แตกต่างจากแพทย์สาขาอื่น Medicine และ Osteopath คือ การรักษาโรคกระดูกสันหลังและระบบประสาทไขสันหลังที่เนื่องมาจากการกดตัวของกระดูกสันหลัง โดยไม่ใช้ยาและการผ่าตัด แต่ใช้กรรมวิธีของผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ จัดกระดูกสันหลังที่คลาดเคลื่อนที่มีผลทำให้กลไกของการเคลื่อนไหวของการก้ม เงย เอน บิด รวมถึงการทำงานของระบบประสาทไขสันหลัง ผิดปกติกลับมาทำงานให้ดีขึ้น

 

การคลาดเคลื่อนจากตำแหน่งปกติของข้อกระดูกสันหลังมีอาการอย่างไร

 

อาการปวดหลังโดยมีหรือไม่มี “อาการปวดที่แผ่กระจาย” ไปที่ขาเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาการปวดคอ ปวดไหล่ และปวดแขน มักจะพบบ่อยในผู้ที่ทำงานในสำนักงาน ผู้ที่ขับรถมาก อาการปวดศีรษะแบบไมเกรน และอาการปวดศีรษะโดยทั่วไป อาการอื่น ๆ เช่น อาการกล้ามเนื้อตึง อาการคล้ายเป็นเหน็บ อาการชาและอาการเวียนศีรษะ เป็นตัวอย่างของอาการซึ่งเกิดจากการคลาดเคลื่อนจากตำแหน่งปกติของข้อกระดูก

 

การคลาดเคลื่อนของกระดูกสันหลังเกิดขึ้นได้อย่างไร

 

การเคลื่อนของข้อกระดูกสันหลัง ส่วนมากเกิดจากการที่เราทำกิจกรรมประจำวันโดยที่ไม่ระวังตัว เช่น การนั่ง การนอน การยืน ในท่าที่ผิด ลักษณะเป็นระยะเวลานาน ๆ การล้ม การกระแทก การยกของหนักโดยไม่ถูกวิธี อุบัติเหตุ เช่น รถชน รถค่ำ อุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา การขาดการออกกำลังกาย

 

ได้รู้จักวิธีการรักษาอาการปวดต่างๆด้วยไคโรแพรคติก กันไปแล้วนะคะ ในประเทศไทยเองก็มีการรักษาแบบไคโรแพรคติกอยู่หลายที่ หากอยากลองรักษาอาการปวดด้วยวิธีนี้ แนะนำให้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ เลือกโรงพยาบาลหรือคลีนิกที่เชื่อถือได้ด้วยนะคะ

 

 

ขอบคุณที่มาจาก : สมาคมการแพทย์ไคโรแพรคติก แห่งประเทศไทย
www.thailandchiropractic.org

 

 

                       

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

  

 

 

ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่ก็เป็นการตอกย้ำถึงสังคมไทยได้ชัดเจนเลยว่า จริงๆ แล้วสังคมไทยไม่ได้ต่อต้าการทุจริต เพียงแต่ต่อต้านคนที่เราไม่ชองขี้หน้าและพยายามจ้องเขา แต่สำหรับคนที่เราชอบหรือเป็นพวกเดียวกันก็ทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เท่านั้นเอง..!!

หน้าเศร้าและวังเวงจริงๆครับกับสังคมดัดจริตของเมืองไทย........

อยู่เมืองดัดจริต ชีวิตต้องป๊อบจริงๆ.......

 

 

  

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

           

 

                                                   

 

 

โฮจิมินห์ (เวียดนาม: Hồ Chí Minh, โห่ จี๊ มิญ; คำแปล "แสงสว่างที่นำทาง"[2]) เป็นนักปฏิวัติชาวเวียดนาม ซึ่งในภายหลังได้กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนามเหนือ) หลังจากสิ้นสุดของสงครามเวียดนามไซ่ง่อน เมืองหลวงเก่าของเวียดนามใต้ ได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นโฮจิมินห์ซิตี เพื่อเป็นเกียรติแก่โฮจิมินห์

โฮจิมินห์ เป็นบุคคลที่ชาวเวียดนามถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการประกาศอิสรภาพของเวียดนาม[2]

 

        

ประวัติ

โฮจิมินห์เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมพ.ศ. 2433 ที่หมู่บ้านหว่างจู่จังหวัดเหงะอาน ตอนบนของเวียดนาม ในชื่อ เหงียน ซินห์ ซัง เป็นบุตรคนที่ 3 และบุตรชายคนรองของเหงียน ซินห์ ซ็อก ปัญญาชนชาวเวียดนาม

 

ซึ่งเวียดนามขณะนั้นตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศส ดังนั้นทั้งโฮจิมินห์และบิดาต่างตกเสมือนอยู่ใน 2 วัฒนธรรม ทั้งวัฒนธรรมตะวันตกของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ปกครอง และวัฒนธรรมตะวันออกแบบจีนและลัทธิขงจื๊อ อันเป็นวัฒนธรรมของเวียดนาม

 

ด้วยวัยเพียงไม่กี่ขวบ โฮจิมินห์ได้ย้ายตามบิดาไปเว้ ซึ่งไปสอบจอหงวน แต่ต่อมาโฮจิมินห์ได้อาศัยอยู่กับมารดาตามลำพังเพียง 2 คน เพราะบิดาเมื่อสอบจอหงวนได้ ได้ย้ายไปรับราชการที่ต่างเมือง ขณะที่มารดากำลังตั้งครรภ์ ต่อมาก็ได้คลอดลูกคนเล็กออกมา โฮจิมินห์ในวัย 11 ขวบต้องเลี้ยงน้องเอง เนื่องจากมารดาได้เสียชีวิตไปในขณะคลอด และไม่นานน้องคนเล็กก็เสียชีวิต

