Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

สมเด็จพระพี่นางทรงพระกรรเเสง วังหลวง-วังหน้า ประจัญหน้าจะเกิดศึกสงคราม!!

ArjanPong | 22-02-2562 | เปิดดู 1224 | ความคิดเห็น 0

 

          

  สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี (พ.ศ. 2272 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2342)

  มีพระนามเดิมว่า สา เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ประสูติแต่

  พระอัครชายา (หยก) ในสมัยอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระโสทรเชษฐภคินีพระองค์ใหญ่ใน

  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงทำให้นับเป็นพระกุลเชษฐ์พระองค์แรก

  ในราชวงศ์จักรี

 

          

  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล สมเด็จพระอนุชาธิราช

 

          

  เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระนามเดิมว่า แก้ว ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้สมรสกับ เจ้าขรัว

  หรือ เจ้าสัว เงิน แซ่ตัน เศรษฐีเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบุตรคนที่ ๔ ของ

  เชื้อสายมหาเสนาบดีแห่งกรุงปักกิ่งคนหนึ่ง ที่หนีมาอยู่เมืองไทยเมื่อราชวงศ์หมิงได้พ่ายแพ้แก่

  ราชวงศ์แมนจู พวกแมนจูบังคับให้คนจีนตัดผมมวยไปไว้ผมเปีย บิดาของเจ้าขรัวเงินไม่ยอมตัด

  จึงหนีมา และได้สมรสกับหญิงไทยตระกูลสูงศักดิ์

 

            

                   การแข่งเรือในปี พ.ศ.๒๔๔๙

 

สมเด็จพระพี่นางทรงพระกรรเเสง
วังหลวง-วังหน้า ประจัญหน้าจะเกิดศึกสงคราม!!
www.arjanpong.com
#ร1 #กรมพระราชวังบวร #กรุงเทพ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล สมเด็จพระอนุชาธิราชนั้น ได้ร่วมกรำศึกกันมาอย่างโชกโชนตั้งแต่สมัยรัชกาลพระเจ้าตากสินมหาราช จนปราบดาภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมา แต่ครั้งหนึ่งก็ทรงบาดหมางพระทัยกันอันเนื่องจากเหตุเล็กๆ คือการแข่งเรือ และขุนนางผู้สอพลอได้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

ในการแข่งเรือตามประเพณีในปี พ.ศ. ๒๓๓๙ นั้น จะมีเรือคู่เอกคือเรือ “ตองปลิว” ของวังหลวง และเรือ “มังกร” ของวังหน้าลงแข่ง แต่ระหว่างการซ้อมก่อนการแข่งขัน สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ ได้จัดฝีพายสำรองลงซ้อมแทน ส่วนฝีพายชุดจริงที่แข็งกว่าซ่อนเอาไว้ลงวันจริง เผอิญข้าราชการวังหลวงไปสืบรู้เรื่องนี้เข้า จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูล พระเจ้าอยู่หัวจึงดำรัสว่า เล่นดังนี้จะเล่นด้วยที่ไหนได้ ให้เลิกการแข่งขันเรือไปเลย ทำให้กรมพระราชวังบวรฯหมางพระทัยไม่ได้เข้าเฝ้าเลยเป็นเวลาประมาณ ๒ เดือน

ครั้นวันอาทิตย์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๐ ค่ำ สมเด็จพระอนุชาจึงมาเฝ้ากราบบังคมทูลว่า เงินที่พระราชทานให้ปีละ ๑,๐๐๐ ชั่งนั้นไม่พอแจกเบี้ยหวัดข้าราชการในวังหน้า จะขอรับพระราชทานเงินเพิ่มอีกให้พอแจกจ่ายกัน พระเจ้าอยู่หัวจึงดำรัสว่า เงินเก็บมาได้แต่ส่วยสาอากรก็พอใช้ทำนุบำรุงแผ่นดิน เหลือจึงได้เอามาแจกเบี้ยหวัดก็ไม่ใคร่พอ ต้องเอาเงินกำไรจากการค้าสำเภามาเพิ่มเติมอีก กรมพระราชวังบวรฯไม่ได้ตามที่ขอก็ขัดเคือง มิได้เข้าเฝ้าอีกเลย

ฝ่ายพระยาเกษตร (บุญรอด) ข้าราชการวังหน้าเห็นเจ้านายทรงขัดเคืองวังหลวง ก็เกณฑ์คนเอาปืนขึ้นประจำป้อม และตระเตรียมอาวุธตั้งกองนอนระวัง เตรียมพร้อม

ส่วนพระยารัตนาพิพิธ ฝ่ายวังหลวง สืบรู้ว่าฝ่ายวังหน้าจัดเตรียมการเป็นสงคราม จึงกราบทูลขอรักษาพระราชวังให้มั่นคงแข็งแรง เกณฑ์คนรักษาหน้าที่และเอาปืนขึ้นป้อมบ้าง

วังหลวงกับวังหน้าจึงตั้งกองกำลังประจันหน้ากันเกือบจะเกิดสงคราม
ความทราบถึง สมเด็จพระพี่นางทั้ง ๒ พระองค์ คือสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี กับ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ จึงเสด็จไปวังหน้าและทรงพระกันแสง ตรัสประเล้าประโลมให้นึกถึงความเก่าๆแต่ครั้งตกทุกข์ได้ยากมา จนได้ราชสมบัติ สมเด็จพระอนุชาก็มีพระทัยลดหย่อนอ่อนลงสิ้นความพิโรธ สมเด็จพระพี่นางทั้ง ๒ จึงเชิญเสด็จกรมพระราชวังบวรฯเข้าวังหลวงในวันนั้น จากนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับกรมพระราชวังบวรฯก็เป็นปกติกันต่อมา....

Credit : อ.โรม บุนนาค

ความคิดเห็น

วันที่: Mon May 20 18:23:20 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>