Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ไฟไหม้หมดตัวเพราะโคมลอย

ArjanPong | 23-10-2557 | เปิดดู 3715 | ความคิดเห็น 0

 

 

บ้านผมถูกไฟไหม้วอดเพราะโคมลอย
 
 
 

                        บ้านผมถูกไฟไหม้วอดเพราะโคมลอย อุทาหรณ์สุดสลดรับลอยกระทง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

            เผยประสบการณ์สุดเลวร้ายของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการลอยโคม บ้านถูกไฟไหม้วอดทั้งหลัง สูญเสียคนที่รักจากไฟไหม้เพราะโคมลอยที่จับมือใครดมไม่ได้

            แต่เดิมแล้วการลอยโคมเป็นประเพณีที่นิยมกันทางภาคเหนือ โดยชาวบ้านเชื่อว่าการปล่อยโคมลอยเป็นการลอยเคราะห์ลอยโศก สิ่งที่ไม่ดีไม่งามในชีวิตออกไป แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าการลอยโคมจะไม่ได้พบเห็นในเทศกาลวันงานประเพณีของชาวเหนือเท่านั้น แต่โคมลอยนั้นกลายเป็นกิจกรรมที่ผู้คนทั่วทุกภาคของไทยทำกันเป็นปกติกันไปแล้ว ไม่ว่าจะในเทศกาลลอยกระทง ปีใหม่ หรือเทศกาลอื่น ๆ โดยมีความเชื่อที่ไม่ต่างกันนั่นคือลอยเคราะห์ลอยโศก ส่วนผลพลอยได้ก็คงเป็นความสนุกสนานที่ได้ปล่อยโคมลอยแต่งแต้มแสงสว่างให้ท้องฟ้ายามค่ำคืน

            แต่ถึงแม้การลอยโคมจะเป็นที่นิยมของคนไทยทุกภาคมากเพียงใด ทุก ๆ ปีก็มักจะมีคำเตือนเกี่ยวกับอันตรายของโคมลอยออกมาอยู่เสมอ เพราะการลอยโคมนั้นเกี่ยวข้องกับการจุดไฟ จึงเสี่ยงที่จะพลาดตกใส่บ้านของประชาชนจนนำมาซึ่งเหตุเพลิงไหม้ได้ทุกเวลา และที่ผ่านมาก็เกิดเหตุไฟไหม้เพราะโคมลอยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

            อย่างไรก็ดี หากใครกำลังคิดที่จะไปลอยโคมกันในเทศกาลลอยกระทงหรือปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึงนี้ วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำกระทู้จากพันทิปของ
คุณสมาชิกหมายเลข 925292 ที่เคยมีประสบการณ์บ้านแถวท่าน้ำนนท์ของเขาถูกไฟไหม้วอดทั้งหลังจากโคมลอยของใครสักคนซึ่งไม่สามารถเอาผิดกับใครได้เลย มาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านลองตระหนักถึงผลร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการลอยเคราะห์ลอยโศกผ่านโคมลอยกันค่ะ

            "ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 บ้านของผมถูกไฟไหม้เมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้วในคืนวันลอยกระทงครับ เนื่องจากโคมลอยมาตกใส่หลังคา คือบ้านมีลักษณะเป็นเต้นท์ผ้ายาง เรียงต่อ ๆ กันหลายหลังครับ ก็ถือว่าใหญ่พอสมควรเพราะว่าเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ แต่ว่าภายในก็มีการโบกปูนทำเป็นห้อง ๆ สำหรับออฟฟิศและอยู่อาศัยแน่นหนา ภายในก็จะมีเฟอร์นิเจอร์มากมาย ตั้งแต่โซฟา ตู้ โต๊ะ เตียง ที่นอน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้และที่นอนกาบมะพร้าวครับ(เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี) ทีนี้ตอนที่โคมลอยมาตก ให้จินตนาการว่ายางโดนเผาครับ มันจะหยด เลยลุกลามรวดเร็วมาก จนไม่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ เสียหายทั้งหมด เหลือเพียงแค่ตู้เซฟ กับรถครับที่ไม่ถูกเผา นี่คือเรื่องย่อ แต่ผมจะขอเล่าถึงเหตุการณ์อย่างละเอียดนะครับ เพื่อสะท้อนจิตใจของผมและครอบครัวว่ามันเป็นอย่างไร ณ ตอนนั้น

            เรื่องมีอยู่ว่าผมออกไปงานวันลอยกระทงกับเพื่อนที่ศาลากลางครับ (อ้อ! ลืมบอกว่าบ้านของผมอยู่แถวท่าน้ำนนท์) ก็ไปช่วยแม่เพื่อนขายกระทง เพราะเราว่าง ๆ กะว่าเสร็จงานจะได้ลอยกระทงกับเพื่อนด้วย กว่าจะแยกกัน กลับมาถึงบ้านตัวเองก็เที่ยงคืนกว่าครับ วันนั้นบอกตรง ๆ ว่าเพลียแล้วคิดว่าคงหลับยาวแน่ ๆ หลังจากผ่านมาทั้งวัน พอกลับมาถึงเตรียมตัวจะนอน แม่ก็มาทักครับ แกยังไม่หลับ ก็บอกผมว่าอยากลอยกระทง พาไปลอยกระทงตอนนี้ได้ไหม ? เพราะแม่ตัดผมตัดเล็บน้อง ๆ ใส่กระทงไว้ (ตามความเชื่อของแม่) แต่ยังไม่ได้เอาไปลอย เพราะน้องยังเล็ก ไม่อยากพาออกไปตอนคนเยอะ ๆ กลัวว่าจะอันตราย ตอนนั้นน้องยังแบเบาะครับ ส่วนอีกคนอยู่อนุบาล ผมโตมากเพราะคนละพ่อ // ดูแกไม่สบายใจครับ ถ้าไม่เอาไปลอย แกตั้งใจไว้แล้ว ก็ไม่อยากเอาเศษผมกับเล็บน้องไปทิ้ง ด้วยว่าท่าน้ำมันไม่ได้ไกลมากด้วย ผมเลยพาแม่เดินออกมากันสองคนที่ท่าน้ำนนท์

            ตอนนั้นคนซาหมดแล้วครับ หลังจากลอยกระทงเสร็จ เราก็แวะทานก๋วยเตี๋ยวกัน ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นในขณะที่กำลังเดินกลับบ้าน ก็เห็นมีคนวิ่งแตกตื่นแล้วตะโกนว่าไฟไหม้ ๆ ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ตกใจ เลยมองตาม ก็เห็นฟ้าบริเวณนั้นเป็นสีแดงครับ แม่ก็บอกว่าทางนั้นมันแถวบ้านเราเลย ใจไม่ดีเนอะ ผมก็บอกแม่ว่าอย่าคิดมาก แล้วก็พากันรีบเดินกลับอย่างไว สักพักก็มีคนขี่จักรยานวิ่งสวนมาครับ แล้วตะโกนเหมือนกันว่าไฟไหม้ ๆ เราเลยโบกให้เขาหยุดแล้วถามว่าไฟไหม้ที่ไหน ? พอเขาตอบว่าร้านเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นแหละครับ แม่กรี๊ดเลย แล้ววิ่งนำผมไปอย่างเร็ว

            แม่กรี๊ดว่าลูกกู ๆ ! (ขออภัยถ้าไม่สุภาพนะครับ) ผมรีบวิ่งตามแม่ไป จับมือ แล้วบอกใจเย็น ๆ ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก ได้แค่วิ่งไปให้เร็วที่สุดที่จะทำได้ ประคองแม่ด้วย กลัวแม่จะล้ม เพราะแม่ดูสติแตกแล้ว เราก็กลัวมาก ในใจยังคิดว่าหวังว่าคงยังไม่น่าจะใหญ่โต แต่เปล่าเลยครับ ผิดคาด พอใกล้ถึงบ้านเราก็เห็นคนเป็นร้อย (ไม่เว่อร์นะครับ) มุงรอบบ้านเรา พร้อมกับรถดับเพลิงอีก 3 คัน กำลังฉีดน้ำ ตอนนั้นไฟมันท่วมจนพีคมากแล้ว รัศมีสูงประมาณตึก 3 ชั้น (นี่คือมองจากไกล ๆ นะครับ ยังไม่ถึง) ตอนนั้นเข่าอ่อน เราสองคนแม่ลูกวิ่งแทรกผลักคนอื่นออกหมดเลย แม่ก็ตะโกนหาน้องเหมือนคนสติแตก ผมก็ด้วยครับ คุมอะไรไม่อยู่เลย จนกระทั่งชาวบ้านรั้งเราทั้งคู่ไว้แล้วบอกว่า เด็ก ๆ ออกมากันหมดแล้ว เราถึงหยุดแล้วมันตื้อไปหมด ถามชาวบ้านว่าคนในบ้านอยู่ตรงไหนกัน ก็มีคนพาเราไปเจอน้อง ๆ กับพ่อเลี้ยงครับ นั่งอยู่ริมฟุตบาตไกล ๆ มือนึงอุ้มคนเล็ก อีกมือจับคนโต มันทั้งโล่งใจทั้งเศร้าใจ หลายอารมณ์มาก สงบใจได้ไม่ทันถึงนาทีก็ต้องเหลียวกลับไปมองครับ ว่าไฟยังไหม้อยู่

            เรากลับไปถามหาสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ จากชาวบ้านครับ ว่าใครอยู่ไหนบ้าง ?  เพราะอยู่กันเยอะ มีครอบครัวลุงด้วย มีลูก ๆ แล้วก็คนงานอีกหลายคน ก็ทำให้รู้ว่าตอนนี้ทุกคนออกมาแล้ว แต่เห็นว่ามีคนแก่ติดอยู่ !! ตอนนั้นหัวใจมันระเบิดเลยครับ นึกได้ว่ามีคุณตาอยู่ด้วย เวลานั้นมันคิดอะไรไม่ทันครับ แล้วทั้งหมดที่เล่าก็รวดเร็วมาก คุณตาของผมเป็นอัมพฤกษ์ด้วย ขยับได้แค่ครึ่งตัวด้านขวา ฉะนั้นแกไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แน่ พอแม่ได้ยินอย่างนั้นก็กรี๊ดอีกรอบครับ ทีนี้จะวิ่งฝ่าไฟเข้าไป แกตะโกนเรียกคุณตาว่าพ่อ ๆ ! ผมนี่กอดแม่แน่นเลย แม่ดื้อจะลุยเข้าไปให้ได้ ซึ่งผมมองด้วยสายตาแล้วมันไม่ทันจริง ๆ ครับ ไฟสูงมาก แม้จะยังมีหลายส่วนยังไม่ถูกเผา แต่ว่าข้างในมันต้องเหมือนเขาวงกตไฟแน่ ๆ เพราะตู้ เตียง วางเรียงกั้นเป็นทางเดินไว้ แม่ไม่ไหวแน่ถ้าเข้าไป ตัวผมเองก็ด้วย แม่กรี๊ด ๆ ทั้งดิ้นทั้งทุบให้ผมปล่อย ร้องไห้สติแตก ผมก็ไม่ต่างกัน แต่ผมเสียแม่ไปไม่ได้ อยากเข้าไปช่วยตา แต่ต้องตัดใจ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก เพราะต้องประคองแม่ไว้ ในขณะที่จิตใจของตัวเองก็แย่พอกัน

            อยู่ ๆ ลุงของผมก็วิ่งมาจากอีกทางครับ แกวิ่งฝ่าคนเข้ามาพร้อมกับชาวบ้านที่อาสา แล้วอ้อมไปหลังบ้าน ซึ่งเป็นซอกแคบ ๆ ติดกับบ้านคนอื่น พอให้เดินได้แทรกเขาไปได้ พวกเขาเอาค้อนทุบ ๆ ๆ ๆ กำแพงจนแตกในที่สุด พอกำแพงแตกเท่านั้นแหละครับ ไฟพุ่งฟู่ ๆ ๆ ออกมาจากช่องเลย แต่ยังพอมองเห็นว่าข้างในยังไม่ไหม้หมดครับ พวกเขาก็เข้าไปในตัวบ้าน สักพักลุงก็แบกคุณตาอย่างทุลักทุเล พยายามจะออกมาจากกำแพงแตก ๆ ผมกับแม่ก็ทำได้แค่ภาวนาครับ เข้าไปช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะไฟพวยพุ่งออกมาเป็นระยะ สุดท้ายลุงก็ร้องขอความช่วยเหลือ จนอาสารุดเข้าไปแทน แล้วลุงก็วิ่งหนีออกมาพร้อมกับเนื้อตัวที่ไหม้พองและเยิ้มรุนแรงจากการถูกเผา ลุงไหว้แม่แล้วบอกว่าพี่ไม่ไหวจริง ๆ คือทุกคนเข้าใจ แล้วหันกลับไปมองที่เดิม ก็เห็นพี่อาสาแบกคุณตาขี่หลังครับ ดูทุลักทุเลเหมือนกัน เนื่องจากทางแคบและลึกกว่าจะออกมาได้ แล้วคุณตาก็ค่อนข้างตัวใหญ่ ประกอบกับพื้นตรงนั้นเป็นดินโคลนครับ ชุ่มไปด้วยน้ำจากรถดับเพลิงด้วย พี่คนนั้นเลยลื่นหงายหลัง และทำคุณตาหัวฟาดกับพื้น พอพี่เขาลุกได้ก็ไหว้คุณตาบอกว่าผมขอโทษ ผมไม่ไหว ๆ แล้ววิ่งออกมาเลยครับ ตอนนั้นคุณตาตะโกนไล่หลังมาว่าไอ้หนุ่ม อย่าทิ้งตา ๆ คือบอกตรง ๆ ว่าใจจะสลายที่ทำอะไรไม่ได้เลย // พี่อาสาวิ่งออกมาทั้งกราบทั้งไหว้พวกเราครับ ตอนนี้ทั้งตัวพี่เขาเองก็ชุ่มไปด้วยแผลไฟไหม้ครับ เราเข้าใจว่าทุกคนทำสุดความสามารถแล้ว เราสงสารเขาด้วยซ้ำที่เข้าไปเสียงให้ มองกลับไปคือเห็นไฟมันพุ่ง ๆ มาลนคุณตาครับ ในลักษณะที่แกนอนดิ้น ๆ เหมือนจะขาดใจ ทำได้แค่พยายามสาดน้ำเข้าไปให้ไฟมันดับบ้าง แล้วก็หาทางจะเข้าไปช่วยต่อ เสียงแกแผ่วลง ๆ ไฟก็ยังคงสูงและลามอยู่อย่างนั้น มันโหดร้ายมากที่เราทำได้แค่ไม่หลบตา มองดูแกอย่างนั้น พยายามกันอยู่นานกว่าจะสามารถกลับไปช่วยแกได้อีก พอหามคุณตาออกมาได้ก็สายไปแล้วครับ แกไปแล้ว