 

เมื่อโตขึ้น โฮจิมินห์ได้สัมผัสกับการเมืองเป็นครั้งแรกจากการที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสให้กับชาวนาที่ถูกเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสกดขี่ ในช่วงนี้ โฮจิมินห์ได้กล่าวว่า ตนได้เห็นการกดขี่และความอยุติธรรม รวมถึงการได้เห็นชาวนาถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา ต่อมาโฮจิมินห์รู้ตัวว่า ตนเองต้องได้รับการศึกษาที่มากขึ้นและออกไปท่องโลกกว้างเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตน ในปี พ.ศ. 2454 จึงได้ย้ายจากเวียดนามไปเป็นพ่อครัวในประเทศฝรั่งเศส ด้วยการสมัครเป็นลูกเรือบนเรือเดินสมุทร ที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศเจ้าอาณานิคมของเวียดนามในขณะนั้น และได้ศึกษาเรียนต่อที่นั่น โฮจิมินห์ ในขณะนั้นใช้ชื่อว่า เหงียน อ้าย กว๊อก ซึ่งแปลว่า "เหงียนผู้รักชาติ" โฮจิมินห์ได้ติดต่อกับชาวเวียดนามในฝรั่งเศส เพื่อรวมตัวกันเรียกร้องอิสรภาพจากชาติมหาอำนาจตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ ในฐานะโฆษกของกลุ่ม แต่ทว่าก็ได้รับการรังเกียจและถูกกีดกันออกมา เมื่อโฮจิมินห์พยายามจะยื่นหนังสือต่อ วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขณะเดินทางมายังฝรั่งเศส เพื่อลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

 

ต่อมาโฮจิมินห์ก็ได้ย้ายจากฝรั่งเศสไปสหรัฐอเมริกาและอังกฤษตามลำดับ หลังจากนั้นก็ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเมื่อรัฐบาลก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็คเริ่มการปราบปรามสังคมนิยม นั้น โฮจิมินห์ได้หลบหนีจากจีนมายังจังหวัดนครพนมประเทศไทย โดยได้บวชเป็นพระภิกษุทำการสอนลัทธิสังคมนิยมให้ชาวไทย โดยใช้ชื่อว่า "ลุงโฮ" โดยช่วงแรกที่หลบหนีในประเทศไทยนั้นเริ่มจากขึ้นเรือที่ท่าน้ำเอสบี (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงแรมแม่น้ำ) ไปยังจังหวัดพิจิตร จากนั้นได้เดินทางไปต่อยังจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย โดยใช้ชื่อว่า "เฒ่าจิ๋น" ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2466 ไปจนถึง พ.ศ. 2474 ท่านได้พำนักอยู่ ณ บ้านของ นายเตียว เหงี่ยนวัน เลขที่ 48 หมู่ 5 บ้านนาจอกตำบลหนองญาติอำเภอเมืองจังหวัดนครพนม รวมเวลาพำนักอยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้น 7 ปี[3] ในระยะนี้โฮจิมินห์ ต้องเดินทางไปหลบซ่อนในหลายประเทศ ใช้ชื่อปลอมหลายชื่อ ซึ่งครั้งหนึ่ง โฮจิมินห์ได้ถูกตำรวจฮ่องกงจับโดยไม่มีความผิด ได้ถูกขังคุกนานเป็นระยะเวลานาน 1 ปีเต็ม ในช่วงนี้โฮจิมินห์สภาพร่างกายย่ำแย่มาก เป็นโรคขาดสารอาหาร แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือให้พ้นออกมา จากเพื่อนเก่าในสมาคมชาวเวียดนามในฝรั่งเศส รวมถึงเชื่อว่ามี โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งเป็นสหายที่ดีต่อโฮจิมินห์ร่วมด้วย

 

โฮจิมินห์เดินทางกลับมาเวียดนามอีกครั้งในปี พ.ศ. 2484 ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฝรั่งเศสในขณะนั้นถูกกองทัพนาซีบุกยึด และกลายสภาพเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดให้แก่ฝ่ายอักษะ จึงรับนโยบายในการปกครองเวียดนามจากนาซีเป็นหลัก โฮจิมินห์จึงสบโอกาสรวบรวมชาวเวียดนามส่วนใหญ่แล้วตั้งเป็นฝ่ายเวียดมินห์ เตรียมแผนที่จะประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสให้ประชาชนชาวเวียดนาม ซึ่งชาวเวียดนามในขณะนั้นยังไม่มีการศึกษา และส่วนใหญ่อดอยากยากจน โฮจิมินห์ได้เข้าถึงตัวชาวบ้านระดับล่าง ด้วยการทำตัวกลมกลืนผูกมิตรไปกับชาวบ้าน ได้พูดคุยและทำความเข้าใจกันอย่างง่าย ๆ และเพิ่มจำนวนสมาชิกขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการบอกแบบปากต่อปาก ซึ่งหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญ ก็คือ หวอ เงวียน ซ้าป ซึ่งต่อมาเป็นนายพลและสหายคนสำคัญของโฮจิมินห์ อีกทั้งทั้งคู่ยังเป็นคู่เขยของกันและกัน เนื่องจากภรรยาของทั้งคู่นั้นเป็นพี่น้องกัน และในช่วงนี้เองที่ชื่อ "โฮจิมินห์" ได้ถูกใช้ออกมาเป็นครั้งแรก

 

และในช่วงปลายของสงคราม โฮจิมินห์ได้ยังติดต่อกับสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ (OSS) ของสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมมือกันต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นด้วย นับเป็นการร่วมมือกันของทั้ง 2 ฝ่าย เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม

 

ในที่สุด โฮจิมินห์ประกาศจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามหลังจากจักรพรรดิบ๋าว ดั่ยจักรพรรดิเวียดนามพระองค์สุดท้ายประกาศสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 กันยายนพ.ศ. 2488 ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2497 เวียดนามก็ได้ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในยุทธการที่เดียนเบียนฟู โฮจิมินห์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามเป็นคนแรก ด้วยการประกาศแถลงการณ์ที่จตุรัสบาดิงห์ ซึ่งเริ่มต้นด้วยประโยคแบบเดียวกับประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา โฮจิมินห์ปฏิเสธที่จะพำนักในจวนข้าหลวงใหญ่ฝรั่งเศส ซึ่งโอ่โถง แต่ขออาศัยอยู่ในบ้านพักหลังเล็ก ๆ เท่านั้น

 

ด้านชีวิตครอบครัว โฮจิมินห์ สมรส 2 ครั้ง ครั้งแรกกับหญิงชาวจีนที่ประเทศจีน ขณะที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในประเทศจีนในวัยหนุ่ม แต่ต่อมาภรรยาได้เสียชีวิต และอีกครั้งกับถัง ตรุด มินห์ หญิงชาวเวียดนาม และเป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม แม้ทั้งคู่อายุจะห่างกันหลายปีก็ตาม

 

ในปี พ.ศ. 2502 สงครามเวียดนามได้อุบัติขึ้น สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรอื่น ๆ ก็ได้เข้าร่วมสงครามด้วย แต่ผลสุดท้ายเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะในปี พ.ศ. 2518 โฮจิมินห์ในขณะนั้นอยู่ในวัยชราแล้ว ได้ประกาศว่า ตนลดบทบาททางการเมืองลงมา แม้จะได้รับการนับถืออย่างสูงสุดอยู่ก็ตาม และก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่โฮจิมินห์มิได้อยู่ถึงการชื่นชมชัยชนะในปี พ.ศ. 2518 ด้วยเหตุที่ว่าโฮจิมินห์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายนพ.ศ. 2512 ที่บ้านพักในกรุงฮานอย ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว สิริอายุได้ 79 ปี ซึ่งปัจจุบันร่างของโฮจิมินห์ได้ถูกบรรจุในโลงแก้ว เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เคารพ ที่จตุรัสบาดิงห์

 

                        บ้านหนองฮาง ถ.อุดร-กุดจับ ต.เชียงพิณ อ.เมือง จ.อุดรธานี ที่หลบซ่อนตัวอีกเเห่ง

 

                                          

 

 

                                         

 

 

 

                                        

 

 ท่านใช้ชีวิตสมถะ กินง่าย-อยู่ง่าย
เมื่อดำรงตำแหน่ง ทางรัฐบาลขอสร้าง ทำเนียบให้ท่านใหม่หลายครั้ง ท่านก็ปฏิเสธ

จนในช่วงท้าย ๆ ของชีวิต
ท่านจึงอนุญาตให้สร้าง "ทำเนียบ" หรือบ้านพักของท่าน
เป็นเรือนไม้ ที่เรียบง่าย สมถะ และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ

เรือนไม้หลังนี้ ว่ากันว่า จำลองแบบมาจาก
บ้านหลังที่ท่านเคยมาพำนักที่ "นครพนม" นั่นเอง

จาก 56 ประเทศ ที่ท่านเคยเดินทางไป เพื่อศึกษาหาหนทางกู้ชาติ
ทำไมท่านจึงเลือกจำลองแบบบ้านที่ "นครพนม" ????
เชื่อกันว่า ช่วงเวลาที่ท่านพำนักที่นครพนม
เป็นช่วงเวลาที่ท่านมีความสุขมากที่สุดในชีวิตครับ

 

นอกจากโฮจิมินห์แล้ว     ดร.ซุนยัดเซ็นก็เคยมาไทยนะครับ

เท่าที่พอรู้ เจ้าลาวก็เคยมาลี้ภัยที่อยุธยา
อยู่กับคนตระกูลดังที่อดีตเคยทำไม้

 

 

 



 

           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                       กัปตันชัชวาลรอดตายปาฏิหาริย์หลังฮ.หาย 11 วัน

 

 

 


 
เฮลิคอปเตอร์ไทย
 

 

 
 
 
 

              เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยของไทย ขาดการติดต่อกับศูนย์ควบคุมภาคพื้นดิน ระหว่างเดินทางไปส่งอาหารให้กับทีมค้นหา 2 นักปีนเขาที่หายตัวไปในพม่า บนเครื่องมีคนไทย 1 ราย


              เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2557 สำนักข่าวซินหัว มีรายงานจากนครย่างกุ้ง ประเทศพม่า ระบุว่า เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยของไทย ได้ขาดการติดต่อกับศูนย์ควบคุมภาคพื้นดินไป ระหว่างเดินทางไปส่งอาหารให้กับทีมค้นหา ในภารกิจค้นหานักปีนเขา 2 รายที่หายตัวไปในภูเขาฮะกากาโบ ราซี ซึ่งตั้งอยู่ชายแดนจีน-พม่า ในรัฐคะฉิ่น ประเทศพม่า 


              โดยมูลนิธิฮตู เปิดเผยว่า เฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวขาดการติดต่อไป หลังขึ้นบินจากสนามบินพูเตาได้ราว 20 นาที เมื่อวันที่ 27 กันยายน ช่วงเวลาประมาณ 14.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น บนเครื่องประกอบไปด้วยนักบินชาวไทย 1 ราย นักบินชาวพม่า 1 ราย และคนจากมูลนิธิฮตูอีก 1 ราย


