Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ข่มขืน

ArjanPong | 14-12-2557 | เปิดดู 2910 | ความคิดเห็น 0

 

 

 

ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา

 

 
 
 

ปัจจุบันเรามักมีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือทางโทรทัศน์ว่า มีการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นประจำ โดยผู้กระทำเป็นผู้ใหญ่บ้างและเด็กบ้าง ขณะเดียวกันผู้เสียหายอาจมีทั้งผู้ใหญ่และเด็กเช่นเดียวกัน การข่มขืนกระทำชำเรานั้น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมาย มาตรา 276 ซึ่งบัญญัติว่าผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยขู่เข็ญด้วยประการใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้หรือโดยทำให้หญิงเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท


จะเห็นได้ว่า หลักกฎหมายของความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอยู่ที่มาตรา 276 วรรค 1 ส่วนวรรค 2 เป็นบทเพิ่มโทษ ถ้าการกระทำความตามวรรคแรกของมาตรา 276 ได้กระทำโดยมีหรือให้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง


การข่มขืนกระทำชำเรา คือ การร่วมเพศโดยฝ่าฝืนต่อความยินยอมของหญิง หากหญิงยินยอมย่อมไม่เป็นความผิด เว้นแต่หญิงนั้นอายุยังไม่เกิน 15 ปี ถึงหญิงนั้นยินยอมก็เป็นผิดตามมาตรา 277 กรณีต่อไปนี้ไม่ถือว่าหญิงยินยอม เช่น หญิงกำลังหลับหมดสติ หรือเป็นคนวิกลจริต หรือคนที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้ หรือโดยการทำให้หญิงเข้าใจผิดว่า ตนเองเป็นบุคคลอื่น เช่น ทำหญิงเข้าใจว่าตนเองเป็นสามีหญิงหรือคนรักของหญิง เช่น เพื่อนของคนรักหญิงมาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านของหญิง และนอนค้างบ้านของหญิงด้วย ตกดึก เพื่อนของคนรักหญิงเห็นหญิงกำลังหลับจึงเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราหญิง โดยทำให้หญิงเข้าใจว่าเป็นคนรักของตนเอง เป็นต้น

 

ส่วนแค่ไหนเพียงใดจึงจะถือว่าหญิงไม่ยินยอมนั้น ศาลอเมริกันถือว่าต้องมีการขัดขืนที่สุด (resist to the utmost) ต่อมาศาลได้ผ่อนคลาย หลักเกณฑ์ลงมาโดยเห็นว่าการขัดขืนเพื่อแสดงว่าไม่ได้ยินยอมไม่จำเป็นต้องขัดขืนถึงที่สุด การขัดขืนต้องเป็นไปตามสถานการณ์แต่ละกรณี เพราะถ้าหญิงขัดขืนมากจนเกินไป หญิงอาจถูกผู้ข่มขืนกระทำชำเราฆ่าก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามการขัดขืนจะมีการกระทำอะไรที่มากกว่าการกล่าวปฏิเสธไม่ให้ความยินยอมด้วยวาจาเท่านั้น ในขณะเดียวกันกรณีที่แพทย์กระทำชำเราคนไข้หญิงโดยทำให้หญิงเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาพยาบาล ซึ่งไม่ใช่การร่วมเพศ ย่อมไม่ถือว่าหญิงให้ความยินยอมในการร่วมเพศ หากหญิงรู้ว่าการกระทำมีลักษณะเป็นการร่วมเพศ และหญิงถูกหลอกในมูลเหตุที่ทำให้หญิงยินยอม ย่อมถือว่าหญิงยินยอมในการร่วมเพศด้วย เช่น ชายหลอกคนรักว่าหากหญิงยอมหลับนอนจะให้พ่อแม่มาสู่ขอ หรือแต่งงานด้วย หญิงจึงหลับนอนกับชาย กรณีเช่นนี้ย่อมไม่เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนความยินยอมของหญิง


การกระทำชำเรา คือ การร่วมประเวณี หรือการกระทำร่วมเพศ คือ การที่ชายเอาอวัยวะเพศของตนเองสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของหญิง แม้เพียงเล็กน้อย และไม่จำเป็นต้องมีการหลั่งน้ำอสุจิ ก็เป็นความผิดสำเร็จ


ตามประมวลกฎหมายอาญา ผู้กระทำต้องเป็นชาย และผู้ถูกกระทำต้องเป็นหญิงซึ่งไม่ใช่ภรรยาของชาย หากหญิงเป็นภรรยาของชายและไม่ยอมร่วมเพศกับชายผู้เป็นสามี สามีใช้กำลังบังคับข่มขืนกระทำชำเราภรรยา ชายผู้เป็นสามีไม่มีความผิด เรียกว่า marital exception หรือข้อยกเว้นความผิดอันเนื่องมาจากการสมรส ซึ่งกล่าวกันว่า เกิดจากข้อเขียนของ Sir Matthew Hale ซึ่งเป็นประธานศาลสภาขุนนางของอังกฤษ (Lord Chief Justice) ระหว่างปี ค.ศ. 1671 ถึง 1676 ที่ว่า


(1) การที่หญิงแต่งงานกับชายย่อมหมายความว่าหญิงได้ให้ความยินยอมแก่สามีในการที่ร่วมเพศกัน โดยความยินยอมนั้นไม่อาจเพิกถอนได้ (irrevocable consent to intercourse)


(2) ภรรยาถือว่าเป็นทรัพย์ (chattle) ของผู้เป็นสามี


(3) สามีและภรรยาเป็นบุคคลเดียวกัน ดังนั้น สามีจึงไม่อาจข่มขืนกระทำชำเราตนเอง
ตามกฎหมาย แม้ชายจะไม่สามารถกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราภรรยาของตนเองก็ตาม แต่ไม่ได้หมายว่าสามีไม่อาจเป็นตัวการในการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราภรรยาของตนเอง เช่น ชายสามีจับแขนขาของภรรยาของตนไว้ และให้ชายอื่นข่มขืนกระทำชำเรา และความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรามิได้จำกัดว่าให้ลงโทษแต่เฉพาะชายเท่านั้น แม้จำเลยจะเป็นหญิงเมื่อฟังว่าสมคบร่วมกันก็ลงโทษเป็นตัวการได้ (ฎีกา 250/2510) นอกจากนี้ สามีหรือหญิงอื่นอาจเป็นผู้สนับสนุนในการที่ให้ความช่วยเหลือให้ชายอื่นมาข่มขืนกระทำชำเราภรรยาของตนได้

 


อย่างไรก็ตามในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 0991 ศาลอุทธรณ์ของอังกฤษได้ตัดสินยกอุทธรณ์ของชายผู้หนึ่งซึ่งถูกตัดสินโทษฐานพยายามข่มขืนภริยาของตนเองซึ่งแยกกันอยู่ในคดีนี้มีผู้พิพากษาทั้งหมด 5 นาย ได้ทำคำพิพากษา โดยประธานศาลสภาขุนนางได้ให้ข้อสังเกตว่า ผู้ที่กระทำชำเราผู้อื่นก็ยังคงเป็นผู้กระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอยู่ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงว่าผู้ข่มขืนกระทำชำเราจะมีความสัมพันธ์กับหญิงผู้เสียหายไม่ว่าในสถานะใด ๆ ก็ตาม ศาลยังให้ข้อสังเกตต่อไปว่าหลักการที่มีอายุเก่าแก่หลายศตวรรษไม่ได้เป็นหลักกฎหมายเช่นว่านั้นอีกต่อไปแล้ว เมื่อคำนึงถึงสถานะของหญิงในสมัยปัจจุบัน
ในส่วนเจตนานั้น ผู้กระทำความผิดนั้นผู้กระทำต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมาย ตามกฎหมายอเมริกัน ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรามักบัญญัติว่าจำเลยต้องมีเจตนาเฉพาะ (specific intent) ที่จะข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งจำเลยอาจนำสืบว่าจำเลยไม่สามารถมีเจตนาเฉพาะที่จะข่มขืนกระทำชำเราได้ เนื่องจากจำเลยมึนเมาจากการเสพสุราด้วยความสมัครใจ แต่บางมลรัฐก็กำหนดว่าถ้าจำเลยมีเจตนาทั่วไป (general intent) ก็เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงโดยฝ่าฝืนความยินยอมของหญิงได้


นอกจากนี้แม้หญิงจะยินยอมให้กระทำชำเรา ชายที่ชำเรากับหญิง โดยหญิงยินยอมก็เป็นความผิดได้ ถ้าหญิงมีอายุต่ำกว่าสิบห้าปี และหญิงนั้นมิใช่ภริยาของชาย
ปกติหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ไม่น่าจะทำการสมรสได้ เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 ซึ่งบัญญัติว่าการสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ แต่ในกรณีมีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นเพราะฉะนั้นการที่หญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี เป็นภริยาชายอาจเป็นกรณีที่ได้รับอนุญาตจากศาลเป็นกรณีพิเศษตามข้อความตอนท้ายของมาตรา 1448นี้ และที่สำคัญหญิงต้องได้รับความยินยอมของบิดามารดาของหญิง แต่กฎหมายอเมริกา ชายจะชำเราด้วยหญิงที่มีอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่ได้เลยทีเดียวแม้หญิงนั้นจะยินยอมก็ตาม

สำหรับเกณฑ์อายุขั้นต่ำที่ชายไม่อาจกระทำชำเรากับหญิงนั้น เริ่มตั้งแต่16, 17 หรือ 18 ปี สุดแล้วแต่กฎหมายของแต่ละมลรัฐกำหนดไว้ นอกจากนี้บางมลรัฐยังกำหนดว่าหญิงต้องเป็นหญิงพรหมจารี ผลคือว่าหญิงที่เป็นเด็กไม่อาจให้ความยินยอมที่สมบูรณ์ในการร่วมเพศกับชาย ซึ่งความผิดที่เกิดจากการที่ชายกระทำชำเราด้วยเด็กหญิงนี้มีชื่อเรียกว่า statutory rape บางมลรัฐถือว่าความผิด statutory rape เป็นความผิดเด็ดขาด (strict liability) กล่าวคือจำเลยไม่สามารถจะแก้ตัวว่าจำเลยไม่ทราบว่าหญิงมีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และถึงแม้จำเลยจะเข้าใจผิดว่าหญิงมีอายุเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ตาม หรือจำเลยจะใช้ความพยายามตามสมควรในการสอบถามอายุของหญิง และหญิงจะโกหกชายก็ตาม จำเลยก็มีความรับผิดตามกฎหมาย แต่ก็มีบางมลรัฐยอมให้ยกเอาความสำคัญในเรื่องอายุของหญิงขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ แต่ก็เป็นแต่มลรัฐส่วนน้อย


เหตุผลที่กฎหมายเอาผิดกับชายที่ชำเรากับหญิงที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ตามกฎหมายไทย หรือตามกฎหมายอเมริกัน ซึ่งกำหนดอายุของหญิงไว้สูงกว่ากฎหมายไทย เนื่องจากฝ่ายนิติบัญญัติของแต่ละมลรัฐไม่ประสงค์ที่จะให้ชายที่ร่วมเพศกับหญิงที่มีอายุยังน้อยและไม่รู้จักวิธีป้องกันมิให้เกิดการตั้งครรภ์อันเกิดจากการร่วมเพศ และกลายเป็นมารดาเด็กในขณะที่อายุยังเยาว์วัยโดยยังไม่มีความพร้อมที่จะเป็นมารดาเด็ก นอกจากนี้หากหญิงเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หญิงอาจหาทางออกด้วยการทำแท้งซึ่งเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์มารดาและตัวหญิงเอง หากหญิงไปลักลอบทำแท้งกับผู้ที่ไม่มีความรู้ทางแพทย์หรือถึงแม้ผู้นั้นจะเป็นแพทย์ก็ตาม แพทย์ก็ไม่มีสิทธิทำแท้งให้หญิงเพราะหากมีการทำแท้ง แพทย์ผู้ทำแท้งรวมทั้งหญิงยอมให้ผู้อื่นที่ทำแท้ง ก็มีความผิดตามกฎหมายอาญา
ตามกฎหมายอเมริกัน หญิงซึ่งร่วมเพศกับเด็กชายอายุไม่เกิน 16 ปี ก็เป็นความผิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นความผิดฐาน Statutory rapeอาจเป็นกรณีที่ชายที่มีอายุมากกว่าหญิงร่วมเพศกับเด็กหญิงซึ่งยังเยาว์วัยหรืออาจเป็นกรณีหญิงที่มีอายุมากกว่าชายโดยชายเป็นเด็กชายอายุไม่เกิน 16ปี


อย่างไรก็ตามในสหรัฐอเมริกาก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายที่ห้ามการกระทำชำเรากับเด็กหญิงที่มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยผู้ที่เห็นแย้งมีความเห็นว่ากฎหมายห้ามการชำเรากับเด็กหญิงมีลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตทางเพศในโลกปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เห็นว่าการลงโทษผู้ที่ชำเรากับเด็กหญิงเป็นการขัดต่อเสรีภาพในการเลือกใช้สิทธิส่วนตัวของหญิงที่มีอายุอยู่ในช่วงปลายของวัยรุ่น นอกจากนี้ยังมีการชี้ว่ามักไม่มีการปฏิบัติตามกฎหมายการห้ามชำเรากับเด็กหญิง การบังคับใช้กฎหมายจะมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายการห้ามชำเรากับเด็กหญิง การบังคับใช้กฎหมายจะมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติเนื่องจากสีผิวและชนชั้นในสังคม ถึงกระนั้นก็ตามกฎหมายว่าด้วยการห้ามชำเรากับเด็กหญิงก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป


เพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองหญิงที่ถูกข่มขืนกระทำชำเรา มลรัฐต่าง ๆ ได้ตรากฎหมายที่เรียกว่ากฎหมายเกราะคุ้มครองผู้ถูกข่มขืนกระทำชำเราหรือ rape shield law กฎหมายฉบับนี้ห้ามมิให้จำเลยนำสืบพฤติกรรมทางเพศของผู้เสียหายกับบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่จำเลย รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายก่อนที่มีการข่มขืนกระทำชำเรา กฎหมายบางฉบับบังคับว่าพยานหลักฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายเกี่ยวข้องกับความยินยอมของผู้เสียหายในคดีหรือไม่


นอกจากมลรัฐต่าง ๆ ได้ตรากฎหมายที่เรียกว่า Megan’s Law เพื่อเป็นการระลึกถึง Megan Kanda เป็นเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ ถูกข่มขืนและฆ่า ในปี ค.ศ. 1994 โดย Jesse Timmendeguas Jesse มีประวัติการกระทำความผิดทางเพศต่อเด็กหลายครั้ง ประชาชนมลรัฐนิวเจอซี่ได้เรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติของมลรัฐตรากฎหมายมาบังคับให้ผู้ถูกตัดสินว่ามีความผิดเกี่ยวกับเพศและพ้นโทษแล้ว จะต้องลงทะเบียนไว้กับสำนักงานผู้รักษากฎหมาย การไม่ลงทะเบียนเป็นความผิดทางอาญา สำนักงานผู้รักษากฎหมายจะต้องนำข้อมูลนี้ไปให้สาธารณชนรับทราบ เมื่อพ้น 15 ปี แล้วปรากฏว่าผู้ลงทะเบียนไม่ได้กระทำความผิดทางเพศ ผู้ลงทะเบียนอาจร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลตัดตนเองออกจากการเป็นผู้มีสถานภาพเป็นผู้กระทำความผิดทางเพศ


