Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมสัตว์

ArjanPong | 03-11-2557 | เปิดดู 2882 | ความคิดเห็น 0

 

 

            พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ 

 

 

 

สัตว์ หมายความว่า สิ่งมีชีวิตที่มีกระดูกสัหลังซึ่งมิใช่มนุษย์ โดยให้หมายความรวมถึง สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า สัตว์เศรษฐกิจ และสัตว์ทดลอง ตามพระราชบัญญัตินี้ และรวมถึงสัตว์พาหนะ ตามพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะด้วย

 

สัตว์เลี้ยง หมายความว่า สัตว์ที่มนุษย์นำมาเลี้ยงไว้และให้น้าให้อาหาร โดยอาจเลี้ยงไว้เพื่อการดูเล่น เพื่อเป็นเพื่อน เพื่อเป็นอาหาร หรือเพื่อการอย่างอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนดและหมายความรวมถึง สัตว์พาหนะ ตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะด้วย แต่ไม่หมายความรวมถึง สัตว์ป่า สัตว์เศรษฐกิจ หรือสัตว์ทดลองตามความหมายของพระราชบัญญัตินี้

 

สัตว์ป่า หมายความว่า สัตว์ป่า ตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า รวมถึงสัตว์ป่าที่มนุษย์ได้รับอนุญาตให้นำมาเลี้ยง และสัตว์ที่เกิดหรือดำรงค์ชีวิตอยู่ในธรรมชาติด้วย

 

สัตว์เศรษฐกิจ หมายความว่า สัตว์ที่มนุษย์เลี้ยงไว้เพื่อประโยชน์ทางการค้า การกีฬา การแสดง หรือการธุรกิจอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

 

สัตว์ทดลอง หมายความว่า สัตว์ที่มนุษย์เพาะหรือเลี้ยงไว้ เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทุกสาขา

 

การทารุณกรรมสัตว์ หมายความว่า การกระทำใดๆ ที่ส่งผลให้สัตว์ต้องได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานโดยไม่จำป็น ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจของสัตว์ ทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม รวมถึงการกระทำที่กฎหมายถือว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์ด้วย

 

ความทุกข์ทรมาน หมายความว่า ความกดดันทางร่างกายหรือจิตใจ และหมายความรวมถึง ความเจ็บปวด ความกลัว

 

สวัสดิภาพสัตว์ หมายความว่า สภาวะทางร่างกายและจิตใจของสัตว์ที่ประเมินได้ ในขณะที่เผชิญกับสภาพแวดล้อม ทั้งที่มนุษย์กระทำให้เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

 

เจ้าของ หมายความรวมถึงผู้ครอบครอง ในกรณีสัตว์หรือสัตว์ทดลองที่ไม่ปรากฎตัวเจ้าของให้หมายความรวมถึงผู้เลี้ยงและผู้ดูแลด้วย

                                                         

 

 

                                                      

                                                                     

 

                                                                    หมวด 3

                                                 การป้องกันการทารุณกรรรมสัตว์

มาตรา 14 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการใดๆต่อสัตว์ อันเป็นการทารุณกรรมสัตว์

มาตรา 15 การกระทำดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์

  1. เฆี่ยน ทุบตี ฟันแทง เผา ลวก หรือกระทำการอย่างอื่นอันมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ให้สัตว์เจ็บปวด
  2. ให้สัตว์ทำงานจนเกินสมควรหรือใช้ทำงานอันไม่สมควรแก่ประเภทและสภาพของสัตว์ เพราะสัตว์นั้นเจ็บป่วย ชรา อ่อนอายุ ใกล้คลอดหรือพิกลพิการ  
  3. ใช้ยา หรือสารอันตรายต่อสัตว์ ซึ่งมีผลทำให้เกิดอันตรายต่อร่างการหรือจิตใจ หรือทำให้สัตว์ต้องทุกข์ทรมาน
  4. ใช้พาหนะที่ไม่เหมาะสมแก่การขนส่งหรือเคลื่อนย้ายสัตว์ ทำให้สัตว์ต้องทุกข์ทรมานหรือบาดเจ็บ
  5. เก็บหรือกักขังสัตว์ในที่คัยแคบให้สัตว์ได้รับความทุกข์ทรมาน
  6. นำสัตว์ที่เป็นอริกันไว้ในที่เดียวกัน
  7. พรากแม่และลูกสัตว์ที่ยังไม่หย่านมโดยปราศจากความจำเป็น
  8. ทำให้สัตว์ต้องได้รับความทุกข์ทรมานจาการอดอยาก ขาดอาหาร น้ำ หรือการพักผ่อน
  9. เพาะหรือเลี้ยงสัตว์โดยไม่ดูแลรักษาเมื่อสัตว์เจ็บป่วย
  10. ใช้ยาพิษหรือสารพิษหรือวิธีอื่นใดให้สัตว์ตายอย่างทุกข์ทรมาน
  11. กระทำการใดๆให้สัตว์ต้องเสียรูปหรือพิการโดยไม่จำเป็น
  12. นำสัตว์มาต่อสู้หรือประลองกำลังกัน โดยไม่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
  13. กระทำการหรือฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์โดยลุแก่โทสะ
  14. พันธนาการสัตว์เป็นเวลานานเกินความจำเป็น หรือด้วยเครื่องพันธนาการที่หนักหรือสั้นหรือเล็กเกินไปจนสัตว์ต้องได้รับความทุกข์ทรมาน
  15. ใช้สัตว์ทำงานหรือประกอบกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
  16. ใช้สัตว์เลือดอุ่นเป็นเหยื่อหรือเป็นอาหารสัตว์อื่น
  17. บริโภคสัตว์ทั้งที่สัตว์ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะสัตว์เลือดอุ่น
  18. สังวาสหรือใช้สัตว์ประกอบกามกิจ
  19. สนับสนุนหรือมีส่วนให้ผู้อื่นกระทำการทารุณกรรมสัตว์

บทบัญญัติในวรรคแรกไม่รวมถึงการกระทำดังต่อไปนี้

  1. การตัดหู หาง ขน เขา งา หรือเล็บ และการตอนสัตว์ หรือการทำเครื่องหมายที่ตัวสัตว์ ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
  2. การฆ่าและทำลายสัตว์โดยพนังงานเจ้าหน้าที่ ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
  3. การใช้สัตว์ทดลองตามกฎหมายว่าด้วยจรรยาบรรณการใช้สัตว์ทดลอง การกระทำในวรรคนี้ให้ผู้ได้รับอนุญาตดำเนินการภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์ ไม่ให้สัตว์ต้องได้รับความเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น

มาตรา 16 เจ้าของต้องไม่ประมาทเลินเล่อหรือละเลย ให้มีการทารุณกรรมสัตว์ตามมาตรา15

มาตรา 17 เจ้าของสัตว์จะต้องจัดสวัสดิภาพสัตว์ให้แก่สัตว์ตามชนิด ประเภท และพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์นั้น ทั้งนี้ตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 18 การจัดสวัสดิภาพสัตว์ ต้องมีข้อกำหนด หลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  1. การดูแลรักษาสัตว์
  2. การฝึกและใช้งานสัตว์
  3. การควบคุมและกักขังสัตว์
  4. การขนส่งสัตว์
  5. การฆ่าสัตว์
  6. อื่นๆตามความเหมาะสม แก่ชนิด และประเภทของสัตว์

                                                          

 

                                                                     หมวด 4

                                                          ส่วนที่ 1 สัตว์เลี้ยง

 

 

มาตรา 19 ห้ามมิให้ผู้ใดบริโภคหรือค้า เนื้อ หนัง อวัยวะ หรือซากส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของสัตว์เลี้ยง ประเภทสุนัขและแมว

มาตรา 22 เจ้าของต้องไม่ละเลยหรือเลินเล่อให้สัตว์เลี้ยงของตนต้องทุกข์ทรมาน หรือเสียชีวิตจากความอดอยาก

มาตรา 23 เจ้าของต้องไม่ฝึกหรือบังคับให้สัตว์เลี้ยงทำในสิ่งที่อาจทำให้สัตว์ต้องได้รับความทุกข์ทรมาน บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต

มาตรา24 เจ้าของต้องไม่ทอดทิ้งให้สัตว์เลี้ยงของตนออกไปเร่ร่อนหากินหรือกลายเป็นสัตว์จรจัด

                                                            

                                                                ส่วนที่ 2 สัตว์ป่า

มาตรา 27 ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เพาะหรือเลี้ยงสัตว์ป่า ต้องจัดสวัสดิภาพให้แก่สัตว์ตามชนิด ประเภท และพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์เหล่านั้น ทั้งนี้ตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

                                                   

                                                            ส่วนที่ 3 สัตว์เศรษฐกิจ

มาตรา 29 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการทารุณหรือเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจในลักษณะที่เป็นการทารุณกรรมสัตว์

มาตรา 30 ผู้เลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจต้องจัดสวัสดิภาพสัตว์ให้แก่สัตว์เศรษฐกิจแต่ละประเภท ให้เหมาะสม ตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 31 การฆ่าสัตว์เศรษฐกิจต้องกระทำโดยไม่ให้สัตว์ต้องทุก๘ทรมาน คือให้สัตว์ตามในทันที หรือได้รับความเจ็บปวดน้อยที่สุดทั้งนี้ตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 32 ห้ามมิให้ผู้ใดซื้อขายหรือจัดแสดงซึ่งสัตว์ที่ป่วย เป็นโรด บาดเจ็บ หรือพิกลพิการ

มาตรา 33 ห้ามมิให้ผู้ใดหารายได้จากการนำสัตว์มากักขังหรือหน่วงเหนี่ยว เพื่อให้ผู้อื่นมาถ่ายอิสระภาพให้แก่สัตว์นั้น

มาตรา 34 ห้ามนำสัตว์มาใช้เป็นรางวัล เว้นแต่ได้พิจารณาแน่ชัดแล้วว่าไม่มีผลเสียต่อสวัสดิภาพสัตวืนั้น

มาตรา 35 ห้ามมิให้นำสัตว์มาแข่งขันหรือประลองกำลังหรือความเร็วกัน เว้นเสียแต่ได้รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 36 ห้ามผู้ใดทำการฝึกสัตว์เพื่อการแสดง เว้นเสียแต่ได้รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 37 ผู้ที่ฝึกหรือใช้สัตว์ไว้เพื่อการแสดงต้องจัดสวัสดิภาพสัตว์ให้แก่สัตว์นั้น ทั้งนี้ตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 38 ห้ามฝึกหรือบังคับสัตว์ด้วยการเฆี่ยนตีหรือวิธีอื่นใด ซึ่งอาจทำให้สัตว์บาดเจ็บ

มาตรา 39 ห้ามเผยแพร่ภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นการทารุณกรรมสัตว์ รวมถึงบทตอนที่ระหว่างการถ่ายทำสัตว์ต้องได้รับความทุกข์ทรมาน เว้นเสียแต่เพื่อการศึกษาหรือเผยแพร่ความรู้แก่สาธารณชน

มาตรา 40 หากผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นลูกจ้าง ให้ถือว่านายจ้างหรือนิติบุคคลที่ผู้กระทำผิดทำงานให้มีความผิดด้วย

                                                        

                                                   ส่วนที่ 4 สัตว์ทดลอง

มาตรา 41 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการใดๆต่อสัตว์ทดลองเกินกว่าความจำเป็น ตามลักษณะและประเภทของการทดลองนั้น

มาตรา 42 ห้ามมิให้ผู้ใดเพาะเลี้ยงหรือใช้สัตว์ทดลอง เว้นเสียแต่ได้รับอนุญาตและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วยจรรยาบรรณการใช้สัตว์ทดลอง

มาตรา 43 ห้ามมิให้นำสัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า และสัตว์ที่ไม่ปรากฎว่ามีเจ้าของมาใช้เป็นสัตว์ทดลอง เว้นเสียแต่ได้รับอนุญาตจากอธิบดี เพื่อประโยชน์ในการบำบัดโรคสัตว์หรือเพื่อตัวสัตว์เอง

                                                        

                                           

 

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานได้พิจารณาเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ…. ด้วยคะแนน 188 ต่อ 1 งดออกเสียง 4 เสียง

 

 

 
          สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย ผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.เพิ่มโทษทารุณกรรมสัตว์ หลังมีเหตุทารุณกรรมสัตว์เกิดขึ้นต่อเนื่อง เล็งปลูกฝังเยาวชนให้มีใจเมตตาต่อสัตว์

          วันนี้ (18 กันยายน 2557) นายชัยชาญ เลาหศิริปัญญา เลขาธิการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) เปิดเผยว่า ร่าง พ.ร.บ.เพิ่มโทษทารุณกรรมสัตว์ฉบับนี้ ซึ่งเคยผ่านการพิจารณาของกรรมาธิการชุดที่แล้ว จะเน้นให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก เพราะสัตว์ป่ามีกฎหมายเฉพาะคุ้มครองอยู่แล้ว ส่วนช้างก็จะมีการพูดคุยเรื่องกฎหมายที่คุ้มครองช้างโดยเฉพาะเช่นกัน

          โดยใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะบรรจุให้มีการคาดโทษเพิ่มขึ้น คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อให้ผู้ที่กำลังจะกระทำผิดได้คิดมากขึ้นก่อนลงมือ รวมถึงกระตุ้นให้ผู้เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการดูแลสัตว์ที่ถูกทารุณกรรมด้วย เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีกฎหมายคุ้มครองการทารุณกรรมสัตว์อยู่แล้ว แต่ด้วยบทลงโทษที่เบา คือ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ก็ทำให้ยังมีการทารุณกรรมสัตว์ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

          และนอกจากผลักดัน พ.ร.บ. นี้แล้ว สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย ยังพยายามแก้ปัญหาทั้งสุนัขจรจัดและการทารุณกรรมสัตว์ โดยมีการทำเครือข่ายบ้านอุปถัมภ์สำหรับสุนัขจรจัด 18 แห่ง ปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้มีใจเมตตาต่อสัตว์ ผ่านโครงการรักสัตว์ในโรงเรียน โดยสมาคมฯ จะไปให้ความรู้ตามโรงเรียนต่าง ๆ สร้างหลักสูตรลูกเสือให้เรียนรู้และสร้างความเมตตาต่อสัตว์ และล่าสุดได้ร่วมมือกับ สพฐ. จัดทำหนังสือนิยายร้อยแก้วร้อยกรองแจกตามโรงเรียนด้วย

 

 

 

 

 

 

 

                                 การประชุม APEC

 

 

 

 

                                                            

 

 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   

     ดนตรีมีอะไรมากกว่าที่คิดจริง ๆ/ดร.แพง ชินพงศ์

 

 

 

เวลามีใครถามว่าผู้เขียนเรียนจบอะไรมา แล้วผู้เขียนตอบไปว่าเรียนจบมาทางด้านดนตรี 70 % ของผู้ถามมักจะมีคำถามต่อไปว่า "เรียนแล้วได้อะไร" หรือบางคนอาจจะสงสัยว่า "ดนตรีมันมีอะไรให้ต้องเรียนกันเยอะแยะมากมายนักเหรอ"
       
