Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

เบื้องหลังฮิตเลอร์

ArjanPong | 15-11-2557 | เปิดดู 3216 | ความคิดเห็น 0

 

                                                            

 

 

 กองปราบ-ทหาร รวบเลขาฯ ใต้ร่มพระบารมี หมิ่นเบื้องสูง

 

 

 http://dangdd.com/threads/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99.125575/page-2

 

 

 

                                  17-11-57 ???????-???? ???????? ?????????????? ?????????????? 039

 

นายทหารพระธรรมนูญ ร่วมกับ ตำรวจกองปราบปราม จับกุม เลขาธิการสำนักงานเทิดไท้องค์ราชัน  ตามกฎอัยการศึก หลังถูกกล่าวหา หมิ่นเบื้องสูง พร้อมของกลางทองคำหนัก 1 กิโลกรัม ขณะกำลังขับรถเก๋งหลบหนีไปต่างจังหวัด 

 

 

วันนี้ (17  พ.ย.) ที่ กองปราบปราม (บก.ป.)  พ.ท. บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ (พล.ม.2) พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ หาญเสน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวน  กก.1 บก.ป. พร้อมตำรวจกองปราบปรามนำกำลังจับกุม นายชัยรินทร์ ขาวคม  เลขาธิการสำนักงานเทิดไท้องค์ราชัน ตามกฎอัยการศึก หลังถูกกล่าวหาหมิ่นเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ที่ย่านบางรัก พร้อมของกลางทองคำหนัก 1 กิโลกรัม ขณะกำลังขับรถเก๋งหลบหนีไปต่างจังหวัด พร้อมทั้งจับกุม น.ส.พิชญากัญญ์ วิชัยดิษฐ์ อายุ 35 ปี พร้อมของกลางหนังสือเดินทางเล่มน้ำเงิน ปืนพกสั้น 2 กระบอก พร้อมกระสุนจำนวนหนึ่ง โดยจับกุมได้ที่ย่านลาดกระบัง

 

 

จากกรณีที่ หม่อมราชวงศ์สมลาภ กิติยากร อดีตประธานสำนักเลขาธิการเทิดไท้องค์ราชัน ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.ว่า นายชัยรินทร์ และ น.ส.พิชญากัญญ์    ได้นำชื่อสำนักงานไปแอบอ้างเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ตนจึงได้ลาออกจากประธานสำนักงานฯ แล้วเข้าแจ้งความดังกล่าว

 

 

โดยสืบสวนทราบว่า นายชัยรินทร์ กับพวก ได้นำสถาบันฯ ไปแอบอ้างทำโครงการหลายโครงการทั่วประเทศ เช่นไปขอใช้อาคารของ บริษัท กสท.โทรคมนาคม หรือแคทเทเลคอม นานเป็นเวลา 3 ปี โดยไม่จ่ายค่าเช่า หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถวิ่งเต้นโยกย้ายรัฐมนตรี / นายทหาร / นายตำรวจ และข้าราชการต่างๆ หลอกสร้างพระพุทธรูปทองคำที่ประเทศอินเดีย จัดงานการกุศลต่างๆ แอบอ้างขอถ้วยรางวัล รวมทั้งเปิดสถาบันสอนหลักสูตรปริญญาโท-ปริญญาเอก โดยที่กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้รับรอง ทั้งนี้ นายชัยรินทร์ ยังได้นำรถเก๋งมาทำเป็นรถนำขบวน แล้วทำเรื่องขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารมาดูแลความปลอดภัย และยังอ้างว่าสามารถขอหนังสือเดินทางเล่มน้ำเงินได้อีกด้วย

 

 

นอกจากนี้ยังทราบมาว่า นายชัยรินทร์ ยังเป็นเลขาธิการสำนักงานใต้ร่มพระบารมีอีกด้วย ซึ่งมีผู้เสียหายหลงเชื่อหลายราย มูลค่าความเสียหายทั้งหมดหลายพันล้านบาท ซึ่งเจ้าทุกข์อยู่ระหว่างเตรียมแจ้งความดำเนินคดีหลายราย โดยในส่วนของบริษัทแคทเทเลคอมนั้นมียอดความเสียหายเกือบ 30 ล้านบาท จะเข้าแจ้งความดำเนินคดี นายชัยรินทร์ กับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.ในวันพรุ่งนี้ ( 18 พ.ย.)

 

 

ทั้งนี้ นายชัยรินทร์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องขัดแย้งภายในสำนักงาน คนที่ตั้งสำนักงานมากล่าวหาตนซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติ และยืนยันว่าตนไม่เคยไปรับเงินบริจาค หรือหลอกลวงตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งเงินที่นำมาใช้ในโครงการตนยังนำเงินของภรรยามาดำเนินการเอง ซึ่งตนรู้สึกเสียใจที่ถูกกล่าวหาเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ตนทำงานนี้ด้วยจิตอาสาไม่ได้มีเงินเดือนแต่อย่างใดมาโดยตลอด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ประมูลขายภาพวาดสีน้ำฝีมือ “ฮิตเลอร์” ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมนี ทำราคากว่า 5 ล้าน

      

 

  เอเอฟพี - ภาพวาดสีน้ำที่เผยให้เห็นเขตเมืองเก่าในมิวนิก และเชื่อกันว่า “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” เป็นผู้วาดขึ้นเมื่อ 100 ปีก่อน ได้ถูกนำออกประมูลขาย ณ สถาบันประมูลของเยอรมนีไปในราคา 130,000 ยูโร (ราว 5 ล้านบาท) วานนี้ (22 พ.ย.)
       
       แคทธริน ไวด์เลอร์ ผู้อำนวยการสถาบันประมูล “ไวด์เลอร์” ในเมืองนูเรมเบิร์ก กล่าวว่า งานศิลปะชิ้นนี้ต้องตาผู้ประมูลหลายคนที่ดั้นด้นมาจาก 4 ทวีป ก่อนที่ผู้ซื้อรายหนึ่งจากตะวันออกกลางจะคว้าไปครอง แต่เธอปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดของผู้ชนะการประมูล
       
       สถาบันประมูลแห่งนี้ระบุว่า ภาพวาดชิ้นนี้เป็นหนึ่งในผลงานราว 2,000 ชิ้นของฮิตเลอร์ และคาดว่าผู้นำเผด็จการรังสรรค์งานศิลปะชิ้นนี้ขึ้นเมื่อราวปี 1914 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาหาเลี้ยงปากท้องด้วยการเป็นศิลปิน ก่อนที่เขาจะผันตัวไปเป็นผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมนีใน 2 ทศวรรษต่อมา
       
       ก่อนหน้านี้มีความคาดหมายกันว่า ภาพเขียนชิ้นนี้จะสามารถเคาะประมูลในราคา 50,000 ยูโรเป็นอย่างต่ำ โดยไวด์เลอร์ซื้อภาพชิ้นนี้มาจากสองพี่น้องสูงวัย ที่ปู่ของพวกเธอซื้อมันมาเมื่อปี 1916
       
       เมื่อมองเพียงผิวเผินแล้วผลงานของฮิตเลอร์อาจดูเหมือนภาพวาดธรรมดาๆ แต่สถาบันประมูลแห่งนี้ชี้ว่า ผู้ที่ประมูลภาพขนาด 28 คูณ 22 นิ้วชิ้นนี้ไปเมื่อวันเสาร์ (22) ยังจะได้รับใบเสร็จซื้อขาย พร้อมจดหมายลงชื่อ อัลแบร์ท บอร์มานน์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยของฮิตเลอร์ และเป็นพี่น้องกับ มาร์ติน บอร์มานน์ เลขานุการส่วนตัวของผู้นำนาซีเยอรมนี
       
       จากเนื้อความในจดหมายฉบับนี้ ที่ไม่ได้ระบุวันเวลาไว้แน่ชัด พบว่าเจ้าของภาพชิ้นนี้ในสมัยนาซีได้ส่งรูปถ่ายของภาพวาดชิ้นนี้ไปยังที่ทำการของฮิตเลอร์ เพื่อขอให้ตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ จากนั้นบอร์มานน์ก็เขียนจดหมายตอบกลับไปยืนยันว่า ภาพนี้เป็น “งานศิลปะชิ้นหนึ่งของท่านผู้นำ”

 

 



 

ประมูลขายภาพวาดสีน้ำฝีมือ “ฮิตเลอร์” ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมนี ทำราคากว่า 5 ล้าน
       

 
ประมูลขายภาพวาดสีน้ำฝีมือ “ฮิตเลอร์” ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมนี ทำราคากว่า 5 ล้าน
       
 

 

 

เปิดแฟ้มลับชีวิตรัก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)

 
ใครว่าผู้ชายเถื่อนๆ ไม่มีหัวใจ ถึงแม้จะถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นฆาตกรโหดของโลก แต่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งพรรคนาซีเยอรมัน ก็ยังมีผู้หญิงที่รักมากที่สุดถึงสองคน คนหนึ่งคือแม่ผู้ให้กำเนิด และอีวาบราวน์ หญิงคนรักที่อยู่กับฮิตเลอร์ในเวลาที่เขาตาย

 
     


คลารา แม่ของฮิตเลอร์เป็นเพียงลูกสาวชาวนาจนๆ ไม่มีการศึกษา แต่เธอก็ทุ่มเททุกอย่างในชีวิตเพื่อลูก ความเอาใจใส่ของเธอเป็นตัวแปรสำคัญที่หล่อหลอมให้ฮิตเลอร์เป็นผู้ชายรักสะอาด เจ้าระเบียบ และมีเมตตากับสาวๆ เป็นพิเศษ จนพาลเป็นโรคแพ้ผู้หญิงไปเลย ทหารคู่ใจของฮิตเลอร์เขียนไว้ในบันทึกว่า ฮิตเลอร์เป็นพวกเจ้าชู้หน้าตาย เห็นสาวสวยเป็นต้องจีบดะ เช่น ถ้าเลขาสาวคนไหนป่วย ฮิตเลอร์จะไปเยี่ยมถึงบ้าน แต่ถ้าทหารผู้ชายป่วย ฮิตเลอร์กลับไม่สนใจ




ฮิตเลอร์และอีวา บราวน์

สำหรับ อีวา บราวน์ (Eva Braun) เธอควบตำแหน่งนางบำเรอ นกน้อยในกรงทอง ภรรยา และคู่ทุกข์คู่ยากเพียงหนึ่งเดียวของฮิตเลอร์ไว้ครบถ้วน อีวายอมทิ้งชีวิตอิสระในโลกกว้างมาเป็นนางบำเรอในเซฟเฮ้าส์ของฮิตเลอร์ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี เพราะรักผู้ชายคนนี้สุดหัวใจ แต่ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ของเธอไม่ได้ราบรื่นนัก อีวาพยายามฆ่าตัวตายถึงสองครั้ง เนื่องจากจนความเจ้าชู้ของฮิตเลอร์ไม่ไหว ครั้งแรกเธอยิงตัวเอง ส่วนครั้งที่สองเธอกินยานอนหลับเข้าไปถึง 35 เม็ด โชคดีว่าทหารคนสนิทของฮิตเลอร์เข้ามาช่วยไว้ได้ อีวาจึงรอดชีวิตไปจนถึงวันที่ฮิตเลอร์หมดสิ้นทุกสิ่ทุกอย่าง และต้องหลบหนีไปอยู่ในที่มั่นแห่งสุดท้าย รอเวลาที่กองทัพศัตรูจะเข้ามาประหัตประหาร

ฮิตเลอร์พยายามอ้อนวอนให้อีวาหนีไป แต่เธอเลือกที่จะตายเคียงข้างเขา ฮิตเลอร์จึงตัดสินใจที่จะตอบแทนสาวความภักดีของสาวคนรักเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการแต่งงานกับเธอ พิธีแต่งงานที่อีวารอคอยมาชั่วชีวิต มีเพียงบาทหลวงแก่ๆ กับทหารคนสนิทของสามีร่วมเป็นสักขีพยาน แต่แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว หลังจากแต่งงานได้เพียงวันเดียว จุดจบของฮิตเลอร์กับผู้หญิงที่สละชีวิตเพื่อเขาก็มาถึง ทั้งสองกรอกยาพิษเข้าปาก จากนั้นก็นั่งพิงกันเงียบๆ อยู่บนโซฟา จวบจนนาทีมรณะเดินทางมาถึง

ประวัติเกี่ยวกับผู้หญิงของฮิตเลอร์จบลงเพียงเท่านี้ จึงไม่เคยมีใครรูเลยว่าในมุมที่ลึกที่สุดของหัวใจ ฮิตเลอร์ยังมีผู้หญิงอีกสองคนแอบซ่อนไว้อย่างลับๆ แม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้การยอบรับว่าเป็นคนรักของเขา ไม่แม้แต่จะมีชื่ออยู่ในบันทึกประวัติของฮิตเลอร์ แต่เขาก็ยังคงจดจำพวกเธอไม่เคยเสื่อมคลาย ผู้หญิงคนที่สามในชีวิตของฮิตเลอร์ เป็นสาวน้อยวัยใสชื่อ เจลี่ รัวบาล (Geli Raubal)ความน่าสนใจนั้นอยู่ที่เจลี่นั้นเป็นลูกของพี่สาวต่างมารดาของฮิตเลอร์ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเข้าข่ายรักต้องห้ามนั่นเอง

เจลี่ รัวบาล (Geli Raubal)

ฮิตเลอร์ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหลานสาวคนนี้เลยจนกระทั่งเขาอายุ 40 ปี เป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในพรรคนาซีแล้ว เขาได้ชวนพี่สาวมาทำงานเป็นแม่บ้านให้ และเจลี่ก็ตามแม่ของเธอมาอาศัยร่มเงาน้าชายด้วย พอเห็นความสดใสอิ่มเอิ่มเหมือนดอกไม้แรกผลิของหลานสาว งูเห่าบนหัวฮิตเลอร์ก็เริ่มออกสเต็ปทันที ฮิตเลอร์โอ๋หลานสาวคนสวยจนออกนอกหน้า ทั้งส่งเสียให้เรียน ให้เงินเดือนใช้ และยังตามใจให้เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง ทั้งที่ปกตอฮิตเลอร์ต่อต้านความฟุ่มเฟือยสุดลิ่มทิ่มประตู เนื่องจากมันขัดกับภาพลักษณ์ของพรรคนาซี ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของผู้ใช้แรงงาน ผู้บริหารทุกคนจึงต้องทำตัวสมถะให้มากถึงมากที่สุด