สรุป ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรามักจะมีการกระทำที่มีความผิดฐานอื่นรวมอยู่ด้วยในตัวมันเอง เช่น ความผิดต่อเสรีภาพ เพราะมีการบังคับให้หญิงจำยอมให้ชายกระทำชำเรา นอกจากนี้ยังมักจะมีการทำร้ายร่างกายของหญิง หรือมีการกระทำอันมีลักษณะเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายต่อหญิง ทำให้หญิงได้รับความปวดร้าวใจยิ่งกว่าการบาดเจ็บทางกาย จึงเห็นว่าความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราไม่น่าจะเป็นความผิดอันยอมความได้ นอกจากนี้ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราไม่ควรจะจำกัดเฉพาะกรณีที่ชายทำต่อหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนเองเท่านั้น หญิงอาจบังคับให้ชายกระทำชำเราตนเองอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความยินยอมของชาย หรืออาจเป็นการที่หญิงกระทำต่อหญิงหรือชายทำต่อชายก็ได้ เช่น ชายที่ผ่าตัดแปลงเพศเป็นหญิง ก็อาจถูกชายอื่นข่มขืนกระทำชำเราได้

 

การข่มขืนกระทำชำเราไม่จำเป็นต้องเป็นการกระทำต่ออวัยวะเพศของหญิงเสมอไป อาจเป็นการกระทำต่อทวารหนัก หรืออาจเป็นการบังคับใช้ปากสำเร็จความใคร่ให้ก็ได้ นอกจากนี้ตามกฎหมายอังกฤษ ชายอาจมีความผิดฐานข่มขืนภริยาของตนเองหากภริยาไม่ยอมร่วมเพศ หากชายผู้เป็นสามีใช้กำลังบังคับข่มขืนภริยาของตน ชายมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราภริยาของตน ความคิดที่ว่าภริยาได้ให้ความยินยอมในการยินยอมให้ร่วมเพศด้วยตลอดกาลหลังจากการสมรสไม่เป็นจริงอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ภริยาไม่ได้ถือเป็นบุคคลคนเดียวกับสามีเพราะภริยาถือเป็นผู้มีตัวแยกต่างหากจากผู้เป็นสามี ดังจะเห็นได้จากมีการแยกทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาเป็นสินส่วนตัวไม่ได้รวมกันดังเช่นในอดีต ทั้งหมดนี้เป็นวิวัฒนาการกฎหมายว่าด้วยการข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจน่าพิจารณาปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา 276 ของประมวลกฎหมายอาญาของไทย

 

 

 


 

 

 พบ"ไทยไทโย"เสนอราคาสูงกว่าคู่แข่ง แต่กวาดเรียบงานปรับโฉมสำนักโฆษก

 

 
 
 

พบข้อมูลใหม่! งานจัดหาครุภัณฑ์ใหม่ปรับโฉม "สำนักโฆษก" ให้สง่างาม 1.7 ล้าน บ.ไทยไทโย เสนอราคาสูงกว่าคู่แข่งหลายรายการ แต่ "ชนะ"

 

piefffvvvv

 

 

จากกรณีสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2557 ก่อนหยุดเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในสัญญาว่าจ้างบริษัท ไทยไทโย จำกัด ให้เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดหาครุภัณฑ์มาทดแทนของเดิม ของสำนักโฆษกที่ชำรุดทรุดโทรม ใช้งานมานาน

 

โดยให้เหตุผลว่าเพื่อช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีต่อสำนักโฆษก ซึ่งเป็นหน่วยงานประชาสัมพันธ์หลักของรัฐบาลให้มีความสง่างามและมีความพร้อมที่จะรองรับผู้มาติดต่อรวมทั้งสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนต่างประเทศ

 

โดยสัญญาจ้างดังกล่าว ลงวันที่ 16/2557 มูลค่างบประมาณโดยรวม 1,787,730.94 บาท ต่ำกว่างบประมาณที่ตั้งไว้จำนวน 1,924,181 บาท

 

(อ่านประกอบ : รบ.ประยุทธ์ ซื้อโต๊ะ-เก้าอี้ จนท. 1.1 ล. ปรับโฉมใหม่ "สำนักโฆษก" ให้สง่างาม)

 

ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกขั้นตอนการว่าจ้างงานโครงการนี้ พบว่า มีบริษัทเอกชน 3 ราย ที่เข้ามาซื้อซอง และยื่นเสนอราคา คือ

 

1. บริษัทไทยไทโย จำกัด

2.บริษัท เพอร์เฟ็คท์ ออฟฟิศ เฟอร์นิเจอร์ จำกัด

3.บริษัท สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)

อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการเสนอราคาจัดซื้อ ครุภัณฑ์ใหม่ 7 รายการ พบว่า มีหลายรายการที่ บริษัทไทยไทโย จำกัด ยื่นเสนอเข้ามาสูงกว่าคู่แข่งทั้ง 2 ราย อาทิ

- ชุดโต๊ะทำงานและเก้าอี้ ระดับเจ้าหน้าที่ ขนาด 150x120x70 ซม

บริษัทไทยไทโย จำกัด เสนอราคาสูงสุด 1,177,856 บาท

บริษัท เพอร์เฟ็คท์ ออฟฟิศ เฟอร์นิเจอร์ จำกัด เสนอ 709,452 บาท

บริษัท สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เสนอ 1,148,160.64 บาท

 

- ตู้เก็บเอกสาร ขนาด 80x40x195 ซม

บริษัทไทยไทโย จำกัด เสนอราคาสูงสุด 196,000 บาท

บริษัท เพอร์เฟ็คท์ ออฟฟิศ เฟอร์นิเจอร์ จำกัด เสนอ 89,880 บาท

บริษัท สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เสนอ 138,880 บาท

 

- ตู้เก็บเอกสาร ขนาด 80x40x80 ซม

บริษัทไทยไทโย จำกัด เสนอราคาสูงสุด 63,000 บาท

บริษัท เพอร์เฟ็คท์ ออฟฟิศ เฟอร์นิเจอร์ จำกัด เสนอ 25,466 บาท

บริษัท สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เสนอ 32,760 บาท

 

- ตู้เก็บแบบฟอร์ม ขนาด 80x40x160 ซม

บริษัทไทยไทโย จำกัด เสนอราคาสูงสุด 6,000 บาท

บริษัท เพอร์เฟ็คท์ ออฟฟิศ เฟอร์นิเจอร์ จำกัด เสนอ 3,798.50 บาท

บริษัท สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เสนอ 5,580 บาท

(ดูตารางประกอบ)

 

 

peewwfgghhh

@ ตารางรับรายการ ของบริษัท ไทยไทโย จำกัด

ppedddfgfgggg

 

 

 

 

 

 

ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จะกินอยู่อย่างไรใน 1 วัน

กระทู้สนทนา

กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตฯ เผยเตรียมเคลื่อนค่าแรงขั้นต่ำ 421 บาทต่อวัน ‘จิตรา’ ชี้ค่าจ้างที่เหมาะสมต้องดูแลคนในครอบครัว 3 คน ระบุสวัสดิการอื่นและสิทธิการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานสำคัญ

จากรายงานราคาสินค้าขายปลีก (เฉลี่ยตามลักษณะจำเพาะ) ของ กรุงเทพมหานคร เดือน พ.ย.2557 ของกระทรวงพาณิชย์และ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) แสดงให้เห็นราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการบริโภค ซึ่งขอยกตัวอย่างดังนี้



กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตฯ เผยเตรียมเคลื่อนค่าแรงขั้นต่ำ 421 บาทต่อวัน



อย่างไรก็ตามกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง(กสรก.)ได้ประกาศเตรียมเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ(อ่านรายละเอียด) ศรีไพร นนทรีย์ ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตฯ กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำว่า เมื่อปี 2553 เคยมีผลการสำรวจดัชนีค่าครองชีพ ในปีนั้นถ้าจะให้ค่าจ้างเพียงพอตัวเลขค่าจ้างต้องเป็น 421 บาท ปัจจุบันแม้ว่าค่าจ้างเป็น 300 บาทจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี เพราะทุกยุคทุกสมัยไม่เคยควบคุมราคาสินค้า จะเห็นได้จาก คนงานต้องการเพิ่มรายได้ด้วยกานทำงานล่วงเวลา และงานเหมากันมากขึ้น ยิ่งปัจจุบันแม้ว่าน้ำมันลดราคา แต่ไม่มีสินค่าอุปโภค บริโภคตัวใดปรับลด มีแต่เตรียมเพิ่มราคา หรือลดปริมาณลงหลังคาราแก๊ส และก๊าซปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้การปรับเงินเดือนข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นลูกจ้างที่มีฐานเงินเดือนสูงและมั่นคงมากกว่าลูกจ้างในภาคเอกชน จึงส่อให้เห็นว่าฝ่ายปกครองชุดนี้เลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน แสดงถึงความไร้มาตราฐานในการปกครอง


สำหรับค่าแรงขั้นตำที่ควรจะเป็นนั้น ศรีไพร มองว่า ต้องเป็น 460 บาทต่อวัน ณ ปัจจุบัน แต่พวกเราเคลื่อนไหวไว้ที่ตัวเลข 421 บาทต่อวัน ไปแล้ว ก็คงยังยืนยันเคลื่อนไหว 421 บาทต่อวันต่อไป ส่วนตัวเลขอื่นก็จะเก้บไว้เป็นข้อมูล


แนวทางการเคลื่อนไหวรณรงค์เรียกร้องของกลุ่มกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตฯ ต่อประเด็นนี้ ศรีไพร เปิดเผยว่ากลุ่มมติเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่าเราจะเคลื่อนไหวเรื่องค่าจ้างขึ้นต่ำ ครั้งแรกในวันที่ 18 ธ.ค.แต่ถูกสกัด แทรกแซงจากหน่วยงานรัฐและทหาร แต่หลังปีใหม่นี้จะมีการเคลื่อนไหวรณรงค์ต่อโดยใช้เครื่องเสียงประชาสัมพันธ์ และแจกใบปลิวให้คนงานกลุ่มแรกที่นวนคร เข้าใจและสนับสนุนเรื่องการเคลื่อนไหวค่าจ้างขั้นต่ำและจัดสัมมนาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องค่าจ้าง และออกรณรงค์ต่อไป


‘จิตรา’ ชี้ค่าจ้างที่เหมาะสมต้องดูแลคนในครอบครัว 3 คน

จิตรา คชเดช นักสหภาพแรงงาน ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ กล่าวว่า ปัจจุบันการปรับค่าจ้างของคนงานได้รับตามค่าจ้างขั้นตำมาโดยตลอด ไม่ว่าจะทำงานมากี่ปี ไม่มีค่าฝีมือ ส่วนใหญ่ในโรงงานที่ไม่มีสหภาพแรงงาน ค่าจ่างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ซึ่งนายจ้างจ่ายเฉพาะวันทำงานเท่านั้นซึ่งการทำงานปกติเดือนละ 26 วันคนงานจะได้รับค่าจ้างทั้งหมด 7,800 บาทต่อเดือน ซึ่งถัวเฉลี่ยคนงานจะได้เงินวันละ 260 บาทเท่านั้น ในการครองชีพ หักค่าประกันสังคม 5% เป็นเงิน 390 บาท เหลือเงินสุทธิต่อเดือน 7,410 บาท


คนงานส่วนใหญ่เป็นคนย้ายถิ่นแล้วซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายประจำเช่นค่าเช่าบ้าน ประมาณเดือนละ 2,000 บาท ค่าอาหารมื้อละ 40 บาท วันละ 120 เดือนละ 3600 บาทต่อเดือน ซึ่งจะเห็นว่าเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเบื้องต้นของคนงานหนึ่งคนใช้เงิน 5,600 บาทที่เหลือ 1,810 บาทซึ่งมีทั้งค่าอื่นๆ อีกจิปาถะที่จำเป็นอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้พูดถึง เงินที่เหลือเท่านี้ทำให้ค่าจ้างวันละ 300 บาทไม่เพียงพอต่อการครองชีพสำหรับคนๆ เดียว ถ้ามีลูก มีพ่อมีแม่ ก็ยิ่งไม่สามารถดูแลได้เลย ต้องหารายได้พิเศษเพิ่มเช่นการทำโอที หรืออาชีพเสริม เงินออมในอนาคตไม่มี บางครอบครัวยังมีหนี้สินจากภาคเกษตรของพ่อแม่


สำหรับค่าแรงที่ควรจะเป็นนั้น จิตรา มองว่า ค่าแรงที่ควรจะเป็นคงหามูลค่าไม่ได้ แต่ค่าจ้างที่เหมาะสม ก็คือสามารถดูแลตัวเองและคนในครอบครัวได้อีก 2 คน เป็น 3 คน จึงเป็นค่าจ้างที่เหมาะสม ค่าเช่าบ้านที่เหมาะสมคือ 10% ของค่าจ้าง ต้องมีเงินเหลือออมประมาณ 20% ของรายได้ และต้องมีการช่วยเหลือเรื่องการเรียนฟรีที่แท้จริงสำหรับเด็ก ค่าจ่างต้องสามารถให้คนสามคนมีอาหารกินแบบมีคุณภาพและกินอิ่ม จึงจะเป็นค่าจ้างที่เหมาะสม การคำนวนค่าจ้างจึงต้องเอาค่าครองชีพและรายได้ที่จำเป็นมาเป็นตัวคำนวนร่วมด้วย


ระบุสวัสดิการอื่นและสิทธิการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานสำคัญ

นอกจากนี้ จิตรา ยังกล่าวถึงข้อเสนอเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนงานด้วยว่า ต้องมีการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อปรับค่าจ้างตามฝีมือแรงงาน และตามอายุการทำงานไม่ใช่จ่ายค่าจ้างตามค่าจ่างขั้นต่ำ ให้สิทธิการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานเพื่อให้มีการเจรจาต่อรอง ค่าจ้างสวัสดิการ โบนัส ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างอย่างเต็มที่ รัฐบาลต้องจัดหาที่พักราคาถูกให้กับลูกจ้างย้ายถิ่น หรือสร้างบ้านเพื่อให้คนงานซื้อผ่อนได้

รวมถึง ต้องให้สิทธิในการเลือกตั้งในในเขตพื้นที่สถานประกอบการเพื่อเลือกตั้งตัวแทนในระดับทั้งถิ่นถึงระดับประเทศ เพื่อทำให้คนงานมีตัวแทนของพวกเขาเองในการบริหารประเทศ ต้องมีสถานรับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนในชุมชนหรือในโรงงานฟรี รัฐต้องจัดให้มีการเรียนฟรีจนถึงปริญญาตรี