              ทั้งนี้นับตั้งแต่นักปีนเขาชาวพม่า 2 รายหายตัวไประหว่างพยายามพิชิตยอดเขา ฮะกากาโบ ราซี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา ทีมปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยก็ดำเนินการค้นหาตัวพวกเขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีทีมค้นหาจากประเทศต่าง ๆ คือ จีน เนปาล ไทย และสหรัฐฯ มาเข้าร่วมปฏิบัติการค้นหากับทีมในท้องถิ่น แต่ยังคงค้นหาตัวทั้งคู่ไม่พบจนถึงขณะนี้

 
 
 
 
 

 

                                     

 

 

 

จากกรณีเฮลิคอปเตอร์ไทยออกไปช่วยค้นหานักปีนเขาที่ประเทศพม่า ก่อนจะประสบปัญหาสภาพอากาศและขาดการติดต่อไป ในเมืองพุเตา รัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมาร์ ระหว่างทำการบินไปส่งเสบียงให้ทีมค้นหานักไต่เขา 2 คนที่สูญหาย ในเขตเทือกเขาฮากากาโบราซี ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา โดยเฮลิคอปเตอร์ลำนี้มี กัปตันชัชวาล แท่นทอง นักบินที่ร่วมงานกับสกายรีพอร์ต ช่อง 3 นักบินพม่า และเจ้าหน้าที่ของทางพม่ารวม 3 คน ซึ่งทางการพม่าและมูลนิธิฮตู ผู้ที่ว่าจ้างเข้าไปปฏิบัติภารกิจนี้ ได้ออกตามหาต่อเนื่องตลอดทั้ง 10 วัน กระทั่งในวันที่ 11 หรือช่วงเย็นของวันที่ 7 ตุลาคม ได้รับแจ้งว่า ทุกคนยังมีชีวิตอยู่และปลอดภัยดี เจ้าหน้าที่จึงรุดเข้าไปช่วยเหลือนั้น

 

ล่าสุด เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 8 ตุลาคม มีรายงานความคืบหน้าว่า เจ้าหน้าที่สามารถช่วย กัปตันชัชวาล แท่นทอง และทีมงานออกมาจากป่าเรียบร้อยแล้ว โดยถูกนำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลวิคตอเรียกรุงย่างกุ้ง อย่างปลอดภัย หลังจากทีมค้นหาของมูลนิธิฮตูพบกัปตันชัชวาลในพื้นที่ป่าใกล้หมู่บ้านลานซาร์ และทีมแพทย์ทหารได้เดินเท้าไปรักษาพยาบาลเบื้องต้นในป่า ซึ่งจากการตรวจร่างกายพบว่า กัปตันชัชวาล มีสภาพร่างกายอ่อนแรงและซูบผอม เนื่องจากตากฝน มีอาการหนาวสั่น จึงต้องช่วยผิงไฟและนำตัวใส่เปลเดินเท้าออกมาจากป่า ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง เพราะเป็นเส้นทางยากลำบากหน้าผาและเขาสูง เมื่อมาถึงจุดจอดเฮลิคอปเตอร์ ก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาถึงสนามบินพุเตาในเวลา 17.00 น.

 

เมื่อมาถึง นายแพทย์โอลิเวอร์ แพทย์โรงพยาบาลสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล คลินิกประจำพม่า ก็ได้ตรวจร่างกายกัปตันชัชวาล ระบุว่า ร่างกายอ่อนเพลียจากการเดินเท้าในป่ามากว่า 10 วัน โดยนายเทซา เจ้าของมูลนิธิฮตู ได้เตรียมเครื่องบินเช่าเหมาลำส่งกัปตันชัชวาลไปยังสนามบินมัณฑเลย์ แต่เนื่องจากไม่สามารถเดินทางในช่วงกลางคืนได้ จึงให้พักที่สนามบินมัณฑเลย์ และด้วยอาการกัปตันชัชวาลที่ยังพอเดินทาง อาการไม่สาหัส มูลนิธิฮตูจึงนำเครื่องบินสายการบินเอเชียนวิง นำครอบครัวกัปตันชัชวาล และทีมข่าวสกายรีพอร์ต ไปรับกัปตันชัชวาลที่มัณฑเลย์ทันที

 

ทันทีที่ได้พบหน้า กัปตันชัชวาล ทุกคนต่างพากันร่ำไห้ ดีใจที่กัปตันชัชวาลรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์

 

ด้านกัปตันชัชวาล เปิดเผยเพียงสั้น ๆ ว่า 11 วันที่ผ่านมา รอดชีวิตมาได้เพราะสติ และความอดทนที่จะต้องมีชีวิตรอด แม้ไม่มีอาหาร ดื่มแต่น้ำ และ 2 วันสุดท้ายที่ให้ นายชเวยินทอกี ผู้โดยสาร แยกตัวเดินมาขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน ก็ต้องอยู่ในป่าลำพัง ส่วนกัปตันอองเมียตโต นักบินพม่า ได้ให้อาศัยอยู่ในถ้ำเพราะบาดเจ็บ ซึ่งกัปตันยังจำเส้นทางและแจ้งให้ทีมค้นหาไปหาตัวแล้ว และล่าสุดทีมค้นหาได้พบกัปตันอองเมียตโตแล้ว เตรียมนำกลับออกจากพื้นที่ในวันนี้ (9 ตุลาคม)

 

“ขอบคุณแรงใจทุกแรงใจของคนไทยที่ให้กับพวกเราสกายรีพอร์ต การตายคงไม่ใช่ของง่าย ไม่ใช่ของยาก แต่เราคงไม่ตายง่าย ๆ วันนี้เราออกมาทำงานไกลมากเหลือเกิน และเรากำลังจะได้กลับบ้านพร้อมกับสกายรีพอร์ต” กัปตันชัชวาล กล่าว

