Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest
addmin
- Guest -

Post : 2017-12-24 13:24:51.0     Forum: นิยาย ตำนานนักรบกรุงศรี  >  30.ไอ้งาดำ!!

 

 

*** ตำนานนักสู้กรุงศรี!!...***
30.ไอ้งาดำ!!...
www.arjanpong.com

 

"อาทุ้ย!! มันหายไปเเล้ว!!...."

 

เสียงของเเม่สาวน้อยบ้านป่าเนื้อตัวมอมเเมม จากเมืองระเเหง ที่ในขณะนี้ น้ำเสียงของเธอไม่หนักเเน่นเหมือนเดิมดั่งเเต่ก่อนเเล้ว เสมือนพยายามข่มความรู้สึกตระหนกตกใจ เก็บซ่อนปกปิดให้มิดชิดที่สุด เพราะภาพของเจ้ามาดที่ยืนถือดาบอยู่เมื่อสักครู่นั้น บัดนี้ได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว!!

 

"โอมมมมมมม.....
พญาคชสาร พญาไฟ นังวา มหาอิทธิฤทธิ์ ภูโต 
นะมะพะทะ เอกะมังสา เตโชคุณัง ประสิทธิยา เสมาธัง 
มาเรยะ มาเรโย มาเรโส นะมะอะอุ สะสะอิอะอินัง 
มหาพลาย อัคคีกรึง ธะวะรานังงงง......โอมมมมมมม."

 

"แปร๋นนนนน!!..."
"อาทุ้ย ช้างงงงง!!...."

 

ช้าเกินไปเสียเเล้ว!! สิ้นเสียงสวดคาถามนต์สะกดป่า จากน้ำเสียงของชายเเก่ลึกลับที่ไม่รู้ว่าดังมาจากทิศทางไหน ที่ร่ายเวทย์มนต์คาถาอันแสนจะเย็นยะเยือก สะท้อนก้องไปทั่วทั้งหุบเขาดงพญาไฟ สยบความเคลื่อนไหวของทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตให้หยุดอยู่กับที่ เสมือนดั่งต้องมนต์สะกด จากพลังอำนาจอันลึกลับของเสียงนั้น!!

 

"ตึงงงงง!!!..."
"เฮ้ยยยย!!!...."

 

ร่างของเจ้าทุ้ย ที่ขณะนี้กำลังจะเริ่มบริกรรม "ขันธะปะริตตะคาถา!!" คาถาพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาล ถึงกับกระเด็นร่วงหล่นลงมาจาก"ต้นกระบากยักษ์"ขนาด 5 คนโอบ ลอยละลิ่วปลิวละล่อง หลังกระเเทกพื้นดังเเอ่กกก!! นอนตัวขดตัวงออยู่ตรงพื้นดินข้างล่าง หลังจากที่ถูกเจ้า"พลายคชสาร" ตัวขนาดภูเขาย่อมๆ พุ่งเข้าชนต้นกระบากยักษ์อย่างเต็มเเรง!! จนทำให้เจ้าทุ้ยกระเด็นตกลงมา เเต่ว่า"นังเดือน"ไหวตัวทันมองเห็นเสียก่อน โอบกอดกิ่งกระบากยักษ์ไว้เเน่น ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นมา ง้าง"ธนูดอกเงิน" ขึ้นสายสุดเเรงเกิด เป้าหมายเล็งไปที่เจ้าช้างพลายตกมัน ที่ขณะนี้กำลังหันหลังวิ่งเข้าไปหาเจ้าทุ้ย ที่นอนบิดตัวงออยู่ตรงใต้กิ่งกระบากยักษ์ ที่มันได้ตกลงมาเมื่อสักครู่.....

 

"เฟี้ยววววววว!!...."
"ฉึกกกกกกก!!....."
"อ๊าคคคคคคคคคคค!!....."

 

เเม่นยังกับจับวาง เเม่สาวน้อยปล่อย"ลูกธนูดอกเงิน"พุ่งเเหวกอากาศปักฉึกลงไปตรงซอกหลังหูด้านขวาของเจ้าพลายยักษ์!! ในขณะที่มันกำลังวิ่งผ่านใต้ต้นกระบาก เพื่อหวังจะไปเหยียบกระทืบเจ้าทุ้ยให้เละคาตีน หลังจากที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอีกทางฟากหนึ่ง

 

ภาพที่เธอเห็นอยู่ในขณะนี้ ร่างของเจ้าพลายยักษ์ที่บัดนี้เลือดได้พุ่งกระฉูดเเดงฉานไปทั่ว ได้ทรุดฮวบกองลงไปกับพื้น!! ล้มอยู่ก่อนที่จะถึงร่างของเจ้าทุ้ยไม่เกิน 3 วา พร้อมด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของมัน ที่ฟังอย่างไรก็ไม่ใช่เสียงร้องของช้าง เเต่มันเป็นเสียงร้องของมนุษย์!!

 

ดวงตาของเจ้าพลายนรก!! ยังคงจ้องมองเจ้าทุ้ยอย่างเคียดเเค้น ก่อนที่ปลายงวงของมันที่ยังคงชูขึ้นชูลง จะค่อยๆนิ่งเเนบสนิทกับลงกับพื้น นอนจมกองเลือดที่ไหลนองทะลักออกมาจากซอกหลังหูของมัน จนขาดใจตายคาที่!!

 

"เป็นอะไรมากหรือเปล่าอาาาา?!!...."

 

กล่าวจบ เเม่สาวน้อยบ้านป่าก็โรยตัวจากต้นไม้ใหญ่ด้วยเถาวัลย์ลงมายังพื้นดินข้างล่างอย่างรวดเร็ว

 

"พอได้ว่ะ ดีนะที่ข้าเอาตูดลง ถ้าเป็นคอล่ะก็ เอ็งฝังข้าตรงนี้ได้เลย...."
"ถุยยย!! ไอ้ลอบกัด!!....ให้กูสวดมนต์คาถาให้เสร็จก่อนก็ไม่ได้....."

 

เจ้าทุ้ยพูดบ่นพึมพัมใส่เจ้าพลายยักษ์จบ ก็ค่อยๆพยุงกายลุกขึ้นจากการประคองปีกของหลานรักอย่างทุลักทุเล

 

"อ้าวววว ดาบข้าล่ะ??..."
"อยู่โน่นน่ะอา เดี๋ยวฉันจะไปหยิบมาให้..."
"เออเร็วหน่อย อยู่ตรงนี้มันไม่ปลอดภัย..."

 

กล่าวจบ ผู้เป็นหลานรักก็เตรียมที่จะผละออกเพื่อจะไปเก็บดาบคู่กายของผู้เป็นอา ที่กระเด็นตกอยู่ห่างไม่ไกลจากจุดนั้นเท่าใดนัก

 

"จุ๊ๆๆๆๆ นังเดือนนนนน...."

 

เสียงกระซิบของเจ้าทุ้ยเบาๆ จนทำให้ผู้เป็นหลานสาวเเปลกใจ จนต้องหันกลับมามอง ก่อนที่จะเดินไปเก็บดาบคู่กายของอา ที่กระเด็นห่างออกไปไม่ไกลเท่าใดนัก

 

"เอ็งเห็นหรือยัง?!!..."

 

ผู้เป็นหลานสาวมองตามสายตาของเจ้าทุ้ย ไปยังพงป่าทึบที่อยู่ข้างหน้า ท่ามกลางบรรยากาศที่จวนใกล้จะเเจ้งเต็มที ภาพที่เห็นอยู่ในขณะนี้ โขลงช้างป่าไม่ต่ำกว่า 30 เชือก ที่ยืนสงบนิ่งไม่ไหวติงอยู่ภายใต้เงาของต้นไม้ใหญ่ ต่างก็จ้องมองมายังคนทั้ง 2 เป็นสายตาเดียวกัน ้โดยมีจ่าโขลงที่สูงเด่นเป็นสง่าที่สุด ยืนตระหง่านอยู่ตรงกลางโขลง งาที่โค้งยาวทั้งสองข้างของมันนั้น มีสีดำสนิท!!

 

"ไอ้งาดำ!!...."
"ใช่!! นี่ล่ะมันล่ะ!!...เดี๋ยวข้าไปเก็บดาบเอง ส่วนเอ็งรีบวิ่งไปขึ้นเนินที่อยู่ทางขวามือให้ไวที่สุดในชีวต ไม่ต้องห่วงข้า...."
"เเต่ อาทุ้ยยยย...."
"ไป๊!!...."

 

กล่าวจบ เจ้าทุ้ยก็ผลักหลานรักไปทางขวาอย่างเเรง ก่อนที่ตัวของมันจะรีบวิ่งไปเก็บดาบคู่กาย พร้อมทั้งตะบันไฟ  ที่ร่วงกระเด็นตกหล่นอยู่ข้างหน้าใกล้ๆอย่างรวดเร็ว

 

"เเปร๋นนนนนนน!!....."
"วิ่งเลยซิวิ่ง!! เฮ้ยยยยยย!!....."

 

เจ้าทุ้ยร้องเสียงหลง!! เมื่อเห็นนังเดือนหลานรักยืนเก้ๆกังๆ ทำอะไรไม่ถูก ซึ่งในขณะที่"ไอ้งาดำ"จ่าโขลงปีศาจ ได้พุ่งทะยานนำเหล่าคชสารป่าทั้งหลาย หมายบดขยี้มนุษย์ทั้ง 2 อย่างบ้าคลั่ง!! เพื่อเเก้เเค้นให้กับเจ้า"พลายยักษ์" ที่ถูกสังหารลงด้วยน้ำมือของอาหลานไปเมื่อสักครู่!!......

guest

Post : 2017-12-07 14:03:46.0     Forum: นิยาย ตำนานนักรบกรุงศรี  >  29.ดงพญาไฟ!!