“ความมั่นคงในการทำงานเป็นเรื่องสำคัญ กรณีเลิกจ้างบริษัทปิดกิจการหรือย้ายฐานการผลิต ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยตามอายุคนงานที่ทำให้เขาสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและให้จัดหางานใหม่ให้ในระหว่างรองานต้องจ่ายเงินช่วยเหลือระหว่างว่างงานที่คนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งปัจจุบันประกันสังคมจ่ายให้ซึ่งถือว่าน้อยมาก” จิตรา เสนอ


หมายเหตุ : ยังไม่รวมราคาเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เครื่องใช้สอยในครัวเรือน กิจกรรมนันทนาการ ค่าน้ำ-ไฟ ค่าแสวงหาความรู้ หนังสือ หนังสือพิมพ์ ค่าผ่อนชำระหนี้สินดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่นๆ

ที่มาข้อมูล : กระทรวงพาณิชย์, รายงานราคาสินค้าขายปลีก (เฉลี่ยตามลักษณะจำเพาะ) ของภาค กรุงเทพมหานคร ปี 2557 เดือน พ.ย. : องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)

ที่มา :
http://prachatai.org/journal/2015/01/57248

แก้ไขข้อความเมื่อ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 รวย หรือ เจ๊ง? ร้านค้ายอดฮิต มนุษย์เงินเดือน ผันไปทำธุรกิจ

 

 

ย่างก้าวเข้าสู่ ปี 2558 หลายคนมีเป้าหมายในชีวิตที่หวังจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การได้ประกอบอาชีพที่รัก มีผลตอบแทนดี ก็เป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เด็กจบใหม่ส่วนใหญ่ จึงเสาะแสวงหาตัวตน เริ่มจากเป็นมนุษย์เงินเดือน จนเข้าที่เข้าทาง บางส่วนเริ่มเบื่อในสถานะลูกจ้าง จึงออกไปทำธุรกิจที่ชอบ ไปสู่เป้าหมายที่วาดฝันไว้

 

 

sanook0107101238357015429_baf3bf2788

 

 

แน่นอนว่าการออกไปทำธุรกิจเป็นของตนเองย่อมมีความเสี่ยง ไหนจะเงินทุนตั้งหลัก หากล้มเหลวขึ้นมาก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ ความฝันที่ว่าต้องการผันตัวเป็นเจ้าของธุรกิจ มีอิสรภาพทางการเงิน รวยเร็ว สบายไวนั้น ฟังดูเหมือนง่าย แต่การเสี่ยงลงทุนก็ถือเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิต

 

เด็กรุ่นใหม่ก็มุ่งหาเปิดร้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ ที่เรียกได้ว่าผุดขึ้นมาจำนวนมาก เห็นชัดๆ ที่จ.เชียงใหม่ ร้านกาแฟ พบเห็นได้ในทุกหย่อมหญ้า แล้วแต่ว่า ใครรุ่งก็ดีไป ใครขายต่อไม่ได้ ก็ถึงทางตัน ธุรกิจในฝันที่วาดฝัน อาจกลายเป็นฝันร้ายที่ให้บทเรียนแก่ชีวิต


มาดูกันว่า เด็กจบใหม่ จบปริญญาตรีส่วนใหญ่ ลาออกจากมนุษย์เงินเดื
อนไปทำอะไรกันบ้าง หากไม่ใช่ธุรกิจที่บรรพบุรุษ คุณปู่ ย่า ตา ทวด สืบทอดมา ก็เห็นจะเป็นร้านค้าที่เปิดขายลงทุนไม่มากนัก เพราะเพียงมีพื้นที่ มีเงินลงทุนพร้อม ก็สามารถเปิดร้านได้ทันที อย่างที่เกริ่นเอาไว้ว่า ธุรกิจเหล่านี้ แล้วแต่โอกาสและช่องทางที่เหมาะสม คนประสบผลสำเร็จมีมาก ขณะที่บางส่วนก็ไปต่อไม่ได้

 

 

0144

 

 

-เปิดร้านค้าออนไลน์ ขายของในอินเตอร์เน็ต


ตลาดใหญ่ที่มีแนวโน้มจะได้รั
บความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่องทางที่สะดวก ซื้อง่าย ขายคล่อง ซึ่งต้องเป็นของใช้ที่ตีตลาด เป็นที่ต้องการ แต่ก็ต้องแข่งขันกับผู้ขายมากรายที่นำกลยุทธ์ด้านการโฆษณาบนสื่อออนไลน์มาเรียกลูกค้า เหล่านี้ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องเฝ้าร้าน หากสินค้าติดตลาด โฆษณาดี แหวกแนว ก็อยู่รอดได้ไม่ยาก

 

 

Kafe’-retro-ร้านกาแฟสุดเก๋สไตล์เรโทร-teen.mthai967635_670025216368604_2123110939_n

 

 

-เปิดร้าน กาแฟ ร้านเหล้า ร้านอาหาร ร้านไอศครีม ร้านเบเกอรี่


การเปิดร้านค้า ต้องมีกลยุทธ์ทางการตลาด รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง อย่างที่เราได้ยินมาในวิ
ชาการตลาด สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาใช้ ทั้งการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า ทำเล ช่องทางการค้าขาย  ศึกษาคู่แข่ง ราคาสินค้า  จุดเด่นสินค้า และการทำโปรโมชั่น แต่ที่สำคัญต้องมีความรู้ในตัวสินค้านั้นจริงๆ ส่วนใหญ่ร้านที่ประสบผลสำเร็จ ก็มักจะได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้ากันแบบปากต่อปาก โดยเฉพาะโลกออนไลน์ หากร้านไหนติดตลาด ก็มีโอกาสเฮง และ รวย ได้

 

-ร้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ร้านถ่ายเอกสาร ร้านเกมส์ ร้านคอมพิวเตอร์


ต้องยอมรับว่า ธุรกิจเหล่านี้ ใช้เงินลงทุนสูง และต้องทำใจเช่นกันว่า กว่าจะได้รับเงินทุนกลับมานั้
นก็เหนื่อยพอตัว เพราะค่ากำไรจากการถ่ายเอกสารนั้นน้อยนิด ไม่คุ้มค่าเหนื่อย ต้องเปิดบริการเสริม เคลือบบัตร เข้าเล่ม ซึ่งก็ต้องใช้อุปกรณ์ และบุคลากรเพิ่ม คำนวณให้ดีว่า ทำแล้วจะคุ้มค่าหรือไม่ ขณะที่ร้านคอมฯที่เปิดส่วนใหญ่ ก็แข่งขันในเรื่องชั่วโมงบริการ 10 บาท 20 บาท กำไรอาจจะไม่พอใช้สำหรับค่าบำรุงรักษา ซ่อมคอมฯตัวที่เสีย ก็เป็นได้

 

-ขายของเฉพาะอย่าง ที่มีคู่แข่งน้อยราย แต่เป็นที่ต้องการของตลาด


กรณีนี้มีโอกาสสูงที่
จะประสบผลสำเร็จ เพราะมีคู่แข่งน้อยราย หากสินค้าดี มีคุณภาพย่อมเป็นที่ต้องการ  ยกตัวอย่างกรณี หนุ่มหนุ่มบุรีรัมย์ จบป.ตรี สมัครงานได้เงินเดือน 7 พัน หันมาขายหมูปิ้ง ข้าวจี่ปลาร้าบอง  อาหารพื้นบ้าน ด้วยสูตรเฉพาะที่คิดขึ้นเอง ใครจะเชื่อว่าทำแล้วรุ่ง ยิ่งในช่วงหน้าหนาว รายได้งาม เฉลี่ยวันละ  8,000–10,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะหาจังหวะโอกาสที่เหมาะสมได้ก่อนกัน

 

อย่างไรก็ดี ในช่วงจังหวะนี้ หลายธุรกิจก็ซบเซา แม้แต่ธุรกิจใหญ่ๆ หากไม่แย่ไปกว่านี้ ก็จะยังคงที่อยู่เช่นเดิม การเป็นลูกจ้างรับเงินเดือนก็เป็นการลดความเสี่ยง เซฟตัวเองไว้ก่อน ไว่ค่อยหาลู่ทางต่อไป โดยในปีหน้าหอการค้าไทยได้เผย 10 ธุรกิจมาแรง ธุรกิจไหนน่าสนใจบ้าง ลองมาดูกัน

 

1.ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม
2.ธุรกิจเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว
3.ธุรกิจเทคโนโลยีสื่อสาร
4.ธุรกิจการศึกษา และธุรกิจท่องเที่ยว
5.ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิ

6.ธุรกิจเครื่องดื่ม
7.ธุรกิจถุงมือยาง ถุงมือตรวจโรค และธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่
อสร้าง
8.ธุรกิจสินค้าสำหรับผู้สูงอายุ
9.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (แนวดิ่ง) และธุรกิจร้านกาแฟ
10.ธุรกิจประมงน้ำจืดและธุรกิ
จจำหน่ายบิ๊กไบค์

 

ธุรกิจดาวร่วงในปีหน้า ที่มีโอกาสซบเซา ได้แก่

 

1.ธุรกิจดอกไม้ประดิษฐ์
2.ธุรกิจหัตถกรรมทั่วไป
3.ผักผลไม้อบแห้ง
4.สิ่งทอผ้าผืน (งานไม่เน้นฝีมือ)
5.ร้านค้าดั้งเดิม (โชว์ห่วย)
6. ยางพารา
7.โทรทัศน์สีรุ่นธรรมดา (จอตู้)
8.ข้าว
9. ส้วมนั่งยอง
10.รถจักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์)

 

มาถึงจุดนี้ ต้องบอกว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ต้องศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจ สำหรับผู้ที่จบปริญญาตรี การเป็นมนุษย์เงินเดือน หากได้อยู่ในบริษัทที่เหมาะสม ตำแหน่งที่ดี มีโอกาสเติบโต ก็สามารถร่ำรวย ตั้งหลักชีวิตได้  ตราบใดที่ยังมีความสามารถ พัฒนาตนเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง หรือ เจ้าของธุรกิจ ก็สามาถพิชิตความฝันตามที่ตั้งไว้ได้เช่นกัน

 

 

 

 

 

 ลับสุดยอด ! จริงหรือลวง? ลือกระหึ่ม เจ้าหญิงเคทแอบพบ ‘พระธิดาลับไดอานา’ โดย ไทยรัฐออนไลน์ 26 ธ.ค. 2557 14:54 น.

 

 เผยความลับสุดยอดเอ็กซ์คลูซีฟ เจ้าหญิงเคท ทรงแอบพบกับ ‘หญิงคนหนึ่ง’ ที่เชื่อกันว่าเป็นพระธิดาลับๆ ของเจ้าหญิงไดอานา ระหว่างเสด็จเยือนนิวยอร์ก เมื่อเร็วๆ นี้ หวังทรงพิสูจน์หาความจริง

หลังมีข่าวลือสนั่นกันมาหลายปี เจ้าชายวิลเลียม ทรงมีพระภคินี (พี่สาว) อยู่ในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. สื่อต่างแดน เปิดเผยข่าวลับสุดยอด ความเคลื่อนไหวของเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าหญิงแคทเธอรีน ดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ในโอกาสเยือนนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนธันวาคมว่า ขณะที่ทั้งสองพระองค์ทรงถูกจับตาจากบรรดาสื่อมวลชนในสหรัฐฯ แทบจะทุกฝีก้าว แต่คงน้อยคนนักที่จะรู้ว่า เจ้าหญิงแคทเธอรีน หรือเจ้าหญิงเคท ซึ่งกำลังทรงตั้งพระครรภ์ที่ 2 ได้ทรงดำเนินการอย่างลับๆ เพื่อพบกับบุคคลหนึ่ง ที่เชื่อกันว่า เป็นพระธิดาลับๆ ของเจ้าหญิงไดอานา พระมารดาผู้ล่วงลับของเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี่ แห่งอังกฤษ ‘

พระชายาในเจ้าชายวิลเลียมที่กำลังทรงตั้งพระครรภ์ ได้มีภารกิจลับสุดยอดระหว่างเสด็จเยือนนิวยอร์ก ด้วยการแอบพบกับหญิงคนหนึ่งแบบเงียบที่สุด ขณะที่แหล่งข่าวในวังเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้เป็นพระธิดาลับของเจ้าหญิงไดอานา’

นิตยสาร GLOBE (โกลบ) สื่อในสหรัฐฯ ที่ชอบขุดคุ้ยติดตามเรื่องราวในรั้วในวังอังกฤษ ฉบับวันที่ 29 ธ.ค. รายงาน พร้อมทั้งยังเผยด้วยว่า หญิงคนนี้ ชื่อ ซาราห์ ได้ถูกนำตัวแอบมาพบกับเจ้าหญิงเคทที่ห้องนั่งเล่น โดยบรรดาผู้ช่วยและผู้ติดตามของเจ้าหญิงเคท เจ้าหญิงเคททรงแอบพบกับผู้หญิงที่เชื่อกันว่าเป็นพระธิดาลับๆ เจ้าหญิงไดอานาที่นิวยอร์กจริงหรือ?ข่าวแจ้งว่า มีข่าวลือแพร่สะพัดในช่วงหลายปีก่อน เกี่ยวกับเรื่องเจ้าหญิงไดอานา อดีตพระชายาในเจ้าชายชาร์ลส์ ทรงมีพระธิดาลับๆ อยู่อีกองค์หนึ่ง อีกทั้งนิยายเรื่อง ‘การหายไปของโอลิเวีย’ ยังเป็นนิยายที่ผสมผสานกันทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่ง

จากเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ และการเปิดเผยของคนใกล้ชิดในวัง อ้างว่า เจ้าหญิงไดอานาได้ทรงมีการพบกับแพทย์หลวงในปี 1980 ขณะทรงมีพระชนมายุเพียง 19 พรรษา โดยทรงถูกบังคับให้ทำ ‘กิฟท์’ กับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่าพระองค์จะทรงมีรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ของ ราชวงศ์อังกฤษต่อไปแน่นอนหากทรงได้อภิเษกสมรสกันแล้ว เพียงแต่ระหว่างนั้น กลับมีแพทย์คนหนึ่ง ในทีมแพทย์ที่ถวายงานเรื่องนี้ได้ขโมยไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วของเจ้า หญิงไดอานา ไปฉีดในท่อนำไข่ เพื่อให้ภริยาของเขาตั้งครรภ์เสียเอง เจ้าหญิงไดอานา ขณะทรงมีพระชนมชีพอยู่ เสด็จออกงานพร้อมเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์บทบรรณาธิการของนิตยสาร GLOBE (โกลบ) ฉบับล่าสุด ยังอ้างว่า เจ้าชายวิลเลียม ทรงต้องการรู้ว่า ‘ซาร่าห์’ ยังมีชีวิตอยู่ หรือมีตัวตนจริงหรือไม่

ดังนั้น พระองค์จึงทรงมอบหมายให้พระชายาแอบพบกับหญิงคนนี้ โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดเผยกับนักข่าวของโกลบว่า ซาร่าห์ได้บอกรายละเอียดที่น่ากลัวบางอย่างของเรื่องราวนี้ เธอไม่มีความคิดเห็นใดๆ ที่เธอไม่มีพ่อแม่ เพราะเธอมารู้ว่า พ่อแม่ที่เลี้ยงเธอมาไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง ก็ต่อเมื่อทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตพร้อมกัน ตอนนั้น ซาร่าห์จึงรู้ว่าเธอเป็นลูกที่เกิดจากการทำ ‘กิฟต์’ และเริ่มค้นหาว่าผู้หญิงคนไหนคือผู้บริจาคไข่ ซึ่งเป็นแม่ของเธอ ความพยายามหาความจริงในเรื่องนี้ของเธอ ทำให้เธอโดนคนข่มขู่ถึงขั้นจะเอาชีวิต พร้อมกับได้สั่งให้เธอหยุดดำเนินการในเรื่องนี้ทันที

จากนั้น เธอจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ในสหรัฐฯ ตามรายงานของนิตยสารโกลบ อ้างว่า เจ้าหญิงเคททรงตกพระทัยมาก เมื่อทรงรับทราบเรื่องนี้จากซาร่าห์ และทูลให้เจ้าชายวิลเลียมรับทราบแล้ว โดยเจ้าชายวิลเลียมทรงมีพระประสงค์ให้สืบหาข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ เพราะทรงคิดว่าซาร่าห์อาจเป็นพระภคินี (พี่สาว) จริงๆ ของพระองค์ และเจ้าชายแฮร์รี่ อย่างไรก็ตาม นิตยสารโกลบได้สอบถามความเห็นของคนอ่านด้วยว่า คิดอย่างไรต่อเรื่องราวพระธิดาลับๆ ของเจ้าหญิงไดอานา? คิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมา? และหากผลการพิสูจน์ว่าซาร่าห์ เป็นพระภคินี ของเจ้าชายวิลเลียม จะทำให้เธอเป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 ของราชวงศ์อังกฤษหรือไม่ ? และยังถามความเห็นของผู้อ่านที่ยากจะตอบว่า ปริศนาของเรื่องนี้จะทำให้ชีวิตของซาร่าห์ตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า?