       ดังนั้น ในฐานะที่ผู้เขียนเรียนจบมาทางด้านดนตรีและเป็นนักดนตรีคนหนึ่งจึงอยากจะบอกว่า "ดนตรีเป็นเรื่องของเสียงที่มีอะไรมากมายกว่าที่คิด" เพราะนอกจากดนตรีจะช่วยทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลิน อารมณ์ผ่อนคลาย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นเวลาที่รถติดแล้วเราเปิดเพลงเพราะๆที่ถูกใจฟังในรถก็จะช่วยทำให้คลาย ความเครียดได้แล้วนั้น มีผลงานวิจัยมากมายที่มีผลสรุปว่า การให้เด็กได้ใกล้ชิดสัมผัสกับดนตรีตั้งแต่ยังเล็กนั้นจะช่วยพัฒนาศักยภาพ ของเด็กในหลายๆด้าน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์
       
       ผู้อ่านหลาย ๆ คนเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้อาจจะ สงสัยและนึกภาพไม่ออกว่าดนตรีนั้นมีประโยชน์และสามารถช่วยพัฒนาศักยภาพต่างๆ ของเราได้อย่างไร เราลองมาดูกันดังนี้
       
       1. ดนตรีช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านบุคลิกภาพและความเป็นตัวตน การได้ทำกิจกรรมดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เล่นดนตรี เต้นรำ ดนตรีจะเป็นเหมือนสื่อกลางที่ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพและความเป็นตัวตนให้บุคคล นั้นมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก กล้าคิดกล้าทำ มีเด็กวัยรุ่นหลายคนที่เป็นคนขี้อายและดูเหมือนเป็นคนไม่ได้เรื่องได้ราว แต่เมื่อได้มาเล่นดนตรีก็ได้ค้นพบตัวเองว่ามีความสุขและเมื่อรู้ว่าตนมีความสามารถในด้านดนตรีก็ทำให้เกิดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกและมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น
       
       ผู้เขียนรู้จักเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แต่เดิมนั้นมีความขี้อายมาก ไม่กล้าพูดจาหรือสบตากับใคร แต่พอวันหนึ่งที่เขาได้ลองเล่นกีตาร์และรู้สึกรักในเสียงดนตรี มาวันนี้เขากลายเป็นคนที่รู้จักการคบหาสมาคมกับผู้อื่นได้อย่างน่ารัก กล้าที่จะพูดคุยกับผู้ใหญ่ และมีความสามารถทางดนตรีที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น
       
       2.ดนตรีช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านอารมณ์ องค์ประกอบสำคัญของดนตรีคือ คำร้อง จังหวะและทำนอง ซึ่งเมื่อมารวมกันจะเกิดเป็นเพลงๆหนึ่งขึ้นมา ซึ่งในเพลงแต่ละเพลงนั้นต่างก็มีลักษณะหรือเอกลักษณ์ของดนตรีที่แตกต่างกันออกไป เพลงที่มีทำนองและจังหวะช้าๆทำให้รู้สึกสงบ มีสมาธิและผ่อนคลาย เพลงที่มีทำนองและจังหวะเร็วๆช่วยทำให้อารมณ์ครึกครื้น กระฉับกระเฉงและอยากเคลื่อนไหวร่างกาย เพลงที่มีคำร้องเศร้าสะเทือนใจจะทำให้คนฟังอารมณ์อ่อนไหวตามไปด้วย ในขณะที่เพลงที่มีคำร้องปลุกใจให้รักชาติ จะทำให้คนฟังมีความคึกคัก ฮีกเหิมและกล้าหาญตามไปด้วย
       
       ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าดนตรีมีผลเป็นอย่างมากต่ออารมณ์ของคนเรา ในปัจจุบันการให้เด็กออทิสติกหรือเด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ได้ฟังเพลงประเภทต่างๆจะช่วยให้เขาได้ผ่อนคลาย มีความก้าวร้าวทางอารมณ์ลดลง มีการแสดงออกทางอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้นและมีความพร้อมในการเรียนรู้ได้ดีมากขึ้นด้วย

 

 

                    ดนตรีมีอะไรมากกว่าที่คิดจริง ๆ/ดร.แพง ชินพงศ์ 

 

 

. ดนตรีช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านสติปัญญา มีงานวิจัยมากมายที่ยอมรับว่า ดนตรีสามารถพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ได้ ยิ่งถ้าได้มีการใช้ดนตรีตั้งแต่วัยเด็กด้วยแล้วจะยิ่งเพิ่มศักยภาพของสมองได้มากขึ้นด้วย มีผลการวิจัย (Dr.Thurman) สรุปว่าการที่แม่ตั้งครรภ์ได้ฟังเพลงอย่างสม่ำเสมอทุกวัน จะทำให้ลูกที่คลอดออกมามีพัฒนาการทางร่างกายและไอคิวสมองสูงและมีอารมณ์แจ่มใส
       
       นอกจากนี้ดนตรียังช่วยในเรื่องของการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การคิดอย่างมีระบบและในเรื่องของความจำด้วย ดังนั้น การสนับสนุนให้เด็กได้มีกิจกรรมดนตรีควบคู่ไปกับการเรียน เช่น ได้ร้องเพลง ได้ฟังเพลงที่ชอบ ได้เล่นเครื่องดนตรีที่สนใจ จะมีส่วนช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนในวิชาต่างๆเพิ่มสูงขึ้น เพราะดนตรีช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างความมีเหตุมีผลกับจินตนาการ จึงทำให้มีการคิดวิเคราะห์หาความเป็นเหตุเป็นผลได้ดียิ่งขึ้น
       
       นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าดนตรีนั้นสร้างอัจฉริยะได้จริง บุคคลที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์ต้องยอมรับในสมมติฐานนี้ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ไอน์สไตน์ บุคคลซึ่งถูกยอมรับในเรื่องความฉลาดมากที่สุดคนหนึ่งของโลก นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่าทำไมไอน์สไตน์ถึงมีความฉลาดมากและได้พบคำตอบ ว่า เส้นใยประสาทในสมองของไอน์สไตน์แตกแขนงออกไปอย่างหนาแน่นและสื่อสารกันได้ดี มาก ซึ่งตามหลักการทำงานของสมองนั้น ถ้าหากคนใดมีเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกับเซลล์สมองมากเท่าไร คนนั้นก็ยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่านั้น และในส่วนของไอน์สไตน์นั้นได้ค้นพบว่า ดนตรีมีส่วนในการส่งเสริมศักยภาพการทำงานของสมองของเขาได้มากทีเดียว
       
       ด้วยเพราะไอน์สไตน์เริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและเรียนไวโอลินเมื่อ อายุ 6 ปี ควบคู่ไปกับการเรียนวิทยาศาสตร์ เขาเล่นไวโอลินได้เก่งมากและมีความสุขกับการเรียนรู้ทั้งดนตรีและวิทยาศาสตร์ มีความชื่นชอบผลงานของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงอย่างโมซาร์ต บีโธเฟนและบาร์ค จนมีคำกล่าวของไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า "หากไม่ได้เป็นนักฟิสิกส์ ข้าพเจ้าอาจเป็นนักดนตรี ฝันกลางวันเป็นดนตรี ความสุขส่วนใหญ่ในชีวิต ล้วนมาจากดนตรี" นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนยอมรับว่าดนตรีมีส่วนสำคัญที่สามารถส่งเสริมความสามารถในการทำงานของสมองได้อย่างดีเยี่ยมมากจริง ๆ
       
       จะเห็นได้ว่า "ดนตรีเป็นเรื่องของเสียงที่มีอะไรมากมายกว่าที่คิด" พ่อแม่บางคนไม่สนับสนุนให้ลูกได้ทำกิจกรรมดนตรีเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระและเสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปเรียนอย่างอื่นได้ประโยชน์กว่า แต่จริงๆแล้วการได้ทำกิจกรรมดนตรีมีประโยชน์มากมายทั้งต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ที่สำคัญดนตรีทำให้คนมีความสุข อะไรเป็นความสุขก็ควรหยิบยื่นให้กับคนที่เรารัก เพราะความสุขทำให้เกิดผลดีในทุกสิ่งได้ และความสุขนั้นก็ได้ง่ายๆจากดนตรี

 

 

 

 

 

 

ป.ป.ช. ตั้งอนุ กก. ไต่สวน ยิ่งลักษณ์-33 รมต. ปมโยก ถวิล เปลี่ยนศรี

 

 

 

        

 

 ป.ป.ช. ตั้งอนุ กก. ไต่สวน ยิ่งลักษณ์-33 รมต. ปมโยก ถวิล เปลี่ยนศรี เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ป.ป.ช. ตั้ง วิชัย วิวิตเสวี นั่งประธานอนุกรรมการไต่สวน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับอดีตรัฐมนตรี 33 คน ปมโยก ถวิล เปลี่ยนศรี โดยมิชอบ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยภายหลังได้รับแต่งตั้งเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับอดีตรัฐมนตรี 33 คน ตามความผิดตามข้อกล่าวหากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ตามพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 66

 

กรณีย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ว่า ขณะ นี้ คณะอนุกรรมการได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งดังกล่าวไปยังผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดแล้ว เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาแจ้งหากมีการคัดค้านรายชื่ออนุกรรมการตามกฎหมาย และก่อนที่จะมีการนัดประชุมอนุกรรมการไต่สวนนัดแรก ทางเจ้าหน้าที่ได้เร่งจัดทำแผนการดำเนินการไต่สวนอยู่ เพื่อเตรียมไว้นำเสนอในที่ประชุม สำหรับ ประเด็นการพิจารณาคดีซ้ำซ้อนกับศาลรัฐธรรมนูญนั้น ต้องขอชี้แจงว่า เป็นการพิจารณาคนละส่วนกัน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาและตัดสินในส่วนของการดำรงตำแหน่งทางการเมือง เท่านั้น ไม่ได้มีการชี้มูลความผิดในส่วนของคดีอาญา แต่ในส่วนของ ป.ป.ช. นั้น เรื่องการพิจารณาว่ามีความผิดทางอาญาหรือไม่นั้น คงต้องดูที่เจตนาของผู้ถูกกล่าวหาอีกครั้งว่า มีเจตนาทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดเสียหาย หรือเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่

 

ดังนั้น หากพิจารณาออกมาแล้ว พบว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดจริง ป.ป.ช. ก็ต้องวินิจฉัยไปว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายตามข้อกล่าวหาและเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือไม่ โดยยึดหลักความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 นายวิชัย กล่าวถึงระยะเวลาในการพิจารณาปมโยก ถวิล เปลี่ยนศรี โดยมิชอบ ว่า คงใช้เวลาในการพิจารณาไม่นาน เพราะเหลือเพียงการเชิญคนมาให้ถ้อยคำ มายืนยันในถ้อยคำที่ให้ไว้ในศาลเท่านั้น ส่วนเอกสารต่าง ๆ อาทิ สำนวนจากศาลรัฐธรรมนูญ สำนวนศาลปกครอง รวมถึงเอกสารคำสั่งต่าง ๆ จากสำนักนายกรัฐมนตรี ทางคณะกรรมการไต่สวนได้จัดเตรียมไว้แล้ว 

 

 

 

 

      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

576446

 

 

 

 

ศาลอิหร่านสั่งขัง 1 ปี กองเชียร์สาว หลังพยายามเข้าชมการแข่งขันตบลูกยางชายเมื่อปี 2012

 

สื่อต่างประเทศรายงาน ศาลอิหร่านสั่งตัดสินจำคุก 1 ปี สำหรับสาวลูกครึ่งอังกฤษ-อิหร่าน วัย 25 ปี ที่พยายามเข้าชมการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลชายเมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา ซึ่งอิหร่านมีคำสั่งห้ามผู้หญิงเข้าชมการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลชาย เช่นเดียวกับการแข่งขันฟุตบอล ด้วยเหตุผล ว่าต้องปกป้องผู้หญิงจากการถูกทำอนาจารจากผู้ชมเพศชายในระหว่างการแข่งขัน ซึ่ง Ms.Ghavami ถูกปล่อยตัวหลังถูกตั้งข้อหา ก่อนจะถูกดำเนินการตามกระบวนการของศาลและถูกศาลสั่งลงโทษในที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม ลูกครึ่งสาวคนเดียวกันถูกดำเนินคดีอีกครั้งหลัง ออกประท้วงเรียกร้องหาความยุติธรรมของกระบวนการตัดสินของศาล

 

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ ได้รับรายงานตั้งแต่เกิดเรื่องแต่การช่วยเหลือพลเมืองอังกฤษในอิหร่านนั้นมีขีดจำกัด

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

 

 offside เป็นหนังที่เล่าเรื่องของกลุ่มเด็กผู้หญิงที่มีใจรักในฟุตบอล และมี ความต้องการอย่างมากที่จะเข้าไปดูฟุตบอลนัดสำคัญ ที่จัดขึ้นที่สนาม เตหะราน สเตเดี้ยม ในการแข่งขันระหว่างทีมชาติอิหร่าน กับ ทีมชาติ บาเรนห์ ในปี2005 ซึ่งนัดนี้เป็นนัดชี้ชะตาว่าทีมไหนจะได้เข้าไปเล่น ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และจากความสำคัญของฟุตบอลนัดนี้ทำให้ แม้แต่เด็กผู้หญิงก็อยากจะมีส่วนร่วมกับฟุตบอลนัดประวัติศาสตร์นี้ พวกเธอแต่ละคนจึงพยายามปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อที่จะเข้าไปในสนาม และยอมแม้กระทั้งซื้อตั๋วในราคาแพงเพื่อจะเข้าไป บางคนถึงขั้นปลอม ตัวเป็นทหารเพื่อที่จะเข้าไปในสนาม แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ถูก ทหารจับกุมตัวเอาไว้ และเรื่องราวแทบทั้งเรื่องก็ดำเนินขึ้นภายใต้การ โดนกังขังของเด็กผู้หญิงกลุ่มนี้ offside เป็นหนังที่ถูกเล่าผ่านการวิธีการ แบบดิบๆ เพราะหนังดูเป็นสารคดีเอามากๆ ปานาฮีไม่ได้ใส่เทคนิคเข้า ไปจนทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นภาพยนตร์

 

อันที่จริงมันก็เป็นสไตล์ของ ปานาฮีอยู่แล้วที่หนังของเขาจะถูกสร้างให้ออกมาในเชิงสารคดี แต่ทว่าการเล่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้ทำให้ตัวหนังกลายเป็นหนังน่าเบื่อ ถึงแม้ว่าตัวเนื้อหาเองก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเพราะก็เป็นเพียงแค่การเฝ้าดูกลุ่มเด็กผู้หญิงที่ถูกกักขังไม่ให้เข้าไปดูฟุตบอล แต่หนังกลับสร้างความเพลิดเพลินให้กับคนดู มันกลับกลายเป็นหนังที่น่าติดตาม คนดูได้รับความสนุกสนานจากการวิวาทกันของตัวละครกลุ่มผู้หญิงและกลุ่มทหารที่เป็นผู้ดูแลสนาม และในขณะเดียวกันหนังก็ทำให้คนดูเกิดการอยากรู้สถานการณ์ในสนามเช่นเดียวกับกลุ่มผู้หญิงในเรื่องที่ก็อยากจะรู้ ในขณะที่ฟุตบอลในสนามดำเนินไป กลุ่มเด็กผู้หญิงก็พยายามเรียกร้องสิทธิของตัวเองพวกเธอตั้งคำถามถึงการจับกุมพวกเธอว่าพวกเธอทำผิดอะไร ทำไมพวกเธอถึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปชมฟุตบอลในสนาม คำถามพวกนี้ไม่ใช่เพียงคำถามที่ตัวละครถามกันในหนัง แต่นี่คือการตั้งคำถามของปานาฮีต่อรัฐบาลอิหร่าน และต่อประเทศอิหร่าน ว่าเหตุผลอะไรที่เป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์ สิทธิ ข้อห้าม ในประเทศอิหร่าน