 

 

 
29.ดงพญาไฟ!!
www.arjanpong.com

"เอ็งอย่าห่างจากข้านะนางเดือน!!..."

เสียงกระซิบอย่างเบาหวิวของไอ้ทุ้ย ที่บอกเเก่นังเดือนหลานรักด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่จะค่อยๆเดินตามเเสงจันทร์ ที่ประกายเเสงสาดส่องให้เห็นช่องทางเดินอันน้อยนิดได้บ้างเท่านั้น

เส้นทางเดินที่ฝ่าเข้าไปในป่าทึบ มองตามเเสงจันทร์ผาดๆก็รู้ ว่านี่มันคือทางช้างผ่าน!! เจ้าทุ้ยก็เบี่ยงหลบออกมาจากทางเส้นนั้นเพื่อความปลอดภัย เเล้วเเฝงตัวไปกับ"ต้นกะบากยักษ์" สูง 40 วา 5 คนโอบ ที่โฉบพลิ้วปลิวล้อลม ข่ม"ตะเคียนเเก้ว" ที่สูงตระหง่านพอฟัดพอเหวี่ยง เอียงมาทางข้างๆ อย่างชนิดทาบลำต้นกันเลยทีเดียว

ต้นสะพุงยักษ์โบราณ อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ที่ปกติคืนจันทร์เด่นเพ็ญเต็มดวงอย่างนี้ ก็จะคราคร่ำไปด้วย กระเเต กระรอก หยอกเย้ากระเซ้าเเหย่อยู่บนกิ่งยักษ์ เเต่เพ็ญคืนนี้เเปลก!! ลิงป่า เลียงผา ละมั่ง กระทั่งเสียงจั๊กจั่นเรไร ไฉนเลยจึงเงียบนัก?!!..

"เราอยู่เหนือลม!!..."

เสียงกระซิบเบาๆจากด้านหลัง ของเเม่สาวน้อยบ้านป่าเนื้อตัวมอมเเมม ที่ในขณะนี้ได้เดินระวังหลัง พรัอมทั้งขึันสายธนู"ดอกเงิน"ไว้อยู่ในท่าเตรียมที่จะยิง พร้อมทั้งเธอก็ได้สอดส่ายสายตาเข้าไปในป่าทึบที่ไร้เเสงจันทร์ทาบพื้นอยู่ตลอดเวลา หัวใจของเเม่สาวน้อยในขณะนี้ เธอยอมรับเลยว่า การเผชิญกับคู่ต่อสู้ในค่ำคืนนี้ เธอมีความวิตกกังวลหวั่นไหวมากที่สุด!!

เจ้าทุ้ยเองในขณะนี้ ก็กำ"ดาบเหล็กน้ำพี้ ถักเชือกด้วยลายตะกรุด ด้ามไม้คูณตายพราย"ที่มันทำขึ้นมาใช้เองเสียเเน่น!! ก้าวเเต่ละก้าว ถ้ามันไม่มั่นใจก็จะไม่ก้าวเดินออกไปอย่างเด็ดขาด!! เพราะมันรู้ดีมาตลอดเวลาเเล้ว ตั้งเเต่ออกมาจากค่ายเพิงที่พัก ว่ามันจะต้องเดินฝ่าความมืดโดยที่ไม่มี"ไต้ติดไฟ" นำทางเลยเเม้เเต่น้อย เเละที่สำคัญที่สุดก็คือว่า มันกำลังเดินเข้าไปหาศัตรูในทิศทางเหนือลม ซึ่งจะเป็นการเสียเปรียบเจ้าสมิงร้ายที่มีจมูกไวเป็นที่สุด!!

"สวบบบบบบ!!...."

"อย่ายิง!!...."

เสียงเจ้าทุ้ยกระซิบเสียงเข้ม พร้อมกับเอามือกดคันธนูของนังเดือนให้ต่ำลง พร้อมกับสัตว์ป่าตัวใหญ่ที่พุ่งกระโจนมาจากที่ซ่อนทางซ้ายมือ ตัดหน้าคนทั้ง 2 ออกไปอย่างรวดเร็ว เเสงจันทร์ที่กระทบเข้ากับลำตัวสีดำเทาๆของมัน ที่ดูเเล้วเหมือนกับหม้อดินเก่า เเลเห็นหัวมีขนระหว่างหู ยาวและชัน ๆ เหมือนผูกจุก หางสีขาวสลับดำ ชี้ตรงดิ่งด้วยความตกอย่างเห็นได้เด่นชัด !!

"เก้งหม้อ!!..."

สาวน้อยบ้านป่า พูดกระซิบเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ผ่านการตกใจมายังไม่หาย

เจ้าทุ้ยตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางมาทางซ้ายทันที!! สัญชาตญาณบอกมันได้เลยว่า เจ้าสมิงร้ายคงจะซุ่มอยู่ไม่ไกลจากเเถวนี้ เเละมันจะจู่โจมเป็นผู้ล่าอย่างหิวกระหายทันทีถ้ามีโอกาส!! เเล้วจะมัวรอให้มันล่าก่อนทำไมล่ะ?!!

ทั้งสองต่างก็ก้มต่ำก้าวท้าวย่างไปอย่างช้าๆ เเต่ละก้าวๆพยายามให้เกิดเสียงดังให้น้อยที่สุด เจ้าทุ้ยคืบคลานนำอยู่ข้างหน้า ส่วนนังเดือนขึ้นสายธนู"ดอกเงิน"ระวังอยู่ข้างหลัง

"โป่งน้ำ!!..."

เสียงเจ้าทุ้ยเอ่ยเบาๆ เมื่อได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า สายน้ำที่ซึมซับไหลออกมาจากภูเขาหินปูนเป็นเเอ่งเล็กๆนั่น มันเป็นทั้งโป่งดินเเละโป่งน้ำอยู่ในที่เดียวกัน เเล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตรงไหนเป็นโป่งน้ำหรือโป่งดิน? ก็ให้สังเกตุตรงที่ว่าบริเวณ"โป่งน้ำ"จะมีน้ำซึมไหลออกมาจากซอกเขาหินปูน ส่วนข้างๆกันก็จะเห็นดินที่ถูกขุดกระจุยกระจายอยู่ตื้นๆ กวัางประมาณไม่เกิน 10 วา นั่นล่ะ"โป่งดิน"ล่ะ!!....

เจ้าทุ้ยพยายามกวาดสายตามองหาต้นไม้ใหญ่ๆ ที่ไม่ใช่ต้นไทรป่า เเละไม่มีรากโผล่ขึ้นมาเหนือดิน เพื่อที่จะขึ้นไปนั่งห้างเพื่อความปลอดภัย เพราะเป็นความเชื่อจากรุ่นสู่รุ่น ครูบาอาจารย์ พ่อเเก่เเม่เฒ่า สั่งนักสอนหนา ในเรื่องการนั่งห้างกลางป่าทึบ ต้นไทรป่ากับต้นไม้ที่มีรากโผล่ขึ้นมาเหนือดิน เป็นสิ่งที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นจะมีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่!!

เจ้าทุ้ยเลือกได้"ต้นกระบากยักษ์"ขนาด 5 คนโอบ ที่ไม่มียอดไม้ติดชิดๆกันหรือกิ่งก้านใกล้ๆกัน เพราะจะได้ป้องกัน งูเหลือม-หลาม ที่มันจะเข้ามาทางหัว โดยการทิ้งตัวลงมารัดและเขมือบ แบบตื่นๆเนี่ยแหละ ตายกันมาเยอะเเล้ว!!

"เอ็งขึ้นไปก่อน...."

ไอ้ทุ้ยกระซิบเบาๆ ให้นังเดือนปีนขึ้นไป ส่วนมันก็ปืนตามหลังขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ จนกระทั่งทั้งคู่ก็เลือกกิ่งใหญ่ขนาดพอเหมาะนั่งหันหลังชนกันอยู่ข้างบนด้วยอาการสงบ รอเจ้าศัตรูร้ายมันทนไม่ไหว เดี๋ยวมันก็คงจะโผล่ออกมาเอ

"เเซ๊กกกกกกกกกกก!!...พรึบบบบบบ!!...."

"เเสกเเดง!!..."
"อืมมมมมม....."

เจ้าทุ้ยตอบนังเดือนเบาๆ หลังจากที่นกเเสกตัวเขื่องที่เกาะอยู่บนต้นยางใหญ่ข้างๆ ได้ถลาบินขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกับมันกำลังจะหนีอะไรสักอย่าง ส่วนเจ้าเลียงผาตัวดำมะเมื่อม ที่กำลังเพลินกับการใช้จมูกมุดดินโป่ง เเล้วเลียกินเป็นอาหาร ก็วิ่งกระโดดหายไปในพุ่มไม้ด้านข้างอย่างรวดเร็ว!!

"เดือนนนน พ่อให้มาตาม พวกเราจะไปกันเเล้ว เดี๋ยวไม่ทันนัดท่านพระยาตาก..."

ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ของเเม่สาวน้อยบ้านป่าเนื้อตัวมอมเเมมในขณะนี้ คือร่างของไอ้มาด ถือดาบใหญ่คู่กายด้วยมือขวา มายืนเรียกอยู่ใต้ต้นกระบากยักษ์ ตั้งเเต่เมื่อไรก็ไม่รู้?!

"นังเดือน!! ไอ้มาดมันใช้ดาบคู่ 2 มือ!! มันไม่เคยใช้ดาบเล่มเดียว!!..."