 

 

 

 

 

 

 

 เพลง " ป่าลั่น" ขับร้องโดย คุณสุเทพ วงศ์กำแหง
นำเสนอโดย Aphirakchuchai
คำร้อง ชาลี อินทรวิจิตร
ทำนอง สมาน กาญจนผลิน

เป็นเพลงจากหนังเรื่องแรกที่ชรินทร์อำนวยการสร้างเรื่องเทพบุตรนักเลง ฉายที่โรงหนังเอ็มไพร์ พ.ศ. 2509 ตอนนั้นคณะสุเทพคอรัสกำลังมาแรง ได้ร่วมแสดงและขับร้องเพลงนี้. ครับ

 

โดยมติชนออนไลน์

 

 

 


เมื่อเกิดความต้องการมาก ก็ทำให้เกิดปัญหาการลักลอบเข้าไปตัดโดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งปัญหารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากมูลค่าที่สูงขึ้นเรื่อยๆของไม้พะยูง จนเจ้าหน้าที่รัฐเองบางส่วนยังเข้าร่วมขบวนการดังกล่าว รู้เห็นเป็นใจการค้าไม้พะยูงซะเองก็มี

ทั้งนี้อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เล่าเพิ่มเติมว่า  ในยุคที่ตนดำรงตำแหน่ง เมื่อเทียบสถานการณ์การค้าขายไม้พะยูงในปัจจุบันยัง ไม่รุนแรงขนาดนี้ โดยตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้ามาแก้ไข โดยได้ประกาศ  คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.  ก็ทำให้สถานการณ์เบาลง

โดยในส่วนจำนวนของไม้พะยูงนั้น เคยมีมากในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนจะหมดไป การลักลอบตัดในไทยจึงทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยในส่วนขั้นตอนการกระทำผิดนั้น หลังจากการลักลอบตัวในประเทศ ก็จะมีการลำเลียงออกต่างประเทศ โดยขนส่งผ่านประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะผ่านลำน้ำโขง ไปยังประเทศลาว เพื่อส่งต่อไปยัง เวียดนามและจีน  ขณะที่บางส่วนก็ส่งต่อผ่านชายแดนไทย-กัมพูชา

 



เมื่อขอให้เสนอเเนะแนวทางแก้ไข นายดำรง เห็นว่า การแก้ปัญหานอกจากเร่งปราบปรามในไทย ก็จะต้องมีการประสานไปยังทางการของจีน ให้การรับซื้อไม้พะยูงเป็นเรื่องที่ผิด โดยเฉพาะการออกกฏระเบียบห้ามรับซื้อไม้พะยูงที่ขโมยมา ซึ่งขณะนี้ ไม้ดังกล่าวใกล้สูญพันธุ์ เหลือเพียงบริเวณประเทศไทยเท่านั้น  ซึ่งในฐานะที่ตนเองเป็นสมาชิกสภาปฏฺิรูปแห่งชาติ เห็นว่าน่าจะมีการเพิ่มโทษผู้ที่กระทำความผิดลักลอบตัดไม้ดังกล่าว เช่นโทษจำคุก หรือการยึดทรัพย์ ก็จะทำให้นายทุนที่อยู่เบื้องหลังเกิดความหวาดกลัว

ทั้งนี้เนื้อไม้ที่มีสีสันและลวดลายสวยงาม จนถือได้ว่าเป็นไม้ที่มีราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งในตลาดโลก  โดยเนื้อไม้พะยูงมีความละเอียด เหนียวแข็งทนทานและชักเงาได้ดี มีน้ำมันในตัวจึงมักใช้ทำเครื่อง เรือน เครื่องใช้ต่าง ๆ ใช้ในการแกะสลักและทำด้ามเครื่องมือต่าง ๆ   ในกรณีของไทย ใช้ทำเกวียน เครื่องกลึงแกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด เป็นต้น

ทีนี้ก็พอเข้าใจกันบ้างแล้ว ว่าเขาขโมยไม้พะยูงกันเพราะอะไร เพราะมันคุ้มที่จะเสี่ยงนั่นแหละครับ  ... 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                  เปิดโปงธุรกิจ “เก็บศพ” แย่งทำดีถึงฆ่ากันตาย ตั้งมูลนิธิฯบังหน้า-เบื้องหลังสมุนนักการเมือง

 

ครอบครัวของนายอดิเทพ พิริยะกุล อาสาสมัครมูลนิธิปอเต็กตึ้ง ถูกอาสาสมัครมูลนิธิร่มไทรยิงเสียชีวิต ร่ำไห้เสียใจ

 

      ASTVผู้จัดการ - ปฏิบัติการแย่งกันทำความดี จนต้องฆ่ากันตายนั้น อาจจะยังค้างคาใจว่ามีเหตุอะไรจูงใจให้หลายๆมูลนิธิฯต้องแข่งขันกัน คำตอบน่าจะอยู่ที่ผลประโยชน์ของมูลนิธิฯเองที่มาในรูปแบบต่างๆเช่นยอดการบริจาค เงินสนับสนุนต่างๆ และขั้นเลวร้ายที่สุดคือการเข้ามาของขบวนการฟอกเงิน

 

   กลายเป็นเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว หลังจากที่เคยเปิดศึกราวีเสียเลือดเสียเนื้อกันมาหลายครั้ง
       
       กลางดึก 1 ธ.ค.ที่ผ่านมานายอดิเทพ พิริยะกุล อายุ 23 ปีอาสาสมัครมูลนิธิปอเต็กตึ้ง ถูกนักเลงในคราบนักบุญอาสาสมัครมูลนิธิร่มไทร กระหน่ำยิงจนเสียชีวิตเหตุเกิดหน้าหมู่บ้านโฮมเพลส ปากซอยรามคำแหง 140 เขตสะพานสูง กทม.โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ทราบตัวมือปืนแล้วกำลังติดตามมาดำเนินคดี
       
       ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากการแย่งกันปฏิบัติหน้าที่จิต “จิตสาธารณะ”
       
       เมื่อพิจารณาถึงปมการฆ่าฟันกันว่ามาจาก “จิตสาธารณะ”สังคมอาจจะยิ่งมึนงงเพราะการทำงานเพื่อส่วนรวมหรือการบำเพ็ญตนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมนั้นทำไมต้องเกิดความขัดแย้ง แย่งกันทำความดีด้วยความตาย และคงเป็นแห่งเดียวในโลกที่มีเหตุการณ์อันน่าหดหู่ใจนี้
       
       พลิกปูมหลังเมื่อปี พ.ศ.2480 ได้ก่อเกิดมูลนิธิปอเต็กเชียงตึ้ง ขึ้นเป็นครั้งแรกและแยกเป็นกิจการสาธารณะกุศลคนเจ็บคนตายราว 50 ปีที่ผ่านมานี้โดยมีแรงบันดาลใจมาจากนายอุเทน เตชะไพบูลย์ นักธุรกิจชาวจีนคนหนึ่งที่เข้ามาอาศัยร่มโพธิสมภารจนประสบความสำเร็จและต้องการสนองคืนสังคมเริ่มด้วยการจัดตั้งโรงพยาบาลหัวเฉียว และแตกมาเป็นมูลนิธิปอเต็กเชียงตึ้ง ช่วยเหลือผู้ประสบภัย คนยากคนจนตลอดจนเก็บศพไร้ญาติ
       
       ต่อมาได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่เป็นเนืองๆ เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมหรือคดีต่างๆที่เกิดขึ้นกิจการมูลนิธิปอเต็กเชียงตึ้ง จึงขยายมาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน (ตำรวจ) อย่างเต็มตัวโดยภารกิจหลักคือการเก็บศพในทุกรูปแบบ และพัฒนามาเป็นหน่วยกู้ชีพช่วยผู้ประสบภัยต่างๆ เช่นอุบัติเหตุรถชน ตึกถล่ม ปั๊มแก๊สระเบิด เป็นต้น ซึ่งต่อมากลายเป็นที่นิยมของบรรดาผู้มีจิตอาสา ทั้งดาราและประชาชนมาสมัครเป็นอาสาปอเต็กเชียงตึ้ง อาทิ แอ๊ด คาราบาว นักร้องดังกับตลกตระกูลชวนชื่น เป็นต้น
       
       เมื่อปรากฏผลงานด้านสาธารณกุศลอย่างชัดเจน ชื่อเสียงของมูลนิธิปอเต็กเชียงตึ้ง จึงเป็นที่รู้จักทั้งในหมู่คนไทยและคนจีนอย่างกว้างขวางแน่นอนว่า ย่อมมีผู้ศรัทธาเข้าสมทบในรูปแบบทั้งๆอย่างคับคั่ง ทั้งด้านการเงินหรือบริจาคสิ่งของรวมทั้งโลงศพ ทำให้มีคนมองเห็นช่องทางจนเกิดมูลนิธิฯเล็กๆ ขึ้นมาอีกมูลนิธิหนึ่งชื่อ “ร่วมกตัญญู” ก่อตั้งโดยนายสมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง ก่อตั้งเมื่อปี 2513 ซึ่งต่อมาได้รับเลือกเป็นประธานมูลนิธิฯ
       
       เส้นทางมูลนิธิร่วมกตัญญู ลอกเลียนแบบ “ปอเต็กเชียงตึ้ง” เน้นเฉพาะการเก็บศพ สำนักงานเดิมอยู่ย่านกล้วยน้ำไทย เริ่มจากรถปิกอัพ 1 คันมีเด็กคลองเตยเป็นพนักงานขับรถ คนเก็บ-ส่งศพหนึ่งในนั้นก็คือนายสมศักดิ์ ปาลวัฒน์ ผู้จัดการมูลนิธิฯคนปัจจุบัน
       
       อย่างรวดเร็ว เพียง 2-3 ปีมูลนิธิร่วมกตัญญู สามารถสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ซึ่งเทคนิคที่ประสบความสำเร็จก็คือพยายามแย่งเก็บศพจากมูลนิธิปอเต็กเชียงตึ้ง ให้มากที่สุดเพราะในแต่ละครั้งจะปรากฏชื่อเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย ลูกเล่นที่ได้โฆษณาฟรีๆลงหน้า 1 หนังสือพิมพ์รายวันแทบทุกฉบับ โดยไม่เสียสตางค์แม้แต่บาทเดียวก็คือตอนเก็บศพไม่ว่าจะยืนเก็บ นั่งเก็บหรืออยู่ในมุมใดๆต้องมีพนักงาน 1-2 คนยืนหันหลังให้เห็นป้ายชื่อมูลนิธิฯที่ติดตัวโตๆ หลังเสื้ออย่างชัดเจน
       
       นอกจากนั้น ก็คือการ “ซื้อใจ” เพราะทุกครั้งที่นักข่าวอาชญากรรมไม่ว่าสำนักใดก็ตามหาก “ตกภาพ” ไปถ่ายรูปในที่เกิดเหตุไม่ทันก็จะได้รับการอนุเคราะห์จากมูลนิธิฯซึ่งต่างจาก “ปอเต็กเชียงตึ้ง”ในยุคก่อนที่ไม่ยืดหยุ่น ไม่ให้ความสำคัญกับสื่อจึงเปิดโอกาสให้ร่วมกตัญญู โตวันโตคืนจนมาถึงยุคปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ มีศูนย์ประสานงานตั้งอยู่หน้าวัดหัวลำโพง ปทุมวัน คาดว่ามีทรัพย์สินกว่า 1 พันล้านบาท มีนักร้องดาราให้การสนับสนุนอย่างมากมายเช่นบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ต่าย สายธาร ฝันดี ฝันเด่น และตลกตระกูล “เชิญยิ้ม” เป็นต้น
       
       อย่างไรก็ตาม กว่าจะมาถึงวันนี้ทั้งมูลนิธิปอเต็กเชียงตึ้ง และมูลนิธิร่วมกตัญญู ต่างเคยกระทบกระทั่งกันมาหลายครั้ง เรียกว่าเคยเซ่นสังเวยเลือดเนื้อกันมาก่อนเช่นกันจนถึงยุค พล.ต.ท.จำลอง เอี่ยมแจ้งพันธ์ เป็น ผบช.น.ได้แก้ปัญหา “แย่งทำความดี” หรือ “แย่งเก็บศพ” ด้วยการแบ่งเขต กองบังคับการตำรวจนครบาลเหนือ (บก.น.เหนือ) กองบังคับการตำรวจนครบาลใต้ (บก.น.ใต้) และ กองบังคับการตำรวจนครบาลธนบุรี (บก.น.ธนฯ) และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนมาเป็นวันคู่วันคี่เริ่มตั้งแต่ 8 โมงเช้าสามารถแก้ปัญหาได้ในระดับหนี่ง
       
        แต่ที่เกิดเป็นเรื่องราวบ่อยครั้งก็เพราะมีมูลนิธิเกิดใหม่อีกหลายมูลนิธิฯเช่น ประชาร่วมใจ – มูลนิธิร่มไทร เป็นต้น
       