ตอนแรกเจลี่ยังไม่คิดจะตกร่องปล่องชิ้นกับน้าชาย เพราะสาวสวยอย่างเธอย่อมสนใจคนหนุ่มๆ มากกว่า ชายหนุ่มที่เธอมีใจให้มีชื่อว่าเอมิล เป็นองค์รักษ์ประจำตัวของฮิตเลอร์นั่นเอง ขณะเดียวกันเธอก็มีกิ๊กไว้แก้ว่างอีกหลายคน จนครั้งหนึ่งเอมิลทนเห็นภาพบาดตาขณะแฟนสาวกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับชายอื่นไม่ได้ เลยเข้าไปประเคนกำปั้นใส่กิ๊กของเจลี่ถึงขั้นสลบ ทำให้เรื่องที่เขาแอบคบกับเธอรู้ไปถึงหูฮิตเลอร์จนได้  เปลือกนอกฮิตเลอร์ไม่แสดงอาการอะไร ทว่าในใจนั้นเดือดปุดๆ ที่คนสนิทบังอาจมาเจาะไข่แดงไก่วัดแสนสวย เลยแกล้งไม่ยอมจ่ายเงินเดือนให้เอมิล หรือบางทีก็จ่ายช้าจนอีกฝ่ายแทบไม่มีกิน เอมิลเข้าใจได้ทันทีว่านี่คือแผนบีบให้เขาลาออกของเจ้านาย ครั้นเขาจะฮึดสู้ก็คงไม่แคล้วต้องเจอไข้โป้งเข้าสักวัน ในที่สุดทหารหนุ่มจึงต้องขอย้ายไปทำงานในหน่วยงานอื่น

พอทางสะดวกฮิตเลอร์ก็เดินหน้าลุยจีบเจลี่เต็มที่ ส่วนเจลี่ซึ่งติดนิสัยฟุ่มเฟือยเข้าไปเต็มเปาแล้ว ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่ามีแต่น้าชายนี่แหละที่จะบันดาลเครื่องเพชร เสื้อผ้างามหรู และความสะดวกสบายให้เธอได้ แม่สาวน้อยร้อยชั่งจึงโอนอ่อนตามใจฮิตเลอร์แต่โดยดี แม้เธอจะเคยเล่าให้เพื่อสนิทฟังว่าฮิตเลอร์ชอบสั่งให้เธอทำอะไรที่แปลกพิลึกกึกกือ จนบางครั้งเธออยากจะอาเจียนเสียให้ได้ และก็เพราะเจลี่นี่เองที่ทำให้ฮิตเลอร์ซึ่งกำลังมีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ หายดิบหายดีเป็นปลิดทิ้ง แต่ความรักของผู้ชายวัย 40 กับสาวน้อยอายุแค่ 20 ปีย่อมไม่ง่าย ยามหวานทั้งคู่จะชวนกันนั่งรถเปิดประทุนไปปิกนิค บางครั้งก็ไปดูหนัง ละครหรือโอเปร่า แต่ยามร้ายวึ่งเกิดขึ้นบ่อยมาก ทั้งคู่จะเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ฮิตเลอร์นั้นรู้ทันนิสัยเจ้าชู้ของหลานสาว จึงไม่ชอบให้เธอออกไปเที่ยวตามลำพัง เวลาเขาต้องไปปราศรัยตามเมืองต่างๆ ฮิตเลอร์จะกักบรเวณเจลี่ไว้ในบ้าน โดยมีองครักษ์เดินยามเฝ้าราวกับมักโทษก็ไม่ปาน ถ้าเจลี่อยากจะไปงานเต้นรำโดยไม่มีเขาไปด้วย ฮิตเลอร์จะบังคับให้หลานสาวแต่งตัวมิดชิด ห้ามโชว์เนื้อหนังมังสาเป็นอันขาด แถมยังส่งลูกน้องไปคุมเธอที่งาน เจลี่จะเต้นรำกับผู้ชายหน้าไหนไม่ได้เลย ยกเว้นสองเกลออ้วนผอมขี้เหร่คู่นี้เท่านั้น

เจลี่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอีวา บราวน์ แต่ต่างกันตรงที่อีวาเย็นเป็นน้ำ ส่วนเธอกลับร้อนเป็นไฟ อีวา บราวน์ ทนสภาพเมียเก็บที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันได้นานถึง 12 ปี แต่สำหรับเจลี่แค่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเพียงเดือนเดียวเธอก็ไม่ไหวแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีปากเสียงกับฮิตเลอร์บ่อยมาก สงครามระหว่างน้าหลานมาถึงขีดสุดในวันที่ 18 กันยายน 1931 เมื่อเจลี่อยากไปเยี่ยมญาติที่กรุงเวียนนาแต่ฮิตเลอร์ไม่ยอม ทั้งคู่จึงตะโกนใส่หน้ากันอย่างดุเดือด สุดท้ายฮิตเลอร์ตะโกนว่า "ไปยิงตัวตายซะไป๊"

พอหลานสาวเลือดร้อนได้ยินอย่างนั้น อารมณ์อยากประชดประชันก็พรั่งพรู เธอวิ่งเข้าไปในห้องนอนคว้าปืนขึ้นจ่อยิงเข้าที่หน้าอกตัวเอง จนขาดใจตายทันที นับจากวันนั้นเป็นต้นมาฮิตเลอร์ก็เลิกกินเนื้อสัตว์ เขาให้เหตุผลว่าทุกครั้งที่เขาเห็นเนื้อดิบๆ ชุ่มเลือด เขาจะนึกถึงสภาพของเจลี่ที่แน่นิ่งจมกองเลือด เลือดเนื้อถูกแรงระเบิดกระจายอยู่บนพื้น

ผู้หญิงคนสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่ในความทรงจำของฮิตเลอร์ เป็นสาวน้อยบ้านนอกที่แตกต่างจากอีวาและเจลี่โดยสิ้นเชิง ชาร์ล็อต โลบ์ฌัวเอ (Charlotte Lobjoie) เป็นเพียงหญิงชาวบ้านในแคว้นไกลปืนเที่ยงที่ชื่อนอร์ปาเดอกาแล ในฝรั่งเศส ความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องเรียกว่าเป็นแบบเปิดปุ๊บติดปั๊บ เพราะแต่ออกเที่ยวด้วยกันเพียงครั้งเดียว ฌอง มารี (Jean-Marie) ลูกชายของทั้งคู่ก็ลืมตาดูโลกในอีกเก้าเดือนต่อมา หลังจากที่ทั้งสองมีสัมพันธ์กันในค่ำคืนที่ต่างฝ่ายต่างเมากันทั้งคู่ หลังจากวันนั้นฮิตเลอร์ก็ติดต่อชาร์ล็อตเป็นครั้งคราว แต่เขาไม่เคยยอมรับว่าฌอง มารีเป็นลูกเลย เด็กชายจึงโตขึ้นมาในสภาพลูกกำพร้าที่ถูกเด็กๆที่โรงเรียนกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องที่เขาเป็นลูกไม่มีพ่อนั้น เป็นอาหาปากอันโอชะของพวกเด็กเกเรเลยทีเดียว

พอโตเป็นหนุ่มโชคชะตาก็ชักพาฌอง มารี เข้าสู่โลกของสงคราม เขาเข้าร่วมกับกองทัพฝรั่งเศสทำสงครามกับเยอรมัน รวมทั้งเป็นสมาชิกขบวนการฝรั่งเศสเสรี (French Resistance) เพื่อต่อต้านการรุกรานของนาซี โดยไม่รู้สักนิดว่าผู้นำฝ่ายปรปักษ์ที่เขาและเพื่อนทหารทุกคนอยากกำจัด ก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของตัวเองชาร์ล็อตต้องทนฟังลูกชายเล่าถึงปฏบัติการของเขาและเพื่อนๆ อย่างไม่สบายใจ ยิ่งลูกชายประกาศกร้าวว่าจะเด็ดหัวอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีให้จงได้ เธอก็อกสั่นขวัญแขวนด้วยว่ากลัวลูกชายอาจกลายเป็นฆาตกรฆ่าพ่อเข้าสักวัน  สุดท้ายเธอจึงบอกความจริงให้ฌอง มารีรู้

หลังจากชาร์ล็อตเสียชีวิตไปในวัยชรา ฌอง มารีก็พบภาพวาดรูปของเธอที่วาดโดยฮิตเลอร์ ถูกเก็บไว้อย่างดีในห้องใต้หลังคา เป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่ยืนยันความสัมพันธ์ของทั้งสอง และเป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่า แม้ฮิตเลอร์จะไม่ยอมรับลูกชาย แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อชาร์ล็อตอยู่เสมอ เพราะเธอคือแม่ของลูกชายเพียงคนเดียวของเขา เธอจึงเป็นเหมือนเงาดำที่ฮิตเลอร์ไม่มีวันสลัดหลุดตลอดไป ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็

 

 

 

                                

 

 

 

  

  

 

 

 

 

 

                      

 

 

 

 

 

                    

 

 

                    

 

 

 

 

 

 

 

 

หว่านเงินเกือบ 2 แสนล้านไร้ผล ยาง-ข้าวดิ่งไม่ถึงครึ่งรับจำนำ

 

จาก ประชาชาติธุรกิจ

 

 

 
   
 
 
 
 
 

 

มาตรการยกระดับราคาข้าว-ยางกว่า 1.8 แสนล้านบาท ส่อ "เหลว" ราคาตกต่อเนื่อง หอมมะลิเหลือไม่ถึงหมื่นบาท โยนกันวุ่นทั้งโรงสี-ผู้ส่งออก "ยาง" ไม่น้อยหน้า Buffer Fund ซื้อแค่ 100 ตัน ต้องรอข่าวดีโละสต๊อกยางรัฐ 2 แสนตัน

 

หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) อนุมัติแนวทางรักษาเสถียรภาพราคาเพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกฤดูการผลิต 2557/2558 ตกต่ำ ตั้งแต่การลดต้นทุนการผลิตไร่ละ 432 บาท ตามด้วยมาตรการยกระดับราคาข้าวเปลือก ได้แก่ 1) สินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและสินเชื่อเพื่อเตรียมข้าวเปลือก ขึ้นยุงฉางเกษตรกร วงเงิน 52,454 ล้านบาท 2) ค่าเช่าและเก็บรักษาข้าวเปลือกแก่เกษตรกรและสหกรณ์ 3,000 ล้านบาท 3) วงเงินชดเชยต้นทุนเงินที่ต้องขออนุมัติเพิ่มเติมอีก 2,980.16 ล้านบาท

นอก จากนี้ยังมีการอนุมัติเงินให้กับโรงสีข้าวที่สมัครเข้าร่วมโครงการชดเชย ดอกเบี้ย 3% เพื่อซื้อข้าวเก็บสต๊อกเป้าหมาย 6 ล้านตัน โดยใช้วงเงินรวม 612 ล้านบาท โดยมาตรการทั้งหมดนี้ รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิฤดูการผลิต 2557/2558 อยู่ที่ไม่ต่ำกว่าตันละ 16,000 บาท หรือคิดเป็นราคาส่งออกต่ำกว่าตันละ 950 เหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยมาตรการจ่ายเงิน "อุดหนุน" ราคาข้าวให้กับชาวนาไร่ละ 1,000 บาท หรือไม่เกิน 15 ไร่ วงเงิน 40,000 ล้านบาท(จ่ายไปแล้ว 617,447 รายวงเงิน 7,366,756,500 บาท)

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานข้อมูลราคาจำหน่ายข้าวล่าสุดของกรมการค้าภายใน ปรากฏว่าราคาจำหน่ายข้าวสารในประเทศ ชนิดข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) เดือนพฤศจิกายน 2557 ตันละ28,930 บาท ถือเป็นระดับราคาที่ต่ำสุดในรอบปี หากเทียบราคาเฉลี่ยช่วง 11 เดือนแรก(มกราคม-พฤศจิกายน) ปี 2557 ตันละ 31,140 บาท "ต่ำกว่า" ช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ราคาตันละ 33,450 บาท

ขณะที่ราคาส่งออก ข้าว (FOB) โดยกรมการค้าต่างประเทศระบุว่า ราคาเฉลี่ยข้าวหอมมะลิชั้น 2 (ใหม่) เดือนพฤศจิกายน 2557 อยู่ที่ตันละ 863 เหรียญสหรัฐ หรือต่ำสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่ราคาเฉลี่ย 11 เดือนแรกของปี 2557 ตันละ 972 เหรียญทั้งหมดนี้แสดงว่า มาตรการยกระดับราคาข้าวเปลือกที่รัฐบาลดำเนินการนั้น "ไม่ได้ผล"

โรงสีโยนผู้ส่งออกกำไรเละ

แหล่งข่าวจากวงการโรงสีข้าวกล่าวถึงโครงการให้โรงสีเข้าไปช่วยซื้อเพื่อชดเชย ดอกเบี้ย "ขณะนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้" เพราะติดปัญหาข้อปฏิบัติ เช่น อำนาจในการตรวจสต๊อกก่อนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะปล่อยเงินกู้ให้กับโรงสี

"รัฐบาลตั้งวงเงินให้โรงสีช่วยซื้อ 600 ล้านบาท เพื่อกักข้าว 6 ล้านตันไม่ให้ออกสู่ตลาด จริง ๆ แล้วการจ่ายดอกเบี้ย 3% จากอัตราดอกเบี้ยปกติ 7% เท่ากับโรงสีต้องจ่ายดอกเบี้ยเองอีก 4% ขณะที่มูลค่าข้าวที่ซื้อมากักไว้มีความเสี่ยงที่ราคาข้าวจะลดลงเรื่อย ๆ ตามราคาตลาด เช่น ซื้อราคารัฐบาลต้นทุน 16,000 บาท คิดเป็นราคาข้าวสารตันละ 29,000 บาท แต่ปัจจุบันผู้ส่งออกบอกราคาซื้อข้าวล่วงหน้าอยู่ที่ตันละ 24,000-25,000 บาท เท่ากับโรงสีเสียดอกเพิ่ม แถมยังขาดทุนสต๊อกจากราคาตลาดที่ลดลงอีกตันละ 4,000-5,000 บาท"

ส่วน กรณีที่รัฐบาลกำหนดเป้าหมายราคาข้าวหอมมะลิไว้ที่เป้าหมาย 16,000 บาท หรือราคาส่งออกตันละ 950 เหรียญนั้น เมื่อคำนวณกลับมาเป็นราคาข้าวสาร โดยคูณอัตราแลกเปลี่ยน 32.50 บาท เป็นเงินตันละ 30,875 บาท หักค่าปรับปรุงตันละ 1,000 บาท ยอมหักค่าดอกเบี้ยให้อีกตันละ 500 บาท ทั้งที่ผู้ส่งออกซื้อข้าวจากโรงสีได้เครดิตยาว 1-2 เดือน เท่ากับว่าผู้ส่งออกต้องซื้อข้าวสารตันละ 29,375 บาท หรืออย่างต่ำ 29,000 บาท แต่ความเป็นจริงผู้ส่งออกกลับซื้อข้าวเพียงตันละ 24,000-25,000 บาท ตรงนี้ผู้ส่งออกข้าวมีกำไร "ส่วนต่าง" ระหว่าง 4,000-5,000 บาท/ตัน