 

ปานาฮีเคยกล่าวว่า กฎเกณฑ์ สิทธิ ข้อห้าม ในประเทศอิหร่านเป็นเรื่องที่คลุมเครือเหลือเกิน เหมือนกับกฎที่ว่าห้ามผู้หญิงอิหร่านเข้าไปดูฟุตบอลสดๆในสนาม อันเนื่องจากไม่ต้องการให้พวกเธอเห็นพฤติกรรมก้าวร้าว และการปล่อยถ้อยคำหยาบคายจากผู้ชายที่เข้าชมการแข่งขัน เพราะไม่มีใครสามารถควบคุมผู้ชายไม่ให้พูดคำเหล่านั้นได้ ผู้หญิงอย่างพวกเธอจึงกลายเป็นคนรับผลจากการกระทำนั้น ประเด็นสำคัญที่หนังเรื่องนี้ตั้งคำถามเกือบตลอดทั้งเรื่อง ก็คือในเมื่อผู้หญิงชาวมุสลิมไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด แล้วเหตุใดจึงต้องเข้มงวดกับพวกเธอมากกว่าผู้ชาย? การป้องกันไม่ให้ผู้หญิงเห็นและกระทำสิ่งที่ไม่ดีงามแท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงการกีดกันสิทธิอันพึงมีของพวกเธอโดยไร้เหตุผล

 

และในเรื่องเอง ในฉากที่ผู้หญิงคนหนึ่งถามนายทหารว่า"ทำไมในตอนที่ทีมญี่ปุ่นมาแข่งที่สนามแห่งนี้ผู้หญิงญี่ปุ่นถึงได้รับอนุญาติให้เข้าไปในสนาม" ทหารตอบได้แค่เพียง"ก็นั่นมันคนญี่ปุ่น เขาพูดคลละภาษากับเรา ตอนที่ผู้ชายด่า หรือพูดหยาบคาย ผู้หญิงญี่ปุ่นไม่เข้าใจ" ผู้หญิงจึงถามกลับว่า'แบบนี้ก็แปลว่าปัญหาคือผู้ชายพูดหยาบคาย' ทหารกลับตอบว่า'ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะผู้ชายกับผู้หญิงห้ามนั่งด้วยกัน" ผู้หญิงเถียงว่า"แล้วทำไมในโรงหนังนั่งได้ ในนั้นมืดด้วยนะ" นายทหารจบการสนทนาด้วยประโยคที่ว่า "ฉันไม่ใช่หัวหน้านะ" แบบนี้ก็แปลว่ากฎเกณฑ์ สิทธิ ข้อห้าม ในอิหร่านไม่มีเหตุผลจริงๆสินะ หรือเหตุผลหนะมีเพียงแต่คนทั่วไปไม่อาจเข้าใจ จะต้องเป็นผู้นำประเทศเท่านั้นถึงจะเข้าใจว่าทำไม หรืออะไรที่เป็นตัวกำหนด กฎเกณฑ์ สิทธิ ข้อห้ามนั้นขึ้นมา เห็นได้ชัดเลยว่าประเด็นที่ปานาฮีต้องการตั้งคำถาม ทำให้หนังเรื่องนี้เหมาะที่จะใช่ชื่อว่า offside เพราะจริงๆแล้ว offside หรือการล้ำหน้า ก็เป็นกฏทางฟุตบอลที่ว่ากันว่ามันคือกฎที่ซับซ้อนและสับสนที่สุดของกีฬาฟุตบอล

 

นอกจากหนังจะเสนอเรื่องสิทธิของผู้หญิงแล้ว หนังยังพูดถึงเรื่องของความไม่เข้มแข็งและความสับสนของผู้ที่มีหน้าที่รักษาอำนาจรัฐ อันที่จริงอาจเป็นเพราะอำนาจรัฐที่คลุมเครือที่ทำให้แม้แต่ผู้ที่มีหน้าที่รักษามันยังไม่สามารถเข้าใจมันได้เลย พวกนายทหารทำได้เพียงแค่ทำตามคำสั่งของหัวหน้าอีกทีโดยที่ก็ไม่ได้เข้าใจกฏนั้นอย่างจริงจัง ปานาฮีเองก็อาจต้องการจะบอกคนดูถึงประเด็นนี้ว่า ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มเด็กผู้หญิงเท่านั้นที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรมนี้ แต่นายทหารกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มคนที่ถูกอำนาจรัฐกดเอาไว้เช่นเดียวกัน พวกเขาก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาอยากจะทำ นายทหารคนหนึ่งที่ไม่ได้กลับบ้านไปดูแลพ่อแม่ ทำไร่ทำนา อีกคนหนึ่งที่ต้องเสียเวลาส่วนตัวที่จะได้อยู่กับแฟน และอีกหลายๆคนที่ก็เสียสิทธิในชีวิตส่วนตัวเช่นกัน พวกเขาต้องทำตามคำสั่งของหัวหน้า และหากนายทหารเหล่านี้ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้ก็จะต้องถูกลงโทษเช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วทั้งนายทหาร กลุ่มผู้หญิง หรือแม้แต่ผู้คนในประเทศอิหร่าน พวกเขาก็เป็นเพียงประชาชนที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดบางอย่างที่ยังไม่สามารถหาคำตอบให้กระจ่างได้ มีเพียงคำถามค้างคาในใจที่ว่าอำนาจรัฐ ที่กำหนดขึ้นมามีประโยชน์หรือ? หรือมันเป็นแค่เพียงการแสดงอำนาจของรัฐบาลที่ต้องการความเป็นใหญ่ในสังคม

 

อารมณ์ร่วมที่หนังสร้างให้กับคนดู ตลอดระยะเวลาชั่วโมงกว่าๆของหนัง ถึงแม้คนดูจะไม่ได้เห็นการแข่งขันในสนามฟุตบอล แต่คนดูกลับได้รับความรู้สึกตื่นเต้นปนอึดอัด รวมทั้งความกระวนกระวายราวกลับว่าเราเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้หญิงที่อยากจะรู้เรื่องราว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามฟุตบอล ปานาฮีสร้างให้หนังของเขาสมจริง จนเราก็เผลอหลุดเขาไปในสิ่งที่เขาสร้าง และฉากที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีก็คือฉากที่สร้างความสนุกสนานบนการจิกกัดเสียดสีในความไม่เท่าเทียมของสิทธิสตรี ก็คือฉากที่นายทหารคนหนึ่งต้องพาหนึ่งในกลุ่มผู้หญิงไปเข้าห้องน้ำ มุขตลกเล็กๆที่ปานาฮีใส่ลงไปก็คือการที่นายทหารคนนั้นให้ผู้หญิงใส่หน้ากากที่เป็นหน้านักฟุตบอล และยิ่งทวีความสับสนอลมานปนความสนุกเล็กๆเมื่อนายทหารทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าห้องน้ำ และกับคำสั่งที่ฮาที่สุดคือให้ปิดตาเข้าห้องน้ำเพราะในห้องน้ำชายจะมีข้อความที่ไม่เหมาะสม ที่ผู้หญิงไม่ควรจะเห็น จากฉากนี้จะเห็นว่าไม่ใช่แค่อารมณ์ขันเล็กๆที่ปานาฮีใส่ไปแต่มันเต็มไปด้วยคำถามที่ว่า ผู้หญิงไม่มีสิทธิขนาดนั้นเลยหรือ

 

ในฉากเข้าห้องน้ำนี่เองที่สร้างสิ่งที่นายทหารจะต้องจดจำเอาไว้ เพราะผู้หญิงที่เข้าห้องน้ำเธอได้โอกาสในการหลบหนีจากการช่วยเหลือของกลุ่มผู้ชายที่จะมาเข้าห้องน้ำ และเมื่อเธอหนีไปได้แล้ว นายทหารคนนั้นก็เดินกลับมายังจุดที่กักตังผู้หญิงคนอื่นๆเอาไว้ พร้อมกับความเครียดระหว่างเขาและเพื่อนทหารด้วยกัน เพราะการที่เขาปล่อยให้นักโทษหนีไปจะทำให้เขาได้รับการลงโทษ และเพื่อนทหารคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มก็เครียดสุดๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้หญิงคนที่หนีไป ก็เดินกลับมาเองและเข้าไปในบริเวณที่กักตัว เพื่อนๆผู้หญิงถามว่าเหตุผลอะไรเธอถึงกลับมาทั้งๆที่มีโอกาสเข้าไปแล้ว เธอตอบเพียงว่า เธอสงสารนายทหาร มันคือฉากที่แสดงความเป็นผู้หญิงที่น่ายกย่อง เขาจับตัวเธอมาขังเอาไว้ โดยไม่คิดจะช่วยเธอ เพราะเขาบอกว่ามันคือหน้าที่ ที่ต้องทำ แต่เมื่อเธอได้รับโอกาสหนี เธอกลับใช้มันแค่เพียวระยะเวลาสั้นๆและยอมเดินกลับมายังที่ขัง เพียงเพราะความสงสารที่มีต่อนายทหารคนนั้น ผู้หญิงไม่ได้ทำผิดอะไรเลย หนังเรื่องนี้ยกย่องผู้หญิงเป็นอย่างมากเพราะนอกจากพวกเธอจะต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเองแล้ว พวกเธอยังยอมทำเพื่อคนอื่นอีกด้วย

 

สุดท้ายคนดูอาจตั้งคำถามว่าปานาฮีทำการวิพากษ์ประเทศและศาสนาของตัวเองไปเพื่ออะไร แต่เราก็จะได้คำตอบในที่สุดว่า หนังไม่ได้มีเจตนาจะตั้งคำถามต่อศาสนาอิสลามเพราะที่จริงแล้วกฎของศาสนามุ่งเน้นให้เกิดความเท่าเทียมกันของผู้หญิงและผู้ชาย หนังเพียงแค่ตั้งคำถามกับความเท่าเทียมที่สังคมควรมี กับกฎหมายที่คลุมเครือ และการสร้างความเป็นชาตินิยมที่ไม่ได้คลั่งการรักชาติจนขาดสติ ส่วนฉากสุดท้ายที่ตัวละครทุกตัวในเรื่องรวมทั้งคนอิหร่านทั้งประเทศที่ร้องเพลง และส่งเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี และการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติที่ต่างพากันหวังถึงอนาคตของชาติ และผลการแข่งขันนั้นก็เท่ากับเป็นการทำให้พวกเธอได้มีความสุขกับชัยชนะทั้งของชาติและของพวกเธอ ถึงแม้ชัยชนะนี้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆก็ตาม

 

แต่แล้วชะตากรรมของoffside ก็ดูจะไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือความเห็นใจจากอำนาจรัฐ เพราะ offside ยังคงเป็นหนังอีกเรื่องของปานาฮีที่ถูกสั่งห้ามฉายในประเทศอิหร่าน ปานาฮีทำได้แค่เพียงหวังว่าสักวัน หนังของเขาจะได้รับโอกาสในการเข้าฉายในบ้านเกิดของเขา

 

ทว่าการไม่ได้เข้าฉายของ offside ไม่ได้แปลว่าหนังไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อประเทศ เพราะในที่สุดแล้วในเดือนเมษายน ปี 2006 ประธานาธิบดี มาห์มูด อาห์มาดิเนจัด ของอิหร่านประกาศว่าอาจจะมีการสำรองที่นั่งพิเศษในสเตเดี้ยมสำหรับผู้หญิงและครอบครัวซึ่งเสมือนเป็นการตอบรับข้อเรียกร้องของกลุ่มสิทธิสตรี ท่ามกลางเสียงคัดค้านของ 6 อายะตุลเลาะห์ระดับอาวุโส (อายะตุลเลาะห์ ตำแหน่งสูงสุดที่มอบให้กับผู้นำศาลนาอิสลามนิกายชีอะห์) และบรรดาสมาชิกวุฒิสภาหลายคนซึ่งเห็นว่าเป็นการผิดกฎหมายอิสลามที่ห้ามให้หญิงสาวเห็นร่างกายชายแปลกหน้าแม้ว่านั่นจะเป็นการกระทำที่ไม่ได้เจตนาก็ตามทั้งนี้ท่านประธานาธิบดีมองว่าการออกมาเชียร์กีฬาของผู้หญิงกับครอบครัวนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหายแล้วในปัจจุบัน และยังจัดที่นั่งที่ดีที่สุดของสเตเดี้ยมให้อีกด้วย ถือเป็นการพบกันครึ่งทาง และเป็นสัญญาณอันดีต่ออนาคตในด้านสิทธิและความเท่าเทียมกันในสังคม

 

offside ไม่ได้เป็นแค่เพียงการล้ำหน้าของกลุ่มผู้หญิงในเรื่องเท่านั้น เพราะoffside คือการล้ำหน้าของ ปานาฮีด้วย เพราะปานาฮีได้ใบแดงจากการล้ำหน้าครั้งนี้พร้อมกับการลงโทษที่รุนแรงเกินกว่าที่ตัวเขาได้คิดเอาไว้ จากการล้ำหน้านี้ทำให้ปานาฮีถูกจำกุมในข้อหา "กระทำการอันขัดต่อรัฐบาลอิหร่าน" และถูกตัดสินจำคุก 6 ปี รวมถึงไม่ได้รับอนุญาตให้สร้างภาพยนตร์ เขียนบทภาพยนตร์ เดินทางไปต่างประเทศ และห้ามให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศเป็นเวลา 20 ปี

 

มอง offside ผ่านปานาฮี อาจได้ความหมายบางอย่าง เพราะการที่ปานาฮีซึ่งเป็นอิหร่านแท้ ที่ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ที่อิหร่าน ลุกขึ้นมาทำหนังเสียดสีสังคมนั่น เขาอาจเป็นตัวแทนของคนอิหร่านที่ต้องการลุกขึ้นมาสู้กับรัฐ เพียงแต่จะเห็นว่าเขาก็ยังไม่กล้าที่จะลุกขึ้นสู้อย่างโจ่งแจ้ง หรือจิกกัดรัฐอย่างดุเดือด เพราะ offside เองก็เป็นหนังที่เพียงต้องการให้เกิดการถกเถียงถึงเรื่องสิทธิในสังคมเท่านั้น หนังไม่ได้ต้องการสั่งให้รัฐต้องเปลี่ยนแปลง ปานาฮีเล่าเรื่องราวการเรียกร้องสิทธิผ่านความเป็นธรรมชาติของนักแสดง จึงไม่แปลกที่ถึงแม้หนังจะไม่ได้ใช้เทคนิคในการเล้าอารมณ์คนดู หรือไม่ได้จัดแจงองค์ประกอบภาพให้สวยงามวิจิตรบรรจง แต่หนังกลับเข้าไปแทรกอยู่ในจิตใจของคนดู และกลายเป็นหนังที่เร้าอารมณ์คนดู และสร้างการรับรู้ สร้างอารมณ์ร่วมของคนดูต่อตัวหนังได้เป็นอย่างดี 

 

 

               

 

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือ กฎหมายอิหร่าน
ในรูปคือAmeneh Bahrami สาวอิหร่านผู้ถูกสาดน้ำกรดจนเสียโฉมและตาบอด....กฎหมายอิหร่าน ลงโทษโดยการสาดกลับผู้กระทำจนตาบอด

 

 

 

 