       ทั้ง 2 มูลนิธินี้แม้จะมาในรูปจิตอาสา เป็นนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไรแต่มุ่งเน้นงานสาธารณกุศล หากแต่ในความจริงแล้วเฉพาะในส่วนของมูลนิธิร่มไทร ซึ่งมีนายสุธี มีนชัยนันท์ คนนามสกุลเดียวกับนายวิชา มีนชัยนันท์ นักการเมืองชื่อดังเป็นประธานฯ ย่อมเป็นที่สงสัยของสังคมว่า นอกจากงานการกุศลแล้วยังมีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
       
        เพราะทราบกันดีว่ามูลนิธิร่มไทร นั้นนอกจากอยู่ในการดูแลของสกุล “มีนชัยนันท์”แล้วยังมีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตนักการเมืองคนดังร่วมสนับสนุนด้วย
       
       มีข้อมูลปรากฏในกลุ่มอาสา หรือบรรดามูลนิธิทั้งหลายว่าระบบการทำงานของมูลนิธิฯในปัจจุบันทั้งปอเต็กเชียงตึ้ง กับร่วมกตัญญู ไม่มีปัญหาอะไรกันแล้วเนื่องจากกำหนดพื้นที่ วันเวลาตารางการทำงานอย่างชัดเจน
       
        แต่ที่เป็นปัญหาก็คือกลุ่มคนทำงานของมูลนิธิร่มไทร ซึ่งยึดพื้นที่แนวตะเข็บชานเมืองโดยเฉพาะด้านตะวันออก ของกทม.ประกอบด้วยมีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง และย่านลำลูกกา เป็นต้น พื้นที่ดังกล่าวห้ามมูลนิธิฯ ใดย่างกรายเข้าไป แต่ที่เกิดเป็นเรื่องกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง ก็เพราะมีการประสานงานมาจากศูนย์เอราวัณ (งานแพทย์ กทม.) หรือศูนย์นเรนทร กระทรวงสาธารณะสุข เมื่อแจ้งไปยังมูลนิธิใดแล้วเผลอรีบไปช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุโดยลืมว่า มีเจ้าถิ่นคอยเอาเรื่องอยู่ก็จะเกิดปัญหาได้ เบาสุดคือขับรถปาดหน้าด่าทอ ขยับไปถึงขว้างปาสิ่งของใส่และอาจถึงทะเลาะวิวาทจนมีการใช้อาวุธ
       
       ปฏิบัติการแย่งกันทำความดีจนต้องฆ่ากันตายนั้นอาจจะยังค้างคาใจว่ามีเหตุอะไรจูงใจให้หลายๆ มูลนิธิต้องแข่งขันกัน คำตอบน่าจะอยู่ที่ผลประโยชน์ของมูลนิธิเองที่มาในรูปแบบต่างๆ เช่นยอดการบริจาค เงินสนับสนุนต่างๆ และขั้นเลวร้ายที่สุดคือการเข้ามาของขบวนการฟอกเงิน
       
       ส่วนข้อปลีกย่อยต่างๆที่ยังเป็นปัญหาก็คือการเข้ามาของพนักงานหรืออาสาทั้งหลายนั้นส่วนใหญ่มาจากร้อยพ่อพันแม่ ไม่มีระบบควบคุมที่ดีเห็นได้จากมีข่าวแอบอ้างชื่ออาสา ชื่อมูลนิธิไปกระทำผิดกฎหมายขนของเถื่อน ค้ายาเสพติดหรือบางครั้งนำไปก่ออาชญากรรมร้ายแรง
       
       จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานรับผิดชอบประกอบด้วยกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อนุญาตและผู้ควบคุม จะต้องรีบเข้ามาตรวจสอบการประกอบกิจการต่างๆ ของมูลนิธิฯทั้งหลายว่าถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้หรือไม่ ตัวอย่างเช่นมูลนิธิใหญ่แห่งหนึ่งมีทรัพย์สินมากมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดไว้ว่าการจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิฯต้องไม่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อผู้ใดฯ และข้อบังคับที่กำหนดให้มีคณะกรรมการของมูลนิธิฯประกอบด้วยบุคคลอย่างน้อย 3 คนเป็นผู้ดำเนินกิจการของมูลนิธิตามกฏหมายและข้อบังคับของมูลนิธิฯนั้น ปรากฏว่ามูลนิธิฯดังกล่าวมีเมีย เป็นประธาน สามีเป็นผู้จัดการ และน้องเมียเป็นเลขาฯ สามารถทำได้หรือไม่ และในแต่ละปีมีการจัดบัญชีรายรับรายจ่ายไว้อย่างไรบ้างกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบมองเห็นเรื่องนี้เป็นสิ่งปกติ หรือผิดปกติ
       
       นอกจากกระทรวงมหาดไทยแล้วยังมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกหน่วยงานหนึ่งที่ปล่อยปละละเลย ทั้งที่เป็นงานรับผิดชอบของตัวแต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตามไม่เคยมี ผบ.ตร.คนใดแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่นการแบ่งเขตทำงานของมูลนิธิปอเต็กตั้ง และร่วมกตัญญู ยังคงใช้ตามระบบกองบัญชาการตำรวจนครบาล เดิมเมื่อ 30 ปีก่อนคือ เหนือ – ใต้-ธนฯทั้งที่ความจริงมีการแบ่งซอยอย่างชัดเจนเป็น 9 กองบังคับการไปแล้ว อีกทั้งมูลนิธิฯน้องใหม่ที่ได้แรงหนุนจากนักการเมืองดัง แทนที่จะเป็นจิตอาสาแต่กลายเป็นนักบุญในคราบของนักเลงอันธพาลซึ่งถือเป็นภัยร้ายแรงของสังคม
       
       นี่ยังไม่รวมเรื่องปลีกย่อยเช่นการใช้ไฟวาบ สัญญาณไซเรน ที่ปัจจุบันการขับรถอย่างเร่งรีบ ทำกันอย่างครึกโครมจนสร้างความตกอกตกใจ อีกทั้งอาจจะมีอันตรายจากอุบัติเหตุซ้ำขึ้นได้นั้นก็ล้วนแต่ต้องแก้ไขเพราะเป็นปัญหาหมักหมมกันมานาน
       
        เอาจังหวะนี้แหละจัดระเบียบให้เรียบร้อย จิตอาสาที่ดีเขาจะได้ทำหน้าที่ด้วยความเบิกบานใจ
       

 
 
 

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
ข้อควรู้ 7 วิธีรับมือ หากท่านกำลังถูกไฟแนนซ์ขู่ยึดรถ ใจเย็น ๆ ไม่ต้องตกใจ ตั้งสติให้ดี แล้วอ่านบทความนี้อย่างตั้งใจ

การมีรถยนต์ขับสักหนึ่งคันสำหรับใครหลาย ๆ คนอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก อยากได้ก็ซื้อ แต่สำหรับคนอีกมากมายที่ไม่มีเงินถุง เงินถังขนาดนั้น การผ่อนรถกับไฟแนนซ์จึงเป็นทางเลือกที่หลายคนนิยมกัน

ใช่แล้วครับนั่นหมายความว่าชีวิตนี้คุณได้เป็นหนี้ก้อนใหญ่เสียแล้ว บางคน 3-5 แสนบาท แต่สำหรับบางคนก็เป็นล้านนะครับ ไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลยทีเดียว

 

                              ผ่อนรถ, ไฟแนนซ์, ยึดรถ, เครดิตบูโร, ติดแบล็คลิสต์

 

 

 

   

ทำให้คำว่า ‘ภาระ’ เป็นเหมือนเงาตามตัวเราทุกสิ้นเดือน และถ้าหากวันหนึ่งมีอุบัติเหตุทางการเงินเกิดขึ้น เราไม่มีเงินผ่อนรถ จนไฟแนนซ์ติดตามทวงถาม และจะยึดรถของเราให้ได้

เราจะทำอย่างไร? ไม่ต้องกังวลนะครับ MThai News อยู่ข้างคุณเสมอ วันนี้เราขอนำเสนอ 7 วิธีรับมือไฟแนนซ์ขู่ยึดรถ สำหรับลูกหนี้ชั้นดี ‘ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย’ กันนะครับ

1.คุณลูกหนี้จงจำไว้ว่า ไฟแนนซ์จะสามารถยึดรถเราได้ต่อเมื่อ เราค้างชำระค่าเช่าซื้อ 3 งวดติดต่อกันขึ้นไป ก่อนยึดรถอีก 1 เดือน รวมเป็น 4 เดือน ซึ่งบางครั้งอาจจะนานกว่านี้ด้วยซ้ำ

ซึ่งถ้าไฟแนนซ์ยึดรถก่อนหน้านี้จะมีความผิดตาม พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งคุ้มครองเกี่ยวกับเรื่องสัญญา ดังนั้นผู้เช่าซื้อต้องอย่ายอมให้ยึดรถ และให้เรียกตำรวจมาเป็นพยาน

 

 

 

                            ผ่อนรถ, ไฟแนนซ์, ยึดรถ, เครดิตบูโร, ติดแบล็คลิสต์

 

 

 

 

2.ไฟแนนซ์มักขู่เรียกค่าเสียหายสูง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่สามารถเรียกค่าใช้จ่ายได้ตามอำเภอใจ การค่าเสียหายเรียกได้ตามค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น ดังนั้นผู้เช่าซื้ออย่าวิตก

3.หากเราไม่ยินยอมให้ยึดรถ ไฟแนนซ์จะยึดรถไม่ได้ และถ้ามีการบังคับขู่เข็ญ หรือไล่ให้ผู้เช่าซื้อลงจากรถ หรือกระชากกุญแจรถไป หรือแม้แต่เอากุญแจสำรองมาเปิดรถ และขับหนีไป

ไฟแนนซ์ถือว่าทำความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และถ้ากระทำการโดยมีอาวุธหรือร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะฉะนั้นถ้ามีคนกระทำการดังกล่าวให้ถ่าย รูปหรือบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน และแจ้งความดำเนินคดีอาญาได้เลย

 

 

 

                             ผ่อนรถ, ไฟแนนซ์, ยึดรถ, เครดิตบูโร, ติดแบล็คลิสต์

 

 

 

 

4.ข้อนี้สำคัญครับ ถ้าคุณไม่ได้แคร์การติดแบล็คลิสต์เครดิตบูโร‘ ไม่ควรให้ไฟแนนซ์ยึดรถไม่ว่าในกรณีใด ๆ เพราะถ้าถูกยึดรถแล้วเราก็จะหมดอำนาจต่อรองทันที และหลังจากยึดรถไปแล้ว

ไฟแนนซ์จะนำรถของเราไปขายทอดตลาดในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดมาก ซึ่งส่วนมากมักจะไม่พอจ่ายหนี้ที่เราเป็นอยู่ และไฟแนนซ์จะเรียกค่าเสียหายจากเรา พูดง่าย ๆ ว่า ‘รถไม่มีแต่หนี้ยังอยู่’ นั่นเอง

5.ในกรณีที่เราถูกยึดรถไปแล้ว และไฟแนนซ์มีหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือ อย่าตกใจให้หาทนายสู้คดี เพราะค่าเสียหายของไฟแนนซ์มักจะสูงจนเว่อร์ แต่ศาลมักพิพากษาให้จ่ายเพียง 30% หรือครึ่งเดียวเท่านั้น

 

 

 

 

                       ผ่อนรถ, ไฟแนนซ์, ยึดรถ, เครดิตบูโร, ติดแบล็คลิสต์

 

 

 

 

6.เมื่อแพ้คดี ไฟแนนซ์จะยึดทรัพย์ของเราที่ถือครองในนามลูกหนี้เพื่อชดใช้ค่าเสียหาย แต่ถ้าเราไม่มี หรือเป็นทรัพย์ที่ถือครองโดยญาติ พี่น้อง ไฟแนนซ์ไม่สามารถกระทำการใด ๆ ได้ เพราะฉะนั้นจะไม่มีใครเดือดร้อนเพราะคุณแน่นอน

7. คำถามที่หลายคนสงสัย และเป็นกังวลว่า ‘ถ้าไม่มีเงินจ่ายไฟแนนซ์จะติดคุกหรือไม่’ คำตอบคือไม่ครับ เพราะเป็นคดีแพ่งไม่ใช่คดีอาญา และการเป็นหนี้ไฟแนนซ์ ไม่ต้องลาออกจากงาน

เพราะไม่มีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน การเป็นหนี้สินถือเป็นเรื่องส่วนตัว ไฟแนนซ์ไม่สามารถนำเรื่องส่วนตัวไปประจานให้เพื่อนร่วมงาน หรือผู้บังคับบัญชาของลูกหนี้รับรู้ได้

ถ้าทำถือว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งเราสามารถฟ้องได้ครับ แต่อย่างไรก็ตามบทความนี้เป็นเพียงวิธีการป้องกันการข่มขู่ และการเสียเปรียบ แต่อย่าเอาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควรนะครับ

 

ขอบคุณข้อมูล ทนายพี และเฟซบุ๊คลูกชิ้น ปิ้ง (Fan Page)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                             

 

 

 

 

นิพิฏฐ์ ชี้ กกต. ต่างหากที่สมควรชดใช้ค่าเสียหายเลือกตั้ง โมฆะ เหตุดื้อ-ดันทุรังดำเนินการ


จากกรณีที่วานนี้ (21 ธ.ค. 57) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ได้ออกมาเปิดเผยว่า สำนักงานกกต. กำลังเร่งรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อเรียกค่าเสียหายจากบุคคลที่ทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 57 เป็นโมฆะ

 

 

 

                

 

รวมจำนวนกว่า 3 พันล้านบาทกกต. เนื่องจากเห็นว่าการเลือกตั้งดังกล่าวสร้างความสูญเสียให้กับชาติ จึงจำเป็นต้องทวงคืนค่าเสียหายกลับสู่ประเทศ และประชาชน ส่วนจะมีใครถูกเรียกร้องเอาผิดในเรื่องดังกล่าวยังไม่ได้ระบุตัวตนที่แน่ชัด ต้องมีการตรวจสอบก่อนนั้น


ในวันนี้ (22 ธ.ค. 57) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวข้างต้นว่า คนที่ควรใช้ค่าเสียหายในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ควรจะเป็น กกต. มากกว่า เพราะหากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ไม่ยอมจัดการเลือกตั้ง ความเสียหายก็ไม่เกิดขึ้น


แต่ กกต.รู้อยู่แล้วว่าการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ กลับยังยอมปล่อยให้มีการเลือกตั้งต่อไป รัฐธรรมนูญกำหนดให้ กกต.เป็นองค์กรอิสระ ที่ไม่ขึ้นอยู่ในการบังคับบัญชาของรัฐบาล การอ้างว่าถูกรัฐบาลบังคับให้จัดการเลือกตั้ง จึงรับฟังไม่ได้
ทั้งนี้หาก กกต. มีการฟ้องร้องเอาผิดจริงไม่ว่าจะกับใครก็แล้วแต่เชื่อได้เลยว่า กกต.จะถูกเชิญมาเป็นจำเลยร่วมด้วยแน่นอน จนในที่สุดและเรื่องจะเงียบไปเอง เพราะ กกต.ไม่กล้าที่จะฟ้องใคร เงินแผ่นดิน 3,000ล้านก็จะหายไปโดยไม่มีผู้รับผิดชอบ หากไม่เชื่อก็ต้องคอยจับตาดูต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