ขณะ ที่ ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้โต้แย้งข้อกล่าวหาของกลุ่มผู้ประกอบการโรงสีข้าวว่าผู้ส่งออกไม่ได้มี กำไรจากการซื้อข้าวมากถึงขนาดนั้น หากคิดสูตรราคาจากราคาเป้าหมายส่งออกอยู่ที่ตันละ 950 เหรียญ คำนวณกลับมาเป็นราคาข้าวสาร คูณอัตราแลกเปลี่ยน 32.50 บาท เป็นเงินตันละ 30,875 บาท หักค่าปรับปรุงตันละ 1,800 บาท หักค่าดอกเบี้ยอีก 3% ในขณะที่ลูกค้ากว่าจะจ่ายเงินก็ใช้เวลานาน 1-2 เดือน กำไรผู้ส่งออกตันละ 270 บาท หรือซื้อข้าวได้แค่ตันละ 26,650 บาทเท่านั้น

ชาวนาร้อง "ตู่" เงินหายครึ่งหนึ่ง

นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า สมาคมจะทำหนังสือเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี หลังจากที่สมาคมได้รับคำร้องเรียนจากชาวนาหลายจังหวัดว่า ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกปีการผลิต 2557/2558 ได้ลดลงต่ำสุดประมาณ 50% จากช่วงที่เคยได้รับจากโครงการรับจำนำ เช่น ข้าวเปลือกหอมมะลิเหลือแค่ตันละ 9,000-10,000 บาท ต่ำกว่าราคาเป้าหมายของรัฐบาลกำหนดตันละ 16,000 บาท ส่วนข้าวเปลือกเหนียวเหลือตันละ 6,700-8,000 บาท หรือต่ำกว่าราคาเป้าหมายตันละ 13,000 บาท

"การจ่ายชดเชยชาวนาไร่ละ 1,000 บาทก็ได้กันประปรายไม่ครบ ดอกเบี้ยธนาคารที่กู้มาจะทำอย่างไรจะเอารายได้จากไหนจึงพอเพียงกับหนี้พวก นี้"

ยางราคาร่วงต่อเนื่อง


สถาณการณ์ราคายางพาราก็ยัง คง "ตกต่ำ" อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางหลายด้าน ไม่ว่าจะอนุมัติวงเงิน 58,000 ล้านบาท เพื่อให้สินเชื่อ/เงินกู้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง, การจ่ายเงินอุดหนุนไร่ละ 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 15 ไร่ หรือ 15,000 บาท วงเงิน 8,500 ล้านบาท(จ่ายไปแล้ว 1377 ราย วงเงิน 13,053,250 บาท)และการอนุมัติให้องค์การสวนยาง (อสย.) ทำการซื้อขายยางผ่านกองทุนมูลภัณฑ์กันชน (Buffer Fund) วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อดึงราคายางในประเทศให้สูงขึ้น แต่จนถึงวันนี้ราคายางก็มีแต่จะดิ่งลง

ผู้สื่อข่าวรายงานในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 ราคายางตลาดกลางยางพาราสงขลาปรับตัวลดลง ยางแผ่นดิบแตะระดับ 47.25 บาท/กก. หรือลดลง 0.85 บาท, ยางแผ่นรมควันชั้น 3 กิโลกรัมละ 49.33 บาท/กก. หรือลดลงถึง 1.55 บาท, ราคาน้ำยางสด ณ โรงงานอยู่ที่ 47.00 บาท/กก. หรือลดลง1 บาท จากราคายางแผ่นดิบในวันที่ 3 พฤศจิกายน อยู่ที่ 52.25 บาท/กก. และยางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 55.70 บาท/กก.

สำหรับราคายางที่ตลาดกลางยางพาราสุราษฎร์ธานีในรอบสัปดาห์ นี้ยังคงแกว่งตัวอยู่ในช่วง 49-50 บาท/กก. ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ราคายางลดลงมาจากวันที่ 17 พ.ย. ถึง 2.15 บาท/กก.

แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวถึงสัญญาซื้อขายยางพาราในสต๊อกรัฐบาล จำนวน 208,000 ตันจากโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราว่าจะมีการเซ็นสัญญาซื้อขายยางใน ปลายสัปดาห์นี้จำนวน 200,000 ตัน ส่งมอบเป็นเวลา 10 เดือน โดยส่งมอบครั้งละ 20,000 ตัน ราคาขายมีการยืนยันอย่างไม่เป็นทางการว่ามีราคาสูงกว่าราคาตลาด

"การ รับมอบสินค้าจะต้องมีการเปิด Letter of Credit (L/C) มาก่อน และจะมีการตั้งคณะกรรมการที่มีทั้งฝ่ายรัฐบาลไทยและเซอร์เวเยอร์ของผู้ซื้อ ในการตรวจสอบยางพาราแบบก้อนต่อก้อน เพื่อให้ถูกต้องตามเกณฑ์การคัดคุณภาพยางพาราที่ตกลงกัน ซึ่งอาจจะมียางมิดเชพ มีราแห้ง ราเปียกบ้าง ทำให้ราคาต่ำกว่าที่ให้แก่ยางคุณภาพดี แต่คู่ค้าจะรับซื้อแน่นอน เพราะคุณภาพยางยังนำไปใช้งานได้"

รายงานข่าวกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ อ.ส.ย.ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ขายยางแผ่นรมควันชั้น 3 กก.ละ 62 บาท และยางแท่ง กก.ละ 56 บาท รวมทั้งหมด 2 แสนตัน ให้กลุ่มบริษัทไห่หนานของจีนมาแล้ว แต่ยังไม่มีการเซ็นสัญญาซื้อขายอย่างเป็นทางการ

ด้านนายชนะชัย เปล่งศิริวัธน์ ผู้อำนวยการองค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) กล่าวถึงการเข้าซื้อยางระลอกสองของกองทุนมูลภัณฑ์กันชนยางพารา (Buffer Fund) หลังจากที่เข้าซื้อไปแล้ว 100 ตัน ในวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า "จะยังไม่มีการเข้าซื้อยางในสัปดาห์นี้ เนื่องจากกรรมการบางส่วนต้องเดินทางไปประชุมไตรภาคีประเทศผู้ผลิตยางพารา 3 ประเทศ" และการเข้าซื้อยางก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะซื้อทุกวันหรือวันละเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการที่จะพิจารณาราคายางเป็นรายวัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               

 

 

 

ประเทศคนขี้เมา : วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ กับ ประภัสสร เสวิกุล

               

มีข่าวน่าสลดใจที่วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งใช้จอบทำร้ายชาวต่างประเทศจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงเพราะชาวต่างประเทศผู้เคราะห์ร้ายมองหน้านักเรียนวัยรุ่นกลุ่มนั้นที่ดื่มสุราจนเมามาย

 

                จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก พบว่า ประเทศไทยมีการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก และมีผู้ดื่มที่อยู่ในวัย 11-19 ปี ประมาณ 1.06 ล้านคน หรือประมาณ 21.23 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรในกลุ่มอายุนี้ และครึ่งหนึ่งเริ่มดื่มเมื่ออายุต่ำกว่า15  ปี นอกจากนี้นักเรียนนักศึกษาเพศหญิง มีการดื่มสุราเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 6 เท่า

 

                สาเหตุของการดื่ม ส่วนใหญ่เกิดจากเพื่อความสนุกสนานกับเพื่อนฝูง, ทำตามอย่างเพื่อน, ถูกยั่วยุ ท้าทาย, ต้องการแสดงความเก่ง และการยอมรับของเพื่อนๆ, เพื่อให้ลืมความทุกข์, สภาพในครอบครัวที่มีการดื่มสุรา และเหตุผลอื่นๆ - สุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยมานาน ทุกงาน หรือเทศกาลต่างๆ จะต้องมีวงเหล้าอยู่ด้วยเสมอ แม้แต่งานบุญงานกุศล งานมงคล หรืออวมงคล การดื่มสุราและเครื่องดองของเมา แม้จะเป็นข้อห้ามทางพุทธศาสนา แต่ก็ไม่มีใครถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด บางคนแม้จะเพิ่งอาราธนาศีลและรับศีลห้ามาหยกๆ ก็ยังดื่มสุรายาเมากันจนกลายเป็นเรื่องปกติ

 

                สังคมไทยนั้นเป็นสังคมแบบแม่ปูที่ผู้ใหญ่มักจะสอนให้เด็กและเยาวชนทำโน่นทำนี่ แต่ผู้ใหญ่เองกลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ตนสอน เช่น การรณรงค์ไม่ให้เด็กและเยาวชนดื่มสุรา แต่ผู้ใหญ่หรือผู้เป็นพ่อเป็นแม่เองยังคงดื่มกันโดยทั่วไป ขณะเดียวกัน การโฆษณาแฝงของสินค้าประเภทนี้ ก็มักจะสร้างภาพให้เห็นถึงความโก้หรู การมีรสนิยม ความทันสมัย การเป็นที่สนใจของเพศตรงข้าม เมื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ยี่ห้อต่างๆ และการหาซื้อสุราหรือเบียร์ก็ทำได้ง่ายดาย แม้ว่าจะมีกฎหมายควบคุมอยู่ก็ตาม จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกยังพบว่า การดื่มสุรา เป็นปัจจัยของการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจครั้งแรกของวัยรุ่น และโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้ขาดสติ ทะเลาะวิวาท ใช้ความรุนแรง รวมไปถึงอุบัติเหตุต่างๆ โดยเฉพาะอุบัติเหตุจากการใช้ถนนซึ่งอยู่ในอันดับที่สูงมาก การทำร้ายผู้อื่น และฆ่าตัวตาย

 

                จะเห็นได้ว่าแรงจูงใจที่สำคัญของเด็กและเยาวชนให้ตกเป็นเหยื่อของสุรา ก็คือ เพื่อน และการดื่มครั้งแรกของคนในวัยนี้มักจะเริ่มต้นกับเพื่อนๆ ตามแรงชักจูงหรือผลักดัน รองลงไปก็คือ ครอบครัว หากบ้านใดที่เด็กคุ้นเคยกับภาพของการดื่มสุรา หรือถูกใช้ให้ไปซื้อสุราตั้งแต่เล็ก เด็กก็จะเกิดความสับสน และเห็นว่าการดื่มสุราเป็นเรื่องปกติ แรงจูงใจประการสุดท้ายก็คือ สังคม ตราบใดที่ยังมีภาพของการดื่มสุรา หรือการโฆษณาแฝงของเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ในสื่อต่างๆ รวมทั้งภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์ ตราบนั้นก็เท่ากับสังคมให้การยอมรับในเรื่องการดื่มสุราโดยปริยาย ซึ่งเป็นการยากที่จะให้เด็กและเยาวชนแยกแยะความผิดชอบชั่วดี หรือความเป็นจริงกับสิ่งสมมุติได้เอง และการรณรงค์เพื่อมิให้เด็กและเยาวชนดื่มสุราในสภาพของสังคมที่เต็มไปด้วยการดื่มสุรา ก็คงเป็นเรื่องที่ยากเย็นเข็ญใจขึ้นไปอีก

 

                ปัญหาการดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชน เป็นปัญหาใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับทรัพยากรมนุษย์และอนาคตของชาติ ในวันนี้ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร้อยละ 21.23 หรือกว่า 1 ใน 5 ของประชากรในกลุ่มวัยนี้ หากไม่สามารถป้องกันมิให้เด็กเข้าสู่วงจรของแอลกอฮอร์ได้ ก็อาจจะทำให้ตัวเลขดังกล่าวสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่งเด็กและเยาวชนไทยเกินกว่าครึ่งหนึ่งก็จะกลายเป็นเด็กขี้เมา แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติของเรา?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                        วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน เป็นวันแรม 15 ค่ำเดือน 12

 

                                              

 

 

กายนี้ เป็น “กรรมเก่า”

 
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กายนี้ ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และทั้ง
ไม่ใช่ของบุคคล เหล่าอื่น.

ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กรรมเก่า (กาย) นี้ อันเธอทั้งหลาย
พึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น (อภิสงฺขต), เป็นสิ่งที่
ปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น (อภิสญฺเจตยิต), เป็นสิ่งที่มี
ความรู้สึกต่ออารมณ์ได้ (เวทนีย).

ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณีของกายนั้น อริยสาวกผู้ได้
สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง
ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า “ด้วยอาการอย่างนี้ :
เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้จึงมี ;

เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้,สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ;
เพราะสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้จึงไม่มี ;
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ , สิ่งนี้จึงดับไป :

ข้อนี้ได้แกสิ่งเหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย ;
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ;
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ;
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ;
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ ;
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ;

เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ;
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ;
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ ;
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ;
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส

อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง
อวิชชานั้น นั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร, เพราะมี
ความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ; .....
ฯลฯ ..... ฯลฯ ..... ฯลฯ ..... เพราะมีความดับแห่งชาติ

นั่นแล....
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส
อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้ แล.
นิทาน.สํ. ๑๖/๗๗/๑๔๓.

 

พุทธวจน

อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ยื่นขอประกันตัว"สมยศ"ครั้งที่ 16 ระบบยุติธรรมไทย !!!
 
 
 
 
 
 
 

                         [​IMG]

 

 

 

 

ภรรยานายสมยศ พฤกษาเกษมสุข จำเลยคดีม.112 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราว นายสมยศ เป็นครั้งที่ 16


วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 ที่ศาลอาญารัชดาฯ นางสุกัญญา พฤกษาเกษมสุข ภรรยา นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสารวอยซ์ ออฟทักษิณ และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย จำเลยซึ่งถูกศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 10 ปี ในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เดินทางมายังศาลอาญา พร้อมกับทนายความ เพื่อยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว นายสมยศ โดยเตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 1 ล้านบาท


ทั้งนี้นางสุกัญญา กล่าวว่า คดีนี้อยู่ระหว่างรอศาลฎีกามีคำพิพากษา คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 ปี และนายสมยศ ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษ กรุงเทพ ทำให้นายสมยศ ไม่มีโอกาสสู้คดีได้อย่างเต็มที่ จึงได้ยื่นขอปล่อยชั่วคราวนายสมยศมาแล้ว 15 ครั้ง ส่วนเหตุผล ที่ก่อนหน้านี้ศาลไม่อนุญาตเนื่องจากทางตำรวจได้คัดค้านการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหากได้รับปล่อยตัวไปจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับคดีนี้มีอัตราโทษสูง


อย่างไรก็ตามนางสุกัญญา ระบุว่า ตามพฤติการณ์ในคดี นายสมยศ ไม่ใช่ผู้กระทำผิดโดยตรง การยื่นขอปล่อยชั่วคราวครั้งที่ 16 นี้ก็หวังว่าศาลจะเมตตา และให้ความเป็นธรรม

 

แป๊ะลิ้ม
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุก 85 ปี
ศาลให้ประกัน ระหว่างฏีกา
แต่สมยศ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุก 10 ปี
ศาลไม่ให้ประกัน ระหว่างฏีกา
ทุเรศไหมครับ
ศาลไทย

 

 

 

 

 

 

 นักศึกษากำลังจะกลับมา.......?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 big60 20 พฤศจิกายน 2014 - 16:44 #7

 