            หลังจากนั้นก็มีรถพยาบาลมาพาคุณตาไปครับ พร้อมกับยืนยันว่าไม่สามารถช่วยแก เราให้ลุงกับพี่อาสาไปกับรถพยาบาลเพราะแผลมันแย่มากครับ // ถึงตอนนี้ไฟก็ยังคงไหม้อยู่ เราเดินหาสมาชิกคนอื่นที่เหลือแล้วพากันมองไฟลุกต่อไปครับ ตัดใจแล้ว ทีมกู้ภัยบอกว่าดับไม่ได้แล้วครับ ตอนนี้เน้นสกัดไม่ให้ลามไปบ้านอื่น ใช่ครับ ในสายตาเรามันก็ดูจะไม่เหลืออะไรให้หวังแล้ว ชาวบ้านมองเราด้วยความสงสาร หาน้ำหาผ้าห่มมาให้ เรากอดกันร้องไห้มองดูไฟเผาทุกอย่าง จนมันแผ่วลง ๆ แล้วในที่สุดก็ดับครับ

            เวลาประมาณตีห้า บ้านที่เคยมีตอนนี้เหลือแค่ซากตะโกครับ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและแจ้งว่า พบอีกหนึ่งศพ เป็นเถ้ากระดูกในตัวบ้าน ทราบภายหลังว่าเป็นพี่คนงานที่น่าสงสารอีกคนที่เราคุ้นเคยดีครับ แกเป็นคนพิการ หูหนวกเป็นใบ้ คืนนั้นมีงานฉลอง พี่เขาก็คงจะเมาด้วยแล้วคงไม่ได้ยินด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกว่าจะรู้ตัวก็คงสาย นอกจากนี้ยังพบว่ามีโครงเสาเหล็กของเต้นท์ทับหน้าอกแกด้วย สะเทือนใจมากครับ แล้วก็เลยพบหลักฐานของเหตุเพลิงไหม้นี้ ว่าคือซากของโคมลอย ตกอยู่บริเวณที่นอนห้องผม และเป็นห้องต้นเพลิง // เรื่องนี้ขนลุกมากครับ ทำให้ย้อนคิดไปว่าถ้าแม่ไม่ชวนผมออกมา ตอนนี้ผมคงไม่รอด

            หลังจากที่เจ้าหน้าที่เช็กทุกอย่าง เราจึงมีโอกาสเดินสำรวจรอบ ๆ มันน่าเศร้าใจมากครับที่เห็นทุกอย่างเป็นเศษเถ้าถ่าน มันหมดแล้วจริง ๆ ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเราสูญไปเท่าไหร่ แต่มันหนักหนาจริง ๆ ไม่มีที่ซุกหัวนอน จนต้องไปอาศัยชาวบ้านแถวนั้นอยู่พักใหญ่ ทุกท่านใจดีกับเรามากจริง ๆ สภาพเราตอนนั้นมันแย่ที่สุด แต่ละคนเลอะเขม่า หัวฟู รุงรัง คราบน้ำตาเปรอะเหมือนคนบ้า กว่าจะคิดว่าชีวิตมันต้องดำเนินยังไงต่อไปมันใช้เวลามากครับ

            ตอนนี้ครอบครัวเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว ค่อย ๆ เริ่มกันใหม่ และมันคงไม่มีทางลืมง่าย ๆ เราไม่ได้รับอะไรนอกจากการช่วยเหลือเล็กน้อยจากทางรัฐ เพราะเราทำประกันไม่ได้ครับ ตัวบ้านมันไม่ได้มาตรฐาน (เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจรายละเอียด เพราะตอนนั้นยังเด็ก อยากให้ข้ามไปนะครับ) สำหรับทั้งหมดที่ผมเขียนมานี้ ผมอาจจะเขียนน่าเบื่อ ยืดเยื้อ แต่ผมเขียนด้วยความรู้สึกที่มันเจ็บปวดจริง ๆ มันโหดเกินไปจริง ๆ เชื่อไหมครับ ? ว่าพวกเราไม่ได้คิดจะโทษใครเลย กลับโทษตัวเองในหลาย ๆ เรื่อง เพราะเราไม่รู้จะโทษใคร แล้วไม่รู้ว่าโทษแล้วจะได้อะไร ตอนนี้เมื่อมองกลับไป สำหรับผมมันเป็นบทเรียนราคาแพงมาก ผมคิดว่ากว่าจะผ่านมาได้ ทุกคนเข้มแข็งขึ้นมาก ผมคิดว่าผมโตขึ้นเยอะจากเรื่องนี้ เพราะมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจนถึงปัจจุบัน

            อย่างไรก็ตาม ผมอยากฝากเป็นสิ่งเตือนใจถึงทุกท่านในสังคมนะครับ กรุณาเถอะครับ อย่าให้ใครต้องเจอเรื่องราวแบบนี้เลย ตัวผมเองก็ไม่เคยลอยโคมสักครั้งในชีวิต ผมเลยรู้สึกว่ามันก็ตลกดีที่กลับเป็นฝ่ายมาโดน // สำหรับประเพณี มันเป็นสิ่งสวยงามครับ ผมไม่ขอร้องให้หยุด แต่ผมอยากถามว่า มีสักกี่คนครับ ? ที่คิดว่าหลังจากที่เราลอยความทุกข์ของตนไปกับโคมไฟแล้ว หลังจากนั้นมันจะเป็นอย่างไรต่อ ? มันจะลอยขึ้นไปสู่ฟากฟ้าไม่รู้ดับ หรือหวังว่ามันคงค่อย ๆ มอดและล่วงลงอย่างสงบ ? หรือเราจะให้ใครเก็บมันหลังจากนั้น ? // ผมเชื่อว่าทุกท่านปล่อยโคมด้วยเจตนาอันดีครับ ฉะนั้นผมก็หวังเช่นกันว่าเมื่อท่านได้อ่านเรื่องจริงของผมแล้ว อาจเป็นอุทาหรณ์ที่ท่านจะสามารถนำไปเล่าต่อ ๆ กันได้ // ประเพณีที่สวยงาม ผมเชื่อว่ามันจะยังคงสวยงาม หากผู้ที่สานต่อมีความเข้าใจ และสืบสานคงไว้ให้เหมาะสมตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องเลิก แต่ขอให้สานต่ออย่างประณีต อย่าทำไปด้วยฉาบฉวย ขอเท่านี้แหละครับ

            ขอบคุณที่อดทนอ่านจนจบครับ :")"


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ค่านิยม 12 ประการ กับนาฬิกามูลค่า 3,900,000 บาท!!!

กระทู้สนทนา


การสร้างค่านิมให้ประสบผลสำเร็จนั้น ต้องปลูกฝังลงไปในรากฐานจิตใจของเด็กและเยาวชน โดยผู้ใหญ่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ด้วย
ก็คิดจะเอาท่านผู้นำเป็นแบบอย่างนะครับ   



แต่มาเจอ  รายการทรัพย์สินของท่าน   ซึ่งเป็นครอบครัวข้าราชการ   เฉพาะนาฬิกาก็เกือบสี่ล้านบาทไทยแล้ว   ขัดกับ"ค่านิยม"ที่จะนำไป
"ปลูกฝัง"ให้เยาวชนเป็นอย่างยิ้ง   น่าจะเอาข้อนี้ออกนะครับ   เพราะท่านเองก็ทำไม่ได้!!!

ลิงค์ที่มา  https://www.facebook.com/WassanaJournalist/posts/795724810485979

 

 

 

 

 

 

2 บริษัทรับงานอีเวนท์คืนความสุข ปชช. สนง.จังหวัดนนท์ 20 ล.หุ้นใหญ่”ทำธุรกิจรับเหมา “อนุพงษ์ เผ่าจินดา”

 
 
 

http://isranews.org/investigative/investigate-asset/item/34088-anupong_889.html

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                       โลกออนไลน์วิจารณ์แซด! พระต่อคิวซื้อไอโฟน6 ห้างดังกลางกรุง  

 

 

 

 

 วันนี้(1 พ.ย.) ชาวสังคมออนไล์วิพากษ์วิจารณ์กรณีที่มีการแชร์ภาพพระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังต่อแถวซื้อโทรศัพท์ไอโฟน6 (iphone6) ซึ่งมีการเปิดขายอย่างเป็นทางการในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผู้เผยแพร่ภาพเผยว่าถ่ายได้ที่ห้างดังแห่งหนึ่งซึ่งพระสงฆ์มาด้วยตัวเอง เข้าแถวและรอรับเครื่องอยู่บริเวณนั้นด้วย

 

 

 

 

               พระต่อคิวซื้อไอโฟน6

 

ทั้งนี้ชาวสังคมออนไลน์มองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่พระไปต่อแถวซื้อไอโฟน6และมองว่าเป็นการนำปัจจัยทำบุญของญาติโยมมาใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย เนื่องจากไอโฟน6มีราคาแพง เริ่มต้นที่25,500 บาทและหากเป็นรุ่น iphone6 PLUS มีราคาเริ่มที่29,000 บาท ซึ่งถือว่าไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ

 

ซึ่งมีการมองว่าปัจจุบันพระสงฆ์ได้รับปัจจัยมากเกินกว่าที่จำเป็น ควรจะมีการนำเงินไปบริจาคให้กับผู้ที่ยากไร้หรือมูลนิธิอื่นๆบ้าง รวมไปถึงภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในด้านลบเริ่มปรากฎตามสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักใหญ่มาจากการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดของพระสงฆ์ จึงอยากให้ทางสำนักงานพุทธศาสนาเข้ามาเร่งแก้ไขปัญหา
ขอบคุณภาพจาก Lovely To Loveและแฟนเพจ FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย

 

MThai News

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ปาราชิก

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด


โดย น้าชาติ ประชาชื่น, nachart@yahoo.com

 

สวัสดีครับ น้าชาติ

 

 ผมอยากทราบว่าพระสงฆ์ทำผิดอย่างไรจึงเรียกว่า "อาบัติ" และทำผิดอย่างไรจึงเรียกว่า "ปาราชิก" รบกวนน้าชาติอธิบายให้เข้าใจด้วย

 

/พีระ

 

ตอบ-พีระ

 

 คำตอบนี้โต๊ะพระของข่าวสดให้มาละเอียดทีเดียว

 

 อาบัติ แปลว่า ต้อง ถูกต้อง หมายถึง ข้อบัญญัติวินัยสำหรับป้องกันความประพฤติของพระภิกษุให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรมอันดีงาม อาบัติแต่ละข้อพระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติตามคำแนะนำและติเตียนของชาวบ้านที่ได้พบเห็นและรู้เรื่องราวความประพฤติของพระ แล้วนำไปฟ้องร้องให้พระพุทธเจ้าทรงรับรู้ ในฐานะพระศาสดา

 

 พระพุทธองค์จะทรงวินิจฉัยและตรากฎบัญญัติหรืออาบัติขึ้นตามเหตุการณ์บ้านเมืองสมัยนั้น ซึ่งมีทั้งหมด 227 ข้อ ประกอบด้วย ปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13 อนิยต 2 นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ 30 ปาจิตตีย์ 92

 

 นอกจากนี้ยังมี ปาฏิเทสนียะ เสขิย ปกิณณกะ อธิกรณสมถะอีกด้วย

 

 อาบัติตั้งแต่สังฆาทิเสสลงมา พระภิกษุที่ถูกต้องแล้วยังไม่จัดว่าพ้นจากความเป็นพระ เฉพาะอาบัติสังฆาทิเสสถือว่าเป็นอาบัติหนัก พระภิกษุที่ต้องแล้วต้องอยู่กรรมจึงจะพ้นผิด ส่วนอาบัติอื่นๆ นั้นพระภิกษุที่ต้องกล่าวแสดงต่อหน้าพระภิกษุให้รับทราบก็จะสามารถพ้นจากอาบัติได้

 

 สำหรับอาบัติปาราชิกนั้น จัดว่าเป็นอาบัติหนักที่สุดซึ่งเมื่อพระภิกษุต้องอาบัตินี้แล้วต้องขาดจากความเป็นพระทันที แม้จะไม่ยอมสึกออกจากการเป็นพระ หรือต้องอาบัติแล้วจะไม่สึกยอมออกไปก็ถือว่าขาดจากการเป็นพระทันทีที่ต้องอาบัติ ทางพระวินัยถือว่าไม่สามารถร่วมสังวาสกับพระภิกษุสงฆ์ได้ด้วย และไม่สามารถบวชเป็นพระได้อีกต่อไป

 

 พระพุทธเจ้าทรงเปรียบพระภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกว่าเป็นเหมือนต้นตาลยอดด้วน ไม่สามารถออกดอกผลได้อีกต่อไป เท่ากับว่าไม่สามารถเจริญงอกงามในพระธรรมวินัยในบวรพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฐานะพระภิกษุได้อีก

 

 อาบัติปาราชิก มีอยู่ 4 ข้อ คือ 1.เสพเมถุน 2.ลักขโมย 3.ฆ่ามนุษย์ให้ตาย 4.อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตัวให้ปรากฏ

อาบัติข้อที่ 1.เสพเมถุน กรณีที่พระภิกษุเสพสังวาสกับสตรีหรือแม้แต่เดรัจฉานเพศเมีย ถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที แม้จะอยู่ในผ้าเหลืองหรือไม่ก็ตาม ถือว่าขาดจากการเป็นพระขณะที่สำเร็จกิจ

 

 สำหรับพระภิกษุที่เป็นต้นบัญญัติ ทำโดยไม่รู้ตัวกรณีถูกบังคับ มีจิตฟุ้งซ่าน เป็นบ้า ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป และไม่มีเจตนาถือว่าไม่ต้องอาบัติ ภิกษุต้นบัญญัติ ชื่อพระสุทิน ชาวเมืองเวสาลี

 

 อาบัติข้อที่ 2 ลักขโมย เมื่อมีเจตนาลักขโมยของที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตด้วยจิตที่จะลัก ซึ่งพระวินัยกำหนดไว้ คือ ราคา 1 มาสก หรือ 1 บาทขึ้นไป (ราคาสิ่งของในสมัยนั้น) ภิกษุที่เป็นต้นบัญญัติชื่อพระธนิยะ ได้ขโมยไม้หลวง

 