          

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                         ยาฆ่าเเมลง

 

 

“การบริโภคผักและผลไม้วันละ 400-800 กรัม จะช่วยลดการเกิดมะเร็งช่องปาก ลำคอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน เต้านม และกระเพาะปัสสาวะ”

 

นั้นคือคำแนะนำของแพทย์ ผมแปลข้อความนี้จากภาษาอังกฤษที่แชร์กันใน facebook ผมขออนุญาตแปลคอมเมนต์ถัดไปมารับใช้ว่า “แต่อย่าบริโภคผักและผลไม้จากเวียดนาม จีน และไทย เพราะมันยิ่งจะทำให้ท่านเป็นมะเร็งไวยิ่งขึ้น”

 

จากนั้นก็มีคนส่งข้อความเข้ามาเตือนอันตรายจากผลิตภัณฑ์เกษตรจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ + จีน อ่านแล้วปวดใจครับ เราเป็นประเทศผลิตอาหารป้อนโลก แต่เรากลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของอาหารจนบั้นปลายท้ายที่สุด โลกกลับกลัวผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารจากประเทศของเรา และจากภูมิภาคของเรา

 

อย่าดัดจริตเถียงผู้บริโภคโลกเลยว่า อาหารของเราปลอดภัย อยากให้ท่านมาดูนาข้าวแถวลาดกระบัง มีนบุรี หนองจอก ฉะเชิงเทรา ที่ฉีดยาฆ่าแมลงกันบ้าเลือด หรือมาบ้านที่ผมพำนักพักอยู่ในเวลานี้ ที่แขวงขุมทอง เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ก็ได้ บ้านผมอยู่ติดกับทุ่งนาเลยนะครับ ชาวนาข้างบ้านท่านปลูกข้าวปีละ 3 ครั้ง และฉีดยาฆ่าแมลงทั้งปี ทุกครั้งที่ท่านฉีดยา พ่อผมก็จะสั่งปิดบ้าน และห้ามใครกลับมาจนกว่าจะค่ำ เมื่อลมพัดละอองยาฆ่าแมลงไปหมดแล้ว

 

ฝนตกคราใด น้ำฝนก็จะชะยาฆ่าแมลงลงไปในคลอง หนองน้ำ แถวนี้มีบ่อปลาเยอะ ยาฆ่าแมลงก็ไหลลงไปในบ่อปลา คนกินปลาก็คือกินมะเร็ง

 

เดี๋ยวนี้ คนไทยยังหนุ่ม ยังสาวอยู่แท้ๆ แต่วันดีคืนดีก็มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างเร็ว ชอบเป็นไข้เรื้อรัง โทร.ไปทีไรก็จะได้คำบอกว่า เป็นไข้ เป็นไข้ เป็นไข้ คนที่ผมรู้จักหลายคนบอกว่าเดี๋ยวนี้ ตนใจหวิวคล้ายกับหิวข้าวบ่อย หน้าซีดบ่อย มีอาการจะเป็นลมบ่อย ฯลฯ พวกนี้นี่คืออาการร่วมกันของมะเร็งทั้งนั้น ไม่ว่าจะมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้เล็ก/ใหญ่ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ ซึ่งหนึ่งในหลายสาเหตุคือ ทานอาหารไม่ปลอดภัย

 

อยากพิสูจน์เรื่องพวกนี้ไม่ต้องไปไกลเลยครับ วันเสาร์อาทิตย์มีเวลาว่าง ผู้อ่านท่านพาผู้คนในครอบครัวของท่านขับรถเล่นเย็นใจไปตามตรอกซอกซอยในพื้นที่เกษตรชานกรุงเทพฯ และปริมณฑล ท่านจะเจอการฉีดยาฆ่าแมลง นี่แหละครับ เห็นภาพพวกนี้ด้วยตาตัวเองแล้ว คนในครอบครัวของท่านจะได้ช่วยกันเลือกอาหารที่จะรับประทาน ว่าจะต้องปลอดภัยเท่านั้น

 

ไม่แค่เฉพาะชานกรุงเทพฯ อาหารมะเร็งอยู่เกลื่อนกลาดดาษดื่นในประเทศไทย ลองขับรถไปตามสวนแถวภาคตะวันออกก็ได้ โอ้โฮ ป้ายโฆษณาสองข้างทางที่จังหวัดระยอง ตราด และจันทบุรี มีแต่โฆษณายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า มีแต่พวกสารเคมี ที่น่าตกใจก็คือ โฆษณาในวิทยุท้องถิ่นเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องยาฆ่าแมลงและยาปลุกอารมณ์ทางเพศ

 

แถวบ้านพ่อผม พอฤดูหนาวเข้ามาเยือน หนองบึงที่เคยเปี่ยมน้ำก็เริ่มแห้ง กุ้งหอยปูปลาที่ตามน้ำลงไปไม่ทันก็จะตกค้างอยู่ในแอ่ง พี่ป้าน้าอาของผมก็จะไปจับ มีตั้งแต่ปลาซิว ปลาซ่า ปลาหมอ ปลาตะพัด ปลาตะเพียน ปลาบู่ ปลากระดี่หม้อ ปลาดุก ปลาช่อน ฯลฯ

 

สมัยก่อนง่อนชะไร ตอนที่ยังไม่มีการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงกันมาก สัตว์น้ำเหล่านี้คืออาหารอันโอชะของชาวบ้าน ย่าผมเคยทำต้มยำป่าปลาช่อนอร่อยมาก ป้าเนยก็แกงอ่อมปลาดุกใบยอได้แซ่บอย่าบอกใคร อีน้องเคยทำต้มกะทิปลาหมอมาให้พวกเราทานตอนลงแขกเก็บเงาะ แม้แต่ปลากะทิง พ่อของผมยังเอามายำกับมะม่วงเปรี้ยวซอย ที่มีตะไคร้ซอยเฉียงบางๆ พ่อโรยน้ำตาลทราย ใส่มะนาว อุ๊ย เขียนถึงแล้วน้ำลายไหลลงไปที่แป้นคอมพิวเตอร์เลยครับ

 

ทว่า ผู้อ่านท่านที่เคารพ ปัจจุบันทุกวันนี้ ปลาน้ำจืดกลายเป็นอาหารที่มีแต่สารที่ก่อให้เกิดมะเร็งและโรคร้ายประเภทอื่น ประชาชนคนของเราที่ยากจนอยู่แล้ว ยังต้องดิ้นรนขวนขวายหารายได้เอาไปซื้อยามารักษาตัว บางคนต้องวิ่งหาสตางค์เอาไปฉายรังสี ตรวจอุจจาระ เอกซเรย์ ทำสแกน ส่องกล้อง และทำเคมีบำบัด

 

คนที่จนอยู่แล้ว ก็ยิ่งจนเข้าไปใหญ่

ที่รวยขึ้นคือเจ้าของสารเคมีหรือผู้นำเข้ายาฆ่าแมลง

ไม่มีนโยบายของพรรคการเมืองไหนพูดถึงเรื่องนี้

เพราะได้รับเงินบริจาคจากบริษัทฆ่ามนุษย์กันถ้วนหน้า

ได้รับกันทุกพรรค ท่านไปตรวจสอบดูเถิด.

 

 

คุณนิติ นวรัตน์

 

 

 

 

สารพิษอันตราย ยาฆ่าแมลง สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก ที่ รัฐไทย ปล่อยปะละเลย จนคนไทยป่วยโรคมะเร็งเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และสาเหตุโรคร้ายแรงต่าง ๆ อีกมากมาย ความรุนแรงกำลังทวีสูงขึ้น อย่างน่ากลัว

 

ว่าด้วยเรื่องสารกำจัดศัตรูพืช ข้อมูลเมื่อปี 2553 พบว่า ประเทศไทยมีเนื้อที่ทางการเกษตรเป็นอันดับที่ 48 ของโลก
แต่ใช้ยาฆ่าแมลงเป็นอันดับ 5 ของโลก
ใช้ยาฆ่าหญ้าเป็นอันดับ 4 ของโลก
หากดูปริมาณนำเข้าสารกำจัดศัตรูพืชของปี 2552 พบว่ามีการนำเข้าสารกำจัดศัตรูพืชทั้งสิ้น 118,152 ตัน
เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากเมื่อปี 2545 ซึ่งมีปริมาณนำเข้า 39,634 ตันโดยตัวเลขการนำเข้านี้มีแนวโน้มสูงขึ้นมาตลอด

 

ในจำนวนการนำเข้าสารกำจัดศัตรูพืชนี้ จำแนกได้เป็น การนำเข้าสารกำจัดแมลง (Insecticide) 19,709 ตัน

 

สารป้องกันและกำจัดโรคพืช (Fungicide) 8,485 ตัน สารกำจัดวัชพืช (Herbicide) 85,821 ตัน และอื่นๆ อีก 4,137 ตัน

 

ขณะที่ในการฉีดพ่น มีรายงานวิจัยจากต่างประเทศพบว่า สารเคมีที่ฉีดพ่นออกไป มีเพียงร้อยละ 0.2 ที่โดนแมลงโดยตรง
ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 99.8 จะปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม

 

เช่นเดียวกับกรมวิชาการเกษตรของไทย เคยรายงานว่า มีเพียงร้อยละ 1 ที่โดนแมลงและทำให้แมลงตาย

 

ส่วนที่เหลือ ร้อยละ 3 โดนแมลงบางส่วน แต่ไม่ใช่จุดสำคัญ

ร้อยละ 10 ระเหยทิ้ง

ร้อยละ 15 ฉีดไปแล้วพลาดเป้าหมาย

ร้อยละ 30 ปลิวกระจาย

และร้อยละ 41 ตกค้างบนพืช


ดังนั้นการใช้สารกำจัดศัตรูพืชจึงไม่เพียงมีผลทำลายแมลงและวัชพืช แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ

ตกค้างในสิ่งแวดล้อมทั้งในบรรยากาศ ในน้ำ และแทรกซึมสะสมอยู่ในชั้นดิน

รวมถึงเป็นอันตรายต่อ

สุขภาพของทั้งตัวเกษตรกรเองและผู้บริโภคด้วย

 

 

 

    

 

2

 

 

 

จากข้อสงสัยเคลือบแคลงในโครงการรับจำนำข้าวที่มีการเก็บสต็อกในโกดังเป็นจำนวนมาก นำไปสู่ข่าวลือแพร่สะพัดในโซเชียลมีเดียว่าข้าวไทยบรรจุถุงอาจมีการปนเปื้อนสารเคมีในระดับสูง ส่งผลให้ประชาชนเกิดความหวาดวิตกว่าข้าวสารที่วางจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดสามารถบริโภคได้หรือไม่

 

ไม่เพียงแต่ ‘ข้าว’ ซึ่งเป็นอาหารหลักของคนไทยจะถูกตั้งข้อสงสัยถึงความไม่ปลอดภัยแล้ว ยังมีพืชผลทางการเกษตรอีกมากมายหลายชนิดที่ควรได้รับการตรวจสอบและเปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการปนเปื้อนของสารเคมีร้ายแรง 4 ชนิดที่นานาประเทศประกาศให้เป็น ‘สารต้องห้าม’ ได้แก่ คาร์โบฟูราน (Carbofuran) เมทโทมิล (Methomyl) อีพีเอ็น (EPN) และไดโครโตฟอส (Dicrotophos) ขณะที่ประเทศไทยกลับยังมีการพึ่งพายาฆ่าแมลงเหล่านี้อย่างแพร่หลายโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้าน

 

 

 

photof

 

 


ในน้ำมีปลา…ในไร่นามีสารพิษ

 

ปี 2554 ข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า ไทยใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นอันดับที่ 5 ของโลก คือ 0.86 กิโลกรัมต่อเฮกเตอร์ โดยอันดับที่ 1-4 ได้แก่ ฝรั่งเศส เวียดนาม สเปน และบราซิล

 

ส่วนรายงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) ระบุว่า ไทยมีพื้นที่เกษตรกรรมเป็นอันดับที่ 48 ของโลก แต่นำเข้าสารเคมีทางการเกษตรสูงเป็นอันดับ 1

 

เดือนกรกฎาคม 2554 มีการสุ่มตรวจสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานในผักและผลไม้จาก 70 ประเทศที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ปรากฏว่าสินค้าจากประเทศไทยมีสารพิษตกค้างสูงสุดเป็นอันดับ 1 และถูกตรวจพบบ่อยครั้งที่สุดในโลก

 

ณ ปัจจุบันไทยยังไม่มีการกำกับควบคุมปริมาณการนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างจริงจัง และยังมีแนวโน้มสูงขึ้นแทบทุกปี โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว กล่าวคือ ในปี 2542 มียอดนำเข้าประมาณ 6,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2554 ตัวเลขการนำเข้าพุ่งขึ้นเป็นกว่า 22,000 ล้านบาท หรือประมาณ 164 ล้านกิโลกรัม (สำนักควบคุมพืชและวัสดุทางการเกษตร, 2555)

 

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ไทยกำลังประสบวิกฤติการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงหลายด้าน ทั้งร่างกายของเกษตรกร ความปลอดภัยของผู้บริโภค คุณภาพสินค้าเกษตรและอาหาร การปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และผืนแผ่นดินที่แทบจะกลายเป็น ‘ไร่นาเคมี’ ไปทั้งประเทศ

 

ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นลูกค้าผู้ภักดีต่อสินค้าเคมีภัณฑ์ทางการเกษตร และตกอยู่ใต้อาณัติของบรรษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่เพียง 6 บริษัท ซึ่งเป็นผู้ครอบครองส่วนแบ่งของตลาดสารเคมีการเกษตรโลก นั่นคือ ไบเออร์ (เยอรมนี) ซินเจนทา (สวิตเซอร์แลนด์) บีเอเอสเอฟ (เยอรมนี) ดาวน์ อะโกรไซแอนซ์ (สหรัฐอเมริกา) มอนซานโต (สหรัฐอเมริกา) และดูปองท์ (สหรัฐอเมริกา) เมื่อนำเข้าสารเคมีเข้ามาแล้ว บริษัทท้องถิ่นของไทยก็ดำเนินธุรกิจหากินบนหลังคนด้วยการจัดจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าต้นทุนวัตถุดิบอีกหลายเท่าตัว ทั้งๆ ที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าแม้แต่บาทเดียว โดยอ้างว่าเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับการเกษตร จึงได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน

 

 

c


 

ขนาดแมลงยังตาย แล้วคนจะไปเหลืออะไร

 

