Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2019-03-27 12:38:58.0     Forum: ข่าว  >  กบฏหมอเหล็ง!!

 

 

          

                    ล้นเกล้า ร.6 กับกองกำลังเสือป่ารักษาพระองค์

 

          

                       ล้นเกล้า ร.6 กับ"ย่าเหล"สุนัขทรงเลี้ยง

 

          

กบฏ ร.ศ. 130 เกิดขึ้นก่อนการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 นานถึง 24 ปี

โดยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2455 (ร.ศ. 130) เมื่อนายทหาร

และปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง วางแผนปฏิบัติการโดยหมายให้พระมหากษัตริย์ทรง

พระราชทานรัฐธรรมนูญให้ และเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย

แต่แผนการแตกเสียก่อน

 

          

             ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (หมอเหล็ง ศรีจันทร์) เป็นหัวหน้าผู้ก่อการ

 

...เรื่องเก่าเล่าตำนาน...
กบฏหมอเหล็ง!!
www.arjanpong.com
#กบฏ #หมอเหล็ง #เสือป่า
โดยเหตุที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงสนพระทัยฝักใฝ่ในการฝึกกองเสือป่าเป็นอย่างมากทำให้นายทหารหนุ่มกลุ่มหนึ่งเรียกกันว่ากลุ่มยังเตอร์กไม่พอใจและก่อการปฏิวัติขึ้น หลังจากการครองราชย์เพียง 1 ปีที่เรียกว่า “การปฏิวัติ ร.ศ.130”

จหมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) ได้เขียนรายละเอียดเรื่องนี้ไว้โดยอ้างอิงจากหนังสือ “หอมเหล็งรำลึก” ซึ่งเป็นหนังสือแจกในงานศพของ หมอเหล็ง ศรีจันทร์ หรือ ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ หัวหน้าคณะปฏิวัติในขณะนั้น รวบรวมโดยคณะผู้ร่วมก่อการหนุ่มหรือยังเติร์ก เช่น ร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์ ร.ต.เนตร์ พูนวิวัฒน์ ร.ต.จรูญ ษะตะเมศ ฯลฯ พูนวิวัฒน์ ร.ต.จรูญ ษะตะเมศ ฯลฯ

“คณะผู้ก่อการได้มีการประชุมกันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2454 ที่ศาลาพักร้อน บ้านหมอเหล็ง ศรีจันทร์ ถนนสาธร ต่อจากนั้นได้มีการประชุมครั้งที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ตามมา จนกระทั่งกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2454 ได้ย้ายไปประชุมในสวนของนายอุทัย เทพหัสดิน อีกหลายครั้ง วางแผนจะลงมือในวันที่ 3 เมษายน อันเป็นวันถือน้ำพิพัฒน์สัตยาภายในอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยหัวหน้าคณะปฏิวัติจะเป็นผู้ถวายหนังสือต่อพระเจ้าอยู่หัวอย่างละมุนละม่อม เพราะทหารในที่นั้นรวมทั้งทหารกองเกียรติยศและทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จะคอยฟังคำสั่งหัวหน้าคณะปฏิวัติแต่ผู้เดียว

การประชุมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ณ สำนักงานทนายความ ร.ท.จรูญ ได้เชิญสมาชิกใหม่ คือหลวงสินาดโยธารักษ์ (ยุทธ) มาร่วมด้วย เมื่อหลวงสินาดโยธารักษ์เดินเฉียดน้ำยาอุทัยที่ตั้งไว้ตอนรับแขกโดยมิได้กระทบประการใด แล้วน้ำใบนั้นก็แตกโพละ ขาดเป็นกลางออกสองท่อนคล้ายถูกตัด น้ำสีชมพูไหลเลอะพื้นกระดาน ทุกคนตะลึกงันคล้ายเป็นลางร้อย

ทันใดนั้น ร.ท.จือ ผู้วางแผนการคนหนึ่งก็รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหยิบแก้วที่แตกท่อนบนซึ่งขาดคาอยู่ยกชูขึ้นท่ามกลางที่ประชุมพร้อมกับพูดด้วยภาษาอังกฤษด้วยเสียงดังว่า “Here’s Absolute Monarchy” สองสามครั้ง ทำให้ที่ประชุมปรบมือด้วยการสรวลเสเฮฮากันขึ้นเพื่อเป็นการปลุกขวัญ

ก่อนปิดประชุม หลวงสินาดโยธารักษ์ได้ยืนขึ้นกล่าวขอลาไปรับตำแหน่งที่จังหวัดพิษณุโลกตามค่ำสังของกระทรวงกลาโหม ขอรับคำมั่นสัญญาออกไปเกลี้ยกล่อมทหารในมณฑลนั้น

แต่ปรากฏว่าเมื่อหลวงสินนาดฯ ออกจากที่ประชุมไปแล้วได้ตรงไปเฝ้ากราบทูลเรื่องราวต่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานาถทันที พระองค์ท่านจับรถไฟด่วนพิเศษออกไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม ในเย็นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ แล้วเสด็จกลับในวันนั้น ทำให้เสือป่าที่นั่นพากันสงสัยว่าพระเจ้าน้องยาเธอฯ มีเรื่องด่วนมาเฝ้าด้วยเรื่องใด

วันรุ่งขึ้น ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ฯ เสนาธิการทหารบก ซึ่งทำการแทนเสนาบดีกระทรวงกลาโหม (เพราะเสด็จในกรมฯ) กรมหลวงนครไชยศรีฯ ทรงพระประชวรพระโรคภายใน และเสด็จไปรักษาพระองค์ ณ ประเทศยุโรป) ได้ออกคำสั่งลับเฉพาะด่วนมากเรียกประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ชั้นผู้บังคับกรมขึ้นไป ณ กระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นห้องประชุมใหญ่หน้าห้องเสนาบดี ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ฯ ทรงเป็นประธานดำเนินการประชุมเอง ประตูห้องทุกบานปิดลงกลอนสนิท

แต่ถึงกระนั้น ชาวคณะปฏิวัติ ร.ศ.130 ก็แอบจับเค้าเรื่องการประชุมได้ โดย ร.ท.เจือ ควกุล นายทหารเสนาธิการประจำกองทัพที่ 1 รู้สึกผิดสังเกตเมื่อแอบดูทางรูกุญแจห้องก็เห็นแต่องค์ประธานรับสั่งไม่หยุด ทรงลุกตรงไปยังแผนที่ ถอนธงที่ปักบนแผนที่ย้ายไปย้ายมาพร้อมกับรับสั่งไปพลาง ทีแรกเข้าใจว่าคงจะเป็นเพราะพวกจีนสไตรค์ดังที่เคยเกิดเมื่อ ร.ศ.129 แต่เหตุใดจึงต้องใช้กำลังทหาร จึงตัดสินใจผละกลับไปยังห้องทำงานรีบเปิดตู้นิรภัยที่เก็บหนังสือลับนำเอาแผนการปฏิวัติและหลักฐานทั้งหมดออกมาฉีกทำลายทิ้งตระกร้าผงอย่ารีบร้อน

เมื่อเลิกประชุม 11 นาฬิกานายทหารผู้ใหญ่ที่ประชุมอยู่ก็โผล่เข้ามาในห้องโดยปุบปับ ตรงเข้าจะรวบตัว ร.ท.จือ ร.ท.จือ ก็สายฟ้าแลบพอดู ยัดหนังสือลับชิ้นสำคัญฉบับสุดท้ายเข้าปากโผออกทางหน้าต่างพอตัวหลุดไปได้ครึ่งเอาก็ถูกรวบเอาเข้าไว้แน่น และลากถูลู่ถูกังเข้ามาในห้อง แต่หนังสือลับฉบับนี้ได้ไหลลงไปอยู่ในกระเพาะเสียแล้ว

ผู้ก่อการทั้งหมดถูกจับกุมและศาลทหารได้พิจารณาแล้วเห็นสมควรต้องโทษทั้งหมด 11 คน โทษชั้น 1 ให้ประหาร 3 คน ได้แก่ ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) ร.ท.จรูญ ณ บางช้าง และ ร.ท.จือ ศิลาอาสน์ (ควกุล), โทษชั้น 2 ให้จำคุกตลอดชีวิต 20 คน, โทษชั้น 3 ให้จำคุก 20 ปี 32 คน, โทษชั้น 4 ให้จำคุก 15 ปี 6 คน, โทษชั้น 5 ให้จำคุก 12 ปี 30 คน

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงมีพระเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ ได้พระราชทานชีวิตคนทั้ง 3 ไว้ โดยพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยอันน่าชื่นใจว่า

“เห็นว่า กรรมการพิเศษลงโทษพวกเหล่านี้ ชอบด้วยพระราชทานกำหนดกฏหมายทุกประการแล้วแต่ว่าความผิดชอบของพวกเหล่านี้มีข้อสำคัญที่จะกระทำร้ายต่อตัวเราเรามิได้มีจิตพยาบาทคาดร้ายต่อพวกนี้ เห็นควรที่จะลดหย่อนผ่อนโทษโดยฐานกรุณา ซึ่งเป็นอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินจะยกให้ได้”

(พระปรมาภิไธย)

โดยเหตุนี้ โทษประหารชีวตคงลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต โทษตลอดชีวิตลดลงเหลือ 20 ปี นอกนั้นให้รอการลงอาญา

ครั้นต่อมาเมื่อเสร็จลงครามโลกครั้งที่ 1 ได้พระราชทานอภัยโทษนักโทษเหล่านี้ลงจนเหลือเล็กน้อย และเมื่อเสวยราชย์ครบ 15 ปี คือเมื่อ 11 พ.ย.2467 ก็พระราชทานอภัยโทษทั่วกันหมดทุกคนท่านเหล่านี้เทิดทูลน้ำพระราชหฤทัยของพระองค์ไว้อย่างสูงสุด

ข้อความข้างต้นได้มาจากหนังสือ “หมอเหล็กรำลึก” ที่แจกในงานศพของหมอเหล็งฯ ซึ่งเป็นความรู้สึกสำนึกของผู้กระทำผิดเองที่ตระหนักถึงน้ำพระทัยของ ร.6 ที่ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรมโดยแท้ในข้อ อกโกธํ คือไม่ทรงถือโกรธ เอกสารบางแห่งกล่าวว่าคณะผู้ก่อการฯ มีแผนจะดำเนินการครั้งนี้โดยการนองเลือดโดยจะปลงพระชนม์ขณะรถพระที่นั่งมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อเสด็จกลับจากการซ้อมรบของเสือป่า ณ พระราชวังสนามจันทร์หลวงสินาดฯ ผู้นี้เป็นผู้ที่จับสลากได้ให้เป็นผู้ปลงพระชนม์แล้วกลับใจหลังจากนั้นได้ถูกส่งไปศึกษาวิชาทหารต่อในฝรั่งเศส กลับมารับราชการมีความตีความชอบโดยลำดับบรรดาศักดิ์สุดท้ายเป็นนายพันเอกพระยากำแพงรามภักดี....

Credit : http://crem-supawadee.blogspot.com/2010/07/130.html?m=1

 

guest

Post : 2019-03-26 13:13:45.0     Forum: ข่าว  >  นักรบที่ถูกลืม!!"เจ้าขุนเณร"วีรบุรุษสงคราม 9 ทัพ!!

 

 

          

หอรบในอนุสรณ์สถานสงคราม ๙ ทัพ ที่สมรภูมิทุ่งลาดหญ้า กาญจนบุรี

 

          

ปี พ.ศ. ๒๓๒๘ หลังจากพระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่า ยกกองกำลังเข้ามาตีไทย โดยมี

จุดประสงค์ที่จะทำสงครามเพื่อทำลายกรุงรัตนโกสินทร์ให้พินาศย่อยยับเหมือนเช่

กรุงศรีอยุธยา สงครามครั้งนี้พระเจ้าปดุงได้ยกทัพมาถึง ๙ กองทัพ รวมกำลังพล

มากถึง ๑๔๔,๐๐๐ คน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เสด็จเป็นจอมทัพ

ถือพลจำนวน ๓๐,๐๐๐ ไปตั้งรับพม่าที่เมืองกาญจนบุรี (เก่า) คอยต่อสู้กองทัพ

พระเจ้าปะดงที่จะยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์

 

          

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ก็ตรัสสั่งให้กองทัพไทยเข้าระดมตีค่ายพม่า

พร้อมกันทุกค่ายในเวลาเดียวกัน

 

          

พระองค์เจ้าขุนเณร ซึ่งเป็นนายทัพกองโจร ได้นำกำลังเข้าบดขยี้ จนกองทัพพม่าเเตกพ่าย

ยอมเเพ้ทิ้งค่ายอย่างไม่มีทางสู้.

 

...เรื่องเก่าเล่าตำนาน...
นักรบที่ถูกลืม!!"เจ้าขุนเณร"วีรบุรุษสงคราม 9 ทัพ!!
www.arjanpong.com
#เจ้าขุนเณร #สงครามเก้าทัพ #ทุ่งลาดหญ้า
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าขุนเณร เป็นพระโอรสบุญธรรมใน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมพระยาเทพสุดาวดี พระภคินีเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นเจ้านายนอกพระราชวงศ์จักรี

พระองค์เจ้าขุนเณรทรงปฏิบัติการรบในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งพระภารกิจและวีรกรรมของพระองค์เจ้าขุนเณรในการรบที่สำคัญ ต่างๆมากมาย เช่น เหตุการณ์ในการทำสงครามกับพม่า ที่เรียกว่าสงครามเก้าทัพ ณ เมืองกาญจนบุรี ในปี พ.ศ. 2328 ในแผ่นดินสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

พระองค์เจ้าขุนเณรได้รับหน้าที่เฉพาะกิจโดย กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหัวหน้ากองโจร คอยทำลายกองกำลังของพม่า ตัดกำลัง แย่งชิงเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์ของพม่า รบกวน รังควานแย่งชิง ทำลายกองเกวียนกองช้างกองม้าที่นำเสบียงมาจากเมืองเมาะตะมะ เมืองทวาย และตะนาวศรี นำกำลังเข้าไปทางบก และทางน้ำแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ตั้งของข้าศึก และอาศัยภูมิประเทศ เหตุการณ์ดินฟ้าอากาศในขณะนั้น จู่โจม โจมตีทำลาย และจับกุมกำลังทหารของพม่า ทำให้ข้าศึกพะวักพะวน ต้องดึงกำลังมารักษาพื้นที่ส่วนหลังมากขึ้น เป็นการทำลายขวัญของพม่าให้ลดถอยในการสู้รบ

พระองค์เจ้าขุนเณรใช้กองทัพนินจาที่พระองค์ทรงฝึกเองเพียง 1,800 คนเท่านั้น ที่จะต้องยันกองทัพพม่า ที่ยกมาเป็นจำนวนนับแสน ซึ่งในการปฏิบัติงานสำคัญ เป็นภารกิจเสี่ยงต่อภัยอันตรายตลอดเวลา ยากที่กำลังพลปกติทั่วไปจะกระทำได้สำเร็จ

ครั้นถึง ณ วันศุกร์ เดือน 3 แรม 4 ค่ำ ปีมะเส็ง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ก็ตรัสสั่งให้กองทัพไทยเข้าระดมตีค่ายพม่าพร้อมกันทุกค่ายในเวลาเดียวกัน พม่าก็แตกฉาน ทั้งกองทัพที่ 4 และ กองทัพที่ 5 ไทยได้ค่ายหมดทุกค่าย ฆ่าฟันล้มตายเสียเป็นจำนวนมาก ที่เหลือตายก็แตกหนีไป กองทัพนินจาของพระองค์เจ้าขุนเณรก็ซ้ำเติม ฆ่าฟันพม่า และจับส่งมาถวายอีกหลายพันคน

ครั้นพระเจ้าปะดุงทรงทราบว่ากองทัพหน้าแตกกลับไปก็เห็นว่าจะทำการสู้รบต่อไปไม่สำเร็จ จึงสั่งให้เลิกทัพออกไปเมืองเมาะตะมะอย่างรวดเร็ว

สงครามที่ทุ่งลาดหญ้าคราวนี้ไทยกับพม่าสู้รบขับเคี่ยวกันมาเป็นเวลาประมาณสองเดือนเศษ ผลของสงครามนั้นก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพม่าเป็นฝ่ายปราชัยอย่างยับเยิน และการประสบชัยชนะอย่างงดงามของกองทัพไทยนั้น ก็เป็นผลเนื่องมาจากความเข้มแข็งความห้าวหาญเด็ดเดี่ยวและความมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบปฏิภาณในด้านกลศึกอย่างลึกซึ้ง ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่งก็เป็นผลเนื่องมาจากวีรกรรมอันห้าวหาญของนักรบบรรพชนของเราทุกท่านที่ได้เป็นกำลังอันสำคัญในการต่อสู้กับพม่าข้าศึกอย่างเข้มแข็งด้วย นั่นเอง.....