 

ด้านลูกชายกัปตันชัชวาล เผย รู้สึกเหมือนพ่อเกิดใหม่จากการรอดตายราวปาฏิหาริย์ ซึ่งที่ผ่านมาตนคิดเสมอว่าพ่อต้องมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน

 

 

 

 

                                           

                                          นายเทซา ประธานมูลนิธิฮตู (Htoo)

 

 

              
 

 

 

 ประธานมูลนิธิ..
เขาเป็นมหาเศรษฐีของพม่า..
แกทุ่มเต็มที่..
ลึก ๆ แล้ว..
คงไม่ใช่ไปการปีนเขาธรรมดาหรอก..
เพราะในรัฐคะฉิ่น..
มีเหมืองหยกชั้นดีแห่งเดียวในโลก...อิ ๆ ๆ..

ฮ.ที่จอดนั้นเป็นของพม่า ฮ.ที่ตกยังไม่มีภาพมาให้ดู
คะฉิน กับ พม่าสู้รบกันมายาวนาน ทั้งที่รู้ไม่ปลอดภัยแล้วไปกันทำไม
ถ้าบินไปต้องผ่าน เขตว้าแดง ชึ้งมีอาวุธ มี ฮ.ประจำการ แล้วไปได้ไง
มีอะไร กันหรือเปล่า อ้างตามหานักไต่เขา แถวนั้นยังมีการสู้รบ. จะมีคนกล้าขนาดนั้นเชียวหรือ

 

 ที่ตั้งของรัฐกะฉิ่นในประเทศพม่า                 ที่ตั้งของรัฐกะฉิ่นในประเทศพม่า
 

 

 

ภูมิศาสตร์

ที่ตั้งและอาณาเขต

รัฐกะฉิ่นมีพื้นที่ติดต่อดังนี้

ความสูง

จุดสูงสุดของรัฐกะฉิ่นคือ ยอดเขาคากาโบราซี โดยมีความสูง 5,881 เมตร ถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แม่น้ำ

รัฐกะฉิ่นถือเป็นแหล่งต้นน้ำมีลำธารน้อยใหญ่หลายสาย โดยมีแม่น้ำสำคัญคือแม่น้ำอิรวดี

การปกครอง

พื้นที่ 89,041 ตารางกิโลเมตร (34,379 ตารางไมล์) การปกครอง 3 แขวง 18 เมือง 709 ตำบล

ประชากร

ประชากรประมาณ 1.2 ล้านคน ความหนาแน่น 34 คน/ตารางไมล์

ศาสนา

มีผู้นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 57.8 นับถือศาสนาคริสต์ร้อยละ 36.4

ภาษา

ภาษาพม่า ภาษาจิ่งพัว ภาษาราวาง ภาษาลีซอ ภาษาละเชก ภาษาไทใต้คง และภาษาคำตี่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ชีวิตวัยเด็กและสิ่งแวดล้อมที่เติบโตมา  มีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมบุคลิกนิสัยใจคอของคนเราเป็นอย่างมาก เมล็ดพันธุ์ที่ดีย่อมเติบโตเป็นต้นกล้าแข็งแรง หากได้รับการรดน้ำพรวนดินสม่ำเสมอด้วยความรัก

พูดถึงผู้นำระดับโลกแล้ว วินาทีนี้คงไม่มีใครน่าจับมาตีก้น และกระเทาะเปลือกให้เห็นแก่นแท้ลึกๆตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยกเท่า “ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย” ผู้นำทรราชซึ่งครองเก้าอี้ประธานาธิบดีต่อเนื่องยาวนานถึง 3 สมัย และกำลังเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งใหญ่ๆเกือบ
ทุกเหตุการณ์ ไล่ตั้งแต่ซีเรีย, ยูเครน ไปจนถึงไครเมีย ที่พร้อมลุกลามบานปลายใหญ่โตเป็นสงครามโลก

เบื้องหลังบุคลิกกร้าวแกร่งมาดมั่น บ้าระห่ำ แต่แฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึมเย็นชาราวกับ “แบทแมน” ชีวิตวัยเด็กของ “ปูตินน้อย” กลับพิศวงดำมืดและเต็มไปด้วยปมลึกลับซ่อนเงื่อน!!

ในขณะที่ผู้นำรัสเซีย วัย 61 ปี สร้างภาพว่าเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดาๆ อาศัยอยู่กับพ่อแม่ในอพาร์ตเมนต์ของรัฐ ในเมืองเลนินกราด (ปัจจุบันคือเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) โดยบิดาเป็นทหารเก่าในสมรภูมิรบสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งผันตัวมาเป็นซิเคียวริตี้ การ์ด และหัวหน้าคุมการขนส่งสินค้า ส่วนมารดาคือ นางมาเรีย เชโลโมวา เป็นแม่บ้านใจดีอบอุ่น ชอบทำซุปกะหล่ำปลี และอบขนมปังกับแพนเค้กอร่อยๆ

ฝ่ายตรงข้ามกลับพยายามขุดคุ้ยความจริงออกมาตีแผ่ว่า  ทั้งคู่ไม่ใช่ พ่อแม่แท้ๆของ “ปูติน” เพราะพ่อแท้ๆติดเหล้าและชอบซ้อมเมีย ทำให้แม่แท้ๆต้องหอบหิ้วลูกชายหนีมาอยู่เลนินกราด กระทั่งเจอสามีภรรยาใจบุญช่วยรับเลี้ยงไว้ ลึกๆแล้วเขาจึงเป็นคนโดดเดี่ยวอ้างว้างที่โหยหาความรักความอบอุ่น และมีปมด้อยถูกทอดทิ้งตั้งแต่เล็กๆ