สาวน้อยบ้านป่าไม่ตอบ พร้อมกับดึงสายธนู"ดอกเงิน"อยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะยิง สายตาของเธอจ้องไปยังที่เป้าหมายอย่างไม่กระพริบ

"ดาบที่มันถืออยู่นั่นเเหละ หัวใจของมัน!!..."

กล่าวจบ ก่อนที่นังเดือนจะปล่อยลูกธนู เจ้าทุ้ยก็หยิบ"ตะบันไฟ" ที่ทำจากเขาควายอันเล็กๆ ที่มันพกติดตัวอยู่ใน"ถุงไถ้"ของมันอยู่ตลอดเวลา เเล้วโยนไปให้ไอ้มาดที่ยืนอยู่ใต้ต้นกระบากยักษ์ ตรงหน้านังเดือนอยู่ในขณะนี้ทันที

"เอออออ ไอ้มาด!! มึงมาก็ดีเเล้ว ช่วยจุดไฟขึ้นมาข้างบนให้กูทีซิวะ ข้างบนนี้มืดตายห่า!!......"

ไอ้มาดนิ่งเงียบ!! ก่อนที่มันจะใช้ตึนเหยีบบ"ตะบันไฟ"ของเจ้าทุ้ยซะจมดิน เเลัวเงยหน้ามองคนทั้ง 2 ด้วยเเววตาเเห่งความเคียดเเค้นกระหายเลือด!!...

guest

Post : 2017-12-07 13:54:53.0     Forum: นิยาย ตำนานนักรบกรุงศรี  >  28.มนต์อาถรรพ์

 *** ตำนานนักรบกรุงศรี...***

28.มนต์อาถรรพ์!!
www.arjanpong.com

"โอมมมมมมม.....
พญาเสือ พญาไฟ นังวา มหาอิทธิฤทธิ์ ภูโต 
นะมะพะทะ เอกะมังสา เตโชคุณัง ประสิทธิยา เสมาธัง 
มาเรยะ มาเรโย มาเรโส นะมะอะอุ สะสะอิอะอินัง 
พยัคฆ์อัคคีกรึง ธะวะรานังงงง......โอมมมมมมม....."

"โฮกกกกก!!..."

สิ้นเสียงสวดคาถาซึ่งเป็นน้ำเสียงของชายลึกลับ ที่ดังเเว่วเเผ่วพลิ้วเย็นยะเยือกลอยละลิ่วปลิวตามลมมา จากทิศทางไหนก็ไม่มีใครเดาถูก?! พร้อมกับเสียงเสือคำรามลั่น!! กลบเสียงหายใจของเหล่าสรรพสิ่งมีชีวิต ท่ามกลางหุบเขา"ดงพญาไฟ"ต้องมีอันหยุดสนิท นิ่ง เเละเงียบลง ยังกับนัดกันไว้อยู่ในขณะนี้!!

"นั่นปะไร!! กูว่าเเล้ว ประเดี๋ยวมันก็มา!!...."
"ไอ้มาด งานนี้มึงไม่ต้อง!!..."

เจ้าทุ้ยกล่าวจบ ก็ใช้มือกดเบาๆลงไปที่หัวไหล่ของเจ้ามาด ที่ทำท่าจะขยับลุกขึ้นนั่ง เเละในขณะเดียวกันที่ เพื่อนร่วมคิด มิตรร่วมตาย ที่ยังคงเหลืออยู่ ต่างก็ขยับกันเข้ามารวมกลุ่มกันใกล้ๆ กองไฟ ที่อยู่ตรงหน้าที่พักเพิงหมาเเหงนของพระเชียงเงิน กันอย่างราวกับนัดกันไว้!!

"นังเดือน!! ลูกธนูเงินเหลือกี่ดอก?!!..."
" สาม จ้าอา.."

เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่โพกหัวด้วยผ้าสีดำเก่าๆ ที่อยู่ในชุดพรานป่า หน้าตาขมุกขมอม ที่มีฝีไม้ลายมือในด้านการยิงธนูมือฉมัง เกินความสามารถของเด็กหนุ่มสาวในรุ่นราวคราวเดียวกัน กล่าวจบก็รีบเดินมาพร้อมกับ"ไอ้กรด" หนุ่มนักรบนิรนามจากคลองหันตรา ที่สาวเท้ายาวๆกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พร้อมกับยื่นลูกธนู 3 ดอก ไปให้เจ้าทุ้ยเมื่อมาถึง

"ไอ้กรด!! มึงพาไอ้มาดไปรวมกลุ่มกันที่กองไฟใหญ่นั่น!! เเล้วบอกทุกคน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้ออกไปห่างจากกองไฟเป็นอันขาด!!..."

กล่าวจบ เจ้าทุ้ยก็หันหน้าไปทางทิศตะวันตกของหุบผาพญาไฟ ก่อนที่จะพนมมือหลับตาร่ายมนต์คาถาด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับลูกธนูที่ทำด้วย"เงิน"ล้วนๆ 3 ดอก ที่รับมาจากเด็กสาวที่ชื่อเดือน

"วิรูปักเขหิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปะเถหิ เม
ฉัพยาปุตเตหิ เม เมตตัง เมตตัง กัณหาโคตะมะเกหิ จะ
อะปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม
จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม
มา มัง อะปาทะโก หิงสิ มา มัง หิงสิ ทิปาทะโก
มา มัง จะตุปปะโท หิงสิ มา มัง หิงสิ พะหุปปะโท
สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา จะ เกวะลา
สัพเพ ภัทรานิ ปัสสันตุ มา กิญจิ ปาปะมาคะมา

อัปปะมาโณ พุทโธ อัปปะมาโณ ธัมโม อัปปะมาโณ สังโฆ ปะมาณะวันตานิ สิริงสะปานิ อะหิ วิจฉิกา สะตะปะที อุณณานาภี สะระพู มูสิกา กะตา เม รักขา กะตา เม ปะริตตา ปะฏิกกะมันตุ ภูตานิ โสหัง นะโม ภะคะวะโต นะโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง...สาาาาาาธุ!!....

สิ้นเสียงพระคาถาพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ที่เจ้าทุ้ยได้ตั้งจิตสวดบริกรรมพระคาถา ด้วยเสียงอันก้องกังวาล สะท้านไปทั่วหุบผาพญาไฟ เหมือนกับเป็นการท้าทายให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า ข้านี่พร้อมเเล้ว!!

"ไอ้กรด!! มึงลากไอ้มาดไปนอนอยู่ตรงใต้ต้น"สะบ้า"นั่น เเล้วตัดเอาเครือเเก่ๆ มาสุมไฟให้มัน ไม่ต้องมาก.."
"ไป!! นังเดือน ไปกะข้า!!......"

กล่าวจบ เจ้าทุ้ยที่เคยมีท่าทีกริยาพูดจากวนๆ มาบัดนี้ กล่าวเป็นงานเป็นงาน สงบนิ่ง เเต่ดวงตากลับฉายเเววเเห่งเลือดนักสู้อย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับค่อยๆย่างก้าวออกไปจากเเนวที่พักอย่างช้าๆ พร้อมกับนังเดือน ที่บัดนี้ได้ปลดคันธนู ขึ้นสายเตรียมพร้อม ที่จะสู้กับสิ่งลี้ลับอย่างไม่หวั่นไหว

ไอ้กรดประคองปีกเจ้ามาดเข้ามาในกลุ่ม พร้อมกับบอกทุกๆคนตามที่เจ้าทุ้ยสั่งเอาไว้ ก่อนที่จะวางเจ้ามาดไว้ตรงต้นสะบ้าใหญ่ใกล้กองไฟ โดยเลือกให้อยู่ทางใต้ลมของคนอื่นๆ

"ทำไมเอาข้ามานอนตรงนี้ล่ะ?!!.."

เจ้ามาดถามด้วยความสงสัย

"การเข้าตีค่ายศัตรูในเวลาก่อนย่ำรุ่ง โบราณเขาจะใช้เถาสะบ้าแห้งสุมไฟให้เกิดควันเหนือลมของค่ายที่จะเข้าตี คนทีสูดควันจากการเผาเถาสะบ้าจะง่วงและหลับเป็นตาย แต่ไม่ถึงกับสลบ...."

"หมายความว่า??.."

"ใช่!! พี่ทุ้ยเขาไม่อยากให้พี่มาดสร้างเรื่องสร้างราว เหมือนคราวที่หนีเจ้างูยักษ์ตอนออกจากถ้ำเสียกระมัง?....."

พูดจบ นักรบนิรนามจากคลองหันตรา ก็เดินเข้าไปยังใต้ต้นสะบ้า มองหาเศษเถาสะบ้าเเห้งที่หล่นอยู่อย่างมากมาย เเล้วก็เลือกมาได้ขนาดกำใหญ่ๆ ก่อนที่จะเดินกลับมาที่กองไฟ เมื่ดจุดจนติดเเล้ว ก็มาวางไว้เหนือลมใกล้ๆหัวของเจ้ามาด

"เเล้วเมื่อกี้เจ้าทุ้ย มันสวดคาถาอะไร เอ็งพอรู้หรือเปล่าเจ้ากรด??.."

เจ้ามาดถามคำถามเเบบชวนคุย เพื่อจะได้รู้จักหนุ่มนิรนามคนนี้ให้ดียิ่งขึ้น

"ขันธะปะริตตะคาถา!! พระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาล พระโบราณจารย์นิยมใช้สวดสาธยายเมื่อออกจาริกธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร เมื่อครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลาย เเผ่เมตตาพระคาถานี้ เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน..."

เจ้ามาดหันมามองใบหน้าของหนุ่มนิรนามคนนี้อย่างประหลาดใจ ใบหน้า ท่าทาง คำพูดคำจา วิชาความรู้ที่พูดออกมา นี่มันไม่ใช่คนบ้านป่าบ้านดงเเล้วละนี่?!!