Credit : https://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B…

guest

Post : 2019-03-25 11:24:24.0     Forum: ข่าว  >  มหา'ลัย สยองขวัญ!!

 

          

 

..เรื่องเก่าเล่าตำนาน..
มหา'ลัย สยองขวัญ!!
www.arjanpong.com
#ผี #วิศวะ #เทคโนลาดกระบัง
ตึกวิศวะฯ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับศาลเจ้าที่ติดอยู่บนผนังห้องน้ำหญิงตึกวิศวะฯ จะมีดอกไม้ธูปเทียนและน้ำแดงอยู่ด้วยเสมอ คนเก่าๆ จะรู้เรื่องราวเป็นอย่างดี

เป็นเรื่องของนักศึกษาสาวสถาปัตยฯ อกหักจากหนุ่มวิศวะฯ จึงไปผูกคอตายที่ห้องน้ำดังกล่าว ปัจจุบันเป็นแหล่งลองของชั้นดีของผู้ที่ต้องการลองของ เพราะมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ใครอยู่รุ่นแรกก็จะได้เห็นรูปของเธอผู้นี้ในศาลด้วย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว แต่ศาลยังคงมีอยู่ ที่สำคัญห้องน้ำตรงนั้นยังเปิดใช้อยู่

หากใครที่เคยขึ้นไปบนชั้น 5 ของตึก A เมื่อก่อนจะมีศาล ตั้งอยู่ในห้องน้ำหญิงด้วย แต่ตอนนี้ศาลถูกย้ายมาหลังตึก A แล้ว

รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนมีผู้ชายคณะวิศวะไปจีบ สาวที่คณะสถาปัตย์ แล้วในที่สุดก็เป็นแฟนกัน ตอนหลังผู้ชายคณะวิศวะขอเลิก เธอเสียใจมาก ตามไปง้อขอคืนดีกับผู้ชาย แต่เขาไม่ยอมคืนดีด้วย หญิงสาวคนนี้เลยคิดสั้นผูกคอตายในห้องน้ำหญิงของตึก

หลังจากนั้นมาก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นหลายเรื่องด้วยกัน โดยเฉพาะที่ชั้น 5 มักจะได้ยินเสียงแปลกๆ หรือเห็นเงาคนเดินอยู่ แต่พอดูจริงๆ ก็ไม่มีใครเลย หรือมีคนเคยเล่าว่าหากใครไปเข้าห้องน้ำตอนดึกๆ จะเหมือนมีคนเข้าห้องน้ำห้องข้างๆ ด้วย หรือถ้าส่องกระจกก็จะเห็นผู้หญิงยืนอยู่ด้านหลัง

ส่วนเรื่องในการตั้งศาลในห้องน้ำตั้งได้หรือไม่ น่าจะตั้งไม่ได้(ปัจจุบันมีการย้ายไปอยู่หลังตึกแล้ว) เหตุที่ตั้งศาลอยู่ห้องน้ำสันนิษฐานว่าคงต้องการให้วิญญาณผู้ตายได้อยู่อาศัย จะไม่ได้รบกวนผู้อื่น เเต่กลับมีคนเห็นวิญญาณนี้ยังคงอยู่ที่เดิมในปัจจุบันอยู่เสมอๆ นั่นก็เเสดงว่าเธอยังไม่ไปไหน!!..

Credit : https://www.facebook.com/…/%E0%B8%A8%E0%B…/1576659742555288/

guest

Post : 2019-03-22 13:57:57.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  "คิดถึงเขาทีไร ก็ได้เเต่ร้องไห้ทุกที"

 

          

                                       ..มิตร ชัยบัญชา..
ชื่อเกิด : บุญทิ้ง ระวีแสง
เกิด : 28 มกราคม พ.ศ. 2477
หมู่บ้านไสค้าน อำเภอท่ายาง เพชรบุรี
เสียชีวิต : 8 ตุลาคม พ.ศ. 2513 (36 ปี)
ณ.หาดจอมเทียนพัทยา ชลบุ

 

          

  จารุวรรณ สวีรวงศ์ ภรรยาของมิตร ชัยบัญชา พร้อมกับลูกชายของเขา 

 

          

มิตร ชัยบัญชา กำลังดูบทกำกับก่อนที่จะเข้าฉากสุดท้ายในชีวิต

ส่วนคนที่ยืนใส่เเว่นตาอยู่ข้างๆ คือนักบินในวันนั้น

 

          

                คุณแม่สงวน พุ่มเหม เเม่ของ มิตร ชัยบัญชา

 

..เรื่องเก่าเล่าตำนาน..
"คิดถึงเขาทีไร ก็ได้เเต่ร้องไห้ทุกที"
www.arjanpong.com
#เเม่ #พระเอก #มิตรชัยบัญชา
ท่านนี้ถือเป็นคนสำคัญของมิตร ชัยบัญชาอีกคนเลยก็ว่าได้ เพราะท่านคือมารดาแท้ ๆ ของมิตรสมัยเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ได้พูดถึงความรู้สึกที่มีต่อลูกชายคนเดียวของเธอ คุณแม่สงวน พุ่มเหม

"เขาเรียกยายว่าป้า นี้ก็เพราะเขาเรียกตามพวกหลาน ๆ เพราะตอนที่เขายังเล็กเขาไม่ได้อยู่กับยายหรอก เขาอยู่กับพ่อที่เพชรบุรี หนังสือหนังหาก็ไม่ได้เรียนต้องเอาเรียนหนังสือกันใหม่ที่กรุงเทพฯ แต่พ่อเชษฐ์เขานิสัยอยู่อย่าง ชอบหูเขาใครพูดอะไรก็เชื่อ อย่างมีเรื่องอะไรถ้าใครมาพูดต่อเขาจะเชื่อคนนั้นคนต่อไปมาพูดอะร เขาก็จะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด และนิสัยใจกว้างชอบช่วยเหลือเพื่อนฝูง ใครจะไปห้ามก็ไม่ได้

ตอนที่ตายมีคนมาบอกยาย ทำอะไรไม่ถูกและนิ่งอึ้งไปไม่รู้สึกตัวไปหลายชั่วโมง แต่ไม่เป็นลมนะร้องก็ไม่ร้องด้วย แต่สติมันวูบไปเฉย ๆ

ตั้งแต่เขาตายมีมาเข้าฝันหนเดียวจะว่าฝันมันก็ไม่ใช่เพราะความรู้สึกว่าเห็นเขามานอนทับที่ขาเหมือนกับหยอกล้ออยางนั้นแหละ แต่เห็นเฉพาะข้างหลังเท่านั้น เขาไม่ยอมให้เห็นหน้าเพราะเขาคงจะรู้ว่าหน้าเขาไม่สวยมั้ง แต่หลานเจอบ่อยแม้แต่ตอนที่ตายใหม่ คือ เอาเขาทำพิธีเขาก็เข้าหลานคนนี้แหละและยังบอกให้ไปว่าคนโน้นคนนี้ที่คิดไม่ดีกับเขา แต่ทางเราไม่ทำ

แม้แต่ตอนทีเขาตายก็ยังมีคนรีบมาขนเอาข้าวของในบ้านเขากันใหญ่เลย ทั้ง ๆ ที่เราเป็นแม่เรายังไม่กล้าที่จะเอาของ ๆ เขาเลย ตอนที่เขาเอาของ ๆ เขาออกมาประมูล ยายยังต้องไปประมูลซื้อเตียงกับชุดรับแขกมาเลย แต่พอไฟไหม้บ้านหลังก่อนก็เลยถูกไฟไหม้ไปหมดขนเอาอะไรมาไม่ได้เลย ก่อนที่เขาจะตายตอนนั้นเขาโทรมาหาและเขามาบอกว่า

"ป้ามีบัตรประจำตัวอะไรเรียบร้อยแล้วหรือยัง เพราะมีเรื่องที่จะมอบให้ป้า"

เพราะวันนั้นเขาได้นัดใครต่อใครไปที่บ้านจันทรโรจน์วงศ์ตอนหนึ่งทุ่มเพื่อทำสํญาเกี่ยวกับเรื่องโรงหนังอะไรของเขานั่นแหละ และเขาบอกว่า

"ถ้าหากเขาเกิดเป็นอะไรไปป้าก็จตะได้รับผลประโยชน์ของเขาบ้าง"

แต่ก็ทำไม่ได้เขาเกิดตายขึ้นมาเสียก่อน แต่เรื่องการแสดงเขารักมากจริง ๆ และเรื่องการนัดหมายก็เหมอนกัน เขานัดเวลาไหนก็ต้องเป็นเวลานั้น ถ้าใครมารับก่อนเวลาเขาก็จะไม่ยอมไปเหมือนกัน

ทุกวันนี้ยายก็ยังคิดถึงเขาไม่เคยลืมเพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว คิดถึงเมื่อไหร่ก็ร้องไห้ทุกที แต่ทุก ๆ ปีก็ต้องทำบูญหรือทำสังฆทานไปให้กับเขาเสมอหรือบางทีก็ทำบุญตักบาตรไปให้เป็นบางวันถ้าหากมีเวลา

แต่ตอนที่เขาตายนั้นมีคนมาบอกยาย ๆยังไม่เชื่อเลยเพราะเมื่อเช้าก็ยังคุยกันและก็นัดกันไว้แล้วด้วย ยาเลยให้หลายเขาโทรทางไกลไปถามที่โรงพยาบาลที่ศรีราชาทางโน้นเขายืนยันมาแน่นอน ยายถึงได้งงไปเลย"

นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผู้เเม่จะกระทำได้ ในยามที่ มิตร ชัยบัญชา 
ลูกชายคนเดียวต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ...

Credit : http://www.thaifilm.com

guest

Post : 2019-03-21 13:51:06.0     Forum: ข่าว  >  ความสยองของ"ลัดดาเเลนด์

 

          

                 "ลัดดาเเลนด์" หนึ่งในตำนานลี้ลับอันดับ 1 ของเชียงใหม่

 

          

               เจ้าของคือ พลตรีประดิษฐ์ พันธาภา และนางลัดดา พันธาภา

 

          

"อุทยานการท่องเที่ยวขนาดใหญ่" ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มี

สถานที่ใดโดดเด่นเท่า

 

          

      บ้านที่เจ้าของบ้านเป็นฝรั่ง มีสาวพม่าเป็นคนดูเเล จนเกิดเรื่องราวอาถรรพ์ขึ้น

 

..เรื่องเก่าเล่าตำนาน..
ความสยองของ"ลัดดาเเลนด์!!.."
www.arjanpong.com
#วิญญาณ #ลัดดาเเลนด์ #เชียงใหม่ 
หากใครเคยเดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ ที่เคยผ่านเส้นทาง "คลองชลประทาน" ทางฝั่งศูนย์ราชการจังหวัด และสนามกีฬาสมโภช 700 ปี คงจะผ่านตากับที่ดินรกร้างข้างทาง ปกคลุมด้วยไม้ หญ้า ท่ามกลางบรรยากาศรก ๆ น่ากลัว ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 4 ของ ถนนสายห้วยแก้ว อยู่ห่างจากสี่แยกห้วยแก้ว ซึ่งจะสามารถไปมหาวิยาลัยเชียงใหม่ราว 2 กิโลเมตร ที่มีชื่อว่า"ลัดดาแลนด์" จะพบว่าที่รกร้างนั้น คือสถานที่อาถรรพ์ที่สุด

ลัดดาแลนด์ จึงเป็น "ความทรงจำอันงดงาม" ของชาวเชียงใหม่ในยุค 2520 ด้วย โครงการจัดสรรอันยิ่งใหญ่ ของผู้หญิงท่านหนึ่ง อ้างกันว่าคือ "คุณนายลัดดา" นักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสามีของท่านคือนายทหารผู้เป็นเจ้าของกิจการ "โรงหนังเวียงพิงค์" ด้วย การเล็งเห็นศักยภาพของ ที่ดินรกร้างผืนใหญ่อยู่ใกล้ "ทางขึ้นดอยสุเทพ" พื้นที่ผืนนี้จึงถูกพัฒนาให้เป็น "อุทยานการท่องเที่ยวขนาดใหญ่" ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีสถานที่ใดโดดเด่นเท่า

แล้วโครงการขนาดใหญ่ที่ครองใจผู้คนในยุคนั้นก็เกิดขึ้น ด้วยการจัดศูนย์แสดงสาธิตศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งพิพิธภัณฑ์ชาวเขาการทำเครื่องเขิน การแกะสลักไม้ การทอผ้าไหม การแสดงฟ้อนรำต่าง ๆ ภายใต้การควบคุมของคณะ วัดเจ้าพ่อเม็งราย อันโด่งดังรวมไปถึงมัดใจเด็ก ๆ และครอบครัว ด้วยการให้บริการ ช้าง ม้า และรถไฟเล็กให้นั่ง ด้วยค่าบริการปนะมาณ 8 หรือ 10 บาท

เจ้าของคือ คุณนายลัดดา พันธาภา เล่ากันว่า เป็นสถานที่ยอดฮิต ของวัยรุ่นสมัยนั้นจะไป ออกเดทกันเพราะมีความเชื่อว่าคู่ไหนไปอธิฐานขอความรักกับต้นไทรหน้าลัดดาแลนด์แล้ว คู่นั้นจะได้รักกันไปตลอดชีวิต

ส่วนหมู่บ้านนั้นทั้งหมดล้วนเป็นคนที่มีฐานะดีทั้งนั้นที่เข้าไปอยู่ เรียกว่า หมู่บ้านเศรษฐี แต่เรื่องมาเกิดตอนที่บ้านหลังหนึ่งโดนคนร้าย ฆ่าตายยกบ้านแล้วเรื่อง สยองก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้ เพราะคนที่อยู่ใกล้ๆ กับบ้านหลังนี้ บางทีก็ได้ยินเสียงร้องไห้บ้าง ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือหรือบางครั้ง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ และที่เจอกันจนอยู่ไม่ได้ คือคนแถวนั้นจะเห็นครอบครัวที่ตายไปแล้วบางทีก็ออกมายืนหน้าบ้านออกมารดน้ำต้นไม้ คนที่ผ่านไปมาโดนหลอกทุกคนทำให้ตอนเที่ยงคืนจนถึงเช้าไม่มีใครที่จะกล้าออกจากบ้านเลย