ไม่เกี่ยวกับทักษิณหรือเพื่อไทย ไม่เกี่ยวกับเมือกมาร์คหรือประชาธิปัตย์ แต่เกี่ยวกับสองคู่ต่อสู้ตัวจริงของเขาซึ่งมีมาแต่อดีต ระหว่าง เผด็จการทหาร กับ พลังบริสุทธิ์ของนักศึกษาผู้แสวงหาความเป็นธรรมในสังคม ทุกครั้งก็เป็นแบบนี้ ทหารจะออกมาก่อน เมื่อล้ำเส้นล้มล้างระบอบมากเกินไป จนประเทศกลายเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ...เมื่อนั้นพลังต่อต้านที่ไม่เกี่ยวกับทักษิณหรือเพื่อไทย จะออกมาต้านเขาเอง

 

เคยติงเขาแล้วว่าอย่าทำอะไรที่มันเกินไปจนพลังบริสุทธิ์รับไม่ได้ คู่ต่อสู้ไม่ใช่มีแค่ศรัตรูทางการเมืองอย่างทักษิณหรือเพื่อไทย แต่ยังมีพลังเงียบบริสุทธิ์ที่จับตาดูอยู่ เกินไปจนออกนอกลู่นอกทางเมื่อไหร่ จะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากพลังบริสุทธิ์เหล่านี้...แต่ดูเหมือนเขาจะชะล่าใจเกินไป ทำอะไรจนออกนอกหน้านอกตา เหมือนกับว่าพลังเหล่านี้ตายไปแล้วจากแผ่นดิน โหมใส่กลุ่มทักษิณจนทำลายระบอบจนหมด ไม่เกรงใจกลุ่มคนที่เหลือเลย เมื่อบีบมากปฏิกิริยาที่โต้ตอบออกมาเป็นแรงดีดสะท้อนก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

 

เมื่อก่อนเขาใช้วิธีปลุกพลังประชาชนออกต่อต้านนักศึกษา...แต่ปัจจุบันนี้ต่างกันมากแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นกลุ่มฐานเสียงของทักษิณและกลุ่มอุดมการณ์ประชาธิปไตย รอจังหวะร่วมด้วยอยู่ งานใหญ่เข้าหล่ะที่นี้ เมื่อโดนต่อต้านมากๆเข้า ก็เข้าตำราเดิมเหมือนในอดีต จนแต้มก็ขนกำลังขนอาวุธออกมาไล่ยิงประชาชนในประเทศของตนเหมือนเดิม สงสารประเทศไทยจะหายนะอีกเท่าไหร่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 คณะศิษย์ หลวงตามหาบัว ยื่นหนังสือ สปช. คัดค้านการร่างกฏหมาย ให้ สตง.มาสอบเงินวัด ขัดกับพุทธบัญญัติ อ้าง พุทธเจ้าไม่อนุญาตให้ฆารวาสก้าวก่ายอำนาจสงฆ์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วันที่ 19 พ.ย. ที่อาคารรัฐสภา ผศ.ภิฤดี ภวภูนานันท์ นำทีมคณะศิษานุศิษย์ขององค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เข้ายื่นหนังสือต่อ นางทัศนา บุญทอง รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ คนที่ 2 เพื่อสนับสนุนภารกิจของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ในการปฏิรูปประเทศ รวม 2 ฉบับ โดยเสนอความคิดเห็นในการร่างรัฐธรรมนูญโดยของให้มีการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันพระพุทธศาสนา และปฏิรูปสื่อให้คงความเสมอภาคแก่สื่อภาคประชาชน ตลอดจนการคุ้มครองการเผยแพร่พระพุทธศาสนาผ่านสื่อและให้บัญญัติทุนสำรองของชาติไว้ในรัฐธรรมนุญโดยกันทุนสำรองไว้กองหนึ่งแยกออกจากทุนสำรองประเภทอื่น

นอกจากนี้ยังคัดค้านการออกฏหมายปกครองสงฆ์ที่ขัดต่อพระธรรมวินัยเพราะเชื่อว่า พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้มีเหตุผลที่ชอบธรรมอยู่แล้วทั้งนี้การ ดูแลรักษาสมบัติของสงฆ์ ควรเป็นอำนาจหน้าที่ของสงฆ์ที่จะต้องดูแลตรวจสอบกันเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาตให้ฆราวาสใดเข้ามาก้าวก่ายและตรวจสอบในการปกครองของ สงฆ์ ทั้งนี้ การที่มีความพยายามแก้กฏหมายให้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเข้ามาตรวจสอบเงินบริจาคของวัด ซึ่งเข้ามาก้าวก่ายตรวจสอบสมบัติของสงฆ์ ซึ่งเป็นเงินบริจาคด้วยความศรัทธาของประชาชนย่อมเป็นการฝ่าฝืนพุทธบัญญัติและบ่อนทำลายศาสนา

 

 

 

 ศิษย์หลวงตามหาบัว ยื่นค้านตรากม. ให้สตง.ตรวจเงินวัด อ้างพระพุทธเจ้าไม่อนุญาต ขำนะเนี่ยยยย...

 

                            

 

 

 

 พระพุทธเจ้าอนุญาตให้กินหมากรึเปล่า เคี้ยวหมากหยับๆ พูดจาหยาบโลน ด่าคนโน้นคนนี้ว่าขายชาติ ท่านอนุญาตไว้หรือเปล่า?

 

 

พุทธบัญญัติกำหนดไว้

"สตังวัด กรรมการยัตจัง มิมานิ สตังวัด พระครูทำตัง มิมานิ สตังวัด มัคทายกกำบัง มิมานิ "

 

 ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับนาย ตามสบายครับท่าน....

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                              ลักเหนียวไก่

 

 

   


 

 

 

 

 

                     

 

 

กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ สำหรับวันนี้กันไปแล้ว หลังจากมีการโพสต์คลิปเด็กหญิง กรณี โจรลักเหนียวไก่ ของ "น้องล่ายกล้อ" 

 

ล่าสุด ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการประจำ สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ ไทยพีบีเอส โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Time Chuastapanasiri ถึงเรื่องคลิปลักเหนียวไก่ว่า "ถอดรหัส 10 เหตุผลทางการตลาด" ที่ทำให้คลิป ‪ลักเหนียวไก่‬ โดนใจและแชร์กระหน่ำ (อ่านเพิ่ม : ขำน้ำตาเล็ด! รีมิกซ์ คลิปดัง น้องล่าลักเหนียวไก่ (ชมคลิป)

 

คลิป ลักเหนียวไก่ นี้มีความน่าสนใจหลายอย่าง จะวิเคราะห์เฉพาะ ตัวเนื้อหาของมัน (content analysis) เอาแบบวิชาการ เรื่องนี้ มองให้ดี นักการตลาดอาจสนใจ เพราะบทเรียนเนื้อหาของมัน สามารถเอาไปสร้างแนวทางในการทำคลิปไวรัล (Viral) ด้านการตลาดให้โดนใจได้

 

 

 

                            

                                                                              น้องล่า ลักเหนียวไก่

 

 

1. มันขำ ตลก : Humorous 

เนื้อหาเรื่องราวของมันให้อารมณ์ขบขัน ฮา และเศร้าระคนปนไปด้วย

 

2. มันจริงใจ ตรงไปตรงมา : To be frank 

น้องเขาเล่นเอง เล่าเอง พูดด่าออกมาแบบไม่มีสคริปต์ ไร้บท

 

3. มันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ : Emotional 

ความหงุดหงิด เศร้า เจ็บใจ โกรธ ขำ งอน เต็มไปหมด คนดูจะสามารถเก็บอารมณ์ซึมซับในนั้นได้ทั้งหมด

 

4. มันมีความเป็นโอทอป : Localization 

คือแนวคิดที่พูดเรื่อง เนื้อหาที่สะท้อนความเป็นชุมชน (ความเป็นบ้านๆ) ในคลิป เราจะเห็น "น้องล่า" ความเป็นเด็กใต้ คนใต้ คำใต้ มันออกมาชัดเจนอย่างถึงแก่น

 

5. มันเป็นเรื่องใกล้ตัว : Surrounding

เหตุการณ์นี้ สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ นั่นทำให้คนดู สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ภายในตนเองได้ (เป็นเรื่องชวนหัวในชีวิตจริง)

 

6. มันหยาบคาย : Rudeness

ความหยาบคายเป็นส่วนประกอบให้มันเข้าถึงคนดู การมีคำหยาบ ช่วยทลายกำแพงของการปิดกั้น ตั้งป้อมเปิดรับเนื้อหา เพราะใครๆ ก็สามารถใช้ำคำสบถ ด่า ในชีวิตประจำวันได้เผ็ดร้อนได้ปกติ มันจึงดูจริง (เพราะมันจริง)

 

7. มันมีความลับ : Mysterious

มีความลึกลับ ซ่อนเงื่อน สร้างความสงสัยอยู่ในนั้น ใครคือคนขโมยข้าวเหนียวไก่ ยังคงเป็นปริศนา ที่รอคอยตอนจบ ทำให้เรื่องมีความดึงดูดน่าคนสนใจใคร่รู้

 

8. มันต่อยอด : User Generated Experience 

คลิปนี้ ชาวเน็ต เอาเรื่องราวไปทำต่อ ขยายต่อ เป็นมิวสิกวิดีโอ มีทั้งเพลงแร็พ มีทั้งเวอร์ชั่นเลียนแบบมากมาย ทำให้ ผู้ชมร่วมกระโจนเข้าสู่การแสดงอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์

 

9. นี่คือตัวอย่างการทำเนื้อหาแบบ "Real Marketing"

มันคือความจริงของเหตุการณ์ น่าเสียดายว่าไม่มีการสนับสนุนทางด้านการตลาดอยู่ในนั้น หากมี มันจะดังระเบิด

 

10. มันสร้างผลกระทบ : Effect 

สำนักข่าว สื่อ ให้ความสนใจ (ตามกระแส ฉาบฉวย) มันมีคุณค่าข่าวในระดับที่เพียงเรียกร้องความสนใจของผู้ชมผู้ฟัง (ถึงแม้ว่ามันจะฉาบฉวยก็ตาม) และตอนนี้ก้มีคนสร้างเพจน้องล่า ลักเหนียวไก่ เป็นแฟนคลับกันจริงๆ จังๆ แล้ว

 

 แรงกระเพื่อมชนิดรุนแรงถาโถมในโลกออนไลน์อย่างหนักหน่วงในรอบ 5 วันที่ผ่านมา กับปรากฏการณ์ “ลักเหนียวไก่” ของสาวรุ่นวัย 15 ปีชาวจ.สตูล ที่อัดอั้นตันใจ อัดคลิปวีดีโอระบายความอึดอัดที่เจ้าตัวถูกคนมือดีขโมยข้าวเหนียวไก่ทอด....... อ่านต่อได้ที่ : http://goo.gl/k9U8Ak

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                   

 

 

 

 

 

 

 

ส่องอนาคต "เอสเอ็มอีไทย" เมื่อรัฐบาลเลิกอัดเงิน.. เน้นถ่ายทอดองค์ความรู้!!!

 

 
 
 
 
 
 

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

กลายเป็นประเด็นเมาธ์มอยกันในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ไปจนถึงภาคธุรกิจขนาดใหญ่ หลังคำให้สัมภาษณ์ของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ "รัฐบาลตู่1" ในงานสัมมนาเอสเอ็มอีว่า "รัฐบาลจะยังไม่มีนโยบายหรือมาตรการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี ด้วยวิธีการจ่ายเงินหรือสนับสนุนด้านการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์ รวมถึงธนาคารเฉพาะกิจต่างๆ มีโครงการสนับสนุนมาโดยตลอดอยู่แล้ว"

แต่รัฐบาลจะเร่งสนับสนุนเตรียมพร้อมสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ในด้านต่างๆ ที่ไม่ใช่การสนับสนุนทางการเงินแทน เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า หมดเวลาแล้วที่เอสเอ็มอีจะรอแต่ความช่วยเหลือในรูปของเงินเป็นหลัก เหมือนรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมามักจัดวงเงินหลายหมื่นล้านบาทผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ แต่ไร้ระบบบริหารจัดการส่งผลชัดเจนว่าลูกค้าเอสเอ็มอีแบงก์ ตามสถิติที่ขอสินเชื่อเอสเอ็มอี 8 หมื่นราย เกิดปัญหาหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอลมากถึง 3 หมื่นราย เทียบกับระบบบริหารของธนาคารพาณิชย์ที่มียอดลูกค้าเอสเอ็มอี 6 แสนราย แต่มีปัญหาเอ็นพีแอลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



ม.ร.ว.ปรีดิยาธรระบุว่า เอสเอ็มอีไทยมีจำนวนกว่า 2.7 ล้านราย จำนวนนี้อยู่ในระบบจำนวน 1.9 ล้านราย อีก 6.84 แสนรายอยู่นอกระบบ มีการจ้างงานสูงกว่าเอสเอ็มอีในระบบ ประมาณ 11.7 ล้านคน คิดเป็น 80% ของการจ้างงานนอกภาคเกษตร จึงมีความสำคัญต่อการกระจายรายได้ของประชาชนมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพียง 20% ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งดูเอสเอ็มอี 6.84 แสนรายนี้โดยเร็ว

- ดันดิจิตอลอีโคโนมีช่วยเอสเอ็มอี

รองนายกรัฐมนตรียืนยันว่า สิ่งหนึ่งที่ควรทำเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี คือการให้องค์ความรู้ในการบริหารงาน หน่วยงานรัฐและเอกชนจะต้องประสานความร่วมมือเพื่อถ่ายทอดแก่เอสเอ็มอี ขณะเดียวกันต้องไม่ใช่เชิงบังคับ เพราะเอสเอ็มอีจะต้องมีความสมัครใจ พร้อมเรียนรู้ เพื่อให้การทำงานสำเร็จทั้งสองฝ่าย ไม่เกิดปัญหาอย่างที่ผ่านมา

ซึ่งเรื่องนี้หลายฝ่ายต่างจับตาแนวทางพัฒนาดิจิตอลอีโคโนมีของรัฐบาลว่า จะออกมามีหน้าตา มีแนวทางพัฒนาอย่างไร โดยล่าสุดมีหน่วยงานรัฐขานรับแล้ว อาทิ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้กันงบประมาณ ปี 2558 จำนวน 100 ล้านบาท จัดทำแผนงาน ดิจิตอล เอสเอ็มอี เพื่อขับเคลื่อนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสู่ยุคดิจิตอล อีโคโนมี แผนงานสำคัญคือการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้านดิจิตอล แบ่งเป็น กลุ่มผู้ประกอบการใหม่ในธุรกิจไอที จำนวน 500 ราย ใช้งบประมาณ 11 ล้านบาท และกลุ่มผู้ประกอบการใหม่ในธุรกิจอื่น มีการปรับหลักสูตรให้ความรู้ด้านไอทีมากขึ้น เป้าหมาย 1,000 คน งบประมาณ 22 ล้านบาท และเน้นผู้ประกอบการใช้เทคโนโลยี เครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อขยายช่องทางตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ เป้าหมาย 420 กิจการ งบประมาณ 23 ล้านบาท อีกทั้งกิจกรรมบริการเงินสมทบจ้างที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงการผลิต การจัดการ การตลาด เป้าหมาย 60 กิจการ งบประมาณ 5 ล้านบาท ดิจิตอลเพื่อวิสาหกิจชุมชน นำเทคโนโลยีมาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของชุมชนในทุกมิติ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการโอท็อปในการขายสินค้าผ่านระบบไอที การพัฒนาเว็บไซต์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ วางเป้าหมาย 70 ผลิตภัณฑ์ งบประมาณ 3 ล้านบาท เป็นต้น