"เเล้วลูกธนูเงินล่ะ? มันคืออะไร??..."

เจ้ามาดถามคำถามอีก ดูซิว่าไอ้หนุ่มคนนี้มันจะจนเเต้มมั๊ย??...

"จุดอ่อนของเสือสมิงนั้น อยู่ตรงที่ร่างกายของเสือสมิง จะพ่ายแพ้อาถรรพณ์ของอาวุธที่ทำจากเงินบริสุทธิ์ ดังนั้น พรานป่าและหมออาคมแก่กล้าแต่โบราณจะรู้ดีว่าหากจะฆ่าเสือสมิง จะต้องใช้เงินบริสุทธิ์ที่ทำเป็นหัวกระสุน หรือหัวของธนู ยิงให้โดนตรงบริเวณหัวใจของมันเท่านั้น

หากในกรณีที่เสือสมิงแปลงร่างกลายเป็นคน ตะกร้าหรือคบเพลิงที่มันถือมา คือส่วนหัวใจของเสือสมิง ต้องยิงไปให้โดนจุดนั้นมันจึงจะตาย หากยิงไปโดนจุดอื่น เช่น ตัวแขนขาของคนที่ถือคบเพลิงมา จะไม่โดนหัวใจของเสือสมิง อาจทำได้แค่ทำให้มันบาดเจ็บเล็กน้อยไม่ถึงกับชีวิต เหมือนกับคราวที่หนูเดือน ยิงมันพลาดเมื่อคราวที่เเล้วนั่นไง!!..."

ลึกจริงๆไอ้หนุ่มคนนี้ เจ้ามาดนึกไม่ถึงเลยว่า จะได้มาเจอผู้รอบรู้อย่างเเตกฉานกลางป่ากลางเขาเยี่ยงนี้!!

"เออ พี่มาด...รางจืดที่พี่ขยี้เเล้วเอามาเเปะไว้ตรงจมูกเมื่อกี้น่ะ มันไม่ได้ช่วยทำให้พี่พ้นจาก"เถาสะบ้าเเห้ง"สุมไฟได้หรอกพี่!!..."

กล่าวจบ นักรบนิรนามจากคลองหันตรา ก็ยิ้มๆเเล้วค่อยๆลุกขึ้น เพื่อจะเดินเข้าไปยังกลุ่มใหญ่ ตรงหน้าที่พักของพระเชียงเงินที่อยู่ติดกัน..."

"เดี๋ยวววว เจ้ากรด!! คำถามสุดท้าย!!...."
"เอ็งเข้ามาอยู่ทัพพระยาตาก เพื่อต้องการอะไร?!!..."

หนุ่มนิรนามค่อยๆหันหน้ากลับมาประสานตาจ้องมอง ดวงตาที่เคยใสซื่อบริสุทธิ์ของมัน บัดนี้กลับกลายมาเป็นสายตาที่เจ้ามาดเองก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน ก่อนที่นักรบนิรนามจากท้องทุ่งหันตรา จะเดินออกไปอย่างไม่สนใจในคำถามของเจ้ามาดเเม้เพียงสักนิด!!...."

guest

Post : 2017-12-07 13:34:50.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ท้าวศรีจุฬาลักษณ์!! เธอตายอย่างทนทุกข์ทรมาน!!

    

 

             

 

 

ท้าวศรีจุฬาลักษณ์!! เธอตายอย่างทนทุกข์ทรมาน!!
www.arjanpong.com
#พระนารายณ์ #อยุธยา #พลังภูผา

ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) เป็นบุตรีของพระนมเปรม ผู้บริบาลถวายการเลี้ยงดูสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาแต่เยาว์วัย ภายหลังถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับสมเด็จเจ้าฟ้าน้อย ซึ่งเป็นพระอนุชาธิราชของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนภายหลังจึงถูกลงโทษ

ประวัติ.....

ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) มีนามเดิมว่า แจ่ม เป็นบุตรีของพระนมเปรม ผู้บริบาลถวายการเลี้ยงดูสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาแต่เยาว์วัยภายหลังพระนมเปรมจึงได้รับแต่งตั้งเป็นท้าวศรีสัจจา ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า เจ้าคุณวังหน้า และยังเป็นน้องสาวของพระยาเพทราชา (ทองคำ) จางวางกรมคชบาลขวา ต่อมานางได้ถวายตัวเป็นบาทบริจากริกาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงโปรดสถาปนาไว้ในตำแหน่ง "ท้าวศรีจุฬาลักษณ์" พระสนมเอก

การเป็นชู้กับพระอนุชาธิราช.....

ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) ด้วยเป็นที่รู้กันว่านางเป็นผู้มากด้วยกามคุณ สร้างความอื้อฉาวแก่ประชาชนเสมอ จนราษฎรนำกันร้องเพลงเกริ่นความผิดปกติวิสัยของนางให้เกร่อไป ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) ได้เกิดความพึงพอใจในสมเด็จเจ้าฟ้าน้อย พระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงใช้เล่ห์เพทุบายล่อลวงจนเจ้าฟ้าน้อยเสพสังวาสด้วยกับนางแต่เป็นการลับไม่ถึงพระเนตรพระกรรณ แต่ความเกิดแตกเนื่องจากตัวพระสนมเอง

โดยนางได้ผ่านทางเข้าห้องที่ประทับของในหลวง ได้เห็นฉลองพระองค์ชั้นนอกของเจ้าฟ้าน้อยถอดวางไว้ ด้วยเป็นธรรมเนียมของการเข้าเฝ้าที่ต้องเปลือยกายครึ่งท่อนเสียก่อน ครั้นนางจำฉลองพระองค์ขององค์ชายได้ จึงให้นางทาสีหยิบนำไปเก็บไว้ที่ห้องของนางเสีย ด้วยคิดว่าองค์ชายจะทราบดีว่าผู้ใดเอาไป แล้วจะได้ติดตามไปในตำหนักของพระนาง แต่เจ้าชายหาได้เฉลียวใจเช่นนั้น เมื่อเจ้าชายออกมาไม่พบฉลองพระองค์ แต่โขลนทวารไม่ทราบว่าผู้ใดเอาไป จึงได้เที่ยวกันตามหาทั่วพระราชวัง เรื่องจึงเข้าถึงพระเนตรพระกรรณของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 

พระองค์จึงทรงพิโรธเป็นอันมากที่มีผู้เข้ามาลักทรัพย์ถึงในพระราชฐาน แค่พระทวารห้องที่ประทับของพระองค์แท้ๆ และผู้ที่มาหยิบก็ต้องออกมาจากพระราชฐานฝ่ายในเท่านั้น จึงมีรับสั่งให้ค้นให้ทั่วทันที โดยเข้าไปในตำหนักของพระสนมเอกก่อน จึงได้พบฉลองพระงค์ของเจ้าชาย ที่มิได้ซุกซ่อนให้มิดชิดวางอยู่ เหล่านางกำนัล และนางทาสีจึงชิงกันกราบทูลกล่าวโทษพระสนม สร้างความพิโรธแก่สมเด็จพระนารายณ์ฯเป็นอันมาก แม้กระนั้นพระองค์ก็มิทรงปรารถนาที่จะถือเอาแต่โทสจริต หรือวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯ ตั้งให้คณะที่ปรึกษาแผ่นดินของพระองค์เป็นผู้วินิจฉัยคนทั้งสอง

การถูกลงทัณฑ์......

พระเพทราชาซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ในแผ่นดินด้วยการสนับสนุนของท้าวศรีจุฬาลักษณ์ซึ่งเป็นน้องสาว มิได้คัดค้านคำพิจารณาพิพากษา หรือขอรับพระราชทานอภัยโทษให้แก่ท้าวศรีจุฬาลักษณ์เลย กลับเป็นคนแรกที่ธำรงอำนาจวาสนาตนไว้ ด้วยการเสนอให้พิจารณาลงโทษนางที่เคยพระคุณต่อตนถึงขั้นประหารชีวิต 

คณะที่ปรึกษาได้พิจารณาลงโทษให้เอานางสนมไปโยนให้เสือกินเสีย ส่วนเจ้าฟ้าน้อยนั้นก็ทรงต้องระวางโทษให้สำเร็จโทษด้วยการใช้ไม้จันทน์สองท่อนบีบอัดเสียให้สิ้นพระชนม์ โดยอย่าให้โลหิตตกต้องแผ่นดินได้ โดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประหารพระสนมเอกตามคำพิพากษา ส่วนพระอนุชาธิราชได้พระราชทานผ่อนโทษลง ด้วยเหตุที่ว่า พระเชษฐภคินีองค์หนึ่งซึ่งพระองค์ทรงรักใคร่มากนั้น เมื่อใกล้จะถึงกาลกิริยาได้กราบทูลขอให้พระองค์ทรงชุบเลี้ยงพระอนุชาธิราชพระองค์นี้ เสมอว่าพระองค์เป็นพระบิดา ด้วยพระนางเธอบำรุงเลี้ยงมาด้วยความเสน่หายิ่ง

สมเด็จพระนารายณ์ฯจึงให้ลงทัณฑ์เสมอที่บิดาทำต่อบุตร แต่ด้วยถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงทรงทรงพิจารณาลงทัณฑ์ให้สาหัสด้วยหวาย และทรงเห็นว่าพระเพทราชาเป็นผู้หนึ่งที่ปรารถนาที่จะสำเร็จโทษเจ้าชาย เพื่อเป็นการแก้แค้นที่กระทำการลบหลู่พระเกียรติของพระองค์ จึงมีพระราชอาญาให้พระเพทราชา กับพระปีย์เป็นผู้ลงโทษ.......