นานวันเข้ายิ่งหนักมาหลอกถึงบ้าน คนแถวนั้นอยู่ไม่ไหวเลยพากันย้ายออกกันไปเกือบหมด ทำให้แถวนั้นกลายเป็นบ้าน ร้างเยอะแต่ยังมีบ้านอีก 3 หลัง ที่ยังไม่ไปไหนและ 1 ใน 3 หลังนั้นเจ้าของเป็นฝรั่ง ไม่ค่อยได้อยู่จะบินมาเที่ยวเฉพาะฤดูหนาว เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อมาก เลยจ้างเด็กสาวพม่ามาเฝ้าบ้าน

แต่ผ่านไปไม่นานก็มีโจรมาขึ้นบ้านหลังนั้น ฆ่าเด็กสาวคนนั้นแล้วหมกศพไว้ในห้องเก็บของใต้บันได กว่าจะมาพบก็ผ่านไปเกือบ 2 เดือน และที่มาพบได้เพราะบ้านที่ยังเหลืออยู่ใกล้ๆ กัน ได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากในบ้าน แต่ก็ไม่ได้สงสัย เพราะเห็นเด็กสาวคนนี้ยังคงมานั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านทุกวัน

จนวันหนึ่งทนไม่ไหว เลยบอกว่าให้ทำความสะอาด เพราะอาจจะมีหนูตาย แค่นั้นแหละ เด็กสาวหันหน้ามาแบบเละๆ เลย จึงไปแจ้งความและแจ้งให้เจ้าของบ้านทราบ พอเปิดเข้าไปดูในบ้านพบและนำศพออกมาแล้ว แต่เด็กคนนี้ก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมทุกวัน แต่ถ้านั่งธรรมดาไม่มายุ่งคงจะดี บางคนเล่าว่า บางครั้งก็จะเห็นเด็กสาวพม่ามายืนมองที่หน้าต่างตอนนอนกลางคืนด้วย คราวนี้ย้ายออกไม่เสียดายบ้านกันเเล้ว

ปัจจุบันลัดดาแลนด์ มีสภาพเป็นป่ารกร้าง จนกลายเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกติดยา กลุ่มวัยรุ่นที่ชอบลองของ ในจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนเป็นที่สนใจของกลุ่มผู้ที่มีความเชื่อเรื่องผี และมักจะถูกกล่าวถึงในเรื่องความลี้ลับ เรื่องสยองขวัญ จนถูกนำเรื่องราวมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ลัดดาแลนด์ ออกฉายในปี พ.ศ. 2554

"หากใครที่ชอบเรื่องผี ไม่มาลัดดาแลนด์ก็แสดงว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่ !?".....

Credit : https://www.sanook.com/

guest

Post : 2019-03-20 13:36:46.0     Forum: ข่าว  >  ด้วยเเรงเเห่งรัก!!จากลูกคุณหนูมาสู่เเม่ค้าหาบขนม!!

 

          

                                    จากกล้วยเครือเดียว 

 

          

                                   มาเป็นเเม่ค้าขายขนมริมฟุตบาท

 

          

                            เเม่กิมไล้ ตำนานขนมหวานเมืองเพชร

 

          

                              ขนมหม้อเเกงอันลือชื่อ ฝีมือของเเม่กิมไล้

 

..เรื่องเก่าเล่าตำนาน..
ด้วยเเรงเเห่งรัก!!จากลูกคุณหนูมาสู่เเม่ค้าหาบขนม!!
www.arjanpong.com
#เเม่กิมไล้ #ขนมหม้อเเกง #เพชรบุรี
ร้านขายขนมของคุณกิมไล้ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเขาวัง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นร้านดั้งเดิมและเป็นสถานที่สำหรับผลิตขนมภายใต้การดูแลของ "แม่กิมไล้" ซึ่งมี คุณปรีดา ลูกชายของคุณกิมไล้ เป็นผู้รับหน้าที่ดูแลการขายและการจัดส่งขนมให้กับสาขาต่างๆ ของร้าน "แม่กิมไล้"

คุณกิมไล้เล่าให้ฟังถึงประวัติตัวเองจากวัยเด็กว่า เกิดที่ตำบลบางตะบูน อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เป็นลูกของชาวจีนที่เกิดในเมืองไทย โดยอาชีพของเตี่ยคือ ทำเรือโป๊ะ ส่วนแม่เป็นแม่บ้านคอยช่วยเหลืองานบ้าน และช่วยเหลืองานเวลาเรือเข้าท่า คุณกิมไล้ หรือ เด็กหญิงกิมไล้ ตะบูนพงศ์ ในอดีตได้ศึกษาเล่าเรียนจากโรงเรียนในหมู่บ้านจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 อ่านออกเขียนได้ตามที่ได้เรียนมา มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 7 คน และคุณกิมไล้เป็นคนที่ 6 ของครอบครัว

จากที่ครอบครัวมีผู้นำทำอาชีพเรือโป๊ะ ฐานะความเป็นอยู่จัดอยู่ในฐานะดี รายได้พอมีกิน คุณแม่ซึ่งเป็นแม่บ้านเต็มตัว จึงต้องเป็นผู้ที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อครอบครัว เพราะมีลูกๆ ต้องดูแลและเลี้ยงดูส่งเสียให้ได้เล่าเรียนตามแต่ฐานะจะอำนวยให้

คุณแม่ของคุณกิมไล้เป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียรขยันขันแข็งได้ใช้เวลาว่างๆ หลังจากทำงานบ้าน พยายามฝึกหัดทำขนมแบบพื้นบ้านได้หลายชนิด เช่น ขนมเชื่อม ขนมต้ม ขนมห่อกล้วย ขนมใส่ไส้ ขนมตาล ขนมหม้อแกง และขนมไทยๆ อีกหลายชนิด

นับว่าเป็นผู้ที่ทำขนมต่างๆ ได้อร่อยคนหนึ่ง ทุกครั้งที่คุณแม่ทำขนม คุณกิมไล้ก็เป็นลูกมือคอยช่วยเหลือ จนติดเป็นนิสัยชอบทำขนมมาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งถึงวัยสาวรุ่น คุณกิมไล้ก็ได้ใช้เวลาว่างช่วยคุณแม่ทำขนมขายในหมู่บ้านและตระเวนขายไปยังพื้นที่ใกล้เคียง

คุณกิมไล้เป็นสาวรุ่นที่มีรูปพรรณสวยงาม ผิวขาวแบบลักษณะลูกคนจีนหน้าตาสวยงาม ก็ต้องมีหนุ่มๆ เข้ามาติดพันจนกระทั่งวันหนึ่ง ได้พบกับตำรวจหนุ่มยศนายสิบคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนมาจากจังหวัดราชบุรี

นายสิบตำรวจกลม บุญประเสริฐ ได้มาประจำที่สถานีตำรวจภูธรตำบลบางตะบูน อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ระหว่างที่มาทำงานที่โรงพักบางตะบูน เป็นที่รักใคร่ของประชาชนเป็นอันมาก เพราะคุณกลมเป็นคนอัธยาศัยไมตรีดีต่อผู้ที่เข้ามาติดต่อราชการ ซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่การงาน และสิ่งสำคัญคือเป็นลูกค้าคนพิเศษของร้านแม่กิมไล้ เพราะอุดหนุนขนมของคุณกิมไล้เป็นประจำ จนเกิดความรักขึ้นระหว่าง 2 คน

ทั้งสองใช้เวลาคบกันเป็นระยะเวลานานพอสมควร รักแท้ย่อมมีอุปสรรคเสมอ เพราะว่าความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติคือ คุณกิมไล้เป็นลูกของครอบครัวชาวจีน ส่วนคุณกลมนั้นไทย 100% และด้วยความที่มีอายุห่างกันเกือบ 2 รอบ คือในขณะที่เข้าพิธีแต่งงานนั้น คุณกลมอายุเกือบ 40 ปี แต่คุณกิมไล้มีอายุเพียง 19 ปี เท่านั้น

รวมไปถึงฐานะความเป็นอยู่ของคุณกลมก็ยังด้อยกว่าเห็นชัดๆ แต่คุณกิมไล้ก็เห็นในความเป็นคนดี รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยทำผิดวินัยและไม่เคยทำความเดือดร้อนและรับสินบนใดๆ ทั้งสิ้น

ส่วนเรื่องประเพณีนิยมของครอบครัวคนจีนนั้น จากการที่ไม่ค่อยเห็นด้วย และเรื่องของอายุที่ต่างกัน สุดท้ายก็ต้องหมดไปเพราะว่าคุณกลมแสดงให้เห็นถึงความรักที่ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ และความเป็นคนดีได้ปรากฏให้ครอบครัวของคุณกิมไล้เห็นชัดเจน ทั้งสองจึงได้เข้าพิธีแต่งงานกันในปี พ.ศ. 2497

เมื่อคุณกิมไล้และคุณกลมได้เข้ามาใช้ชีวิตคู่กันแล้ว คุณกิมไล้ก็ต้องออกจากบ้านมาอยู่กับคุณกลมตามประสา จากที่คุณกิมไล้เคยสุขสบายในฐานะคุณหนูของครอบครัว ไม่เคยลำบากต่อการใช้ชีวิต ผิดกับที่ออกมาเป็นภรรยาของข้าราชการตำรวจธรรมดาที่มีเงินเดือนน้อยนิด ไม่มีรายได้เสริมใดๆ เข้ามาจุนเจือครอบครัว ทุกเดือนรอคอยเฉพาะเงินเดือนเท่านั้น

จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณกลมได้รับของฝากจากบรรดาประชาชนที่มีความสนิทสนม นำผลไม้ต่างๆ มาฝากให้รับประทานกันบ่อยๆ คุณกิมไล้จึงมีความคิดถึงผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วยน้ำว้าที่วางตั้งอยู่ในบ้านนำมาแปรรูปทำขนมขาย เพื่อเป็นอาชีพเสริม

คุณกิมไล้เห็นกล้วยน้ำว้าที่แขวนไว้ในบ้าน ก็เกิดความคิดขึ้นมาทันที เป็นช่องทางที่จะนำกล้วยมาเป็นวัตถุดิบในการทำขนม ไม่ว่าจะเป็นขนมกล้วย ข้าวต้มมัด

ทำเสร็จแล้วก็นำใส่ถาดเพื่ออกไปขายในย่านใกล้ๆ สถานีตำรวจ เลยไปถึงตลาดย่านบ้านใกล้เรือนเคียง ส่งเสียงร้องเรียกให้ช่วยซื้อขนมต่างๆ ที่มาจากฝีมือของคุณกิมไล้ ทำเช่นนี้เป็นประจำจนมีลูกค้าขาประจำช่วยกันอุดหนุนมิได้ขาด จนกระทั่งปัจจุบันนี้กล่าวได้เลยว่า อาณาจักรพันล้าน ขนมหวานเเม่กิมไล้โดยเฉพาะ"ขนมหม้อเเกง"นั้น มีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศเลยทีเดียว

...สูตรเด็ดจากแม่กิมไล้...

ด้วยความกรุณาจากคุณกิมไล้ ท่านได้ให้สูตรการทำขนมหม้อแกง แม่กิมไล้ มาให้ท่านทดลองทำ จะทำกินเองในครอบครัว หรือทำเป็นธุรกิจเชิญตามสบายครับ

ส่วนผสม

1. ไข่เป็ด 2 ถ้วย

2. หัวกะทิ 2 ถ้วย

3. เนื้อมะพร้าว 1 กิโลกรัม

4. เผือกต้มสุก 1/2 ถ้วย

5. น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย

6. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

...วิธีการทำ...

1. ผสมน้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ ไข่เป็ดให้เข้ากัน

2. คั้นกะทิให้ได้หัวกะทิ ผสม ข้อ 1 กรองด้วยผ้าขาวบาง

3. เผือกต้มสุกบดละเอียดผสมลงไป

4. ตักหยอดลงบนพิมพ์ คนส่วนผสมให้เข้ากันโดยไม่มีฟองอากาศ

5. นำเข้าเตาอบใช้ไฟ 400 องศาเซลเซียส ประมาณ 30 นาที นำออกจากเตา

จากการต่อสู้ชีวิตมาอย่างโชกโชน ความครองตนในชีวิตครอบครัว ความสำเร็จด้านอาชีพ จนได้รับการยกย่องให้เป็นคุณแม่ตัวอย่างของจังหวัดเพชรบุรี ย่อมเป็นที่รับรองได้ว่า เรื่องราวตำนานของขนมหม้อแกง แม่กิมไล้ นั้นย่อมไม่ธรรมดาอย่างเเน่นอน....

Credit : http://info.matichon.co.th/rich/rich.php…

guest

Post : 2019-03-19 13:24:58.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  เเค่เพียงจิบเหล้า!!เขาถึงต้องเลิกร้องเพลงไปตลอดชีวิต!!

  

 

 

 

          

ไพรวัลย์ ลูกเพชร เมื่อเข้าสู่วงการใหม่ๆ กับวงบางกอก ชะชะช่า ของ

ชุติมา สุวรรณรัตน์ กับ สงพงษ์ วงค์รักไทย

  

          

ไพรวัลย์ ลูกเพชร กับ วิภารัตน์ เปรื่องสุวรรณ ภรรยาคนเเรก เมื่อปี พ.ศ 2510

 

          

โด่งดังทั้งประเทศ กับภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ ในปี พ.ศ 2513 

 

          

กับคุณพรรณี คู่ทุกข์คู่ยาก หลังจากเป็นอัมพาตครึ่งตัว แต่ยังนั่งรถเข็นบันทึกเสีย

และตระเวนร้องเพลงบนเวทีต่อไป

 

..เรื่องเก่าเล่าตำนาน..
เเค่เพียงจิบเหล้า!!เขาถึงต้องเลิกร้องเพลงไปตลอดชีวิต!!
www.arjanpong.com
#ไพรวัลย์ลูกเพชร #ลูกทุ่ง #เพชรบุรี
ไพรวัลย์ ลูกเพชร (14 ธันวาคม พ.ศ. 2484 - 17 ตุลาคม พ.ศ. 2545) นักร้องเพลงลุกทุ่งชาวตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เข้าสู่วงการจาการที่พ่อแม่นำไปฝากคณะลิเกเมืองเพชร แต่ใจไม่รัก จึงไปสมัครวงดนตรีบางกอก ช่ะ ช่ะ ช่า ของครูสมพงษ์ วงศ์รักไทย และครูชุติมา สุวรรณรัตน์ เมื่อวงบางกอก ช่ะ ช่ะ ช่า ยุบวงลง ครูได้นำไปฝากกับวงดนตรีของสุรพล สมบัติเจริญ ซึ่งแต่เพลงและอัดแผ่นเสียงให้ เพลงที่มีชื่อเสียงเช่น คำเตือนของพี่, ดาวบ้านนา, แม่ผักบุ้งบ้านดอน

ไพรวัลย์ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน ในปี พ.ศ. 2514 จากเพลง "เบ้าหลอมดวงใจ" ของครูไพบูลย์ บุตรขัน รางวัลเสาอากาศทองคำพระราชทาน ในปี พ.ศ. 2521 จากเพลง "ไอ้หนุ่มตังเก" ของครูชลธี ธารทอง และได้รับรางวัลพระราชทาน จากงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทย จากเพลง "มนต์รักลูกทุ่ง" ของครูไพบูลย์ บุตรขัน

ราวปี พ.ศ. 2528 ไพรวัลย์ ลูกเพชร มีข่าวพัวพันกับคดีฆาตกรรมนายอุทัย ถัดหลาย โดยมีชนวนเหตุมาจากการที่นางวรรณา ชูเปีย ผู้กว้างขวางในสถานีขนส่งหมอชิตและเป็นหญิงคนสนิทของไพรวัลย์ ได้ร่วมขบวนการปลอมตั๋ว บขส. แต่ถูกนายอุทัย ที่เป็นช่างเครื่องจับได้ จึงทำการขู่แบล็คเมล์นางวรรณา สร้างความไม่พอใจให้นางวรรณา อย่างมาก หลังจากนั้นนายอุทัย ถัดหลาย ถูกยิงเสียชีวิต โดยนายบุญส่ง สิทธิน้อย มือปืนที่ตกเป็นผู้ต้องหาให้การซัดทอดไพรวัลย์ ลูกเพชร (ในเวลาต่อมาศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องนายบุญส่งในคดีฆาตกรรมนายอุทัย)

หลังเกิดเหตุที่นายอุทัย ถูกยิงเสียชีวิตไม่นาน วันที่ 27 ตุลาคม 2529 ขณะที่ไพรวัลย์ ลูกเพชร กำลังขับรถยนต์ยี่ห้อวอลโว่เพื่อไปทำธุระ โดยมีนางวรรณา ชูเปีย สาวคนสนิทโดยสารไปด้วยได้ถูกคนร้ายลอบยิง ในพื้นที่ สภ.ปากเกร็ด ทำให้นางวรรณา เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ส่วนไพรวัลย์ถูกยิงที่ต้นคอ และถูกนำส่งร.พ.ชลประทาน แม้แพทย์จะสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ แต่เนื่องจากประสาทไขสันหลังขาด ทำให้ไพรวัลย์ ลูกเพชรเป็นอัมพาตครึ่งตัว

หลังจากเก็บตัวเงียบประมาณ 3 ปี เขาตัดสินใจกลับมาร้องเพลงโดยนั่งรถเข็นร้อง แฟนเพลงคนหนึ่งยื่นแก้วเหล้าให้ดื่ม เขาเกรงใจจึงรับมาจิบ สักพักก็เกิดเหตุการณ์เลวร้ายคาดไม่ถึง เพราะเขามีอาการหน้ามืด ลิ้นชา ภรรยาจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ระบุว่า เส้นเลือดในสมองแตก จึงต้องจบสิ้นการร้องเพลงตั้งแต่บัดนั้น และต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น

วันที่ 17 ตุลาคม 2545 เวลา 10.30 น.ไพรวัลย์ ลูกเพชร เสียชีวิตลงอย่างสงบ ด้วยโรคปอดบวม สิริรวมอายุได้ 61 ปี หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานมานานเกือบ 17 ปีเต็ม.....