 อาบัติข้อที่ 3 ฆ่ามนุษย์ให้ตายด้วยตนเอง หรือใช้ให้คนอื่นฆ่า กรณีนี้ก็เช่นกัน คือพระภิกษุมีเจตนาอยู่แล้ว ตั้งใจที่จะฆ่า เช่น คิด และมีการวางแผน ฆ่าให้ตาย เมื่อไม่ตายก็พยายามแล้วพยายามอีกจนเสียชีวิต ถือว่าขาดจากการเป็นพระทันที กรณีที่ไม่มีเจตนาไม่ถือว่าต้องอาบัติ

 

 อาบัติข้อที่ 4 พูดอวดคุณวิเศษ ในที่นี้หมายภูมิธรรม อาทิ ไม่ได้เป็นพระโสดาบันอ้างตัวว่าบรรลุฌาน สมาบัติ พระโสดาบัน เป็นต้น ถือว่า พ้นจากความเป็นพระภิกษุทันที ยกเว้น สำคัญผิดคิดว่าตนเองบรรลุ มิได้ประสงค์จะโอ้อวด ภิกษุบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่รู้สึกตัว และพระที่เป็นต้นบัญญัติ

 

 การจะต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเจตนาและการกระทำของพระภิกษุเป็นเกณฑ์ พระพุทธองค์ได้ทรงวินิจฉัยเป็นกรณีๆไป

 

 

 

 

 

 

 โลกวัชชะ

คอลัมน์ ศาลาวัด


เรื่องโทษที่ไม่ร้ายแรงในทางพระธรรมวินัยสงฆ์ เราเรียกว่า โลกวัชชะ ทำให้โลกติเตียนพระ ชาวโลกตำหนิติเตียน

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายคำว่า โลกวัชชะ (อ่านว่า โล-กะ-วัด-ชะ) ว่า โทษทางโลก, อาบัติที่เป็นโทษทางโลก, ข้อเสียหายที่ชาวโลกติเตียนว่าไม่เหมาะสมกับสมณะ

โลกวัชชะ ใช้เรียกอาบัติหรือความผิดของพระภิกษุที่ชาวโลกตำหนิติเตียนว่าไม่เหมาะไม่ควรแก่สมณะ

ความผิดที่เป็นโลกวัชชะนั้น เช่น การทะเลาะวิวาท ทำโจรกรรม ฆ่าคนตาย ความผิดอย่างนี้ แม้คนทั่วไปทำ ก็ถูกตำหนิติเตียนเหมือนกับพระภิกษุไปทำ แต่พระภิกษุที่ได้ชื่อเป็นผู้วางตัวเหมาะสม ยิ่งต้องถูกตำหนิมากขึ้น

อีกประการ การกระทำบางอย่าง แม้ไม่เป็นความผิดตามพระวินัย แต่ก็เป็นโลกวัชชะ คือ ถูกตำหนิติเตียนได้ เช่น สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ส่งเสียงดังในที่ชุมนุมชน ไม่เอื้อเฟื้อแก่สตรีและเด็ก เป็นต้น

สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาความผิด ได้มีบัญญัติไว้ในพ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 เป็นกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยความผิดและวิธีลงโทษทางการปกครอง

โดยเจ้าสังกัด เจ้าของเขต มีอำนาจพิจารณาลงโทษแก่พระภิกษุหรือสามเณร เมื่อปรากฏว่าประพฤติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

(1) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่พระพุทธศาสนา ด้วยการ

(ก) ละเมิดพระวินัยอันเป็นโลกวัชชะ

(ข) บิดเบือนพระธรรมวินัยให้วิปริต หรือกล่าวตู่พระธรรมวินัย หรือตีความพระธรรมวินัยตามความคิดเห็นของตนเอง โดยไม่ยึดหลักคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา

หรือ (ค) ประพฤติอื่นใดที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหาย แก่พระพุทธศาสนา หรือให้เกิดการดูหมิ่นเหยียดหยามพระพุทธศาสนา

(2) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่การปกครองคณะสงฆ์ด้วยการ

(ก) ฝ่าฝืน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ กฎกระทรวง กฎ มส. ข้อบังคับระเบียบ คำสั่ง มติ หรือประกาศของ มส.

(ข) ฝ่าฝืนพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช หรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเหนือตนที่สั่งโดยชอบ

(ค) ประพฤติอื่นใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่การบริหารงานของคณะสงฆ์

ในกรณีพระภิกษุผู้กระทำผิดตาม (1) หรือ (2) เป็นพระสังฆาธิการ ให้เจ้าสังกัดหรือเจ้าของเขตใกล้ชิดที่ความผิดเกิดขึ้น เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยการลงโทษ

ทั้งนี้ โทษที่จะลงแก่พระภิกษุหรือสามเณรที่กระทำความผิดมี 4 สถาน คือ (1) ให้สละสมณเพศ (2) ตำหนิโทษ (3) ภาคทัณฑ์ (4) ว่ากล่าวตักเตือน

แต่หากเป็นโทษที่พระรูปนั้นประพฤติไม่เหมาะสมกับสมณสารูป หรือโลกวัชชะ โทษที่จะลงแก่พระภิกษุหรือสามเณรที่กระทำความผิด คือ การว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1 พ.ย 2506 คณะทหารที่มีนายพลเดือง วันมินห์เป็นผู้นำ ปฏิวัติล้มล้างยึดอำนาจในเวียดนามใต้โงห์ ดินห์เดียมและโงห์ ดินห์นูถูกสังหาร

 

 

 

     ความเสื่อมสลายของพระพุทธศาสนาในเวียดนาม

 

    

 

 

         ผมเกิดในยุคสงครามเวียดนามกำลังดุเดือด  เมื่อเริ่มอ่านคล่องเขียนคล่อง  และอ่านได้อย่างมีวิจารณญาณแล้ว  จึงชื่นชอบที่จะศึกษาเรื่องของสงครามเวียดนาม  เป็นชีวิตจิตใจ  จากสื่อหลากหลายชนิดที่พอหาได้ในขณะนั้น  เช่น  จากหนังสือ  ประวัติศาสตร์  สารคดี  นวนิยาย  ที่เคยอ่านยกตัวอย่างเช่น  กองร้อยปิศาจดำ  จงอางศึก  ไซง่อน (เขียนโดยแอนโทนี  เกร์  :  จิรา  สันติฤดี  แปล)  แหกค่ายนรกเดียนเบียนฟู  ฯลฯ  ถ้าเป็นภาพยนตร์จะดูภาพยนตร์ฝรั่งครับ (เพราะสมจริงกว่าภาพยนตร์ไทยเยอะเลย  เช่น  แรมโบ้  ทั้ง  ๓  ภาค, We Were Soldier (ชื่อไทย : เรียกข้าว่าวีรบุรุษ)  Platoon ( ชื่อไทย ก็  พลาทูน)  ฯลฯ    แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่ใช่คนกระหายสงครามเหมือนผู้นำประเทศสารขัณฑ์  ในขณะนี้

          ในช่วงที่จะเกิดสงครามเวียดนามนั้น  ประเทศเวียดนามใต้  โดยประธานาธิบดี  โง  ดินห์  เดียม  ผู้เผด็จการ  ได้ก่อกรรมทำเข็ญกับผู้นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมหันต์  ดังบทความที่จะนำมาเผยแพร่ให้ได้รับทราบ  ต่อไปนี้


 

          เวียดนาม หากย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 44 ปี หรือ พ.ศ. 2507 มีผู้นับถือศาสนาพุทธอยู่ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างกับประเทศไทยในเวลานั้น รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆเช่น ลาว กัมพูชา และพม่า แต่พุทธศาสนาในเวียดนามต้องพบกับการบีบคั้นเป็นอย่างมาก จากรัฐบาลที่เป็นกลุ่มตัวแทนของคาทอลิค และมีใบสั่งจากอเมริกา

          เหตุการณ์เลวร้ายในเวียดนามเกิดขึ้นในสมัยของ ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ผู้โค่นล้มระบอบกษัตริย์บ่าวได๋ และ ตั้งตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม โดยการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ร่วมกับกรุงวาติกัน(ศูนย์กลางคริสต์จักรคาทอลิค) จนกลายเป็นรัฐบาลคริสเตียนโรมันคาทอลิค โดยโง ดินห์ เดียม ได้แต่งตั้งญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดที่เป็นคาทอลิคด้วยกันเข้าร่วมรัฐบาล พร้อมกับให้ความสำคัญและให้สิทธิพิเศษแก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ รวมถึงประชาชนที่นับถือศาสนาคริสต์ ส่วนผู้นับถือศาสนาพุทธกลายเป็นบุคคลชั้นสอง

          หลังจาก โง ดินห์ เดียม ได้เป็นประธานาธิบดี ก็ได้ออกกฏหมาย และระเบียบต่างๆที่หักหาญจิตใจชาวพุทธ จนเกิดการต่อต้านจากพระสงฆ์ กลุ่มแม่ชี และชาวพุทธในเวียดนาม แต่เป็นการต่อต้านแบบอหิงสา เช่นการเดินขบวน แจกจ่ายแถลงการณ์ และอดอาหารประท้วง


กฏเหล็กที่ย่ำยีจิตใจชาวพุทธในเวียดนาม และต่อชาวพุทธทั่วโลกมีหลายรูปแบบ

 

ได้แก่ความพยายามที่จะให้ประเทศเวียดนามเปลี่ยนจากศาสนาพุทธมานับถือศาสนา คริสต์ด้วยวิธีการอันเหี้ยมโหด เช่น ส่งกำลังตำรวจเข้าปราบปราบฆ่าพระ แม่ชี และเผาวัด โดยใช้กลุ่มทหารตำรวจที่เป็นคาทอลิคด้วยกัน หรือใช้รถยนต์วิ่งเข้าหาฝูงชนขณะที่รวมตัวประท้วงตามท้องถนน ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีนับร้อยๆคน หรือไม่อนุญาตให้ออกหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนารวมทั้งให้งดออกรายการทางวิทยุ กระจายเสียงในวันสำคัญทางศาสนา ให้ประชาชนนำภาพพระเยซูที่ได้รับมาจากทางการ นำมาตั้งไว้ในบ้าน หากถูกทำลายจะได้รับโทษอย่างร้ายแรง การประกอบศาสนกิจในวัดจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลพร้อมต้องแจ้งด้วยว่าจะใช้ เวลานานแค่ไหน และจำนวนกี่คน

          รวมไปถึงดัดแปลงแก้ไขคำสอนในพุทธศาสนาเพื่อใช้เป็นแบบเรียนโดยเป็นคำสั่งของ โง ดินห์ ถึก (พี่ชาย โง ดินห์ เดียม) ซึ่งคุมกระทรวงศึกษาธิการด้วย

          ละที่น่าขันก็คือ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2506 เป็นเวลาที่ โง ดินห์ ถึก สังฆราช คริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ซึ่งเดินทางไปประชุมสังคายนาวาติกัน 2 ( VATICAN COUNCIL 2) กรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ได้แถลงต่อที่ประชุมวาติกันว่า "ประเทศเวียตนามเป็นประชากรของพระเจ้า ประชาชนเวียตนามล้วนนับถือในพระเจ้า และซื่อสัตย์ต่อสันตะปาปา" พร้อมกันนั้น โง ดินห์ ถึก ได้โทรเลขด่วน สั่งให้บาทหลวงใต้บังคับบัญชาของตนในเมืองเว้ ให้ประชาชนทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขนขึ้นที่หน้าบ้าน เพื่อจะได้เป็นข่าวทางสื่อมวลชน ยืนยันให้สันตะปาปา เชื่อถือ และมอบตำแหน่งคาร์ดินัล ให้กับโง ดินห์ ถึก


เหตุการณ์มีความตึงเครียดขึ้นตามลำดับทั่วทั้งประเทศเวียดนาม ทางการได้ส่งตำรวจทหารไปตรึงอยู่ตามวัดต่างๆ ที่มีการชุมนุมของชาวพุทธ โดยเฉพาะเมืองเว้ที่มีวัดสำคัญๆอยู่หลายวัด และเป็นที่ประทับของสังฆราชหรือประมุขของสงฆ์ในประเทศเวียดนาม


          พระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก วัยุ 73 ปี จากวัดเทียนมู่ ทนเห็นความทารุณโหดร้ายจากการใช้อำนาจของรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ ได้ จึงได้ประกาศอุทิศชีวิต เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนา โดยนั่งรถออสตินออกจากวัดเทียนมู่ ในคืนวันที่ 10 มิถุนายน 2506 ถึงกรุงไซ่ง่อนในเช้าวันที่ 11 มิถุนายน 2506 เพื่อร่วมประท้วงกับกลุ่มชาวพุทธ ที่กำลังเดินขบวนอยู่ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล

          หลังจากพระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ได้เขียนข้อเรียกร้องถึง 6 ข้อ ให้รัฐบาลหยุดทารุณกรรม ท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ 1,000 คนด้วยความสงบ เพื่อไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และพุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนขบวนผู้ประท้วงเสียชีวิตในวัน ที่ 8 พฤษภาคม 2506 ที่ผ่านมา (มีพระและนางชีเสียชีวิต 70 คน ชาวพุทธอื่นๆอีก 30 คน) จากนั้นขบวนชาวพุทธก็เดินต่อไปอย่างสงบ โดยมีรถนำพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง (กรุงไซ่ง่อน)

          พระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ก้าวลงจากรถไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีชาวพุทธล้อมเป็นวงใหญ่จากนั้นได้มีผู้หยิบถังน้ำมันเบนซิน 5 แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนร่างกายของพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นก็เอาไฟจุด ไฟลุกโชติช่วงท่วมร่างอยู่นานประมาณ 10 นาที ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นก็หงายหลังอย่างสงบ โดยไม่ได้แสดงอาการทุกขเวทนาทุรนทุรายแต่อย่างใด

          เหตุการณ์ที่กระทบต่อพุทธศาสนาในเวียดนามเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน นับว่ารุนแรงกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 16 , 6 ตุลา 19 หรือ พฤษภา 35 อย่างเทียบกันไม่ได้

          หลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ก็มีการปฏิวัติเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2506 โดยกลุ่มทหารยังเติร์กที่ทนดูรัฐบาลทำร้ายพระสงฆ์และชาวพุทธต่อไปไม่ได้ และการปฏิวัติครั้งนี้ได้รับไฟเขียวจากอเมริกา ในฐานะที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม มาตั้งแต่แรก


          ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม สังฆราชตริสเตียน โง เดียม คาน และพี่ชาย โง ดินห์ ถึก ถูกทหารยิงเสียชีวิต หลังหนีกบดานไปอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่งในย่านโชลอง ซึ่งเป็นย่านคนจีนในไซ่ง่อน ส่วนผู้ร่วมในคณะรัฐบาล ทหาร ตำรวจ ที่เข่นฆ่า พระ นางชี และประชาชนในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ถูกประหารชีวิตทั้งหมด