Credit : https://th.wikipedia.org/wiki/ท้าวศรีจุฬาลักษณ์_(แจ่ม)

 

 

 

guest

Post : 2017-12-07 13:24:57.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ลูกผู้ชาย เเม้นตายขอมีนายเดียว..

 

 

  

ออกหลวงมงคล!!
"ลูกผู้ชายเเม้นตาย ก็ขอมีนายเดียว!!.."
www.arjanpong.com
#วัดวรโพธิ์ #อยุธยา #ประวัติศาสตร์ #พลังภูผา

ฝรั่งบันทึกไว้ด้วยความทึ่ง! บุรุษผู้คงกระพันในประวัติศาสตร์ไทย! ดาบฟันไม่เข้า กลับบีบคอเพชฌฆาตตาย!

ประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่ไม่ได้บันทึกไว้โดยบุคคลร่วมสมัย มาบันทึกก็ต่อเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้วเป็นเวลานาน บางเรื่องก็เป็น ๑๐๐ ปี เพราะคนไทยเราไม่มีนิสัยชอบบันทึกเรื่องราวของบ้านเมือง แต่ก็โชคดีที่มีฝรั่งซึ่งมีนิสัยชอบบันทึกเข้ามามากในช่วงนั้น บางคนก็อยู่นานหลายปี และบันทึกเรื่องราวที่รู้เห็นไว้ เอาไปพิมพ์เผยแพร่ในยุโรปหลายเล่ม จึงนับเป็นประวัติศาสตร์ไทยที่บันทึกโดยบุคคลร่วมสมัย ถือได้ว่าใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

ฝรั่งผู้บันทึกประวัติศาสตร์ไทยที่ถูกอ้างบ่อยมากคนหนึ่ง ก็คือ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต หรือเรียกกันในสำเนียงไทยว่า “วันวลิต” ซึ่งเข้ามาเป็นผู้จัดการสถานีการค้าของฮอลันดาที่กรุงศรีอยุธยาระหว่างปี ๒๑๗๖-๒๑๘๕ ในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมจนถึงแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง อยู่นานจนรู้จักเมืองไทยดี ได้เขียนเรื่องเมืองไทยในยุคนั้นนำไปพิมพ์เผยแพร่ในยุโรปไว้หลายเล่ม เล่มหนึ่งกรมศิลปากรได้นำมาแปลไว้ในชื่อ “รวมประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาของ ฟาน ฟลีต (วัน วลิต)” ได้รับความเชื่อถือจากนักประวัติศาสตร์ไทยมากกว่าฉบับอื่นๆ เพราะนอกจากจะบันทึกโดยผู้อยู่ในยุคสมัยที่บันทึกแล้ว ยังไม่มีข้อจำกัดเหมือนนักพงศาวดารของไทย เพราะบันทึกแล้วนำไปพิมพ์ในต่างประเทศ

เรื่องหนึ่งที่วันวลิตเล่าไว้อย่างน่าตื่นเต้นก็คือ เรื่องของ “ออกหลวงมงคล” ผู้จงรักภักดีต่อพระศรีศิลป์ พระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งตามธรรมเนียมประเพณีแล้ว จะได้ขึ้นครองราชย์ต่อ แต่พระเจ้าทรงธรรมต้องการให้ราชสมบัติตกแก่พระเชษฐาธิราช พระราชโอรส ซึ่งวันวลิตได้บันทึกตอนนี้ไว้ว่า

“...และเพื่อกีดกันพระอนุชาผู้ทรงเป็นรัชทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้เป็นไปตามความมุ่งหมายนี้ พระองค์ทรงปรึกษาออกญาศรีวรวงศ์ เสนาบดีผู้มีความตั้งใจที่แท้จริงในอันจะช่วงชิงราชบัลลังก์มาเป็นของตนเอง โดยแย่งมาจากเจ้าชายผู้เยาว์พระชันษา ซึ่งมีพระชนม์เพียง ๑๕ พรรษา เจ้าชายองค์นี้ทรงมีนิสัยต่ำทรามจนออกญาศรีวรวงศ์มั่นใจว่า พระองค์ต้องเป็นที่รังเกียจของไพร่ฟ้าและข้าแผ่นดิน...”

เมื่อออกญาศรีวรวงศ์ช่วยให้พระเชษฐาธิราชขึ้นครองราชย์ได้ จึงได้รับการโปรดเกล้าฯเลื่อนขึ้นเป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ สมุหกลาโหม ส่วนพระศรีศิลป์รู้ชะตากรรมของตัวเองดีจึงไปผนวชเอาผ้าเหลืองคุ้มชีวิต เจ้าพระยากลาโหมวางแผนที่จะกำจัดพระศรีศิลป์ให้สิ้นเสี้ยนหนาม แต่เมื่อมีกระแสรับสั่งให้พระศรีศิลป์มาเข้าเฝ้า พระศรีศิลป์ซึ่งรู้ตัวดีว่าถ้าออกจากวัดเมื่อไหร่ก็ต้องตายเมื่อนั้น จึงไม่ยอมเข้าเฝ้า เจ้าพระยากลาโหมจึงเปลี่ยนแผนใหม่ ให้ออกญาเสนาภิมุข หรือ “ยามาด้า” ทหารอาสาญี่ปุ่น ไปหลอกพระศรีศิลป์ว่าจะนำทหารญี่ปุ่นมาช่วยชิงราชบัลลังก์ พระศรีศิลป์จึงตัดสินใจสึกออกมานำทหารญี่ปุ่นบุกเข้าวัง แต่พอถึงวังหลวง ทหารญี่ปุ่นของยามาด้าเองกลับเป็นฝ่ายจับพระศรีศิลป์มัด นำตัวไปให้เจ้าพระยากลาโหม

พระเชษฐาธิราชพระทัยไม่แข็งพอที่จะสำเร็จโทษพระเจ้าอา ให้นำตัวไปจำขังไว้ก่อน เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงส่งไปขังไว้ที่เมืองพริบพรี หรือเมืองเพชรบุรี ซึ่งยามาด้าเป็นเจ้าเมือง แล้วกระซิบให้ผู้คุมลดอาหารลงทุกวันจนกว่าจะตายไปเอง ผู้คุมขุดหลุมลึกเอาพระศรีศิลป์ขังไว้ แล้วชะโงกหน้ามาดูที่ปากหลุมวันละ ๓ เวลา ว่าพระศรีศิลป์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

ชะตากรรมของพระศรีศิลป์ยังไม่ถึงฆาต ออกหลวงมงคล ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงทางด้านอยู่ยงคงกระพัน และเป็นนักรบที่แกล้วกล้า ได้ติดตามไปที่เมืองพริบพรี ขุดอุโมงค์ไปจนถึงก้นหลุมที่คุมขังพระศรีศิลป์ จากนั้นก็บีบคอทาสที่ช่วยขุดจนตาย แล้วเอาเครื่องทรงของพระศรีศิลป์ใส่ให้ จับนอนคว่ำหน้าอยู่ในหลุมแทน ก่อนที่จะอุ้มพระศรีศิลป์ออกไป เมื่อผู้คุมชะโงกหน้ามาดู ก็เห็นว่าพระศรีศิลป์ตายแล้ว จึงกลบหลุมแล้วรายงานไปยังกรุงศรีอยุธยา

ออกหลวงมงคลนำพระศรีศิลป์ไปพักฟื้นที่วัดแห่งหนึ่งจนแข็งแรง ข่าวการรอดชีวิตของพระศรีศิลป์แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ขุนนางในกรุงศรีอยุธยาทั้งทหารและพลเรือน รวมทั้งพระภิกษุสงฆ์สึกออกมาสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก ขอช่วยรบชิงราชบัลลังก์ถวาย

ฝ่ายกรุงศรีอยุธยา เมื่อทราบข่าวก็จัดทหารไทยพร้อมซามูไรญี่ปุ่นเข้าปราบปราม ออกญาเสนาภิมุขได้ใช้เล่ห์กลอีกครั้ง ส่งคนไปเจรจากับออกหลวงมงคลว่าจะนำทหารญี่ปุ่นมาเข้าข้าง แม้ถูกสั่งให้ออกหน้าก็จะไม่รบจริง แค่แกล้งทำเป็นรบแล้วให้จับเป็นเชลยทั้งหมด ออกหลวงมงคลก็หลงเชื่อยามาด้าอีก สั่งทหารไทยไม่ให้ฆ่าฟันทหารญี่ปุ่น ฉะนั้นพอ ๒ กองทัพเผชิญหน้ากัน ทหารของออกหลวงมงคลจึงรบกับญี่ปุ่นแบบลิเก แต่ญี่ปุ่นกลับฟันเอาๆด้วยซามูไร จนกองทัพของออกหลวงมงคลแตกพ่าย พระศรีศิลป์จะหลบหนีลงใต้ก็ถูกจับได้เสียก่อน เมื่อถูกนำตัวมาเฝ้าพระเชษฐาธิราช พระศรีศิลป์รู้ชะตากรรมของตัวดีจึงไม่ได้ไหว้วอนขอชีวิต แต่ทรงเตือนในฐานะอากับหลานว่าให้ระวังตัวให้ดี วันหนึ่งก็จะถูกเจ้าพระยากลาโหมกำจัดเช่นเดียวกับพระองค์

ส่วนออกหลวงมงคลเมื่อแตกทัพแล้ว ก็หลบเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา คิดจะลอบฆ่าเจ้าพระยากลาโหม ดักอยู่หน้าประตูวังหลายวัน เจ้าพระยากลาโหมก็ไม่ออกมาเลยล้มความตั้งใจ พาเมียหลวงและเมียน้อยหลบไปอยู่ชายแดนกัน ๓ คนผัวเมีย ใช้ชีวิตแบบพรานป่า ต่อมาเมียทั้งสองพลาดท่าถูกทหารกรุงศรีอยุธยาจับไป เลยหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต เดินทางเข้ากรุงมอบตัวรับโทษแต่โดยดี