Credit : https://th.wikipedia.org/…/%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B…

 

guest

Post : 2019-03-18 12:37:20.0     Forum: ข่าว  >  ถล่มยับ ปธน.ฝรั่งเศส!! เเต่รอดตายเพราะบารมีหลวงปู่ทวด!!

 

 

          

11 ตุลาคม พ.ศ. 2503 นายพลชาร์ลส์ เดอ โกลล์ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส

กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่่ทรงเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป

 

          

                      รถซีตรอง ที่ปธน. เดอ โกล และภรรยา นั่งในวันนั้น

 

          

ผู้ที่วางแผนดำเนินการลอบสังหาร นายพลเดอโกล ได้แก่ นาวาอากาศโท

Jean Bastien-Thir 

 

          

ในปี พ.ศ.2497 หลังจากหลวงพ่อทวดมรณภาพไปแล้วถึง 282 ปี พระครูวิสัยโสภณ

(ทิม) เจ้าอาวาสวัดช้างให้ ได้ระลึกถึงพระคุณอันล้นเหลือของหลวงพ่อทวด จึงได้

จัดสร้างพระเครื่องหลวงพ่อทวดเป็นรุ่นแรกขึ้น เป็นเนื้อว่าน 108 ชนิด ผสม

โลหะทองเหลืองรมดำ

 

..เรื่องเก่าเล่าตำนาน..
ถล่มยับ ปธน.ฝรั่งเศส!! เเต่รอดตายเพราะบารมีหลวงปู่ทวด!!
www.arjanpong.com
#นายพลเดอโกล #ฝรั่งเศส #หลวงปู่ทวด
ชาร์ล อ็องเดร โฌแซ็ฟ มารี เดอ โกล (ฝรั่งเศส: Charles André Joseph Marie de Gaulle) หรือ ชาร์ล เดอ โกล (22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2433 – 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513) เป็นนายทหารและรัฐบุรุษชาวฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเป็นที่รู้จักในนาม นายพลเดอ โกล

ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักยุทธวิธีการรบด้วยรถถัง และผู้นิยมการรบด้วยการใช้ยานเกราะและกองกำลังทางอากาศ เขาเป็นผู้นำการปลดปล่อยฝรั่งเศสในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และผู้นำรัฐบาลชั่วคราวในช่วงปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) ถึง พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ถูกเรียกตัวไปจัดตั้งรัฐบาลในปี พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) เขาได้เป็นแรงบันดาลใจในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนแรกในยุคสาธารณรัฐที่ 5 ระหว่างปี พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) ถึงปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969)

แนวคิดทางการเมืองของเขาเป็นที่รู้จักในนามของลัทธินิยมโกล และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเมืองฝรั่งเศสในยุคต่อมา ซึ่งทำให้กลุ่มนายทหารบางกลุ่ม ไม่ชื่นชอบในนโยบายของเขาเท่าใดนัก โดยเฉพาะเรื่องของการให้เอกราชคืนเเก่อัลจีเรีย ที่ในที่สุด ปธน. เดอ โกลล์ได้ให้เอกราชในปี 1962 (พ.ศ 2505) นั้น ควันหลงของความไม่พอใจในกลุ่มทหารก็ยังมีอยู่

ในเมื่อการปฏิวัติโค่นล้มไม่สำเร็จ ก็เหลือทางเลือกสุดท้าย นั่นคือ จัดการลอบสังหาร เป็นวิธีที่น่าจะได้ผลที่สุด ผู้ที่วางแผนดำเนินการได้แก่ นาวาอากาศโท Jean Bastien-Thiry ซึ่งบิดาของเขาก็เป็นเพื่อนกับเดอ โกลล์ แผนการปฏิบัติการได้กำหนดในวันที่ 22 สิงหาคม 1962 ที่ปธน. เดอ โกลล์ และภรรยา จะต้องผ่านไปทางถนนของเส้นทางชนบท ที่เมือง Petit-Clamart

นาวาอากาศโท Jean Bastien-Thiry (ที่อยู่ที่อังกฤษ) ได้ให้สมุนจำนวนกว่าหกนาย พร้อมด้วยปืนกลเต็มชุด รอรถ Citroen DS อันเป็นรถประจำตำแหน่งของปธน.ที่จะผ่านมา มีคนเฝ้าต้นทางคอยส่งสัญญาณให้

ทันที่ที่เห็นรถ เหล่ามดงานก็เริ่มสาดกระสุนใส่ รถเสียหลักแทบจะพุ่งไปชนกับรถที่สวนมา แต่คนขับรถได้มีสติที่ยอดเยี่ยม เขาหักหลบและเร่งเครื่องพุ่งออกไปจากเส้นทางอันตรายนั้นได้ทันท่วงที

เดอ โกล และภรรยาปลอดภัย เพราะก้มตัวลงแนบกับพื้นรถทันเวลา ที่รถมีรอบกระสุนเป็นรู 14 นัด แต่รอยบนกำแพงอาคาร ร้านรวงพบว่ามีประมาณ 187 นัด

ปธน.เดอ โกล มีแผลที่มือเล็กน้อย เกิดจากการปัดเศษกระจกออกจากเสื้อ เขาได้กล่าวชื่นชมในสมรรถนะของรถซีตรอง เพราะพบว่า ยางทั้งสองเส้นถูกยิงเป็นรู แต่รถยังสามารถพุ่งตัวออกไปได้ด้วยสปีดเต็มกำลัง

นาวาอากาศโท Jean Bastien-Thiry ถูกจับกุมทันที่ที่กลับมาจากอังกฤษ เพราะมีการสืบสาวไปถึง และเขาให้การว่า เขาแค่ต้องการจับตัวปธน.เท่านั้น ไม่ได้หมายมุ่งการสังหาร

ผู้ที่ร่วมในขบวนการหลักๆแล้วมีสามคน เป็นทหารทั้งหมด และโทษในศาลทหาร คือ ประหารชีวิตสถานเดียว พ่อของเขาได้เข้ามาขอร้องกับเดอ โกล เพื่อขอความเมตตา ซึ่งปธน.มีสิทธิที่จะลดหรือผ่อนผันโทษให้ได้

ส่วนบรรดามือยิงลูกจ๊อกทั้งหลายที่รัวกันร้อยกว่านัดนั้น ได้รับอภัยโทษหมด เดอ โกล ไม่เอาเรื่อง แต่กรณีของ ฌอง บาสเตียน-เทียรี่ นั้น เขาไม่ให้ เพราะเหตุผลห้าข้อ
คือ

1. ด้วยความอำมหิตหมายมุ่งให้คนบริสุทธิ์ ที่เป็นผู้หญิงต้องมารับเคราะห์กรรมไปด้วย (หมายถึงมาดาม เดอ โกล)

2.มีชาวบ้านต้องมารับเคราะห์กรรมบาดเจ็บล้มตายเพราะโดนลูกหลงไปสามสี่ราย

3. เขาได้ใช้งานระดับประเทศ เพราะสามคน ในนั้นเป็นมือปืนชาวฮังกาเรียน

4. ในการซักถามว่าจะจับตัวปธน.ไปทำอะไร เขาตอบว่า จะเอาไปซ้อม (ตอนนี้...ทนายความของเขาถึงกับทรุดตัวลง...เพราะหมดหวังที่จะช่วยจริงๆ....)

5. ถือว่าเป็นคนขี้ขลาด เพราะตัวเองสั่งงานอยู่ที่อังกฤษ ปล่อยให้คนอื่นมารับกรรมแทน...

เขาได้ถูกนำตัวไปยิงเป้าในวันที่ 11 มีนาคม 1963

หลังจากเหตุการณ์นี้ มีการเปิดเผยอย่างเกรียวกราวว่า นายพลเดอโกล พกพระเครื่องหลวงพ่อทวดรุ่นแรก ที่ พล.ต.อำนาย ไชยโรจน์ นายทหารไทยนำไปมอบให้ก่อนหน้านั้น

แม้วันนี้หลวงพ่อทวดจะมรณะไปแล้วถึง 345 ปี และถ้านับจากวันที่ท่านได้รับความนิยมนับถือของผู้คนตั้งแต่ระดับชาวบ้านจนถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ก็เป็นเวลากว่า 400 ปีแล้ว จึงนับเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ผู้คนเลื่อมใสอย่างยืนยงยาวนานที่สุดเลยทีเดียว.....

Credit : WIWANDA/pantip.com

guest

Post : 2019-03-17 12:46:47.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  โฆษกจอมสร้าง เด็ดดวง ดอกรัก!!

 

          

เด็ดดวง ดอกรัก อดีตนักจัดรายการชื่อดัง สถานีวิทยุ ท.อ 04 ตาคลี เ

คยขายยาแอนตาซิล จนโด่งดัง

 

          

ยอดรัก สลักใจ ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเคยเป็นนักร้องอยู่ตาม ไนท์คลับ สวนอาหาร

เเถวๆ อ.ตาคลี มาก่อน

 

          

ยอดรัก ลูกพิจิตร (ยอดรัก สลักใจ) กำชัย ลูกราษฎร์บำรุง (สายัณห์ สัญญา)

ที่บ้าน อาจารย์ ชลธี ธารทอง

 

          

ยอดรัก สลักใจ เปิดวงครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 ม.ค 2519 ที่อำเภอหนองบัว

จังหวัดนครสวรรค์ โดยอาจารย์ ชวนชัย ฉิมพะวงศ์ เปลี่ยนนามสกุล

จาก ยอดรัก ลูกพิจิตร มาเป็น ยอดรัก สลักใจ

 

..เรื่องเก่าเล่าตำนาน..
โฆษกจอมสร้าง เด็ดดวง ดอกรัก!!
www.arjanpong.com 
#ยอดรักสลักใจ #เด็ดดวงดอกรัก #ลูกทุ่ง 
ยอดรัก สลักใจ มีชื่อเล่นคือ แอ๊ว เกิดวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499 ที่ตำบลงิ้วราย อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เป็นบุตรนายบุญธรรม และ นางบ่าย ไพรวัลย์ มีพี่น้อง 8 คน ชาย 7 คน หญิง 1 คน โดยยอดรักเป็นคนสุดท้อง

เมื่อยอดรักยังเด็ก เขาไปสมัครร้องเพลงกับคณะรำวง “เกตุน้อยวัฒนา” ซึ่งได้เงินมาครั้งละ 5-10 บาท และต่อมามีโอกาสไปร้องเพลงในห้องอาหารที่ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยได้ใช้เพลงของไพรวัลย์ ลูกเพชร, ชาย เมืองสิงห์, สุรพล สมบัติเจริญ, ไวพจน์ เพชรสุพรรณ เป็นต้น

จนกระทั่งวันหนึ่ง เด็ดดวง ดอกรัก นักจัดรายการของสถานีวิทยุ ท.อ.04 ตาคลี ได้มาฟังเพลงที่ห้องอาหาร และประทับใจยอดรักที่ร้องเพลง ' ใต้เงาโศก ' ของ ' ไพรวัลย์ ลูกเพชร ' จึงได้มาชักชวนเข้าสู่วงการ โดยนำมาฝากกับ อาจารย์ ชลธี ธารทอง ยอดรักก็ได้อยู่เลี้ยงลูกให้อาจารย์ชลธีเกือบหนึ่งปี และตั้งชื่อให้ว่า “ ยอดรัก ลูกพิจิตร ” และได้บันทึกแผ่นเสียง 3 เพลงคือ สงกรานต์บ้านทุ่ง, น้ำสังข์ น้ำตา และ เต่ามองดวงจันทร์

"ไปเจอยอดรักที่ร้านอาหารบ้านไร่ ผมนั่งกินข้าวกับเพื่อน ไอ้แอ๊ว (ชื่อเล่นยอดรัก) มันร้องเพลง ใต้เงาโศก, คนไร้ค่า ของ ไพรวัลย์ ลูกเพชร ซึ่งผมรัก ชอบพอกันมาก ทีแรกนึกว่าไพรวัลย์มา เพื่อนบอกว่าไม่ใช่ เลยให้เพื่อนไปตามมาดูหน้า ตอนนั้นมันไว้ผมทรงฮิปปี้ ไม่หล่อ เลยบอกว่าร้องเพลงได้ดีมาก ไม่อยากให้มาร้องอยู่แบบนี้ อยากเป็นนักร้องอัดแผ่นไหม จะช่วยส่งเสริม แต่ขออย่าง ให้เลิกกินเหล้า เพราะมันจะทำให้เสียงเสีย ผมเลยพามาฝากกับเพื่อนรุ่นน้องที่ชื่อ ชลธี ธารทอง (ศิลปินแห่งชาติ) ให้ฝึกให้ แต่มันอยู่กับเขา 5 ปีก็ไม่ดัง จนมันชวนผมเลิก"

เด็ดดวง ดอกรัก ย้อนความเป็นไปในวันที่เจอกับยอดรักเป็นครั้งแรก ก่อนจะถูกใจพาไปฝากฝังกับ ชลธี ธารทอง ผู้กรุณามอบบทเพลงให้เขานำไปบันทึกเสียง ในฐานะนักร้องลูกทุ่งหน้าละอ่อน ยอดรัก ลูกพิจิตร

เขาหมายมั่นเหลือเกินที่จะปั้น ยอดรัก ลูกพิจิตร ให้ดังพอๆ กับ สายัณห์ สัญญา ซึ่งในยุคนั้นไม่มีใครกินนักร้อง"ขวัญใจคนเดิม"ได้ลง แต่โฆษกจอมสร้างเชื่อว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิด ถึงกับลงทุนขายที่นา เพื่อปั้นนักร้องบ้านนอกจากตะพานหินคนนี้ให้เป็นที่รู้จักให้จงได้

"แอ๊วมันชวนผมเลิกทำเพลง มันสงสารผม แต่ผมเชื่อในหูตัวเอง ว่าไม่น่าพลาด ผมเลยขายที่นาไปเกือบ 3 ไร่ ได้เงินมา 2 ล้านบาท ผมเลยไปหา สนิท มโนรัตน์ ให้แต่งเพลงเกี่ยวกับทหารตำรวจให้ ระยะนั้นกำลังมีปัญหาชายแดนก็ได้เพลง ทหารเรือมาแล้ว อัดเสร็จหิ้วไปให้ห้างแผ่นเสียง แต่ไม่มีใครเอา เขาบอกว่ามันไม่ดังหรอก ผมเลยเอาไปให้ มนต์ เมืองเหนือ ตอนนั้นไม่มีผลประโยชน์อะไรมาก นอกจากวงดนตรี ผมอาศัยโฆษกจากทั่วประเทศช่วยกันเปิดแผ่นให้"

และแล้วความเชื่อของ เด็ดดวง ดอกรัก ก็เป็นจริง!! ความเชื่อมั่นและความศรัทธาของเขา ทำให้ ยอดรักสลักใจ มีชื่อเสียงเป็นตำนานตราบเท่าทุกวันนี้...

