Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2019-01-11 13:41:50.0     Forum: ข่าว  >  เวทนา 2 ขวบ เเม่-พ่อเลี้ยงทุบตีเจียนตาย ยัดให้กินเเต่มาม่า!

 

                             

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
เวทนา 2 ขวบ เเม่-พ่อเลี้ยงทุบตีเจียนตาย ยัดให้กินเเต่มาม่า!
www.arjanpong.com
#2ขวบหวิดดับ #มาม่า #ชุมพร #ธรณีสัณฑะฆาต
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 10 มค.62 นางชนันธิดา สุดรอด พนักงานคุ้มครองเด็ก บ้านเด็กและครอบครัว จ.ชุมพร พร้อมด้วย นางจีรพรรณ เข็มเพชร นักพัฒนาชุมชน อบต.ละแม ตำรวจสายตรวจตำบลละแม นำร่าง ของ เด็กชาย ก.อายุ 1ขวบ 11 เดือน ส่ง รพ.ละแม เพื่อทำการตรวจอย่างเร่งด่วน โดยมี นส.สวย (นามสมมุติ) อายุ 19 ปี แม่ของ เด็กติดตามมาด้วย

จากการตรวจร่างกายเบื้องต้น พบว่า ที่เบ้าตาทั้งสองข้าง มีรอยเขียวซ้ำ ที่ แขนขวา หน้าอก แผ่นหลัง มีรอยฟันกัดเขี้ยวคล้ำ ตามร่างกายอีกหลายจุด มีร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย นอกจากนั้นบริเวณทรวงอกยังมี่ร่องรอยซ้ำภายใน ที่ต้องใช้การสแกนเพื่อตรวจสอบอวัยวะภายใน ซึ่งต้องส่งไปตรวจ ที่ รพ.ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อ.เมือง ชุมพร จากการตรวจเลือดของแพทย์ ที่ รพ.ละแม ยังพบว่า พบสภาวะขาดสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กในวัยนี้ จนทำให้เกล็ดเลือดต่ำอย่างหนัก จากมาตรฐาน 33 พบว่า มีเพียง 14 ซึ่งถือได้ว่า กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติอาจช็อค เสียชีวิตได้ แพทย์ลงความเห็นว่า ต้องรีบนำตัวส่ง ต่อ รพ.ชุมพรที่มีเครื่องมือที่ดีกว่าและมีแพทย์เฉพาะทาง ที่จะรักษาได้ดีกว่า หลังจากจึงให้เลือดและนำขึ้นรถฉุกเฉิน ส่งต่อ รพ.ชุมพรฯ ทันที

จนท.ที่เกี่ยวข้อง (ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ เนื่องจากไม่มีอำนาจให้ข่าว) เล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของ เด็กชาย ก อยู่ที่ หมู่ที่18 ต.ละแม อ.ละแม จ.ชุมพร มี นางสาวสวย. อายุ 19 ปี เป็นมารดา มีอาชีพเป็นแม่บ้าน และ นายฉัตรชัย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี เป็นพ่อเลี้ยง อาชีพรับจ้างตัดปาล์ม อาศัยอยู่ในกระท่อม สภาพโกโรโกโส ภายในที่ดินของ พ่อแม่นายฉัตรชัย นางสาวสวย เป็นแม่ม่ายเลิกกับสามีมี ดช.ก เป็นลูกติดมาอยู่ด้วย สองสามีภรรยามีพฤติกรรม เสพยาเสพติด นส.สวย ชอบเสพยาบ้า

ส่วน นายฉัตรชัยชอบเสพน้ำท่อม เมื่อ คนทั้งสองอยู่ในอาการเมายา มักมีอารมณ์ร้าย ในเวลาที่ ดช.ก ร้องไห้ ด้วยความหิว หรือ เจ็บป่วย คนทั้งสองก็จะทุบตี ดช. ก ด้วยความรุนแรง ในบางครั้งก็ใช้ฟันกัด ตามร่างกายของ ดช.ก จนเป็นรอยเขี้ยวเห็นชัด จนกระทั่งสองสามวันที่ผ่าน คนทั้งสองได้ทำร้ายร่างกาย ดช.ก จน ดช.ก พลัดตกจากชั้นบนของบ้าน ทำให้ร่างกายของ ดช.สะบักสะบอมอย่างหนัก อีกทั้ง ยังเลี้ยงลูกเพียงมาม่าต้มยำ เท่านั้นไม่เคยให้ลูกกินนม หรืออาหารอื่นที่มีประโยชน์เลย

ในขณะที่ พ่อแม่ของนายฉัตรชัย เห็นเหตุการณ์ และ ทราบการทารุณกรรม ดช.ก มาโดยตลอด แต่ไม่กล้าห้ามปราม เนื่องจาก กลัว ลูกชายจะทำร้าย แต่เพื่อนบ้านใกล้เคียงที่รู้เรื่องและเห็นเหตุการณ์ ทนไม่ไหว จึงโทรแจ้ง บ้านพักเด็กและครอบครัว ชุมพร ประสานงานตำรวจละแม บุกเข้าไปนำตัวเด็กออกมา พร้อมแม่ของเด็ก แต่แม่ของเด็กยังให้การปฏิเสธว่าไมได้ทำร้ายลูก รอยเขี้ยวเกิดจากหยอกล้อลูกรุนแรงไป แต่ร่องรอยทุบตีนั้นก็ยอมรับว่า ทำจริงเนื่องจากเด็กร้องไห้งอแง จนท.ที่เกี่ยวข้องจึงขอเอาตัว ดช.ก ไปรักษาพยาบาลก่อนจะดำเนินการตามกฎหมาย กับแม่และพ่อเลี้ยงจอมโหดรายนี้ต่อไป.

Credit : 
สาธิต ศรีหฤทัย ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ จ.ชุมพร

guest

Post : 2019-01-10 12:06:07.0     Forum: ข่าว  >  พม่าซิ่งปาเจโรชนตาย 2 ศพ เผ่นหนีบอกเมียเคลียร์ให้ด้วย!!

                    

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
พม่าซิ่งปาเจโรชนตาย 2 ศพ เผ่นหนีบอกเมียเคลียร์ให้ด้วย!!
www.arjanpong.com
#พม่าซิ่งปาเจโร #ตลาดไอยารา #ธรณีสัณฑะฆาต
เมื่อเวลา 02.00 น.วันที่ 10 ม.ค.62 พ.ต.ท.สุชัย แสงส่อง สารวัตรสอบสวนสภ.คลองหลวง ได้รับแจ้งเหตุมีรถนั่งส่วนบุคคลชนคนขับรถกระบะเสียชีวิตและคนขับรถจักรยานยนต์สามล้อขายลูกชิ้นทอดเสียชีวิตด้วย บริเวณถนนทางเข้าตลาดไอยรา ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จึงไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วยแพทย์นิติเวชโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติและเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 รายทราบชื่อนายประสิทธิ์ กลัดเข็มเพชร อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 93/52 ม.6 ต.วังใหม่ อ.นายายอาม จ.จันทบุรี สภาพศพนอนเสียชีวิตอยู่กลางถนนฝั่งขาเข้าตลาดไอยรา และฝั่งขาออกตลาดไอยราพบรถกระบะยี่ห้ออีซูซุหมายเลขทะเบียน ผท 4425 ชลบุรี ของผู้ตายจอดอยู่ข้างทาง นอกจากนี้ยังพบรองเท้าและแผ่นป้ายทะเบียนรถหมายเลข 1กธ 2791 กรุงเทพมหานคร ตกอยู่กลางถนนใกล้ที่เกิดเหตุ 1 แผ่น ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร พบรถจักรยานยนต์พ่วงข้างขายลูกชิ้นทอดยี่ห้อไทเกอร์หมายเลขทะเบียน ปคษ 957 กรุงเทพมหานคร ถูกชนสภาพพังยับเยินลูกชิ้นกระจายเต็มถนนใกล้กันพบผู้เสียชีวิตเป็นชาย1 รายทราบชื่อนายเบริ์ด อายุ 30 ปี สัญชาติเวียดนาม และในป่าข้างถนนพบรถนั่งส่วนบุคคลยี่ห้อมิตซูบิชิปาเจโร่สีขาวหมายเลขทะเบียน 1กธ 2791 กรุงเทพมหานคร เสียหลักหัวตกอยู่ในน้ำข้างทางสภาพด้านหน้ารถมีรอยเฉี่ยวชนได้รับความเสียหาย ส่วนคนขับได้หนีไปก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาถึง

จากการสอบถามนายประดิษฐ์ เอมพันธ์ อายุ 51 ปี บอกว่าตนเองเห็นรถนั่งส่วนบุคคลยี่ห้อมิตซูบิชิปาเจโร่สีขาวหมายเลขทะเบียน 1กธ 2791 กรุงเทพมหานคร ขับส่ายไปมาเหมือนคนเมาและจะมาชนตนเองที่ปั่นรถจักรยานอยู่ตั้งแต่ถนนหลังตลาดไทยจากนั้นตนก็เห็นรถคันดังกล่าวชนคนขับรถกระบะก่อนและก็ได้ขับไปชนรถขายลูกชิ้นทอดจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2ศพ ต่อมานางวราภรณ์ พาพันธ์ อายุ32ปี เดินทางมาที่เกิดเหตุและบอกว่าคนขับรถนั่งส่วนบุคคลยี่ห้อมิตซูบิชิปาเจโร่สีขาวหมายเลขทะเบียน 1กธ 2791 กรุงเทพมหานคร เป็นสามี ของตน ชื่อนาย เล็ก อายุ 37 ปี สัญชาติ พม่า ได้เปิดร้านอาหารแอบแซ่บ อยู่ในซอยรังสิตภิรมย์ ซึ่งตนเองก็ไม่ทราบว่าสามีขับรถมาทำไมถนนเส้นนี้เพราะบ้านอยู่ถนนเลียบคลองแอนหลังโรงพยาบาลภัทร ธนบุรี แต่สามีได้โทรศัพท์มาบอกกับตนว่ารถชนตนจึงออกมาแต่ก็ติดต่อกับสามีไม่ได้อีกเลย

ด้านพ.ต.ท.สุชัย แสงส่อง สารวัตรสอบสวนสภ.คลองหลวง หลังจากตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว จึงได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานและได้ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูนำผู้เสียชีวิตส่งนิติเวชโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ ส่วนคนขับรถที่ชนผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คนนั้นจะได้ติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป...

Credit : http://www.banmuang.co.th/news/region/137829

guest

Post : 2019-01-09 11:54:59.0     Forum: ข่าว  >  “อย่างนี้สิเป็นลูกพ่อแท้ ลูกพ่อกลัวผีไม่ได้”

 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวารวดี ในพระราชพิธีโสกันต์ พ.ศ. 2435

 

 

พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เป็นพระวิมานที่บรรทมของ

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จประทับอยู่เป็นประจำ 

 

 

ภายในพระที่นั่งเป็นพระวิมานที่บรรทม ภายในแบ่งเป็นห้อง ๆ ด้วยพระฉากลายทอง

มีพระแท่นบรรจถรณ์ พระแท่นลด แขวนพระมหาเศวตฉัตรกางกั้นห้องในพระฉาก

ด้านใต้เป็นห้องทรงเครื่อง

 

 

หมู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ด้านทิศตะวันตก ซ้ายมือของภาพคือ พระที่นั่ง

จักรพรรดิพิมาน เป็นพระที่นั่ง ๓ องค์เชื่อมต่อกัน กลาง คือพระที่นั่งไพศาลทักษิณ

ขวามือ คือพระที่นั่งเทพสถานพิลาศ หมู่พระที่นั่งนี้ล้อมรอบด้วยกำ แพงแก้ว มีซุ้มประตู

ทางเข้าอยู่กลางกำแพงแก้วเรียกว่า หอน้อย

 

“อย่างนี้สิเป็นลูกพ่อแท้ ลูกพ่อกลัวผีไม่ได้” 
www.arjanpong.com
#พระราชดำรัส #รัชกาลที่5 #พลังภูผา

“….ฉันต้องยอมรับสารภาพว่า ถึงฉันจะนึกกลัวผีอยู่สักเท่าใด ก็ยังกลัวทูลกระหม่อมมากกว่า ฉันจึ่งได้สู้แข็งใจ เข้าไปตามที่ทูลกระหม่อมทรงใช้…”

ความข้างต้นเป็นพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ปรากฏในบันทึกส่วนพระองค์ที่ตีพิมพ์ในหนังสือ “ประวัติต้นรัชกาลที่ 6” เป็นข้อความในพระราชหฤทัยเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชบิดาตรัสใช้

สืบเนื่องมาจากเรื่องที่ว่า ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์สิ่งของสักอย่างหนึ่งที่อยู่ในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ซึ่งขณะนั้นเป็นเสมือนที่เก็บของ มีกลิ่นอับและอากาศข้างในนั้นเย็นพิลึก เป็นที่น่าวังเวงนัก พระองค์รับสั่งออกมาว่า “ลูกไปเอามาคน 1 เถิด” แต่ไม่มีใครกล้าลุกไปสักคนเดียว เนื่องจากพระราชโอรสทั้งหลายของพระองค์นั้นกลัวผี จึงไม่มีใครกล้าสนองเบื้องพระยุคลบาท

จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงหยิบเทียนที่จุดข้างพระองค์มา 1 เล่มพร้อมกับรับสั่งถึงเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศว่า “ชายใหญ่, เอาเทียนนี้ไป” แต่เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศพระพักตร์ซีด ไม่กล้าไป ทูลกลับมาว่าทรงกลัวผี ถ้าจะให้ไปขอผู้ใหญ่เข้าไปด้วยคนหนึ่ง รัชกาลที่ 5 ทรงพระพักตร์บึ้งแล้วหันมาทางเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (รัชกาลที่ 6) แล้วตรัสว่า “โต,จะรับใช้พ่อได้หรือไม่” เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธกราบบังคมทูลว่าได้ พร้อมรับเทียนจากพระหัตถ์ ทรงพระดำเนินมุ่งหน้าไปยังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน

เมื่อได้ของกลับมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ก็ทรงกล่าวคำชมเป็นการใหญ่ พร้อมตรัสว่า “อย่างนี้สิเป็นลูกพ่อแท้ ลูกพ่อกลัวผีไม่ได้” เมื่อได้รับคำชมจากพระราชบิดา เป็นธรรมดาที่เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธจะทรงโสมนัสยิ่งนัก แต่ขณะเดียวกันพระองค์ก็สารภาพในพระทัยว่า กลัวผีก็กลัวอยู่ดอก แต่กลัวทูลกระหม่อมมากกว่า (ดังข้อความที่ยกมาแล้วข้างต้น)

กล่าวกันว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นอาจเป็นเสมือนลางบอกเหตุในการสืบราชสมบัติ เพราะปรากฏว่าต่อมาผู้ที่ได้สืบพระราชสมบัติแทนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เนื่องจากเจ้าฟ้าองค์ใหญ่คือ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสวรรคตเมื่อพระชันษาได้ 17 ปี ดังพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 5 ความว่า

“พอพ่อใช้ชายใหญ่ให้เข้าไปในพระที่นั่งจักรพรรดิ เขาไม่ยอมเข้าไปเพราะกลัวผี, พ่อก็นึกรู้ในใจทีเดียวว่าชายใหญ่คงจะไม่มีบุญพอที่จะใช้ที่นั้นเป็นที่อยู่, แล้วก็พอโตกล้ารับใช้เข้าไปพ่อก็รู้ว่าโตคงจะต้องเป็นเจ้าแทนตัวพ่อต่อไป”

แล้วก็เป็นจริงดังพระราชดำรัส

พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของพระที่นั่งในหมู่พระมหามณเฑียรในพระบรมมหาราชวังเมื่อแรกสร้างมุงด้วยจาก ต่อมาจึงมุงด้วยกระเบื้องดินเผา และเปลี่ยนมาเป็นมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

มีราชประเพณีว่า พระมหากษัตริย์ที่ยังไม่ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจะไม่เสด็จเข้าประทับยังพระที่นั่งองค์นี้

เมื่อเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเป็น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะซ่อมแซมพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เป็นการใหญ่ จนกระทั่งสวยสง่างาม เป็นพระที่นั่งสำคัญในพระบรมมหาราชวังมาจนถึงทุกวันนี้......

Credit : กฤษณะ โสภี www.silpa-mag.com

guest

Post : 2018-12-26 13:40:35.0     Forum: ข่าว  >  ใครฆ่านโปเลียน?? จอมจักรพรรดิบรรลัยโลก!!