           ความผิดที่โค่นบัลลังค์กษัตริย์ นับว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ แต่กลับเหิมเกริมถึงขั้นจะเปลี่ยนศาสนาของคนทั้งประเทศ ดูจะเป็นความผิดต่อแผ่นดินอย่างไม่น่าให้อภัย แต่จุดจบของชีวิตก็ดูจะสาสมกับสิ่งที่ตนเองและญาติพี่น้องได้กระทำลงไป สำหรับในเมืองไทยหากใครคิดกระทำการที่หมิ่นสถาบัน คิดล้มล้างระบอบกษัตริย์ก็ขอให้ไปศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศเวียดนามเสียก่อน แล้วจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วชีวิตจะจบลงแบบใด

 

ขอขอบพระคุณ  บทความและภาพประกอบ  จากเว็บไซต์  โฟโต้ออนทัวร์  www.photoontour.com

                    

   

  

    

    

 

 

 

 

 

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
ต้อนรับแบบ ยิ่งใหญ่จริงๆ มีการถ่ายทอดสด ขณะที่ ทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์ ไปเคารพบรรพบุรุษที่จีน ด้วย ‪#‎直播泰国前总理英拉‬、他信梅州寻根# 他信、英拉及英拉的儿子今日在梅州丰顺塔下村与乡亲们欢聚一堂,更多清晰大图请见星暹之前微博。
http://www.weibo.com/ssdaily#_rnd1414766236390

http://www.weibo.com/p/1002063239862802/weibo






 
 
2 อดีตนายกรัฐมนตรี เคารพหลุมฝังศพบรรพบุรุษ สายคุณพ่อและสายคุณแม่ เมืองเหมยเซี่ยน มณฑลกวางโจว ประเทศจีน

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ว่าวันนี้ได้เดินทางมาที่เมืองเหมยเซี่ยน มณฑลกวางโจว พร้อมด้วยพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และเด็กชายศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ เพื่อมาเคารพหลุมฝังศพบรรพบุรุษที่เรียกว่ายายทวด และไปดูบ้านที่แม่เคยอยู่ตอนช่วงอายุ 9 ถึง 13 ขวบตอนตามคุณตามาอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนที่จะอพยพไปอยู่ที่ฮ่องกงและนั่งเรือจากฮ่องกงเพื่อมายังประเทศไทย

นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสพบญาติที่ยังเหลืออยู่ในรุ่นหลานซึ่งเป็นรุ่นเดียวกัน โดยพันตำรวจโททักษิณได้ใช้เวลาในการสืบหาสถานที่นี้ตั้งแต่ก่อนที่ท่านเป็นนายกฯจากคำบอกเล่าของคุณแม่และท่านก็เคยเดินทางมาแล้วครั้งหนึ่งสมัยที่มาเยือนเมืองจีนตอนเป็นนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญมาครั้งนี้มีข่าวดีเพิ่มคือมีโอกาสได้ไปเคารพหลุมฝังศพและบ้านที่เคยอยู่ของสายคุณพ่อซึ่งมีอายุเกือบ 300 ปี

ต้องขอขอบคุณฝ่ายทางการจีนที่ช่วยสืบหาให้จนพบต้นกำเนิดบรรพบุรุษสายทางคุณพ่อด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกที่บรรพบุรุษสายคุณพ่อและคุณแม่ มาจากมณฑลเดียวกัน อยู่ห่างกันเพียง 3 ชม หากเดินทางโดยรถยนต์
 
 
 








http://news.voicetv.co.th/thailand/127661.html

 

     

    

    

 

 

  

 

 



"ถาวร" แนะ สนช. มีอำนาจถอดถอน "สมศักดิ์" และ "นิคม" ชี้ การพิจารณาในวันที่ 6 พ.ย.นี้ ควรมีการถ่ายทอดสดผ่านจอตู้ ร้องให้ไม่มีการประชุมลับ...

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายถาวร เสนเนียม ในฐานะอดีตแกนนำกลุ่ม กปปส. กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันครบรอบ 1 ปี การชุมนุมของมวลมหาประชาชน เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศจากนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชัน และระบบเผด็จการรัฐสภา หนึ่งในข้อเรียกร้อง คือ การถอนถอด นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา รวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ป.ป.ช.ส่งเรื่องมายัง สนช. เพื่อพิจารณาถอดถอน แต่สมาชิก สนช.กลับมีแนวความคิดออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.เห็นว่าไม่มีอำนาจในการรับไว้พิจารณาถอดถอน เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว 2. เห็นว่า สนช.มีอำนาจรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา ตามอำนาจของรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ตามมาตรา 5 และ 6 ที่บัญญัติว่า ให้สนช.ทำหน้าที่ ส.ส. ส.ว. และรัฐสภา ย้ำ สนช.มีอำนาจ พ่วงถ่ายทอดทีวี

นายถาวร กล่าวต่อว่า ตนขอให้กำลังใจกับ สนช.ที่มีแนวคิดให้รับเรื่องถอดถอนบุคคลทั้ง 2 ไว้พิจารณา และขอให้สนช. ชุดที่เห็นว่าไม่มีอำนาจไว้พิจารณาให้ทบทวนใหม่ ขอตั้งข้อสังเกตว่า สนช.ในส่วนนี้ เข้ามาทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งที่ถูกอุปโลกน์โดย คสช. แต่กลับเกรงกลัวกลุ่มการเมืองใดหรือไม่ ดังนั้น ขอให้กลุ่มที่มีแนวคิดว่าจะต้องรับไว้พิจารณาทำความเข้าใจกับกลุ่ม สนช. ที่มีแนวคิดเห็นต่าง และการพิจารณาของ สนช.ในวันที่ 6 พ.ย.นี้ หากมีความจริงใจและเปิดเผย ขอเรียกร้องให้ไม่มีการประชุมลับและถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์วิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ช่อง 11 สถานีวิทยุรัฐสภา และสถานีโทรทัศน์รัฐสภา ขู่ไม่รับเรื่อง โดนฟ้องแน่ โดยสำหรับการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ สนช.นัดพิจารณาในวันที่ 12 พ.ย. ที่ยังไม่แสดงความรับผิดชอบใด ท่ามกลางความเดือดร้อนของชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวจนต้องผูกคอตาย

นายถาวร กล่าวอีกว่า ตนขอยืนยันว่า สนช.มีอำนาจถอดถอนตามกฎหมาย ป.ป.ช.ได้ และเป็นหน้าที่หลัก ซึ่งหาก สนช.ไม่รับเรื่องถอดถอนนายสมศักดิ์และนายนิคมไว้พิจารณา โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจ ก็อาจเผชิญหน้ากับมวลมหาประชาชนแน่ โดยตนจะยื่นเรื่องร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการถอดถอน สนช.ต่อไป และขอเรียกร้องให้ คสช.เตือนสติถึง สนช.ว่าต้องทำหน้าที่ในการเป็นตัวแทนประชาชน แม้จะถูกอุปโลกน์ก็ตาม ในการกำจัดทุจริต ถ้าไม่รีบทำวันนี้จะหมดโอกาส และการทำรัฐประหารจะเสียของ ดักทางอย่าคิดแบบศรีธนญชัยแค่เอาตัวรอด เมื่อถามว่า มีสนช.บางคน เห็นว่า การถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีส่อว่าทุจริตโครงการรับจำนำข้าวอาจจะล้มเหลว เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เคยนั่งเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) แต่มอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นประธานการประชุมแทน

"เป็นความคิดของคนที่ไม่ลงลึกถึงการตรวจสอบพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในการไต่สวนของ ป.ป.ช. และอย่าคิดเอาเอง ขอให้นึกภาพว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่นำนโยบายนี้มาใช้ และอย่าคิดแบบศรีธนญชัย เพื่อที่จะไม่ต้องการรับผิดชอบทางกฎหมาย คือไม่กล้าลงมติถอดถอน หรือรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา และหาก สนช.บางคนไม่กล้ารับเรื่องไว้ถอนถอด เพราะกลัวจะถูกฟ้องร้องภายหลังนั้น ก็ขอบอกว่าการทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกรัฐสภา การตีความแนวคำพิพากษาศาลฎีกาไม่ผิดกฎหมายอาญา เพียงแต่ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เป็นเรื่องแสดงความรับผิดชอบในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนที่เข้าไปเป็นสมาชิกรัฐสภา แต่มีโทษทางการเมือง" นายถาวร กล่าว

http://www.thairath.co.th/content/460470

ถ้าไม่กลัวว่าจะถูกฟ้องกลับข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (เพิ่มอำนาจตนเอง) จะลองดูก็ได้นะ

 

 

ถ้าไอ้นี่บอก สนช. ไม่มีอำนาจถอดถอน "ขุนค้อน-นิคม" สิ

ถึงจะแปลก

 

ความคิดเห็นที่ 2

 

ถรุ้ยยยยยยยยยยยยยยย...

เป็นนักกฎหมาย  เป็นถึงอดีตอัยการ  แต่คำที่สำรอกออกมาไม่มีเนื้อหาทางด้านกฎหมายสักนิด
ดันเอาม็อบกบฏมาขู่

การถอดถอน  มันอิงรัฐธรรมนูญ 50  มาตรา 270  
เมื่อ รธน.50 สิ้นสภาพ  เรื่องถอดถอนก็หมดไป
รธน.57  ไม่ได้ให้อำนาจเรื่องการถอดถอนแก่ สนช.  จะเอาอำนาจอะไรไปทำ

เรื่องถอดถอนนั้น  ตกตายสนิทไปแล้ว  เหลือแต่เรื่องทางอาญา  ว่ากันไป

นี่จะตะแบงเอาให้ได้  เพื่อหวังผลทางการเมือง
เพราะหวังผลทางการเมือง  บ้านเมืองถึงได้เละไปหมด

ไม่มีปัญญาเอาชนะคู่แข่งทางการเมือง   ไม่มีความสามารถเอาชนะใจประชาชน
เล่นการเมืองเพื่อหวังประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้องเท่านั้น

เลว



วันนี้  เป่าสาก   เพราะที่อ้างรักชาติ  เกลียดโกง   มันก็แค่วาทกรรมเพื่อทำลายคนอื่น

เลว
 
 

 

 

 

 

 

 

เกาหลีเหนือประหาร จนท.หลังแอบดูละครเกาหลีใต้

 

 

เรื่องโดย Nation TV

วันที่ 30 ตุลาคม 2557 18:35 น.32,726 views

สำนักข่าวยนฮัพของเกาหลีใต้ รายงานว่า นายคิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้สั่งประหารชีวิตเจ้าหน้าที่ของพรรคกรรมกร 10 คนด้วยการยิงเป้า ในความผิดฐานคอรัปชั่น, ดูละครของเกาหลีใต้ และกระทำผิดอื่นๆ

 

แม้ว่าความผิดฐานดูละครของเกาหลีใต้จะเทียบไม่ได้กับความผิดฐานทรยศต่อชาติ แต่ก็ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง และนักเคลื่อนไหวระบุว่า แม้ว่าเกาหลีเหนือจะห้ามประชาชนดูละครทีวีและภายนตร์จากเกาหลีใต้, จีน และฮอลลีวู้ด แต่ชาวเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ก็ยังคงแอบดูแม้จะรู้ว่าหากถูกจับได้จะถูกลงโทษอย่างหนักก็ตาม

 

 

 เมื่อไม่นานมานี้ ดูข่าวทีวี
เห็น รัฐบาลเกาหลีเหนือ กำหนดให้ประชาชนตัดผม ไว้ทรงผม ที่กำหนดให้
ผญ มีสิบกว่าแบบ ส่วน ผช น้อยกว่านั้น ไม่ถึงสิบแบบ ห้ามไว้ทรงนอกเหนือจากนี้ แน่นอนห้ามทำสีผม ผชห้ามไว้ผมยาว
ในข่าว เขาเอาภาพประกอบให้ดู
เป็นทรงที่ฮิตที่บ้านเรา ประมาณ 30 ปีก่อน

 

 ห้ามติดต่อกับคนต่างชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐควบคุมอยู่

 ไม่รู้ว่าจริงแค่ไหน แต่เคยอ่านเจอว่าถ้าบ้านไฟไหม้ สิ่งที่ต้องนำออกมาให้ได้คิอรูปท่านผู้นำ ถ้านำออกมาไม่ได้จะมีโทษ

 อินเตอร์เน็ต เป็นระบบอินทราเน็ต ใช้ได้เฉพาะในเกาหลีเหนือเท่านั้น

 

ที่รู้ๆคือ มีทีวีช่องเดียว  
เปิดสถานี เวลา 17:00น. - 23:00น. (ตามเวลาเกาหลีเหนือ) หรือ 15:00น.-21:00น. ตามเวลาในไทย
ยกเว้น วันอาทิตย์ และวันอื่นๆ อีกอาทิตย์ละ 1 วัน  เปิดตั้งแต่เวลา 09:00 น.(หรือ 07:00น. ตามเวลาในไทย)

 

เคยอ่านกระทู้ห้องบลู คนที่ไปเที่ยวต้องไปถ่ายรูปที่อนุสาวรีย์ท่านผู้นำ ต้องมีรูปในท่าโค้งคำนับแสดงความเคารพอย่างสูง และรูปที่ถ่ายอนุสาวรีย์ท่านผู้นำต้องติดเต็มตัว ห้ามหัวขาด แขนขาด ไม่งั้นคนถ่ายเนี่ยจะชะตาขาดแทน  T T , ชาวบ้านจะได้รับอาหารแบบปันส่วน (ซึ่งไม่พอกิน) และเสื้อผ้าแจกให้ปีละ 2 ชุด, ประชาชนไม่มีสิทธิ์มีรถเป็นของตัวเอง แต่ต้องทนใช้รถเมล์ที่เก่าบุโรทั่ง สภาพไม่น่าจะวิ่งไหว, ในเปียงยางเมืองหลวง ซึ่งทันสมัยสุด เป็นที่อยู่ของพวกข้าราชการ ชนชั้นนำที่คัดเลือกแล้วเท่านั้น, การดูทีวีหรือฟังวิทยุต่างประเทศ ผิดกฎหมาย ...และอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีอยู่จริงในโลกใบนี้ ถ้าทนรับความหดหู่ไหว หาเล่มนี้มาอ่านเลยค่ะ "หนีเกาหลีเหนือ" สนพ.สันสกฤต เราอ่านแล้วนอนไม่หลับไปอีกหลายวัน

  

 

 

 

 

 

กม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่


 



 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 
แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
ericlafforgue.com

            แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ภาพของช่างภาพชาวฝรั่งเศสที่กู้กลับมา ก่อนนำมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้รับรู้