 

guest

Post : 2019-03-16 11:33:00.0     Forum: ข้อคิด-คำคม  >  เรื่องมันผ่านไปเเล้ว

     

          

          

            

 

          

   

          

 

          

 

          

 

          

 

          

 

          

 

          

          

          

 

              

 

          

 

          

 

          

 

          

 

          

          

          

          

          

 

          

guest

Post : 2019-03-16 11:07:12.0     Forum: ข่าว  >  กษัตริย์ยอดนักรบ!!

 

          

ขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังร่อนลงยังไม่ทันถึงพื้น พระองค์กระโดดลงแล้ววิ่งโผ

ข้าหาที่กำบังอย่างห้าวหาญ

 

          

          ทรงรับสั่งให้นักบิน นำเครื่องมุ่งตรงไปยังฐานบ้านหมากแข้งทันที

 

          

ถึงแม้ว่าแม่ทัพภาคที่ ๓ จะกราบบังคมทูลทัดทานเนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นไม่น่า

ว้วางใจ แต่พระองค์ทรงยืนยันอย่างหนักแน่น ว่าชักช้าไม่ได้ ต้องรีบแก้ไขในวันนี้และเดี๋ยวนี้

 

          

ทรงประทับแรมที่ฐานปฏิบัติการบ้านห้วยมุ่น ทรงเสวยพระกายาหารอย่างเรียบง่าย

เช่นเดียวกับทหารคนอื่นๆ ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น

 

..เรื่องเก่าเล่าตำนาน..
กษัตริย์ยอดนักรบ!!
www.arjanpong.com
#ยุทธภมิภูขวาง #ด่านซ้าย #เลย
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพวรางกูร รัชกาลที่ ๑๐ ในช่วงที่พระองค์ทรงเป็นนายทหารประจำการ เป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในช่วงทำสงครามกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ทั่วทุกภาค ทหารกล้าจำนวนมากถูกส่งไปต่อกรข้าศึกตามแนวชายแดน พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปมอบพระราโชวาทเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับทหารที่กำลังจะออกไปรบกับข้าศึก และเสด็จฯไปต้อนรับเมื่อทหารเหล่านั้นกลับมาจากการปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้าด้วยพระองค์เอง

พันเอก สมจริง สิงหเสนี นายทหารนอกราชการ อดีตผู้สื่อข่าวและช่างภาพ กองทัพภาคที่ ๓ เล่าเรื่องราวภาพถ่ายประวัติศาสตร์ ในสมรภูมิรบ ที่ประทับใจมากที่สุดคือ ยุทธการภูขวาง ที่บ้านหมากแข้ง ตําบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

โดยเมื่อกว่า ๔๐ ปีที่ผ่านมา วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯ ให้ร้อยเอก สมเด็จพระบรมโอรสสาธิราชในขณะนั้นหรือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพวรางกูร รัชกาลที่ ๑๐ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน และราษฎรในพื้นที่ เนื่องจากถูกผู้ก่อการร้ายพรรคคอมมิวนิสต์โจมตีอย่างหนัก

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพวรางกูร ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง ไปยังฐานปฏิบัติการบ้านห้วยมุ่น หลังจากประทับรับฟังการบรรยายสรุปแล้ว พระองค์ทรงรับสั่งกับ พลโทสมศักดิ์ ปัญตมานนท์ แม่ทัพภาคที่ ๓ ขณะนั้นด้วยพระสุรเสียงอันหนักแน่นว่า "จะต้องไปแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นให้ได้" ถึงแม้ว่าแม่ทัพภาคที่ ๓ จะกราบบังคมทูลทัดทานเนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นไม่น่าไว้วางใจ แต่พระองค์ทรงยืนยันอย่างหนักแน่น ว่าชักช้าไม่ได้ ต้องรีบแก้ไขในวันนี้และเดี๋ยวนี้

จากนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรับสั่งให้นักบิน นำเครื่องมุ่งตรงไปยังฐานบ้านหมากแข้งทันที ขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังร่อนลงยังไม่ทันถึงพื้น พระองค์กระโดดลงแล้ววิ่งโผเข้าหาที่กำบังอย่างห้าวหาญ ในขณะเดียวกันผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ใช้อาวุธปืนเล็กระดมยิงเข้ามายังฐานบ้านหมากแข้งอย่างหนัก พระองค์ได้สั่งให้ทหารที่ตามเสด็จ แยกย้ายและยิงโต้ตอบ

พระองค์ทรงใช้หลักการและระเบียบการรบแบบทหารที่ฝึกฝนมาจากทั้งในประเทศและนอกประเทศ สู้ด้วยใจ กับ สมอง พระองค์ทรงยิงตอบโต้และวิ่งเข้าประชิด บีบให้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มีพื้นที่ในการต่อสู้แคบลง ทั้งสองฝั่งยิงตอบโต้กันอย่าไม่ยอมแพ้ แต่ด้วยวิสัยทัศความสามารถด้านทหารของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพวรางกูร รัชกาลที่ ๑๐ ที่หัวใจต้องการปกป้องชาวบ้านที่ถูกรุกรานมาเป็นระยะเวลานาน และทหารที่โดนยิงเสียชีวิตไปหลายนาย

พระองค์จึงยิงสู้แบบไม่เกรงกลัวสิ่งใด และพาทหารเข้าประชิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ต้องล่าถอยไปเพราะเห็นท่าไม่ดี ถ้ายังสู้ต่ออาจจะไม่ได้กลับ สนามรบครั้งนี้จึงถือว่า พระองค์ท่านเอาชนะข้าศึกได้โดยใช้เวลาไม่มาก

ในคืนนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพวรางกูร รัชกาลที่ ๑๐ ทรงประทับแรมที่ฐานปฏิบัติการบ้านห้วยมุ่น ทรงเสวยพระกายาหารอย่างเรียบง่าย เช่นเดียวกับทหารคนอื่นๆ ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น เหตุการณ์ ในครั้งนั้น สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ ตำรวจตระเวนชายแดน ทหาร และราษฎรในพื้นที่ อย่างหาที่สุดมิได้....

Credit : https://www.tnews.co.th

guest

Post : 2019-03-15 13:36:11.0     Forum: ข่าว  >  แสงจากนิมิต ที่สถิตอยู่กลางท้องฟ้าทางทิศหรดี เมื่อพาดผ่านพระองค์ท่านก็เสด็จสวรรคต!!

 

 

          

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งอาณาจักรอยุธยา

มีพระนามเดิมว่า พระเชษฐา เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จ

พระราชสมภพที่เมืองพิษณุโลกเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2015 ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนาน

ถึง 38 ปี นับเป็นลำดับที่สองรองจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถผู้เป็นพระราชบิดา

 

          

พ.ศ 1999 (สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) เกิดไข้ทรพิษในกรุงศรีอยุธยา คนล้มตายเป็นจำนวนมาก

 

          

ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ทุกคนต่างออกจากบ้าน ตาทุกคู่จ้องจับไปที่ที่มาของแสง

สีเงินยวงที่ส่องลงมาจากฟากฟ้า แสงที่อาบพระนครศรีอโยธยาในค่ำคืนนั้น แสงจากนิมิต

ที่สถิตอยู่กลางท้องฟ้าทางทิศหรดี ดาวหางที่ต่อมาจะรู้จักในชื่อของ ดาวหางฮัลเลย์

 

          

ดาวหางฮัลเล่ย์ถูกค้นพบโดยเอ็ดมันด์ ฮัลเล่ย์ นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ 2248 

 

แสงจากนิมิต ที่สถิตอยู่กลางท้องฟ้าทางทิศหรดี 
เมื่อพาดผ่านพระองค์ท่านก็เสด็จสวรรคต!!
www.arjanpong.com
#ดาวหางฮัลเลย์ #พระเชษฐา #อยุธยา

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งอาณาจักรอยุธยา มีพระนามเดิมว่า พระเชษฐา เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จพระราชสมภพที่เมืองพิษณุโลกเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2015 ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานถึง 38 ปี นับเป็นลำดับที่สองรองจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถผู้เป็นพระราชบิดา

Tome Pires ชาวโปรตุเกตุ เคยเข้ามาทำการค้าในแถบเอเชีย โดยประจำอยู่ที่มะละกาในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2055 – 2057 บันทึกเรื่องราวของอยุธยาในช่วงรัชสมัยพระเชษฐาไว้ว่า พระองค์เป็นนักล่าสัตว์ มีพระมเหสีและสนมมากกว่า 500 คน พ่อค้าต่างชาติที่เข้ามาค้าขายในสยามจะถูกกดราคา เว้นแต่พวกจีนซึ่งสยามมีความสัมพันธ์กับจีนมาเก่าก่อนจะมีปัญหาน้อยกว่าชาติอื่นๆ เหตุนี้พ่อค้าจึงเข้ามาค้าขายกับอยุธยาน้อยกว่าท่าเรือแห่งอื่น

ชาวสยามไม่ชอบแขกมัวร์ และรบกับพวกมัวร์อยู่เป็นประจำ ชาวสยามสวมเครื่องรางของขลัง พวกผู้มีอำนาจทางการปกครองประดับเพชรยอดแหลมและแก้วแหวนของมีค่าบริเวณที่ลับ

หัวเมืองของสยามที่ใกล้พม่ามากที่สุดคือเมืองตะนาวศรี ถัดลงมาถึงเคดาห์ หัวเมืองประเทศราชเริ่มจากปะหัง ตรังกานู กลันตัน มีแม่น้ำ Odia หรือเจ้าพระยาขึ้นไปถึงอยุธยา

สยามมีการปลูกข้าวอย่างล้นเหลือและมีเกลือมาก สินค้าที่นำมาจากมะละกาคือทาส พระเจ้าอยู่หัวมีความหมายว่าเจ้าเหนือหัว มีอุปราชคนหนึ่งคุมทางพะโคและกัมพูชา และเปรียบเสมือนพระเจ้าแผ่นดิน

อุปราชอีกคนหนึ่งคุมอยุธยาไปถึงปะหัง อีกคนหนึ่งคุมตะนาวศรี ตรัง และ เคดาห์ อีกคนหนึ่งเป็นเลขานุการของพระเจ้าแผ่นดิน ทุกๆเรื่องจะต้องผ่านเขาคนนี้และพระยาโกษาธิปดีซึ่งทำหน้าที่คลัง

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2072 สมเด็จพระรามาธิบดีเสด็จฯ ไปพระที่นั่งหอพระ และเสด็จสวรรคตในตอนค่ำของวันนั้น ขณะพระชนมายุได้ 57 พรรษา ครองราชสมบัติรวม 38 ปี ในปีนั้นพบว่าดาวหางฮัลเลย์โคจรมาใกล้โลก ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ ว่า "ศักราช 891 ฉลูศก เห็นอากาศนิมิตเป็นอินทรธนูแต่ทิศหรดี ผ่านอากาศมาทิศพายัพ มีพรรณขาว..."

guest

Post : 2019-03-14 21:44:44.0     Forum: ข่าว  >  "เเม่ครับผมอยู่นี่!!"เสียงเเว่วจนเเม่ตามพบศพ หนูน้อย 9 ขวบ ถูกพรานป่าฝังดิน!!

 

     

                               

 

...ข่าวพลังภูผา.. "เเม่ครับผมอยู่นี่!!"เสียงเเว่วจนเเม่ตามพบศพ หนูน้อย 9 ขวบ ถูกพรานป่าฝังดิน!! www.arjanpong.com #ฝังเด็ก9ขวบ #นายพราน #หัวหิน จากกรณีพบศพ ด.ช.เฉลิมชัย โจปะถา อายุ 9 ขวบ นักเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านแพรกตะคร้อ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดถึงแก่ชีวิต ก่อนถูกคนร้ายนำศพมาฝังดินอำพรางคดี บริเวณป่าสับปะรดติดเชิงเขา พื้นที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยเจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นฝีมือของพรานป่าล่าสัตว์ ที่พลาดยิงปืนใส่เด็กขณะวิ่งเล่นอยู่ใกล้ชายป่า เพราะคิดว่าเป็นสัตว์ป่าวิ่งผ่าน ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ญาติของ ด.ช.เฉลิมชัย เล่าให้ฟังว่า หลังจาก ด.ช.เฉลิมชัย หายไปนั้น ทั้งพ่อแม่และญาติพี่น้อง ตลอดจนเพื่อนฝูง ต่างออกตามหาไปทั่วแต่ก็ไม่พบ ทั้งที่น้องเป็นคนดีชอบช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้านไม่เคยไปเที่ยวเล่นที่ไหนไกลบ้าน . วันต่อมาจึงไปแจ้งกับทางผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยกันออกตามหาช่วงวันจันทร์และอังคารที่ผ่านมาแต่ก็ยังไม่พบเช่นเคย สุดท้ายจนปัญญา พ่อแม่จึงจุดธูปบนบานเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ขอให้พบบุตรชาย เมื่อออกตามหาอีกครั้ง ปรากฏว่ามีญาติคนหนึ่งได้ยินเสียงแว่วคล้ายเด็กเรียกบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ พอตามไปดูก็พบรอยหญ้าแหวกเป็นทางไปจนถึงกองดินและหิน เมื่อขุดดูก็พบว่ามีส่วนหน้าผากของเด็กโผล่ออกมา จึงรีบโทรศัพท์ติดต่อพ่อแม่ของเด็ก รวมทั้งแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ เบื้องต้นพ่อแม่เด็กยังคงเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเชื่อว่าลูกชายถูกนายพรานยิงจนเสียชีวิตแน่นอน เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าเขา มักจะได้ยินเสียงปืนแว่วดังมาไกลๆด้วยฝีมือของพรานล่าสัตว์นั่นเอง. ... Credit : https://www.dailynews.co.th/crime/698369 https://www.facebook.com/newsthaich8/...

guest

Post : 2019-03-14 13:04:44.0     Forum: ข่าว  >  นักรบร่วมเป็นร่วมตาย ใครจะฆ่าทิ้งลง!!