Napoleon Bonaparte อดีตจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส

 

กองทัพของฝรั่งเศส เข้ายึดเมือง Toulon กลับคืนมาจากอังกฤษ นโปเลียนซึ่งดำรง

ตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชากองทหารปืนใหญ่ในขณะนั้น

 

กองทัพของนโปเลียน ซึ่งถือว่าทันสมัย ทรหด อดทนและเลือดเย็น ได้ทำให้ออสเตรีย

ซึ่งบัญชาการโดย อาร์คดยุคชาร์ลส จำเป็นต้องลงนามในสนธิสัญญาที่เสียเปรียบ

ที่มีชื่อว่าสนธิสัญญาก็อมโป-ฟอร์มิโอ ว่าด้วยเรื่องการให้ฝรั่งเศสเข้าครองเบลเยียม

และยืดพรมแดนไปติดแม่น้ำไรน์ เป็นผลสำเร็จ 

 

ในปี พ.ศ. 2341 นโปเลียนได้นำกองทัพฝรั่งเศสบุกอียิปต์ ถึงแม้ในการต่อสู้ทางบก

กองทัพของนโปเลียนจะมีชัย แต่ในการสู้รบทางเรือ กองทัพของนโปเลียนถูกกองทัพเรือ

อังกฤษ ภายใต้การนำของ Lord Nelson ทำลายสิ้น

 

เขาอ้างว่าถูกสมาชิกรัฐสภาใส่ร้ายว่าจะก่อรัฐประหารและเกือบจะถูกลอบสังหาร ทำให้เขา

สามารถนำกองทัพเข้าบุกรัฐสภาที่เมืองซังต์-คลูด และก่อรัฐประหารได้สำเร็จในที่สุด

 

นโปเลียนได้ประกาศหลังจากการรัฐประหาร แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ ว่า

"ประชาชนทั้งหลาย...การปฏิวัติยังคงยึดมั่นบนหลักการเดียวกันกับเมื่อมันได้เริ่มต้นขึ้น

นั่นคือ การปฏิวัติสิ้นสุดลงแล้ว"

 

สงครามกับรัสเซียในปี พ.ศ 2355 ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดและล้มเหลวของเขา

 

เมื่อนโปเลียนแพ้สงครามอย่างยับเยินที่ Waterloo จึงทรงถูกจับขังบนเกาะ St. Helena

ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในมหาสมุทรแอตแลนติก นโปเลียนได้สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่

5 พฤษภาคม ปีพ.ศ. 2364 ขณะมีพระชนมายุได้ 52 ชันษา

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ใครฆ่านโปเลียน?? จอมจักรพรรดิบรรลัยโลก!!
www.arjanpong.com
#นโปเลียน #ฝรั่งเศส #ธรณีสันฑะฆาต
Napoleon Bonaparte อดีตจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสทรงประสูติที่เมือง Ajaccio บนเกาะ Corsica เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2312 ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การยึดครองของฝรั่งเศส ดังนั้น นโปเลียนจึงมีเชื้อชาติอิตาเลียน

ขณะที่อยู่ในวัยหนุ่ม นโปเลียนมีทัศนคติว่าฝรั่งเศสคือผู้รุกราน จะอย่างไรก็ตาม เขาก็ได้เข้าศึกษาวิชาทหารในประเทศฝรั่งเศสจนสำเร็จการศึกษาขณะที่มีอายุ ได้เพียง 16 ปี

จากนั้นก็ได้เข้ารับตำแหน่งนายร้อยโทในกองทัพ พออีก 4 ปีต่อมาได้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส รัฐบาลฝรั่งเศสที่ถูกจัด ตั้งขึ้นหลังการปฏิวัติได้ประกาศสงครามกับต่างชาติหลายประเทศ โดยได้ส่งกองทัพเข้ายึดเมือง Toulon กลับคืนมาจากอังกฤษ นโปเลียนซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชากองทหารปืนใหญ่ในขณะนั้น ได้ตัดสินใจทิ้งสัญชาติ Corsican ของตนอย่างสิ้นเชิง และยอมรับว่าตนเป็นชาวฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์

การรบชนะสงครามครั้งนั้นได้นำชื่อเสียงมาสู่นโปเลียนมาก ทำให้ได้รับตำแหน่ง นายพลจัตวาในกองทัพบก เมื่อมีอายุได้ 27 ปี เขาได้รับการแต่งตั้งให้ควบคุมกองทัพบุกรุกอิตาลี และเมื่อได้ชัยชนะนโปเลียนก็ได้เดินทาง กลับฝรั่งเศสในฐานะวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาติ

ในปี 2351 นโปเลียนได้กรีธาทัพบุกอียิปต์และสเปน การสู้รบได้ติดพันกันนานหลายปีจนในที่สุด ทั้งอียิปต์และสเปนได้ยอมเป็นพันธมิตร แต่นโปเลียน ก็ยังหาพอใจไม่เพราะตั้งใจ จะให้ปารีสเป็นเมืองหลวงของยุโรป จึงได้ทำสงครามกับรัสเซียต่อในปี 2355

เมื่อกองทัพรัสเซียใช้วิธีหลบเลี่ยงไม่ต่อสู้ กองทัพฝรั่งเศสซึ่งมีกำลังคน 400,000 คน จึงบุกเข้าไปในรัสเซียได้ลึกและเร็วและยึดกรุง Moscow ได้ในเดือนกันยายนของปีนั้นเอง ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานถึง 5 สัปดาห์ รัฐบาลรัสเซียก็ยังไม่ยอมลงนามในสัญญาสงบศึก

ขณะนั้นเป็นฤดูหนาวเมื่อทหารรัสเซียได้จุดไฟเผาเมืองและเสบียงอาหารในกองทัพเริ่มขาดแคลน การลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เริ่มติดขัด นโปเลียนจึงตัดสินใจถอยทัพกลับ และได้ถูกทหาร Cossack ของรัสเซียโจมตี ทำให้ทหารฝรั่งเศส จำนวนนับแสนล้มตาย

การแพ้สงครามของนโปเลียนในครั้งนั้นได้ทำให้รัสเซีย สวีเดน ออสเตรีย และปรัสเซียผนึกกำลังกันสู้ฝรั่งเศส และพิชิตฝรั่งเศสได้ในปี พ.ศ. 2356 จากนั้นกองทัพพันธมิตรได้บังคับให้นโปเลียนทรงสละราชสมบัติ และถูกเนรเทศไปประทับที่เกาะ Elba ซึ่งตั้งอยู่ในทะเล Mediterranean

แต่เมื่อประทับอยู่บนเกาะได้เพียงปีเดียว นโปเลียนก็ได้หลบหนีออกจากเกาะ Elba กลับไปฝรั่งเศสอีก การกลับคืนสู่อำนาจของ นโปเลียนในครั้งนั้น ได้ทำให้ออสเตรเลีย รัสเซีย เยอรมนี และอังกฤษ ร่วมกันประกาศสงครามกับฝรั่งเศสอีกและเมื่อนโปเลียนแพ้ สงครามอย่างยับเยินที่ Waterloo จึงทรงถูกจับขังบนเกาะ St. Helena ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในมหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อให้มั่นใจว่า จักรพรรดิบรรลัยโลกพระองค์นี้จะไม่หวนกลับมารังควานโลกอีก

นโปเลียนได้สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ปีพ.ศ. 2364 ขณะมีพระชนมายุได้ 52 ชันษา

คำถามที่นักประวัติศาสตร์ได้พยายามตอบมานานแล้วก็คือ ใครฆ่านโปเลียนหรือพระองค์สิ้นพระชนม์เพราะโรคมะเร็งกระเพาะ

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 นักประวัติศาสตร์ นักพิษวิทยา และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องมะเร็งได้ประชุมกันที่ปารีสเพื่อ "ยุติ" ประเด็นสงสัยนี้ ในอดีตนักประวัติศาสตร์ได้เคยมีความเชื่อมานานว่า มะเร็งคือโรคร้ายที่คร่าชีวิตนโปเลียน แต่นักวิชาการรุ่นหลังๆ นี้กลับมีความเชื่อว่า นโปเลียนถูกปลงพระชนม์ เมื่อหน่วยสืบราชการลับ FBI ของสหรัฐฯ และ Scotland Yard ของอังกฤษได้พบว่าเส้นผมของนโปเลียนหลายเส้นมียาพิษ

และผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุด ว่าเป็นผู้ทำการฆาตกรรมในครั้งนั้นก็คือท่าน Count แห่ง Montholon สหายคนสนิทของนโปเลียนนั่นเอง ผู้ได้ทำไปตามพระราชประสงค์ ของพระเจ้า Charles ที่ 10 ซึ่งเป็นพระราชาในอนาคตของฝรั่งเศสในขณะนั้น

พระศพของนโปเลียนที่ขณะนี้อยู่ที่ Les Invalides ในกรุงปารีส...

Credit: https://board.postjung.com :https://www.mwit.ac.th/~physicsl…/content_01/…/napoleon.html

guest

Post : 2018-12-25 12:38:50.0     Forum: ข่าว  >  ช่างกล้า!! ลักลอบขุดอัฐิ"ซานตาครอส" จนกระจัดกระจายไปทั่ว!!

 

จิตรกรนาม "โธมัส นาสต์" (Thomas Nast) ชาวอเมริกัน ได้เขียนภาพซานตาคลอสขึ้นมา

เป็นชายแก่ร่างอ้วนใส่เสื้อผ้า และหมวกสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะ

ที่มีกวางเรนเดียร์ลาก โดยจะปรากฏตัวในวันคริสต์มาส ลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอา

ของขวัญมาให้เด็ก ๆ ที่แขวนถุงเท้าไว้ 

 

 

ภาพนักบุญนิโคลัส (จากจินตนาการ) ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในอารามกิไซ

(Kizhi monastery) สาธารณรัฐคาเรเลีย (Republic of Karelia) ประเทศรัสเซีย

 

 

ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองไมรา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี)

 

 

มหาวิหารนักบุญนิโคลัส (Basilica di San Nicola) เมืองบารี (Bari) ประเทศอิตาลี

และโครงกระดูก (ที่เชื่อว่าเป็น) ของนักบุญนิโคลัส ที่ห้องใต้ดินของมหาวิหาร

 

 

โบสถ์นักบุญนิโคลัส (The Church of San Nicolò al Lido) เมืองเวนิส

(Venice) ประเทศอิตาลี

 

 

ชิ้นส่วนกระดูกเชิงกรานที่ได้รับการตรวจสอบอายุจาก ม.ออกซฟอร์ด

 

 

ส่วนที่แรเงาสีดำคือกระดิ้นส่วนกระดูกที่พบที่มหาวิหารนักบุญนิโคลัส เมืองบารี,

ส่วนที่ลูกศรชี้คือกระดูกส่วนที่ได้รับการตรวจสอบอายุโดย ม.ออกซฟอร์ด

 

 

กระดูก (ที่เชื่อว่าเป็น) ของนักบุญนิโคลัส ที่ห้องใต้ดินของมหาวิหาร

โบสถ์นักบุญนิโคลัส เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ช่างกล้า!! ลักลอบขุดอัฐิ"ซานตาครอส" จนกระจัดกระจายไปทั่ว!!
www.arjanpong.com
#ซานตาครอส #คริสมาส #ธรณีสัณฑฆาต
ซานตาคลอส” (Santa Claus) หรือ “ซานตา” บุคคลในจินตนาการจากตำนานในโลกตะวันตก มีลักษณะเป็นคุณลุงใจดี พุงพลุ้ย หนวดเคราสีขาวยาวเฟิ้ม ใส่ชุดสีแดงทั้งตัว พร้อมส่งเสียงหัวเราะ “โฮะโฮะโฮะ” นั่งรถเลื่อนหิมะที่ลากด้วยกวางเรนเดียร์มาจากขั้วโลกเหนือพร้อมกับของขวัญเต็มคันรถ เพื่อนำมามอบให้กับเด็กดีถึงบ้านในช่วงระหว่างวันคริสต์มาสอีฟ (วันที่ 24 ธันวาคม) จนถึงเช้ามืดของวันคริสต์มาส (วันที่ 25 ธันวาคม)

หลายท่านอาจจะทราบอยู่แล้วบ้างบุคลิกและเรื่องราวของ ซานตาคลอส นั้น ได้รับแรงบันดาลใจหรือมีต้นแบบมาจาก นักบุญนิโคลัส แห่งไมรา (Saint Nicholas of Myra) นักบุญผู้มีเมตตาโดยเฉพาะแก่ผู้ยากไร้และเด็กๆ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 4

เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2560 ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ผลการตรวจสอบอายุทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีเรดิโอคาร์บอน ของชิ้นส่วนกระดูกเชิงกรานที่ถูกอ้างว่าเป็นของ นักบุญนิโคลัส แห่งไมรา และเคยถูกเก็บรักษาอยู่ในฝรั่งเศสมานาน แต่ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของบาทหลวงเดนนิส โอนีล (Father Dennis O'Neill) แห่งโบสถ์นักบุญมาร์ธาแห่งเบธานี (St. Martha of Bethany Church) มลรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา

การตรวจสอบอายุในครั้งนี้นำโดยศาสตราจารย์ ทอม ไฮแอม (Tom Higham) และ ดร.จอร์จ คาซัน (Georges Kazan) นักวิจัยแห่ง the Oxford Relics Cluster ของ Keble College's Advanced Studies Centre มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (University of Oxford) ประเทศอังกฤษ พบว่ากระดูกชิ้นดังกล่าวเป็นของคนที่มีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่นักบุญนิโคลัส แห่งไมรา มีชีวิตอยู่

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดังกล่าวบ่งบอกเพียงว่าเจ้าของกระดูกชิ้นนี้ มีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 เท่านั้น ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นกระดูกของ นักบุญนิโคลัส แห่งไมรา จริงหรือไม่ แต่เหตุใดจึงชวนให้เชื่อว่า กระดูกชิ้นนี้เป็นของนักบุญนิโคลัส แห่งไมรา?

สารานุกรมคาทอลิก (ค.ศ.1913) ระบุว่านักบุญนิโคลัสเสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.345 หรือ ค.ศ.352 แต่แม้ว่าท่านจะเป็นนักบุญที่เหล่าคริสตจักรกรีก (Greek Church) และคริสตจักรละติน (Latin Church) ให้ความชื่นชมและเคารพนับถือเป็นอย่างมาก แต่กลับปรากฏข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่แน่ชัดน้อยมาก สามารถสืบค้นได้แต่เพียงว่าท่านเป็นมุขนายกแห่งไมรา (Bishop of Myra) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4

อย่างไรก็ตาม มีตำนานที่เกิดขึ้นทีหลังให้ข้อมูลว่า นักบุญนิโคลัส เกิดใน ค.ศ.270 ที่เมืองปาทารา (Patara) ภูมิภาคอนาโตเลีย (Anatolia) ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน

หลังการเสียชีวิตของนักบุญนิโคลัสเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 4 ร่างของท่านถูกฝังไว้ที่เมืองไมรา(Myra) ประเทศตุรกีในปัจจุบัน แต่หลังจากสมรภูมิแมนซิเคิร์ท (Battle of Manzikert) เมื่อ ค.ศ.1071 เมืองไมราได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเซลจุคเติร์ก (Seljuq Turks) จักรวรรดิของชาวมุสลิมซุนนี

ทำให้กะลาสีชาวคริสต์จากเมืองบารี (Bari)[9] กลุ่มหนึ่งกังวลถึงความปลอดภัยของอัฐินักบุญนิโคลัส จึงได้เดินทางไปเมืองไมราเพื่อ (แอบ) นำอัฐิส่วนใหญ่ของท่านมายังมหาวิหารนักบุญนิโคลัส (Basilica di San Nicola) เมืองบารี ประเทศอิตาลีในปัจจุบัน โดยเดินทางกลับถึงบารีเมื่อ ค.ศ.1087 และมีการบรรจุอัฐิลงในหลุมศพภายในห้องใต้ดินของมหาวิหารนักบุญนิโคลัส เมืองบารี อย่างเป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1089 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Pope Urban II)

อัฐิส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ไมรานั้น ถูกแบ่งส่วนอีกครั้งในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่ 1 (ค.ศ.1096–1099) โดยกะลาสีชาวเวนิสได้ (แอบ) ขนย้ายอัฐิบางส่วนที่ไมรา ไปยังโบสถ์นักบุญนิโคลัส (The Church of San Nicolò al Lido) เมืองเวนิส ประเทศอิตาลีในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังมีโบสถ์อีกหลายแห่งทั้งในยุโรป รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ที่อ้างว่าได้ครอบครองอัฐิชิ้นเล็กๆ เช่น ฟันหรือกระดูกนิ้วมือ ของนักบุญนิโคลัสไว้

จากการศึกษากระดูกในหลุมฝังศพใต้มหาวิหารนักบุญนิโคลัส เมืองบารี ประเทศอิตาลี เมื่อ ค.ศ.1953 และ ค.ศ.1957 และการศึกษากระดูกในหลุมฝังศพที่โบสถ์นักบุญนิโคลัส เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เมื่อ ค.ศ.1992 ของ ลุยจิ มาร์ติโน (Prof. Luigi Martino) ศาสตราจารย์ด้านกายวิภาค มหาวิทยาลัยบารี (University of Bari) ประเทศอิตาลี นั้น พบว่ากระดูกจากทั้ง 2 สถานที่ เป็นโครงกระดูกของคนคนเดียวกัน

ส่วนกระดูกที่อยู่ในความครอบครองของบาทหลวงเดนนิส โอนีล ที่อ้างว่านำมาจากฝรั่งเศส และได้รับการตรวจสอบอายุโดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดใน พ.ศ.2560 นั้น เป็นชิ้นส่วนกระดูกหัวหน่าวข้างซ้าย (left pubis) ซึ่งไม่ปรากฏในโครงกระดูกที่เก็บไว้ในมหาวิหารนักบุญนิโคลัส เมืองบารี และโบสถ์นักบุญนิโคลัส เมืองเวนิส

ยิ่งไปกว่านั้น โครงกระดูกที่มหาวิหารนักบุญนิโคลัส เมืองบารี นั้น ปรากฏเฉพาะกระดูกปีกสะโพกข้างซ้าย (left ilium) แต่ไม่ปรากฏกระดูกส่วนหัวหน่าวแต่อย่างใด อาจเป็นไปได้ว่า กระดูกหัวหน่าวชิ้นที่ได้รับการตรวจสอบอายุนี้ คือชิ้นส่วนที่ขาดหายไป

หลังจากนี้ นักวิจัยจะตรวจดีเอ็นเอของกระดูกชิ้นนี้ เปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของกระดูกที่ถูกอ้างว่าเป็นของนักบุญนิโคลัสจากที่อื่นๆ รวมถึงโครงกระดูกที่เก็บไว้ที่เมืองบารี ประเทศอิตาลี เพื่อตรวจสอบว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการค้นหาร่องรอยของ นักบุญนิโคลัส แห่งไมรา มากขึ้น......