เรื่องจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆความบ้ากีฬาทำให้ “ปูติน” กลายเป็นคนใฝ่เรียน และอยากประสบความสำเร็จ!! สมัยเรียนมัธยมต้น

เขาเริ่มสนใจกีฬาจริงจัง และค้นพบพรสวรรค์จนได้แชมป์ยูโดสายดำ ขณะเดียวกัน เขาก็ทำทุกอย่างเพื่อมุ่งสู่ความฝันเป็น “สายลับเคจีบี” ตามแบบสายลับในนิยายจารชนที่ชื่นชอบ “ปูติน” ตั้งใจเรียนจนสอบติดมหาวิทยาลัยเลนินกราด ได้เป็นนักเรียนกฎหมาย จากนั้นก็สอบเข้าทำงานหน่วยสืบราชการลับสหภาพโซเวียต คอยสืบหาข้อมูลลับของชาติตะวันตก โดยถูกส่งตัวไปประจำที่เยอรมันตะวันออกถึง 5 ปี ในยุคที่ยังไม่รวมประเทศ ทำให้พูดภาษาเยอรมันคล่องแคล่ว

อย่างไรก็ดี อาชีพสายลับเคจีบีสิ้นสุดลงในปี 1990 หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เขาได้งานใหม่เป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเลนินกราด พร้อมรั้งตำแหน่งประธานคณะกรรมการกิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประจำเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อาชีพการงานในแวดวงราชการและการเมืองของเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว และด้วยการสนับสนุนของประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน ที่วางตัวเขาเป็นทายาทการเมือง ทำให้ “ปูติน” ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อกลางปี 1999 ก่อนจะควบตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ แทนที่ “เยลต์ซิน” ซึ่งลาออกไป
เส้นทางครองอำนาจยาวนานกว่าทศวรรษของ “ปูติน” เริ่มหยั่งรากลึก เมื่อเขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของรัสเซีย ในเดือน มี.ค. ปี 2000 และชนะเลือกตั้งกลับมานั่งเก้าอี้เป็นสมัยที่ 2 เมื่อปี 2004 แม้จะยังเรืองอำนาจสูงเสียดฟ้า แต่ด้วยข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญ ทำให้ “ปูติน” ต้องเว้นวรรคลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2008 และชักใยอยู่เบื้องหลังเพื่อรักษาอำนาจ จนในที่สุดได้หวนคืนสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยที่ 3
อีกครั้ง เมื่อปี 2012

ตลอดยุคการบริหารประเทศของ “ปูติน” เขานำเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจมาสู่รัสเซียอย่างน่ายกย่อง โดยจีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้น 72% ความยากจนลดลงกว่า 50% และค่าจ้างขั้นต่ำก็เพิ่มขึ้น 8 เท่าตัว จาก 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งขึ้นเป็น 640 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นผลจากการปฏิรูปประเทศขนานใหญ่ ทั้งด้านเศรษฐกิจมหัพภาค, นโยบายการคลัง, นโยบายพลังงาน และการฟื้นฟูอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ในประเทศ ประกอบกับการไหลบ่าเข้ามาของเงินทุนต่างชาติ และราคาน้ำมันโลกสูงลิ่ว กระนั้น ทั้งๆที่มีผลงานมากมายในการพัฒนาประเทศ แต่แทนที่ประชาชนจะรัก “ปูติน” กลับถูกต่อต้านและขับไล่ไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ต่างจากผู้นำทรราชในหลายประเทศของโลกที่โดนชุมนุมขับไล่ เพราะดื้อด้านหวงแหนอำนาจและยอมทำทุกวิถีทางเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ให้พรรคพวกตัวเอง.

มิสแซฟไฟร์

 

 

 

 

 In Pics ฉลองวันเกิดปูติน :ตะลึงภาพ “ท่านผู้นำตัดหัวแก๊งไฮดราแซงชัน” หลังปธน.รัสเซียยอมหยุด ฉลองวันเกิดปีที่ 62  ครั้งแรก

 

 

 

 

เอเจนซีส์ - ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ยอมลาพักร้อน 1 วันเพื่อใช้เวลาส่วนตัวฉลองครบรอบวันเกิด 62 ปี ที่ป่าสนไซบีเรีย( Siberian taiga) ในขณะที่มีนิทรรศการภาพเขียน 1 วัน เพื่อเชิดชูท่านผู้นำในผลงาน “12 Labors of Putin” หรือภารกิจ 12 ประการของปูติน แสดงถึงความสามารถของผู้นำรัสเซียในภาคเฮอร์คิวลิส วีรบุรุษกรีกโบราณที่ต้องทำภารกิจ 12 อย่าง ในเทพปกรณัมกรีก ที่จัดขึ้นในวันจันทร์(6) ซึ่งแต่ละภาพแฝงไว้ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองระดับโลก อาทิ ปูตินในภาคเฮอร์คิวลิสที่ต้องทำภารกิจจัดการไฮดรา ซึ่งในภาพกำลังตัดหัว “ญี่ปุ่น” ที่ได้ร่วมคว่ำบาตรรัสเซีย และมีหัวไฮดราสวมหมวกธงชาติสหรัฐฯที่ถูกตัดแล้วกองอยู่แทบเท้า
       