คนอิหร่านร้อยละ 98 นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ อีกร้อยละ 2 นับถือศาสนาอื่นเช่นคริสต์ โซโรแอสเตอร์ และยูดาย  คนอิหร่านส่วนมาก โดยเฉพาะผู้มีอายุ จะเคร่งครัดกับหลักศาสนาอิสลามในการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน ผู้ที่จะเดินทางมาอิหร่านควรทราบหลักการสำคัญทางศาสนาอิสลามเพื่อการปฏิบัติตน เช่นหลักการแบ่งแยกหญิงชาย ข้อห้ามทางต่างๆ ในศาสนาอิสลาม เพราะในประเทศอิหร่าน ข้อห้ามหลักๆ ทางศาสนาถือเป็นกฎหมายบ้านเมืองที่มีบทลงโทษรุนแรง

โดยพื้นฐานชาวอิหร่านมีความเป็นมิตร ชอบพูดคุยทักทายและชอบขอถ่ายรูปกับคนต่างชาติ (แม้จะมีไม่บ่อยนักแต่ท่านควรปฏิเสธในทุกกรณีเมื่อมีเพศตรงข้ามมาขอถ่ายรูปคู่และท่านก็ไม่ควรขอถ่ายรูปคู่กับเพศตรงข้าม แม้ว่าจะเป็นเพื่อนเก่าและแม้จะอยู่ในอาคารหรือในที่พักเนื่องจากบางครั้บตำรวจอาจขอตรวจรูปในกล้องของท่านและส่งตัวท่านออกนอกประเทศได้เนื่องจากเป็นการแสดงความใกล้ชิดกับผู้ที่ไม่ใช่คู่ครองซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอิหร่าน) เนื่องจากชาวต่างชาติในอิหร่านมิได้มีเป็นจำนวนมากนัก  ฉะนั้น เมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามาเดินบนท้องถนนในอิหร่าน ชาวต่างชาติมักจะถูกจ้องมองโดยชาวอิหร่าน จนบางครั้งท่านจะรู้สึกเขินอาย โดยที่ชาวจีนเข้ามาทำการค้าขายและธุรกิจมากกว่าคนชาติอื่นในเอเซีย และละครทีวีเกาหลีเป็นที่นิยมมากในอิหร่าน เมื่อคนอิหร่านพบคนไทย (โดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีน) จึงมักเข้าใจว่าเป็นคนจีน ("ฉินนี่”) หรือคนเกาหลี ("โคเรีย”)

เนื่องจากผ่านภาวะความยากลำบากและภาวะสงครามมามาก คนอิหร่านจึงมีนิสัยประหยัด ไม่ชอบจับจ่ายใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย หากสิ่งของใดเสียก็จะซ่อมจนกว่าจะซ่อมไม่ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องดี อย่างไรก็ตามชาวอิหร่านมีอุปนิสัยใจกว้างกับแขกและชอบรับแขก โดยเฉพาะแขกต่างชาติ โดยหากเป็นแขกของตนแล้วชาวอิหร่านจะแย่งออกค่าอาหารและค่าน้ำ ชาวอิหร่านชอบชวนแขกหรือเพื่อนไปที่บ้าน โดยถือเป็นมารยาทและเป็นหน้าเป็นตาเจ้าของบ้าน ชาวอิหร่านจะจัดขนมและอาหารรับแขกอย่างเต็มที่และเต็มใจ และจะไม่ประหยัดกับการรับแขกของตน

ชาวอิหร่านในปัจจุบันมีความสะอาดส่วนบุคคลค่อนข้างดี อย่างไรก็ตามเนื่องจากการแต่งกายมิดชิดและการไม่ใช้เครื่องหอมตามหลักศาสนาอิสลาม กอรปกับอาหารที่มีเครื่องเทศและหัวหอมใหญ่ เมื่อรวมกับอากาศในหน้าร้อนของอิหร่าน ทำให้คนต่างชาติโดยเฉพาะจากเอเชียตะวันออก รู้สึกว่าคนอิหร่านมีกลิ่นตัวแรง ซึ่งความจริงแล้วบางครั้งเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องของการไม่รักษาความสะอาด แต่เป็นเรื่องของค่านิยมและวัฒนธรรมมากกว่า โดยความจริงแล้วชาวอิหร่านที่เคร่งศาสนาจะต้องชำระล้างและทำความสะอาดร่างกายก่อนทำพิธีละหมาด (เท่ากับอย่างน้อยต้องทำความสะอาดร่างกายอย่างน้อยวันละห้าครั้ง) และการรักษาความสะอาดร่างกายถือเป็นบัญญัติทางศาสนาด้วย อย่างไรก็ดี ห้องน้ำในอิหร่านจะเป็นแบบนั่งยอง (เป็นไปตามหลักศาสนาและไม่มีโถปัสสาวะให้ท่านชาย) และไม่สะอาดนัก โดยเฉพาะหลายแห่งจะเป็นส้วมหลุม (ไม่มีน้ำหล่อคอห่านแบบส้วมซึม) เป็นสาเหตุให้มีกลิ่นและมีภาพที่ไม่น่าจดจำเท่าใดนัก

อาหารยอดนิยมในอิหร่านคือขนมปัง มีราคาถูกและมีหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบตะวันตกและแบบอิหร่าน โดยชาวอิหร่านเรียกขนมปังทุกชนิดรวมๆ ว่า "นาน” แต่ขนมปังแต่ละชนิดมีชื่อเฉพาะของตัวเอง แต่ที่อร่อยและมีชื่อที่สุดคือแซงแก็ต ซึ่งเป็นขนมปังแผ่นแบนฟูน้อย อบหรือย่างบนก้อนกรวดแม่น้ำ ซึ่งขนมปังชนิดนี้มีรสชาติดีมาก แต่พึงระวังว่าในบางครั้งอาจมีก้อนกรวดติดมากับขนมปังและทำให้ฟันของท่านบิ่นได้  คนอิหร่านนิยมรับประทานนาน (ส่วนใหญ่ตามร้านทั่วไปจะใช้นานราคาถูกซึ่งมีลักษณะเหมือนแป้งแผ่นแบนๆ ไม่ฟู) กับเนื้อสัตว์ย่าง (วัว แกะ ไก่ และปลา) เรียกว่า "คะบับ” และโยเกิร์ต โดยนิยมดื่มนมเปรี้ยวใส่เกลือเรียกว่า "ดู๊ก” ในมื้ออาหาร โดยปกติร้านอาหารจะมีผักเคียงคือหัวหอมใหญ่ดิบและพริกสดให้ฟรี แต่จะไม่เสริฟข้าวโดยอัตโนมัติ โดยปกติบริกรจะถามว่าท่านจะรับข้าวด้วยหรือไม่ ซึ่งถ้ารับท่านจะต้องจ่ายค่าข้าวเพิ่มจากราคาคาบับในเมนู เพราะในอิหร่านข้าวมีราคาแพงกว่าขนมปังมาก เนื่องจากรัฐบาลตรึงราคาแป้งสาลีไว้ ส่วนข้าวนั้นไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการถายในประเทศ จึงต้องนำเข้าข้าว basmati จากอินเดียและปากีสถานเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากหุงแล้วเมล็ดข้าวยาว แห้งและร่วน ถูกปากคนอิหร่าน ดังนั้น แม้ท่านจะยืนยันว่าท่านได้ข้าวแล้วจึงไม่ขอรับนาน  ทางร้านก็จะไม่ลดราคาอาหารให้แต่อย่างใด

            แม้ว่าประเทศอิหร่านจะอยู่ในแถบตะวันออกกลาง แต่คนอิหร่านส่วนมากไม่ใช่ชาวอาหรับ (คนอิหร่านทางตอนใต้ของประเทศจำนวนหนึ่งมีเชื้อสายอาหรับ) เนื่องจากมีภาษาและวัฒนธรรมทีแตกต่างกัน (อิหร่านใช้ภาษา Farsi ซึ่งออกเสียงตามสำเนียงเจ้าของภาษาว่าฟอร์ซี) จึงไม่ถูกต้องและไม่ควรจะเรียกชาวอิหร่านว่าเป็นอาหรับ และคนอิหร่านเชื้อสายเปอร์เซียและอาเซอรีอาจจะไม่ค่อยพอใจนักและรีบออกตัวในทันทีว่าตนไม่ใช่อาหรับ

เดิมประเทศอิหร่านใช้ชื่อประเทศว่าเปอร์เซีย โดยในสมัยต่อมาในช่วงที่เยอรมนีรุ่งเรืองในยุโรป กษัตริย์เปอร์เซียเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นอิหร่าน ซึ่งแปลว่าประเทศของชาวอารยัน (Aryan/ Arian) เพื่อให้ชื่อประเทศมีความเกี่ยวโยงกับเชื้อชาติดังเดิมเพื่อหวังผลทางการเมืองระหว่างประเทศในขณะนั้น และภายหลังการปฏิวัติอิสลามเมื่อปี ค.ศ. 1979 ชื่อทางการของประเทศอิหร่านได้เปลี่ยนเป็น Islamic Republic of Iran จนถึงทุกวันนี้

นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าชาวอิหร่านหรือเปอร์เซียในขณะนั้น เข้ามาค้าขายและเผยแพร่ศาสนาในบริเวณสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี คนไทยนิยมเรียกชาวเปอร์เซียว่า แขกเทศหรือแขกเจ้าเซน โดยชาวเปอร์เซียเฉพาะสมัยพระเจ้าธรรมราชาและพระนารายณ์มหาราชมีชาวอิหร่านเข้ามารับราชการเป็นจำนวนมาก โดยที่สำคัญคือพระยาเฉกอะหมัด (Shake Ahmad) หรือเจ้าพระยาบวรราชนายก ปฐมจุฬาราชมนตรี ต้นสกุลบุนนาค  โดยชาวอิหร่านและลูกหลานไทยผู้สืบเชื้อสายชาวอิหร่านมีมรดกทางวัฒนธรรม ทั้งด้านสถาปัตยกรรม (การก่ออิฐเป็นลายและช่องลม) ภาษาศาสตร์ (คำว่าสบู่และกุหลาบ) และอาหาร (แกงมัสมั่น) ให้ไว้กับสังคมไทยเป็นจำนวนมาก

          .  ชาวอิหร่านมีความรู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดีจากการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และมองภาพลักษณ์ของไทยในทางที่ดี  ทั้งสภาพบ้านเมือง ความเป็นอยู่ วิถีชีวิต แต่ชาวอิหร่านจำนวนไม่น้อยก็มีทัศนคติในทางลบกับผู้หญิงไทยโดยเฉพาะหนุ่มอิหร่านที่เคยผ่านไปเที่ยวพัทยาหรือพัฒนพงศ์

 

                    

 

 

  - ซอสามสาย ที่รวมอยู่ในเครื่องดนตรีไทย มีรูปร่างคล้ายคลึงกับ ซอเขมร ... (อิหร่าน) มีเครื่องดนตรีที่คล้ายกันนี้เรียก กะมานเชะฮ์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                 อันตรายจากการ ‘ถอดถอน’ ย้อนหลัง

   
 

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ เขียนบทวิเคราะห์ ถึง อันตรายจากการ ‘ถอดถอน’ ย้อนหลัง ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุ ส่งเสริม วงจรการหวงอำนาจ เปิดช่องเวลาให้ทุจริตมากขึ้นกว่าเดิม

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติรับพิจารณาถอดถอนนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสูรนนท์ ล่าสุด นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว facebook.com/verapat โดยมีเนื้อหาดังนี้  ใคร ‘หน้าด้าน’ กันแน่ ระหว่าง ‘คนจะถอดถอน’ กับ คนจะถูกถอดถอน’ ?

 

 

22-1

 

 

ผมไม่แน่ใจว่า ในโลกใบนี้ มีที่ไหนที่เขาสามารถ ‘ถอดถอน’ นักการเมืองที่ ‘พ้นจากตำแหน่ง’ ไปแล้ว !?
การ ‘ถอดถอน’ ถือเป็น ‘กระบวนการทางการเมือง’ ซึ่งเกี่ยวโยงกับเรื่อง ‘ความรับผิดชอบทางการเมือง’
หมายความว่า หากนักการเมืองใดถูกกล่าวหาว่าเขาทำผิดทางการเมือง และถูกยื่นให้ต้องถูกถอดถอน นักการเมืองผู้นั้นก็จะมี ‘ทางเลือก’ หลักอยู่ 2 ทาง คือ

 

1. หากสำนึกว่าผิดจริง ก็ ‘ลาออก’ เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง หมายถึงยอมรับว่าตนมีส่วนผิดจริง จึงขอพ้นตำแหน่ง เพื่อให้เรื่องยุติในทางการเมือง (ส่วนคดีความทางกฎหมายก็ไปว่ากันต่อในทางกฎหมาย)
หรือ

 

2. หากมั่นใจว่าตนไม่ผิด ก็ ‘ไม่ลาออก’ และเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการ ‘ถอดถอน’ หากเขามั่นใจว่าเขามีเสียงผู้แทนประชาชนสนับสนุนเขาในทางการเมือง เขาก็ไม่ต้องกลัวอะไร (ส่วนคดีความทางกฎหมายก็ไปว่ากันต่อในทางกฎหมาย ไม่ได้เอามาปนกัน)

 

ด้วยเหตุนี้ การ ‘ถอดถอน’ จึงจำเป็นต้องกระทำในขณะที่นักการเมืองยังอยู่ในตำแหน่ง

 

ตรงกันข้าม หากการ ‘ถอดถอน’ ที่กระทำย้อนหลัง คือ แม้จะได้ ‘ลาออก’ หรือพ้นตำแหน่งไปแล้ว แต่ก็ยังกลับมา ‘ถอดถอน’ กันได้ ผลที่ตามมาก็คือ จะไม่มีนักการเมืองคนใดแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก เพราะถ้ายอมรับผิดแล้วลาออก ก็ยิ่งกลายเป็นยอมรับให้ตัวเองถูกถอดถอน

 

และในที่สุด ก็จะเกิดวงจรหวงอำนาจ นักการเมืองที่ถูกกล่าวหาก็จะพยายามรักษาตำแหน่งไว้เพื่อใช้อำนาจที่เหลือเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่ออยู่ป้องกันไม่ให้มีการถอดถอน หรือร้ายกว่านั้น ก็จะเกิดขั้นตอนการนำการถอดถอนย้อนหลังมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนทางการเมือง เป็นช่องโหว่ให้เกิดการเจรจายอ้นหลังไม่รู้จบ เปิดช่องให้ทุจริตเพิ่มเติมกว่าเดิม เช่น “ผมจะไม่ถอดถอนคนของท่านย้อนหลัง หากท่านยอมช่วยผม 1 2 3 4 5…”

 

ด้วยเหตุนี้ การที่ สนช. ตีความให้เดินหน้าลงมติถอดถอน อดีตประธาน ส.ส. และ ประธาน ส.ว. ที่พ้นตำแหน่งไปแล้ว รวมถึงกำลังจะพิจารณากรณีของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์นั้น จึงส่งผลเป็นการทำลาย ‘หลักความรับชอบทางการเมือง’ และส่งเสริม ‘วงจรการหวงอำนาจ’ เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตัว และเป็นการ ‘เปิดช่องเวลาให้ทุจริตมากขึ้นกว่าเดิม’ เสียด้วยซ้ำ

 

ดังนั้น ต่อไปนี้ หากใครจะบ่นว่า ‘นักการเมืองไทยหน้าด้าน’ ไม่ลาออกเหมือนญี่ปุ่น หรือชอบเล่นพรรคเล่นพวก ก็โปรดอย่าลืมว่า ส่วนหนึ่งของปัญหา ก็คือ บรรดา ‘คนดี’ ที่จะไปถอดถอนคนอื่นแบบไร้หลักคิดดังที่กล่าวมา ด้วยประการฉะนี้ แล
สาธุ