            ประเทศเกาหลีเหนือ เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศคอมมิวนิสต์ที่มีความเป็นเผด็จการที่สุด ควบคุมประชาชนด้วยกฎเหล็ก และปิดตัวเองจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง จนทำให้ถูกเรียกว่าเป็นประเทศหลังม่านเหล็กที่หลายคนอยากเข้าไปศึกษาว่า เบื้องหลังฉากที่น่าเกรงขามที่คนภายนอกรับรู้นั้น แท้จริงแล้วภายในประเทศเป็นอย่างไรกันแน่

            จนกระทั่งเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2014 นายเอริค ลาฟฟอร์ก ช่างภาพชาวฝรั่งเศสผู้หาญกล้า ได้แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ นำภาพที่เขาได้ถ่ายขณะเดินทางไปเกาหลีเหนือเมื่อเดือนกันยายน 2012 มาเผยแพร่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปเหยียบประเทศเกาหลีเหนือได้อีก โดยภาพเหล่านี้แม้จะถูกสั่งลบทิ้งหมดแล้วจากทางการเกาหลีเหนือ แต่ด้วยเทคโนโลยีในการกู้ภาพ ทำให้มีภาพบางส่วนหลุดออกมาให้เห็น

            สำหรับภาพถ่ายชุดนี้นับว่าเป็นภาพถ่ายที่แหวกม่านเหล็กของเกาหลีเหนือตรงที่เป็นการฝ่าฝืนข้อจำกัดในการถ่ายภาพของเกาหลีเหนือที่ระบุว่า ช่างภาพต้องถ่ายภาพสื่อให้เห็นภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศเท่านั้น เช่น ภาพทหารก็จะต้องให้เห็นถึงความเข้มแข็ง และแสนยานุภาพของกองทัพ ห้ามถ่ายภาพที่สะท้อนถึงความยากจนหรืออดอยากของประชาชน เป็นต้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างที่ได้เห็นอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม ดังภาพที่คุณจะได้เห็นต่อไปนี้


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 

           
            ภาพทหารกำลังนอนหลับพักผ่อนกลางทุ่งหญ้า และแน่นอนว่าภาพนี้ถูกแบนจากทางการ


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่

 

            ภาพหญิงสาวท่ามกลางเหล่าทหาร ซึ่งก็ไม่รอดโดนแบนอีกเช่นกัน


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่

 

            ทหารเกาหลีเหนือเป็นหนึ่งในกองกำลังที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลก แต่หากเราเดินทางไปที่นี่จะพบว่า พวกเขาก็ทำงานต่ำต้อย อย่างเช่น ช่วยเหลือเกษตรกรด้วยเช่นกัน


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ภาพแบบนี้มักจะเห็นได้ชินตานอกเขตเมือง


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ระบบรถไฟใต้ดินของเปียงยางถือว่าได้ลึกที่สุดในโลก เพราะมันถูกใช้เป็นที่หลบระเบิดด้วยเช่นกัน มีคนเห็นเขาถ่ายภาพนี้และสั่งให้ลบทิ้งทันที เนื่องจากภาพนี้ถ่ายติดอุโมงค์รถไฟ


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ทางการเกาหลีเหนือไม่ชอบภาพทำนองนี้เอามาก ๆ เพราะมันสะท้อนให้เห็นความยากจนของประเทศ แม้เขาจะอธิบายว่าปัญหาความยากจนยังคงพบเห็นได้ในทุกที่ทั่วโลกก็ตาม


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ตลาดมืดถูกสั่งห้ามในเกาหลีเหนืออย่างเคร่งครัด แต่ตลาดสีเทายังคงพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศนี้ ผู้ค้าได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการขายบุหรี่และขนม


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ในวันเฉลิมฉลองผู้นำคิม จอง อิล ชาวเกาหลีเหนือหลายพันคนเข้าคิวเพื่อแสดงความเคารพต่อรูปปั้นของอดีตผู้นำ


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            เปียงยางเปรียบเสมือนเมืองเชิดหน้าชูตาของเกาหลีเหนือ บรรดาอาคารสิ่งปลูกสร้างที่นี่ได้รับการดูแลอย่างดีจากด้านนอก แต่หากคุณได้โอกาสที่มีอยู่น้อยนิดในการเข้าไปดูภายใน ก็จะเห็นความรกร้างได้เด่นชัด


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 

 

            แม้ว่าเกาหลีเหนือจะเริ่มมีการใช้รถยนต์อย่างแพร่หลายแล้ว แต่เด็ก ๆ ก็ยังคงออกมาเล่นกันกลางถนนเหมือนกับสมัยที่ยังไม่มีรถสักคัน


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ในคืนหนึ่งขณะที่รถบัสกำลังพาเขากลับโรงแรม แต่ต้องเลี่ยงไปอีกเส้นทางหนึ่ง เนื่องจากถนนปิด เมื่อผ่านตึกเก่า ๆ ไกด์บอกกับเขาว่าห้ามใช้แฟลชถ่ายรูป เพราะอาจจะทำให้ผู้คนแตกตื่นได้


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            เมื่อเดินทางไปยังบ้านของคนในชนบท อ่างน้ำที่เห็นในห้องน้ำแสดงให้เห็นว่าชาวเมืองยังคงต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก


 

 แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอยู่จริง ชาวเมืองจำเป็นต้องได้รับอนุญาตให้เดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเสียก่อน และบนทางหลวงคุณจะได้พบเห็นว่า แม้แต่ทหารก็ยังต้องโบกรถอาศัยไปกับคนอื่นอยู่เลย


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            การถ่ายภาพสะท้อนความยากจนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่การถ่ายภาพที่สะท้อนความมั่งคั่งเป็นข้อห้ามยิ่งกว่า ในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ในสวนสาธารณะ เขาได้พบกับรถคันหนึ่งซึ่งเป็นของชนชั้นสูงในเปียงยางที่จอดไว้ขณะที่ไปทานบาร์บีคิว


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            การถ่ายภาพทหารในอิริยาบถพักผ่อนเป็นสิ่งต้องห้าม


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ภาพที่สะท้อนถึงภาวะขาดสารอาหารของผู้คนในประเทศนี้ก็ถูกห้ามเช่นกัน


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            คุณสามารถหาซื้ออาหารและเครื่องทุกประเภท แม้แต่น้ำแร่เอเวียง ได้ที่ซูเปอร์มาร์เกต 2 แห่งในเปียงยางที่จ่ายได้ทั้งสกุลเงินยูโรและวอน แต่มีเฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้นที่มาซื้อของที่นี่


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            พนักงานก่อสร้างที่นี่ทำงานเสี่ยงอันตราย เนื่องจากมีมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานต่ำ


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            คุณสามารถถ่ายภาพการแสดงสัตว์ในสวนน้ำได้ โดยที่ไม่ติดทหาร แต่ดูเหมือนว่ามันคงเป็นไปได้ยากเพราะผู้ชมส่วนใหญ่เป็นคนในเครื่องแบบถึง 99 เปอร์เซ็นต์


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่มีความหวาดระแวงสูงมาก เพราะแม้แต่ภาพกำลังนั่งพักผ่อน พวกเขาก็กลัวว่าจะถูกนำไปอ้างว่าเป็นภาพคนไร้บ้าน


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ภาพนี้ถูกสั่งแบน เพราะไม้กวาดปรากฏอยู่ตรงฐานรูปปั้นของท่านผู้นำคิมอิลซุง


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ไกด์โกรธมาก หากภาพนี้ถูกเผยแพร่ในโลกตะวันตก ซึ่งจะถูกมองได้ว่า คนเกาหลีเหนือกินหญ้าจากสวนสาธารณะ


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            เด็กเกาหลีเหนือส่วนใหญ่มีโอกาสได้หัดพิมพ์ดีดบนแป้นคีย์บอร์ด ทั้ง ๆ ที่เครื่องคอมไม่ได้ถูกเปิดใช้งาน


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ภาพรูปปั้นของท่านผู้นำคิมภาพนี้ถูกแบนแน่นอน เพราะการถ่ายภาพจากข้างหลังเป็นสิ่งที่หยาบคายมาก


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ประชาชนต่อแถวยาวเพื่อรอขึ้นรถบัสไปร่วมงานวันกีฬาแห่งชาติของเกาหลีเหนือ


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหากรถบัสเสียกลางทาง


 

แหวกม่านเหล็กเกาหลีเหนือ ชมภาพต้องห้ามที่ถูกนำมาเผยแพร่
 


            ในศูนย์ศิลปะของเปียงยางเกิดไฟดับบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่คนเกาหลีเหนือก็ไม่อยากจะให้ประชาชนรู้ จึงอ้างว่าเป็นเพราะคำสั่งบอยคอตต์ของสหรัฐอเมริกา ทำให้ไม่มีเงินหมุนเวียนในประเทศและเกิดปัญหาไฟตก
 

 

 

 

 

 

 

 

 

          วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2557 เป็นวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12

 

 

          

                                    

 

                                                     ทุกข์ที่เกิดจากหนี้

 

ภิกษุ ท. ! ความยากจน เป็นทุกข์ของคน
ผู้บริโภคกามในโลก.
ภิกษุ ท. ! คนจนเข็ญใจไร้ทรัพย์สมบัติ ย่อมกู้หนี้,
การกู้หนี้ นั้นเป็นทุกข์ของคนบริโภคกามในโลก.
ภิกษุ ท. ! คนจนเข็ญใจไร้ทรัพย์สมบัติ กู้หนี้แล้ว
ต้องใช้ดอกเบี้ย, การต้องใช้ดอกเบี้ย นั้นเป็นทุกข์ของ
คนบริโภคกามในโลก.


ภิกษุ ท. ! คนจนเข็ญใจไร้ทรัพย์สมบัติ กู้หนี้แล้ว
ต้องใช้ดอกเบี้ย ไม่อาจใช้ดอกเบี้ยตามเวลา เจ้าหนี้ก็ทวง,
การถูกทวงหนี้ นั้นเป็นทุกข์ของคนบริโภคกามในโลก.
ภิกษุ ท. ! คนจนเข็ญใจไร้ทรัพย์สมบัติ ถูก
ทวงหนี้อยู่ ไม่อาจจะใช้ให้ เจ้าหนี้ย่อมติดตาม, การถูกติดตาม
นั้นเป็นทุกข์ของคนบริโภคกามในโลก.


ภิกษุ ท. ! คนจนเข็ญใจไร้ทรัพย์สมบัติ ถูก
ติดตามอยู่ไม่อาจจะใช้ให้ เจ้าหนี้ย่อมจับกุม, การถูกจับกุม
นั้นเป็นทุกข์ของคนบริโภคกามในโลก.
ภิกษุ ท. ! ความยากจน ก็ดี, การกู้หนี้ ก็ดี,
การต้องใช้ดอกเบี้ย ก็ดี, การถูกทวงหนี้ ก็ดี, การถูกติดตาม
ก็ดี, การถูกจับกุม ก็ดี,
ทั้งหมดนี้ เป็นทุกข์ของคนบริโภคกามในโลก.

 

ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น :
ความไม่มีศรัทธา -
หิริ -
โอตตัปปะ -
วิริยะ -
ปัญญา,
ในกุศลธรรม มีอยู่แก่ผู้ใด;
เรากล่าวบุคคลผู้นั้นว่า
เป็นคนจนเข็ญใจไร้ทรัพย์สมบัติ ในอริยวินัย.


ภิกษุ ท. ! คนจนชนิดนั้น
เมื่อไม่มีศรัทธา -
หิริ -
โอตตัปปะ -
วิริยะ -
ปัญญา,
ในกุศลธรรม เขาย่อมประพฤติ
กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต,
เรากล่าว การประพฤติทุจริต ของเขานี้ว่าเป็น
การกู้หนี้.
เพื่อจะปกปิดกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตของเขา
เขาตั้งความปรารถนาลามก ปรารถนาไม่ให้ใครรู้จักเขา
ดำริไม่ให้ใครรู้จักเขา พูดจาเพื่อไม่ให้ใครรู้จักเขา ขวนขวาย
ทุกอย่างเพื่อไม่ให้ใครรู้จักเขา,
 

เรากล่าวการปกปิดความทุจริตอย่างนี้ของเขานี้
ว่าเป็น ดอกเบี้ยที่เขาต้องใช้.
เพื่อนพรหมจารีผู้มีศีลเป็นที่รัก พากันกล่าว
ปรารภ เขาอย่างนี้ว่า “ท่านผู้มีอายุนี้ทำอะไร ๆ (ทุจริต)
อย่างนี้ มีปกติประพฤติกระทำอะไร ๆ (ทุจริต) อย่างนี้”,
เรากล่าว การถูกกล่าวอย่างนี้ ว่าเป็นการถูกทวงหนี้.
เขาจะไปอยู่ป่าก็ตาม อยู่โคนไม้ก็ตาม อยู่เรือนว่าง
ก็ตาม อกุศลวิตก อันลามกประกอบอยู่ด้วยความร้อนใจ
ย่อม เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจเขา,
เรากล่าวอาการอย่างนี้ ว่าเป็น การถูกติดตาม
เพื่อทวงหนี้.


ภิกษุ ท. ! คนจนชนิดนี้
ครั้นประพฤติกาย –วจี – มโนทุจริตแล้ว
ภายหลังแต่การตาย เพราะการแตก
ทำลายแห่งกาย ย่อม ถูกจองจำอยู่ในนรก บ้าง
ในกำเนิดเดรัจฉาน บ้าง.


ภิกษุ ท. ! เราไม่มองเห็นการจองจำอื่นแม้
อย่างเดียวที่ทารุณอย่างนี้เจ็บปวดอย่างนี้ เป็นอันตราย
อย่างนี้ ต่อการบรรลุโยคักเขมธรรมอันไม่มีธรรมอื่น
ยิ่งกว่าเหมือนการถูกจองจำในนรก หรือในกำเนิด
เดรัจฉานอย่างนี้.(คาถาผนวกท้ายพระสูตร)
ความยากจนและการกู้หนี้ ท่านกล่าวว่าเป็น
ความทุกข์ในโลก.