Credit : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร

 

 

guest

Post : 2018-12-23 11:54:14.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  "กูให้มึงฟรี!!" เหมือนเสียงดั่งมาจากฟากฟ้า ของเทวดาเพลง!!

ชลธี ธารทอง เป็นนักแต่งเพลงลูกทุ่งชื่อดังระดับตำนาน โดยมีผลงานเป็นที่รู้จัก

และคุ้นหูคนไทยมากมาย และได้สร้างนักร้องชื่อดังหลายคนประดับวงการลูกทุ่งไทย 
ชลธี ธารทอง ได้รับการประกาศให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง 

(นักแต่งเพลงลูกทุ่ง) ปี 2542

 

สายัณห์ สัญญา (คนที่ 4 จากซ้าย) เมื่อครั้งเป็นหางเครื่องวง ผ่องศรี วรนุช

เมื่อปี พ.ศ 2516

 

ทีมงาน 7 พลังหนุ่ม ถือว่าเป็นยุคที่ สายัณห์ สัญญา โด่งดังที่สุด ในปี พ.ศ 2520

 

ผลงานการเเสดงหน้าเวที เมื่อปี พ.ศ 2524 ที่ถือว่าอยู่ในความประทับใ

ของคนลูกทุ่งมาโดยตลอด

 

 

ภาพยนต์เรื่อง นักร้อง นักเลง ผลงานของ สุวิทย์ ชุติพงษ์ นำแสดงโดย สายัณห์ สัญญา

-พุ่มพวง ดวงจันทร์-นันทิดา แก้วบัวสาย-ทวนธน คำมีศรี-พยัคฆ์ รามวาทิน-ภิญโญ ปานนุ้ย-

วิทยา สุขดำรง-รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง-ไกรลาศ เกรียงไกร พร้อมด้วยชาวคณะ

สายัณห์ สัญญา กำกับการแสดงโดย ชุมพร เทพพิทักษ์ ฉายครั้งแรกวันที่ 4 มีนาคม

2527 ที่โรงหนังศาลาเฉลิมไทย-เฉลิมกรุง-ดาดา-สิริรามา 
นักร้อง นักเลง นั้นถือว่า เป็นหนังที่ดีที่สุดของสายัณห์ สัญญา นอกจากจะมีเพลงเพราะๆ

แล้วก็ยังได้จะเห็นทุกอย่างของกิจการวงดนตรีสายัณห์ สัญญา อีกด้วย

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
"กูให้มึงฟรี!!" เหมือนเสียงดั่งมาจากฟากฟ้า ของเทวดาเพลง!!
www.arjanpong.com
#ชลธีธารทอง #สายัณห์สัญญา #ธรณีสัณฑะฆาต
"พอทีนะคุณ การุณผู้ชายเถิดหนาาาาา...อย่าคิดเอาความโสภา ฆ่าหัวใจผู้ชาย..คุณสวยคุณเด่น ใครเห็นก็ต้องงมงายยยยย....."
เสียงใสกังวาลของเด็กล้างรถในปั๊มน้ำมันสามทหาร ทางขึ้นสะพานกรุงเทพฝั่งบุคคโลดังเจื้อยเเจ้วเเผ่วมาตามประสาเด็กลูกทุ่งที่กำลังสาระวนกับการฉีดน้ำจากสายยาง ล้างทำความสะอาดรถดัทสันกระบะเก่าๆ ที่เข้ามาใช้บริการล้างรถอยู่ภายในปั๊ม โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เด็กล้างรถตัวดำผอมกร่องที่กำลังเเหกปากร้องอยู่นั้น ดูช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน กับการที่ร้องเพลงไปล้างรถไป

"มันร้องเพลงเสียงของไอ้น้อยเข้าท่าว่ะ..."
ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของรถกระบะเก่าๆคันนั้น รำพึงรำพันอยู่คนเดียวเงียบๆ สายตาเหลือบไปมองไอ้เด็กล้างรถที่ผอมยังกะไม้เสียบผีคนนั้น เเล้วก็เหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของรถกระบะโกโรโกโสคันนั้น เเอบยิ้มให้กับตัวเองเงียบๆอีกครั้งอย่างสะใจ.....

เหนื่อยเหลือเกินหนอชีวิตนี้ บททดสอบจากสวรรค์มันช่างโหดเหี้ยมเสียเหลือเกินสำหรับเขา เเต่ละฉากเเต่ละตอนไม่เคยมีบทให้ได้ยิ้มหรือมีชัยชนะเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างเลย...ลืมตามาบนโลกเส็งเคร็งใบนี้ก็เเทบจะไม่มีอะไรจะยัดปาก พ่อมีอาชีพรับจ้างเร่ร่อนไปทั่ว เเม่เจ็บท้องคลอดตอนกำลังเกี่ยวข้าว เเละตกเลือดตายตั้งเเต่เขาอายุเเค่ 6 เดือน ตอนเขาเกิดเเม้เเต่ผ้าขี้ริ้วที่จะมาทำผ้าอ้อมก็ยังไม่มี ชีวิตในวัยเด็กนั้นยากจนมาก เข้าเรียนชั้นประถม 1 ที่โรงเรียนวัดแก้วศิลาราม ที่ชลบุรี มาต่อชั้นประถม 4 ที่โรงเรียนวัดโคกขี้หนอน ที่ชลบุรี จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนประชาสงเคราะห์ อ.พานทอง จ.ชลบุรี จากนั้นก็ย้ายมาอยู่กับญาติที่ราชบุรี เขาเคยผ่านงานมาหลากหลาย ทั้งทำนา ทำไร่ ขุดดินเผาถ่าน ช่างไม้ ก่อสร้าง นักมวย ลิเก นักพากษ์หนัง หางเครื่อง กรรมกร และนักร้อง

ที่ไปอยู่ราชบุรีกับญาติห่างๆก็เพราะไม่มีญาติพี่น้องไหนเขาเอา ต่างก็พากันกล่าวหาว่าเขาเป็นตัวไอ้ตัวซวย พอมาเกิดปุ๊ปเเม่มาตายปั๊ปเลย ไปอยู่ที่ไหน ญาติๆก็พากันรังเกียจเดียจฉันท์ ก็เลยต้องย้ายมาทางฝั่งราชบุรี อดมื้อกินมื้อเสียยังจะดีกว่า...ก็พอดีวงดนตรีสุรพล สมบัติเจริญ ต้องการเสริมสร้างทีมงานขึ้นมาใหม่ ก็เลยไปสมัครเป็นนักร้องกับเขาด้วย วันสมัครครูสุรพลถามว่าพักอยู่ที่ไหน ด้วยความที่กลัวว่าเขาจะไม่รับเข้าวง ถ้าขืนบอกว่าอยู่ราชบุรีก็คงจะไม่ได้งานทำเเน่ๆ ก็โกหกครูไปว่าพักอยู่ที่เเยท่าพระนี่เอง

วันเเรกที่เริ่มงานมาสาย วันที่สองมาสาย วันที่สายอีก...คราวนี้ครูสุรพลไล่ออกทันทีโดยที่ไม่ได้มีการถามไถ่ใดๆทั้งสิ้น เคว้งคว้างเหมือนเรือที่ไร้หางเสือ หน้าด้านไปสมัครเป็นลิเกทั้งๆที่ร้องไม่ได้เเม้เเต่สักกลอน พากย์หนังตามงานวัดงานวาเอาหมด ขอให้มีเพียงที่ซุกหัวนอนเท่านั้น ไม่กลับมันเเล้วราชบุรี สุดท้ายก็ตัดสินใจบวชเผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้นมาบ้าง

สึกออกมาก็มาเป็นหางเครื่องอยู่กับวงเทียนชัย สมยาประเสริฐ เดินสายอยู่ดีๆ รถวงดนตรีก็คว่ำเทกระจาดระเนระนาด หัวร้างข้างเเตกได้เเผลกันทุกคน โชคร้ายสร้อยทองของชาวคณะเกิดหาย หาเเพะไม่ได้ก็เลยมาลงที่เขา หัวหน้าไล่ออกวันนั้นเลย ทั้งๆที่จะให้เขาไปสาบานที่ไหนบนโลกใบนี้ เขาก็พร้อมที่จะไป เเต่กลับไม่มีใครฟังเขาเลย

ระหกระเหินเร่ร่อนไปอยู่วงรวมดาวกระจาย ของครูสำเนียง ม่วงทอง เป็นเด็กสารพัดประโยชน์เเล้วเเต่ในวงเขาจะจิกหัวใช้ โตเป็นหนุ่มเเล้วนี่..ริอาจจีบนักร้องในวง นึกว่าเธออยู่คนเดียว ที่ไหนได้ผัวเขาจะกระทืบเอา คืนนั้นเล่นอยู่พิษณูโลก เเต่งเพลงซะชอกช้ำเลย..."พอทีนะคุณ การุณผู้ชายเถิดหนาาาาา อย่าคิดเอาความโสภา ฆ่าหัวใจผู้ชายยยยยย......" เเต่งประชดนักร้องหลายใจคนนั้นเสียดื้อๆ เเต่งเสร็จก็เมาเเอ๋ร้องเพลงนี้ดังลั่นทั้งโรงเเรมตลอดทั้งคืน เเล้วห้องของสาวเจ้าหลายใจคนนั้นดันมาอยู่ติดกันซะด้วย ก็ไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยคืนนั้น

เช้ามาโดนไล่ออกทันที สมน้ำหน้าตัวเองนัก....เพลงที่เเต่งเอาไว้ ก็ให้เพื่อนนักร้องชายที่นอนอยู่ด้วยกันคืนนั้นเอาไป เเล้วเเต่ว่ามันจะเอาไปร้องที่ไหนก็เป็นเรื่องของมัน ไอ้เพื่อนคนนี้ต่อมาก็มาเป็นนักร้องอยู่ที่วงของเจ้าน้อยหรือ ศรคีรี ศรีประจวบ ที่กำลังดังอยู่ในขณะนั้น เเล้วไอ้เพื่อนคนนั้นที่ได้เพลงจากเขาไป ก็นำมาร้องหน้าเวที ศรคีรีกิดชอบขึ้นมา ถามว่าเพลงนี้ใครเป็นคนเเต่ง...."ผมเองครับหัวหน้า..." นั่น ดูมันตอบ หน้าด้านซะไม่มี...ศรคีรีก็เลยเอามาบันทึกเสียงซะ โอ้โห โด่งดังไปทั้งประเทศ โดยใช้ชื่อเพลงว่า พอหรือยัง เเต่งโดย ศรคีรี ศรีประจวบ นั่นมันเป็นซะอย่างงั้นวงการนี้.....

เเต่เขาก็ไม่ได้น้อยอกน้อยใจอะไร ขอกันกินมากกว่านี้..ก็เลยเเต่งเพลงมาอีก 2 เพลง กะว่าจะให้ศรคีรีเขาร้อง ที่ไหนได้ ศรคีรีรถคว่ำคอหักตายที่กำเเพงเพชรซะก่อน..หมดเเรงเลย...ไม่ไหวเเล้ว..อะไรกันนักกันหนาเนี่ย พอทำท่าดวงกำลังจะขึ้น ก็ต้องมาโดนฉุดอยู่ตลอดทุกครั้งไป พอกันทีไม่เอาเเล้ววงการลูกทุ่ง ล้างรถเสร็จก็จะกลับไปเอาของที่มีอยู่ไปตายดาบหน้าดีกว่า

ตั้งใจว่าจะไปตั้งรกรากทำไร่ข้าวโพดอยู่ที่เเก่งเสือเต้น อ.สอง จ.เเพร่ หันหลังให้กับวงการนี้เด็ดขาด กำลังใจที่เคยเกินร้อย ตอนนี้เหลือไม่ถึงศูนย์ หมดเเรงไม่ว่า เเต่หมดกำลังใจนี่สิ จะก้าวเดินต่อไปได้อย่างไร?...

"เรียบร้อยเเล้วครับพี่ จ่ายตังค์กับเจ๊ในปั๊มได้เลย..."
ไอ้เด็กล้างรถหุ่นเหมือนกับจิ้งจกถูกประตูหนีบ ผอมกะหร่องตัวดำปื้ด ยิ้มฟันขาวมาเเต่ไกลพร้อมกับยื่นกุญเเจรถคืนให้เเก่เขา

"ไปไหนล่ะพี่? ล้างรถซะเอี่ยมเชียว..."
"ขึ้นเหนือสักหน่อย..เออไอ้น้อง เอ็งชื่ออะไรวะ?..." ชายหนุ่มเอ่ยถามในขณะหันหลังเปิดประตูรถเเล้วหยิบกระดาษขึ้นมาสองเเผ่น
"ชื่อเป้าครับ.ชื่อจริงชื่อสายัณห์...เเล้วพี่ล่ะ?...."
"ชลธี ธารทอง เคยได้ยินชื่อมั๊ย?..."
"ฮึ ไม่เคย.." เจ้าเด็กล้างรถตอบตามประสาซื่อ

"เมื่อกี้พี่ฟังเอ็งร้องเพลงศรคีรี เข้าท่าว่ะ เอานี่พี่ให้เพลงเอ็ง 2 เพลง "
"เพลงอะไรพี่?.."
"เเหม่มปลาร้า กับ ลูกสาวผู้การ...เอาไปฝึกร้องซะ..."
"ผมไม่มีตังค์ซื้อ...."
"กูให้มึงฟรี!!..."

พูดจบ ชายหนุ่มผู้มากล้นด้วยน้ำใจ ก็ติดเครื่องขับรถออกไปทันที เหลือเพียงทิ้งไว้เเต่เจ้าเด็กล้างรถที่ยืนทำปากขมุบขมิบกับกระดาษ 2 เเผ่นนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ...เขาจะรู้หรือเปล่าหนอ..ว่าโอกาสที่เขาหยิบยื่นให้กับเด็กปั๊มที่มาจากเดิมบางนางบวช สุพรรณบุรีคนนั้น เหมือนกับประตูสวรรค์ได้เปิดประตูต้อนรับ นักร้องลูกทุ่งที่โด่งดังที่สุดในประเทศ ยากทีจะหาใครมาเสมอเหมือน เป็นเบอร์ 1 ตลอดกาลเป็นตำนานของวงการลูกทุ่งตลอดไป...

กระดาษ 2 เเผ่นในวันนั้น จึงกลายมาเป็น สายัณห์ สัญญา ในวันนี้.....

guest

Post : 2018-12-22 11:09:44.0     Forum: ข่าว  >  หากศึกครั้งนี้เราแพ้!! เราก็จะเป็นขี้ข้าของพวกเขาตลอดไป!!