MThai News

 

 

 

 

 

 

 

                      ขยะจากกระทง กว่าจะย่อยสลายนานแค่ไหน (info Graphic)

 

สำนักสิ่งแวดล้อม (สสล.) ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลาย่อยสลายกระทงแต่ละประเภทดังนี้

– กระทงที่ทำจากต้นกล้วย ใบตอง กะลามะพร้าว (ใช้เวลาย่อยสลายประมาณ 14 วัน)
– กระทงที่ทำจากขนมปัง โคนไอศกรีม (ใช้เวลาย่อยสลายประมาณ 3 วัน)
– กระทงที่ทำจากขนมปัง (ใช้เวลาย่อยสลายประมาณ 3 วัน)

– กระทงที่ทำจากกระดาษ (ใช้เวลาย่อยสลายประมาณ 2 – 5 เดือน)
– กระทงที่ทำจากโฟม (ใช้เวลาย่อยสลายประมาณ 50 ปี)
– กระทงมันสำปะหลัง (ใช้เวลาย่อยสลายประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง )

ทั้งนี้มีข้อมูลโดยเฉลี่ยขยะในกรุงเทพมหานครโดยปกติมีมากกว่า 10,000 ตัน/วัน แต่เฉพาะวันลอยกระทงมีจำนวนขยะที่มาจากกระทงเพิ่มขึ้นอีก4,000 ตันต่อวัน ซึ่งเจ้าหน้าที่เทศกิจและหน่วยงานรับผิดชอบต้องเร่งเก็บกระทงในแม่น้ำ คลองและบริเวณจัดงานทั้งหมดก่อนเวลา 6.00น. ของวันรุ่งขึ้น

 

 

 

ขยะจากกระทง กว่าจะย่อยสลายนานแค่ไหน

ขยะจากกระทง กว่าจะย่อยสลายนานแค่ไหน

 

 

 

 

 

 

 

                                                      ตำนานนางนพมาศ

 

๑ ตำนานนางนพมาศ


นางนพมาศเกิดในรัชกาลพญาเลอไท กษัตริย์ที่ 4 แห่งราชวงศ์พระร่วง บิดาเป็นพราหมณ์ชื่อ โชติรัตน์ มีราชทินนามว่า พระศรีมโหสถ รับราชการในตำแหน่งปุโรหิต มารดาชื่อ เรวดี ภายหลังนางนพมาศได้ถวายตัวเข้าทำราชการในราชสำนักสมเด็จพระร่วงเจ้า สันนิษฐานว่ารับราชการในแผ่นดินพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) จนกระทั่งได้รับตำแหน่ง "ท้าวศรีจุฬาลักษณ์" พระสนมเอก

ปรากฏว่า นางนพมาศได้ทำคุณงามความดีเป็นที่โปรดปรานของพระร่วงในกาลต่อมา ที่สำคัญๆ มีอยู่ 3 ครั้ง คือ


ครั้งที่ 1 เข้าไปถวายตัวอยู่ในวังได้ห้าวัน ก็ถึงพระราชพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป นางได้คิดประดิษฐ์โคมเป็นรูปบัวกมุทบาน มีนกเกาะดอกไม้สีสวยๆ ต่างๆ กัน เป็นที่โปรดปรานของพระร่วงมาก


ครั้งที่ 2 ในเดือนห้ามีพิธีคเชนทร์ศวสนาน เป็นพิธีชุมนุมข้าราชการทุกหัวเมือง มีเจ้าประเทศราชขึ้นเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการด้วย ในพิธีนี้พระเจ้าแผ่นดินทรงรับแขกด้วยเครื่องหมากพลู นางนพมาศได้คิดประดิษฐ์พานหมากสองชั้นร้อยกรองด้วยดอกไม้งดงาม พระร่วงทรงโปรดปรานและรับสั่งว่า ต่อไปผู้ใดจะทำการมงคลก็ดี รับแขกก็ดี ให้ใช้พานหมากรูปดังนางนพมาศประดิษฐ์ขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของพานขันหมากเวลาแต่งงาน ซึ่งยังคงใช้จนถึงปัจจุบัน


ครั้งที่ 3 นางได้ประดิษฐ์พนมดอกไม้ ถวายพระร่วงเจ้าเพื่อใช้บูชาพระรัตนตรัย พระร่วงทรงพอพระทัยในความคิดนั้น ตรัสว่า แต่นี้ต่อไปเวลามีพิธีเข้าพรรษาจะต้องบูชาด้วยพนมดอกไม้กอบัวนี้


๒ ส่วนในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ในพระราชนิพนธ์สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 หรือตำนานนางนพมาศ พระสนมเอกของพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย ได้กล่าวถึงการเสด็จประพาสลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน มีรับสั่งให้พระสนมนางในตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ธูปเทียนนำไปลอยหน้าพระที่นั่ง ในคราวนั้นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้ประดิษฐ์กระทงเป็นรูป ดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้รับทราบถึงความหมาย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า "แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการะบูชาพระพุทธบาทนัมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน" ด้วยเหตุนี้ ภายหลังประเพณีของหลวงจึงถูกเรียกว่า "ลอยพระประทีป" ต่อมาชาวบ้านเปลี่ยนเรียกเป็น "ลอยกระทง ทรงประทีป" แล้วเปลี่ยนเป็นลอยกระทงแทนภายหลัง ส่วนรอยพระพุทธบาท เล่ากันว่าพระยานาคได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าทรงเหยียบประดิษฐานไว้บนหาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา (อยู่ในอินเดีย) ครั้นวันเพ็ญเดือน ๑๒ หน้าน้ำ พระยานาคก็จะขึ้นมานมัสการรอยพระพุทธบาท


การลอยกระทงที่คล้าย ๆ กับของไทยเรายังมีในจีน อินเดีย เขมร และพม่า จะต่างกันก็เพียงพิธีกรรมและ ความเชื่อ แม้ในไทยเองก็มีความเชื่อ ความศรัทธาในเรื่องนี้อย่างหลากหลาย เช่น เชื่อว่าลอยกระทงเพื่อ


- บูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า

- บูชาพระอุปคุตเถระ ที่บำเพ็ญบริกรรมคาถาในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล ซึ่งตำนานเล่าว่าเป็น พระเถระที่มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถปราบพญามารได้


- ต้อนรับพระพุทธเจ้าในวันเสด็จกลับจากเทวโลกเมื่อครั้งไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์


- แสดงความขอบคุณ และขอขมาพระแม่คงคาซึ่งเป็นแหล่งน้ำให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ต่าง ๆ


- ระลึกถึงและส่งของไปให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ ตลอดจนสะเดาะเคราะห์หรือลอยทุกข์โศกโรคภัยต่าง ๆ รวมทั้งอธิษฐานเพื่อขอสิ่งที่ปรารถนา
แม้จะเกิดจากความเชื่อที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่คือการระลึกถึงผู้มีพระคุณ ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธองค์ พระแม่คงคา หรือบรรพชนผู้ล่วงลับด้วยการลอยกระทงไปแสดง ความกตัญญูรู้คุณ นั่นเอง นอกจากนี้ในทางวัฒนธรรมวิถีชีวิต ลอยกระทงยังมีคุณค่าต่อเนื่องไปถึง


- คุณค่าต่อครอบครัว ทำให้พ่อ แม่ลูก ได้ทำกิจกรรมด้วยกัน เช่น ช่วยกันประดิษฐ์กระทงและไปลอย ร่วมกัน


- คุณค่าต่อชุมชน ทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน ทำให้มีโอกาสพบปะสังสรรค์ สนุกสนานร่วมกัน ทั้งยังช่วยสืบทอดช่างฝีมือท้องถิ่น


- คุณค่าต่อศาสนา เช่น มีการทำบุญให้ทาน ถือศีลที่วัด หรือบูชารอยพระพุทธบาทนำมาซึ่ง การน้อมรำลึกถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า


- คุณค่าต่อสังคม ทำให้เอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อม ตระหนักถึงความสำคัญของแหล่งน้ำลำคลอง ที่ได้ใช้สอย อำนวยประโยชน์ต่อเราทั้งทางตรงและอ้อม โดยช่วยกันขุดลอกให้สะอาดไม่ทิ้ง สิ่งปฏิกูล


๓. ประพาสลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน มีรับสั่งให้พระสนมนางในตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ธูปเทียนนำไปลอยหน้าพระที่นั่ง ในคราวนั้นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้ประดิษฐ์กระทงเป็นรูป ดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้รับทราบถึงความหมาย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า "แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการะบูชาพระพุทธบาทนัมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน" ด้วยเหตุนี้ ภายหลังประเพณีของหลวงจึงถูกเรียกว่า "ลอยพระประทีป" ต่อมาชาวบ้านเปลี่ยนเรียกเป็น "ลอยกระทง ทรงประทีป" แล้วเปลี่ยนเป็นลอยกระทงแทนภายหลัง ส่วนรอยพระพุทธบาท เล่ากันว่าพระยานาคได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าทรงเหยียบประดิษฐานไว้บนหาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา (อยู่ในอินเดีย) ครั้นวันเพ็ญเดือน ๑๒ หน้าน้ำ พระยานาคก็จะขึ้นมานมัสการรอยพระพุทธบาท


๔. นางนพมาศ
นางนพมาศ เป็นธิดาของพระศรีมโหสถกับนาง เรวดี บิดาเป็นพราหมณ์ปุโรหิตในสมัยพระยาเลอไท นางนพมาศได้ถวายตัวเข้ารับราชการในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท ในยุคสุโขทัย เป็นที่โปรดปรานจนได้เป็นสนมเอกตำแหน่งท้าวศรีจุฬาลักษณ์
นางนพมาศได้เขียนตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ขึ้นเพื่อเป็นหลักประพฤติปฏิบัติตนในการ
เข้ารับราชการของนางสนมกำนัลทั้งหลาย เรื่องนี้แต่งด้วยร้อยแก้วแต่มีคำประพันธ์ลักษณะเป็นกลอนดอกสร้อยแทรกอยู่บ้าง ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าแต่งขึ้นใหม่ในมัยรัตนโกสินทร์ เพราะภาษาที่ใช้แตกต่างจากภาษาที่ใช้ในวรรณคดีที่แต่งในยุคเดียวกันคือ คือศิลาจารึกหลักที่ 1 และ
ไตรภูมิพระร่วง


เนื้อเรื่องในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กล่าวถึงประเพณีต่างๆ ของไทย เช่น การประดิษฐ์
พานหมากสองชั้นรับแขกเมือง การประดิษฐ์โคมลอยรูปดอกกระมุท (ดอกบัว) เพื่อใช้ในพระราชพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป (ลอยกระทง) ซึ่งประเพณีนี้ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หนังสือนางนพมาศ เรื่องนี้มีคุณค่าหลายอย่างคือ


1. คุณค่าทางวรรณคดี เป็นประโยชน์ในการสอบสวนราชประเพณี ขนบธรรมเนียมต่างๆ ในราชสำนัก ตลอดจนการปฏิบัติตนของหญิงชาววัง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน ก็ทรง
สอบค้นจากหนังสือเล่มนี้


2. คุณค่าทางวิชาการช่างสตรี เรื่องนี้เป็นหลักฐานแสดงว่าผู้หญิงไทยมีนิสัยชอบการประดิษฐ์มาตั้งแต่โบราณ ซึ่งการจัดขันหมากรับรองแขกเมืองได้อย่างประณีต เป็นแบบฉบับในการจัดขันหมากในพิธีแต่งงานมาจนทุกวันนี้ และถือว่า ตำรับ
ท้าวศรีจุฬาลักษณ์เป็นตำราการช่างสตรีเล่มแรกของไทย


3. คุณค่าทางด้านอักษรศาสตร์ เรื่องนี้มีคุณค่าทางด้านอักษรศาสตร์น้อยมาก เพราะมี
การดัดแปลงแต่งเติมภาษาและสำนวนผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมมาก
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า นางนพมาศ เป็นกวีหญิงคนแรก
ผู้แต่ง นางนพมาศ


ทำนองการแต่ง แต่งเป็นคำร้อยแก้ว มีร้อยกรองแทรกอยู่บ้าง
วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพื่อให้คำแนะนำตักเตือนแก่ข้าราชสำนักฝ่ายในในการปฏิบัติตนให้เหมาะสม ให้เป็นกิริยามารยาทดีงาม และเป็น
การสรรเสริญพระมหากษัตริย์ด้วย
สาระสำคัญ เนื้อหาของเรื่องนางนพมาศ มีเนื้อเรื่องเป็นอันเดียวกันหมด ตอนต้นเป็นข้อความปรากฏในบานแพนก กล่าวถึงนางนพมาศ จากนั้น
กล่าวถึงชาติและภาษาต่างๆ สภาพความเป็นอยู่ของกรุงสุโขทัย ยอเกียรติพระร่วงเจ้า และกล่าวถึงกำเนิดนางนพมาศ การถวายตัวเข้ารับราชการฝ่าย
ในข้อที่ควรปฏิบัติของกุลสตรี และปะเพณีต่างๆ ที่กระทำในสมัยสุโขทัย เช่น เดือนสิบสองมีพระราชพิธีจองเปรียง เดือนอ้ายมีพระราชพิธีตรียัม-
ปวายหรือพิธีโล้ชิงช้า เดือนยี่มีพิธีเถลิงพระโคกินเลี้ยง เดือนสามมีพระราชพิธีเผาข้าว ฯลฯ นอกจากนั้นยังกล่าวสั่งสอนความประพฤติของข้าราชการฝ่ายใน


ตัวอย่างในนางนพมาศ
ข้อปฏิบัติของนางนพมาศ


"พึงให้ทราบว่า ข้าน้อยนพมาศ พึงกระทำกิจในสมเด็จพระร่วงเจ้ากรุงพระมหานครสุโขทัย ตั้งจิตคิดสิ่งซึ่งเป็นที่ควรกับเหตุ ถูกต้องพระ
ราชอัชฌาสัยพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้ปรากฏชื่อเสียงว่า เป็นสตรีนักปราชญ์ฉลาดในวิชาช่างอยู่ชั่วกัลปาวสาน"


การประดิษฐ์โคมในพระราชพิธีจองเปรียง
"ข้าพระองค์สำคัญใจคิดเห็นว่าเป็นนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือนสิบสอง พระจันทร์แจ่มแสงปราศจากเมฆมลทิน อันว่าดวงดอกชาติโกสุมประ-
ทุมมาลย์มีแต่จะแบ่งบานกลีบรับแสงอาทิตย์ ถ้าชาติอุบลเหล่าใดบานผกาเกสรรับแสงจันทร์แล้วก็ได้ชื่อว่า ดอกกระมุท ข้าพระองค์จึงทำโคมลอย
เป็นรูปดอกกระมุท ซึ่งบังเกิดมีอยู่ยังนัมมทานที อันเป็นที่พระบวรพุทธบาทประดิษฐาน"
คุณค่าและประโยชน์


๑. ด้านสังคม เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่และสภาพสังคมในสมัยสุโขทัย แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของสุโขทัย ชนชอบทำบุญและรื่นเริงจิตใจ


๒. ด้านวัฒนธรรมประเพณี กล่าวถึงการประพฤติปฏิบัติและการวางตนของสตรี ประเพณีของข้าราชสำนักฝ่ายใน