วันวลิตได้บันทึกเรื่องราวในช่วงนี้ไว้อย่างน่าแปลกใจในความเชื่อของฝรั่งว่า

“...เจ้าหน้าที่พันธนาการเขาด้วยโซ่ตรวน ใส่ขา มือ แขน คอ และทุกๆส่วนของร่างกายเพราะได้รับคำตักเตือนมาก่อนในเรื่องพละกำลังมากมายผิดธรรมดา และเรื่องวิทยาคุณตามหลักไสยศาสตร์ ออกหลวงมงคลจึงหัวเราะขบขันคนเหล่านั้น และบอกว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่ใส่โซ่ตรวนคนซึ่งยอมมอบตัวเป็นนักโทษโดยสมัครใจ เขากล่าวว่า “ถ้าหากข้าพเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็จะไม่ยอมอยู่ในอำนาจของท่าน จะไม่ให้จับกุมคุมขังข้าพเจ้าได้เลย” กล่าวดังนั้นแล้วก็หักโซ่ตรวนออกโดยง่ายดายเหมือนดึงเศษเชือกหรือด้ายเปื่อยๆ แล้วก็พูดต่อไปว่า “ถ้าข้าพเจ้าต้องการพิสูจน์พละกำลังและวิชาความรู้ของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็สามารถฆ่าท่านได้หลายคนทีเดียว แต่ข้าพเจ้าต้องการตาย ฉะนั้นจงนำข้าพเจ้าไปกรุงศรีอยุธยาโดยอิสระ เพื่อว่าออกญากลาโหมผู้โหดเหี้ยมซึ่งปลงพระชนม์พระมหาอุปราช อาจพึงพอใจในเลือดของข้าพเจ้า เพราะเขากระหายมานานแล้ว”

พระเชษฐาธิราชและเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงค์ไม่ประสงค์จะเอาชีวิตออกหลวงมงคล ต้องการผู้มีวิทยาคมและกล้าหาญไว้รับราชการ แต่ออกหลวงมงคลกลับตอบข้อเสนอว่า

“ข้าพเจ้าไม่มีพระเจ้าอยู่หัวที่เคารพอีกแล้ว และพระเจ้าอยู่หัวผิดกฎหมายที่ท่านพูดถึง ทั้งตัวท่านเอง ก็ได้ร่วมมือกันปลงพระชนม์ผู้สืบราชสมบัติที่ถูกต้องตามกฎหมายเสียแล้ว เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงอยากตายมากกว่าที่จะเชื่อฟังคนใจโหด ฆาตกร คนกบฏ และคนก่อกวนความสงบสุขของบ้านเมืองเช่นพวกท่าน ท่านอย่าหวังเลยว่าข้าพเจ้าจะยอมให้สัตย์สาบานแก่คนซึ่งข้าพเจ้าไม่ขอเกี่ยวข้องให้มาเป็นนายของข้าพเจ้า”

ด้วยเหตุนี้ออกหลวงมงคลจึงถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยดาบ และก่อนจะตายเขาได้แสดงอภินิหารเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งวันวลิตบันทึกไว้ว่า

“ ในที่สุดเขาพูดถึงความกล้าหาญของตนเองและวิทยาคุณทางไสยศาสตร์ กับกล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าหากใครคนใดยังสงสัยเรื่องที่เขาพูดนี้ เขาจะพิสูจน์ให้เห็นจริงต่อหน้าคนทั้งหลาย อันที่จริง เมื่อเขาอยู่ในอาการสงบเพื่อรับดาบที่ฟันลงมา เพชฌฆาตก็ไม่สามารถทำให้เกิดบาดแผลในร่างกายของเขาได้ แม้จะได้ฟันเต็มแรงจนใบดาบชนิดโค้งนั้นคดไปก็ตาม ทุกครั้งที่เพชฌฆาตฟันก็เกิดเสียงดังเหมือนคมดาบกระทบทั่งตีเหล็ก หลังจากนั้นออกหลวงมงคลก็ก็ลุกขึ้นดึงเชือกที่มัดตัวออก จับเพชฌฆาตไว้และบีบคอจนตาย เสร็จแล้วก็ขอน้ำ เขาเสกคาถาลงไปในน้ำ แล้วดื่มไปส่วนหนึ่ง ที่เหลือใช้ลูบไล้ร่างกาย และเอานิ้วขวาจุ่มลงในน้ำมนต์ ทำเครื่องหมายลงบนลำตัวด้านซ้ายใต้ซี่โครง ในประเทศสยามถ้าผู้ใดถูกตัดสินให้ตายด้วยคมดาบ ก็จะต้องถูกฟันตรงนั้นซึ่งไส้จะไหลออกมาอย่างเร็วที่สุด แล้วออกหลวงมงคลก็นอนลงแล้วสั่งให้เพชฌฆาตอีกคนที่ถูกนำตัวมาใหม่ให้ฟันเขาตรงที่ๆเขาทำเครื่องหมายเอาไว้ ถ้าหากฟันพลาดออกหลวงมงคลจะบีบคอให้เหมือนกับที่ทำกับเพื่อนเขาคนก่อน เพชฌฆาตฟันดาบลงไป แต่ด้วยความกลัวพลาดจึงทำให้ฟันผิด ฟันไม่ถึงตาย ออกหลวงมงคลร้องดังลั่นและสั่งให้ฟันตรงหัวใจมิฉะนั้นจะบีบคอเพชฌฆาตนี้เสียอีกคน นี่คือวาระสุดท้ายของออกหลวงมงคล บุคคลผู้น่าเกรงขาม ผู้ทำให้พระเจ้าแผ่นดินและทุกคนในราชสำนักตกอยู่ในความกลัว...”

นี่ก็เป็นเรื่องราวบุรุษผู้อยู่ยงคงกระพันในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งบันทึกไว้โดยชาวตะวันตกเมื่อเกือบ ๔๐๐ ปีก่อน แล้วเอาไปพิมพ์ให้ฝรั่งด้วยกันในยุโรปอ่าน....

Credit : http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx…

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ สถานที่กลางแจ้ง

 

guest

Post : 2017-11-29 13:22:06.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ทุกข์เข็ญเเสนสาหัส!! ไฟไหม้กรุงศรี ก่อนถูกตีเเตก!!

         

 

 

                

 

 

ทุกข์เข็ญเเสนสาหัส!! 
ไฟไหม้พระนครก่อนกรุงเเตก!!
www.arjanpong.com
#อยุธยา #กรุงเเตก #พลังภูผา

ต่อมาไม่ช้า พม่ายกเข้ามาตีค่ายที่เพนียดได้ ตัวเนเมียวสีหบดีแม่ทัพพม่าก็เข้ามาตั้งอยู่ที่เพนียด ให้กองทัพพม่าเข้าตีค่ายไทยที่ออกไปตั้งป้องกันพระนครข้างด้านเหนือแตกกลับเข้ามาในกรุงฯ หมดทุกค่าย แล้วพม่าก็เข้ามาตั้งค่ายประชิดพระนครข้างด้านเหนือที่วัดกุฎีแดง วัดสามวิหาร วัดกระโจม วัดศรีโพธิ์ วัดนางชี วัดแม่นางปลื้ม วัดมณฑป ให้ปลูกหอรบเอาปืนขึ้นจังกายิงเข้าไปในพระนครทุกวันมิได้ขาด ส่วนพม่าทัพข้างใต้ก็ยกขึ้นมาตีได้ค่ายไทยที่วัดพุทไธศวรรย์ แล้วไปตีค่ายที่วัดไชยวัฒนาราม รบกันอยู่ได้แปดเก้าวัน ก็เสียค่ายแก่พม่า ค่ายจีนที่บ้านสวนพลูก็เสียแก่พม่าเหมือนกัน แต่ค่ายที่วัดพิชัยนั้น พระยาตากสินเเหกค่ายไปเสียแต่ก่อนพม่ายกมาตีแล้ว

ฝ่ายข้างพระนครถูกพม่าล้อมมาช้านาน เสบียงอาหารอัตคัดเข้า เกิดเป็นโจรผู้ร้ายแย่งชิงชุกชุมขึ้นทุกที ครั้น ณ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอ เวลากลางคืน เกิดไฟไหม้ในพระนคร ไหม้ตั้งแต่ท่าทรายริมกำแพงข้างด้านเหนือ ลุกลามมาทางประตูข้าวเปลือก แล้วไฟข้ามมาติดบ้านเรือนแขวงป่ามะพร้าว ตลอดไปถึงแขวงป่าโทน ป่าถ่าน ป่าตอง ป่ายา ไหม้วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ ไปจนวัดฉัททันต์ ไฟไหม้กุฎีวิหารและบ้านเรือนในพระนครรวมกว่า ๑๐,๐๐๐ หลัง ผู้คนพลเมืองก็ยิ่งอัตคัดคับแค้นหนักขึ้น

พระเจ้าเอกทัศให้ทูตออกไปว่ากล่าวกับพม่าขอเลิกรบ จะยอมเป็นเมืองขึ้นต่อพระเจ้าอังวะ แม่ทัพพม่าก็ไม่ยอมเลิก ด้วยประสงค์จะตีเอาทรัพย์สมบัติผู้คนไปให้สิ้นเชิง.......

Credit : พงศาวดาร สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ    

guest

Post : 2017-11-23 16:04:45.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  อาถรรพ์!! ฆ้องกระเเตเจ้าคุณปู่!!