ออกพระมหามนตรี ควงดาบสิงห์สุวรรณาวุธ ซึ่งทำด้ามและฝัก

กนกหัวสิงห์ใหม่ ไล่ฆ่าฟันพม่าข้าศึกแตกกระจาย

 

แมงกี้มารหญ่าแม่ทัพพม่า ผู้ครั่นคร้ามออกพระมหามนตรีเป็นยิ่งนัก!!

 

แมงกี้มารหญ่าแม่ทัพพม่า ผู้ครั่นคร้ามออกพระมหามนตรีเป็นยิ่งนัก!!

 

 

โบสถ์ปรกโพธิ์ ที่ค่ายบางกุ้ง อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
หากศึกครั้งนี้เราแพ้!!
เราก็จะเป็นขี้ข้าของพวกเขาตลอดไป!!
www.arjanpong.com
#ศึกบางกุ้ง #สมุทรสงคราม #ธรณีสันฑะฆาต
ครั้นเจ้าตากกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ในปี พ.ศ. 2310 โปรดให้คนจีนจาก ระยอง, ชลบุรี ,ราชบุรี และกาญจนบุรี รวบรวมพลพรรค มาตั้งเป็นกองทหารรักษา ค่ายบางกุ้ง ซึ่งยังไม่มีทหารรักษาหลังจากที่พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตก ค่ายนี้จึงเรียกว่า “ค่ายจีนบางกุ้ง”

ต่อมา “พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต” เมืองเวียงจันทร์ซึ่งฝักใฝ่อยู่กับพม่าในสมัยนั้นไปทูลพระเจ้าอังวะถึงข่าวการตั้งตนเป็นใหญ่ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีพระเจ้ามังระจึงให้มีท้องตราสั่งแมงกี้มารหญ่า เจ้าเมืองทวาย คุมกำลังให้มาตรวจตราดูสถานการณ์ในอาณาจักรอยุธยาเดิม พระยาทวายจึงส่งโปมังเป็นกองทัพหน้าคุมพล 3,000 นาย เข้ามาทางเมืองไทรโยคเมื่อฤดูแล้งปลายปี พ.ศ. 2310

ครั้นถึงบางกุ้งเห็นค่ายทหารจีนของพระเจ้ากรุงธนบุรีตั้งอยู่ พระยาทวายก็ให้กองทัพล้อมไว้ กรมการเมืองสมุทรสงครามบอกเข้ามายังกรุงธนบุรีตามพงศาวดารกรุงธนบุรีกล่าวว่าพระเจ้าตากสินทรงทราบข่าวข้าศึกด้วยความยินดียิ่ง โปรดให้พระยามหามนตรี (บุญมา) จัดกองทัพเรือ 100 ลำเศษ พร้อมด้วยศาสตราวุธมายังค่ายบางกุ้ง พระยามหามนตรีคาดการณ์ว่าค่ายบางกุ้งล่อแหลมกำลังจะแตกอยู่แล้ว จึงรีบเดินทัพเข้าโจมตีพม่าที่ล้อมค่ายบางกุ้งโดยฉับพลัน

ในตอนเรียกประชุมนายทัพนายกองเพื่อปลุกใจและบงการเข้าตีนั้นได้เน้นว่า “ถ้าช้าไปอีกวันเดียวค่ายบางกุ้งจะแตกและขวัญทหารไทยจะไม่มีวันฟื้นคืนได้ การรบทุกครั้งการแพ้อยู่ที่ขวัญและกำลังใจถ้าไทยแพ้อีกในครั้งนี้พม่าจะฮึกเหิมพวกไทยจะครั้นคร้ามและกู้ชาติไม่สำเร็จการรักษาค่ายบางกุ้งไว้ให้ได้ในครั้งนี้ ได้ชื่อว่าท่านทั้งหลายได้ช่วยขวัญของไทยในการรบครั้งต่อไป”

การรบครั้งนี้ตะลุมบอนกันด้วยอาวุธสั้น ออกพระมหามนตรีควงดาบสิงห์สุวรรณาวุธซึ่งทำด้ามและฝักกนกหัวสิงห์ใหม่ไล่ฆ่าฟันพม่าข้าศึกแตกกระจายแมงกี้มารหญ่าแม่ทัพพม่า ครั่นคร้ามพระมหามนตรีจึงเลี่ยงเชิงดูศึกได้ยินเสียงในค่ายที่ล้อมไว้จุดประทัดตีม้าล่อเปิดประตูค่ายส่งกระทุ้งออกมาทำให้พม่าอยู่ในศึกกระหนาบซ้ำยังเห็นผงคลีมืดครึ้มได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวทัพหนุนเนื่องของไทยอีกแน่ใจว่าทัพหลวงของไทยติดตามมายิ่งเสียขวัญ

ฝ่ายไทยกลับฮึกเหิมไล่ฟันแทงข้าศึกล้มตายเป็นอันมากที่เหลือก็พากันแตกหนี พระยาทวายเห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ จึงสั่งทัพถอยรวบรวมไพร่พลกลับไปเมืองทวายทางด่านเจ้าขว้าว กองทัพไทยได้เรือรบศัตรูทั้งหมดและได้เครื่องศาสตราวุธตลอดจนเสบียงอาหารเป็นอันมาก

ชัยชนะในการรบที่ค่ายบางกุ้งนี้มีผลต่อชาวไทยหลายประการ อาทิ ไทยยังคงเป็นชาติเอกราชต่อไป ไม่ถูกย่ำยีทำลายล้าง อีกประกอบกับขวัญและกำลังใจของคนไทยทั้งชาติที่พลอยฮึกเหิมขึ้นด้วยเมื่อเจ้าตากตีกรุงศรีอยุธยาคืนกลับมาได้กิตติศัพท์ก็เลื่องลือออกไปมีผู้มาอ่อนน้อมด้วยเป็นอันมาก

พวกชาวต่างประเทศที่มาค้าขายเห็นว่าเจ้าตากได้เป็นใหญ่ในราชธานีก็พากันนับถือว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินไทย เมื่อเจ้าตากมาตั้งมั่นอยู่ที่เมืองธนบุรีแล้ว จึงทำพิธีราชาภิเษกเมื่อปีกุนพ.ศ.2310 ประกาศพระเกียรติยศเป็นพระเจ้ากรุงศรีอยุธยามหากษัตริย์แทนโบราณราชแต่ก่อน....

Credit : ศึกบางกุ้ง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

guest

Post : 2018-12-21 12:51:58.0     Forum: ข่าว  >  เจ้าจอมทับทิม แม้นถูกเผาทั้งเป็น ก็มิอาจพรากหัวใจสองดวงนี้ได้!!

 

 

                          สตรีสยาม ในยุคต้นรัตนโกสินทร์

 

 

 ยูล บรินเนอร์ และดิบอราฮ์ เคอร์ แสดงเป็น ร.4 และแอนนา ในหนัง The King and I ปี 1956

 

 

ฉากทับทิม (ลินดา ดาร์แนล) ถูกเผาในหนัง Anna and the King of Siam เวอร์ชั่นแรก

 

................................

 

ข่าวพลังภูผา...
เจ้าจอมทับทิม แม้นถูกเผาทั้งเป็น 
ก็มิอาจพรากหัวใจสองดวงนี้ได้!!
www.arjanpong.com
#เจัาจอมทับทิม #วัดราขประดิษฐ์ #ธรณีสันฑะฆาต
เจ้าจอมทับทิม เดิมเป็นคนงานก่อสร้างวัดราชประดิษฐ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทอดพระเนตรเห็นขณะสาวน้อยวัยกำดัดงามเหมือนจันทร์ผู้นี้ กำลังทุบกระเบื้องในงานก่อสร้างรากฐานพระอุโบสถด้วยกิริยาสดใสร่าเริง ครั้นเธอสังเกตเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวจับพระเนตรเพ่งพินิจรูปโฉมเธอ สาวน้อยก็ขวยอายฟุบกายลงถวายบังคมและหมอบแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น

พระเจ้าอยู่หัวทรงหันไปมีพระราชดำรัสถามมหาดเล็กโดยเสด็จว่า นางคนนั้นชื่อเสียงใด ลูกเต้าเหล่าใคร ครั้นมหาดเล็กกราบทูลสนองก็ทรงพยักพระพักตร์ด้วยความพอพระทัย ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินต่อไป

หลังจากนั้นไม่นาน ทับทิมก็ถูกบิดามารดานำตัวมาถวายเป็นเจ้าจอม โดยปิดบังความจริงว่าเธอมีสามีแล้ว ซึ่งก็คือนายแดง คนงานก่อสร้างด้วยกันนั่นเอง หลังจากทับทิมถวายตัวแล้ว นายแดงก็ตัดสินใจบวชตลอดชีวิตกับเจ้าคุณสา ที่วัดราชประดิษฐ์ หมกมุ่นในพระธรรมจนได้เป็น “พระปลัด”

เมื่อทับทิมถวายตัวเป็นเจ้าจอมแล้ว ก็ไม่ยินดีกับชีวิตในรั้วในวัง พอจะส่งตัวขึ้นไปถวายงานทีไร เธอจะหนีไปหลบซ่อนเป็นประจำ ต้องควานหาตัวแล้วฉุดเอาไปถวาย หรือบางทีก็อ้างว่าป่วยไข้ แต่พอให้หมอหลวงตรวจก็ไม่พบว่าเป็นอะไร ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าใจว่าบรรดาเจ้าจอมเก่าๆอิจฉากีดกัน เพราะทับทิมเป็นคนโปรดของพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่าทับทิมเป็นเด็กสาวที่งามที่สุด น่ารักที่สุด ในบรรดาหญิงที่ทรงเคยเห็น

ต่อมาเจ้าจอมทับทิมก็หายไปจากวัง พระเจ้าอยู่หัวตั้งรางวัลพระราชทาน ๒๐ ชั่งสำหรับผู้นำตัวทับทิมกลับมาได้ หรือรู้ว่าซ่อนอยู่ที่ไหน

หลังจากที่ใครต่อใครช่วยกันค้นหากันอย่างอลหม่าน พระภิกษุ ๒ รูปก็พบเจ้าจอมทับทิมซ่อนอยู่ในกุฏิพระปลัดที่วัดราชประดิษฐ์ จึงนำความขึ้นกราบทูล ทรงรับสั่งให้ไปจับมาจำขังไว้ในพระบรมมหาราชวังทันที

จากการพิจารณาคดี เจ้าจอมทับทิมรับสารภาพว่าเธอโกนศีรษะหาจีวรมาครองเป็นเณร พอตอนเช้ามืดยังขมุกขมัวพระเข้ามาบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวัง เธอก็แอบต่อท้ายขบวนเดินรับบาตรไปตามตำหนักต่างๆ จนขบวนพระออกจากวัง เธอไปเคว้งอยู่หน้าวัดราชประดิษฐ์เพราะไปไหนไม่ถูก ทรุดลงนั่งหน้าพระอุโบสถ พอใกล้เวลาพระลงโบสถ์ เจ้าคุณสามาถึงเป็นรูปแรก เห็นเณรนั่งถือบาตรอยู่หน้าโบสถ์ก็สงสัย ทับทิมเลยก้มลงกราบเท้าขอเป็นศิษย์อาศัยอยู่ในวัดด้วย เจ้าคุณสาถามว่ามาจากไหน บวชที่วัดไหน ทับทิมตอบไม่ได้เลยเอาแต่นั่งร้องไห้ เจ้าคุณสาเลยไม่อยากซัก หันไปบอกกับพระปลัดที่มาถึงพอดี ให้รับเณรผู้นี้ไปพักที่กุฏิสอนพระธรรมวินัยให้ด้วย พระปลัดก็จำไม่ได้ว่าเณรผู้นี้คืออดีตภรรยาของท่านนั่นเอง

วันหนึ่งทับทิมนอนตื่นสายเพราะท่องหนังสืออยู่จนดึก พระปลัดและพระทุกรูปออกไปบิณฑบาตหมดแล้ว จึงลุกขึ้นจัดสบงจีวรเพราะคิดว่าอยู่ในกุฏิคนเดียว จนได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆที่ประตูซึ่งแง้มอยู่ พระภิกษุ ๒ รูปเห็นเพศอันแท้จริงของเธอหมด ความจึงแตก ทับทิมกราบวิงวอนว่าพระปลัดเป็นผู้บริสุทธิ์ สั่งสอนพระธรรมวินัยแก่เธออย่างศิษย์กับอาจารย์ ทั้งสารภาพว่าเธอเป็นใคร วิงวอนให้ปล่อยเธอไปจากวัด จะไปซุ่มซ่อนที่อื่นต่อไป แต่พระทั้ง ๒ รูปไม่เมตตา

เมื่อปลัดกลับมาจากบิณฑบาต ทับทิมเข้าไปกราบเท้าท่านว่าเธอคือทับทิม พระปลัดถอยหลังกรูดไปยืนพิงฝาด้วยอาการตกตะลึง ทับทิมได้แต่ร้องไห้ สักครู่พระปลัดจึงเดินเข้ามาหาด้วยน้ำตาอาบแก้มเช่นกัน ปลอบให้เธอหยุดร้องไห้ระงับความเศร้าโศก และว่าทับทิมได้ทำบาปกรรมอย่างร้ายแรง แต่อย่าวิตกเลย เพราะเราทั้งสองเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีมลทิน ทับทิมได้แสดงชัดแล้วว่า ยังรักท่านอยู่ดังเช่นเดิมก่อนไปเป็นเจ้าจอม ฉะนั้นท่านจึงยินดีที่จะรับโทษทุกข์ทรมานแทนเธอแม้ด้วยชีวิต เพื่อเป็นพยานรักของเราทั้งสอง

ตุลาการเห็นว่าเรื่องที่ทับทิมเล่าเป็นนิยายที่ยากจะเชื่อได้ และเค้นให้เธอรับสารภาพว่าใครบ้างที่สมรู้ร่วมคิด ใครเป็นคนเอาสบงจีวรมาให้ ใครช่วยโกนหัวโกนคิ้ว แต่ทับทิมก็ไม่ยอมบอก เธอกับพระปลัดที่ถูกจับมาด้วยจึงถูกโบยและทรมานอย่างหนัก ทับทิมก็ไม่ยอมซัดทอดใคร และยืนยันว่าพระปลัดจำเธอไม่ได้ ไม่รู้เลยว่าเธอเป็นหญิง

ในที่สุดตุลาการก็ตัดสินให้ประหารชีวิตทับทิมและพระปลัดด้วยวิธีเผาไฟทั้งเป็น โดยสร้างตะแลงแกงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง และเผาคนทั้งสองพร้อมกันต่อหน้าพระพักตร์ พระปลัดไม่ยอมพูดอะไร ได้แต่พร่ำภาวนาสวดมนต์ตลอดเวลา แต่ทับทิมตะโกนท่ามกลางเปลวไฟว่า

“ฉันไม่ผิด คุณพระปลัดก็ไม่ผิด พระพุทธเจ้าทรงทราบดี”..........

Credit : บันทึกแหม่มแอนนา เลียวโนเวนส์
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9580000125999

guest

Post : 2018-12-19 14:29:21.0     Forum: ข่าว  >  วันสุดท้ายของกษัตริย์นักปราชญ์!!