๓. ด้านอักษรศาสตร์ สำนวนอ่าน๑ ตำนานนางนพมาศ
นางนพมาศเกิดในรัชกาลพญาเลอไท กษัตริย์ที่ 4 แห่งราชวงศ์พระร่วง บิดาเป็นพราหมณ์ชื่อ โชติรัตน์ มีราชทินนามว่า พระศรีมโหสถ รับราชการในตำแหน่งปุโรหิต มารดาชื่อ เรวดี ภายหลังนางนพมาศได้ถวายตัวเข้าทำราชการในราชสำนักสมเด็จพระร่วงเจ้า สันนิษฐานว่ารับราชการในแผ่นดินพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) จนกระทั่งได้รับตำแหน่ง "ท้าวศรีจุฬาลักษณ์" พระสนมเอก
ปรากฏว่า นางนพมาศได้ทำคุณงามความดีเป็นที่โปรดปรานของพระร่วงในกาลต่อมา ที่สำคัญๆ มีอยู่ 3 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 เข้าไปถวายตัวอยู่ในวังได้ห้าวัน ก็ถึงพระราชพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป นางได้คิดประดิษฐ์โคมเป็นรูปบัวกมุทบาน มีนกเกาะดอกไม้สีสวยๆ ต่างๆ กัน เป็นที่โปรดปรานของพระร่วงมาก
ครั้งที่ 2 ในเดือนห้ามีพิธีคเชนทร์ศวสนาน เป็นพิธีชุมนุมข้าราชการทุกหัวเมือง มีเจ้าประเทศราชขึ้นเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการด้วย ในพิธีนี้พระเจ้าแผ่นดินทรงรับแขกด้วยเครื่องหมากพลู นางนพมาศได้คิดประดิษฐ์พานหมากสองชั้นร้อยกรองด้วยดอกไม้งดงาม พระร่วงทรงโปรดปรานและรับสั่งว่า ต่อไปผู้ใดจะทำการมงคลก็ดี รับแขกก็ดี ให้ใช้พานหมากรูปดังนางนพมาศประดิษฐ์ขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของพานขันหมากเวลาแต่งงาน ซึ่งยังคงใช้จนถึงปัจจุบัน


ครั้งที่ 3 นางได้ประดิษฐ์พนมดอกไม้ ถวายพระร่วงเจ้าเพื่อใช้บูชาพระรัตนตรัย พระร่วงทรงพอพระทัยในความคิดนั้น ตรัสว่า แต่นี้ต่อไปเวลามีพิธีเข้าพรรษาจะต้องบูชาด้วยพนมดอกไม้กอบัวนี้
๒ ส่วนในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ในพระราชนิพนธ์สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 หรือตำนานนางนพมาศ พระสนมเอกของพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย ได้กล่าวถึงการเสด็จประพาสลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน มีรับสั่งให้พระสนมนางในตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ธูปเทียนนำไปลอยหน้าพระที่นั่ง ในคราวนั้นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้ประดิษฐ์กระทงเป็นรูป ดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้รับทราบถึงความหมาย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า "แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการะบูชาพระพุทธบาทนัมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน" ด้วยเหตุนี้ ภายหลังประเพณีของหลวงจึงถูกเรียกว่า "ลอยพระประทีป" ต่อมาชาวบ้านเปลี่ยนเรียกเป็น "ลอยกระทง ทรงประทีป" แล้วเปลี่ยนเป็นลอยกระทงแทนภายหลัง ส่วนรอยพระพุทธบาท เล่ากันว่าพระยานาคได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าทรงเหยียบประดิษฐานไว้บนหาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา (อยู่ในอินเดีย) ครั้นวันเพ็ญเดือน ๑๒ หน้าน้ำ พระยานาคก็จะขึ้นมานมัสการรอยพระพุทธบาท
การลอยกระทงที่คล้าย ๆ กับของไทยเรายังมีในจีน อินเดีย เขมร และพม่า จะต่างกันก็เพียงพิธีกรรมและ ความเชื่อ แม้ในไทยเองก็มีความเชื่อ ความศรัทธาในเรื่องนี้อย่างหลากหลาย เช่น เชื่อว่าลอยกระทงเพื่อ

- บูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า


- บูชาพระอุปคุตเถระ ที่บำเพ็ญบริกรรมคาถาในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล ซึ่งตำนานเล่าว่าเป็น พระเถระที่มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถปราบพญามารได้


- ต้อนรับพระพุทธเจ้าในวันเสด็จกลับจากเทวโลกเมื่อครั้งไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์


- แสดงความขอบคุณ และขอขมาพระแม่คงคาซึ่งเป็นแหล่งน้ำให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ต่าง ๆ


- ระลึกถึงและส่งของไปให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ ตลอดจนสะเดาะเคราะห์หรือลอยทุกข์โศกโรคภัยต่าง ๆ รวมทั้งอธิษฐานเพื่อขอสิ่งที่ปรารถนา
แม้จะเกิดจากความเชื่อที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่คือการระลึกถึงผู้มีพระคุณ ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธองค์ พระแม่คงคา หรือบรรพชนผู้ล่วงลับด้วยการลอยกระทงไปแสดง ความกตัญญูรู้คุณ นั่นเอง นอกจากนี้ในทางวัฒนธรรมวิถีชีวิต ลอยกระทงยังมีคุณค่าต่อเนื่องไปถึง


- คุณค่าต่อครอบครัว ทำให้พ่อ แม่ลูก ได้ทำกิจกรรมด้วยกัน เช่น ช่วยกันประดิษฐ์กระทงและไปลอย ร่วมกัน


- คุณค่าต่อชุมชน ทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน ทำให้มีโอกาสพบปะสังสรรค์ สนุกสนานร่วมกัน ทั้งยังช่วยสืบทอดช่างฝีมือท้องถิ่น


- คุณค่าต่อศาสนา เช่น มีการทำบุญให้ทาน ถือศีลที่วัด หรือบูชารอยพระพุทธบาทนำมาซึ่ง การน้อมรำลึกถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า


- คุณค่าต่อสังคม ทำให้เอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อม ตระหนักถึงความสำคัญของแหล่งน้ำลำคลอง ที่ได้ใช้สอย อำนวยประโยชน์ต่อเราทั้งทางตรงและอ้อม โดยช่วยกันขุดลอกให้สะอาดไม่ทิ้ง สิ่งปฏิกูล


๓. ประพาสลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน มีรับสั่งให้พระสนมนางในตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ธูปเทียนนำไปลอยหน้าพระที่นั่ง ในคราวนั้นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้ประดิษฐ์กระทงเป็นรูป ดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้รับทราบถึงความหมาย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า "แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการะบูชาพระพุทธบาทนัมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน" ด้วยเหตุนี้ ภายหลังประเพณีของหลวงจึงถูกเรียกว่า "ลอยพระประทีป" ต่อมาชาวบ้านเปลี่ยนเรียกเป็น "ลอยกระทง ทรงประทีป" แล้วเปลี่ยนเป็นลอยกระทงแทนภายหลัง ส่วนรอยพระพุทธบาท เล่ากันว่าพระยานาคได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าทรงเหยียบประดิษฐานไว้บนหาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา (อยู่ในอินเดีย) ครั้นวันเพ็ญเดือน ๑๒ หน้าน้ำ พระยานาคก็จะขึ้นมานมัสการรอยพระพุทธบาท


๔. นางนพมาศ
นางนพมาศ เป็นธิดาของพระศรีมโหสถกับนาง เรวดี บิดาเป็นพราหมณ์ปุโรหิตในสมัยพระยาเลอไท นางนพมาศได้ถวายตัวเข้ารับราชการในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท ในยุคสุโขทัย เป็นที่โปรดปรานจนได้เป็นสนมเอกตำแหน่งท้าวศรีจุฬาลักษณ์
นางนพมาศได้เขียนตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ขึ้นเพื่อเป็นหลักประพฤติปฏิบัติตนในการ
เข้ารับราชการของนางสนมกำนัลทั้งหลาย เรื่องนี้แต่งด้วยร้อยแก้วแต่มีคำประพันธ์ลักษณะเป็นกลอนดอกสร้อยแทรกอยู่บ้าง ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าแต่งขึ้นใหม่ในมัยรัตนโกสินทร์ เพราะภาษาที่ใช้แตกต่างจากภาษาที่ใช้ในวรรณคดีที่แต่งในยุคเดียวกันคือ คือศิลาจารึกหลักที่ 1 และ
ไตรภูมิพระร่วง
เนื้อเรื่องในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กล่าวถึงประเพณีต่างๆ ของไทย เช่น การประดิษฐ์
พานหมากสองชั้นรับแขกเมือง การประดิษฐ์โคมลอยรูปดอกกระมุท (ดอกบัว) เพื่อใช้ในพระราชพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป (ลอยกระทง) ซึ่งประเพณีนี้ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน


ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หนังสือนางนพมาศ เรื่องนี้มีคุณค่าหลายอย่างคือ


1. คุณค่าทางวรรณคดี เป็นประโยชน์ในการสอบสวนราชประเพณี ขนบธรรมเนียมต่างๆ ในราชสำนัก ตลอดจนการปฏิบัติตนของหญิงชาววัง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน ก็ทรง
สอบค้นจากหนังสือเล่มนี้


2. คุณค่าทางวิชาการช่างสตรี เรื่องนี้เป็นหลักฐานแสดงว่าผู้หญิงไทยมีนิสัยชอบการประดิษฐ์มาตั้งแต่โบราณ ซึ่งการจัดขันหมากรับรองแขกเมืองได้อย่างประณีต เป็นแบบฉบับในการจัดขันหมากในพิธีแต่งงานมาจนทุกวันนี้ และถือว่า ตำรับ
ท้าวศรีจุฬาลักษณ์เป็นตำราการช่างสตรีเล่มแรกของไทย


3. คุณค่าทางด้านอักษรศาสตร์ เรื่องนี้มีคุณค่าทางด้านอักษรศาสตร์น้อยมาก เพราะมี
การดัดแปลงแต่งเติมภาษาและสำนวนผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมมาก
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า นางนพมาศ เป็นกวีหญิงคนแรก
ผู้แต่ง นางนพมาศ
ทำนองการแต่ง แต่งเป็นคำร้อยแก้ว มีร้อยกรองแทรกอยู่บ้าง
วัตถุประสงค์ในการแต่ง เพื่อให้คำแนะนำตักเตือนแก่ข้าราชสำนักฝ่ายในในการปฏิบัติตนให้เหมาะสม ให้เป็นกิริยามารยาทดีงาม และเป็น
การสรรเสริญพระมหากษัตริย์ด้วย
สาระสำคัญ เนื้อหาของเรื่องนางนพมาศ มีเนื้อเรื่องเป็นอันเดียวกันหมด ตอนต้นเป็นข้อความปรากฏในบานแพนก กล่าวถึงนางนพมาศ จากนั้น
กล่าวถึงชาติและภาษาต่างๆ สภาพความเป็นอยู่ของกรุงสุโขทัย ยอเกียรติพระร่วงเจ้า และกล่าวถึงกำเนิดนางนพมาศ การถวายตัวเข้ารับราชการฝ่าย
ในข้อที่ควรปฏิบัติของกุลสตรี และปะเพณีต่างๆ ที่กระทำในสมัยสุโขทัย เช่น เดือนสิบสองมีพระราชพิธีจองเปรียง เดือนอ้ายมีพระราชพิธีตรียัม-
ปวายหรือพิธีโล้ชิงช้า เดือนยี่มีพิธีเถลิงพระโคกินเลี้ยง เดือนสามมีพระราชพิธีเผาข้าว ฯลฯ นอกจากนั้นยังกล่าวสั่งสอนความประพฤติของข้าราชการฝ่ายใน

ตัวอย่างในนางนพมาศ
ข้อปฏิบัติของนางนพมาศ
"พึงให้ทราบว่า ข้าน้อยนพมาศ พึงกระทำกิจในสมเด็จพระร่วงเจ้ากรุงพระมหานครสุโขทัย ตั้งจิตคิดสิ่งซึ่งเป็นที่ควรกับเหตุ ถูกต้องพระ
ราชอัชฌาสัยพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้ปรากฏชื่อเสียงว่า เป็นสตรีนักปราชญ์ฉลาดในวิชาช่างอยู่ชั่วกัลปาวสาน"
การประดิษฐ์โคมในพระราชพิธีจองเปรียง
"ข้าพระองค์สำคัญใจคิดเห็นว่าเป็นนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือนสิบสอง พระจันทร์แจ่มแสงปราศจากเมฆมลทิน อันว่าดวงดอกชาติโกสุมประ-
ทุมมาลย์มีแต่จะแบ่งบานกลีบรับแสงอาทิตย์ ถ้าชาติอุบลเหล่าใดบานผกาเกสรรับแสงจันทร์แล้วก็ได้ชื่อว่า ดอกกระมุท ข้าพระองค์จึงทำโคมลอย
เป็นรูปดอกกระมุท ซึ่งบังเกิดมีอยู่ยังนัมมทานที อันเป็นที่พระบวรพุทธบาทประดิษฐาน"
คุณค่าและประโยชน์


๑. ด้านสังคม เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่และสภาพสังคมในสมัยสุโขทัย แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของสุโขทัย ชนชอบทำบุญและรื่นเริงจิตใจ


๒. ด้านวัฒนธรรมประเพณี กล่าวถึงการประพฤติปฏิบัติและการวางตนของสตรี ประเพณีของข้าราชสำนักฝ่ายใน


๓. ด้านอักษรศาสตร์ สำนวนอ่านง่าย ไพเราะ


๔. ด้านศิลปกรรม การประดิษฐ์โคมในการลอยประทีป การจัดพานพระ การจัดขันหมาก


๕. ด้านประวัติศาสตร์ ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงสุโขทัย โดยเฉพาะสมัยพระยาลิไทย


๖. ด้านโบราณคดี ให้ความรู้และรายละเอียดเกี่ยวกับพระราชพิธีต่างๆ



นางนพมาศ มีอีกชื่อว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ และ เรวดีนพมาศ
มีผู้แตกความคิดเห็นเป็นสองฝ่ายเกี่ยวกับสมัยที่แต่งนางนพมาศ ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นยุครัตนโกสินทร์ แต่อีกฝ่ายเห็นว่าสุโขทัย
พระราชพิธีสิบสองเดือน ของรัชกาลที่ ๕ ก็ได้รับอิทธิพลจากนางนพมาศนี้ด้วย

 
 

                    

 

 

 คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน

 

 ร้องโดย วินัย จุลละบุษปะ เลิศ ประสมทรัพย์ วรนุช อารีย์ ศรีสุดา รัชตะวรรณ สมศักดิ์ เทพานนท์ มาริษา อมาตยกุล ยรรยง เสลานนท์ จิตราภรณ์ บุญญขันธ์ พรศุลี วิชเวช บรรจงจิตต์ พัฒนาสันต์ เจือนศักดิ์ น้อยสุวรรณ รัชตพันธ์ พงศบุตร และนักร้องของสุนทราภรณ์

 

ที่มา เพลง ลอยกระทง วันเพ็ญเดือนสิบสอง สำหรับประเพณีลอยกระทง

 

 

เพลง ลอยกระทง วันเพ็ญเดือนสิบสอง

 

เพลงคุ้นเคยที่กำลังจะจางหายไป.........