 

               

 

 

  

อาถรรพ์!! ฆ้องกระเเตเจ้าคุณปู่!!
www.arjanpong.com
#นายสุดจินดา #กรมพระราชวังบวร #อยุธยา #พลังภูผา

ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พระพินิจอักษรเห็นวา กรุงจะต้องแตกเป็นแน่จึง อาจจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยเป็นแน่ หาทางหลบหนีออกจากพระนครไปก่อน แล้วค่อยร่วมมือกับผู้มีความสามารถมากู้เมืองใหม่ พระพินิจอักษร คุณบุญมา (ภรรยา) และคุณลา ชวนกันหลบหนีไปอยู่เมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) เจ้าเมืองพิษณุโลกซึ่งเป็นเพื่อนเก่า

ส่วน นายสุดจินดา ยังเป็นโสด ได้ปรึกษากับเพื่อนชายอีก ๓ คน คิดจะหนีออกจากวงล้อมของข้าศึกที่กรุงศรีอยุธยา ไปหาหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี (ทองด้วง) รวบรวมเสบียงอาหารและเสื้อผ้าคนละเล็กคนละน้อยกับฆ้องกระแต ผู้เป็นปู่นามว่าทองอยู่ และตกทอดต่อ ๆ กันมา ลอบเล็ดลอดออกจากกำแพงพระนคร ลงเรือโกลนในตอนพลบค่ำ ช่วยกันพายล่องลงมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา

มาถึงตำบลสีกุก บางไทร ประมาณทุ่มเศษเป็นที่ตั้งค่ายใหญ่ของทัพพม่า ในเรือจุดไฟริบหรี่ไว้ดวงหนึ่งให้เหมือนเรือตรวจของข้าศึก ค่ายใหญ่ของพม่าตีฆ้องเรียกเรือให้หยุดตรวจ นายสุดจินดาปัญญาไว ตีฆ้องกระแตรับ ข้าศึกคิดว่าเป็นเรือพวกเดียวกัน จึงปล่อยให้ผ่านลงไปได้ เมื่อผ่านตำบลใด ถูกข้าศึกตีฆ้องเรียกอีก ก็ตีฆ้องตอบรับอย่างเดียวกัน และดัดเสียงพูดเป็นสำเนียงพม่าเบา ๆ ก็ผ่านลงมาได้ทุกแห่ง

พอว่าเริ่มสาง ก็มาถึงอ้อมเกร็ด บางบัวทอง ก็สว่าง ซ่อนเรือแล้วขึ้นนอนพักในป่าริมตลิ่งเอาแรงเมื่อพลบค่ำจึงลงเรือล่องต่อลงมาเรื่อย ๆ

จนถึงปากคลองบางกอกใหญ่ ปากทางที่จะเข้าคลองไปยังเมืองราชบุรี พบทัพพม่าตั้งด่านคุมปากคลองอยู่บนป้อมธนบุรีแข็งแรง การใช้วิธีเดิม ๆ คงผ่านไปได้ยากแล้ว จะต้องคิดหาวิธีการให้แนบเนียนเสียก่อน จึงจอดหรือเข้าไปในป่าลำพู ซึ่งมีพงหญ้าขึ้นสูงอยู่ริมน้ำหน้าวัดสลัก (วัดมหาธาตุ เดี๋ยวนี้) ขณะหลบรอโอกาสอยู่นั้น มีหมู่เรือของข้าศึกแจวทวนน้ำขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยา จะหนีก็ไม่ทัน จึงชวนกันลงน้ำพลิกหรือคว่ำคลุมหัว พอเรือข้าศึกผ่านไปหมดแล้วก็พลิกกู้เรือขึ้น เสื้อผ้าเงินทองและเสบียงอาหารหายสิ้น เหลือแต่ฆ้องกระแตดิดกระทงเรืออยู่อย่างเดียวน่าอัศจรรย์

รอเวลาพอประมาณ ๒ ยาม เดือนตกและน้ำกำลังไหลขึ้น จึงช่วยกันพายเรือข้ามฟากไปยังฝั่งวัดแจ้ง แล้วล่มเรือเอาสวะคลุมหัว พยุงหรือตามกระแสน้ำขึ้นผ่านเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ ข้าศึกบนป้อมไม่สงสัย เมื่อถึงหน้าวัดสังข์กระจาย จึงกู้เรือขึ้นพายต่อไป

เดินทางหลบซ่อนอย่างนี้เรื่อยไป จนกระทั่งออกปากคลองมหาไชย พอสว่างถึงบ้านท่าจีน ปรากฏว่าหมู่บ้านนั้นไม่มีคนเลย ร้างไปหมดแล้ว จึงได้ขึ้นนอนพักเอาแรง ค่ำลงแล้วจึงลงเรือพายต่อไป พอเข้าบ้านนาเกลือ ฝนตกหนัก ฟ้าผ่าลงมาเจาะท้องเรือทะลุ ต้องช่วยกันอุดยาจึงพายต่อไปได้

พอเข้าตำบลหมาหอน พบผู้ร้าย ๖ คน คอยดักปล้นเรือที่ผ่าน จึงตีฆ้องกระแตขึ้นและพูดให้เป็นสำเนียงพม่า พวกผู้ร้ายตกใจ คิดว่า เป็นทหารพม่าจึงหนีไป ทั้งปืนคาบศิลาไว้ ๔ กระบอก ดาบและมีดหัวตัดอย่างละเล่ม (ทราบว่าดาบนั้น ต่อมาสมเด็จกรมพระราชวังบวร ฯ ทรงทำด้ามและฝักทองเป็นอาวุธประจำพระองค์) ทั้งสี่ได้ช่วยกันพายเรือต่อไปจนกระทั่งออกแม่น้ำแม่กลอง เข้าเมืองราชบุรี ทุกคนหิวมาก ด้วยเมืองที่เกือบร้างหาอาหารกินไม่ได้ เมื่อถึงบ้านอัมพวาไม่พบหลวงยกกระบัตร ฯ พี่ชายเสียอีก ต้องสอบถามเรื่องราวจากพระสงฆ์ที่กล้าอยู่ตามวัด พอได้เรื่องราว แต่ก็ต้องเสียเวลาติดตามค้นหาอยู่หลายวัน จึงพบครอบครัวหลวงยกกระบัตร ฯ ซึ่งอพยพเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในป่าลึก ห่างจากบ้านเดิมที่ริมแม่น้ำมาก พบกันแล้วต่างก็สอบถามข่าวคราวซึ่งกันและกัน

หลวงยกกระบัตร ฯ ถามถึงบิดา มารดา พี่หญิงและน้องชายว่าได้หลบหนีไปอยู่ที่ใด นายสุดจินดาตอบว่าไม่ทราบ หลวงยกกระบัตร ฯ คุณแก้ว และนายสุดจินดาสามพี่น้อง จึงกอดคอกันร้องไห้เป็นห่วงบุคคลเหล่านั้น จากนั้น นายสุดจินดากับเพื่อนอีก ๓ คน ได้ลาลงเรือใหญ่ลำใหม่ที่พี่ชายให้พร้อมด้วยเสบียง ผ้าผ่อน เงินทอง เพื่อเดินทางไปร่วมกันกู้บ้านกู้เมืองกับพระยาตากสินที่เมืองชลบุรี ก่อนจะจากไป หลวงยกกระบัตร ฯ ได้ฝากแหวน ๒ วง กับดาบโบราณคร่ำทองเล่มหนึ่งไปให้พระยาตากสินในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทสนมและคิดถึงกัน ทั้งได้แนะให้นายสุดจินดาแวะไปรับเอามารดาของพระยาตากที่บ้านแหลมไปให้แก่พระยาตากด้วย ซึ่งจะทำให้พระยาตากชอบใจยิ่งกว่าอื่นใด

แล้วเหตุการณ์ก็ได้เป็นไปเหมือนกับที่หลวงยกกระบัตรคาดทุกอย่าง นายสุดจินดา ได้รับความขอบใจและรักใคร่จากพระยาตากอย่างมาก ทั้งได้รับเข้าทำราชการด้วย และตั้งตำแหน่งให้เป็น พระมหามนตรี เจ้ากรมตำรวจในขวา ศักดินา ๒๐๐๐ ขณะนั้น พระมหามนตรี มีอายุเพียง ๒๔ ปีเท่านั้น

Credit : จุติ จันทร์คณา เรื่องเล่าจากวังหลวง

guest
addmin
- Guest -

Post : 2017-11-18 12:59:04.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  อย่าพรากเราจากกัน...

 

                    

 

 

กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งมีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ หรือพระนามที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า เจ้าฟ้ากุ้ง เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศและกรมหลวงอภัยนุชิต

พระองค์มีพระปรีชาสามารถหลายด้าน โดยเฉพาะด้านวรรณกรรมนั้น ทรงพระนิพนธ์วรรณกรรมไว้หลายเรื่อง เช่น กาพย์เห่เรือ นันโทปนันทสูตรคำหลวง พระมาลัยคำหลวง เนื่องจากพระองค์ลักลอบเป็นชู้กับพระสนมของพระราชบิดาจึงต้องพระอาญาให้เฆี่ยน เป็นเหตุให้พระองค์เสด็จสวรรคตในที่สุด

...การขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล...

ในปี พ.ศ. 2284 พระราชโกษาปานบ้านวัดระฆังได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวขอพระราชทานให้สถาปนากรมขุนเสนาพิทักษ์ขึ้นประดิษฐานที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้ประชุมเสนาบดี เมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งพระราชพิธีอุปราชาภิเษกสถาปนากรมขุนเสนาพิทักษ์ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พร้อมกันนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เจ้าฟ้าอินทสุดาวดีทรงกรมที่กรมขุนยิสารเสนี และพระราชทานให้เป็นพระอัครชายาในกรมพระราชวังบวรฯ ด้วย

...เสด็จสวรรคต...