 

 

                      

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
วินาทีสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว!!
www.arjanpong.com
#ร4 #สวรรคต #กรุงเทพ #ธรณีสัณฑะฆาต

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี

มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้ามงกุฎ" เสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังเดิม เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 43 และเป็นลำดับที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติในวันพุธ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ยังเป็นโทศก พ.ศ. 2394 รวมดำรงสิริราชสมบัติ 16 ปี 6 เดือน และมีพระราชโอรส - พระราชธิดารวมทั้งสิ้น 82 พระองค์

เมื่อ พ.ศ. 2411 พระองค์ทรงคำนวณว่าจะสามารถเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้ในประเทศสยาม ณ หมู่บ้านหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์จึงโปรดให้ตั้งพลับพลาเพื่อเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่พระองค์ทรงคำนวณก็เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงดังที่ทรงได้คำนวณไว้ พระองค์เสด็จประทับอยู่ที่หว้ากอเป็นระยะเวลาประมาณ 9 วัน จึงเสด็จกลับกรุงเทพมหานคร

ภายหลังการเสด็จกลับมายังพระนคร พระองค์เริ่มมีพระอาการประชวรจับไข้และทรงทราบว่าพระอาการประชวรของพระองค์ในครั้งนี้คงจะไม่หาย วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2411 พระองค์มีพระบรมราชโองการให้หา พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ที่มีพระชนมายุมากกว่าพระองค์อื่น ๆ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ในราชการ และเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) อัครเสนาบดีที่สมุหพระกลาโหม หัวหน้าข้าราชการทั้งปวง เข้าเฝ้าพร้อมกันที่พระแท่นบรรทม โดยพระองค์มีพระบรมราชโองการมอบพระราชกิจในการดูแลพระนครแก่ทั้ง 3 ท่าน

หลังจากนั้น ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสสั่งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) และเจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์) ที่สมุหนายก เข้าเฝ้าฯ และมีพระราชดำรัสว่า

ท่านทั้ง 3 กับพระองค์ได้ทำนุบำรุงประคับประคองกันมา บัดนี้กาละจะถึงพระองค์แล้ว ขอลาท่านทั้งหลายในวันนี้ ขอฝากพระราชโอรสธิดาอย่าให้มีภัยอันตราย หรือเป็นที่กีดขวางในการแผ่นดิน ถ้ามีผิดสิ่งไรเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ ขอให้ท่านทั้ง 3 จงเป็นที่พึ่งแก่พระราชโอรสธิดาต่อไปด้วยเถิด

พระองค์ตรัสขอให้ผู้ใหญ่ทั้ง 3 ท่านได้ช่วยกันดูแลบ้านเมืองต่อไป ให้ทูลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่เอาธุระรับฎีกาของราษฎรผู้มีทุกข์ร้อนดังที่พระองค์เคยปฏิบัติมา โดยไม่ทรงเอ่ยว่าจะให้ผู้ใดขึ้นครองราชย์แทนพระองค์

นอกจากนี้ พระองค์รับสั่งว่าเมื่อพระองค์ผนวชอยู่นั้น ทรงออกอุทานวาจาว่าวันใดเป็นวันพระราชสมภพก็อยากสวรรคตในวันนั้น โดยพระองค์พระราชสมภพในวันเพ็ญเดือน 11 ซึ่งเป็นวันมหาปวารณา เมื่อพระองค์จะสวรรคตก็ขอให้สวรรคตท่ามกลางสงฆ์ขณะที่พระสงฆ์กระทำวินัยกรรมมหาปวารณา 
ในเวลา 20.06 นาฬิกา

พระองค์ทรงภาวนาอรหังสัมมาสัมพุทโธแล้วผ่อนอัสสาสะปัสสาสะ (ลมหายใจเข้า-ออก) เป็นครั้งคราว จนกระทั่ง เวลา 21.05 นาฬิกา เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ ภายในพระบรมมหาราชวัง

เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 สิริพระชนมายุ 64 พรรษา วัดประจำรัชกาลคือ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร.....

Credit : https://th.wikipedia.org

guest

Post : 2018-12-18 14:23:14.0     Forum: ข่าว  >  "ลูกเจ้าตาก" ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก!!

กบฎหม่อมเหม็น พ.ศ 2352 ผู้ร่วมสมรู้ร่วมคิดอื่นได้ถูกประหารชีวิตที่สำเหร่ 

 

หม่อมเหม็น หรือ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กรมขุนกษัตรานุชิต

หรือ เจ้าฟ้าเหม็น (17 กันยายน พ.ศ. 2322-13 กันยายน พ.ศ. 2352)

 

เจ้าครอกฉิมใหญ่ (ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฉิมใหญ่

 

ใบสีมาพูดได้ที่วัดอภัยทายาราม กรุงเทพ!!

ใบสีมา “เจ้าฟ้าเหม็น” ซ่อนนัยยะทางการเมือง?
โดยปกติรูปแบบลวดลายบนใบสีมาหิน สมัยอยุธยา จะมีอยู่ ๒ ประเภท คือ

1.แบบโก่งคิ้ว ซึ่งเป็นแบบที่ปรากฏอยู่ในวัดที่กษัตริย์ทรงสร้าง
2.แบบสายสกุลอยุธยา หรือแบบที่มีลายคล้ายมะม่วง 2 ผล วางอยู่เคียงคู่กัน ซึ่งเป็นแบบที่ปรากฏอยู่ในวัดสามัญชนทั่วไป

ใบสีมาดังกล่าวนี้ มีจำนวน 2 แผ่น ปักอยู่ทางด้านข้างของโบสถ์ข้างละ 1 แผ่น โดยสร้างขึ้นด้วยรูปแบบที่ผิดไปจากธรรมเนียมที่เคยมีมา นั่นคือนำลวดลาย 2 ประเภทตามคตินิยมดังกล่าวข้างต้น มาผสมกันหรือ “ซ้อนทับ” กัน โดยนำลวดลายแบบโก่งคิ้ว ซึ่งทำเป็นลายเส้นเล็กๆ อันเป็นลวดลายที่นิยมใช้ในวัดกษัตริย์สร้าง มาวางทับซ้อนลงบนแบบสายสกุลอยุธยาอย่างกลมกลืน จนหลายคนอาจไม่ได้สังเกตเห็

นั่นหมายถึง การซ่อนแฝงนัยยะทางการเมืองของเจ้าฟ้าเหม็น อันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับท่าน ในขณะนั้นอย่างเเน่นอน!!

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
"ลูกเจ้าตาก" ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก!!
www.arjanpong.com
#เจ้าฟ้าเหม็น #พระเจ้าตากสิน #กรุงธนบุรี
เจ้าฟ้าเหม็น หรือสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชิต เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี กับเจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ ลูกสาวของเจ้าพระยาจักรี ขุนนางที่มีอำนาจมากที่สุดในแผ่นดินกรุงธนบุรี ซึ่งต่อมาปราบดาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

เท่ากับว่าทรงเป็น “ลูกเจ้าตาก” เป็นหลานรัชกาลที่ ๑ และมาสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๒ ด้วยคดีกบฏ ณ วันพุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๕ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๗๑ ตรงกับวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๓๕๒ พระชันษา ๓๐ ปี หย่อน ๔ วัน โดยการตัดสินของพระองค์เจ้าชายทับ หรือต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓

ในการลงพระราชอาญานี้คงจะมีแต่เจ้าฟ้าเหม็นเท่านั้นที่ทรงได้ดำรงพระเกียรติยศสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามโบราณราชประเพณีตามแบบขัตติยราชกุมาร ส่วนพระราชโอรส ๖ พระองค์ของเจ้าฟ้าเหม็น ที่ถูกนำไปถ่วงน้ำนั้นมีพระนาม ดังนี้ ๑. หม่อมเจ้าชายใหญ่ ๒. หม่อมเจ้าชายสุวรรณ ๓. หม่อมเจ้าหนูเผือก ๔. หม่อมเจ้าชายสวัสดิ์ ๕. หม่อมเจ้าชายเล็ก ๖. หม่อมเจ้าชายแดง

ในปี พ.ศ. 2352 หลังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เสด็จสวรรคตได้เพียง 3 วัน เกิดการกล่าวโทษว่าพระองค์คบคิดกับขุนนางจำนวนหนึ่งว่าคิดแย่งชิงราชสมบัติ จนเกิดคดีเป็นกบฏ หลังจากไต่สวนได้ความเป็นจริง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงโปรดให้ชำระโทษถอดพระยศ ลงพระราชอาญา ให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 10 จ.ศ. 1171 หรือวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2352 พร้อมพระอนุชาต่างมารดา คือพระองค์เจ้าชายอรนิกา และพระขนิษฐา พระองค์เจ้าหญิงสำลีวรรณ ซึ่งถูกข้อหาสมรู้ร่วมคิด

ผู้ร่วมสมรู้ร่วมคิดอื่นได้ถูกประหารชีวิตที่สำเหร่ รวมทั้งพระโอรสทั้งหมดในเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตถูกสำเร็จโทษด้วยวิธีการถ่วงน้ำ ในเหตุกบฏเจ้าฟ้าเหม็นด้วย

หลังคดีกบฏเจ้าฟ้าเหม็น เจ้าฟ้าเหม็นถูกถอดพระยศและถูกสำเร็จโทษ ส่วนพระโอรสทั้งหกถูกประหารชีวิตทั้งหมดขณะที่พระธิดาที่ยังเหลืออยู่ก็ถูกถอดให้มีพระยศเป็น คุณ หรือ หม่อม

และยังพบว่าพระธิดาของหม่อมเหม็นสองท่านคือ หม่อมเจ้าตลับ และหม่อมเจ้าหอ ปรากฏตัวเมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปกรุงเก่าทางชลมารค ระหว่างนั้นก็มีเรือเก๋งพายเข้ามาเคียงเรือพระที่นั่งอย่างไม่เกรงพระอาญา นำโดยเจ้าจอมมารดาน้อย (ธิดาพระอินทรอภัย) พร้อมด้วยหม่อมเจ้าอีกสองท่านดังกล่าว

เรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาเล่าความแก่เจ้าจอมมารดาพึ่ง ดังปรากฏความว่า

"...อยากจะใคร่ให้เอาไปตัดหัวเสียตามสกุลพ่อมัน แซ่นี้มักเป็นเช่นนั้นเหมือนคุณสำลี...ข้าได้ยินว่าคนพวกเจ้าตลับ เจ้าครอกหอ ไปด้วย พวกนั้นเปนพวกใกล้เคียงกับยายป้าน้อยของเต่า เต่าอย่าไปไถ่ถามว่ากล่าวอะไรวุ่นวายน้อยมันจะด่าให้อายเขา..."

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้สืบเชื้อสายของหม่อมเหม็นได้รับพระราชทานนามสกุลว่า "อภัยกุล"เป็นนามสุกลพระราชทานลำดับที่ 3941 ตราบเท่าปัจจุบัน...

Credit : https://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B…

 

guest

Post : 2018-12-17 14:33:25.0     Forum: ข่าว  >  เเววตาเสือ พระเนตรเขียวมรกต!!

 

 

                                

 

 

 

พันเอกหญิง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

 

 

 

จากซ้ายไปขวา
- กรมหลวงนครราชสีมา
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
- กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ
- สมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ
- พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
- กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย

 

 

 

งานสวนสนามในคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช พ.ศ. 2454 

 

 

 

หม่อมเจ้าพิไลยเลขา ดิศกุล ผู้ถูกชายหนุ่มผู้มั่นหมายสลัดรักอย่างเลือดเย็น

เปี่ยมว่าหัวใจจะเเตกสลายจนถึงวาระสุดท้ายเเห่งชีวิต...

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
เเววตาเสือ พระเนตรเขียวมรกต!!
www.arjanpong.com
#พระพันปีหลวง #พระปิยะมหาราช 
"ความเฮี๊ยบ" ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง เป็นที่เลื่องลือของฝ่ายหน้าฝ่ายในมาแต่ไหนแต่ไร เป็นต้นว่า ทรงมีพระเดชอยู่ที่พระเนตร ถ้าทอดพระเนตรใครหรือสิ่งใดอย่างไม่ทรงพอพระทัยแล้ว ชาววังจะรียกว่า "พระเนตรเขียว" หรือ "ตั้งกริ้ว" และถ้าทรงใกล้พิโรธเมื่อไร ชาววังจะเรียกขึ้นอีกว่า "พระเนตรเขียวมรกต"

ถึงแม้สมเด็จพระพันปีหลวงจะทรงมีพระเดชเป็นที่น่าเกรงขามก็จริง แต่โดยปกติแล้วทรงมีพระอารมณ์ขันมากทีเดียว ทรงคุยสนุก มักตรัสล้อเล่นกับผู้อื่นบ่อยๆ จึงมีพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในมาเข้าเฝ้าอยู่เสมอๆ

หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญา ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งถวายตัวเป็นข้าหลวงในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ และเคยตามเสด็จไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันปีหลวง ได้พระนิพนธ์เรื่องตลกๆ เกี่ยวกับพระราชอารมณ์ขันของสมเด็จพระพันปีหลวงไว้บางส่วน ดังนี้

"ตอนนั้นสมเด็จพระพันปีหลวงเสด็จประพาสหัวหิน ประทับที่ตำหนักทูลกระหม่อมเล็ก (สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ) สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าฯ กับทูลกระหม่อมกรมหลวง (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์) และเสด็จกรมหลวงทิพยรัตน์ฯ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี) ก็เสด็จประพาสเหมือนกัน ประทับอยู่ตำหนักแสนสำราญของกรมพระนเรศวรฤทธิ์

ทั้ง ๓ พระองค์ เสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระพันปีหลวง ขณะนั้นประทับอยู่ที่เฉลียงใหญ่หน้าห้อง ในห้องมีข้าหลวงเฝ้าคอยรับใช้ ในจำนวนนั้นมีหม่อมเจ้าพิไลยเลขา ดิศกุล อยู่ด้วยองค์หนึ่ง ข้าพเจ้าตามเสด็จสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าฯ นั่งอยู่ที่ท้ายขบวนที่เฉลียงนั้นด้วย ได้เห็นและได้ยินเจ้านายทรงคุยกันชัดเจน

ตอนหนึ่ง สมเด็จพระพันปีหลวงทรงเล่าถึงคุณหญิงคนหนึ่งมาเฝ้า กำลังหมอบเพ็ดทูลท่านอยู่ เกิดจิ้งจกตกลงมาบนหลัง คุณหญิงคนนั้นเกลียดจิ้งจกยิ่งกว่ากลัวสมเด็จพระพันปีหลวง ลุกขึ้นร้องหวีดว้ายสะบัดแขนสะบัดมือเรียกคน

"ช่วยด้วย ช่วยด้วย"

สมเด็จพระพันปีหลวงทรงเล่าแล้วก็ทรงทำท่าประกอบ ข้าพเจ้ากำลังหัวเราะขันในเรื่องที่ท่านทรงเล่า พอดีเห็นหม่อมเจ้าพิไลยเลขาคลานพรวดพราดออกมาจากในห้อง ตรงเข้าไปปัดที่พระกรและพระเพลาสมเด็จพระพันปีหลวง ความคิดของข้าพเจ้าก็เลยเปลี่ยนไปใหม่ นึกว่าจิ้งจกตกต้องพระองค์สมเด็จพระพันปีหลวงจริงๆ เพราะท่านทรงทำท่าได้สนิทแนบเนียน พอทรงหันไปถามหม่อมเจ้าพิไลยเลขาว่า

"อะไรกัน มาทำอะไร"

เจ้านายที่ประทับอยู่ที่นั่นก็ทรงฮาขึ้นพร้อมกัน หม่อมเจ้าพิไลยเลขาทรงฟังไม่ได้ศัพท์จึงต้องเก้อกลับไป"

Credit : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ(ฉายานิทรรศน์)

guest

Post : 2018-12-16 14:03:45.0     Forum: ข่าว  >  "กรมดำรง ฉันหมดบุญเเล้ว!!.."

 

 

                          

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
"กรมดำรง ฉันหมดบุญเเล้ว!!.."
www.arjanpong.com
#พระปิยะมหาราช #กรุงเทพ #เพชรบุรี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระเกียรติยศส่วนพระองค์ว่าทรงมีพระอภินิหารในทางขอฝน เนื่องจากก่อนวันเสด็จพระบรมราชสมภพ ในกรุงเกิดฝนตกห่าใหญ่ถึง ๓ วัน ๓ คืนเต็ม เป็นที่น่าอัศจรรย์นัก

ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระบรมชนกนารถจึงโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จแทนพระองค์เป็นประธานในการจุดเทียนชัยในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ (ขอฝน) ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และฝนก็จะตกทุกครั้งไป

ช่วงปลายพระชนม์ชีพ ก่อนเสด็จสวรรคตไม่นานนัก เมืองเพชรบุรีเกิดฝนแล้ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จประทับแปรพระราชฐานอยู่ที่เมืองเพชรบุรีพอดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ตามธรรมเนียม โดยพระองค์จะเสด็จจุดเทียนชัยในพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล ดังที่เคยทรงปฏิบัติแต่หนหลัง

เมื่อเสร็จการพระราชพิธี ฝนก็ตกทั่วทั้งเมืองเพชรบุรีดังพระราชประสงค์....แต่คราวนี้ ตกเพียงครู่เดียว ฝนก็หยุด ไม่ตกนานเป็นวันเป็นคืนเช่นทุกครั้ง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อาจจะทรงทราบความนัยของปรากฎการณ์นี้ จึงตรัสกับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ (พระอิสสริยยศในขณะนั้น) ว่า

"กรมดำรง ฉันหมดบุญแล้ว..."

Credit : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
: ประวัติศาสตร์สยาม (ฉายานิทรรศน์)

.................