 

 

 

 

เพลงรำวงวันลอยกระทงแต่งโดยครูแก้ว อัจฉริยกุล ผู้ให้ทำนองคือ ครูเอื้อ สุนทรสนาน แห่งสุนทราภรณ์ ซึ่งครูเอื้อได้แต่งเพลงนี้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2498ขณะที่ได้ไปบรรเลงเพลงที่บริเวณคณะบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีผู้ขอเพลงจากครูเอื้อ ครูเอื้อจึงนั่งแต่งเพลงนี้ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจึงเกิดเป็นเพลง "รำวงลอยกระทง"ที่ติดหูกันมาทุกวันนี้ มีเนื้อร้องว่า

 

วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง
เราทั้งหลายชายหญิง
สนุกกันจริง วันลอยกระทง
ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง
ลอยกระทงกันแล้ว
ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง
รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง
บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ

 

 

 

 

 

 

 นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สุริยะใส กตะศิลา วันที่ 5 พฤศจิกายนว่า

 

เมื่อผมฝันร้าย! พรุ่งนี้ สนช.ลงมติด้วยเสียงส่วนใหญ่ว่า สนช.ไม่มีอำนาจถอดถอน นายนิคม ไวรัชพานิช และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนันท์ โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว (ฉบับปัจจุบัน) ไม่ได้ให้อำนาจไว้ และสำนวน ปปช.ก็ไม่ชัดเจน พลันใดนั้นผมก็สะดุ้งตื่น โล่งอก เพราะเป็นแค่ฝันไป

 

ผมเพียรพยายามข่มตาหลับต่อ ดันมาฝันอีก รอบนี้ฝันว่ามติ สนช.เสียงไม่ถึง 3 ใน 5 คือไม่ถึง 132 เสียงจากจำนวน สนช.ทั้งหมด 220 คน ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รอดพ้นจากการถอดถอน ในคดีทุจริตจำนำข้าว ในฝันของผมเห็นโฉมหน้า สนช. กลุ่มใหญ่และกลุ่มเดิม ที่คว่ำกระบวนการถอดถอนทั้ง 2 ครั้ง 2 ครา

 

ผมสะดุ้งตื่นนมาตอนเช้า โล่งใจ โธ่! แค่ฝันร้าย แต่โลกความเป็นจริงก็ดูเหมือนโหดร้ายกว่าในฝัน เพราะดันมาเห็นข่าว ทีดีอาร์ไอ ออกมาระบุว่าโครงการจำนำข้าวอาจขาดทุนถึง 1 ล้านล้านบาท ในฝันนั้น ผมจำหน้าได้ไม่ชัดทั้งหมด พรุ่งนี้ชวนพวกเราช่วยกันจับตา บันทึกชื่อเสียงเรียงนาม จำโฉมหน้า สนช.ให้ดี ใครบ้างจะยกมือไม่ถอดถอน.

 

 

 

 

 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000127466
ฟัง “พระสุเทพ” ปราศรัยคำต่อคำที่วัดเนินพิจิตร จ.สงขลา

 

                     



ASTVผู้จัดการ - ช่วงบ่ายวานนี้ (4 พ.ย.) พระปภากโรภิกขุ หรือพระสุเทพ เทือกสุบรรณ เดินทางไปร่วมงานทอดกฐินที่วัดเนินพิจิตร ต.พิจิตร อ.นาหม่อม จ.สงขลา ภายหลังทำพิธีทอดกฐิน ณ ศาลาบนเนินกลางวัด เจ้าภาพก็ได้ประกาศเชิญให้หลวงลุงสุเทพขึ้นปราศรัยแก่ประชาชนที่มาร่วมงานนับพันคน


พระคุณเจ้าบอกว่ายางราคาถูก อาตมาก็ได้ยินตั้งแต่แรกบวชมาเกือบเดือน โยมไปหาที่วัดบอกว่าพี่หลวงยางราคาถูกเกินอยู่ไมไหวแล้ว นี้เขามาชวนเดินขบวนพี่หลวงว่ายังไง เห็นว่าพี่หลวงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องประท้วงไปได้ อาตมาเลยตอบไปว่าโยมยังไม่เหนื่อยอีกหรือ 6 เดือนครึ่งแล้ว สู้หมดทุกกระบวนท่าแล้ว ถนนในกรุงเทพฯ เราเดินหมดทุกถนนแล้ว สี่แยกในกรุงเทพฯ เราตั้งวงกินข้าวหมดทุกสี่แยกแล้ว เมืองหลวงกรุงเทพฯ เราก็ปิดตั้งเดือนครึ่ง แล้วท่านจะเอาอะไรอีก

 

เมื่อก่อนเราต้องไปเดินขบวน เพราะรัฐบาลโน้นมันอุบาทว์ แต่วันนี้ไม่ใช่นี้มันพวกเดียวกันไม่ต้องไป มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน อาตมาเข้าใจดีเรื่องยางราคาถูก เพราะว่าสมัยที่อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ยางกิโลกรัมละ 38-39 บาท อาตมาคือรองนายกฯ ตอนนั้น อาสาแก้ปัญหาราคายางให้กับชาวสวนยาง อาตมาใช้เวลาอยู่ 6 เดือนแก้ไขเรียบร้อย ชาวสวนยางขายยางได้กิโลกรัมละ 160, 170, 180 ดีใจกันมาก ซื้อทีวีใหม่ ซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่ ซื้อรถกระบะใหม่ ตอนนี้ธนาคารยึดหมดแล้ว ต้องใช้เวลาโยม ถ้าโยมทั้งหลายเดือดร้อนอาตมาจะโทรศัพท์ไปหารัฐบาล ไปบอกกับคนในรัฐบาลเล่าให้ฟังว่าสมัยอาตมาแก้ไขปัญหาราคายางทำอย่างไรบ้างและบอกวิธีการให้ ก็น่าชื่นใจโยม

 

 บอกมาสิครับว่าทำยังไงยางถึงโลละ 180 บาท แล้วโลละ 180 บาทอยู่กี่วันแล้วหลังจากนั้นราคายางเป็นอย่างไรบ้าง ผมว่าตอบไม่ได้หรอกเพราะคุณไม่ได้ทำอะไรเลย ที่ราคายางขึ้นช่วงนั้นเป็นช่วงสั้นมากๆ เพราะผู้ส่งออกต้องการระดมยางเข้าสต๊อกเพื่อจะได้ส่งออกให้ทันเวลาตามออเดอร์ที่ได้รับไว้ ถ้าส่งไม่ทันตามกำหนดจะถูกปรับเป็นเงินจำนวนมาก เมื่อเห็นว่าได้ยางในสต๊อกพอแล้วก็ค่อยๆ ลดราคารับซื้อลงเรื่อยๆ บางจุดรับซื้อก็ปิดไปเลยก็มี หลอกคนอื่นได้แต่หลอกผมไม่ได้หรอกผมเอายางไปขายและคุยกับคนรับซื้อประจำ

 

      

 

 

                       

 

 

 

 

 

                              อะดรีนาลีน มีผลต่อร่างกาย คือ

 

 

  1. ผลโดยตรงต่ออวัยวะในระบบประสาทอัตโนวัติ (ระบบประสาทที่อยู่นอกอำนาจจิตจัย) จะทำให้เกิดการทำงานมากขึ้นครับสำหรับระบบประสาทซิมพาเทติก (ระบบประสาทเวลาสู้) เช่น
   - หัวใจเต้นแรงขึ้น เร็วขึ้น (เพิ่มการสูบฉีดเลือดเตรียมสู้-หนี)
   - ความดันโลหิตสูงขึ้น
   - รูม่านตาเบิกกว้าง (เพื่อให้มองเห็นศัตรูชัด)
   - หลอดลมขยาย (เพื่อให้รับออกซิเจนได้เต็มที่)

2. ผลการกระตุ้นสมอง จะทำให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นความสามารถต่างๆ รวมทั้งการเลื่อน set point ของอุณหภูมิจาก 37 องศา ขึ้นไปด้วย เพื่อรองรับการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้นในข้อ 3)

3. ผลต่อเมแทบอลิซึม..เนื่องจากข้อ 1) ต้องใช้พลังงานเยอะมาก การให้อีพิเนฟรินจะส่งผลให้เกิดการที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นโดยการ

   - สลายไกลโคเจน (น้ำตาลสำรองในกล้ามเนื้อ/ตับ) ให้เป็นกลูโคสเพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
  - สลายไขมันและเพิ่มการใช้พลังงานจากไขมัน (สร้างน้ำตาลจากสารที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรต)
  - เพิ่มอัตราการเปลี่ยนกรดอะมิโนเป็นกลูโคสและสารคาร์โบไฮเดรต (สร้างน้ำตาลจากสารที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรต)
  - ความร้อนในร่างกายจะสูงขึ้น เพราะ การเผาผลาญในร่างกายสูงขึ้นมาก
 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

หญิงวัย 57 เมืองปทุมฯ ถูก งูเหลือม ฉกมือ-รัดแขนพยายามลากเข้าส้วม หวังเป็นอาหาร เรียกลูกสาวช่วยรอดมาได้-เย็บ20เข็ม

รายงานข่าวแจ้งว่า ที่จ.ปทุมธานี ได้เกิดเหตุสุดระทึกขึ้นเมื่อนางรำพึง อ่อนละไม อายุ 57 ถูกงูเหลือมฉกรัด ขณะกำลังอยู่ในห้องน้ำในบ้านพักหมู่บ้านกฤษณา ซอย12 หมู่ 3 ต.กระแชง อ.สามโคก โชคดีที่ยังมีสติเรียกให้ลูกเข้าช่วยไว้ทัน

 

 

 

 

 

งูเหลือม, ขาวจังหวัดปทุมธานี, งูเหลือมกัดคน, งูเหลือมกินคน, ข่าววันนี้

งูเหลือม

 

 

 

ซึ่งจากการสอบถามนางรำพึง ได้เผยว่า ขณะกำลังจะออกจากห้องน้ำภายหลังอาบน้ำเสร็จ ได้มีงูเหลือมขนาดเท่ากับแขน ออกมาจากคอห่านส้วมซึมฉกกัดเข้าที่มือขวา จากนั้นมันพยายามขัดและดึงตนให้ลงไปในส้วม ด้วยความตกใจตนจึงคว้าไม้เข้าทุบตี อีกทั้งตะโกนให้ลูกเข้ามาช่วยเหลือ จนมันยอมปล่อยและหนีมุดลงไปในส้วม เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วลูกสาวจึงพาตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อทำแผล ก่อนจะประสานกู้ภัยให้เข้ามาจับงูตัวดังกล่าว

พร้อมกันนี้นางรำพึงยังฝากเตือนเพื่อนบ้านหรือผู้คนที่มีที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงต่อการอาศัยของสัตว์มีพิษ ให้หมั่นตรวจสภาพบ้าน เก็บข้าวเก้บของให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์มีพิษเข้ามาอาศัยและทำร้ายได้

ภาพจาก @khaosod.co.th

MThai news

 

 

 

 

 

 

 

 

วิธีสังเกต งูเหลือมกับงูหลามต่างกันอย่างไร เทคนิคแยกชนิดงูแบบง่ายๆ

ถ้าให้เอ่ยชื่องูที่ไม่มีพิษ ลำตัวโตใหญ่ยาวขึ้นมาสักชนิด หลายคนคงแย่งกันตอบ ว่างูเหลือมหรือไม่ก็งูหลาม เป็นแน่แท้ ซึ่งถ้าหากถามต่อไปอีกว่า งูเหลือมกับงูหลามมีลักษณะที่ต่างกันอย่างไร ทีนี้ก็จะเริ่มส่ายหน้าเกาหัวกันแล้วใช่ไหมครับ ทั้งนี้ก็เพราะว่าความรู้ทั่วๆ ไปเกี่ยวกับงูสองชนิดนี้มีไม่ค่อยเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นเรื่องงู จะเน้นไปที่งูมีพิษ พวกงูเห่า งูจงอางซะมากกว่า ดังนั้นวันนี้เราจะมาบอกเล่ากันครับ ว่างูเหลือมกับงูหลามนั้น แท้ที่จริงแล้วต่างกันหรือไม่ หรือว่าเป็นงูชนิดเดียวกัน

 

 

วิธีสังเกต งูเหลือมกับงูหลามต่างกันอย่างไร เทคนิคแยกชนิดงูแบบง่ายๆ

งูหลามบอล (Ball Python)

1. ชื่อสามัญและชื่อทางวิทยาศาสตร์ของทั้งเจ้าเหลือมและเจ้าหลามนั้นต่างกัน โดยงูเหลือมนั้นมีชื่อสามัญว่าReticulated Python และชื่อในทางวิทยาศาสตร์คือ Python Reticulatus ส่วนเจ้าหลามนั้นมีชื่อสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Indian Python , Python Molurus ตามลำดับ

2. งูหลามนั้นมีลำตัวที่ใหญ่กว่างูเหลือม แต่มีความยาวน้อยกว่า โดยงูหลามนั้นมีความยาวอยู่ที่ 1-3 เมตร ส่วนงูเหลือมนั้นยาว 1-5 เมตร

3. ข้อนี้เป็นวิธีสังเกตที่ง่ายที่สุดครับ เพราะหัวของงูหลามนั้นดูคล้ายหัวลูกศรสีขาว แต่หัวของเจ้าเหลือมจะเป็นหัว ลูกศรเหมือนกันแต่สีจะออกดำ ซึ่งเมื่อจะสังเกตงูประเภทนี้ให้มองที่หัวก่อนเป็นอันดับแรกครับ

4. งูหลามมีนิสัยที่ไม่ดุร้ายเท่างูเหลือม และมักจะออกล่าเหยื่อบนบก ต่างกับเจ้าเหลือมที่ดุร้ายและจะพุ่งเข้าใส่ศัตรูของมันทันที มันสามารถหากินได้ทั้งบนบกและในน้ำ หากพบเห็นงูประเภทนี้ที่หากินอยู่ในน้ำ ให้สันนิษฐานได้เลยว่าเป็นงูเหลือม

5. หากพบเห็นงูประเภทนี้ที่บริเวณภาคใต้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นงูเหลือม ทั้งนี้เพราะถิ่นกำเนิดของงูหลามนั้น ไม่ได้อยู่ในบริเวณภาคใต้ แต่จะพบมันได้ในภาคอื่นๆของประเทศไทย อินเดียตอนล่างและพม่า ส่วนเจ้าเหลือมนั้นพบได้ทั่วไป

6. ปกติแล้วงูหลามจะไม่หากินในน้ำ ต่างจากงูเหลือมที่สามารถหากินได้ทั้งบนบกและในน้ำ

7. ระยะเวลาการฟักไข่ที่ต่างกัน โดยเจ้าหลามนั้นจะใช้เวลาฟักไข่ 2 เดือน แต่เจ้าเหลือมจะใช้เวลาฟักไข่ 3 เดือน

8. หากพบเห็นงูประเภทนี้บนต้นไม้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นงูเหลือม ทั้งนี้เพราะนิสัยของงูหลามนั้นไม่ชอบหากินบนต้นไม้ หรือปีนต้นไม้ รวมไปถึงไม่ชอบการหากินในน้ำ ต่างจากงูเหลือมที่ชอบทั้งขึ้นต้นไม้และชอบหากินในน้ำ

 

 

 

แม้ว่างูทั้งสองประเภทนั้น เป็นงูที่ไม่มีพิษ แต่อย่าเข้าใกล้เชียวนะครับ เพราะมันมีอันตรายในเรื่องของการรัดเหยื่อ ซึ่งเมื่อมันรัดเข้ากับตัวแล้วนั้นอาจทำให้เกิดอาการกระดูกหักหรือเสียชีวิตได้เลย หากไม่มีคนมาช่วยได้ทันท่วงที ดังนั้นเมื่อเห็นงูเหลือมหรืองูหลามที่ไหนก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงหรือไม่เข้าใกล้ระยะกระโจนของมันจะดีกว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ใครรวยที่สุดของประเทศจีน? ล่าสุดสำนักข่าวบลูมเบอร์กยืนยันว่านาย Jack Ma (马云) อดีตคุณครูโรงเรียน