คนจนกู้หนี้มาเลี้ยงชีวิต ย่อมเดือดร้อน เพราะ
เจ้าหนี้ติดตามบ้าง เพราะถูกจับกุมบ้าง.
การถูกจับกุมนั้น เป็นความทุกข์ของคนบูชา
การได้กาม.
ถึงแม้ในอริยวินัยนี้ก็เหมือนกัน :
ผู้ใดไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ
สั่งสมแต่บาปกรรม กระทำกายทุจริต - วจีทุจริต
- มโนทุจริต
ปกปิดอยู่ด้วยการกระทำทางกาย ทางวาจา ทาง
จิต เพื่อไม่ให้ผู้ใดรู้จักเขา,
 

ผู้นั้น พอกพูนบาปกรรมอยู่เนืองนิตย์ ในที่นั้น ๆ.
คนชั่วทำบาปกรรม รู้สึกแต่กรรมชั่วของตน
เสมือนคนยากจน กู้หนี้มาบริโภคอยู่ ย่อมเดือดร้อน.
ความตริตรึกที่เกิดจากวิปฏิสาร อันเป็นเครื่อง
ทรมานใจ ย่อมติดตามเขา ทั้งในบ้านและในป่า.
คนชั่วทำบาปกรรม รู้สึกแต่กรรมชั่วของตน
ไปสู่กำเนิดเดรัจฉานบางอย่างหรือว่าถูกจองจำอยู่ในนรก.
การถูกจองจำนั้นเป็นทุกข์ ชนิดที่ธีรชนไม่เคยประสบเลย.............
ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๙๒/๓๑๖.

 

อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.

 

 

 

 

 

  

 

  

                           ผลวิจัยชี้ งานแต่งยิ่งแพงยิ่งเสี่ยงเลิก

 

 

 ผ

ลวิจัยชี้ งานวิวาห์ ยิ่งหวือหวาเท่าไหร่ มีสิทธิ์ทำให้ชีวิตแต่งงานล่มด้วยการหย่าร้างเท่านั้น ด้วยสาเหตุความเครียดจากภาวะหนี้สินในการจัดงาน

วันนี้ (27 ต.ค. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ผลการวิจัย แอนดรูว์ ฟรานซิส และฮูโก ไมลอน แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอมอรีของสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนเงินที่ใช้ในการจัดงานแต่งงานและความยืนยาวในชีวิตสมรส โดยการใช้แบบสอบถามสำรวจคู่แต่งงานชาวอเมริกันจำนวน 3,000 คน โดยไม่รวมถึงผู้ที่เป็นรักร่วมเพศและผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี พบว่า ยิ่งถ้าคู่แต่งงานใช้เงินในการจัดพิธีมงคลสมรสมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสหย่าร้างมากขึ้นเท่านั้น

 


            
แหวนหมั้นหญิง

 

 

แรนดอล โอลสัน ผู้ช่วยนักวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตท สหรัฐอเมริกาได้นำข้อมูลจากรายงานดังกล่าวมาจัดทำเป็นกราฟเปรียบเทียบ

ซึ่ง คู่รักที่ใช้เงินในการจัดงานแต่งงานมากกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 660,000 บาท) มีโอกาสที่จะหย่าร้างมากถึง 46 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้ที่ใช้เงิน 10,000-20,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 330,000-660,000 บาท) มีโอกาสหย่าร้างน้อยลงถึง 29 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ คนที่ใช้เงินระหว่าง 1,000-5,000 ดอลลาร์สหรัฐ (33,000 – 165,000 บาท) มีโอกาสที่จะเลิกรากันเพียง 18 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวพบว่า ภาระทางการเงินที่เกิดขึ้นหลังจากการจัดงานแต่งงานที่หรูหราฟุ่มเฟือยได้ก่อให้เกิดความเครียดเนื่องจากภาระหนี้สินที่ตามมา และจะทำให้ชีวิตสมรสยุติลงในที่สุด

นอกจากนี้การแต่งงาน ที่หรูหรายังเป็นสัญญาณของ “ความเข้าใจผิด” ต่อวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการใช้ชีวิตร่วมกัน เช่น ผู้ชายมีโอกาสที่จะหย่าร้างมากขึ้นเพราะไปให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกของคู่สมรสมากเกินไป

ทั้งนี้ ในกรณีเดียวกันเกิดกับผู้หญิงที่มองแต่ความร่ำรวยของฝ่ายชาย ดังนั้นในงานวิจัยแนะนำทางออกคือก่อนที่จะแต่งงานควรจะคบหาดูใจกันมากกว่าสามปี

Mthai News

ขอบคุณ BBC Thai

 

 

7 ธรรมเนียมและที่มาของงานแต่ง ไม่รู้ไม่ได้แล้ว

 

วางแผนแต่งงาน ดูไอเดียต่างๆ ได้จากมือถือเลย

โพสต์เมื่อ : 13 สิงหาคม 2557 เวลา 17:20:36

แต่งงาน
ที่มาและธรรมเนียมการปฏิบัติต่าง ๆ ของงานแต่งงานที่ควรรู้




          แม้ฉากหน้าของงาน
แต่งงานจะเต็มไปด้วยความงดงามและบรรยากาศแสนโรแมนติกอย่างที่ทุกคนได้เห็นและสัมผัสกันบ่อย ๆ แต่ใครเลยจะรู้ว่างานแต่งงานมีอะไรมากมายซ่อนอยู่มากกว่าการเป็นพิธีมงคลสมรสเท่านั้น อีกทั้งหลายครั้งที่บ่าวสาวหลงประเด็นการจัดงานแต่งงานไป ดังนั้น เว็บไซต์ All Women Stalk ก็เลยรวบรวมงานแต่งงานแบบดั้งเดิม ที่มา และธรรมเนียมการแต่งงานสมัยเก่ามาให้อ่านกัน เพื่อเป็นเกร็ดความรู้และเข้าถึงจุดประสงค์งานแต่งงานกันมากขึ้น

 

แต่งงาน


1.
เพื่อนเจ้าสาว

          เรื่องของ
เพื่อนเจ้าสาวและจุดประสงค์ดั้งเดิมในเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจสำหรับการรักษาธรรมเนียมของงานแต่งงานมากทีเดียว ถึงแม้ในตอนนี้จะให้ความสำคัญกับการเลือกชุดของพวกเธอมากกว่าไปแล้วก็ตาม เพราะเมื่อย้อนกลับไปก็จะเห็นว่าชุดของเพื่อนเจ้าสาวมีความใกล้เคียงกับชุดเจ้าสาวเป็นอย่างมาก เนื่องจากจุดประสงค์ที่แท้จริงของการแต่งตั้งเพื่อนเจ้าสาวขึ้นมา ก็เพื่อทำให้วิญญาณ
ร้ายสับสน พร้อมกับปกป้องไม่ให้เจ้าสาวตกอยู่ใต้คำสาปของพวกมันนั่นเอง

แต่งงาน


2. ชุดแต่งงานสีขาว

          เนื่องจากในปี ค.ศ. 1840 สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรได้แสดงให้เห็นถึงความงดงามของชุดแต่งงานสีขาว นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาหญิงสาวทั่วโลกก็เลยนิยมเลือกสวมชุดแต่งงานสีขาวกันเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งสีขาวยังเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์
ไร้เดียงสา และพรหมจรรย์ ดังนั้น กระแสของชุดแต่งงานสีขาวก็เลยยังคงอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน

แต่งงาน


3. แหวนแต่งงาน

          เมื่อย้อนกลับไปครั้ง
กรุงโรมยังรุ่งเรือง เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ชายสวมแหวนให้กับผู้หญิงมันก็จะหมายความว่า เขาผู้นั้นได้เป็นเจ้าของหญิงที่รักโดยสมบูรณ์ เนื่องจากในสมันนั้นแหวนเป็นสัญลักษณ์ของการครอบครอง อีกทั้งยังเชื่อว่าเส้นเลือดดำของนิ้วนางข้างซ้ายเชื่อมต่อกับหัวใจโดยตรง ก็เลยเป็นเหตุที่ช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมแหวนแต่งงานต้องสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายเท่านั้น

4. ปาร์ตี้สละโสด

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าธรรมเนียมการเลี้ยงฉลองก่อนสละโสดจะมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล และก่อกำเนิดขึ้นโดยชาว
สปาร์ตัน
โดยในคืนก่อนที่ชายชาวสปาร์ตันจะเข้าพิธีแต่งงาน พวกเขาจะมีการจัดปาร์ตี้ให้กับชายคนนั้นแบบชายโสดเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเชื่อหรือจุดประสงค์อื่นใด นอกเสียจากการเลี้ยงฉลองกันในหมู่เพื่อนฝูงเหมือนดังเช่นปาร์ตี้สละโสดในยุคปัจจุบันเท่านั้น

แต่งงาน


5. ช่อดอกไม้เจ้าสาว

          ในอดีตช่อดอกไม้เจ้าสาวทำจาก
สมุนไพรและพืชที่มีความเผ็ดร้อน เช่น กระเทียมหรือผักชีลาวเท่านั้น ส่วนสาเหตุก็เพื่อปัดรังควานจากการรบกวนของวิญญาณชั่วร้าย พร้อมกับปกป้องเจ้าสาวจากโรคภัยต่าง ๆ เท่านั้น โชคดีที่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปวัสดุที่นำมาประกอบเป็นช่อดอกไม้เจ้าสาวเริ่มมีความสวยงาม และดีไซน์ที่เก๋ไก๋มากขึ้นจากการนำดอกไม้ที่มีสีสวย ๆ หรือกลิ่นหอม ๆ มาจัดช่อนั่นเอง

6. การโปรย
ข้าวสาร

          นอกจากนี้ ในอดีตเมล็ดข้าวเป็นสัญลักษณ์ของเมล็ดแห่งชีวิต ดังนั้น พวกเขาก็เลยใช้การโปรย
ข้าวสารหลังจากที่บ่าวสาวเดินออกมาจากโบสถ์ เพื่อเป็นการอวยพรให้ทั้งคู่โชคดี ประสบความสำเร็จในการครองคู่ และมีชีวิตแต่งงานที่สมบูรณ์พูนสุข ซึ่งธรรมเนียมนี้ก็ยังนิยมปฏิบัติกันมาถึงปัจจุบัน แต่อาจไม่ค่อยได้เห็นการโปรยข้าวสารบ่อยนัก เพราะส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นการโปรยริบบิ้นหรือกระดาษสีแทน

7. อุ้มเจ้าสาวข้ามธรณีประตู

          ส่วนการอุ้มเจ้าสาวข้ามธรณีประตูก็แบ่งออกเป็น 2 จุดประสงค์ด้วยกัน โดยคนส่วนหนึ่งก็ทำเพื่อปกป้องเจ้าสาวของพวกเขาจาก
วิญญาณ
ชั่วร้าย ในขณะที่ผู้คนบางกลุ่มก็ทำเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสาวสูญเสียพรหมจรรย์เร็วเกินไป แต่สำหรับในตอนนี้คนส่วนใหญ่มองว่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและโรแมนติกที่สุดไปแล้ว

          องค์ประกอบต่าง ๆ ของงานแต่งงานล้วนมีที่มาที่น่าสนใจด้วยกันทั้งนั้น อีกทั้งยังช่วยไขข้อข้องใจเรื่องราวและที่มาของงานแต่งงานในหลาย ๆ ส่วนได้เป็นอย่างดีด้วย ก็หวังว่าที่มาและธรรมเนียมการปฏิบัติต่าง ๆ ของงานแต่งงานที่เว็บไซต์
All Women Stalk ได้นำเสนอไปทั้งหมดนี้ จะช่วยให้บ่าวสาวทุกคู่เข้าถึงจุดประสงค์ของการจัดงานแต่งงานกันมากขึ้นนะคะ

 

 


เจ้าสาวที่ประเทศ
ปากีสถาน จะต้องเพ้นท์เฮนน่าที่มือ ในช่วงเทศกาล mehndi ก่อนจะถึงวันแต่งงาน เพื่อความโชคดีและเป็นมงคล


 


บ่าวสาวชาวเกาหลีจะต้องแต่งชุดแต่งงานแบบโบราณที่มีอายุเก่าแก่ย้อนหลังไปก่ว่า 2,000 ปี และเจ้าบ่าวจะต้องแบกเจ้าสาวขึ้นหลังด้วย


 


เจ้าสาวชาวมอร็อคโค จะต้องประดับประดาเครื่องเพชรนิลจินดาชนิด "จัดหนัก" ท่วมตัวกันเลยทีเดียวในวันแต่งงาน และทั้งเจ้าสาวกับแขกผู้หญิงทั้งหมดในงานจะต้องเพ้นท์มือด้วยเฮนน่าทุกคน


 


ที่สก็อตแลนด์ เพื่อนเจ้าบ่าวและแขกเหรื่อผู้ชายทั้งหมดในงานแต่ง จะแต่งชุดประจำชาติ คือกระโปรงลายสก็อตไปร่วมงาน


 


ที่โยรูบ้า ประเทศไนจีเรีย เจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าว จะต้องหมอบคว่ำ ก่อนที่เจ้าสาวจะออกมาพร้อมผ้าคลุมหน้า

 


คู่แต่งงานชาวโบลิเวียจะต้องไปเฉลิมฉลองกันที่ริมทะเลสาบ Titicaca โดยมีพวงมาลัยดอกไม้โยงระหว่างคู่บ่าว-สาวตลอดเวลา


 


ประเพณีโยนช่อดอกไม้เจ้าสาวจากอเมริกา เชื่อกันว่าสาวโสดผู้รับช่อดอกไม้ได้จะเป็นผู้ได้แต่งงานคนต่อไป


 


คู่บ่าวสาวชาวญี่ปุ่นจะต้องดื่มเหล้าสาเก 9 จอก ที่ศาลเจ้าชินโต




 


ตามประเพณีดั้งเดิมของจีน เจ้าสาวจะไปที่บ้านเจ้าบ่าวโดยนั่งเกี้ยวไป


 


เค้กแต่งงานแบบฝรั่งเศสลักษณะคล้ายๆ เอแคลร์ นำมาตกแต่งเป็นชั้นสูงเหมือนภูเขาไฟ เรียกว่า croquembeuche


 


คู่แต่งงานชาวรัสเซียจะปล่อยนกพิราบร่วมกันเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของพวกเขา


 


ประเพณียกน้ำชาให้กับคนเฒ่าคนแก่ในครอบครัวของชาวจีน-มาเลย์ ในพิธีแต่งงาน
 

 

 

 

 

 

 ธุรกิจโรงงานผลิตเสื้อผ้าของไทย

 เมื่อเจอมาตรการภาษีจากยุโรปเต็มๆในต้นปี 2558 การแก้ไขง่ายๆก็คือต้องไปพึ่งพิงฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน
แน่นอนว่า เราไปเพิ่มเงินเพิ่มงานเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เพื่อนบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้วสินค้าภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร รวมทั้งการประมง พวกเขาจะมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร หรือสินค้าเหล่านี้
ชื่อเสียง คุณภาพและความมั่นใจของต่างประเทศ ไม่จำเป็นจะต้องดิ้นรนขวนขวายกำแพงภาษีอะไรแล้ว