พิษภัยของการใช้ยาฆ่าแมลงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และกำลังเข้าขั้นวิกฤติ ดังเห็นได้จากสถิติการตรวจเลือดของเกษตรกรเพื่อวัดระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรส โดยสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม พบว่า เกษตรกรมีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในร่างกายในระดับเสี่ยงสูงขึ้น จากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 29.41 ในปี 2545 เพิ่มเป็นร้อยละ 39 ในปี 2554 โดยไม่มีแนวโน้มลดลง

 

ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขประมาณการว่า มีเกษตรกรที่เสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ไม่ปลอดภัยถึง 6 ล้านคน โดยแต่ละปีมีผู้ป่วยจากยาฆ่าแมลงประมาณ 200,000-400,000 คน ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่โรคเรื้อรังอื่นๆ อาทิ มะเร็ง เบาหวาน โรคของต่อมไร้ท่อ ฯลฯ (แผนงานวิจัยและพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพและระบบการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ, 2548)

 

ไม่เว้นกระทั่งตัวของผู้บริโภคเองที่ย่อมตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นเดียวกัน ดังผลการสำรวจของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN: Thailand Pesticide Alert Network) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ ที่ได้สุ่มตรวจผักยอดนิยม 7 ชนิด คือ กะหล่ำปลี คะน้า ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ผักชี และพริกจินดา ที่วางขายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ตลาดสด และรถเร่ในเขตกรุงเทพฯ พบปริมาณสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐานสหภาพยุโรปถึงร้อยละ 40 โดยได้รับคำยืนยันจากห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2555

 

สอดคล้องกับผลสำรวจของ อย. ที่พบว่าผักสดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 359 ตัวอย่าง มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชร้ายแรงตกค้างทั้งในผักที่มีเครื่องหมายปลอดสารพิษและที่ไม่มีเครื่องหมาย ร้อยละ 51.8 และ 63.7 ตามลำดับ

 

ด้วยเหตุนี้จึงเกิดกระแสรณรงค์ขององค์กรภาคประชาชนและองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค ให้เลิกใช้สารเคมีร้ายแรงทั้ง 4 ชนิด ไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียน และกำหนดให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 คือ ห้ามผลิต ห้ามนำเข้า ห้ามส่งออก และห้ามมีไว้ในครอบครอง

 

 

 

เกษตรเคมี4_resize

 

 

 

หยุดขึ้นทะเบียน 4 สารเคมี

 

ทำไมจึงต้องจำเพาะเจาะจงสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 4 ชนิด ให้เป็นวัตถุอันตราย?

 

เหตุเพราะว่า แม้แต่ประเทศต้นทางการผลิตอย่างสหรัฐและเยอรมันยังรู้ซึ้งถึงพิษร้ายของสารเคมีที่ว่านี้เป็นอย่างดี จนต้องสั่งระงับการใช้โดยเด็ดขาด โดยสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ (Environmental Protection Agency: EPA) ได้มีการประเมินผลการตกค้างของสารคาร์โบฟูรานในปี 2549 พบว่า การตกค้างของคาร์โบฟูรานในอาหารมีความเสี่ยงร้ายแรง ‘เกินระดับที่ EPA จะยอมรับได้’

 

จนกระทั่งปี 2551 EPA ได้ข้อสรุปจากผลการวิจัยทั้งหมดว่า ‘คาร์โบฟูรานที่ตกค้างในอาหารไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคทั้งสิ้น’ จึงมีการยกเลิกการใช้สารเคมีชนิดนี้ในผลผลิตทางการเกษตรทั้งหมดของสหรัฐตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา

 

เช่นนี้แล้วประเทศปลายทางอย่างไทยจะยังดึงดันฝืนใช้ต่อไปอีกทำไม

 

สำหรับแนวทางที่สามารถควบคุมการใช้สารเคมีร้ายแรงทั้ง 4 ชนิดได้อย่างเห็นผลก็คือ การประกาศห้ามใช้และไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งจะสามารถควบคุมได้ตั้งแต่ต้นทาง โดยกรมวิชาการเกษตรในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงควรออกประกาศให้เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งจะมีผลตามกฎหมายทันทีคือ ห้ามการนำเข้า จำหน่าย หรือใช้ รวมทั้งการไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเมื่อพบว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชดังกล่าวมีผลการศึกษาและข้อมูลหลักฐานว่าเกิดพิษภัยต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม

 

ปัจจุบันสารเคมีอันตรายทั้ง 4 ชนิด ถูกจัดให้อยู่ใน ‘บัญชีวัตถุอันตรายที่กรมวิชาการเกษตรเฝ้าระวัง’ เท่านั้น แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อยกเลิกการใช้สารเคมีอันตรายดังกล่าว ทั้งที่นานาประเทศได้กำหนดให้เป็นสารเคมีต้องห้ามแล้ว

 

ทั้งหมดทั้งมวลนี้มีข้อสังเกตหนึ่งว่า เหตุที่ไทยไม่สามารถยกเลิกสารเคมีทั้ง 4 ชนิดได้ เป็นเพราะมีเงื่อนงำ ‘ผลประโยชน์ทับซ้อน’ อยู่เบื้องหลังหรือไม่

 

 

 

 

*********************************************

 

 

 

 

 

 

ไม่รู้แบ่งกันยังไง แต่ข่าววงในบอกว่า สินจัยได้หนึ่งเรื่อง กันตนาได้หนึ่งเรื่อง อีกสิบเรื่องรอเช็คอยู่

ท่าทางต้องแย่งกันแน่ๆ หนังคนดีนี่มันดีจริมๆ....................................... (ᗒᗜᗕ)՛̵̖

 

 

 

 

ปปช. จำหน่ายคดีถอดถอน สส.310 คน ด้วย รธน50 สิ้นสุดลง

 
 
 
ทั้งนี้ ก่อนเริ่มประชุมนายพรเพชรแจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า ประธานป.ป.ช.ได้ทำหนังสือถึง สนช.2 ฉบับคือ

1.รายงานการไต่สวนกรณีการถอดถอนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกจากตำแหน่ง กรณีมีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญปี 2550 จากกรณีใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อพ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 ซึ่งพบว่า การกระทำของนายกิตติรัตน์ฟังไม่ได้ว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงให้ข้อกล่าวหาตกไป

2.กรณีขอให้ถอดถอนอดีต ส.ส.จำนวน 310 คน ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญปี 2550 กรณีร่วมลงคะแนนเห็นชอบร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผู้กระทำผิดในการชุมนุมทางการเมือง ในวาระ 3 ซึ่ง ป.ป.ช.เห็นว่า เมื่อรัฐธรรมนูญปี 2550 สิ้นสุดลงแล้ว จึงไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นมูลฐานการพิจารณานำไปสู่การถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ จึงไม่มีเหตุที่จะดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงอีกต่อไป มีมติให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1418895496

 

 ถ้างั้นกรณีของประธานสมศักดิ์ และประธานนิคม ก็ต้องตกไปด้วย

เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนกัน และรัฐธรรมนูญ 2550 ก็สิ้นสุดลงแล้ว

 

ปปช....เริ่มเปิด แนวทาง สมานฉันท์ นิรโทษกรรม...ตอบสนอง คสช.แฟรงเก้น

 

 

 

 

 

 

รูปภาพของ Tisox Intax

 

 

 

ข้อเท็จจริงและประเด็นคำถาม: 

ข้อเท็จจริง
 เพื่อนบ้านของผู้ร้องส่งเสียงดังรบกวนในเวลากลางคืน ทำให้ผู้ร้องได้รับความเดือดร้อนรำคาญ
 
ประเด็นคำถาม
ผู้ร้องสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านั้นได้หรือไม่อย่างไร
 

ความเห็นและข้อเสนอแนะ: 

การให้คำปรึกษา
 ในทางแพ่ง
เพื่อนบ้าน หรือ ผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้ๆบ้านของผู้ร้องส่งเสียงดังรบกวนจนได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถพักผ่อนนอนหลับได้ตามปกติ เป็นการใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 คุ้มครองเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ เมื่อบุคคลใดใช้สิทธิของเขาให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เสียหาย หรือ เดือดร้อนเกินความคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุสมควร เมื่อเอาสภาพและตำแหน่งของอสังหาริมทรัพย์นั้นมาประกอบ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์มีสิทธิปฏิบัติการเพื่อยังความเดือดร้อนเสียหายให้สิ้นไป ทั้งนี้ไม่ลบล้างสิทธิในการได้รับค่าสินไหมทดแทน
ในกรณีที่ผู้ร้องไม่ทราบมาก่อนเลยว่า จะมีการส่งเสียงดังรบกวนจนได้รับความเดือดร้อนรำคาญ ก็สามารถขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการกระทำดังกล่าว หรือ อาจจะขอให้ศาลมีคำสั่งใดที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ได้ และ หากผู้ร้องได้รับความเสียหายแก่ร่างกายอนามัย หรือ สิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 แม้ว่าผู้ร้องได้ใช้สิทธิตามมาตรา 1337 ไปแล้ว ก็ยังมีสิทธิได้ค่าสินไหมทดแทนกรณีละเมิดได้ อย่างไรก็ดี หากเกิดขึ้นเป้นครั้งคราวไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ ผู้ร้องก็ยังไม่สามารถใช้สิทธิตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ได้ 

ในทางอาญา 
 สามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นเจ้าของพื้นที่รับผิดชอบ ดำเนินคดีอาญาได้ โดยความผิดดังกล่าวเป็นความผิดอาญา ลหุโทษ ฐานก่อให้เกิดเสียงอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควรจนทำให้ประชาชนตกใจ หรือ เดือดร้อน ต้องระวางโทษปรับ 100 บาท 

 

                            ประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์

 Topมาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่า ผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

                     ทำนายฝัน คำที่มีคนฝันมากที่สุด

 

 

1. ฟัน
หญิงชายใดฝัน ว่า ฟัน ตนหัก ถ้า ฟัน บน ทายว่าจะเสียญาติผู้ใหญ่ข้างฝ่ายบิดา ถ้า ฟัน ล่าง ทายว่า จะเสียญาติผู้ใหญ่ข้างมารดา ถ้า ฝัน ว่ามี ฟัน งอกขึ้นใหม่ ทายว่า จะมีคนมาขออาศัยในบ้าน ไม่ดีนัก
เลขเด็ด  ยังไม่เหมาะแก่การเสี่ยงโชค
2. งูรัด
ฝันว่า งูรัด หรือเลื้อยมาพันร่างกาย ทายว่า ถ้าเป็นคนโสด จะได้พบเนื้อคู่อย่างกระทันหัน ถ้า งูรัด ส่วนของของร่ายกาย เช่น งูรัด คอ รัดบั้นเอว จะได้เนื้อคู่ฐานะดี หรือมียศศักดิ์ ถ้า งูรัด ต่ำลงมาถึงขาทายว่าจะได้เนื้อคู่ศักดิ์ต่ำกว่า ที่แต่งงานแล้ว ถ้าในฝันนั้นได้จับลำตัวของงูด้วย จะได้ลาภเป็นบุตรหรือลาภลอยจากการเสี่ยงโชคใหญ่
เลขเด็ด  55, 66, 556, 559, 568
3. งูกัด
ฝันว่าถูก งูกัด ทายว่า เพศตรงข้ามจะคิดร้ายหรือได้รับเคราะห์จากเพื่อนบ้าน ถ้า งูกัด ต่ำก็เป็นเคราะห์เล็ก ถ้า งูกัด สูงจะได้รับเคราะห์หนัก หรือมิฉะนั้นจะเจ็บป่วยเพราะอุบัติเหตุในการเดินทาง ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เลขเด็ด 54, 64, 95, 864, 71, 178
4. เสื้อ
ฝันว่าได้สวม เสื้อ ผ้าใหม่ ทายว่า จะหมดเคราะห์หายจากโรค รับรองว่าไม่มีกรำกรายแน่นอน ถ้าฝันว่าได้ถอด เสื้อ ผ้าออกจากร่าง ว้าว...!! ทายว่าจะได้รับข่าวจากญาติพี่น้องทางไกลที่จากกันไปนาน ถ้าฝันว่า ได้รับ เสื้อ ผ้าจากคนนำมาให้ ทายว่า จะมีคนมาขออาศัยอยู่ในบ้าน(เอาอีกและ) และจะนำความเดือดร้อนมาสู่ ถ้าฝันว่าซัก เสื้อ ผ้า จะได้รับโชค ลาภ (งั้นรีบเอา เสื้อ มาซักกันเยอะดีก่า...อิอิ)
เลขเด็ด  05, 06, 506, 550, 556, 646
5. เลือด
 หญิงชายใดฝันเห็น เลือด นอง หรือ เลือด ออกตามร่างกายตน ทายว่า จะหมดเคราะห์ และจะได้รับข่าวดีจากทางไกล ถ้าฝันว่าได้กิน เลือด เนื้อสัตว์ ทายว่า จะได้ลาภจากการเสี่ยงหรือการพนัน
เลขเด็ด  76, 78, 275, 378, 786
6. หมากัด
หญิงชายใด ฝัน ว่าถูก สุนัขกัด หรือ หมากัด ทำนายว่าผู้ที่ถูก หมากัด จะเคราะห์ร้ายหรือได้รับเคราะห์จากศัตรู หรือจากคนใกล้ชิด ถ้า ฝัน ว่า สุนัข เข้ามาเลียแข้งขา ทายว่าศัตรูจะเข้ามาเป็นมิตร ที่ร้ายจะกลายเป็นดี ถ้าฝันว่าได้อุ้มลูกหมาขนปุยน่ารัก ทายว่า คนในบ้านต่ำอายุกว่าจะก่อความเดือดร้อนใจให้ภายหลัง
เลขเด็ด  41, 43, 334, 493, 944
7. บันได
หญิงชายใดฝันว่าได้ก้าวขึ้น บันได บันได เลื่อนสู่ที่สูง ทายว่า การที่คิดไว้จะสมหวัง ถ้าฝันว่าตกจาก บันได จะได้รับความเดือดร้อนภายในครอบครัว
เลขเด็ด  22, 44, 68, 220, 441, 681
8. ตาบอด
ถ้าฝันว่าตัวเอง ตาบอด  มองอะไรไม่เห็น  แปลว่า จะโชคดี จะสมปรารถนาในทุกสิ่งที่ต้องการในเวลาไม่นาน

        ถ้าฝันว่าได้พูดคุยกับคน ตาบอด แปลว่า ในครอบครัวจะมีปัญหาที่สร้างความไม่สบายใจ ไม่ไว้วางใจกันเกิดขึ้น
เลขเด็ด  ไม่ควรเสี่ยง
9. งานศพ
ฝันว่าได้ไปร่วมพิธีใน งานศพ หรือเห็นผู้คนพลุกพล่านใน งานศพ ทายว่า จะได้รับข่าวดีเกี่ยวกับหน้าที่การงาน หรือการค้าขาย ถ้าเป็นคดีความ จะได้ชัยชนะฝ่ายตรงข้าม
เลขเด็ด  47, 27, 48, 437, 427, 484
10. หญิง
ฝันเห็น หญิง แปลกหน้า หญิง ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทายว่าการงานการเงินของท่าน จะมีผู้ หญิง เข้ามาเกี่ยวข้องและเป็นไปในทางดี
 
เลขเด็ด  05, 06, 07, 256, 267, 507
11. ตาย
ฝันเห็นคน ตาย ทายว่า จะได้ลาภหรือหมดเคราะห์ ถ้าฝันว่าตนเอง ตาย จะหมดเคราะห์และจะได้ลาภติดตามมา
เลขเด็ด  07, 04, 407, 714

 

 

 

 

 

 

 

หลวงพ่อปากแดง16/12/57
หลวงพ่อปากแดง16/12/57

 


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เจ้าพ่อปากแดง
หวยเด็ด หลวงพ่อปากแดง 16/12/57 เลขเด็ดงวดนี้ หวยหลวงพ่อปากแดง 16 ธันวาคม 2557 มาแล้ว ไปดูกันเลย

หลวงพ่อปากแดง16/12/57

8

347

เด่น 4

746

40-04
43-34
47-74

รอง 8

586

82-26
86-68
89-98

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                        

 

ในที่สุดเรื่อง “คุกลับ” ที่สหรัฐอเมริกาใช้ปฏิบัติการทางการลับในประเทศไทย ก็กลับมาหลอกหลอน “คนไทย” อีกครั้ง คำถามถูกตั้งขึ้นมาทันทีว่า “คุกลับ” มีจริงหรือ???
       