 

 

                                         

 

 

เริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ วันที่ไม่มีเงิน ไม่มีความรู้เรื่องอินเทอร์เน็ต วันนี้เจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ Alibaba อันโด่งดังเป็นเจ้าของตำแหน่งนั้น

 

ประเมินแล้วทรัพย์สินส่วนตัวของนักธุรกิจจีนวัย 49 คนนี้ มีค่าถึง 21.8 พันล้านเหรียญ หรือเกือบ 660,000 ล้านบาท

 

ความมั่งคั่งของเขารวมถึงหุ้น 7.3% ในอาลีบาบา และเกือบ 50% ใน Alipay ซึ่งเป็นบริการชำระเงินออนไลน์

 

นี่เป็นความร่ำรวยส่วนตัวของแจ็ค มา ก่อนที่เขาจะเอาหุ้นของอาลีบาบาเข้าตลาดหุ้นสหรัฐ ที่นิวยอร์ก ซึ่งกำลังเป็นข่าวใหญ่ เพราะคาดกันว่าจะเป็นการเปิดตัวหรือ IPO (Initial Public Offering) ที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว

 

มูลค่า IPO ของหุ้นอาลีบาบา เปิดตลาดคาดกันว่าจะสูงถึง 24.3 พันล้านเหรียญ หรือประมาณ 7 แสนกว่าล้านบาท

 

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ บอกว่าอาลีบาบา มีแผนจะขายหุ้นทั้งหมดถึง 368 ล้านหุ้น ราคาประมาณกันที่หุ้นละ 60-66 เหรียญ

 

ผมอ่านหนังสือชี้ชวนซื้อหุ้นของเขาแล้วต้องบอกว่า น่าประทับใจไม่น้อยเพราะเจ้าของและผู้ก่อตั้งลงมาลุยเอง ยืนยันว่าแม้บริษัทนี้จะเกิดที่ประเทศจีน แต่ต่อไปนี้จะกลายเป็นบริษัทระดับโลก ไม่จำกัดสัญชาติอีกต่อไป

 

ผมบวกลบคูณหารแล้ว ถ้าหุ้นเปิดตัวของอาลีบาบาเฉลี่ยที่ 66 เหรียญต่อหุ้น บริษัทก็จะมีมูลค่าทั้งหมด 1.63 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

 

ต่ำกว่าแอปเปิล อิงค์ที่มีมูลค่าตลาดหรือ market capitalization สูงสุดในโลกที่ 5.92 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

 

อาลีบาบา เป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดของจีน ขายของออนไลน์ทุกประเภท ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ

 

อาลีบาบา เคยเอาหุ้นไปขายในตลาดฮ่องกงเมื่อ 7 ปีก่อน ตอนนั้นธุรกิจยังเป็นในลักษณะของการขายแบบ B-to-B หรือ business-to-business แต่วันนี้อาลีบาบาปรับธุรกิจเป็นแบบขายตรงถึงผู้บริโภค ทำให้ยอดขายพุ่งพรวดพราดสามเท่าตัว ในช่วงสามเดือนที่จบลงในเดือนมิถุนายน ไปอยู่ที่ 1.99 พันล้านเหรียญ รายได้ส่วนใหญ่มาจากโฆษณา

 

ประสบการณ์การเอาหุ้นอาลีบาบาไปขายในตลาดหุ้นฮ่องกงไม่สวยนัก เพราะตลาดร่วงถึง 55% ในช่วงปลายปี 2008 จนแจ็ค มา ต้องตัดสินใจเอาหุ้นออกจากตลาด รอจังหวะมาลุยเต็มสูบที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มซื้อขายกันในสัปดาห์นี้

 

แจ็ค มา ก่อตั้งอาลีบาบาเมื่อ 15 ปีก่อน ในฐานะผู้ประกอบการที่ไม่มีเงินทุนอะไรมากมาย จึงใช้อพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ที่เมืองหางโจวเป็นสำนักงานเริ่มแรก

 

เขายึดหลักการบริหารว่า “Customers first, employees second, and shareholders third.

 

แปลว่าเขาต้องการให้ลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยพนักงานและผู้ถือหุ้นมีความสำคัญอันดับสาม

 

เขาอธิบายว่าบริษัทจะเจริญก้าวหน้าได้ต้องให้ลูกค้าพอใจก่อน เพราะถ้าไม่มีลูกค้าก็ไม่มีรายได้ จากนั้นก็ต้องให้พนักงานทำงานด้วยความทุ่มเท และมีความภูมิใจในการบริการลูกค้าอย่างเต็มที่ จากนั้นก็รับรองได้ว่าผู้ถือหุ้นจะได้ประโยชน์สูงสุด

 

ตอนเป็นนักเรียนมัธยม แจ็ค มามีความใฝ่ฝันอยากเรียนภาษาอังกฤษมาก ยอมปั่นจักรยาน 45 นาทีทุกเช้า เพื่อไปโรงแรมแห่งหนึ่งหาโอกาสสนทนากับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อฝึกภาษา โดยอาสาพาไปเที่ยวในเมืองหางโจวเพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้ฝึกภาษาต่างถิ่น

 

ต่อมา เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ถึงสองครั้ง จึงตัดสินใจสมัครเข้าเรียนสถาบันครูหางโจวแทน และจบปริญญาตรีเอกภาษาอังกฤษเมื่อปี 1988 และต่อมาก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยที่หางโจวนั่นเอง

 

เขาตัดสินใจเปิดธุรกิจออนไลน์ เพราะวันหนึ่งขณะชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้าน เขาต้องการอวดว่าเขารู้จักโลกออนไลน์มากกว่าคนอื่น จึงพิมพ์คำว่า beer กับ China ในอินเทอร์เน็ต ปรากฏว่าไม่มีข้อมูลอะไรเลย มีแต่เบียร์อเมริกันและเยอรมัน

 

แจ็ค มา ตัดสินใจว่านี่คือ โอกาสที่เขาจะสามารถสร้างธุรกิจของตัวเอง จึงเปิดเว็บไซต์ภาษาจีนขึ้นมา และเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น เขาก็ได้รับคำสอบถามจากทั้งโลกอย่างคึกคัก นั่นคือจุดเริ่มต้นของอาลีบาบา

 

“ผมรู้ตั้งแต่นาทีนั้นเลยว่าอินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนโลกและจะเปลี่ยนประเทศจีนแน่นอน...” เขาบอก

 

ในปี 1999 แจ๊ค มา รวบรวมเพื่อน 17 คนไปเจอกันที่บ้าน ปรึกษากันเพื่อจะตั้งเว็บไซต์แรกของจีน ที่จะเชื่อมคนขายของจีนกับต่างประเทศเป็นครั้งแรก

 

และนั่นคือวันที่ Alibaba.com ถือกำเนิดในโลกออนไลน์ ไม่ช้าไม่นานบริษัทนี้ก็กลายเป็นบริษัทไฮเทคอันดับต้น ๆ ของประเทศจีน

 

เขามักเล่าเสมอว่าวันที่เขาตัดสินใจก่อตั้งอาลีบาบานั้น “ผมไม่มีเงิน ไม่มีความรู้เรื่องไฮเทค และบริหารธุรกิจไม่เป็น”

 

(พรุ่งนี้จะเล่าเรื่อง “ความบ้าบิ่น” ที่ทำให้แจ็ค มา เป็นอภิมหาเศรษฐี)

 

 

 

 

 

 

 

                 

 

 

lเจิมศักดิ์ ขู่ สนช. ระวังถูกเชือด หากไม่ถอดถอน สมศักดิ์-นิคม ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ หลัง ศาลรัฐธรรมนูญ ระบุชัดการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน

 

วันนี้ (3 พ.ย. 57) นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว @เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แสดงความเห็นถึงกรณีสนช. เตรียม จะมีการประชุมพิจารณาถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ภายหลัง ป.ป.ช. มีมติว่าทั้ง 2 ปฏิบัติหน้าที่มิชอบเร่งรีบให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 6 พ.ย. 57 โดยระบุว่า เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง 5 ปม ประเด็นถอด นิคม-สมศักดิ์ ยังคงเป็นปมที่ต้องลุ้นระทึก ในการประชุม สนช. 6 พย.ที่จะถึงนี้เพื่อพิจารณาประเด็นว่า สนช.มีอำนาจถอดถอนทั้ง 2 คนหรือไม่

 

1. ฝ่ายที่อ้างว่า สนช.ไม่มีอำนาจถอดถอน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (ฉบับชั่วคราว) ไม่ได้เขียนรายละเอียดการถอดถอนไว้นั้น ก็จริงครับแต่จริงส่วนเดียว เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ยกเลิกไปแล้ว ยังจะมีกฎหมายอื่นใช้บังคับได้คือ รธน.ฉบับปัจจุบัน มาตรา 5 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้น หรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอัน มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ประเพณีการปกครองดังกล่าวต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้” นอกจากนี้ยังมีกฏหมายใกล้เคียงที่สามารถนำมาเทียบเคียงได้คือ พรบ.ปปช. พศ.2542 มาตรา 58 ซึ่งเป็นมาตราเดียวกันกับที่จะใช้ถอดถอนคุณยิ่งลักษณ์

 

2. ข้อโต้แย้งทางกฎหมายในกรณีนี้ จริงๆ ไม่ได้ซับซ้อนใดๆ เลยเพียงแต่ถูก สนช.บางคนที่ไม่เห็นด้วยกับการถอดถอน ยกมาเป็นข้ออ้างทำให้ดูสลับซับซ้อนจนสังคมเกิดความสับสนและ สนช.บางส่วนออกอาการกล้าๆ กลัว

 

3. ถ้าย้อนไปดูพฤติกรรมของทั้งนายนิคมและนายสมศักดิ์ ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน สส.และ สว.ใน ตอนนั้น ถือว่าจงใจผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าเป็นการกระทำที่ ขัดรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้เกิดภาพมัวหมองต่อรัฐสภาทั้งการปิดปาก เสียงข้างน้อย ตุกติกในขั้นตอนแปรญัตติ ลักไก่และลักหลับ ฯลฯ จนเป็นต้นเหตุและชนวนวิกฤติครั้งใหญ่ของการเมืองไทยเมื่อปีที่ผ่านมา การไม่ได้เขียนรายละเอียดการถอดถอนไว้ใน รธน.ชั่วคราวปัจจุบัน จึงไม่ใช่ข้ออ้างที่จะนิรโทษกรรมให้กับพฤติกรรมของบุคคลทั้ง 2

 

4. ถ้า สนช.บอกไม่มีอำนาจถอดถอน ก็จะส่งผลให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้เป็นโมฆะไปด้วย เสมือนกับไม่เคยมีกรณีคำร้องหรือพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะถือว่าได้รับการนิรโทษกรรมจากการฉีกรัฐธรรมนูญ 50 ไปแล้ว ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญยังคงมีอยู่และมีอำนาจปกติตาม พรบ.ว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญ

 

5. หากมติ สนช. ออกมาว่า ไม่มีอำนาจถอดถอนก็เป็นความชอบที่หน่วยงานต่างๆ จะยื่นเรื่องให้ ปปช.ไต่สวนว่า สนช.เข้าข่ายละเว้นหรือจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ และสามารถร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติของ สนช.ชอบด้วย รธน.หรือไม่”

 

 

 

 

 

 

 

 

       

 

สลิ่มกำลังฟิน......

ฉันมองแค่ว่า...มันแค่เกมส์ถ่วงดุลย์เพื่อไทย เพื่อให้มีชนักปักหลัง เขาทำเป็นขบวนการเพื่อกันท่า "คดีโกงประกันราคาข้าว"

และ เบี่ยงประเด็นเรื่อง "โกงกินปรส. 8 แสนล้าน" เท่านั้น

จากประสบการณ์  ถ้าแมงสาปโดนเรื่องอะไร ที่ดิ้นไม่ออก สังคมจับจ้อง มักจะมีการสร้างปีศาจมาเบี่ยงเบน คนไทย "โง่ๆ" เสมอ

บอกแล้ว Warroom พวกนี้เขาถนัดเรื่องแบบนี้

 

 

"ถาวร"อัด"วรชัย" อย่าบิดข้อเท็จจริง ยันขอ สนช.พิจารณาอำนาจถอดถอนตามกม.ไม่ได้ข่มขู่ ข่าวมติชนออนไลน์ .. sao..เหลือ..noi

 

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.กล่าวถึงกรณีนายวรชัย เหมะ
อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย พาดพิงถึงตนหลังออกมาเรียกร้องให้สนช.รับเรื่อง
ถอดถอนนายนิคม ไวชรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์
อดีตประธานรัฐสภาว่า ขอฝากถึงคนที่ออกมาตอบโต้ตนว่าการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ไม่เคย
ใช้อามิสสินจ้างหรือผลประโยชน์ใดๆมาล่อลวงให้ประชาชนเข้าร่วมการชุมนุม เพราะข้อเท็จจริง
ของวิกฤติการเมืองที่เกิดขึ้นมาจากการเหลิงและใช้อำนาจเกินขอบเขตจนคนในสังคมทนไม่ได้
ดังนั้นการที่ตนออกมาเรียกร้องให้ สนช.ทำหน้าที่ในการพิจารณาเรื่องอำนาจในการถอดถอน
ตามกระบวนการของกฎหมายจึงไม่ใช่การข่มขู่แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นอย่าบิดเบือนประเด็นข้อ
ท็จจริง โดยเฉพาะข้อกฎหมายมหาชนที่ต้องตีความอย่างกว้างเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมทั้งที่มี
การใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิดไปแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายหลักของประเทศโดยไม่มี
ใครหรือชาติใดในโลกทำกัน

 

 

 


                
 

 

 

 

 

นายถาวร กล่าวอีกว่า หาก สนช.ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)แต่งตั้งเข้ามาทำหน้าที่
แทนส.ส.และส.ว.จะปฏิเสธว่าที่ผ่านมา เราไม่มีนักการเมืองชั่วที่รับใช้ทรราช พยายามทำทุกอย่าง
เพื่อล้างความผิดที่ทั้งคดีโกง ทุจริตโดยใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่ง รวมถึงคดีความทางอาญา
และหาก สนช.ไม่รับเรื่องนี้โดยอ้างยึดแต่หลักกฎหมาย แต่ไม่ดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ตนก็จะได้นำ
เอาเป็นกรณีศึกษาให้กับประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ให้รู้ว่าเป็นอย่างไรและเพื่อ
เป็นบทเรียนของภาคประชาชนต่อไป  ที่สำคัญคนที่เข้ามาครองอำนาจเพื่อทำการปฏิรูปประเทศ
ได้ประกาศแต่ต้นว่าจะเข้ามาล้างการโกงทุจริตไปจากประเทศไทย ในเมื่อต้นตอของการเปิดช่อง
เหล่านี้มาจากการแก้ไขกฎหมายก็ควรตระหนักและดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไม่ใช่ตัดตอนดูเฉพาะส่วน
โดยต้องตระหนักถึงหน้าที่ของ สนช.ว่าเข้ามาทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชนหรือทำเพื่อใคร

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1415003604
 

 

 

 

 

 

       

 

       

 

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Apr 19 13:15:17 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>