#ธรณีสันฑะฆาต..
แก้กษัย ท้องผูก เถาดาน กรดไหลย้อน 
สนใจที่ : www.arjanpong.com

guest

Post : 2018-12-12 14:34:30.0     Forum: ข่าว  >  ตำนานนักสู้คนซื่อ

 

                      

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ตำนานนักสู้คนซื่อ!!..
www.arjanpong.com
#เเชมป์โลก #แสนศักดิ์เมืองสุรินทร์ 
(13 สิงหาคม พ.ศ. 2494 — 16 เมษายน พ.ศ. 2552)
อดีตนักมวยแชมป์โลกชาวไทย รุ่นซูเปอร์ไลท์เวท (140 ปอนด์) ของสภามวยโลก (WBC) มีชื่อจริงว่า บุญส่ง มั่นศรี เป็นชาวตำบลสะเดียง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์

แสนศักดิ์ เป็นนักมวยที่มีช่วงแขนยาวกว่าปกติ และมีหมัดซ้ายหนักโดยธรรมชาติ นับเป็นแชมป์โลกชาวไทยคนที่ 5 และเป็นนักมวยแชมป์โลกรุ่นใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา นอกจากนี้แสนศักดิ์ยังเป็นเจ้าของสถิติโลก ที่ชกมวยสากลเพียง 3 ครั้งก็ได้ครองตำแหน่งแชมป์โลกอีกด้วย

ก่อนจะมาชกมวยสากล เคยชกมวยไทยครั้งแรก ๆ ใช้ชื่อว่า "แสนแสบ เพชรเจริญ" หรือ "แสบทรวง เพชรเจริญ" เมื่อเข้ามาในกรุงเทพมหานครได้อยู่กับค่าย "เมืองสุรินทร์" ของ "จอมตบ" สนอง รักวานิช และต่อมาเป็นนักมวยไทยชื่อดังในขณะนั้น

เคยปะทะฝีมือกับยอดมวยไทยร่วมสมัยหลายคน เช่น ศิริมงคล ลูกศิริพัฒน์, วิชาญน้อย พรทวี, พุฒ ล้อเหล็ก, คงเดช ลูกบางปลาสร้อย, ขุนพล สาครพิทักษ์, วิสันต์ ไกรเกรียงยุค, ผุดผาดน้อย วรวุฒิ เป็นต้น และเคยเป็นแชมป์มวยไทยรุ่นซูเปอร์ไลท์เวท (140 ปอนด์) ของสนามมวยเวทีลุมพินี ด้วยการเอาชนะน็อก สรศักดิ์ ส.ลูกบุคคโล หลานชายของ สุข ปราสาทหินพิมาย เพียงแค่ยกแรก

แสนศักดิ์ เคยชกมวยสากลสมัครเล่นในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 7 ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยชนะน็อกรวดทุกครั้ง จนได้ครองเหรียญทอง

และจากการที่ชกสากลชนะน็อกรวดอย่างนี้ ทำให้ "พญาอินทรี" เทียมบุญ อินทรบุตร วางแผนร่วมกับสนอง รักวานิช ให้แสนศักดิ์ชกเพียง 3 ครั้งได้เป็นแชมป์โลก เพราะมั่นใจในพลังหมัด เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหมัดซ้าย ที่เรียกกันว่า "บันได 3 ขั้น" ซึ่งสถิติการชกเพียงระยะสั้นแค่นี้ กลายเป็นสถิติโลกมาจนปัจจุบัน(ต่อมา วาซีล โลมาเชนโก นักมวยชาวยูเครนก็ทำสถิติชกเพียง 3 ครั้งได้แชมป์โลกเช่นกันเมื่อปี พ.ศ. 2557 ในรุ่นเฟเธอร์เวท (126 ปอนด์))

แสนศักดิ์ได้แชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ไลท์เวท สภามวยโลก (WBC) ในการชกครั้งที่ 3 โดยชนะทีเคโอ (ยอมแพ้) ยก 8 เปริโก้ เฟอร์นันเดซ นักมวยชาวสเปน ในปี พ.ศ. 2518 แต่แสนศักดิ์ป้องกันตำแหน่งแชมป์ไว้ได้เพียงครั้งเดียว โดยการเอาชนะน็อก เท็ตสุโอะ 'ไลอ้อน' ฟูรูยาม่า นักมวยชาวญี่ปุ่นเท่านั้น จากนั้นได้ไปป้องกันตำแหน่งกับ มิเกล เวลาสเควซ นักมวยชาวสเปน ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน แสนศักดิ์ถูกจับแพ้ฟาล์วในยกที่ 4 เนื่องจากไปชกเวลาเควซล้มลงในช่วงระฆังตีบอกยกหมดเวลา เสียแชมป์โลกทันที ฝ่ายไทยพยายามประท้วงแต่ก็ไม่เป็นผล

หลังแขวนนวมเพราะสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิมและมีปัญหาด้านสายตาอีก อันเนื่องจากบอบช้ำจากการชกมวย แสนศักดิ์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบาก เพราะนับจากเสียแชมป์โลกครั้งสุดท้ายไปแล้ว เงินทองที่เคยมีอยู่นับ 10 ล้านที่เคยเก็บหอมรอบริบจากการชกมวยก็ร่อยหรอ ผู้จัดการที่ปลุกปั้นมา คือ สนอง รักวานิช ก็เสียชีวิต กลุ่มผู้สนับสนุนก็ทยอย ๆ จากไป หนำซ้ำยังโดนหลอกจากเพื่อนฝูงและคนรู้จัก รวมถึงคนในวงการมวยด้วย

การชกครั้งสุดท้ายของแสนศักดิ์ ซึ่งเป็นขึ้นชิงแชมป์ในรุ่นเวลเตอร์เวท (147 ปอนด์) ของสหพันธ์มวยภาคตะวันออกไกลและแปซิฟิก (OPBF) เจ้าตัวถึงขนาดลงทุนเป็นโปรโมเตอร์เอง แต่ก็ขาดทุนอีก อีกทั้งยังเป็นฝ่ายแพ้คะแนนอีกด้วย รวมทั้งเคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคชาติไทย ที่เพชรบูรณ์ บ้านเกิด ก็ไม่ได้รับเลือก

จนในที่สุด สายตาข้างขวาที่มีปัญหาของแสนศักดิ์ก็บอดสนิท ส่วนตาข้างซ้ายได้รับการผ่าตัดจนมองเห็นได้ ต้องขอรับความช่วยเหลือจากการกีฬาแห่งประเทศไทยเดือนละ 7,500 บาท และจากสภามวยโลกอีกเดือนละ 9,000 บาท บั้นปลายชีวิตได้อาศัยอยู่กับนางสาวศศวรรณ ดาวัลย์ ภรรยาใหม่และมีลูกสาวบุญธรรมคือ นางสาวปานวาด มั่นศรี

แสนศักดิ์เสียชีวิตลงในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลา 15.00 น. ที่โรงพยาบาลราชวิถี ด้วยอาการลำไส้ฉีกขาด เนื่องจากเป็นหลายโรครุมเร้าด้วยกัน โดยแสนศักดิ์เข้ารักษาตัวตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน ได้รับการผ่าตัดแล้วแต่อาการก็ไม่ดีขึ้นจนเสียชีวิตในที่สุด ด้วยวัย 57 ปี และมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ที่วัดตรีทศเทพ มี พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีในรัชกาลที่ 9 เป็นประธาน เมื่อวันที่ 20 เมษายน ปีเดียวกัน.....

Credit : https://www.youtube.com/watch?v=vWCM5QMUXVE
https://th.wikipedia.org/…/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B…

guest

Post : 2018-12-09 12:52:28.0     Forum: ข่าว  >  กลับไปยังการแก้ไขผมจะดูเเลคุณตลอดไป...

  

     

 

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ผมจะดูเเลคุณตลอดไป...
www.arjanpong.com
#ชรินทร์นันทนาคร #เพชราเชาวราษฎร์
" เธอๆ ตาฉันมองไม่เห็นเเล้ว....."

เสียงเรียกสามีของหญิงสาวที่ละล่ำละลักตัวสั่นสะท้านในขณะที่กำลังเซถลาจะร่วงลงมาจากบันไดขั้นที่ 4 ของบ้านอยู่ในขณะนั้น...เท้าไวเท่าความคิด สามีหนุ่มที่กำลังยืนรดน้ำเเละเเต่งกิ่งต้นโมกอยู่ใกล้ๆ ก็โผเข้ามาโอบกอดร่างของภรรยาสุดที่รักได้ทันท่วงที ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มฟาดมาตามขั้นบันได

" ไม่เป็นไรอิ๊ด...ผมอยู่นี่...ผมอยู่นี่........"

เสียงของสามีหนุ่มฟังดูก็รู้ว่าเขาพยายามบังคับน้ำเสียงของเขาไม่ให้ตื่นเต้นตกใจไปกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าในขณะนั้น ร่างของภรรยาสาวที่อยู่ในอ้อมกอดเขาสั่นเทาเสียเหลือเกิน เสียงร่ำไห้ระคนตกใจของเธอนั้นมันฉันปวดร้าวเจ็บลึกจนสุดใจเสียนี่กระไร เเละไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานสักเท่าไรกับเสียงสะอื้นของเธอที่ยังรับเเละทำใจไม่ได้กับการที่จะต้องมองไม่เห็นไปตลอดชีวิต

ชายหนุ่มประคองกอดร่างของภรรยาสุดที่รักเข้าไปในบ้าน เเล้วโอบอุ้มร่างนั้นไว้บนเตียงอย่างทนุถนอม คราบน้ำตาที่เเห้งเกรอะกรังยังพวงเเก้มทั้งสองข้าง ดูช่างน่าเวทนาเสียเหลือเกิน นี่หรือนางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง? สตรีที่มีดวงตาสวยที่สุดในเเผ่นดิน ใครจะไปเชื่อล่ะว่า นับตั้งเเต่นี้เป็นต้นไปเธอจะต้องตาบอด!!!.......

ชีวิตของเธอมันยิ่งกว่านิยายน้ำเน่า ด.ญ จากระยองทีถูกเตี่ยบังคับให้เเต่งงานกับลูกเศรษฐีตั้งเเต่อายุเพียง 14 ปี เท่านั้น ก็ในเมื่อไม่ได้มีใจรักให้เเก่กัน เเล้วจะมาทุกข์ทนทรมานทำไม เเม่หนูน้อยก็เลยหนีวิวาห์มาตายเอาดาบหน้าที่กรุงเทพฯ ดีกว่า โดยมาพักอาศัยอยู่กับพี่สาวเเละพี่เขย เเละได้ช่วยงานร้านเสริมสวยของน้องสาวของพี่เขยเท่าที่จะพอช่วยเหลือกันได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่มีเเมวมองมาเห็นเธอเข้า เลยชักชวนเข้าประกวดเทพีเมษาฮาวาย ประจำปี 2505 ของสำนักงานกินเเบ่งรัฐบาล โดยใช้ชื่อในการประกวดว่า ปัทมา ชาวราษฎร์ ผลปรากฎว่าเธอชนะเลิศ ชีวิตของเธอไม่ได้หยุดอยู่เเค่นั้น เมื่อ ศิริ ศิริจินดา เเละ ดอกดิน กัญญามาลย์ ได้ชักชวนให้เธอได้เล่นหนังครั้งเเรกในชีวิต ในเรื่อง บันทึกรักนวลฉวี คู่กับ มิตร ชัยบัญชา ในปีนั้นนั่นเอง

เเทบไม่น่าเชื่อ เธอดังเป็นพลุเเตกเปรี้ยงปร้างเป็นดาวประดับฟ้าไปเลย ซึ่งจะมีใครกล้าปฎิเสธได้บ้างว่าไม่รู้จัก เพชรา เชาวราษฎร์ คนนี้ เธอโด่งดังมากจริงๆ เล่นหนัง 300 กว่าเรื่อง บางวันถ่ายทำ 3- 4 เรื่องเลยทีเดียว สุดท้ายก็มาพบรักกับหนุ่มชาวเชียงใหม่ นามว่า ชรินทร์ นันทนาคร ทั้งคู่ต่างก็ครองรักกันอย่างสดชื่นหอมหวาน ซึ่งความรักของเธอในครั้งนี้ ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามตามตื้อหวังได้ตัวเธอมาเป็นคู่ครองให้ได้ ถึงกับต้องอกหักอย่างเเรง ความรักจึงเเปรเปลี่ยนมาเป็นความอาฆาต ฟ้องร้องเธอกับสามีในเรื่องภาษีต่อกรมสรรพกร สุดท้ายเธอก็กลายมาเป็นบุคคลล้มละลาย ประกาศใช้หนี้ใช้สินขายบ้านขายที่ขายทางจนสิ้นเนื้อประดาตัว เเละนอกจากนั้นเคราะห์ซ้ำยังกระหน่ำซัด ต่อมาเธอเเท้งลูกถึง 3 ท้องเลยทีเดียว.....

หยาดน้ำใสๆที่ไหลออกจากตาอันปิดสนิทของนางเอกผู้อาภัพคนนี้ มันเอ่อไหลออกมาตั้งเเต่เมื่อไรก็ไม่รู้?..สะดุ้งเบาๆเมื่อมีมืออันอบอุ่นค่อยๆบรรจงซับน้ำตาให้อย่างนุ่มนวลเเละทนุถนอม พร้อมกับเสียงกระซิบที่ข้างหูเบาๆ

" ผมอยู่ตรงนี้อิ๊ด...ผมจะอยู่ที่นี..เเละจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป.................."

หญิงสาวเกาะกุมมือของสามีอันเป็นสุดที่รักไว้เเน่น รอยยิ้มทั้งน้ำตาเปื้อนอยู่เต็มหน้าของเธอ อย่างน้อยๆ สวรรค์ไม่ได้ใจร้ายสักทีเดียว ที่ได้ส่งชายผู้เเสนดีคนนี้มาอยู่ร่วมเป็นร่วมตายชายคาเดียวกัน

" ค่ะ......"

คำตอบสั้นๆเเต่เปี่ยมไปด้วยพลังใจเหลือล้น จากหญิงคนหนึ่งที่พร้อมเเล้วกับโชคชะตาชีวิตที่ไม่เคยคิดกลัวอีกต่อไป.........

guest

Post : 2018-12-06 13:38:04.0     Forum: ข่าว  >  ศาล สั่งจำคุก ฟิล์ม-รัฐภูมิ เปิดบริษัทชำระเงินเถื่อน!!

 

 

                          

 

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ศาล สั่งจำคุก ฟิล์ม-รัฐภูมิ เปิดบริษัทชำระเงินเถื่อน!!
www.arjanpong.com
#ฟิล์มรัฐภูมิ #เพย์ออลกรุ๊ป #พลังภูผา
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 6 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณา 914 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีดำ อ.3090/61ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท เพย์ออล กรุ๊ป จำกัด โดยนายศราวุฒิ นนทะภา กรรมการผู้มีอำนาจ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ ฟิล์ม รัฐภูมิ อายุ 33 ปี พระเอกนักแสดงชื่อดัง นายธเนศ จัตวาพรพานิช อายุ 43 ปี และนายภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ อายุ 38 ปี ในฐานะกรรมการบริษัท ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดฐาน “ร่วมกันประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันประกอบธุรกิจ บัตรชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้รับอนุญาต”

กรณีเมื่อระหว่างเดือนต.ค. 2559 – 20 ก.พ. 2560 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสี่ บังอาจร่วมกันประกอบกิจการ ให้บริการแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ ภายใต้ชื่อ ‘เพย์ออล’ (Payall) และสมัครสมาชิกเพื่อสร้างบัญชีของผู้ใช้บริการซึ่งระบบจะตั้งบริษัทสมาชิก รหัสผ่านในการใช้งาน และเติมเงินผ่านเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยตามช่องทาง โดยระบบจะบันทึกจำนวนเงินที่เติม ตามมูลค่าของผู้ใช้บริการแต่ละราย รวมทั้งนำเงินที่ชำระไว้ล่วงหน้ามาชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่างๆ แทนเงินสด

การกระทำของพวกจำเลย มีลักษณะร่วมกันประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการโอนสิทธิการถือครองเงิน และการโอนสิทธิการถอนเงิน หรือหักเงินผ่านบัญชีหรือแอพพลิเคชั่นของผู้ใช้บริการโดยไม่จำกัด และไม่อยู่ภายใต้ระบบการจัดจำหน่ายตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการควบคุม ดูแลธุรกิจการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2551 และบัญชีท้ายตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุม ดูแลธุรกิจการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2551 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย

เหตุเกิดที่แขวง-เขตห้วยขวาง กทม. พวกจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะ ประวัติครอบครอบครัว การทำงานการศึกษา ของพวกจำเลย และอื่นๆ เพื่อนำมาพิจารณาประกอบคำพิพากษา

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยกระทำผิดกรรมเดียวฐานประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต พิพากษา ปรับบริษัท เพย์ออล ฯ จำเลยที่ 1 จำนวน 2 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 2-4 จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 1 แสนบาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ บริษัท เพย์ออล ฯ จำเลยที่ 1 จำนวน 1 แสนบาท

ส่วนจำเลยที่ 2-4 คงจำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 5 หมื่นบาท พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะฯแล้ว เห็นว่า พวกจำเลยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 2 ปี ให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเป็นเวลา 1 ปี และให้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะเป็นเวลา 24 ชั่วโมง....