 

          

                    เจ้าพระยาสุรสีห์ ขุนศึกคู่พระทัย สมเด็จพระเจ้าตากสิน 

 

          

อู่ต่อเรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่จันทบุรี ก่อนจะยกทัพบุกเข้าตีเอาคืน 

ค่ายโพธิ์สามต้น กรุงศรีอยุธยา

 

          

คืนวันเสาร์ที่ ๓ มกราคม ๒๓๐๙ พระยาตากพร้อมผู้ร่วมอุดมการณ์ประมาณ ๑๐๐๐ คน

ข้ามลำน้ำป่าสักมารวมพลที่ค่ายวัดพิชัย พอเวลาค่ำร่วมกันตั้งสัตยาธิษฐาน ร่วมเป็นร่วมตาย

ต่อพระประธานในอุโบสถวัดพิชัย ครั้นฤกษ์ดีในคืนนั้น พระยาตากควบม้านำหน้าทหารคู่ใจ

ไทยและจีน ตีฝ่าวงล้อมพม่ามุ่งออกไปทางทิศตะวันออก

 

          

                 พระบรมสาทิสลักษณ์พระเจ้าตากสิน ขณะผนวชเป็นพระภิกษุ

 

...เรื่องเก่าเล่าตำนาน...
นักรบร่วมเป็นร่วมตาย ใครจะฆ่าทิ้งลง!!
www.arjanpong.com
#เจ้าตาก #พระยาสุรสีห์ #กรุงธนบุรี
ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก เจ้าพระยาสุรสีห์ฯรับราชการเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพร มีตำแหน่งเป็น นายสุดจินดา หุ้มแพร เมื่อพระเจ้าตากสินนำทหารกล้าจำนวน ๕๐๐ คนตีฝ่าวงล้อมทหารพม่าออกไปส้องสุมกำลังที่จันทบุรี นายสุดจินดาก็ลอบหนีออกมาจากกรุงเช่นกัน ไปหาพี่ชายที่เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี และตามหา นางนกเอี้ยง มารดาพระเจ้าตากสินได้ที่เมืองเพชรบุรี นำไปพบพระยาตากที่จันทบุรี และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการกอบกู้อิสรภาพ จนเมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว นายสุดจินดาได้รับโปรดเกล้าฯเป็น พระมหามนตรี ตำแหน่งเจ้ากรมพระตำรวจขวา จึงได้ไปรับพี่ชายมารับราชการด้วย

สาเหตุที่เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราชมีโทษถึงตายในสมัยกรุงธนบุรีนั้น เกิดจากเจ้าพระยาสุรสีห์ฯมีเรื่องจะต้องกราบทูล จึงตามไปขอเข้าเฝ้าขณะที่พระเจ้าตากสินทรงนั่งกรรมฐานอยู่ที่พระตำหนักแพในพระบรมราชวัง โดยมีสมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่) นั่งกำกับอยู่ด้วย พระยาพิทักษ์ภูบาลซึ่งเฝ้าอารักขาอยู่ได้โบกมือห้ามไว้ แต่เจ้าพระยาสุรสีห์ฯเข้าใจว่าโบกมือให้เข้าได้ จึงย่องเข้าไป

พระยาพิทักษ์ฯเห็นดังนั้นก็เกรงว่าตนจะมีความผิดที่ปล่อยให้ใครเข้าไปถึงพระองค์ในขณะที่นั่งกรรมฐาน แม้จะเป็นผู้ใกล้ชิดเช่นเจ้าพระยาสุรสีห์ฯก็ตาม จึงสั่งให้ทหารควบคุมตัวไว้ และค้นตัวจนทั่ว แต่ก็ไม่พบอาวุธใดๆ

สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงกริ้ว ตรัสกับเจ้าพระยาสุรสีห์ฯว่า ทำอย่างนี้จะลอบเข้ามาปลงพระชนม์หรือ ในเมื่อเป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็ย่อมจะต้องรู้ธรรมเนียมของราชสำนักดี แต่เห็นว่าเจ้าพระยาสุรสีห์มีความดีความชอบมาก่อน จึงอนุญาตให้ลงโทษตัวเอง

เจ้าพระยาสุรสีห์ฯจึงพิพากษาตัวเองด้วยหัวใจเด็ดเดี่ยวว่า...ความผิดครั้งนี้ โทษถึงริบราชบาตร เฆี่ยนเก้าสิบที แล้วประหารชีวิต

พระเจ้าตากสินรับสั่งว่า ได้เคยปฏิญาณไว้แต่ครั้งที่เจ้าพระยาสุรสีห์ฯพาแม่ไปส่งให้ที่จันทบุรีว่า ถึงทำความผิดอย่างไรก็จะไม่ประหาร

เจ้าพระยาสุรสีห์กราบทูลว่า เมื่อไม่ประหารก็ให้เฆี่ยนหกสิบทีแล้วเอาไปขังคุกจนกว่าจะตาย

พระเจ้าตากสินก็ว่า เอาไปขังคุกไว้ตลอดชีวิต แล้วจะเอาใครไว้ใช้เล่า

พระยาสุรสีห์ก็กราบทูลอีกว่า ถ้าเช่นนั้นก็ให้เฆี่ยนหกสิบที แล้วปลดออกจากตำแหน่งลงเป็นไพร่

พระเจ้าตากสินก็รับสั่งว่า ถ้าเป็นไพร่ ก็จะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน มีเรื่องอะไรขึ้นมาจะปรึกษาใคร

เจ้าพระยาสุรสีห์ฯจึงกราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้นก็ให้ลงพระอาญาเฆี่ยนหกสิบที แล้วโปรดเกล้าฯให้อยู่ตำแหน่งเดิมต่อไป

พระเจ้าตากสินจึงทรงยอมจำนน ตกลงพระราชหฤทัยลงโทษตามที่เจ้าพระยาสุรสีห์ฯพิพากษาตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ให้เจ้าพนักงานจับเจ้าพระยาสุรสีห์ฯมัดมือคร่อมกับเสา แล้วเรียกหวายจากพนักงานมาทรงเฆี่ยนด้วยพระหัตถ์เอง

เรื่องนี้เจ้าพระยาสุรสีห์ฯ เก็บความเคียดแค้นไว้ที่สมเด็จพระวันรัต ซึ่งเชื่อว่าจะต้องเป็นผู้ใส่ความจนทรงกริ้ว ฉะนั้นเมื่อผลัดแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชย์ และเจ้าพระยาสรุสีห์ฯได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรฯ ตำแหน่งอุปราช จึงได้โอกาสชำระแค้น กราบทูลให้สึกสมเด็จพระวันรัต เฆี่ยน ๓๐๐ ที แล้วให้เอาไปประหารชีวิต

แต่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (รัชกาลที่ ๒) ซึ่งเป็นลูกศิษย์สมเด็จพระวันรัตทูลขอชีวิตไว้ พระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ไว้ชีวิตสมเด็จพระวันรัตที่ถูกสึกมาเป็นนายทองอยู่ และถูกเฆี่ยนไปแล้ว ให้เป็นหลวงอนุชิตพิทักษ์ สังกัดกระทรวงมหาดไทย.....

Credit : ปรามินทร์ เครือทอง
https://mgronline.com/onlinesection/

guest

Post : 2019-03-13 14:46:30.0     Forum: ข่าว  >  หญิงอินเดียนั่งฉี่บนราง โดนรถไฟชนปลิวหวิดถูกขยี้ร่างแหลก!!

 

 

                        

 

...ข่าวพลังภูผา...
หญิงอินเดียนั่งฉี่บนราง 
โดนรถไฟชนปลิวหวิดถูกขยี้ร่างแหลก!!
www.arjanpong.com
#หญิงอินเดีย #รถไฟชน #มุมไบ
เดลิสตาร์ - สื่อต่างประเทศเผยแพร่คลิประทึก ภาพจากกล้องวงจรปิดเหตุการณ์ผู้หญิงคนหนึ่งถูกรถไฟชนแบบเฉี่ยวๆจนตัวกระเด็น หลังลงไปนั่งฉี่บนราง แต่นับว่าเคราะห์ดีที่ไม่ถูกขยี้จังๆ รอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชอย่างหวุดหวิด

ไม่มีการเปิดเผยชื่อเหยื่อในอุบัติเหตุครั้งนี้ แต่สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าเธอลงไปบนรางรถไฟใต้ชานชาลาของสถานีดาดาร์ ในเมืองมุมไบ เพื่อปลดทุกข์ แต่ตอนนั้นไม่ตระหนักว่าอีกไม่นานขบวนรถไฟเที่ยวถัดไปจะแล่นเข้ามาเทียบสถานี

ในวิดีโอพบเห็น ผู้หญิงคนดังกล่าวตะเกียกตะกายปีนกลับขึ้นไปบนชานชาลา ในขณะที่ขบวนรถไฟแล่นเข้ามายังสถานีพอดี อย่างไรก็ตามมันสายไปเสียแล้ว เธอถูกชนและลากไปตามชานชาลาเป็นระยะทางหลายเมตร

พนักงานขับรถไฟได้รับการยกย่องจากการคิดเร็วทำเร็ว โดยทันทีที่เห็นผู้หญิงคนดังกล่าว เขาตัดสินใจใช้เบรคฉุกเฉินและมันช่วยผ่อนแรงกระแทกลง อย่างไรก็ตามเหยื่อก็ไม่รอดพ้นถูกชน และตัวของเธอถูกอัดเข้าไปติดในช่องว่างระหว่างขบวนรถไฟกับชานชาลา

เจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์รถไฟของอินเดียยืนยันว่าผู้หญิงลงไปปัสสาวะบนรางตอนประสบเหตุ และอาร์เค ดูเบย์ หัวหน้ากองกำลังพิทักษ์รถไฟประจำสถานีดังกล่าว ซึ่งอยู่ในจุดเกิดเหตุพอดี ได้รุดเข้าไปช่วยเหยื่อรายนี้ เช่นเดียวกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ช่วยกันดึงตัวเหยื่อไปยังจุดปลอดภัย

ดูเบย์ บอกว่าผู้หญิงคนดังกล่าวปฏิเสธการรักษา และที่ไม่น่าเชื่อก็คือเธอสามารถเดินออกจากสถานีรถไฟอย่างปกติทั่วไปราวกับไม่เคยประสบอุบัติเหตุใดๆ.....

Credit : https://mgronline.com/around/detail/9620000024960

guest

Post : 2019-03-13 11:51:29.0     Forum: ข่าว  >  ทหารเอกคู่บัลลังก์พระเจ้าตาก ขอตายเพื่อเป็นข้านายเดียว!!

 

          

อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหักแกะสลักจากไม้ตะเคียนโบราณ ประดิษฐานบริเวณ

หน้าวัดคุ้งตะเภา หันหน้าสู่ทุ่งสมรภูมิสวางคบุรี เพื่อรำลึกถึงอดีตเมืองสวางคบุรีใ

นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ ๆ ท่านได้มาฝึกมวยกับครูเมฆ

แห่งบ้านท่าเสา-คุ้งตะเภา ในวัยเด็ก และเป็นพื้นที่เกิดวีรกรรมการปรามชุมนุม

เจ้าพระฝางแห่งเมืองสวางคบุรี เป็นชุมนุมสุดท้ายในสมัยธนบุรี

 

          

  ภาพพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณพระยาพิชัยดาบหัก ในพิธีปลุกเศกเหรียญ

  พระยาพิชัยดาบหัก‬ ณ ปรำพิธีหน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2513

 

          

 พระปรางค์วัดราชคฤห์วรวิหาร กทม.สถานที่บรรจุอัฐิของพระยาพิชัยดาบหัก และหมื่นหาญณรงค์ 

 

          

                     ทองดีฟันขาว (แสดงโดย บัวขาว บัญชาเมฆ)

 

...เรื่องเก่าเล่าตำนาน...
ทหารเอกคู่บัลลังก์พระเจ้าตาก 
ขอตายเพื่อเป็นข้านายเดียว!!
www.arjanpong.com
#พระยาพิชัยดาบหัก #พระเจ้าตาก #กรุงธนบุรี
บรรดาทหารที่ติดตามพระเจ้าตากสินแหวกวงล้อมพม่าออกมาจากกรุงศรีอยุธยา ในพงศาวดารปรากฏชื่ออยู่เพียงไม่กี่คน เช่น พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยราชา หลวงราชเสนา ขุนอภัยภักดี ขุนพิพิธวาที หมื่นราชเสน่หา นายทองดี นายบุญมี นายแสงทหาร และนักองราม เจ้ากรุงกัมพูชา เป็นต้น

ในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ใกล้ชิดพระเจ้าตากสินที่ติดตามมาจากเมืองตาก แต่มีไม่กี่คนที่ต่อมาถือได้ว่าเป็นทหารเอกคู่บัลลังก์ อย่างเช่น หลวงพิชัยราชา และนายทองดี หรือหลวงพิชัยอาสา ซึ่งร่วมชะตากรรมแหวกวงล้อมพม่าออกมาจากกรุงศรีอยุธยาด้วยกัน

นายทองดี หรือ หลวงพิชัยอาสา ผู้นี้ เข้ารับราชการกับพระเจ้าตากสินเมื่อครั้งยังทรงดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตาก เดิมมีนามว่า “จ้อย” เป็นชาวเมืองพิชัย ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นบุตรชาวนาที่ยากจน และมีนิสัยรักการผจญภัยชอบชกต่อย มีบาดแผลฟกช้ำเป็นประจำ พ่อแม่จึงพาไปฝากเรียนหนังสือกับท่านพระครูที่วัดมหาธาตุ เมืองพิชัย เมื่ออายุได้ ๘ ขวบ แต่อยู่ได้ ๖ ปีก็ไปเกิดเรื่องกับลูกชายเจ้าเมืองพิชัยที่เรียนอยู่วัดเดียวกัน และวางอำนาจจะเป็นใหญ่ แต่จ้อยไม่ยอมให้ข่มจึงต่อยเสียสลบ เลยต้องหนีไปให้พ้นอาญาวัดและอาญาเจ้าเมือง

จ้อยมุ่งไปที่บ้านท่าเสา เพราะประทับใจฝีมือครูมวยคนหนึ่งชื่อ “เที่ยง” ซึ่งเคยมาโชว์ฝีมือในงานวัดมหาธาตุ โดยอาศัยวัดในเส้นทางเป็นที่พักและประทังความหิวไปตลอดทางจนถึง แต่ก็ยังกลัวคดีที่ทำกับลูกเจ้าเมืองไว้ จึงบอกกับครูเที่ยงว่า

“ฉันชื่อทองดี พ่อแม่อยู่ที่บ้านดินแดง แต่ท่านไม่ชอบให้ฉันหัดมวย จึงหนีท่านมาฝากตัวกับอาจารย์”

ครูเที่ยงเห็นความตั้งใจของทองดีก็รับไว้เป็นศิษย์

ทองดีฝึกปรือวิชามวยอยู่ที่ท่าเสาจนแกร่งกล้าแล้ว ก็พอดีมีพระภิกษุรูปหนึ่งธุดงค์ผ่านมาและเห็นฝีมือ จึงชวนไปอยู่เมืองสวรรคโลก โดยฝากกับอาของท่านซึ่งเป็นครูดาบของเจ้าเมือง

เรียนทั้งวิชามวยและวิชาดาบแล้ว ก็มีพ่อค้าจีนคนหนึ่งมาชวนไปเมืองตาก บอกว่าพระยาตากเป็นคนที่โปรดปรานกีฬาชกมวยมาก น่าจะไปสมัครรับราชการกับท่าน ซึ่งทองดีก็เห็นชอบด้วย