- สมาคมเอสเอ็มอีไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดจากการสำรวจความเห็นของภาคเอกชน ต่างมีทั้งเสียงค้านและสนับสนุน โดยเฉพาะเสียงสะท้อนจากนงเพ็ญทิพย์ พรจะเด็ด นายกสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (เอทีเอสเอ็มอี) ระบุว่า ยังสับสนกับนโยบายของรัฐบาล เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงการคลังเพิ่งประกาศเตรียมจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอี วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท จึงไม่รู้ว่าสรุปแล้วรัฐบาลจะเดินหน้านโยบายอย่างไร แต่เอสเอ็มอียังคงประสบปัญหาสภาพคล่อง แม้มีทั้งธนาคารรัฐและพาณิชย์ประกาศให้การอุดหนุนสินเชื่อ แต่ด้วยหลักเกณฑ์ข้อกำหนด สุดท้ายก็กลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เอสเอ็มอีส่วนใหญ่ยังไม่เข้าถึงแหล่งเงินทุน การจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือจึงน่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด

- ส.อ.ท.หนุนแนวคิดหม่อมอุ๋ย

ขณะที่นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงความเห็นอีกมุมว่า เห็นด้วยกับกรณีรัฐบาลไม่เน้นมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี เพราะปัจจุบันรัฐบาลมีการช่วยเหลือตามกรอบอยู่แล้วนั้น เอกชนเห็นด้วยกับรัฐบาล เพราะแนวทางการช่วยเหลือด้านการเงินผ่านธนาคารรัฐอยู่แล้ว

ขณะที่นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท.ตอบรับนโยบายรัฐบาลเช่นกัน โดยส่งเสริมด้านการตลาด ทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (อี-คอมเมิร์ซ) โดยร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม จัดทำระบบซอฟต์แวร์บริหารการจัดการเพื่อส่งเสริมให้เอสเอ็มอีบริหารจัดการอย่างเป็นระบบมากขึ้น

- เตรียมเสนอกรอ.ใช้ภาษีจูงใจเอสเอ็มอีเข้าระบบ

และจากตัวเลขเอสเอ็มอีนอกระบบ 6.84 แสนราย จ้างงาน 11.4 ล้านราย ที่รัฐบาลต้องการให้เข้าระบบ ทาง ส.อ.ท.ยังเตรียมข้อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ให้ออกมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจดทะเบียนกับภาครัฐให้ถูกต้อง โดยจะเสนอนิรโทษกรรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไม่ให้มีการตรวจสอบภาษีย้อนหลัง และกำหนดกรอบภาษีนิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จัดกลุ่มคำนวณตามรายได้ กำไร และทุนจดทะเบียนของผู้ประกอบการ โดยวางกรอบการคิดภาษีเบื้องต้น คือ กลุ่มที่มีรายได้น้อย จะคิดภาษี 5% รายได้ปานกลาง คิดภาษี 10% รายได้สูง คิดภาษี 15% ส่วนแต่ละกลุ่มจะแบ่งรายได้ กำไร ทุนฯ อย่างไร อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐ คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ อาทิ มีกำไร 5-10 ล้านบาท อาจคิดภาษี 5% ซึ่งหากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าระบบอย่างถูกต้อง จะทำให้ภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีฐานข้อมูลในการส่งเสริมหรือแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง ส่งผลดีทั้งผู้ประกอบการด้วย"

- เกาะติดคืบหน้านโยบายวาระแห่งชาติ

อย่างไรก็ตามในมาตรการขับเคลื่อนเอสเอ็มอี ยังมีอีกนโยบายภาพกว้างที่รัฐบาลประกาศไว้ตั้งแต่ยังบริหารในรูปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั่นคือ การสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมเพิ่มธุรกิจด้านการเกษตรในนิยามของเอสเอ็มอี จากเดิมมี 3 ด้านคือ อุตสาหกรรม การค้า และการบริการ เพราะหลังจากประกาศได้มีคำสั่งปรับโครงสร้างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) แกนกลางหลักในการกำหนดยุทธศาสตร์เอสเอ็มอีของประเทศ แต่จนถึงวันนี้ในความเห็นของเอสเอ็มอียังไม่เห็นการกำหนดนโยบาย การขับเคลื่อน ที่สร้างความน่าสนใจต่างจากการบริหารงานของหลายรัฐบาลที่ผ่านมา

โดยช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แม้จะมีประชุมคณะกรรมการ สสว. (บอร์ดเอสเอ็มอี) อนุมัติงบ 726.7 ล้านบาท เดินหน้าตามยุทธศาสตร์ เพื่อมุ่งสู่วาระแห่งชาติ และเพิ่มการจดทะเบียนเพิ่มอีก 5 หมื่นในปี 2558 ให้เข้าถึงตลาด เสริมศักยภาพแข่งขัน สามารถเพิ่มสัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของเอสเอ็มอี เป็น 38% แต่ยังไม่มากพอ

- เร่ง สสว.คลอดแผนแม่บทเอสเอ็มอี

เพราะภาคเอกชนเองยังอยากเห็นการทำงานของ สสว.ที่เข้มข้นกว่านี้ สถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (เอสเอ็มไอ) ภายใต้การดูแลของ ส.อ.ท.ได้ออกมาเรียกร้องให้ สสว.เร่งประกาศแผนแม่บทการพัฒนาเอสเอ็มอี เพื่อให้ทุกงานที่เกี่ยวข้องนำแผนไปดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม ถีบประเทศให้พัฒนาขึ้น หลังจากผลวิจัยสถานะเอสเอ็มอี ใน 10 ประเทศอาเซียนพบว่า ไทยอยู่อันดับ 3 อันดับเดียวกับอินโดนีเซีย ขณะที่เวียดนามอยู่อันดับ 4 และใกล้เคียงกับไทยมาก ส่วนอันดับ 1 คือ สิงคโปร์ อันดับ 2 คือ มาเลเซีย

โดยเอสเอ็มไอย้ำว่าตอนนี้การพัฒนาเอสเอ็มอีของรัฐบาลถือว่ามาถูกทางแล้ว หลังจากประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ทำให้ทุกหน่วยงานตื่นตัวในการแก้ปัญหาเอสเอ็มอี ทั้งฝ่ายทำการตลาด ฝ่ายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฝ่ายหาแหล่งเงินทุน จึงเป็นโอกาสดีที่ สสว.จะตีเหล็กตอนร้อนๆ ประกาศแผนแม่บทฯออกมา เพื่อให้ทุกฝ่ายนำไปดำเนินการอย่างจริงจัง ที่ผ่านมา สสว.ได้ประชุมร่วมกับเอสเอ็มไอ และสถาบันการเงินคือ เอสเอ็มอีแบงก์ และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย. เพื่อจัดทำแผนแม่บทอยู่แล้ว

- "โฆษิต" แนะดูแลเอสเอ็มอีกระตุ้นศก.ระยะยาว

ล่าสุด นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ออกมากระทุ้งรัฐบาลให้ดูแลเอสเอ็มอีอย่างจริงจังเช่นกัน โดยให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรดูแลสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอี เพื่อเป็นชนชั้นกลางของประเทศ เพราะจะเป็นฐานสำคัญทำให้เศรษฐกิจเติบโต เพิ่มการจ้างงานแท้จริง เพราะหากรอพึ่งเอกชนขนาดใหญ่ไม่กี่บริษัท แม้จะส่งผลดีด้านเศรษฐกิจ แต่อาจสร้างความเหลื่อมล้ำให้กับเศรษฐกิจไทยมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันหากรอพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ (เอฟดีไอ) ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะเมื่อเข้าสู่การประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) นักลงทุนจะมีตัวเลือกประเทศที่จะลงทุนมากขึ้น

- ธุรกิจเอสเอ็มอี 9 เดือนน่าห่วง

ขณะเดียวกัน สสว.เปิดเผยสถานการณ์เอสเอ็มช่วง 9 เดือน (มกราคม-กันยายน 2557) พบว่ากิจการที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีจำนวน 46,341 ราย หดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 18.02% ประเภทกิจการที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย ภัตตาคาร/ร้านอาหาร ขายส่งเครื่องจักรและอุปกรณ์ ขณะที่การจดทะเบียนยกเลิกกิจการ ช่วง 9 เดือน มีจำนวน 10,206 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.5% โดยประเภทกิจการที่มีการยกเลิกมากที่สุด ได้แก่ ขายสลากกินแบ่ง ก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย

- กกร.เร่งรัฐบาลออกมาตรการดูเอสเอ็มอี

ขณะที่นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แถลงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนพฤศจิกายน ว่า ต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการดูแลเอสเอ็มอี เนื่องจากปัจจุบันเอสเอ็มอียังขาดสภาพคล่องทางธุรกิจ ขณะเดียวกันต้องการให้รัฐบาลมีมาตรการให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบมากขึ้น ด้วยการให้กรมสรรพากรอบรมแนะนำให้เอสเอ็มอีรู้จักระบบบัญชีเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น

จะเห็นว่าข้อเรียกร้องด้าน "เงินๆ ทองๆ" ยังเป็นเส้นเลือดใหญ่โอบอุ้มธุรกิจในภาวะเช่นนี้




ที่มา : นสพ.มติชน


 

เศรษฐกิจไม่ดีก็ทราบกันอยู่ว่าการขอวงเงินกู้ในระบบปรกติยากแสนสาหัส ไหนจะยอดขายตก ไหนจะรายจ่ายท่วมรายได้ รัฐไม่ปล่อยเงินมาซัพพอร์ตคงได้เห็นการเลิกกิจการ โล๊ะแรงงานกันบ้างแหละครับ ทีรัฐบาลเพิ่มเงินเดือนตัวเองยังทำได้เลย แค่จัดสรร..วงเงินกู้ทำไมจะช่วยไม่ได้ แย่จริงๆครับ

 

สงสารผู้ประกอบการ กู้เงินมาแล้วจะหาเงินไหนใช้หนี้เนอะ เศรษฐกิจแบบนี้คนขายมากกว่าคนซื้อ ชาวบ้านก็ประหยัดไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเหมือนแต่ก่อน

 

ตอนนี้พวกค้าขาย..รายเล็กรายน้อย หาเช้ากินค่ำ..กำลังค่อยๆเจ๊งนำร่องไปก่อนหน้าแล้ว ต้นปีหน้า..คงเจออย่างเสมอภาค เท่าเทียมกันแน่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เสือมเหศวรตัวจริง รับบทเป็นผู้ใหญ่สุก บิดาตนเอง

 

 

 

 

โดย webmaster@iseehistory.com

"เราไม่เคยคิดจะเข้ามาในวงการโจร แต่มีความจำเป็น ไม่มีทางเลือก" เป็นคำกล่าวของ หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อดีต "เสือดำ" 1 ในบรรดาโจรชื่อดังหลายคนในยุคปลายสงครามโลกครั้งที่สองและหลังสงคราม ที่จะฟังขึ้นหรือไม่ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่าน มีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า เหตุที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากผลกระทบของสงครามทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง อาวุธสงครามแพร่หลายในตลาดมืด อำนาจรัฐที่ยังขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากปัญหาการคมนาคมและตัวข้าราชการเองที่ไร้ประสิทธิภาพหรือบางทีก็ข่มเหงราษฎร และความเชื่อในเครื่องรางของขลังต่างๆ ทำให้คนจำนวนหนึ่งหันไปเป็นโจร ซึ่งมีทั้งประเภทที่เรียกว่า "เป็นโจรโดยสันดาน" อยู่แล้ว และรายที่ถูกข่มเหงรังแกโดยอำนาจรัฐไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยได้ ดังเช่น อดีตเสือดำเจ้าของคำพูดในตอนต้น และ "เสือมเหศวร" ที่มีผู้นำชีวิตของเขามาสร้างเป็นภาพยนตร์ไทย ในยุค "มิตร-เพชรา" ออกฉายเมื่อปีพ.ศ.2513

 

เมื่อผมเริ่มศึกษาหาข้อมูลประกอบการเขียนภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากปัญหาการหาเอกสารอ้างอิงในเบื้องต้น และการไม่ปรากฏวันเดือนปีที่แน่นอนของเหตุการณ์แล้ว ยังมีเรื่องของเอกสารที่ดูเหมือนขัดแย้งกันอยู่บ้าง ดังที่จะได้กล่าวต่อไป ในหนังสือเรื่อง "คนใต้หนังเหนียว" อันเป็นชีวประวัติส่วนหนึ่งของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเเดช จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฉัตรรพี ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์ (ผมลืมปั๊มวันเดือนปีที่ซื้อหนังสือไว้ จำได้คร่าวๆ เพียงว่าซื้อในราวปีพ.ศ.2537-2539) ลำพังเรื่องของขุนพันธ์ฯ ยังเขียนไม่จบเลย จึงไม่แปลกที่จะกล่าวถึง "เสือมเศวร" เพียงว่าเป็นสมุนมือรองคนหนึ่งของ "เสือฝ้าย" แต่อย่างน้อยก็พอจะให้ภาพของสังคมไทยเวลานั้นได้พอสมควร "คนใต้หนังเหนียว" กล่าวว่า ขุนพันธรักษ์ราชเดช ขณะมียศเป็น พ.ต.ต. ได้รับคำสั่งโยกย้ายจากผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตรไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท

 

เมื่อ 23 มิถุนายน 2488 ขณะนั้น มีชุมโจรใหญ่ๆ ในเขตความรับผิดชอบของท่าน ได้แก่ จังหวัดชัยนาท มี เสือครึ้ม เสือย่อม เสือเห้ย เสืออ้วน และสองพี่น้อง เสือสมเสือศักดิ์ และสุพรรณบุรี มี เสือฝ้าย เสือเกลี่ย เสือดอย และเสือดำ "คนใต้หนังเหนียว" จะกล่าวถึงบรรดาเสือเหล่านี้ในทางลบเป็นส่วนใหญ่ นอกจากครั้งหนึ่ง ที่เล่าเหตุการณ์ตอนเสือครึ้มนัดให้ขุนพันธ์ฯ ไปพบเพื่อเจรจาขอมอบตัวในภายหน้า ที่สะท้อนให้เห็นว่า "เสือ" เหล่านี้มีส่วนหนึ่งที่เป็นโจรด้วยความจำใจ บทความในรุ่นหลังๆ ยังได้กล่าวถืงเสือบางคนอย่าง เสือฝ้าย เสือมเหศวร เสือใบ และเสือดำ ในด้านบวกเช่นกันว่า เดิมทีคนเหล่านี้เป็นสุจริตชนที่ถูกข่มเหงจนต้องเตลิดไปเป็นโจร เมื่อเป็นโจรแล้ว จะ "ปล้น" ด้วยวิธีการที่จะเรียกว่านิ่มนวลหรือเลวน้อยหน่อยก็แล้วแต่ทัศนะ เช่น การเลือกปล้นเฉพาะคนที่รวยมาจากการโกง ไม่ปล้นใครจนหมดตัว ไม่ทำร้ายเจ้าทรัพย์นอกจากรายที่ต่อสู้ขัดขืน รายได้ส่วนหนึ่งทำบุญกุศลและช่วยเหลือคนจน ฯลฯ จะเชื่อถือได้แค่ไหนก็ไม่ทราบ เนื่องจากบทความเหล่านี้จะเขียนจากปากคำของบรรดาเสือเหล่านั้นเอง แต่อย่างน้อย การที่เสือเหล่านี้ลงเอยด้วยการมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และบางรายช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ปราบโจรร้ายกลุ่มอื่น เมื่อถูกดำเนินคดีแล้วไม่มีเจ้าทุกข์มาชี้ตัว ก็คงพอเป็นหลักประกันความจริงได้บ้าง