จากข่าวที่พอจะสรุปได้ โรงงานผลิตเสื้อผ้าของไทยต้องไปพึ่งฐานผลิตจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและเวียดนาม
ตอนนี้ก็ประมาณ 20 กว่าเจ้า อีก 30 กว่าเจ้าก็จะตามไปไม่เกินสิ้น พ.ย. แล้วหาก ลาวและกัมพูชาพร้อมเปิดรับล่ะ
แรงงานเขาก็ถูกกว่า คุณภาพก็อยู่ที่การบริหารจัดการ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเสี้ยนเศรษฐกิจ การคลัง พาณิชย์
การอุตสาหกรรม การต่างประเทศของรัฐบาล ตีนปืน นี้ พวกเขาคิดอะไรอยู่นอกเหนือจากสิ่งโง่ๆที่ทำอยู่
เพียงเพื่อให้ได้รับการ ยอมรับ จากคนในประเทศเห็นว่า รัฐบาลตัวเองทุ่มเทช่วยแบบสิ้นคิดแล้ว

แน่ๆต้นปี 58
กลุ่มประเทศยุโรป..และเมกา
...
จะมีมาตรการ...ทางภาษี
กีดกันสินค้าไทย..กว่า 700 ชนิด
...
ต่างชาติ..เขาพูดเรื่องนี้
ตั้งแต่ทหาร..ยึดอำนาจประชาชนใหม่
...
มาถึงวันนี้..ยังไม่เคยได้ยินว่า
รัฐบาลทหาร..จะแก้ปัญหานี้ยังไง
....
เห็นวุ่นวาย..อยู่กับเรื่อง
จัดสรรปันส่วน..สารพัดตำแหน่ง
...
ทั้งคณะรัฐบาลทหาร...สนช. สชป.
และยังมีคณะกรรมาธิการ..โน่น นี่ นั่น เป็นกระบุง
....
กระตือรือล้น..เรื่องการกำหนดเงินเดือน
กำหนดเงินประจำสารพัดตำแหน่ง...กันสนุกสนาน
แถมยังมีแต่ข่าวขึ้นราคาพลังงาน..ขึ้นภาษี ห่วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ศาลอิหร่านตัดสินประหารชีวิต หญิงวัย26ด้วยการแขวนคอ ข้อหาฆ่าชายที่พยายามข่มขืนเธอ

 

วันนี้ (25 ต.ค.)อัลจาซีรารายงานถึงกระแสประณามทางการอิหร่านหลังจากดำเนินการประหารชีวิต  น.ส.เรย์ฮาเนห์ จับบารี วัย 26 ปี ด้วยการแขวนคอที่เรือนจำในกรุงเตหะราน หลังเธอต้องโทษในคดีฆ่านายมอร์เตซา อับโดลาลิ ซาร์บานดี อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงข่าวกรองอิหร่าน ซึ่งนายซาร์บานดีพยายามจะทำการข่มขืน เธอจึงใช้มีดแทงนายซาร์บานดีเพื่อปกป้องตัว เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2550

 

 

             view_resizing_images

 

 

 

 

ซึ่งก่อนหน้านี้กลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชนได้ออกมาเรียกร้องให้พิจารณาโทษประหารดังกล่าวอีกครั้ง โดยนางฮัสซิบา ฮัดจ์ ซาห์รูอิ รองผู้อำนวยการภาคพื้นตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ขององค์การนิรโทษกรรมสากล หรือแอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า น.ส.จับบารีไม่ได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ควรได้รับ เนื่องจากการสอบสวนยังมีช่องโหว่ที่น.ส.จับบารีเคยให้การว่า มีชายอีกคนเข้ามาในบ้านของตนวันเกิดเหตุ แต่กลับไม่สืบค้นเรื่องให้กระจ่าง

ซ้ำร้ายศาลสูงอิหร่านยังยืนโทษประหารชีวิตน.ส.จับบารี ทั้งที่เธอได้ยืนกรานว่าใช้มีดแทงนายซาร์บานดีเพื่อปกป้องตัวเอง ไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าให้ตาย ทั้งนี้ศาลได้ตัดสินให้ประหารชีวิต น.ส.จับบารีในวันที่ 30 ก.ย. แต่ระงับโทษชั่วคราวหลังถูกนานาประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู) กดดันอย่างหนัก ก่อนจะสั่งให้ดำเนินการแขวนคอน.ส.จับบารีในที่สุด

 

พื้นที่
 -  รวม 1,648,195 ตร.กม. (17)
636,372 
ตร.ไมล์ 

ประชากร

 - 

2548 (ประเมิน)

68,467,413 

 

 

อิหร่าน (เปอร์เซีย: ایران) หรื่อชื่อทางการว่า สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (เปอร์เซีย: جمهوری اسلامی ايران) เป็นประเทศในตะวันออกกลาง ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งช่วงก่อนปี พ.ศ. 2478ชาวตะวันตกเรียกว่า เปอร์เซีย

อิหร่านมีพรมแดนทางทิศตะวันออกติดต่อกับปากีสถาน (909 กิโลเมตร) และอัฟกานิสถาน (936 กิโลเมตร) ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดต่อกับเติร์กเมนิสถาน (1,000 กิโลเมตร) ทิศเหนือจรดทะเลแคสเปียน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับอาเซอร์ไบจาน (500 กิโลเมตร) และอาร์มีเนีย (35 กิโลเมตร) ตุรกี (500 กิโลเมตร) และอิรัก (1,458 กิโลเมตร) ส่วนทิศใต้จรดอ่าวเปอร์เซีย (ทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศใต้) และอ่าวโอมาน (ทิศตะวันออกเฉียงใต้)

ในปี พ.ศ. 2522การปฏิวัตินำโดยอายะตุลลอฮ์ โคมัยนี (Ayatollah Khomeini) ทำให้มีการก่อตั้งเป็น สาธารณรัฐอิสลามโดยโค่นล้มราชวงศ์ปาห์ลาวีที่ปกครองภายใต้สาธารณรัฐอิสลามเทวาธิปไตย (theocratic Islamic republic) ทำให้ชื่อเต็มของประเทศนี้ในปัจจุบันคือ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (Islamic Republic of Iran, جمهوری اسلامی ایران)

 

 อิหร่านมีปริมาณแก๊สธรรมชาติสำรองมากเป็นอันดับสองของโลก และมีปริมาณน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับสามของโลก[11][12] เป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอันดับสองของโอเปก และมีศักยภาพจะกลายมาเป็นมหาอำนาจด้านพลังงานของโลก

        

 

 

 

 

 

หญิงอิหร่านแห่โพสต์ภาพไม่สวม "ฮีญาบ" ลง Facebook!!

 

 

หญิงอิหร่านแห่โพสต์ภาพไม่สวม "ฮีญาบ" ลง Facebook!!

ผู้หญิงมุสลิมชาวอิหร่านจำนวนหนึ่งพากันโพสต์ภาพถ่ายที่ไม่สวมใส่ ฮีญาบ หรือ ผ้าคลุมผมลงเพจ "มาย สเตลตี้ ฟรีดอม" (My Stealthy Freedom)

 ผู้หญิงในประเทศอิหร่านยังคงไม่ได้รับสิทธิในสังคมเทียบเท่ากับผู้ชาย

เช่น มีการกำหนดจำนวนการรับนักศึกษาหญิงที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในแต่ละปี ซึ่งถือว่า เป็นการควบคุมสิทธิ เสรีภาพ เป็นการเลือกปฏิบัติในสังคม และผู้หญิงก็ไม่สามารถที่จะขอหย่าหรือเลือกสามีของตัวเองได้ แต่ผู้ชายมุสลิมแค่บอกภรรยา ตัวเองสามครั้ง พร้อมจดหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร ว่าต้องการจะขอหย่า ก็สามารถหย่ากับภรรยาได้เลย ในยุคปัจจุบันเพียงแค่ส่ง sms ไปบอกผู้ที่เป็นภรรยา เพียงสามครั้ง ก็สามารถหย่ากับภรรยาได้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ถือว่าเป็นการกีดกันสิทธิและเสรีภาพของผู้หญิง และมีการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงในสังคมให้เห็นอย่างชัดเจน

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เพจ My Stealthy Freedom นี้สร้างโดยนักข่าวหญิงชาวอิหร่านซึ่งทำงานอยู่ในอังกฤษ และได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายด้านเสรีภาพของรัฐบาลอิหร่านอยู่เสมอ โดยในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่สร้างเพจนี้ขึ้นมา ก็มีคนไปกดไลค์มากถึง 130,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายชาวอิหร่าน โดยในเพจมีการโพสต์รูปภาพประมาณ 150 รูปจากแฟนเพจ ซึ่งเป็นภาพถ่ายผู้หญิงมุสลิมชาวอิหร่านที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา โดยปราศจากฮีญาบหรือผ้าคลุมศีรษะ และถ่ายในสถานที่ต่างๆ ทั้งชายทะเล บนถนน และหมู่บ้านในชนบท ซึ่งเจ้าของภาพต่างบรรยายสั้นๆว่า พวกเธอต้องการให้เส้นผมของตัวเองได้สัมผัสสายลมและแสงแดด ซึ่งมันคือ อิสรภาพของพวกเธอในช่วงเวลาสั้นๆ

ทั้งนี้ ประเทศอิหร่านหลังมีการปฏิวัติอิสลามเมื่อ 35 ปีที่แล้ว รัฐบาลได้ออกกฎห้ามไม่ให้ผู้หญิงออกจากบ้านโดยปราศจากการสวมใส่ผ้าคลุมผม โดยผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษตั้งแต่ถูกปรับไปจนถึงจำคุก ทำให้ในช่วงหลายปีมานี้ ประเด็นการสวมใส่ฮีญาบได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในแง่การต่อต้านเนื่องจากมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพสตรี แต่ขณะเดียวกันก็มีฝ่ายสนับสนุนให้สวมฮีญาบอย่างเคร่งครัด ซึ่งเพจ My Stealthy Freedom นี้ก็ถือเป็นอีกช่องทางที่สะท้อนความคิดของผู้หญิงมุสลิมจำนวนหนึ่งในสังคมอิหร่านต่อประเด็นนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 โอ้ที่รัก เธอคือชีวิต คือจิตใจ เธอคือทุกๆสิ่งของฉัน ขอบคุณพรหมลิขิตที่ทำให้ฉันมาเจอกับเธอ

 อัมร ดียาบ คนนี้ดังมาก เสียงเพราะสุด

 

 

 

ชูวิทย์ โพสต์เฟซบุ๊ก การสรรหา กมธ.ยกร่าง รธน. "ยิ่งเลือกมาก ยิ่งเละเทะ"

กระทู้ข่าว

การเมือง

ชูวิทย์ โพสต์เฟซบุ๊ก การสรรหา กมธ.ยกร่าง รธน. "ยิ่งเลือกมาก ยิ่งเละเทะ"

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18:10:48 น.
    

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า  ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น  โบราณเขาบอก "เลือกนัก มักได้แร่" หมายความว่า ถ้าเลือกมากเกินไป มักได้ของไม่ดี

การสรรหา "คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ" หรือที่เรียกกันว่า "36 อรหันต์ทองคำ" ดูเหมือนจะง่ายแค่ชี้นิ้วเพราะมาจาก สปช. ส่วน สปช. ก็มาจาก คสช. อีกที แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน จำเป็นต้องเลือกบุคคลที่ "เป็นกลาง" สะท้อนมาจากท่านผู้นำ พลเอกประยุทธ์ ที่บอกว่า ไม่ซ้ายไม่ขวา ต้องการทำงานเพื่อบ้านเมือง ให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน

แต่เกรงว่าโผรายชื่อที่ออกมาจะกลายเป็น "เพชรฆาต" ที่ส่งมาเชือดฝ่ายตรงข้าม แม้ว่าจะมีชื่อท่านบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานหวยล็อค แต่จะไปทำอะไรได้?

สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ จำเป็นต้องแสดงให้สังคมเห็นว่าภารกิจนี้เป็นการ "เสียบเพื่อชาติ" ยึดหลักการณ์ให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข

คณะกรรมาธิการยกร่างฯที่จะมีขึ้น ย่อมเป็นที่จับจ้องว่าจะร่างรัฐธรรมนูญเพื่อคนไทยทั้งชาติ หรือแค่พิฆาตกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ประชาชนเขาจับตาดูอยู่ เพราะแค่เริ่มต้นก็ได้กลิ่นการวิ่งเต้นแย่งชิงกันบรรลุเป็นอรหันต์

ต่อให้เป็นกรรมาธิการ "ท๊อปบู๊ท" ทหารทั้งเซ็ต ยังดีกว่ากรรมาธิการที่เคยขึ้นเวทีม็อบเย้วๆอยู่หลัดๆ เพราะชาวบ้านเขาจะหมดศรัทธาว่า ท้ายสุดก็แค่ละครการเมืองบทหนึ่งเท่านั้น

ตอนนี้ก็เลือกเฟ้นกันเข้าไป แต่อย่าเลือกมากนัก เพราะหากยิ่งเลือกมาก แทนที่จะได้อรหันต์ กลับเป็นแค่สามเณรบวชใหม่ เดินกลับวัดยังไม่ถูก

เข้าสำนวนโบราณของไทยที่ว่า "ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น" มีความหมายว่า ดูเหมือนรอบคอบถี่ถ้วนแต่ไม่รอบคอบถี่ถ้วนจริง

"ยิ่งเลือกมาก ยิ่งเละเทะ"


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1414235257

 

 

วิ่งเข้าใส่ตะหานเต็มๆ ชักสนุกแล้วหล่ะ


เป็นเรื่องพี่กับทหาร แต่พวกพี่ด่ารัฐบาล ทำไมไม่ด่าให้ถูกตัวหล่ะครับ


"วีระ" แฉถูกยัดคุกเขมรเพื่อปิดปากเรื่องของหนีภาษี เชื่อกองกำลังบูรพามีเอี่ยว ถาม "ประวิตร" รู้ไหม ?
"วีระ" แฉถูกยัดคุกเขมรเพื่อปิดปากกรณีบ้านหนองจานเป็นจุดหนึ่งที่มีลักลอบขนของหนีภาษี แจงตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา มี ตชด. - ทหารพราน ตั้งจุดตรวจถี่ยิบ ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่รู้เห็นเป็นใจไม่มีทางขนของเถื่อนได้แน่นอน ระบุพื้นที่ในการควบคุมของกองกำลังบูรพา มี 3 จุดใหญ่ที่มีการลักลอบ ซึ่งสัปดาห์ก่อนเจ้าหน้าที่กรมศุลฯ ยังต้องล่าถอย หลังลุยโกดังเจ้าแม่เสื้อมือสองรายใหญ่ซึ่งใกล้ชิดกับทหารใหญ่มากใน "..." ถาม "ประวิตร" รู้บ้างไหม
วันนี้ (24 ต.ค.) นายวีระ สมความคิด โพสต์เฟซบุ๊ก "Veera Somkwamkid" ว่า ต้องยอมรับว่าทุกส่วนราชการมีทั้งคนดีและไม่ดี คนไม่ดีจะต้องถูกลงโทษ" พูดแล้วทำให้ได้นะ