การเดินทางจากสวรคโลกไปตากในสมัยนั้นต้องพักแรมกลางป่าที่ชุกชุมด้วยเสือ โดยจุดกองไฟแล้วผลัดกันเฝ้ายามไว้ พอตอนดึกมีเสือตัวหนึ่งเข้ามาคาบขาเด็กชายที่ติดตามมาออกไป ทองดีกำลังเคลิ้มหลับได้ยินเสียงเด็กร้องให้ช่วย ด้วยนิสัยที่ไม่กลัวอันตรายใดๆ ก็คว้ามีดพกยาวประมาณ ๑ คืบที่ติดตัวมาวิ่งตามไป พอทันก็โดดเข้ากอดคอเสือกระชากจะให้ปล่อยเด็ก เสือเลยหันมาจะคาบทองดีแทน ทองดีฉวยจังหวะนี้เสือกคมมีดเข้าที่คอเสือ ทำให้เสือร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แล้วผละหนีเข้าป่าไปทั้งที่มีดยังติดอยู่ที่ลำคอ

ทองดีพาเด็กเข้ารักษาที่เมืองตากได้อย่างปลอดภัย แต่ต่อมาอีก ๓-๔ วันก็มีกองเกวียนพ่อค้าจากสุโขทัยมาแจ้งว่า พบเสือนอนตายอยู่กลางป่า มีมีดปักคาอยู่ที่คอ

ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๓๐๓ ขณะทองดีมีอายุได้ ๑๘ ปี พระยาตากได้จัดให้มีพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาเช่นทุกปีที่วัดซึ่งทองดีพักอยู่ ในงานนี้ที่ขาดไม่ได้ก็คือการแข่งขันชกมวย ทองดีเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะแสดงฝีมือต่อหน้าเจ้าเมือง จึงไปเปรียบมวยในครั้งนี้ด้วย

ครูห้าว ครูมวยชื่อดังของเมืองตากได้พาลูกศิษย์ของตัวมาเปรียบด้วย ทองดีอยากจะดังทางลัดจึงขอจับคู่กับครูห้าวเสียเลย แต่แรกครูห้าวก็ไม่เชื่อหู เพราะใครก็รู้ว่าครูห้าวนั้นมีฝีมือระดับที่ไม่มีใครกล้าเทียบ แต่เด็กหนุ่มตัวดำยิ้มฟันขาวก็ย้ำหนักแน่นว่า

“จริงๆนะพ่อครู ฉันอยากจะต่อยกับพ่อครูมากกว่าคนอื่น เพราะถ้าฉันแพ้ฉันก็จะได้จดจำเชิงมวยจากพ่อครูไว้ไม่มากก็น้อย พ่อครูโปรดสั่งสอนฉันด้วยเถิด”

ครูห้าวจะไม่รับก็ไม่กล้า เพราะลูกศิษย์ของท่านก็ได้ยินพร้อมกัน จึงยอมรับท้า
เมื่อกรรมการจับคู่ให้ตามประสงค์แล้ว ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วอย่างไม่น่าเชื่อหูว่า มีเด็กหนุ่มที่ชื่อทองดี ตัวดำยิ้มฟันขาว จะขึ้นชกกับครูห้าวในเย็นวันนั้น

ทองดีได้นำเรื่องเปรีบมวยจับคู่กับครูห้าวไปเล่าให้พระครูวัดใหญ่ที่ตนอาศัยอยู่ฟัง ท่านพระครูก็ตกใจ ไม่คิดว่าลูกศิษย์จะบ้าระห่ำถึงขนาดนั้น เพราะครูห้าวเป็นครูมวยชื่อโด่งดัง วัยเพิ่งใกล้ ๔๐ รูปร่างสูงใหญ่บึกบึนที่ทองดีไม่น่าต้านแรงได้ ที่สำคัญยังมีลูกศิษย์ทั่วเมือง หากทองดีเอาชนะครูห้าว ทำให้ครูมวยชื่อดังของเมืองตากอับอายขายหน้า ลูกศิษย์ครูห้าวก็ต้องพากันโกรธแค้น จนทองดีไม่สามารถอยู่วัดนี้ได้ต่อไป

ข้อหลังนี้ทำเอาทองดีถอดใจ พอถึงเวลาชกจึงหลบหน้าไม่ยอมมาขึ้นเวที พระยาตากซึ่งนั่งเป็นประธานอยู่ข้างเวทีจึงให้ทหารไปตามตัวทองดีมาให้ได้ เพราะกำลังสนใจที่ได้กิตติศัพท์ว่าหนุ่มคนนี้คือคนที่ฆ่าเสือด้วยมีดพก ทหารไปพบทองดีกำลังปรึกษาอยู่กับท่านพระครูจึงพามาพบพระยาตาก

ทองดีกราบเรียนตามตรงถึงเหตุผลที่ไม่กล้าขึ้นชก พระยาตากจึงบอกว่าอย่าวิตกไปเลย จะรับประกันความปลอดภัยในเรื่องนี้ให้เอง ทองดีจึงก้มกราบแล้วไปขึ้นเวทีตามที่เปรียบไว้

เมื่อสิงห์หนุ่มและเสือเฒ่ายืนประกบกันกลางเวที คนดูทั้งสนามก็เห็นว่าสิงห์หนุ่มไม่มีทางจะสู้ได้ เพราะความที่เป็นไก่อ่อนคนละรุ่นกับครูมวยที่เจนเชิงแล้ว รูปร่างของครูห้าวยังล่ำสันบึกบึน แต่คนรอบเวทีก็ประทับใจในท่ารำมวยของนายทองดีฟันขาว ที่สง่างามดูมีอำนาจ เหมือนพระยาราชสีห์จะเข้าจับสัตว์เป็นภักษาหาร

ส่วนครูห้าวพอกรรมการให้เริ่มก็บุกเข้าใส่ทองดีทันทีด้วยกลยุทธที่ครบเครื่อง สิงห์หนุ่มได้แต่ปัดป้องตามเชิงมวยที่ตนฝึกมามิให้โดนอย่างเต็มๆ แต่บางทีก็พลาดถึงล้ม ประคองตัวจนหมดยกไปได้

ระหว่างพักยก พระยาตากมาถามด้วยความเป็นห่วงว่าจะสู้ต่อไปอีกไหม ทองดีก็กราบเรียนว่าจะขอดูอีกสักยก

ก่อนจะขึ้นยกสอง ทองดีได้ยกมือไหว้ครูห้าวแล้วบอกว่า

“ยกนี้ฉันขอทำบ้างละนะ พ่อครูเตรียมรับให้ดีก็แล้วกัน”

พอเริ่มยกสองสิงห์หนุ่มก็ไม่รอช้า โดดขึ้นเหยียบชายพกครูห้าว แล้วเสือกหมัดเข้าเบ้าตาอย่างจัง จนครูมวยเอียงกระเท่เร่ ทองดียังประเคนศอกซ้ายขวาเข้าที่หัวอีก แล้วกระโดดตีลังกาข้ามหัวไปยืนอยู่ข้างหลังตามท่าที่จดจำมาจากงิ้ว ครูห้าวเจอหมัดและศอกยังยืนงงไม่หาย ก็ถูกสิงห์หนุ่มประเคนเท้าเข้าปากครึ่งจมูกครึ่ง และยังหวดเข้าที่กรามจนดังลั่นเวที ทำเอาเสือเฒ่ากลายเป็นนกปีกหักล้มลงกองกับพื้น เมื่อฟื้นขึ้นมาครูห้าวก็ยอมรับอย่างนักกีฬาว่าแกแพ้อย่างสู้ไม่ได้จริงๆ

แต่พระยาตากยังแคลงใจว่าชัยชนะของนายทองดีฟันขาวอาจจะเป็นแค่ฟลุ๊ค จึงถามว่า

“เจ้ายังจะพอสู้กับคนอื่นให้ข้าดูอีกสักครั้งได้หรือไม่?”

ซึ่งทองดีก็รับว่าได้ พระยาตากจึงให้ครูมวยของพระองค์ที่ชื่อ หมึก วัยเดียวกับครูห้าวเป็นคู่ชก ปรากฏว่าพอขึ้นเวทีประกบคู่กัน คนดูก็ฮือกันทั้งเวที เพราะนายหมึกตัวใหญ่กว่าครูห้าวเสียอีก ยืนบังทองดีมิด ทั้งยังดำไม่แพ้ทองดี

พระยาตากยังกลัวว่าทองดีจะไม่กล้าสู้ จึงถามให้แน่ใจว่าจะสู้หรือไม่ ซึ่งทองดีก็รับว่าสู้

พอเริ่ม ครูหมึกเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเหมือนครูห้าว แต่ต่อยเตะได้อย่างละที ซึ่งทองดีก็ปิดป้องไว้ได้ หลังจากนั้นก็ประเคนทั้งหมัดและเท้าเป็นจักรผันโต้กลับจนครูหมึกไม่มีโอกาสตอบโต้ ทั้งยังเข้าเป้าจุดยุทธศาสตร์ที่กรามและก้านคอ ครูหมึกจึงสลบคาเวทีไปอีกราย

พระยาตากหายสงสัย เรียกทองดีมาหมอบข้างหน้า ประทานรางวัลให้ ๕ ตำลึง แล้วกล่าวว่า

“เจ้ามีฝีมือการต่อสู้เป็นเลิศอย่างนี้ สมควรจะรับใช้ชาติบ้านเมือง เข้ามาเป็นทหารอยู่กับข้าเสียเถิด จะเลี้ยงเจ้าให้เป็นสุขตลอดไป”

ทองดีก้มลงกราบ ถวายตัวเป็นทหารกล้าของพระยาตากตั้งแต่วันนั้น ขณะมีอายุได้ ๑๙ ปี

พระยาตากได้กราบทูลไปยังกรุงศรีอยุธยา พอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ทองดีเป็นหลวงพิชัยอาษา ต่อมาก็สู่ขอนางสาวรำยง คนรับใช้คุณหญิงของท่านเองให้เป็นภรรยา

หลวงพิชัยอาสาติดตามพระยาตากตั้งแต่เป็นเจ้าเมืองตากในครั้งนั้น จนขึ้นครองราชย์ได้รับโปรดเกล้าเป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ ทหารเอกราชองครักษ์ และเมื่อปราบปรามก๊กต่างๆหมดแล้วได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาสีหราชเดโชชัย ครองเมืองพิชัย คราวเดียวกับที่เจ้าพระยาพิชัยราชาเป็นเจ้าเมืองสวรรคโลก และพระยายมราชได้เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราชครองเมืองพิษณุโลก

ใน พ.ศ.๒๓๑๖ พม่ายกมาตีเมืองพิชัย เจ้าพระยาสุรสีห์ยกกองทัพพิษณุโลกมาช่วย ตีพม่าแตกทัพไป ในสงครามครั้งนี้พระยาพิชัยถือดาบสองมือเข้าตลุยข้าศึกจนดาบด้ามหนึ่งหักกลางสมรภูมิ จนได้ชื่อเลื่องลือว่า “พระยาพิชัยดาบหัก”

เมื่อสิ้นรัชกาลพระเจ้าตากสิน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ทรงปรารถนาจะได้ทหารที่มีฝีมือและซื่อสัตย์อย่างพระยาพิชัยเข้ารับราชการ แต่ “พระยาพิชัยดาบหัก” ซื่อสัตย์เกินกว่าจะเป็นข้าสองเจ้าได้ และโศกเศร้าอาลัยในพระเจ้าตากสินที่เลี้ยงดูตัวให้มียศฐาบรรดาศักดิ์มาตั้งแต่อายุ ๑๙ จึงขอตายตามเจ้านายด้วย ในที่สุดก็ต้องถูกประหารชีวิต ขณะมีอายุได้ ๔๑ ปี

“พระยาพิชัยดาบหัก” เป็นต้นตระกูล วิชัยขันธะ วิชัยลักขณา ศรีศรากร พิชัยกุล ศิริปาละ ดิฐานนท์ เป็นต้น

นี่ก็เป็นชีวิตหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่มีเรื่องราวโลดโผน สนุกสนานยิ่งกว่านิยายเสียอีก และเป็นตัวอย่างของความซื่อสัตย์กตัญญู ถูกนำไปสร้างเป็นละครและภาพยนตร์มาหลายครั้ง

Credit : https://mgronline.com/โรม บุนนาค

guest

Post : 2019-03-12 13:23:25.0     Forum: ข่าว  >  ใครมารื้อ กูเอาตาย!!..

 

          

ฉากปราสาทตาพรหม ในภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider ที่มี แองเจลีนา

โจลี นำแสดง ปราสาทตาพรหม สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1729 สร้างโดยพระเจ้า

ชัยวรมันที่ 7 เพื่ออุทิศให้แก่พระมารดา

 

          

ปราสาทบายน ที่พระนครธม เสียมเรียบ สัมผัส”รอยยิ้มบายน”เป็นศุนย์กลางของ

นครธมหรืออังค์กอธมเป็นสุดยอดปราสาทของเขมรในรัชสมัยของเจ้าชัยวรมันที่ 7

ยอด ปราสาทขนาดยักษ์ทุกหลังจะแกะเป็นเทวพักตร์ 4 หน้า หันออกไปทอดพระเนตร

ความสุขความทุกข์ของประชาชน 

 

          

   ภาพร่างปราสาทนครวัด วาดโดย หลุยส์ เดอลาปอร์ต เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1880

 

          

                           ปราสาทนครวัด(จำลอง) ที่วัดพระเเก้ว กทม.

 

ใครมารื้อ กูเอาตาย!!..
www.arjanpong.com
#นครวัด #ตาพรหม #เขมร
“พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔” ฉบับของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค พ.ศ. ๒๓๕๖–๒๔๑๓ ค.ศ. ๑๘๑๓–๗๐) มีเรื่องราวที่แปลกประหลาดและน่าสนใจอย่างยิ่ง เกี่ยวกับการรื้อปราสาทขอมในกัมพูชา เพื่อนำเข้ามาไว้ในสยามประเทศสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่าให้ไปรื้อปราสาทหินนครวัดของกัมพูชาที่เมืองเสียมราฐ (เสียมเรียบ) เข้ามาไว้ในกรุงเทพฯ (และเพชรบุรี) และได้ให้ ”พระสุพรรณพิศาล ขุนชาติวิชา ออกไปเที่ยวดูที่เมืองหลวง พระนครธมพระนครวัด กลับมากราบทูลว่า…มีแต่ปราสาทใหญ่ๆ ทั้งนั้น จะรื้อเอาเข้ามาเห็นจะไม่ได้”

ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เลยรับสั่งให้ไปรื้อ ปราสาทตาพรหม ซึ่งมีขนาดย่อมกว่า

“พระราชพงศาวดารฯ” กล่าวต่อไปว่ามีการส่งคนออกไป ”๔ ผลัดๆ ละ ๕๐๐ คน ให้แบ่งเป็นกองชักลากบ้าง กองส่งบ้าง…ตั้งพลีกรรมบวงสรวง ได้ลงมือรื้อปราสาทเมื่อ ณ วันเดือน ๖ ขึ้น ๙ ค่ำ”

เหตุการณ์รื้อปราสาทด้วยจำนวนไพร่พลถึง ๒ พันคนนี้ เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๑๐ (ค.ศ. ๑๘๖๗) ซึ่งตรงกับรัชสมัยของกษัตริย์กัมพูชา คือ สมัยของพระเจ้านโรดม ซึ่งการรื้อถอนปราสาทหินครั้งนั้นล้มเหลว และพระราชพงศาวดารฯ กล่าวไว้อย่างน่าตกใจว่า มีเขมรประมาณ ๓๐๐ คนออกมาแต่ป่า เข้ายิงฟันพวกรื้อปราสาท ฆ่าพระสุพรรณพิศาลตายคน ๑ พระวังตายคน ๑ บุตรพระสุพรรณพิศาลตายคน ๑ ไล่แทงฟันพระมหาดไทย พระยกกระบัตรป่วยเจ็บหลายคน แต่ไพร่นั้นไม่ทำอันตรายแล้วหนีเข้าป่าไป

เป็นอันว่าในสมัยนั้น มีชาวกัมพูชาหรือเขมร ตั้งตัวเป็นเสมือน กองจรยุทธ์ และก็โกรธแค้นการลักลอบเข้าไปรื้อปราสาทของเขาถึงขนาด ยิงฟันบรรดาขุนนางหัวหน้าที่ควบคุมไป ถึงกับล้มตายเป็นจำนวนมาก และก็เป็นเหตุทำให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ต้องทรงระงับโครงการรื้อปราสาทหินดังกล่าว

เปลี่ยนเป็นให้จำลองปราสาทนครวัดเล็กๆ ดังที่พระราชพงศาวดารฯได้กล่าวไว้ว่า ให้ช่างกระทำจำลองตามที่ถ่ายเข้ามานั้น ขึ้นไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามจนทุกวันนี้ ซึ่งก็คือที่วัดพระแก้ว ในพระบรมมหาราชวัง นั่นเอง.....