       RT สื่อรัสเซีย รายงานเมื่อวานนี้(7)ว่า ดมิตรี เพสคอฟ โฆษกประธานาธิบดีรัสเซีย แถลงเมื่อวานนี้(7)ว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้บินไปพักผ่อนที่ ป่าสนไซบีเรีย(Siberian taiga) ในโอกาสฉลองครอบรอบวันเกิด 62 ปี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่ปูตินใช้เวลาส่วนตัวในวันหยุด ต่างจากในปีที่ผ่านมาที่เขาได้ฉลองวันเกิดที่การประชุมเอเปคซึ่งจัดขึ้นบนเกาะบาหลี อินโดนีเซีย แต่อย่างไรก็ตาม ในปีนั้นผู้นำรัสเซียได้รับมอบเหล้าสาเกจากนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะจากญี่ปุ่น และเค็กจากประธานาธิบดีจีนสี จิ้นผิงเพื่อฉลองวันเกิดครบรอบ 61 ปี
       
       แต่ในปีนี้ที่ห้างสัมพสินค้ากัม(Gum)ในรัสเซีย มีเสื้อยึดรุ่นใหม่ออกวางขายหนึ่งในนั้นเป็นภาพประธานาธิบดีปูตินสวมกอดเสือไซบีเรียในโซชิช่วงกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่รัสเซียเป็นเจ้าภาพรวมไปถึงภาพของปูตินที่ไม่สวมเสื้อยามขี่ม้า และภาพปูตินและคาราคาจัน(Karakachan) ลูกสุนัขที่ได้รับมอบจากผู้นำบัลแกเรียในปี 2010
       
       และในวันจันทร์(6) เพื่อฉลองวันเกิดปีที่ 62 มีการเปิดนิทรรศการภาพเขียน 1 วันที่ “ตุลาแดง” อดีตโรงงานผลิตช็อกโกแลตที่ปัจจุบันเป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่างๆในกรุงมอสโก ผู้เข้าชมจะพบปูตินในแบบฉบับวีรบุรุษกรีกโบราณที่แฝงไว้ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองโลกที่ร้อนฉ่าในขณะนี้ที่สะท้อนให้เห็นว่า รัสเซียต้องถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างหนัก และเป็นผลทำให้สกุลเงินรูเบิลของรัสเซียตกต่ำในขณะเดียวกันผู้นำเช่นปูตินยังมีแนวคิดตอบโต้กับชาติมหาอำนาจต่างๆที่ร่วมคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ อาทิ สั่งบอยคอตสินค้าตะวันตก ประกาศปิดน่านฟ้า จำกัดการเข้าโลกไซเบอร์ของชาวหมีขาว รวมไปถึงมีแนวคิดปรับปรุงยุทโธปกรณ์ทางการทหารครั้งใหญ่ รวมไปถึงอาวุธนิวเคลียร์ แต่กระนั้นกระแสนิยมในตัวผู้นำคนนี้ยังมีสูงเป็นประวัติการณ์ไม่เสื่อมคลาย
       
       ซึ่งสื่อรัสเซียยังรายงานเพิ่มเติมว่า ในเมืองต่างๆทั่วรัสเซียมีการพ่นข้อความตามตึกแสดงความขอบคุณและเป็นการแสดงถึงความสำเร็จด้านต่างๆของปูตินในโอกาสครบรอบวันเกิดของเขา เช่นมีการพ่นข้อความว่า “Spasibo” หรือ ขอบคุณ “Sila”หรือ เข้มแข็ง และโอลิมปิก เป็นต้น

 

 

 In Pics ฉลองวันเกิดปูติน :ตะลึงภาพ “ท่านผู้นำตัดหัวแก๊งไฮดราแซงชัน” หลังปธน.รัสเซียยอมหยุด ฉลองวันเกิดปีที่ 62  ครั้งแรก
ป่าสนไซบีเรียที่ปูตินเดินทางไปฉลองวันเกิดปีืที่ 62

 

 

 In Pics ฉลองวันเกิดปูติน :ตะลึงภาพ “ท่านผู้นำตัดหัวแก๊งไฮดราแซงชัน” หลังปธน.รัสเซียยอมหยุด ฉลองวันเกิดปีที่ 62  ครั้งแรก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วันออกพรรษา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วันออกพรรษา หรือ วันปวารณาออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งในประเทศไทย วันออกพรรษา คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน (นับตั้งแต่วันเข้าพรรษา) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วันมหาปวารณา” คำว่า “ปวารณา” แปลว่า “อนุญาต” หรือ “ยอมให้” ใน วันออกพรรษา นี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ เรียกว่า มหาปวารณา เป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เพราะในระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข การให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ทำให้ได้รู้ข้อบกพร่องของตน และยังเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วยซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) หลังวันเข้าพรรษา 3 เดือน ตามปฏิทินจันทรคติไทย

 

สำหรับ คำกล่าว ปวารณา มีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีเป็นดังนี้ “สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ” มีความหมายว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้วจักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี

การออกพรรษานั้น ถือเป็นข้อปฏิบัติตามพระวินัยสำหรับพระสงฆ์โดยเฉพาะจัดเป็นญัตติกรรมวาจาสังฆกรรมประเภทหนึ่ง ที่ถูกกำหนดโดยพระวินัยบัญญัติให้โอกาสแก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ร่วมกันตลอด เมื่อถึง วันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ และวันถัดจาก วันออกพรรษา 1 วัน (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยยังนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหนะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า ในวันถัด วันออกพรรษาหนึ่งวัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่ 7 เพื่อลงมายังเมืองสังกัสสนคร พร้อมกับทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสามด้วย

 

 

วันออกพรรษา

 

 

กิจกรรมในวันออกพรรษา

วันออกพรรษา นี้พุทธศาสนิกชนถือว่าเป็นโอกาศอันดีที่จะกระทำ การบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตร จัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระที่วัดและฟังพระธรรมเทศนา ของที่ชาวพุทธนิยมนำไปใส่บาตรในวันนี้ก็คือ ข้าวต้มมัดไต้ และข้าวต้มลูกโยน และการร่วมกุศล “ตักบาตรเทโว” ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11

1. ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ
2. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา
3. ร่วมกิจกรรม “ตักบาตรเทโว” (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11)
4. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและประดับธงชาติ และธงธรรมจักร ตามวัดและสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
5. ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับ วันออกพรรษา เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป

กิจกรรม ประเพณีวันออกพรรษา ของไทย

1. ประเพณีออกพรรษา แห่ปราสาทผึ้ง และการแข่งขันเรือยาว จังหวัด สกลนคร
2. ประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด จังหวัด แม่ฮ่องสอน
3. ประเพณีตักบาตรเทโว จังหวัด อุทัยธานี
4. ประเพณีบุญแห่กระธูป จังหวัด ชัยภูมิ
5. ประเพณีชักพระ ทอดพระป่า และแข่งขันเรือยาว จังหวัดสุราษฎร์ธานี
6. งานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค จังหวัด หนองคาย
7. ประเพณีลอยผาสาด ดารดาษนทีโขง จังหวัด เลย
8. เทศกาลงานบุญออกพรรษา จังหวัดมุกดาหาร
9. ทำบุญตักบาตรสองแผ่นดิน เหนือสุดในสยาม จังหวัด เชียงราย
10. งานประเพณีลากพระและมหกรรมวัฒนธรรมสัมพันธ์ จังหวัดตรัง
11. ประเพณีแข่งโพนลากพระ จังหวัด พัทลุง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 **โถๆๆๆ พ่อคนดีของบ่าว**********

กระทู้สนทนา
คนดีของบ่าว พยายามที่จะตรวจสอบทรัพย์สินของคนอื่น
ส่วนทรัพย์สินตัวเองกลับไม่ต้องการให้คนอื่นตรวจสอบ

คนดีของบ่าว ใช้กระบวนการยุติธรรมทุกทางให้คนอื่นแสดงทรัพย์สิน
แล้วใช้กระบวนการยุติธรรมที่มี เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองต้องแสดงทรัพย์สิน

คนดีของบ่าว ลำพังเฉพาะเงินเดือนคงไม่ร่ำรวยขนาดนี้
น่าจะออกมาชี้แจงให้สังคมได้รับรู้บ้างว่า ทรัพย์สมบัตินี้ท่านได้แต่ไรมา

คนดีของบ่าว คอยจับผิดคนอื่นซุกหุ้น
ส่วนตัวคงไม่มีการซุกเงินนะจ๊ะ

คนดีของบ่าว พยายามไม่ให้มีการเลือกตั้ง
เพื่อให้ตัวเองเข้ามาทำหน้าที่จากการคัดสรรค์

คนดีของบ่าว มีการเลือกตั้ง ก็เป็น สว.จากการสรรหา
ไม่มีการเลือกตั้ง ก็เป็น สปช. จากการจิ้มเลือก

คนดีของบ่าว ต้องการเข้ามาเพื่อสร้างความปรองดอง
แต่ก็พยายามหาช่องทางถอดถอนอดีตนักการเมืองทั้งที่รัฐธรรมนูญถูกฉีก

คนดีของบ่าว แต่ละคนล้วนแต่ร่ำรวยแบบปกติกันทั้งนั้น
แต่นักการเมืองล้วนแต่ร่ำรวยผิดปกติกันทั้งสิ้น

คนดีของบ่าว แจกเงินชาวนาเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่นักการเมืองกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นการหาเสียง

คนดีของบ่าว การแจกเงินเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผลที่สุด
แล้วทำไมจึงไม่แจกเงินคนทำสวนยางและเกษตรกรอื่นๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นเร็วยิ่งขึ้น

คนดีของบ่าว ใช้มาตรการต่างๆด้วยเม็ดเงินมากมาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่ทำไมธนาคารโลกกลับปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเหลือ 1.5 จากคาดการเดิมร้อยละ 3

คนดีของบ่าว ต้องการเข้ามาปฏิรูปประเทศ
หรือต้องการต้อนเครือข่ายทักษิณให้จนกระดาน

คนดีของบ่าว แต่ละคนเข้ามาเพื่อทำหน้าที่รับใช้ประเทศชาติกันทั้งนั้น
ส่วนภาคการเมืองเข้ามาด้วยผลประโยชน์ต่างตอบแทนกันทั้งสิ้น

และสุดท้ายคนดีของบ่าว ทำไมจึงมีอยู่เพียงแค่นี้เอง
บ่าวจึงได้เห็นวนเวียนไปมา จิ้มเลือกกันทั้งประเทศ ก็ได้แต่คนกลุ่มนี้เข้ามาเสียทุกทีเล่า

 

 

เป็นผู้นำประเทศ ขนาดประธานาธิบดี แต่เมื่ออสัญกรรม ไม่มี
มรดกอะไรไว้เลย เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านมี 2 อย่าง ที่ไม่ให้ ปชช
คนเวียตนามเอาเยี่ยงอย่าง คือ 1.- สูบบุหรี่ และ 2.-ไม่มีภรรยา

 

ครั้งหนึ่งตอนที่อยู่กรุงเทพ ลุงโฮเคยจัดประชุมลับจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยขึ้นที่โรงแรมตุ้นกี่ หัวลำโพง

 

น่าแปลกทำไมนักเคลื่อนไหวของเวียดนามต้องมาอาศัยวางแผนที่เมืองไทยด้วยทั้งโฮจิมินห์ และ หวอเหงียนย๊าฟ

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Apr 26 08:19:48 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>