 

 

ศวรขณะชกต่อยกับหัวหน้าคนงานที่อิจฉาเขา

 

 

มาเข้าเรื่องเสือมเหศวรกันเต็มๆ ซะที มเหศวร มีชื่อเดิมว่า "ศวร เภรีวงษ์" เกิด ตำบลสีบัวทอง ซึ่งระหว่างจังหวัดอ่างทองกับสุพรรณบุรี ในภาพยนตร์เราจะได้เห็นมเหศวรตัวจริงในบทของผู้ใหญ่สุก (หรือ "สุข" ก็ไม่ทราบ) บิดาของตนเอง และ มิตร ชัยบัญชา รับบทเป็นนายศวร ที่จะกลายมาเป็นเสือมเหศวรในภายหลัง เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อลูกบ้านคนหนึ่งมาแจ้งกับผู้ใหญ่สุกให้ไปตามคนร้ายที่ขโมยควาย ระหว่างทาง ผู้ใหญ่สุกได้พบกันนายศวร ลูกชายที่พึ่งปลดประจำการจากการเกณฑ์ทหาร จึงหยุดทักทายกันและสั่งให้ศวรบอกนางตลับผู้เป็นภรรยาตนและแม่ของศวร ให้ฆ่าไก่ทำอาหารไว้ฉลองการกลับมาของศวร แต่พอศวรถึงบ้านได้ไม่นาน หมื่นชน (ชื่อสมมติ) ศัตรูของผู้ใหญ่สุกที่หวังจะครอบครองที่ดินของผู้ใหญ่และเป็นใหญ่ในละแวกนั้นมานาน ได้ลอบยิงผู้ใหญ่สุกถึงแก่ความตาย ศวรวิ่งตามเสียงปืนไปพบเข้า ก็ถูกหมื่นชนกับพวกไล่ตามฆ่าด้วยอีกคน จนต้องหนีเอาชีวิตรอด

 

ศวรหนีไปถึงไร่แห่งหนึ่ง โฉมยาหลานสาวเจ้าของไร่ได้รับไว้เป็นคนงานในไร่ทั้งๆ ที่พิทักษ์พี่ชายไม่เห็นด้วย ศวรกับโฉมยาสนิทสนมกันมากขึ้นท่ามกลางความไม่พอใจของพิทักษ์ ชิงชัยเพื่อนของพิทักษ์ที่หมายปองโฉมยา เจ้าของไร่ผู้เป็นอาของโฉมยา และคนงานอื่นๆ ที่อิจฉาริษยา ขณะเดียวกัน หมื่นชนได้ตามมาคุกคามนางตลับบังคับให้บอกที่ซ่อนของศวร ทำร้ายเธอจนได้รับบาดเจ็บที่ตาขวา และจับเธอพิมพ์ลายนิ้วมือในเอกสารแผ่นหนึ่ง อันเป็นการฮุบเอาที่ดินของผู้ใหญ่สุกแต่เดิมไปนั่นเอง ด้านศวรได้ออกจากไร่ไปรับจ้างถีบสามล้อ จนได้มาพบกับคนจรจัดชื่อเบี้ยว และได้พบกับพิทักษ์ชิงชัยและเจ้าของไร่โดยบังเอิญ ทั้งสามหลอกว่าโฉมยากำลังจะแต่งงานกับชิงชัย ทำให้ศวรผิดหวังเตลิดไปขอสมัครเป็นลูกน้องของเสือฝ้าย โดยมีเบี้ยวติดตามไปด้วย

 

ตรงนี้ขอขยายความเกี่ยวกับ "เสือฝ้าย" นอกจากที่กล่าวในภาพยนตร์ไว้สักนิด เสือฝ้ายมีชื่อเดิมว่า ฝ้าย เพ็ชนะ เคยบวชเรียนแล้วสึกออกมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน แล้วต้องติดคุกเพราะถูกหลานเขยใส่ความว่าเป็นโจรจนต้องติดคุกถึง 8 ปี โดยทีแรกไม่ทราบความจริง จนกระทั่งหลานเขยคนเดิมพยายามใส่ความอีกครั้ง ฝ้ายจึงฆ่าทิ้งและหนีเงื้อมมือกฎหมายมาตั้งชุมโจร จนมีอิทธิพลมาก ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี แม้แต่ชุมเสืออื่นๆ ก็ให้ความเคารพยำเกรง จนได้รับสมญาว่า "พ่อเสือ" บ้าง "จอมพลเสือฝ้าย" บ้าง "ครูฝ้าย" บ้าง

 

 

ศวรและเบี้ยวมาขอสมัครเป็นลูกน้องเสือฝ้าย

 

 

กลับมาดูเรื่องในภาพยนตร์ต่อ เสือฝ้ายได้รับศวรกับเบี้ยวไว้ในชุมโจรในตำแหน่ง "จุมโพ่" ซึ่งจะเรียกอีกนัยหนึ่งว่าเป็น "เบ๊" ก็ว่าได้ คือ ทำหน้าที่หุงข้าว ทำอาหาร บีบนวด และจะมี "อื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย" แบบราชการหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ไม่ใช่หน้าที่ในการออกปล้น ความปรารถนาที่จะล้างแค้นทำให้ศวรอยากได้ปืนมาฝึกยิง เบี้ยวได้ช่วยเหลือจนทั้งสองเกิดการทะเลาะวิวาทกับเสือจอนและเสือหวิง สมุนคนสำคัญของเสือฝ้าย เสือฝ้ายเห็นฝีมือการต่อสู้ของศวรที่เหนือกว่าลูกน้องทั้งสองของตน จึงได้ทดสอบด้วยการส่งศวรปล้นโดยไม่ให้ประกาศว่าเป็นลูกน้องตน ในหนังจะตัดข้ามมายังตอนที่ศวรนำทรัพย์สินที่ปล้นได้มามอบให้เสือฝ้ายแล้ว เสือฝ้ายพอใจและแต่งตั้งให้ศวรเป็นสมุนมือขวา พร้อมชื่อใหม่ว่า "มเหศวร" แหล่งข้อมูลอื่นไม่ได้เจาะจงว่าเสือฝ้าย เป็นผู้ตั้งชื่อนี้หรือไม่ แต่มาจากชื่อพระเครื่องมเหศวรที่ศวรบูชาและคล้องคออยู่ตลอด เชื่อว่าทำให้อยู่ยงคงกระพัน นอกจากนี้ เล่ากันว่า เสือฝ้ายเป็นผู้สอนวิชาอาคมต่างๆ ให้กับบรรดาสมุนทั้งหลายรวมทั้งมเหศวรด้วย แต่ในภาพยนตร์ทั้งเรื่องจะไม่กล่าวถึงวิชาอาคมใดๆ เลย ปัญหาคงไม่ใช่แค่ว่าผู้สร้างจะเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์นี้หรือไม่ ในตอนต้นเรื่อง ได้มีคำประกาศไว้ว่าต้องการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้เป็นอุทธาหรณ์แก่ผู้ที่กำลังเดินทางไปสู่อเวจี เรื่องเครื่องลางของขลังต่างๆ จึงไม่ใช่ประเด็นที่จะสนับสนุนวัตถุประสงค์ของเรื่อง

 

ต่อมา ชุมโจรเสือดำถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย นายดาบลิขิต เข้าปราบปราม เสือดำหนีเข้ามาในเขตของเสือฝ้าย ๆ ให้เสือมเหศวรนำกำลังไปกำจัดเสือดำ แต่เสือมเหศวรกลับนำคนไปล้างแค้นฆ่าหมื่นชนตาย แล้วไปเยี่ยมแม่ซึ่งมีหญิงสาวชื่อเอื้องฟ้าปรนนิบัติดูแลอยู่ และได้อ่อนใจ พี่ชายของเอื้องฟ้ามาเป็นสมุนอีกคน ผลของการไม่ทำตามคำสั่งเสือฝ้าย ทำให้เสือดำออกอาละวาดปล้นฆ่าชาวบ้านในเขตเสือฝ้าย ๆ โกรธ และขับเสือมเหศวรกับพวกให้ไปตั้งชุมโจรของตัวเองต่างหาก

 

 

เสือมเหศวรต่อสู้กับเสือจอนและเสือหวิงที่พยายามฉุดโฉมยากับศรีวรรณ

 

 

โฉมยากับเพื่อนชื่อศรีวรรณได้มาที่ชุมโจรของมเหศวรเพื่อปรับความเข้าใจกัน แต่ได้พบมเหศวรซึ่งยังไม่หายโกรธกำลังอยู่กับเอื้องฟ้า จึงงอนวิ่งหนีกลับไป ระหว่างทางถูกเสือจอนกับเสือหวิงพยายามฉุดคร่า มเหศวรกับเบี้ยวมาช่วยไว้ทัน โฉมยาจึงต้องพักอยู่ที่ชุมโจรของมเหศวรจนปรับความเข้าใจกันได้ แต่เสือจอนกับเสือหวิงได้ไปใส่ความยุยงเสือฝ้ายหาว่ามเหศวรต้องการท้ายทายอำนาจ รุ่งขึ้นมเหศวรนำโฉมยากับศรีวรรณไปส่ง เจ้าของไร่กับพิทักษ์และชิงชัยนำพรรคพวกมาพบเข้าก็พยายามรุมทำร้าย เสือฝ้ายมาพบเข้าจึงสังหารเจ้าของไร่กับพิทักษ์และชิงชัยตายหมด

 

จากนั้นจึงสอบถามเสือมเหศวรเรื่องที่สองเสือลูกน้องตนใส่ความไว้ เสือมเหศวรเล่าความจริงโดยมีโฉมยากับศรีวรรณเป็นพยาน เสือฝ้ายจึงสังหารเสือจอนกับเสือหวิง แล้วกล่าวลาเสือมเหศวรว่า คงไม่ได้พบกันอีกแล้ว เพราะทางการได้ส่งนายร้อยตำรวจเอกคนหนึ่งมาปราบปรามตน ตรงนี้ขอแทรกเรื่องจริงที่ปรากฏนอกเหนือจากในหนังอีกทีว่า ในภายหลัง เสือฝ้ายได้กลับใจมาช่วยเหลือทางการในการปราบปรามชุมโจรอื่นๆ และเข้ามอบตัวในที่สุด แต่จะด้วยความแค้นเดิมหรือเหตุผลกลใดไม่ทราบ นายร้อยตำรวจเอกคนที่ในหนังเอ่ยชื่อนามสกุลท่านไว้ด้วยนั้น ได้กระทำวิสามัญฆาตกรรมเสือฝ้ายที่วัดโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ระหว่างทางที่คุมตัวไปยังกรุงเทพฯ เหตุผลและเรื่องราวที่แท้จริงเป็นอย่างไรคงต้องฝากให้ศึกษากันต่อไป

 

 

มเหศวรยิงต่อสู้กับเสือดำ

 

 

เหตุการณ์ต่อมา เสือมเหศวรได้พยายามล้างชุมโจรเสือดำ ๆ จับนางตลับไปเป็นตัวประกันเพื่อล่อให้เสือมเหศวรมาช่วย แล้วซ้อนกลให้ตำรวจนำกำลังมาจับ มเหศวรปะทะกับกำลังของลิขิต (ที่เลื่อนจากนายดาบเป็นผู้หมวดแล้ว) จนถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ระหว่างหนีถูกเสือดำกับพวกคอยสกัดอยู่ เมียเสือดำถูกยิงตาย ทำให้เสือดำสู้อย่างบ้าเลือด เมื่อลูกน้องเสือมเหศวรอีกส่วนหนึ่งตามมาพบได้แอบไปโจมตีเสือดำทางด้านหลัง ทำให้เสือดำกับพวกถูกยิงตายหมด ฉากนี้ที่นับว่าแปลกคือตามปกติในหนังไทยรุ่นเก่าๆ หลายเรื่องจะมีนางรองวิ่งมาบังกระสุนตายแทนพระเอก

 

แต่เรื่องนี้เมียเสือดำกลับตายเพราะออกมาบังกระสุนตายแทนเสือดำก่อน แล้วพอเสือดำตายก็อุตส่าไปล้มทับร่างเมียพอดี ดูแล้วจะน่าอิจฉายิ่งกว่าคู่พระคู่นางซะอีก เพราะก่อนหน้านี้ก็จะมีฉากวับๆ แวมๆ ระหว่างเสือดำกับเมียอยู่สองฉากด้วย ในด้านข้อเท็จจริงนั้น เสือดำตัวจริงเมืองสุพรรณ แม้จะเป็นชุมเสือที่ไม่ยอมขึ้นกับเสือฝ้าย แต่ก็ไม่ได้เป็นเสือร้ายอย่างในหนัง และเป็นเสือกลับใจรายหนึ่งที่ยอมมอบตัวต่อทางการ โดยมีเรื่องเล่าว่าได้ปะทะกับขุนพันธรักษ์ราชเดชหลายครั้ง แต่ต่างฝ่ายต่างมีวิชาอาคมทำอะไรกันไม่ได้ จนได้มีการนัดคุยกันอย่างลูกผู้ชาย โดยที่เสือดำไม่ได้เป็นโจรโดยสันดาน จึงถูกเกลี้ยกล่อมให้มอบตัวไปในที่สุด และได้บวชเป็นพระนามว่า หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร ดังที่ผมนำคำพูดของท่านมาใช้เปิดเรื่องตอนต้น คงต้องถือซะว่าชื่อ "เสือดำ" ในที่นี้เป็นชื่อสมมติของเสือรายอื่นไป

 

หลังจากได้ภรรยาแล้ว ล้างแค้นเช็คบิลใครต่อใครจนหมดแล้ว ก็เป็นการเดินเรื่องไปสู่การมอบตัวของเสือมเหศวร โดยผู้หมวดลิขิตได้พยายามขอความร่วมมือจากนางตลับและเอื้องฟ้าในการเกลี้ยกล่อม มเหศวรเองก็เริ่มไม่สบายใจที่โฉมยาต้องมาตกระกำลำบากในชุมเสือ จึงได้พาเธอไปอยู่กับนางตลับผู้เป็นมารดา แล้ววันดีคืนดี อ่อนใจก็มาบอกเสือมเหศวรว่า หมวดลิขิตได้ "จับตัว" นางตลับ โฉมยา และเอื้องฟ้าไปเป็นตัวประกัน มเหศวรนำกำลังไปหมายจะไปช่วยคนทั้งสามโดยไม่กลัวว่าจะเป็นกับดัก