       ซึ่งตามคิวแล้วคนในรัฐบาลก็ออกมาปฏิเสธตามสคริปต์ “สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ หรือ “ซีไอเอเมืองไทย” ก็ต้องออกมายืนยันว่า ไม่มีคุกลับ และไม่มีรายงานเรื่องการทรมานนักโทษในประเทศไทย โบ้ยไปว่าเป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ
       
       ที่ผ่านมา ข่าวที่เกี่ยวข้องกับ “คุกลับ” มักถูกเปิดเผยออกมาตามหน้า “สื่อมวลชน” โดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข่าวมานัก ทำให้น้ำหนักของข่าวเรื่องนี้มีน้อยและเลือนหายไปทุกๆ ครั้ง
       
       แต่ครั้งนี้เป็นการเปิดเผยรายละเอียดจาก “คณะกรรมาธิการมั่นคงและข่าวกรอง” ของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ทำให้ข่าว “คุกลับ” ในประเทศไทยดูมีน้ำหนักขึ้นมาทันที แต่สาเหตุหลักที่มีการแฉกันออกมาในครั้งนี้ หนีไม่พ้นเหตุผลทางการเมืองของสองพรรคการเมืองใน “เมืองมะกัน” เอง
       
       เพราะขณะนี้คะแนนนิยมของ “บารัค โอบามา” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตลดน้อยถอยลงมาก เพราะอเมริกาชนไม่พอใจนโยบายการบริหารของ “มิสเตอร์ Change” ที่นับวันเศรษฐกิจยิ่งถดถอย
       
       แถมคะแนนนิยมในตัว “โอบามา” ที่ลดลง ยังส่งผลให้คะแนนนิยมของ “เดโมแครต” ลดลงเหมือนกัน ศึกนี้ยอมกันไม่ได้เพราะจะมีการเลือกตั้ง “ประธานาธิบดีสหรัฐฯ” คนใหม่ในอีก 2 ปีข้างหน้า หากปล่อยให้คะแนนนิยมดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆ มีหวัง “เดโมแครต” แพ้ตั้งแต่ไก่โห่
       
       มุกเดิมของ “เดโมแครต” คือ การปลุกความรักชาติ ปลุกกลุ่มเกลียดความรุนแรงขึ้นมาให้ต่อต้าน “รีพับรีกัน” เพราะภาพของ “จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นยี่ห้อเรื่องความรุนแรงอยู่แล้ว
       
       โดย “ไดแอน ไพน์สไตน์” วุฒิสภาสหรัฐฯ ลูกน้องคนสนิทของ “โอบามา" เป็นคนเผยแพร่รายงานกระบวนการสอบปากคำของสำนักงานสอบสวนกลาง (ซีไอเอ) มาเปิดเผย โดยระบุว่าเหตุการณ์ 9/11 ที่กลุ่มอัลกออิดะห์จี้ครื่องบิน พุ่งชนตึกแฝด “เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์” กลางกรุงนิวยอร์ก ทำให้ประชาชนเสียชีวิตกว่า 3,000 คน ซึ่งในขณะนั้น “จอร์จ ดับเบิลยู บุช” จากพรรครีพับรีกัน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้ “จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช” ต้องการกวาดล้าง “กลุ่มอัลกออิดะห์”
       
       ในรายงานสรุปที่ “เดโมแครต” นำออกมาเปิดเผยระบุว่า “ซีไอเอ ได้ใช้ไทยเป็นคุกลับในการเริ่มต้นกระบวนการสอบปากคำแบบพิเศษกับนักโทษอัลกออิดะห์รายแรกชื่อ อาบู ซูไบดา”
       
       นอกจากนี้ “วอชิงตัน โพสต์” ระบุถึงไทยในฐานะที่ถูกใช้เป็น “คุกลับ” ว่า “ซูไบดา นักโทษคนแรกของซีไอเอ ถูกจับกุมขณะที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในตอนเริ่มแรกถูกขังในเดือนมีนาคม 2002 ที่ปากีสถาน และหลังจากนั้นซีไอเอ ย้านแกนนำระดับสูงของอัลกอร์ดิดะห์มายังประเทศไทย ซึ่งให้รหัสคุกลับของไทยว่าไซต์กรีน”
       
       นอกจากนี้ “เดโมแครต” ยังมองไปไกลย้อนอดีตให้เห็นกันว่า “จอร์จ บุช” ผู้เป็นพ่อของ “จอร์จ ดับเบิลยู บุช” เคยเป็นหัวหน้าซีไอเอมาก่อน และยังเป็นหัวหน้าขบวนการ New World Order อีกด้วย
       
       “เดโมแครต” พยายามเชื่อมโยงทุกอย่างให้ “ชาวมะกัน” เห็นภาพว่า ที่แท้จริงแล้ว “รีพับรีกัน” ชั่วร้ายขนาดไหน นิยมความรุนแรงมากเพียงใด เพื่อลดความผิดพลาดการบริหารงานของ “เดโมแครต” ในสายตา “ชาวมะกัน” ทิ้งไปเสีย
       
       แต่ “ผลร้าย” กลับมาอยู่ที่ประเทศไทยที่ไม่รู้อีโน่อีเหน่ เพราะการเปิดเผยข้อมูลเชิงลับแบบนี้
       
       เด้งแรกกระทบต่อภาพลักษณ์ “ประเทศไทย” ในสายตาชาวโลกอย่างแน่นอน ชนิดไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย แถมยังปรากฎเป็นหลักฐานไว้ดูต่างอีกด้วย แก้ตัวยังไง “ชาวโลก” คงไม่เชื่อ
       
       เด้งสองกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทยเช่นกัน “สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ” ประจำประเทศไทย รวมทั้งสถานกงสุลสหรัฐฯ ในจังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกมาเตือนชาวอเมริกันให้ระวังตัว อาจพบกับเหตุรุนแรงได้
       
       เด้งสามไทยตกเป็นเป้าหมายของ “กลุ่มผู้ก่อการร้ายสากล” ไปโดยปริยาย เพราะบรรดากลุ่มก่อการร้ายคงติดภาพจำของไทยในแง่ลบเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจจะเกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นในประเทศไทยได้ เพราะกลุ่มก่อการร้ายมักจะเอาคืนประเทศในเครือมิตรประเทศของ “มะกัน” อยู่บ่อยครั้ง
       
       เรียกได้ว่า “ประเทศไทย” ชั่วโมงนี้มีแต่ลบ ไม่มีบวกเลย งานเข้า “หน่วยงานความมั่นคง” ภายใต้การนำของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี เข้าอย่างจังเบ่อเร่อ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลยกลับต้องเป็นหนังหน้าไฟให้คนอื่น
       
       ตามข้อมูลของ “หน่วยงานความมั่นคง” ของไทยแล้ว “คุกลับ” ของอเมริกามีจริง โดยอยู่ในพื้นที่ที่มหามิตรตะวันตกใช้เป็นฐานต่อสู้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการระบุพิกัดว่าน่าจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจาก กทม. มากนัก เพราะจะสะดวกในการขนย้าย “ผู้ก่อการร้าย” ที่ถูกควบคุมตัวได้
       
       รายงานล่าสุดพบว่า หากทางการไทยจับ “ผู้ต้องสงสัย” ว่าจะเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นแหล่งกบดาน เพื่อไปยังประเทศเป้าหมาย จะเร่งส่งตัวให้ทางการสหรัฐฯทันที และนำตัวออกนอกประเทศทันที เพื่อป้องกันอันตราย
       
       ดังนั้น จึงฟันธงได้เลยว่านัยยะของการขุดเรื่อง “คุกลับ” เพื่อทรมาน “อาบู ซูไบดา” นักโทษกลุ่มอัลกออิดะห์ จึงเป็นเรื่องการเมืองภายในสหรัฐฯล้วนๆ
       
       ส่วน “บิ๊กตู่” จะแก้เกมสร้างความน่าเชื่อถือได้รวดเร็วและมากน้อยแค่ไหนต้องติดตาม

 

 


เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็รู้จักไม้พะยูงกันทั้งนั้น เหตุผลที่ต้องสันนิษฐานไว้อย่างนี้ ก็เป็นเพราะข่าวภูมิภาคที่เราๆท่านๆอ่านและฟังจากโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ หรือช่องทางเข้าถึงข่าวสารใดๆก็ตาม ที่นำเสนอเรื่องราวการจับไม้พะยูงกันจนเป็นเรื่องปกติรายวันนั่นเอง

แต่ก็เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้ว่าประโยชน์ของไม้พะยูงคืออะไร??  ทำไมคนมันถึงต้องลักลอบเข้าไปตัดกันถึงในเขตอุทยานเเห่งชาติไม่เกรงกลัวคุกกลัวตะราง  บางคนลักลอบไปตัดในพื้นที่วัด ไม่กลัวบาปกลัวกรรม   หนักกว่านั้น คือความพยายามในการขนไม้พะยูง ซึ่งข่าวบางข่าวอ่านแล้วก็แทบขำ เพราะผู้ต้องหาต้องพยายามหลบซ่อนสายตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อไม้ให้ถูกจับได้ 

เช่นที่เคยเห็นและเป็นข่าว ก็เช่นการใช้รถโฟล์คสวาเกน รถตู้ยี่ห้อหรูที่ระดับนายกรัฐมนตรีใช้ ในการไปขนไม้พะยูง หรือบางคนใช้รถเก๋งส่วนบุคคล ด้วยพื้นที่อันน้อยนิด ก็ก็ยังกล้าลงทุนยอมใช้ขนไม้พะยูง บางคนลงทุนใช้รถตำรวจ-ทหาร ปลอมไปขนก็มี...

 



เรื่องนี้น่าสนใจว่า ตกลงแล้วไม้พะยูงมันสำคัญยังไง ทำไมรอบตัวเราไม่เห็นจะมีใครใช้ไม้พะยูงไปทำอะไรเลย?

ผู้เขียนลงค้นหาประโยชน์ของไม้พะยูงในกูเกิ้ลก็ต้องดีใจ ที่พบเพื่อนเป็นจำนวนมาก หลายคนต้องเอาความสงสัยไปตั้งตามเว็บบอร์ดต่างๆ โดยเฉพาะ เว็บไซต์พันทิป ที่ต่างก็ถามกันว่าไม้พะยูงที่เห็นในข่าวบ่อยๆนี่ ตกลงมันมีประโยชน์อะไรกันแน่

ผู้เขียนติดต่อสอบถามไปยัง นายดำรงค์ พิเดช ที่ปรึกษาฝ่ายสังคมจิตวิทยา ในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  และตำแหน่งปัจจุบันคือสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ  ที่สำคัญคือเคยเป็น อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่เคยต่อสู้เรื่องป่าไม้ และสิ่งเเวดล้อมมานาน

เมื่อถามไปสั้นๆง่ายว่า ทำไมจึงมีข่าวคนร้ายขนไม้พะยูงลักลอบไปขายบ่อยนัก มันสำคัญยังไง? นายดำรง ตอบกลับมาทันทีว่า เพราะมันแพงไง!! โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า

ราคาไม้พะยูงในเมืองไทยมันไม่เเพงหรอก แต่ปัญหาคือการรับซื้อเมื่อส่งออกไปเมืองนอกมันเเพงมาก โดยเฉพาะการส่งออกไปประเทศจีน

"ราคาในเมืองไทยมันไม่แพงหรอก   แต่ถ้าส่งออกไปต่างประเทศเนี่ย แต่ก่อนเขาขายกันเป็นคิว คิวละ 3 - 4 แสน แต่ปัจจุบัน เศษเล็กเศษน้อยเขาก็ขายกัน  เขาขายกันเป็นกิโลกรัมแล้ว กิโลนึงนี่ประมาณ 3,000" นายดำรงค์กล่าว
 


นายดำรงค์เล่าเพิ่มเติมอีกว่า  ทั้งนี้เหตุที่ประเทศจีนมีการรับซื้อไม้ชนิดนี้เยอะ เริ่มจากการนำเข้าไม้ชนิดนี้ไปซ่อมแซมพระราชวังต้องห้าม  ในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปี 2551 ซึ่งช่างที่ซ่อมพบว่าไม้ส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ (เช่น เก้าอี้ โต๊ะต่างๆ) ล้วนทำมาจากไม้พะยูง และยังมีสภาพสมบูรณ์ดีมาก ทั้งๆ ที่ผ่านมานานหลายร้อยปี จึงเกิดการเล่าขานและเป็นกระเเสในเมืองจีน ทำให้คนรวยๆ ซึ่งเกิดขึ้นจำนวนมากตามการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีน ต้องการนำมันมาประดับบารมี เช่นการนำไปสลักมังกร หรือแม้กระทั่งการนำไปทำโรงศพของมหาเศรษฐี

ต่อมาก็มีความนิยมนำไม้พะยูงไปแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ แต่ระยะหลังไม้พะยูงมีราคาพุ่งสูงขึ้นมาก  ทางนายทุนจึงหันมาทำเป็นวัตถุมงคล พระ หรือแกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ที่นำไปประดับบารมีคนรวย และเคารพบูชา 

ต่างกับประเทศไทยที่เชื่อว่าไม้พะยูงเป็นของสูง ผู้ที่มีบารมีไม่ถึงไม่สมควรเอามาใช้ เพราะจะมีปัญหาภายหลัง (ยกเว้นเอามาทำเป็นหิ้งพระ) ด้วยเหตุนี้คนไทยจึงไม่นิยมนำไม้พะยูงมาทำเป็นไม้กระดาน บันไดบ้าน และเตียงนอน ใช้เพียงแต่ทำรั้วบ้านเท่านั้น
 

ความคิดเห็น

วันที่: Sat Apr 20 08:16:47 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>