Credit : https://www.silpa-mag.com

guest

Post : 2019-03-11 14:31:00.0     Forum: ข่าว  >   โฉมหน้านรกอำมหิต!!ฆ่าพยาบาลหมกเก๋ง!!

                          

 

โฉมหน้านรกอำมหิต!!ฆ่าพยาบาลหมกเก๋ง!!
www.arjanpong.com
#จับได้เเล้ว #ฆ่าพยาบาล #ภาชี
จากกรณีตำรวจเร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดหลังจากพบชายต้องสงสัย คาดว่าจะมีส่วนในคดีฆาตกรรม นางศรีสุภางค์ หรือ เก่ง สุวรรณศิลป์ อายุ 48 ปี พยาบาล รพ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ภายในรถยนต์เก๋ง โตโยต้า อัลติส สีขาวทะเบียน ญฉ-5426 กรุงเทพมหานคร ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มี.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดให้พยานรายหนึ่งดูยืนยันได้ว่าคนร้ายรายนี้คือ นายน๊อต เป็นอดีตพนักงานเวรเปล รพ.ภาชี ซึ่งลาออกไปแล้วประมาณ 1ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเสนอขออนุมัติศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกหมายจับ นายอั๋น หรือ น๊อต ฟักศิริ อายุ 33 ปี ในข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พร้อมกับติดตามไปจับกุมตัวได้พร้อมรถกระบะอีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน บล 3777 พระนครศรีอยุธยา ขณะหลบหนีเข้าไปภายในวัดลาดชิด ต.ลาดชิด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา และอยู่ระหว่างควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สภ.ภาชี ...

Credit : https://www.youtube.com/watch?v=jxNspWe2KE4
https://www.dailynews.co.th/crime/697805

guest

Post : 2019-03-11 12:07:27.0     Forum: ข่าว  >  นางนาก

 

 

          

แม่นาคพระโขนง เดอะมิวสิคัล สร้างขึ้นโดย บริษัท ซีเนริโอ จำกัด กำกับการแสดง

โดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ เมื่อปี พ.ศ 2552 นัท มีเรีย รับบทเป็นแม่นาค

 

          

                               สยามประเภท ของ กศร.กุหลาบ

 

          

ศาลนางนาก ที่วัดมหาบุศย์ อ่อนนุช พระโขนง กทม. สร้างตรงเรือนหลังเก่า

ของนางนาก ที่เคยอาศัยอยู่

 

          

แม่นาคพระโขนง ปี พ.ศ 2502 นำแสดงโดย สุรสิทธิ์สัตยวงศ์ ปรียา รุ่งเรือง

ผลงานการสร้างของ เสน่ห์ โกมารชุน

 

นางนาก!!
www.arjanpong.com
#ผี #วิญญาณ #แม่นาคพระโขนง 
เอนก นาวิกมูล ผู้ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ไทยได้ค้นคว้าเอกสารร่วมสมัยเกี่ยวกับเรื่องแม่นากพระโขนงนี้ พบว่า จากหนังสือพิมพ์สยามประเภทฉบับวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2442 ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ น่าจะมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ของ อำแดงนาก ลูกสาวกำนันตำบลพระโขนงชื่อ ขุนศรี ที่ตายลงขณะยังตั้งท้อง

และทางฝ่ายลูก ๆ ของอำแดงนากก็เกรงว่าบิดาของตน (สามีแม่นาก) จะไปแต่งงานมีภรรยาใหม่ และต้องถูกแบ่งทรัพย์สิน จึงรวมตัวกันแสร้งทำเป็นผีหลอกผู้คนที่ผ่านไปมาด้วยการขว้างหินใส่เรือผู้ที่สัญจรไปมาในเวลากลางคืนบ้าง หรือทำวิธีต่าง ๆ นานา เพื่อให้คนเชื่อว่าผีของมารดาตนเองเฮี้ยน

และพบว่าสามีของอำแดงนาก ไม่ใช่ชื่อ มาก แต่มีชื่อว่า นายชุ่ม ทศกัณฐ์ (เพราะเป็นนักแสดงในบท ทศกัณฐ์) และพบว่า คำว่า แม่นาก เขียนด้วยตัวสะกด ก ไก่ (ไม่ใช่ ค ควาย)

แต่การที่สามีแม่นากได้ชื่อเป็น มาก เกิดขึ้นครั้งแรกจากบทประพันธ์เรื่อง "อีนากพระโขนง" ซึ่งเป็นบทละครร้อง ในปี พ.ศ. 2454 โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์

และ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เคยทรงครอบครองกระดูกหน้าผากของแม่นากนี้ด้วยเช่นกัน โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำมาถวาย

ในทางบันเทิง เรื่องราวของแม่นากพระโขนงได้ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ละครวิทยุ และภาพยนตร์หลายครั้ง โดยเรื่องราวของแม่นากพระโขนงได้นำมาสร้างภาพยนตร์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2470 โดยหม่อมราชวงศ์อนุศักดิ์ หัสดินทร์ แต่พอสร้างแล้วพอเริ่มฉายฟิล์มก็เปื่อย และหล่นหายสาบสูญไปอย่างน่าเสียดาย

ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช 2502 แม่นาคพระโขนงไปฉายครั้งแรกที่โรงหนังบุรีรัมย์ภาพยนตร์ คุณแม่ของผม(ตาป้อง)เล่าให้ฟังว่า ฉายอยู่ดีๆ ก็เกิดไฟไหม้จอหนังขึ้นมาดื้อๆ วิ่งหนีออกจากโรงหนังแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว

เฮี้ยนสุดๆไปเลยนางนาก!!...

guest

Post : 2019-03-10 12:05:44.0     Forum: ข่าว  >  จุดสูงสุด ของเด็กบ้านนอกเลี้ยงควายคนหนึ่ง!!

 

 

          

               เพลิน พรหมแดน เมื่อตอนเข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่งปีแรก

 

          

ทีมหางเครื่องของ วงเพลิน พรหมแดน ในยุคเฟืองฟู... ดาวเด้นที่เด่นๆได้แก่

"สายทิ้ง ผิวเกลี้ยง" (คู่ชีวิต คุณแดน บุรีรัมย์) "อัญชุลี โพธิ์งาม" (น้อย โพธิ์งาม)

 

          

 

                           กับศกุนตลา พรมแดน ภรรยาคู่ชีวิต

 

          

                     ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ 2555 เพลิน พรหมแดน

 

จุดสูงสุด ของเด็กบ้านนอกเลี้ยงควายคนหนึ่ง!!
www.arjanpong.com
#นักร้องลูกทุ่ง #อรัญประเทศ 
สมส่วน พรหมสว่าง หรือ เพลิน พรหมแดน เกิดเมื่อ 12 มิถุนายน 2482 มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านกิโลสอง อ. อรัญประเทศ จ.ปราจีนบุรี (ปัจจุบันขึ้นอยู่กับ จ.สระแก้ว ) เป็นบุตรของนายปลื้ม และนางตุ่น พรหมสว่าง มีอาชีพทำนา และฐานะยากจน มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 8 คน เพลิน พรหมแดน เป็นคนที่ 5

เริ่มศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนศรีอรัญโญทัย หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา (ชั้น ป.4 )แล้ว ได้ช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่ระยะหนึ่ง แต่เกิดป่วยเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบตอนอายุ 15 ปี ทำให้ต้องเข้ามารักษาตัวที่เมืองหลวง โดยอาศัยข้าววัดของวัดเศวตฉัตรกิน พอรักษาหาย ก็เลยบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดนี้จนสอบได้นักธรรมโท

การที่เขาอยากเป็นมหาเปรียญอย่างมาก ทำให้มุท่องหนังสือหามรุ่งหามค่ำอย่างหนักจนป่วย หมอที่รักษาได้พูดกับเขาเล่นๆว่า อย่าดูตำรามาก สึกออกไปร้องรำทำเพลงบ้างก็ได้ เขาก็เลยสึกออกมาในปี 2500 จากนั้น ก็มาเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าที่วัดสุทัศน์ เพราะอยากตัดเสื้อผ้าใส่เล่นเท่ๆ แต่เมื่อเรียนเสร็จ เพราะความจนทำให้ไม่ได้เป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้า เพราะไม่มีเงินซื้อจักรเย็บเสื้อผ้า

เนื่องจากเป็นผู้มีนิสัยชอบการร้องเพลง ประมาณปี 2504 เพลิน พรหมแดน ก็ไปช่วยร้องเพลงรำวงในคณะรำวงตาเหมือนเวลามีงานกินเลี้ยง มีรายได้คืนละ 30-40 บาท กับได้รางวัลอีก 5 บาท 10 บาท

วันหนึ่งขณะไปร้องเพลงแถวบุรีรัมย์ เจอ ตชด.คนหนึ่งมาร้องเพลงด้วย และชมว่าเสียงดี ทำไมไม่ไปประกวดร้องเพลง เพลินก็เลยตัดสินใจเข้ามาประกวดร้องเพลงตามงานวัดอยู่ 2 ครั้ง ปรากฏว่าไม่ได้รางวัลอะไรกลับมา

ต่อมาในปี 2503 เมื่อสถานีวิทยุยานเกราะประกาศรับสมัครประกวดร้องเพลงในรายการ ค้นหาดาวรุ่ง ของจำรัส วิภาตะวัธ เพลิน พรหมแดน ก็ได้สมัครเข้าแข่งขัน และได้รับรางวัลชนะเลิศ ทำให้ได้ก้าวเข้าสู่วงการดนตรีโดยเข้ามาอยู่สังกัดวงชุมนุมศิลปินของจำรัส ซึ่งตอนนั้นก็มี สมศรี ม่วงศรเขียว , นิยม มารยาท , คำรณ สัมบุณณานนท์ , วงจันทร์ ไพโรจน์ และ เบญจมินทร์ เป็นนักร้องหลัก ตอนแรก เพลิน พรหมแดน ก็ทำหน้าที่แบกกลอง เช็ดรถ และคอยช่วยเหลือหัวหน้าวงอยู่ที่บ้านหัวหน้าแถวบางรัก ตอนนั้นเขาอายุราว 21 กำลังเป็นหนุ่มพอดี

เพลิน พรหมแดน ได้บันทึกเสียงครั้งแรกในปี 2504 ชื่อเพลง ทุ่งร้างนางลืม แต่งโดย นิยม มารยาท งานนี้ สมส่วน พรหมสว่าง ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเพลิน พรหมแดน จากการตั้งให้ของจำรัส วิภาตวัต ที่ให้เหตุผลว่าเขาเป็นคนมาจากเขตชายแดน

ในระยะแรกๆ เขาร้องเพลงลูกทุ่งแนวทั่วไป แต่แนวเพลงที่ทำให้ประสบความสำเร็จสูงสุด กลับเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องและคำพูดในแนวตลกสนุกสนาน ผิดกับนิสัยเงียบขรึม สงบเงียบของเขา จนทำให้ได้รับสมญานามว่า ราชาเพลงพูด เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ เขาได้เล่นหนังเรื่องฝนใต้ ของบางกอกภาพยนตร์ และสงเคราะห์ สมัตถภาพงศ์ แต่งเพลง สมัครด่วน เพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเพลงที่ร้องสลับพูด ปรากฏว่าทั้งหนังและเพลงขายดี ทำให้เขาได้แสดงภาพยนตร์ต่ออีกหลายเรื่อง พอปี 2515 ก็ได้เพลงข่าวสดๆ และเพลงในแนวนี้ตามมาอีกมาก ซึ่งเพลงในแนวนี้ที่ดังก็คือ คึกฤทธิ์คิดลึก กับ อาตี๋สักมังกร

เพลิน พรหมแดน ยังได้รับการยกย่องร่วมกับ ศกุนตลา ศรีภรรยาว่าเป็นต้นแบบในการทำหางเครื่องหรูหราอลังการสำหรับวงดนตรีลูกทุ่งอีกด้วย โดยในปี 2512 เมื่อวงการลูกทุ่งเริ่มซา เพลิน พรหมแดน ที่แต่งงานกับศกุนตลา สาวหนองคายที่เคยไปเรียนภาษาฝรั่งเศสที่เวียงจันทน์ และได้ดูการเต้นจากต่างประเทศสวยๆ ได้เริ่มปรับปรุงรูปแบบวงดนตรีของเขาจนเป็นวงแรกที่หางเครื่องเป็นกิจจลักษณะ มีชุดที่ประดับด้วยขนไก่อลังการ ทำให้วงการกลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง

นอกจากมีหางเครื่องทันสมัย วงเพลิน พรหมแดน ยังเป็นจุดเริ่มต้นของตลกชื่อดังมากมายเช่น เพชร ดาราฉาย , จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก , เด่น ดอกประดู่ , เทพ โพธิ์งาม , น้อย โพธิ์งาม , แดน บุรีรัมย์ , ดู๋ ดอกกระโดน , เพชร โพธิ์ทอง และ ดี๋ดอกมะดัน

เพลิน พรหมแดน เป็นคนที่รักษาสุขภาพได้ดีมาก ทำให้แม้จะมีอายุมาก แต่สุขภาพ รูปร่างหน้าตา ร่างกายยังแข็งแรง และดูหนุ่มแน่น ทั้งเขายังรักษาพลังเสียงได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เขาบอกเพียงว่าทำจิตใจให้สบายๆ ไม่เครียด และถ้าฝึกนั่งสมาธิได้ด้วยก็จะยิ่งดี เพราะสิ่งเหล่านี้คือ "ยา" ขนานวิเศษที่ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อหาที่ไหน

ปัจจุบัน เพลิน พรหมแดน พำนักอยู่แถวๆ ปิ่นเกล้าใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาอย่างเงียบสงบและรับงานโชว์เป็นครั้งคราวไป มีบุตรสาว น.ส.พทริยา พรหมสว่าง จบเอแบค และปริญญาโทมหาวิทยาลัยสยาม ยังไม่มีหลานให้ตายายเลี้ยง ยังเป็นโสดตามประสาคนรุ่นใหม่เรียนสูงหาคู่ยาก

เพลิน พรหมแดน ได้รับเกียรติยศสูงสุดเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยลูกทุ่ง) ในปีพ.ศ 2555

เด็กบ้านนอกเลี้ยงควายจนๆคนหนึ่ง ที่มีนิสัยเงียบขรึม สงบเสงี่ยมเจียมตัว ชอบความสงบ ใฝ่ในธรรม ไม่คิดไม่นึกว่าจะมาถึงจุดสูงสุด ของความเป็นศิลปินได้ถึงเพียงนี้ นับถือท่านจริงๆ เพลิน พรหมแดน...

처음 이전 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>