ใครบ้างที่บอกว่าผมเดินล้ำเข้าไปในเขตของเขมร 55 เมตร ที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 แล้วส่งผมกับคุณราตรีไปติดคุกที่เปรย์ซอว์เป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน เพื่อไม่ให้ความจริงถูกเปิดเผย เนื่องจากบริเวณบ้านหนองจานเป็นจุดหนึ่งที่มีการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีจุดใหญ่จุดหนึ่ง ซึ่งอยู่ในการควบคุมดูแลของกองกำกับการ ตชด.ที่ 12

ส่วนพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อยู่ในการควบคุมของทหารกองกำลังบูรพา ที่มีการลักลอบขนของหนีภาษี คือกองร้อยทหารพรานที่ 12 ที่ควบคุมดูแลตั้งแต่บ้านป่าไร่ ต.ป่าไร อ.อรัญประเทศ ไปจนถึง ต.ทับพริก จาก ต.ทับพริกไปจนถึง อ.คลองหาด จ.จันทบุรี อยู่ในการควบคุมดูแลของกองร้อยทหารพรานที่ 13 ตามแนวชายแดนจะมีการวางกำลังทั้ง ตชด.และทหารพรานอยู่โดยตลอดมีจุดตรวจห่างกันตั้งแต่ 500 , 700 เมตร ขบวนการขนของเถื่อนถ้า ตชด. และทหารพราน ไม่รู้เห็นเป็นใจไม่มีทางลักลอบขนของเถื่อนได้แน่นอน

ของที่ลักลอบมีจำนวนมากและมีน้ำหนักมากด้วยต้องขนกันตั้งแต่รถปิ๊กอัพ รถหกล้อ จนถึงรถ 18 ล้อ มีการทำสะพานข้ามมาจากทางฝั่งกัมพูชา ลองคิดดูของหนีภาษีขนกันมาเป็นคันรถ ตชด.และทหารพรานจะมองไม่เห็นเลยหรือ วิ่งตามกันมาเป็นขบวน จุดตรวจอยู่ห่างกันแค่มองเห็น
ผมจะบอกให้นะคุณประวิตร จุดที่ลักลอบของสินค้าหนีภาษีจุดใหญ่ ๆ ที่อยู่ในการควบคุมดูแลของทหารพราน (กองกำลังบูรพา) มีดังนี้ 1.กองร้อยทหารพรานที่ 1206 ซึ่งดูแลตั้งแต่ตลาดโรงเกลือไปจนถึงบ้านท่าข้าม ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว 2. กองร้อยทหารพรานที่ 1302 บ้านคลองสมบูรณ์ ต.ทับพริก อ.อรัญประเทศ 3. กองร้อยทหารพรานที่ 1303 บ้านเขาดิน อ.คลองหาด

สาเหตุของเรื่องนี้เนื่องมาจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (15 ต.ค.2557) เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจากส่วนกลาง ได้จับกุมขบวนการลักลอบขนของหนีภาษี ที่โกดังของนางดวงพร (เจ้าแม่เสื้อมือสอง ที่ใหญ่ที่สุดของตลาดโรงเกลือ มีข้อมูลบอกว่านางมีความใกล้ชิดกับทหารใหญ่มากใน ........) บริเวณบ้านหนองเอียน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งโกดังของนางดวงพรตั้งอยู่ติดคลองพรมโหดชายแดนกัมพูชา เจ้าหน้าที่ศุลกากรจากส่วนกลางอาศัยจังหวะที่ทหารพราน (ในจุดที่อยู่ในการควบคุมดูแลของ กองร้อยทหารพรานที่ 1206) ยกไม้กั้นถนนเพื่อให้ชาวบ้านที่อยู่ด้านในเดินทางเข้าออก นำรถของเจ้าหน้าที่ศุลกากรจากส่วนกลางจู่โจมเข้าไปทันที แต่รถของนักข่าวถูกทหารพรานที่ด่านดังกล่าวสามารถกักเอาไว้ ทำให้นักข่าวไม่สามารถตามเข้าไปได้ มีชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า เจ้าหน้าที่ศุลกากรจากส่วนกลางมีการโต้เถียงกับทหารพรานอย่างรุนแรง ในที่สุดศุลกากรจากส่วนกลางต้องล่าถอยออกมามือเปล่า โดยไม่สามารถยึดของหนีภาษีออกมาจากโกดังของนางดวงพรได้แม้แต่ชิ้นเดียว เรื่องอย่างนี้คุณประวิตรรู้บ้างไหม ?

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีเจ้าหน้าที่ทหาร เข้าไปพัวพันการลักลอบของผิดกฎหมายบริเวณตามแนวชายแดนว่า เรื่องนี้ พล.อ.อดุมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก ได้เน้นย้ำชัดเจนแล้วว่าไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
ผู้สื่อข่าวถามว่า คนที่ให้ข้อมูลเป็นถึงอธิบดีกรมศุลกากรจะกระทบหลายหน่วยงานจำเป็นจะต้องมาพูดคุยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในส่วนของอธิบดีกรมศุลกากรก็จะต้องทำรายงานขึ้นมาว่าใครทำอะไร ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าทุกส่วนราชการมีทั้งคนดีและไม่ดี คนไม่ดีจะต้องถูกลงโทษ
ASTVผู้จัดการออนไลน์

 

 

 

 

เรื่องไมล์ยังไม่จบ มีคนสงสัยซื้อโบกี้รถไฟตู้ละ 40 ล้านเทียบรถทัวร์คันละ4 ล้าน

 

จากข้อเขียนคุณบรรยงค์ พงษ์พาณิช ใน www.thaipublico.com
ยกมาบางส่วน

Date: 21 ตุลาคม 2014

บรรยง พงษ์พานิช

ใครเห็นข่าวการจัดซื้อ
รถไฟโดยสารรุ่นใหม่ของ ร.ฟ.ท. 115 คัน เกือบ 4,700 ล้านบาท แล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ ผมขอเรียบเรียงความรู้สึกส่วนตัวให้ฟังนะครับ

- การจัดซื้อรถใหม่ย่อมเป็นเรื่องดี เพราะรถเก่านั้นสภาพโหลยโท่ย ไม่มีใครอยากนั่ง (แถมไม่ปลอดภัย…อย่างกรณีน้องแก้ม) แต่ผมสงสัยหน่อยๆ ว่า ได้มีการศึกษาเรื่องความเป็นไปได้ เรื่องความคุ้มทุนหรือเปล่า จะตั้งราคาดี แข่งกับ
รถทัวร์ และเครื่องบิน อย่างที่ท่านปลัดฯ (นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม) ว่าได้จริงไหม (พูดอย่างนี้ แสดงชัดว่าต้องการแข่งขัน ไม่ใช่สวัสดิการประชาชนที่อาจยอมขาดทุนได้อย่างที่ชอบอ้างๆ กัน) เรื่องนี้น่าจะมีการเปิดเผยรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ต่อสาธารณะได้นะครับ

- สมมติว่ามีการศึกษาความเป็นไปได้จริง..ซึ่งเขาก็ต้องทำให้เป็นไปได้อยู่แล้ว ผมก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่า การซื้อโบกี้ที่มีที่นั่ง 36 ที่ ในราคา 40 ล้านบาทนั้น มันคุ้มค่าได้อย่างไร ในเมื่อ
รถทัวร์ 36 ที่นั่ง มันคันละ 4.0 ล้านบาทเอง (ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ของ ร.ฟ.ท. มากกว่าของเอกชนแน่นอน) ร.ฟ.ท. ที่มีขาดทุนสะสมบักโกรกกว่าแสนล้านบาทควรที่จะลงทุนเพิ่มเรื่องนี้เองหรือไม่

สรุปเบื้องต้นว่า..ในประเด็นแรก ผมสงสัยมากว่า ที่ซื้อนี่ ควรซื้อ หรืออยากซื้อ

ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญ คือ วิธีการจัดซื้อ

- ในข่าวไม่ได้มีการเปิดเผยว่าจัดซื้อกันอย่างไร มีการประมูล หรือจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ …ถ้าประมูล เริ่มต้นวิเคราะห์ออกแบบ
TOR กันอย่างไร กำหนดราคากลางด้วยวิธีใด มีใครเข้าประมูลบ้าง เสนอราคากันเท่าใด …ถ้าจัดซื้อวิธีพิเศษ ก็คงต้องเปิดเผยรายละเอียดยิ่งขึ้นอีก ว่าทำไมต้องพิเศษ เร่งด่วนอย่างไร สืบราคากันดีแล้ว วิเคราะห์ทางเลือกอื่นๆ (เช่น ต่อเองอย่างที่เคยทำ)

- ไอ้ที่งงกว่านี้ก็คือ ผลสุดท้ายของการได้คู่ค้านี่แหละครับ …ในกิจการร่วมค้า
บีบีซี
ที่ได้สัญญาไปนั้น บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ น่ะเข้าใจได้ไม่ยาก แต่อีกสองบริษัทไทยนี่สิครับ คือ บริษัท เขาหลักแบมบู ออร์คิด จำกัด กับ บริษัท ร่วมมิตรเหมืองแร่ จำกัด เห็นชื่อแล้วชวนให้สงสัยอยู่ครามครัน ว่าเข้ามามีส่วนร่วม มีบทบาทยังไงในเรื่องนี้ .....

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


บริเวณต้องยิ่งเอาใจใส่
กลับทำเหลวไหลให้ขายหน้า
โอ้พระแก้วคู่เมืองเรืองพารา
โดนน้ำรินสิ้นท่า...เอ๋อว่าไง ?

 

 



                              
 

 

 

 

 

 

 

//เย้วๆ นักท่องเที่ยวกลับมาแล้ว "welcome to thailand"

 

Q3/2557 -7% ถึงจะติดลบแต่ชี้วัดวัดได้ว่าปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบต้นปีที่ผ่านมา


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

[​IMG]


   20 ต.ค. 57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นาย
จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จัดรายการผ่านสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่อง PEACETV (เอเชียอัพเดท เดิม) โดยกล่าวอย่างมีอารมณ์ถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีต รอง นายกฯ และรมว.แรงงาน ออกมาวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง เมื่อวานนี้ (19 ต.ค.) และได้พาดพิงถึงคนเสื้อแดง และหยามเกียรติตนเอง และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ตอนหนึ่งว่า

"คุณ (เฉลิม) มันหมาลอบกัด หน้าตัวเมีย เจอหน้า ผมไม่ยกมือไหว้ ห่วยแตก คุณไม่ออกมาพูดก็ไม่มีใครคิดว่าโง่"

"ผมมีมือมีตีน ผมมันไม่ใช่คนสอพลอ ผมรู้แล้วใครที่เป่าหู พ.ต.ท.
ทักษิณให้เข้าใจเสื้อแดงผิดๆ มาตลอด ไม่ต้องมาคบกัน ต่อไปผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ"

"มาบอกคุณทักษิณมีความสุขมีรัฐประหาร -คุณ
ยิ่งลักษณ์แฮปปี้โดนยึดอำนาจ จะตายอยู่แล้วยังมาพูดแบบนี้ ผมบอกนะ ร.ต.อ.เฉลิม เสื้อแดงไม่ใช่ควาย" 

 

[​IMG]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

          

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แก่จนใกล้แง้ม..ฝาโลงแล้ว
กลับพูดไม่คิด..พูดจนคนอื่นเสียหายไปแล้ว
...
ดันออกมาดิ้นแก้ตัว..ว่าไม่ได้พูด
แล้วนักข่าว..จะกล้านั่งเทียนเขียนเองรึ
...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก..
ที่คนๆนี้ปากพาจน..(ปากพอๆกับ กกต.ไอ้หน้าปรุ)
...
คราวก่อน..ก็ออกมาเล่นงาน
อัยการสูงสุด
ส่งเรื่องฟ้องจำนำข้าว..ให้กลับไปหาหลักฐานมาใหม่
...
เพราะดันเอาแต่หน้าปกงานวิจัย...แนบไปให้เขา
ทั้งที่มันเป็นรายงานวิชาการ..ไม่ใช่หลักฐานข้อเท็จจริง
...
แทนที่จะรับเรื่องกลับไป..และขอบคุณเขาที่แนะนำ
ดันพูดจาดูถูกเหยียดหยามเขา..โดยพูดว่า
....
หากอยากได้หลักฐานอะไร..ก็ต้องขอมาเอง
ถ้าเห็นหลักฐานแล้ว..
อัยการ
จะเป็นลมล้มคว่ำ
....
เล่นเอาชาวบ้านด่าเช็ด..กันทั้งประเทศนึกว่าจะเข็ด
ที่ใช้วาจาสามหาว..ใส่คนอื่นอย่างไม่ไว้หน้าใครเลย
...
นี่เอาอีกแล้ว..พูดกล่าวหาคนอื่นแบบลอยลม
ใครขน ขนเมื่อไหร่ ขนอย่างไร..ขนไปไหน
....
ถ้ารู้ว่าใครขนเงินออกนอก..มากมายขนาดนั้น
ทำไมไม่ดำเนินการ..เอาคนผิดมาลงโทษ
...
ถ้ารู้ลึกถึงขนาดนั้น...แล้วไม่ดำเนินอะไร
เอาแต่พูดลอยลม...ปาวๆอย่างเดียว
.......ผิด ม.157 นะขอบอก

 

 

 

 

 

 

 




 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ค่านิยม 12 ประการ กับนาฬิกามูลค่า 3,900,000 บาท!!!

กระทู้สนทนา


การสร้างค่านิมให้ประสบผลสำเร็จนั้น ต้องปลูกฝังลงไปในรากฐานจิตใจของเด็กและเยาวชน โดยผู้ใหญ่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ด้วย
ก็คิดจะเอาท่านผู้นำเป็นแบบอย่างนะครับ   



แต่มาเจอ  รายการทรัพย์สินของท่าน   ซึ่งเป็นครอบครัวข้าราชการ   เฉพาะนาฬิกาก็เกือบสี่ล้านบาทไทยแล้ว   ขัดกับ"ค่านิยม"ที่จะนำไป
"ปลูกฝัง"ให้เยาวชนเป็นอย่างยิ้ง   น่าจะเอาข้อนี้ออกนะครับ   เพราะท่านเองก็ทำไม่ได้!!!

ลิงค์ที่มา  https://www.facebook.com/WassanaJournalist/posts/795724810485979

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Mar 29 21:03:44 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>