Credit : https://www.dailynews.co.th/crime/681011
https://www.youtube.com/watch?v=iPuf7ztneQQ

guest

Post : 2018-12-03 20:05:09.0     Forum: ข่าว  >  สมเด็จฯทรงโอบกอดพระธิดา ทิวงคตพร้อมกันในอ้อมกอดเเม่!!...

 

 

                      

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
สมเด็จฯทรงโอบกอดพระธิดา ทิวงคตพร้อมกันในอ้อมกอดเเม่!!...
www.arjanpong.com
#พระนางเรือล่ม #วัดกู้

เป็นเรื่องเศร้าที่เล่าขานต่อกันมายาวนาน สำหรับเหตุการณ์วันที่เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าว ซึ่งชาวบ้านเล่ากันต่อ ๆ ว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ พระราชธิดา และเจ้าฟ้าในครรภ์ ทรงตามเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปพระราชวังบางปะอิน เมื่อเสด็จมาถึง ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทุบรี เรือพระพันปีหลวง ได้แล่นเซงเรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ประกอบกับนายท้ายเรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ เมาเหล้าขาดสติ จึงไม่สามารถควบคุมเรือได้ จึงเป็นเหตุให้เรือล่ม

ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ทรงว่ายน้ำได้ แต่เพราะความที่ทรงห่วงพระราชธิดา จึงทรงว่ายเข้าไปช่วย แต่ก็ต้องสิ้นพระชนม์ พร้อมกับพระพี่เลี้ยงอีก 1 คน ทั้งหมด 4 ศพ ซึ่งศพจมอยู่ใต้ท้องเรือ โดยที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เพราะติดอยู่ที่กฎมณเฑียรบาลว่า ห้ามผู้ใดแตะต้องพระวรกายพระมเหสี มิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งโคตร

นอกจากนี้ ก่อนเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมขึ้น สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ได้ทรงพระสุบินว่า พระธิดาของพระองค์ตกลงไปในน้ำ ด้วยความตกพระทัยจึงรีบคว้าพระธิดาจนตกลงไปในน้ำด้วยกัน แล้วได้ตื่นจากบรรทม ท่านก็ทรงครุ่นคิดถึงการเสด็จฯ ไปพระราชวังบางปะอิน แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมได้

การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ในครั้งนั้น มีเสียงร่ำลือในวังหลวงอย่างหนาหูว่า เป็นแผนการจงใจที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากความอิจฉาริษยาของบรรดามเหสี และสนมนางในที่คิดหาหนทางกำจัด นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าอันน่าพิศวงเกี่ยวกับอาถรรพ์ของดวงพระวิญญาณตามมาด้วย

โดยชาวบ้านเล่ากันว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังงมค้นหาพระศพในวันที่เรือพระประเทียบล่ม แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ จนชาวบ้านแถมนั้นทนเห็นเหตุการณ์นั้นไม่ไหว จึงลงมาช่วย แต่ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบ ถึงขนาดทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์แต่ก็ยังไม่พบพระศพ จนต้องเชิญหลวงจีนท่านหนึ่งนามว่า "สกเห็ง" โดยท่านสกเห็งได้เสกถ้วยน้ำชาให้ลอยไปตามกระแสน้ำ พอถ้วยจมลงจุดใดก็ให้ชาวบ้านและทหารช่วยกันงมหา

ซึ่งในที่สุดก็สามารถหาพระศพจนพบ โดยลักษณะของพระศพนั้น สร้างความเศร้าสลดให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ได้โอบกอดพระธิดาไว้แนบอก ส่วนสถานที่ที่พบพระศพนั้นก็คือใต้ซากเรือพระประเทียบนั้น........

Credit : https://hilight.kapook.com/view/71274

............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-12-01 13:35:03.0     Forum: ข่าว  >  ท้าวศรีจุฬาลักษณ์!! เธอตายอย่างทนทุกข์ทรมาน!!

 

                         

 

 

ท้าวศรีจุฬาลักษณ์!! เธอตายอย่างทนทุกข์ทรมาน!!
www.arjanpong.com
#พระนารายณ์ #อยุธยา #พลังภูผา

ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) เป็นบุตรีของพระนมเปรม ผู้บริบาลถวายการเลี้ยงดูสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาแต่เยาว์วัย ภายหลังถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับสมเด็จเจ้าฟ้าน้อย ซึ่งเป็นพระอนุชาธิราชของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนภายหลังจึงถูกลงโทษ

.....ประวัติ.....

ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) มีนามเดิมว่า แจ่ม เป็นบุตรีของพระนมเปรม ผู้บริบาลถวายการเลี้ยงดูสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาแต่เยาว์วัยภายหลังพระนมเปรมจึงได้รับแต่งตั้งเป็นท้าวศรีสัจจา ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า เจ้าคุณวังหน้า และยังเป็นน้องสาวของพระยาเพทราชา (ทองคำ) จางวางกรมคชบาลขวา ต่อมานางได้ถวายตัวเป็นบาทบริจากริกาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงโปรดสถาปนาไว้ในตำแหน่ง "ท้าวศรีจุฬาลักษณ์" พระสนมเอก

.....การเป็นชู้กับพระอนุชาธิราช.....

ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) ด้วยเป็นที่รู้กันว่านางเป็นผู้มากด้วยกามคุณ สร้างความอื้อฉาวแก่ประชาชนเสมอ จนราษฎรนำกันร้องเพลงเกริ่นความผิดปกติวิสัยของนางให้เกร่อไป ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) ได้เกิดความพึงพอใจในสมเด็จเจ้าฟ้าน้อย พระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงใช้เล่ห์เพทุบายล่อลวงจนเจ้าฟ้าน้อยเสพสังวาสด้วยกับนางแต่เป็นการลับไม่ถึงพระเนตรพระกรรณ แต่ความเกิดแตกเนื่องจากตัวพระสนมเอง

โดยนางได้ผ่านทางเข้าห้องที่ประทับของในหลวง ได้เห็นฉลองพระองค์ชั้นนอกของเจ้าฟ้าน้อยถอดวางไว้ ด้วยเป็นธรรมเนียมของการเข้าเฝ้าที่ต้องเปลือยกายครึ่งท่อนเสียก่อน ครั้นนางจำฉลองพระองค์ขององค์ชายได้ จึงให้นางทาสีหยิบนำไปเก็บไว้ที่ห้องของนางเสีย ด้วยคิดว่าองค์ชายจะทราบดีว่าผู้ใดเอาไป แล้วจะได้ติดตามไปในตำหนักของพระนาง แต่เจ้าชายหาได้เฉลียวใจเช่นนั้น เมื่อเจ้าชายออกมาไม่พบฉลองพระองค์ แต่โขลนทวารไม่ทราบว่าผู้ใดเอาไป จึงได้เที่ยวกันตามหาทั่วพระราชวัง เรื่องจึงเข้าถึงพระเนตรพระกรรณของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

พระองค์จึงทรงพิโรธเป็นอันมากที่มีผู้เข้ามาลักทรัพย์ถึงในพระราชฐาน แค่พระทวารห้องที่ประทับของพระองค์แท้ๆ และผู้ที่มาหยิบก็ต้องออกมาจากพระราชฐานฝ่ายในเท่านั้น จึงมีรับสั่งให้ค้นให้ทั่วทันที โดยเข้าไปในตำหนักของพระสนมเอกก่อน จึงได้พบฉลองพระงค์ของเจ้าชาย ที่มิได้ซุกซ่อนให้มิดชิดวางอยู่ เหล่านางกำนัล และนางทาสีจึงชิงกันกราบทูลกล่าวโทษพระสนม สร้างความพิโรธแก่สมเด็จพระนารายณ์ฯเป็นอันมาก แม้กระนั้นพระองค์ก็มิทรงปรารถนาที่จะถือเอาแต่โทสจริต หรือวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯ ตั้งให้คณะที่ปรึกษาแผ่นดินของพระองค์เป็นผู้วินิจฉัยคนทั้งสอง

.....การถูกลงทัณฑ์......

พระเพทราชาซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ในแผ่นดินด้วยการสนับสนุนของท้าวศรีจุฬาลักษณ์ซึ่งเป็นน้องสาว มิได้คัดค้านคำพิจารณาพิพากษา หรือขอรับพระราชทานอภัยโทษให้แก่ท้าวศรีจุฬาลักษณ์เลย กลับเป็นคนแรกที่ธำรงอำนาจวาสนาตนไว้ ด้วยการเสนอให้พิจารณาลงโทษนางที่เคยพระคุณต่อตนถึงขั้นประหารชีวิต

คณะที่ปรึกษาได้พิจารณาลงโทษให้เอานางสนมไปโยนให้เสือกินเสีย ส่วนเจ้าฟ้าน้อยนั้นก็ทรงต้องระวางโทษให้สำเร็จโทษด้วยการใช้ไม้จันทน์สองท่อนบีบอัดเสียให้สิ้นพระชนม์ โดยอย่าให้โลหิตตกต้องแผ่นดินได้ โดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประหารพระสนมเอกตามคำพิพากษา ส่วนพระอนุชาธิราชได้พระราชทานผ่อนโทษลง ด้วยเหตุที่ว่า พระเชษฐภคินีองค์หนึ่งซึ่งพระองค์ทรงรักใคร่มากนั้น เมื่อใกล้จะถึงกาลกิริยาได้กราบทูลขอให้พระองค์ทรงชุบเลี้ยงพระอนุชาธิราชพระองค์นี้ เสมอว่าพระองค์เป็นพระบิดา ด้วยพระนางเธอบำรุงเลี้ยงมาด้วยความเสน่หายิ่ง

สมเด็จพระนารายณ์ฯจึงให้ลงทัณฑ์เสมอที่บิดาทำต่อบุตร แต่ด้วยถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงทรงทรงพิจารณาลงทัณฑ์ให้สาหัสด้วยหวาย และทรงเห็นว่าพระเพทราชาเป็นผู้หนึ่งที่ปรารถนาที่จะสำเร็จโทษเจ้าชาย เพื่อเป็นการแก้แค้นที่กระทำการลบหลู่พระเกียรติของพระองค์ จึงมีพระราชอาญาให้พระเพทราชา กับพระปีย์เป็นผู้ลงโทษ.......

Credit : https://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B…

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-29 13:24:00.0     Forum: ข่าว  >  บทเรียนจากชีวิตจริง ชีวิตมีขึ้นมีลงอย่าดูถูกใคร!!..

*** ข่าวพลังภูผา..***
บทเรียนจากชีวิตจริง ชีวิตมีขึ้นมีลงอย่าดูถูกใคร!!..
www.arjanpong.com
#กฎเเห่งกรรม #อยุธยา #พลังภูผา
จากมหาเศรษฐี "รวยพันล้าน" หมดตัวไม่เหลืออะไร ชีวิตตอนแก่สุดแสนลำบาก รวยแล้วอย่าลืมตัว บทเรียนจากชีวิตจริง!!
"ชีวิตมีขึ้นมีลงอย่าดูถูกใคร"

มีอดีตเจ้าของที่ดินมากกว่า 500 ไร่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนผมมีที่ดิน 500 ไร่ รวมๆกันทุกเขตของกรุงเทพ และเมืองใหญ่ๆทั่วประเทศ ตอนนั้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ผมพกเงินในกระเป๋ากินเหล้าครั้งละแสน ทำธุรกิจค้าขายไม้ ได้เงินดีจริงๆ ลูกๆผมส่งเรียนเมืองนอกหมด ไม่ต้องทำงานเรียนอย่างเดียว

เมียผมชอบเล่นหุ้น หุ้นก็ขึ้นเอาๆเรามีเงินสดหลายร้อยล้าน มีญาติผมคนหนึ่งเดือดร้อนมายืมเงินผม ผมด่าเขาซะไม่มีชิ้นดี แต่ก็ให้เงินไปนะแสนนึง แล้วบอกเขาว่า ไม่ต้องมาหากูอีกนะ กูทานให้ เขารับเงินพร้อมน้ำตา "ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะรู้สึกยังไง"

.ปีต้มยำกุ้งผมไม่สะดุ้ง แต่ปีน้ำท่วมน้ำพัดทุกอย่างไปจากชีวิตผมจริงๆ เมื่อผมคิดการใหญ่ตั้งโรงงานอะไหล่ที่อยุธยา ไม่ได้ทำโรงไม้แล้ว รถผม 19 คัน บ้านอีก 5 หลัง ที่ดินทั้งหมดและเงินสดที่เคยมี แฟนผมเล่นหุ้นเจ๊งไปสี่ร้อยกว่าล้าน ลูกๆทำธุรกิจก็หมดตัวขาดทุนย่อยยับ ภายใน 2 ปีสิ่งที่ผมมีมันหายไปหมด เหลือไว้เพียงหนี้สินสองร้อยกว่าล้าน

ปัจจุบัน ผมคือบุคคลล้มละลาย เช่าห้องแถวอยู่พอได้ขายก๋วยเตี๋ยวประทังชีวิตรอความตายไปวันๆ เมียผมก็ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไร ลูกๆผมไม่เคยเห็นหน้า ตอนนี้ผมอายุ 76 ผมต้องยกหม้อก๋วยเตี๋ยว ล้างจาน

ทุกวันนี้ผมปลงได้แล้วนะ ผมมาลำบากตอนแก่ เงินค่าเช่าห้องนี้ผมไปยืมกับคนที่ผมเคยด่าเขาแล้วให้เขาไปแสนนึง ลูกเขายื่นเงินให้ผมแสนห้าแล้วบอกผมว่า "พ่อผมบากหน้าไปยืมเงินคุณลุงเพราะตอนนั้นผมเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดสมอง พ่อนั่งร้องไห้ คุณลุงด่าแล้วโยนเงินให้เหมือนหมา

ลุงบอกว่าจะตีพ่อ พ่อก็ยอมเพราะชีวิตลูกมีค่ามากกว่าสิ่งใด ต่อให้ทำร้ายร่างกายและจิตใจพ่อก็ยอม ถ้ามีเงินจะให้คืนคุณลุง แสนนี้ผมคืน ห้าหมื่นคือดอกเบี้ย เราไม่มีหนี้บุญคุณกัน แต่ถ้าคุณลุงลำบากคุณลุงมายืมกับผมๆจะให้กู้ ผมจะไม่ด่าคุณลุงเหมือนที่คุณลุงด่าพ่อผม จริงๆถ้าไม่มีเงินคุณลุงผมคงตายแล้ว แต่ถ้าพ่อผมไม่อดทนเพื่อแลกชีวิตผม ผมก็ตาย ผมทำตามที่พ่อบอกแล้ว ลูกพ่อดูแลพ่อ ส่วนลูกคุณลุงผมไม่รู้ กรรมของใครของมัน"

ผมเดินร้องไห้มาถึงบ้าน เอาเงินจ่ายค่าเช่าห้องแถว ลงทุนมีเงินเก็บไว้ 30,000 บาท และผมเข้าใจความรู้สึกของคำว่า "กรรมนั้นตามสนอง"

หลานไม่ได้ด่าผมแต่หลานพูดความจริง เพียงแต่ผมรับความจริงไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขดีนะ พระ แม่ชี ขอทาน มากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านผม ผมไม่คิดเงิน ตอนผมมีเยอะๆ ผมเบื่อคนบอกบุญ ผมหลอกเขาว่านับถือคริสต์ ผมไม่เคยทำบุญ

ผมเที่ยว ผมกิน ผมมีผู้หญิง ตอนนี้ผมหมดตัวมีหนี้สิน สิ้นเพื่อน ไร้ลูก ผมถึงได้ฟังธรรมะ เข้าวัดเป็น รู้จักทาน อีกหน่อยก็คงตายไป ผมห่วงแค่เมียผม ผมภาวนาให้เมียผมตายก่อนผม เพราะถ้าผมตายก่อนเมียผม ผมจะตายตาไม่หลับ

ไม่ต้องถามว่าร้านอยู่แถวไหน เพราะจะไม่บอก เก็บเรื่องราวมาให้อ่าน คนอ่านจบได้กำไร คนขี้เกียจอ่านก็คงพลาดโอกาส กำลังใจจากคุณตาที่ให้มา "ไม่มีคำว่าอดตายสำหรับคนขยัน ไม่มีการปลงตกถ้าไม่เคยสูงสุดแล้วมาต่ำสุด".......

ไม่ต้itองถามว่าร้านอยู่แถวไหน เพราะจะไม่บอก เก็บเรื่องราวมาให้อ่าน คนอ่านจบได้กำไร คนขี้เกียจอ่านก็คงพลาดโอกาส กำลังใจจากคุณตาที่ให้มา "ไม่มีคำว่าอดตายสำหรับคนdขยัน ไม่มีการปลงตกถ้าไม่เคยสูงสุดแล้วมาต่ำสุด".......