 

แต่หลังจากการปะทะกันครู่หนึ่ง หมวดลิขิตและ "ตัวประกัน" ทั้งสามก็ได้ช่วยกันเกลี้ยกล่อมจนเสือมเหศวรยอมมอบตัวพร้อมกับลูกน้องทั้งหมด (ขณะนี้ผมทราบเพียงว่ามเหศวรมอบตัวในปี 2492 และถูกจำคุก 3 ปี) เหตุการณ์ช่วงนี้มีบทความในช่วงหลังอ้างคำพูดของมเหศวรเองในเชิงบ่นทำนองว่าตำรวจเล่นแรงถึงขั้นจะขู่ฆ่าแม่และเมียด้วย แน่ละครับ ตำรวจไม่ว่ายุคนั้นหรือยุคนี้ก็มีบุคคลนอกแถวที่ทำให้ภาพลักษณ์ส่วนรวมเสื่อมเสียอยู่ตลอด แต่จะรวมถึงหมวดลิขิตในเวลานั้นด้วยหรือเปล่า? คงต้องขอเดาแบบกลางๆ ไว้ก่อนว่า หากเสือมเหศวรเคยห่วงล้างแค้นส่วนตัวจนเสียงานของเสือฝ้ายจริง และเคยบุกไปช่วยแม่จนเกือบเสียที "เสือดำ" จริง หมวดลิขิตก็ย่อมเห็นว่านี่คือจุดอ่อนที่จะล่อเสือมเหศวรออกมาได้ หากหมวดลิขิตแกเลวจริงก็คงใช้แผนนี้เพื่อวิสามัญเสือมเหศวรซะเลย ไม่ใช่ล่อมาเกลี้ยกล่อมอย่างที่ปรากฏในหนัง

 

 

เสือมเหศวรยอมมอบตัวต่อหมวดลิขิต

 

 

ภาพยนตร์เรื่อง จอมโจรมเหศวร นี้ ยังมีความสำคัญต่อมเหศวรตัวจริงอย่างมาก มีเรื่องเล่าว่า หลังจากมเหศวรออกจากคุกแล้ว ต้องอยู่อย่างลำบากยากจนมาตลอด และคงจะด้วยกุศลผลบุญที่ยอมกลับตัวกลับใจอย่างแท้จริง ไม่ได้ออกจากคุกมาเป็นโจรใหม่อย่างโจรผู้ร้ายรุ่นหลัง วันหนึ่งคุณพลสัญห์ ศรีหาผล ได้ดำริที่จะนำเรื่องของมเหศวรมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ในบทความเขาใช้คำว่า คุณพลสัญห์ "ขอซื้อเรื่องราวของมเหศวรเป็นเงิน 100,000 บาท" จะถือว่าเป็นค่าขออนุญาตเอาชีวิตจริงไปสร้าง ค่าตัวในการร่วมแสดง หรือค่าอะไรก็แล้วแต่ อย่างน้อยได้ชี้ให้เห็นว่าผู้สร้างหนังรุ่นนั้นให้ความเคารพต่อตัวบุคคลในเหตุการณ์จริง ผิดกับผู้สร้างหนังรุ่นหลังๆ บางรายทั้งไทยและฝรั่งที่แต่งเรื่องขึ้นใหม่เอาเองละเลงตามใจชอบ อีกประเด็นที่ควรถือว่ามเหศวรเป็นแบบอย่างที่ดี คือการนำเงินก้อนนั้นมาใช้ในการสร้างหลักฐานซื้อไร่นาเลี้ยงชีวิตเยี่ยงสุจริตชน เทียบกับคนรุ่นหลังในบางวงการ ได้เงินมานับเป็นล้านๆ กลับถลงใช้หมดในเวลาอันรวดเร็ว แล้วต้องมาลำบากในภายหลัง

 

ประเด็นที่ว่าโจรจำใจอย่างมเหศวรนั้น จะเทียบกับโรบินฮู้ดได้หรือไม่ ตรงนี้พูดยากครับ ไม่ว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้หรือหนังสือบทความใดๆ เกี่ยวกับเสือในยุคนั้น หากไม่เขียนจากมุมมองของตำรวจที่ทำการปราบปราม ก็มาจากมุมมองของอดีตโจรเหล่านั้น หากเราทำตัวเป็นคนเชื่อยาก คงต้องแย้งว่าใครๆ ก็พูดให้ตัวเองดูดีทั้งนั้น ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงว่าผู้ถูกปล้นเป็นใครกันบ้าง? รวยแบบโกงเขามาหรือเป็นสุจริตชนธรรมดา? โดนปล้นอย่างสุภาพอย่างที่เขาอ้างหรือเปล่า? ที่ว่าปล้นแล้วแบ่งให้คนจนนั้นให้เปล่าหรือหวังผลให้เป็นแนวร่วมป้องกันตำรวจ? แล้วคนที่นำอาวุธมาขายให้โจรเหล่านี้เป็นใครมาจากไหน? เรื่องแบบนี้ไม่มีใครศึกษาอย่างจริงจัง คนในยุคนั้นนับวันก็จะแก่เฒ่าล้มตายลงไป อีกหน่อยจะเหลือไว้แต่ตำนานที่ไม่มีใครยืนยันกับเรื่องที่แต่งกันขึ้นมาใหม่กระนั้นหรือ?

 

 

ฉากพ่อแง่แม่งอนของคู่พระคู่นางในอดีต

 

 

อีกประเด็นที่ฝากไปคิดกันเล่นๆ คือตลอดเรื่องไม่มีการกล่าวถึง "เสือใบ" เลยแม้แต่คำเดียว ทั้งที่เป็นสมุนคนสำคัญคนหนึ่งของเสือฝ้ายเช่นเดียวกับเสือมเหศวร ขอเพิ่มข้อมูลประกอบไว้ด้วยว่า เสือใบนั้นเดิมชื่อ นายใบ สะอาดดี บ้านอยู่สุพรรณบุรี เหตุที่เป็นโจรเนื่องจากตอนอายุ 30 ถูกโจรปล้น และน้องภรรยาถูกฉุดไปด้วย จึงตามไปช่วยและ ฆ่าโจรตายไป 2 ศพ และต้องเป็นโจรเสียเองแต่บัดนั้น

 

(2 เมษายน 2551 คืนนี้พึ่งได้ดูภาพยนตร์เรื่อง "สุภาพบุรุษเสือใบ" จบ ในเรื่องบอกว่าเสือใบเดิมชื่อ "วัน" เป็นชาวกาญจนบุรีและเนื้อเรื่องในภาพยนตร์จะต่างจากที่ผมค้นได้ทีแรกค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์เรื่อง "เสือใบ" อีกเรื่องที่จะต้องดู ผมจะนำทั้งสองเรื่องมาเขียนแนะนำกันในไม่ช้านี้ครับ)

 

ภาพยนตร์ใน DVD แผ่นนี้ จัดได้ว่าเป็นภาพยนตร์ไทยขนานแท้ ไม่ว่าการดำเนินเรื่องที่มีประจวบ ฤกษ์ยามดี ในบทของเบี้ยว ที่อาจจะเรียกว่า "เสือ" ได้ไม่เต็มปากเต็มคำ ได้คอยลดความตึงเครียดของบรรยากาศในเรื่องได้โดยตลอด ลีลาการพากย์ของนักพากย์รุ่นหลังที่ "เล่น" กับ "หนังไทย" ได้อย่างเข้าอกเข้าใจจริงจริ๊ง.. มีมุกที่ผิดยุคผิดสมัยบ้าง เช่น เพลงใครๆ ก็ไม่รักผม แม้แต่พัดลมยังส่ายหน้าเมิน ภาพที่ได้ดูจะมีสีเพี้ยนและอาการที่คนสมัยก่อนเรียกว่า "ฝนตก" คือมีเส้นๆ แนวขวาง เนื่องจากความเก่าของฟิล์ม และถ้าเห็นภาพเต้นในบางตอน ก็ไม่ต้องตกใจครับ ทีวีหรือจอภาพของคุณไม่ได้เป็นอะไร เทียบกับเรื่อง มาร์โค โปโล ของชอว์บราเดอร์สที่ผมแนะนำไว้คราวก่อน ภาพของเขาชัดแจ๋วเหมือนใหม่ ไม่ทราบว่าทางเราขาดแคลนสิ่งใดหรือจงใจที่จะรักษาสภาพเดิมไว้อย่างนั้นจริงๆ ภาพยนตร์ไทยรุ่นเก่าๆ (หรือแม้กระทั่งรุ่นปัจจุบัน) อาจดูเหมือนเชยในความรู้สึกของใครหลายๆ คน แต่ถ้าเรื่องไหนมีนัยทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแล้ว จะพยายามสรรหามานำเสนอกันต่อไปครับ

 

เพิ่มเติม 8 มกราคม 2551

มีข้อมูลเพิ่มเติมจากประวัติของท่าน พล.ต.ท.ธนู หอมหวล ว่าในระหว่างที่ท่านกำลังศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าชั้นปีที่ 2 (น่าจะประมาณพ.ศ.2491-2492 คือท่านจบในปี 2495) ก็ได้รับข่าวร้าย เมื่อ  “จอมโจรมเหศวร” บุกปล้นบ้านกวาดทรัพย์หมดเกลี้ยงแถมทำร้ายนางทองย้อย หอมหวล มารดาบังเกิดเกล้าได้รับบาดเจ็บสาหัสตาพิการ ทำให้เกิดความแค้นฝังใจ เมื่อสำเร็จการศึกษา ได้ติดยศ ร.ต.เข้าสังกัดประจำกองพลทหารม้า จ.สระบุรี เพียง 6 เดือน จึงตัดสินใจพลิกผันชีวิตโอนย้ายมาเป็นตำรวจ ด้วยความหวังจะชำระความแค้น แต่แล้วในที่สุด ก็พบว่าเสือมเหศวรได้กลับใจบวชเป็นพระอยู่ที่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี จึงสิ้นความแค้นต่อกันไป (ที่มา http://www.thaispypolice.com/sonsern/thanu.doc)

 

เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด  หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย

 

ชื่อเรื่อง : จอมโจรมเหศวร

เรื่องเดิม : ชีวิตของเสือมเหศวร จากการเรียบเรียงของ พ.ต.ท.ลิขิต วัฒนปกรณ์ และ พร น้ำเพชร

ผู้กำกำกับ : อนุมาศ บุนนาค

ผู้สร้าง : พลสัญห์ ศรีหาผล

ผู้เขียนบท : ประสิทธิ์ ศิริบันเทิง

ผู้แสดง : มิตร ชัยบัญชา, เพชรา เชาวราษฎร์, สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์, ประจวบ ฤกษ์ยามดี, แมน ธีระพล, เมตตา รุ่งรัตน์, เยาวเรศ นิศากร, ชุมพร เทพพิทักษ์, มารศรี อิศรางกูร, มเหศวร เภรีวงษ์ ฯลฯ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

รมว.พลังงานเตรียมขึ้นภาษีดีเซล4 บาทต่อลิตร-ปรับโครงสร้างราคาแอลพีจี

 

 

               

  

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึง แนวทางการปรับโครงสร้างราคาพลังงานโดยเฉพาะในส่วน ของราคาแอลพีจี (ก๊าซหุงต้ม) ที่ขณะนี้ส่วนของภาคครัวเรือนและขนส่งเป็นราคา เดียวกันแล้วที่ 22.63 บาทต่อกก. และมีนโยบายที่จะปรับให้สะท้อนต้นทุนที่ แท้จริงนั้น คงจะต้องรอไปพิจารณาในช่วงหลังปีใหม่ เพื่อไม่ให้กระทบกับค่า ครองชีพในปัจจุบัน

ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายปรับราคาพลังงานทุกชนิดให้สมเหตุผล คือ ทั้งขึ้นทั้งลง จึงต้องคอยจังหวะเวลา พอดีตอนนี้ใกล้ปีใหม่ ไม่อยากทำอะไรให้ประชาชนทุกข์ใจ ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มลดลง จึงได้ทยอยลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสะสมได้ระดับหนึ่งจนฐานะเป็นบวก


ทั้งนี้ประเทศไทยต้องปรับระบบด้านพลังงานเพื่อความยั่งยืน โดยเฉพาะการ ปรับราคาพลังงาน ที่ขณะเริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว แต่ปัจจุบันราคาน้ำมัน ดีเซลที่เก็บภาษีน้อยมาก ทำให้ต้องปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทรวงการคลังเห็น ด้วย โดยจะเสนอภาษีน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น 4 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ภาค รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น 240 ล้านบาทต่อวัน หรือ 80,000 ล้านบาทต่อปี เป็นต้น

 

นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง กล่าวว่า แนวคิดการปรับขึ้นภาษีน้ำมันว่า เป็นนโยบายของกระทรวงพลังงานที่สามารถทำได้ทันที โดยกระทรวงการคลังไม่มีส่วนในการตัดสินใจในเรื่องนี้............................

  

 

 

หม่อม เค้าไม่รู้รึว่า การขึ้นราคาพลังงาน มันกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
   ผมชักสงสัยแล้วว่า แกจบ จากไหน (ทำไมมันถึงรู้น้อยกว่า วุฒิ ม.6 อย่างผม)
   ...  ไม่เคยมีใครประกาศเรื่องขึ้นราคาพลังงานล่วงหน้า หรอก...
   .... มันกระทบทางด้านจิตวิทยา ด้วย ...ต่อให้ปีใหม่ หยุดสัก 20วัน เผื่อหวังตัวเลขการใช้จ่าย ...หม่อม คงผิดหวัง
          .....ไว้อาลัย กับ ยิ้มแลนด์  และความรู้น้อย ของทีม
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

In Pics  :ฮือฮา! พบภาพถ่ายศพ “เช เกวารา” ในสเปน หลังสาบสูญนานกว่า 50 ปี

                        อิมาโนล อาร์ตีกา สมาชิกสภาท้องถิ่นของสเปน ผู้พบภาพถ่ายศพ "เช เกวารา"

 

 

  เอเอฟพี – ภาพถ่ายประวัติศาสตร์ซึ่งสูญหายไปกว่าครึ่งศตวรรษของ เช เกวารา นักปฏิวัติคิวบา ที่ถ่ายโดยช่างภาพเอเอฟพีคนหนึ่งไม่นานหลังจากเขาถูกประหารได้ถูกค้นพบที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในสเปน
       
       สภาพผู้นำกองโจรเคราดำครึ้มรายนี้ทอดร่างไร้วิญญาณอยู่บนเปลหามขณะที่นัยน์ตาของเขายังเปิดอยู่ และหน้าอกของมีคราบเลือดและดินเปรอะเปื้อน ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายขาวดำ 8 รูปที่ถูกถ่ายหลังจากเขาถูกกองทัพโบลิเวียยิงเมื่อเดือนตุลาคมปี 1967
       
       ภาพถ่ายเหล่านี้เป็นของ อิมาโนล อาตีกา สมาชิกสภาท้องถิ่นในเมืองริคลาทางเหนือของแดนกระทิงดุ เขาได้รับรูปเหล่านี้สืบทอดมาจาก ลูอิส ควาเตโร ลุงของเขาซึ่งเป็นมิชชันนารีในโบลิเวียเมื่อช่วงทศวรรษ 1960
       
       อาร์ตีกา วัย 45 ปี เล่าว่า “ลุงนำภาพถ่ายเหล่านี้กลับมาด้วยเมื่อเขามาร่วมงานแต่งพ่อแม่ของผมในเดือนพฤศจิกายนปี 1967 ป้าและแม่บอกกับผมว่า มีนักข่าวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งให้รูปเหล่านี้กับเขา”
       
       เขาและป้าพบภาพเหล่านี้ในทรัพย์สมบัติส่วนตัวของ ควาเตโร หลังมิชชันนารีผู้นี้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2012
       
       อาร์ตีกา กล่าวว่า “ผมจำได้ว่าเขามีภาพถ่ายของ เช เกวารา และป้าพูดว่า ‘ใช่ ป้ารู้ว่ามันอยู่ไหน” มันอยู่ในกล่องหลายๆ ใบที่เก็บภาพถ่ายต่างๆ จากโบลิเวีย
       
       รูปถ่ายสีหายากอื่นๆ ที่เป็นภาพร่างของ เกวารา ถูกถ่ายโดย มาร์ค ฮัตเตน ผู้สื่อข่าวเอเอฟพี หลังทหารโบลิเวียทำการจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว โดยภาพดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในหน้าสื่อทั่วโลกในช่วงเวลานั้น
       
       อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายที่เพิ่งค้นพบล่าสุดนี้ดูเหมือนว่าจะถูกถ่ายในอีกช่วงเวลาหนึ่ง ขณะ เช อยู่ในสภาพผมเผ้ากระจุกเป็นก้อนหนาและใส่เสื้อแจ๊กเก็ตที่รูดซิปไว้แบบลวกๆ

In Pics  :ฮือฮา! พบภาพถ่ายศพ “เช เกวารา” ในสเปน หลังสาบสูญนานกว่า 50 ปี

 

ภาพศพของ เช เกวารา นักปฏิวัตินิยมลัทธิมาร์กซ์ , นายแพทย์ , นักจิตวิทยา , นักเขียน และผู้นำกองโจรแห่งกลุ่มปฏิวัติ "26th of July Movement"

 

รูปภาพสะสมของมิชชันนารีรายนี้ยังรวมถึงภาพที่อ้างว่าเป็นร่างของ ทามารา บลูค สหายนักปฏิวัติของ เช นอนอยู่บนเปลหามด้วยใบหน้าที่เสียโฉม
       
       เออร์เนสโต “เช กัววารา นายแพทย์ผู้มีถิ่นเกิดในอาร์เจนตินา มีชื่อเสียงโดดเด่นไปทั่วโลกในฐานะของสมาชิกอาวุโสของรัฐบาลปฏิวัติของ ฟิเดล คาสโตร แห่งคิวบา
       
       ขณะที่ถูกสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ ตามล่าตัว เช ถูกกองทัพจับกุมในโบลิเวียเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมปี 1967 และถูกประหารในวันต่อมา ร่างของเขาถูกนำออกมาแสดงต่อสื่อในหมู่บ้านวาลเลแกรด์ ก่อนที่จะถูกฝังอย่างลับๆ
       
       อาร์ตีกา เชื่อว่า ฮัตเทน เป็นคนให้ภาพเหล่านี้กับ ควาเตโร ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเป็นหนทางที่จะเอารูปภาพเหล่านี้ออกมาจากประเทศนั้นให้ได้โดยเร็ว
       
       “ผมขอให้ลุงของผมเก็บภาพเหล่านี้ไว้ เพราะเขาเป็นชาวยุโรปคนเดียวที่เดินทางออกจากโบลิเวียมาในช่วงเวลานั้น”
       
       หลังจาก อาร์ตีกา หารูปภาพเหล่านี้เจออีกครั้ง เขากล่าวว่า “ผมค้นในอินเตอร์เน็ตด้วยคำว่า 'French journalist Che dead’ และชื่อของ ฮัตเทน ก็โผล่ขึ้นมา พร้อมกับรูปบางรูปที่เหมือนกับของผม”
       
       หลังจาก ควาเตโร รับภาพเหล่านี้มา ครอบครัวของเขาก็ไม่ได้ติดต่อกับ ฮัตเตน อีกเลย โดยนักข่าวรายนี้เสียชีวิตลงเมื่อเดือนมีนาคมปี 2012 ไม่นานก่อน ควาเตโร เสียชีวิต
       
       อาร์ตีกา ได้นำภาพถ่ายเหล่านี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการทดสอบแล้ว พวกเขาระบุว่า ภาพดังกล่าวถูกพิมพ์ออกมาบนกระดาษประเภทที่ไม่ได้มีการผลิตมาหลายสิบปีแล้ว และยืนยันว่าภาพเหล่านี้เป็นของช่วงทศวรรษ 1960 จริง

 

In Pics  :ฮือฮา! พบภาพถ่ายศพ “เช เกวารา” ในสเปน หลังสาบสูญนานกว่า 50 ปี

 

 

In Pics  :ฮือฮา! พบภาพถ่ายศพ “เช เกวารา” ในสเปน หลังสาบสูญนานกว่า 50 ปี

 

 

In Pics  :ฮือฮา! พบภาพถ่ายศพ “เช เกวารา” ในสเปน หลังสาบสูญนานกว่า 50 ปี

 

 

In Pics  :ฮือฮา! พบภาพถ่ายศพ “เช เกวารา” ในสเปน หลังสาบสูญนานกว่า 50 ปี

 

                                                            ทามารา บลูค

 

In Pics  :ฮือฮา! พบภาพถ่ายศพ “เช เกวารา” ในสเปน หลังสาบสูญนานกว่า 50 ปี

          ภาพศพใบหน้าเสียโฉมของ ทามารา บลูค ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ต่อสู้ร่วมกับกลุ่มปฏิวัติ

 

In Pics  :ฮือฮา! พบภาพถ่ายศพ “เช เกวารา” ในสเปน หลังสาบสูญนานกว่า 50 ปี

 

In Pics  :ฮือฮา! พบภาพถ่ายศพ “เช เกวารา” ในสเปน หลังสาบสูญนานกว่า 50 ปี

In Pics  :ฮือฮา! พบภาพถ่ายศพ “เช เกวารา” ในสเปน หลังสาบสูญนานกว่า 50 ปี

 

 

 

 

 

 

สงสัยครับ? ทำไมถึงห้ามจำหน่ายบุหรี่ สุรา ไปเลยไม่ได้ครับ?

 
 
สมัยเด็กมีการสั่งสอนตั้งแต่ในระดับโรงเรียนว่า สุรา บุหรี่เป็นสิ่งเสพย์ติด ให้โทษอย่างโน้นอย่างนี้

ช้อมูลทางวิชาการก็มีการวิจัยตั้งมากมายว่าสุรา บุหรี่ ก่อให้เกิดโรคต่างๆอย่างมีนัยสำคัญ

แถมอาการที่เกิดจากการเสพย์ก็ก่อให้เกิดอาชญากรรมมากมาย

แต่ก็ยังผลิต ซื้อ ขาย บริโภค กันอยู่เหมือนเดิม


มันมีกลไกอะไรที่ทำให้โลกขาดสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้หรือครับ?
 
 

อธิบายเรื่องบุหรี่ก่อนก็แล้วกัน


อุสาหกรรมบุหรี่ นั้นแม้จะไม่มีข่าวคราวหวืหวา แต่เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเมื่อปี 2010 รายได้ของ 6 บริษัทหลักในอุตสาหกรรมบุหรี่โลก


รวมกันเท่ากับ 346.2 พันล้าน USD คิดเป็นกำไร 35.1 พันล้าน USD พอๆ กับกำไรของบริษัท Coca-Cola, Microsoft และ McDonald’s รวมกัน


นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของแรงงาน
เนื่องจากส่วนประกอบหลักของบุหรี่ซึ่งก็คือ ใบยาสูบ นั้นได้จากการปลูกไร่ใบยาสูบ
ซึ่งไร่เหล่านี้ต้องอาศัยคนดูแลจำนวนมหาศาล เช่น ในสหรัฐอเมริกาอุตสาหกรรมบุหรี่เป็นผู้จ้างงานถึง 662,400 ตำแหน่ง


และคาดการณ์ว่าทั่วโลกอุตสาหกรรมบุหรี่มีการจ้างงานไม่น้อยกว่า 100 ล้านตำแหน่ง
ส่งผลให้การล้มอุตสาหกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ในประเทศขนาดใหญ่

ส่วน สุรา นั้น เนื่องจากความง่ายในการผลิตที่สามารถทำได้เองในครัวเรือน
ในทางปฏิบัติจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการห้ามผลิตและจำหน่ายสุราในประเทศเสรี
เนื่องจากกลไกอุปสงค์อุปทาน จะกระตุ้นให้คนจำนวนมากหันมาต้มสุราเถื่อนขาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
และการปราบปรามจะยิ่งทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นและยิ่งคุ้มค่าที่จะผลิตสุราเถื่อน

 

เอาเรื่องบุหรี่ก่อนนะ

คนสูบบุหรี่ในบ้านเรา มีประมาณ 10 ล้านคน
คนพวกนี้ติดบุหรี่ แปลว่า จะเป็นจะตายยังไง ก็ค้องหาบุหรี่มาสูบ
ถ้าไม่ผลิตในประเทศ ก็จะมีบุหรี่นอกทะลักทะลายเข้ามาในตลาดมืด
ตำรวจต้องไปตามจับคนขน และถ้าห้ามขาย ก็ต้องจับคนขาย (พอๆกับการจับยาบ้าและเฮโรอีน)


และคิดดูว่า คนที่ต้องการบุหรี่มีทุกหัวระแหงในประเทศไทย
ตำรวจมีไม่พอที่จะไปไล่จับ
ก็เกิดการแอบซุกซ่อนขายกันอยู่ดี
รายได้ที่รัฐเคยได้หลายหมื่นล้านต่อปี ก็จะหายไปด้วย
กลายเป็นเงินใต้ดินกันไปหมด

จะเลิกผลิต เลิกขายได้
ก็ต่อเมื่อคนไม่สูบบุหรีกันแล้ว
ขนาดมีการรณรงค์มากมาย มีกฏหมายควบคุมมากมาย
คนไทยยังสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นทุกปี

เมื่อไรที่มี demand
ก็ต้องมีคนหา supply มาขายจนได้

บุหรี่มันไม่ได้มีโทษเหมือนยาเสพติดอื่นๆ ไม่มีโทษที่ชัดเจนทันที ไม่ทำให้เสียสติสัมปชัญญะเหมือนสารเสพติดอื่่นๆ มีแต่ทำให้มีอัตราเสี่ยงเป็นโรคต่างๆ ได้มากกว่าไม่สูบ บางคนสูบมานานก็ไม่เป็นอะไร มันจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นพิษโดยตรง การสูบบุหรี่หรือสิ่งที่เป็นลักษณะเช่นเดียวกันมันมีตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ยังได้รับการยอมรับจากสังคมอยู่ เพียงแต่ป้องกันมิให้มีผลกระทบถึงบุคคลอื่น จึงมีการควบคุมผู้ซื้อ ควบคุมบริเวณไว้ เช่นที่เห็นกันทุกวันนี้ ถ้าคุณมีญาติที่สูบบุหรี่ คุณก็จะห่วงเขา แต่ไม่กังวลหรือเกิดความหวาดกลัว เหมือนกับถ้าญาติติดยาบ้า เฮโรอีน ฯลฯ ซึ่งมีผลพวงการกระทำผิดเกิดขึ้นมาจากการเสพติดอย่างเห็นได้ชัด  


ต่างๆ เหล่านี้มันจึงไม่เพียงพอที่จะออกกฎหมายว่าบุหรี่เป็นต้องห้ามโดยเด็ดขาด
นี่ยังไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงเรื่องผลประโยชน์มหาศาลจากธุรกิจบุหรี่เลย

 

ไม่จบ เพราะ คนมันอยากสูบ ถ้ารัฐยกเลิกก็สูญเสียรายได้ และมันจะกลายเป็นปัญหาการลักลอบ สู้เปิดทำถูกกฏหมาย ตอบสนองคนเท่านั้น ทำได้อย่างเดียวคือรณรงค์ให้คนสูบน้อยลงไปเรื่อยๆ จนหมดไปเอง

 

 

 

 

 

 

ลองดูตัวอย่างกัญชาที่ผิดกฏหมายในสหรัฐ ถ้าผิดกฏหมายก็เป็นค่าใช้จ่ายของสังคมเหมือนกันค่ะ
ลองนึกภาพนะคะ ถ้าบุหรี่ผิดกฏหมาย
ตำรวจต้องมานั่งจับผู้สูบบุหรี่กันปีละเป็นพันๆคดี ทั้งๆที่งานจับข้อหาอื่นๆก็เยอะอยู่แล้ว
คนไปนอนในคุกเสียประวัติเพียงเพราะแอบสูบบุหรี่มวนเดียว เสียค่าดูแลคนคุก เสียเวลาทำงาน เสียเวลาดำเนินคดี

บุหรี่กลายเป็นสินค้าเถื่อนที่มีการลักลอบขายราคาสูง มีอาชญากรรมเกิดขึ้นเพราะเรื่องอยากบุหรี่แต่ต้องหนีตำรวจ
รัฐเสียรายได้ภาษี
เช่นเดียวกัน ลองคิดถึงสิ่งที่อันตรายต่อร่างกายอื่นๆ เช่น เหล้า หรือยาลดความอ้วน
ที่ยังคงให้ผลิตกันอยู่แต่มีการตักเตือนว่าอย่าเมาแล้วขับ อย่าทานเกินขนาด
เพราะฉะนั้นรัฐเลยมีวิธีจูงใจให้คนเสพย์น้อยลง​ โดยการคิดภาษีหนักๆ
ถ้ามันแพงคนก็สูบน้อยลงเอง แต่ถ้าให้ห้ามเลยทั้งๆที่มันไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก มันกลายเป็นภาระของสังคมค่ะ
ตอนนี้ที่เมกาว่าจะเลิกกฏห้ามครอบครองหรือขายกัญชาแล้วมาใช้มาตรการภาษีแทน เพราะเหตุผลพวกนี้แหละ

การตั้งกฏหมายที่เข้มงวดเกินไป ฟังดูแล้วเหมือนจะดี ถ้าทุกคนถูกบังคับให้ทำดีเหมือนๆกันหมด
แต่การจำกัดสิทธิเสรีภาพของคน มักจะมีราคาที่ซ่อนอยู่ที่บางครั้งเราคิดไม่ถึง
 

ความคิดเห็น

วันที่: Thu Apr 25 07:11:49 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>