Credit : https://www.tsood.com/contents/163548

........................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-28 13:55:27.0     Forum: ข่าว  >  วีรกรรมจงอางศึก!!

       

 

       

 

 

 

 

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
วีรกรรมจงอางศึก!!
www.arjanpong.com
#สงครามเวียดนาม #จงอางศึก #กองทัพไทย
ชุดปฏิบัติการจงอางศึก ที่มาปฏิบัติงานร่วมกันที่ฟุกโถ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.10 ผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบาที่ 1 พ.ต.ยุทธนา แย้มพันธ์ (พลโทยุทธนา แย้มพันธ์ จก.ยศ.ทบ.) ทราบว่า ในคืนนี้ให้ทุกคนกวดขันเจ้าหน้าที่เวรยามต่างๆ ของทุกหน่วยให้อยู่ในความพร้อม เพราะผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่ของจงอางศึก ทราบจากข่าวสารของหน่วยว่า มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลและอาวุธของ VC (เวียดกง) เข้ามาในพื้นที่ ที่จงอางศึกรับผิดชอบ

21.30 น."Tree Crusher"ซึ่งอยู่ห่างจากฐานประมาณ 600-700 หลา วิทยุมาแจ้งผู้บังคับกองร้อยว่า ได้ยินเสียงคล้ายคนลุยเลน ขออนุญาตยิงตำบลที่สงสัย ผบ.ร้อยตอบ OK ยิงได้ ทหารทำการยิงไป 2-3 ชุด เงียบกริ๊บไปเลย ไม่มีการยิงโต้ตอบ หรือมีเสียงอะไรเลย ทหารก็วิทยุรายงาน ผบ.ร้อยและทำการเฝ้าตรวจต่อไป

ประมาณ 22.00 น. เครื่องทำไฟน้ำมันหมด ผู้กองร้อยจึงเรียกพลทหาร กิติ สุวรรณศรี พลขับรถของรองผู้บังคับกองร้อย วัฒนา สรรพานิช ซึ่งดูแลเรื่องน้ำมันให้มาเติมน้ำมันเครื่องทำไฟหน่อย

เพียงอึดใจเดียวโดยไม่ได้คิดไม่ได้ฝัน เสียงระเบิดดังสนั่น กรั้ม!! เสียงพลทหารกิติ สุวรรณศรี ซึ่งกำลังใส่รองเท้าได้เพียงข้างเดียว ร้องออกมาได้คำเดียวว่า โอ้ย!! แล้วก็ล้มคว่ำหน้าลงกับพื้นเสียชีวิตทันที ลูก ค. มันลงไปในทางหัวเตียงของ พลทหารกิติ เป็นลูกแรกที่เวียดกงมันยิงเข้ามา ) เสียงลูก ค. ที่ตกลงมานัดแรกโดยสัญชาติญาณของทหาร ทุกคนปราดเข้าที่กำบังหยิบอาวุธคู่มือขึ้นมาเตรียมพร้อมทันที

กรั้ม!! ค.ลูกที่ 2 ลงไปในที่พักของ ส.ต.เชิด แย้มชุติ ซึ่ง ส.ต.เชิด ใช้ Culvert ( ท่อน้ำแผ่นเหล็กครึ่งวงกลม ) ครอบที่นอนไว้ คิดว่าเขาต้องตื่นแล้วแต่ไม่ทันออกมา เพราะปืนคู่มืออยู่กับตัวเขา ขณะที่เขาได้สละชีพเพื่อชาติไปแล้ว เป็นระยะเวลาที่ห่างของลูก ค.ลูกที่ 1 กับลูกที่ 2 กรั้ม!! ลูกที่ 3 ก็ลงมาอีกห่างกันไม่มากนัก ลูกนี้ลงมาข้างบังเกอร์ของ ร.อ.วัฒนา สรรพานิช รองผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบาที่ 1( พลตรี วัฒนา สรรพานิช ผบ.พล.ร.9 ขณะนี้ ) กับ ร.ท.กัมพล ผลผดุง ผตน.ซึ่งมาประจำอยู่กับกองร้อยอาวุธเบาที่ 1

ในบังเกอร์นี้ คงมีแต่ ร.ท.กัมพล ฯ นอนอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ร.ท.กัมพล ฯ ปลอดภัยจากลูก ค.นัดที่ 3 แล้วท่านก็ออกมาสมทบกับผู้บังคับกองร้อยที่ 1 ตอนนี้ผู้บังคับกองร้อยได้สั่งการให้ทุกคนเข้าที่ พร้อมที่จะยิงศัตรูทุกผู้ทุกนาม ที่แหลมเข้ามาในรังของจงอาง

การที่ VC ยิง ค. เข้ามา 3 ลูกแรกแล้วทิ้งจังหวะหยุดยิงไป ท่านผู้บังคับกองร้อยท่านบอกว่า ข้าศึกคงยิงหาหลักฐานก่อนเข้าโจมตี แล้วก็เป็นเช่นนันตามที่ท่านคิด เพราะหลังจาก ค. ยิงมา 3 นัดแล้ว พวกแซปเปอร์ (Sabper) พวกจู่โจมและทำลาย ของพวกเวียดกง ก็เริ่มดาหน้ากันมาที่รังจงอางศึก (กองร้อยที่ 1) รอบด้าน ค.ของเวียดกง เริ่มระดมยิงเข้ามาในฐานของกองร้อยที่ 1 อย่างไม่นับ แต่ทหารไทย จงอางศึกทุกคนมิได้หวั่นไหว ยิงใส่ทุกคนที่มุ่งหน้าเข้ามาอย่างประสงค์ร้ายต่อเรา

แซปเปอร์ชุดแรกของเวียดกง วิ่งเข้ามาเตะเอาพลุสะดุดที่เราวางไว้ สว่างจ้าเหมือนกลางวัน จงอางศึกก็จัดการกับเป้าเคลื่อนที่ คือเวียดกงอย่างมันมือ คว่ำข้าวเม่าอยู่แถวหน้าลวดหนามนั่นเอง VC คนไหนที่เข้ามาใกล้จุดอันตรายของกับระเบิดที่เราวางกันไว้ ก็กดสวิช ตูม!! กระเด็นไปคนละทิศละทาง VC. บางคนมีไม้กระดาน 2 แผ่น ยาวประมาณเกือบ 2 เมตร หัวกระดานด้านหนึ่งตีประกับด้วยยางทำให้เหมือนบานพับ พับได้ เหยียดตรง 2 แผ่นได้ มันจะวิ่งเข้ามาที่ลวดหนามของจงอางศึก เอากระดานที่พับได้ ถือวิ่งเข้ามาพาดเข้าที่ลวดหนามหีบเพลงของเรา แต่พอจะวิ่งข้ามลวดหนามก็เจอกระสุนเข้าติดอยู่กับลวดหนามนั้นเอง

ข้าศึกซึ่งมีกำลังพลประมาณ 600 นาย ที่ทำการเข้าตีทหารไทย ซึ่งมีกำลังพลประมาณ 200 นาย เสียงปืนใหญ่ ปืนโต ปืนกล ปืนเล็ก และ ค.ดังแทบแก้วหูจะทะลุ อื้ออึงไปหมด

ซึ่งทางกรมทหารอาสาสมัครส่วนหน้า ที่"ฟุกลาย"ทราบจากทางวิทยุว่า มีพวกเราบาดเจ็บหลายคน ก็แจ้งทาทางผู้กองร้อยว่า จะสั่งเฮลิคอปเตอร์มารับคนป่วยด่วน ทางผู้กองร้อยแจ้งไปว่า ขอให้งดเครื่อง ฮ. ที่จะมารับคนป่วยไว้ก่อน เพราะขณะนี้กำลังยิงกันอย่างหนัก จะสับสนกัน ฮ. และคนเจ็บอาจเป็นอันตรายจากการยิงได้!!

จนกระทั่ง 02.00 น.ของวันที่ 21 ธ.ค 2510 ฝ่ายข้าศึกก็ถอยร่นออกไป พบว่าการสูญเสียชีวิตถึง 185 ศพ บาดเจ็บ 80 คน ถูกจับเป็นเชลย 2 คน ส่วนจงอางศึกของเรา เสียชีวิตในคราวนี้รวมทั้งสิ้น 6 นาย

จากกองร้อยที่ 1 จำนวน 4 นาย มี
- ส.ต.เชิด แย้มชูติ พลนำสาร
- พลทหาร กิตติ สุวรรณศรี พลนำสาร
- ส.ต.สำเนียง เรืองนิล พลยิง
- ส.ต.มนูญ โคตรพงษ์

ส.ต.มนูญ โคตรพงษ์ เป็นทหารที่อยู่สูทกรรม (่พ่อครัว) ต้องมาช่วยรบสนับสนุนเพราะแนวรบทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือคับขันสุด ต้องมาช่วยทหารกองร้องอาวุธเบาที่ 2 เพราะทหารจากกองร้อยอาวุธเบาที่ 2 จำนวน 17 นาย ออกไปลาดตระเวนยังไม่กลับเข้ามาที่ค่าย ทำให้กำลังพลตั้งรับด้านนี้น้อย การรบเป็นแบบตะลุมบอนต่อสู้แบบประชิดตัว ส.ต.มนูญ ใช้ดาบปลายปืนแทงเวียดกงเสียชีวิต แต่จังหวะที่เผลอตัว ก็ถูกเวียดกงที่หนุนเข้ามา ยิงจนเสียชีวิตคาสนามรบ

จากกองร้อยทหารม้าลาดตระเวน ที่ปฏิบัติการยิงสนับสนุนให้กับ กองร้อยอาวุธเบาที่ 1
- จ.ส.อ.เทียม แก้วเกตุ
- พลทหาร ทองรัก เชยชม

นักรบจงอางศึกที่เสียชีวิตไปในครั้งนี้ เขาได้สละชีวิตเป็นชาติพลี เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติไทย และเพื่ออิสรภาพของเสรีชนทั้งมวล เขาตายด้วยความภาคภูมิ สมแล้วที่ทุกคนได้ปฏิญาณไว้ว่า “ ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร ”จงอาศึกทุกคน และประชาชนไทยทุกคนจะระลึกถึงท่านผู้ล่วงลับจนกว่าจะสิ้นลมปราณ...

Credit : พ.อ.ทวี วุฒิยานันท์ นายทหารจงอางศึก

.............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

 

 

 

 

guest

Post : 2018-11-26 15:32:14.0     Forum: ข่าว  >  ฝรั่งสมัยอยุธยามันว่าเรา ขี้ระแวง ประจบ ชอบหลอกลวงและพูดไม่จริง

     

 

 

                       

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ฝรั่งเห็นอะไรในสยาม?? สมัยพระเจ้าปราสาททอง!!
www.arjanpong.com
#พระเจ้าปราสาททอง #อยุธยา #พลังภูผา
กรุงศรีอยุธยาในรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง จากจดหมายเหตุของ โยส เซาเต็น ผู้จัดการบริษัทการค้าฮอลันดา (Joost Schouten, Manager of the Dutch East Indies Company) ประจำกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง ที่เขียนขึ้นเป็นภาษาฮอลันดาเมื่อ ค.ศ.๑๖๓๖ ทำให้เห็นภาพกรุงศรียุคดังกล่าวได้พอควร

จดหมายเหตุระบุว่า ประเทศสยามเป็นราชอาณาจักรใหญ่ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ตั้งอยู่ในทวีปอาเซียทางตอนเหนือของเส้นศูนย์สูตรเรื่อยขึ้นไปจนถึงเส้นรุ้งที่ ๑๔ มีอาณาเขตติดต่อกับราชอาณาจักรหงสาวดีและอังวะ อาณาจักรสยามประกอบไปด้วยเมืองเล็กใหญ่มากมาย มีตลาดที่ซื้อขายและหมู่บ้านเหลือคณานับ บรรดาเมืองใหญ่ๆ นั้นคือ อยุธยา พิษณุโลก สวรรคโลก ลำปาง สัชนาลัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ ตะนาวศรี นครศรีธรรมราช พัทลุง บางกอก เพชรบุรี ราชบุรี มะริด และเมืองอื่นๆ อีกมาก

พระราชวังที่ประทับของพระมหากษัตริย์และข้าราชบริพารในราชอาณาจักรนี้ใหญ่โตมโหฬารยิ่งนัก พระองค์ไม่ค่อยเสด็จออกให้ราษฎรสามัญได้ชมพระบารมีบ่อยนัก แม้แต่กับขุนนางและข้าราชการ พระองค์ยังเสด็จออกมาให้เข้าเฝ้าฯ ได้ตามวันเวลาที่มีกำหนดไว้เท่านั้น และก็ต้องเป็นในท้องพระโรงต่างๆ ในพระราชฐานเท่านั้น

เมื่อเวลาเสด็จออกพบขุนนาง พระองค์ทรงแต่งพระองค์ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มีราคามาก ทรงสวมมงกุฎกษัตริย์และประทับอยู่บนพระเก้าอี้ทอง ขุนนางข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนต้องก้มกราบอยู่แทบพระบาท และในท้องพระโรงนั้นมีทหารถืออาวุธประมาณ ๓๐๐ คนเฝ้าอยู่ด้วย เพื่อคอยปกป้องพระองค์จากภยันตราย ชาวต่างชาติต่างภาษาเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ก็จำต้องแสดงคารวะด้วยความพินอบพิเทา ต้องคุกเข่าลง พนมมือขึ้น และก้มศีรษะอยู่ตลอด

เมื่อจะกราบทูลสิ่งใดก็ต้องก้มลงกราบเสียก่อนและต้องใช้ถ้อยคำเพ็ดทูล เมื่อพระองค์ตรัสตอบอย่างใด ก็ต้องถืออย่างนั้นเสมือนโองการพระเป็นเจ้า ถ้าพระองค์จะมีคำสั่งสิ่งใดออกมาก็จำต้องปฏิบัติตามให้ครบทุกตัวอักษร

กำลังทหารส่วนใหญ่ของพระมหากษัตริย์นั้นเป็นพวกทหารไทย ซึ่งพวกเหล่านี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้ โดยจะถูกเรียกให้เข้ากองทัพ ณ เวลาใดก็ได้

เมื่อมีพระบรมราชโองการให้เข้ากองทัพออกไปสู้รบ ทหารจะต้องหาอาวุธและพาหนะเอาเอง และออกไปทำการสู้รบกับศัตรูทันที โดยไม่ได้รับเบี้ยหวัดเงินเดือนแต่อย่างใด

ชาวสยามมีร่างกายสมส่วน ผิวค่อนข้างจะน้ำตาลระหว่างดำกับเหลือง ชาวสยามเป็นทหารที่ดีไม่ได้ แต่บางครั้งก็โหดร้ายทารุณกับพวกเชลยศึกเหมือนกัน ชาวสยามมีท่าทางหยิ่งจองหอง แต่เมื่อมีกิจธุระต้องติดต่อกันก็สุภาพเรียบร้อยและมีกิริยาอัชฌาสัย คนพวกนี้ชอบสนุก ตามธรรมชาติเป็นคนขลาด ขี้ระแวง มีนิสัยประจบ ชอบหลอกลวงและพูดไม่จริงอย่างที่สุด

ชายชาวสยามมีนิสัยเกียจคร้านไม่ชอบทำงาน ดังนั้นงานการทั้งหลายทั้งปวงหญิงจึงต้องทำ ผู้หญิงที่นี่มีร่างกายแข็งแรง ความสวยงามนั้นปานกลาง งานในนาก็ดี หรือในบ้านก็ดี หญิงสยามทำด้วยความขยันขันแข็งอย่างยิ่ง และมักจะทำร่วมกับข้าทาสบริวาร ส่วนชายนั้นไม่ค่อยได้ทำอะไร นอกจากราชการงานทหารและก็ออกไปเดินเล่นหาความเพลิดเพลินเท่านั้น

อาหารของชาวสยามไม่ฟุ่มเฟือยและมีน้อยสิ่ง ตามปกติมีข้าว ปลา และผัก ส่วนเครื่องดื่มตามปกตินั้น เขาดื่มแต่น้ำอย่างเดียว แต่ในวันหยุดชาวสยามกินอาหารกันฟุ่มเฟือย และชาวบ้านก็ดื่มสุราอย่างเมามาย

นั่นคือสยามและพระนครศรีอยุธยายุคพระเจ้าปราสาททอง ในสายตาของ โยส เซาเต็น พ่อค้าชาวฮอลันดา ซึ่งพบว่ามีทั้งการชื่นชม และชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่อง แต่จากหลายบันทึกของชาวตะวันตกมีประเด็นหนึ่งที่ตรงกันนั้นคือ พระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานีขนาดใหญ่ และมีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้......

Credit : จดหมายเหตุ โยส เซาเต็น, 
https://www.thaipost.net
.............
รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

처음 이전 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>