กรมพระราชวังบวรสถานมงคลประชวรด้วยโรคสำหรับบุรุษและกลายไปเป็นพระโรคคชราด (โรคคุดทะราด) เป็นเหตุให้พระองค์ไม่สามารถเข้าเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวถึง 3 ปีเศษ วันหนึ่งพระองค์มีพระบัณฑูรให้ตำรวจมานำตัวเจ้ากรม ปลัดกรม และนายเวรปลัดเวรของเจ้าสามกรม (กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดี) มาถามความว่า เจ้ากรมนั้นเป็นแต่หมื่น เหตุใดจึงตั้งบรรดาศักดิ์ให้เป็นขุน ซึ่งนับว่าทำสูงเกินว่าศักดิ์ จึงมีพระบัณฑูรให้ลงพระราชอาญาโบยหลังคนละ 15 ทีบ้างคนละ 20 ทีบ้าง

หลังจากนั้นไม่นาน กรมหมื่นสุนทรเทพทำเรื่องกราบทูลสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเป็นการลับว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จเข้ามาลอบทำชู้กับเจ้าฟ้านิ่ม เจ้าฟ้าสังวาลย์ (นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าเป็นองค์เดียวกัน) ถึงในพระราชวังหลายครั้ง สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้หากรมพระราชวังบวรฯ เพื่อนำตัวมาสอบความ

เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ รับสารภาพแล้ว จึงมีพระราชดำรัสลงพระราชอาญาเฆี่ยน แล้วให้เสนาบดีและลูกขุนพิพากษาโทษ ท้าวพระยามุขมนตรีและลูกขุนกราบบังคมทูลว่า โทษของกรมพระราชวังบวรฯ เป็นมหันตโทษขอพระราชทานให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามขัตติยประเพณี สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสขอชีวิตไว้แต่ให้นาบพระนลาฏแล้วถอดให้เป็นไพร่เสีย ส่วนเจ้าฟ้าสังวาลย์ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนองค์ละ 30 ที พร้อมทั้งถอดเป็นไพร่เช่นกัน เจ้าฟ้าสังวาลย์อยู่ได้ 3 วันก็สิ้นพระชนม์ ส่วนกรมพระราชวังบวรฯ ต้องรับพระราชอาญาเฆี่ยนและเสด็จสวรรคตลง สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสให้นำพระศพทั้งสองไปฝังยังวัดไชยวัฒนาราม.....


Credit : https://th.wikipedia.org/…/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B…

 

 

       

guest

Post : 2017-11-17 13:26:21.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  รักหฤโหด พระเจ้าเสือ!!

 

 

   รักหฤโหดของพระเจ้าเสือ!!

www.arjanpong.com
#พระเจ้าเสือ #อยุธยา #พลังภูผา

 

จากเกร็ดประวัติศาสตร์ที่มาจากตำนานหรือพงศาวดารนั้น ได้กล่าวถึงพระประวัติที่ซับซ้อนซ่อนเร้นของพระเจ้าเสือหรือขุนหลวงสรศักดิ์นั้น ว่าเป็นพระราชบุตรที่แท้จริงของสมเด็จพระนารายณ์แต่เป็นเพียงพระราชบุตรนอกราชบัลลังก์ เรื่องนี้ได้มีการบรรยายถึงเรื่องพระมารดาไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระพนรัตน์แก้ว ว่าทรงเป็นพระราชธิดาพระเจ้าเชียงใหม่ และคำให้การขุนหลวงหาวัดได้ออกพระนามว่า พระราชชายาเทวีหรือเจ้าจอมสมบุญ ส่วนในคำให้การชาวกรุงเก่าเรียกว่า นางกุสาวดี ซึ่งได้ทรงครรภ์ภายหลังกลับจากยกทัพมาจากการทำศึกที่เชียงใหม่ จึงพระราชทานให้พระเพทราชารับไปเลี้ยงดูแทนพระองค์ โดยที่พระเพทราชานั้นมิได้เกี่ยวข้องแบบชู้สาวแต่อย่างใด ดังนั้นพระเพทราชาจึงเป็นเพียงแต่ บิดา ในนามเท่านั้น

 

สำหรับพระเพทราชานั้น เดิมเป็นจางวางกรมช้าง เป็นคนบ้านพลูหลวง มีมารดาเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์และน้องสาวของพระเพทราชายังได้เป็นพระมเหสีของสมเด็จพระนารายณ์อีกด้วย (พระมเหสีผู้นี้เป็นที่ ’เล่าลือ“ ถึงความ ’เจ้าชู้มากรัก“ ชอบออกไปนอกพระราชวังเพื่อมีความสัมพันธ์กับทหารฝรั่งต่างชาติมากมายหลายคน)

 

เรื่องราวของพระเจ้าเสือหรือขุนหลวงสรศักดิ์นั้น มีมากมายหลายมุมมองและรูปแบบของการดำรงชีวิตที่วิปริตพิสดารเหี้ยมโหดนั้น ได้มีหลายตำนานและพระราชพงศาวดารรวมทั้งบันทึกของชาวฝรั่งเศสหลายคนที่ได้กล่าวถึงพระเจ้าเสือผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความรุนแรงทางอารมณ์ มีการกระทำที่โหดร้ายทารุณทั้งในวังและนอกวัง ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นครองราชย์และภายหลังการขึ้นครองราชย์ เพราะการต่อสู้ชิงอำนาจภายในราชสำนักเพื่อเป้าหมายในการขึ้นครองราชบัลลังก์นั้น หากไม่เด็ดขาดโอกาสที่จะมีชัยชนะคงเป็นไปได้ยาก

 

ดังนั้นการอ้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจเพื่อครองราชสมบัติ จากความถูกต้องของการสืบสายโลหิตว่ามาจากสมเด็จพระนารายณ์นับได้ว่าเป็นกุศโลบายที่แยบยลและชาญฉลาดอย่างยิ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อประสงค์ต้องการลดแรงต่อต้านและสร้างความศรัทธาต่อข้าราชบริพารกับราชวงศ์ เพราะโดยแท้จริงนั้นพฤติกรรมพระเจ้าเสือที่ขาดความเมตตา จิตใจโหดร้าย ชอบการทารุณกรรมผู้คนในรูปแบบต่าง ๆ นั้นก่อให้เกิดความ ’เกรงกลัวและเกลียดชัง“

สำหรับผู้หญิงและชีวิตรักของพระเจ้าเสือนั้น พิจารณาแล้วมีการกระทำที่แสดงออกถึงพฤติกรรมที่วิปริตพิสดาร ซึ่งพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาได้เล่าไว้

 

“พระองค์ทรงเสวยน้ำจัณฑ์ขาวอยู่เป็นนิจ แล้วมักยินดีในการอันสังวาสด้วยกุมารีอันยังมิได้มีระดู และถ้านางใดอุสาหะอดทนได้ ก็พระราชทานรางวัลเงินทองต่าง ๆ แก่นางนั้นเป็นอันมาก ถ้านางใดอดทนมิได้ไซร้ก็ทรงพระพิโรธและทรงประหารลงที่มัชฌิบุราประเทศให้ถึงแก่ความตาย แล้วให้เอาโลงขาวมาใส่ศพนางนั้นออกไปทางประตูพระราชวังท้ายสนมนั้นเนือง ๆ และประตูนั้นเรียกว่าประตูผีออกมีมาตราบเท่าทุกวันนี้”และพงศาวดารฉบับคำให้การของขุนหลวงหาวัด ได้บรรยายไว้ว่า

 

“อันเจ้าพระยาสุรศักดิ์นั้น ฉลาดเฉลียวคมสัน ทั้งห้าวหาญชาญชัยใจฉกรรจ์ ทั้งร้ายกาจอาจองดุดันไม่กลัวใคร ทั้งได้ทีแล้วปากว่ามือถึง ทั้งหยิกทึ้งถีบชกต่อยตีแล้วเที่ยวเกี้ยวลูกสาวชาวพาราแต่บรรดาที่มีพระยาสุรศักดิ์มิได้ไว้ ถึงพ่อแม่จะพิทักษ์รักษาอยู่ก็ดีก็ลักลอบไปมาหาได้ ไม่ว่าผู้ดีเข็ญใจ แล้วก็ให้แหวนและเงินทองตามที่รักน้อยและรักมาก ถึงมียากก็ทั่วหน้า”

 

“บรรดาที่ใครมีบุตรีแต่น้อย ๆ ก็ต้องแต่งให้มีผัวเสีย จะเอาไว้ก็กลัวพระยาสุรศักดิ์จะมาลักเอาบุตรีไปด้วยฤทธากล้าหาญชาญชัย บางสตรีมีคู่เพิ่งจะเข้าหอใหม่ ถ้ารู้ว่ารูปงามทรามวัยก็ไปลักล่วงประเวณี ถึงเจ้าผัวจะรู้ก็กลัวไม่อาจที่จะว่าได้ มีแต่จะเอาตัวพาหนีไป”

 

เรื่องราวของพฤติกรรมความสัมพันธ์ทางเพศที่ผิดแผกแตกต่างจนดูก้าวร้าวรุนแรง วิปริตพิสดารนั้น ตามที่เกร็ดประวัติศาสตร์จากพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาและพงศาวดารฉบับคำให้การของขุนหลวงหาวัดกล่าวเบื้องต้นนั้น นายแพทย์วิบูล วิจิตรวาทการ ท่านได้เขียนวิเคราะห์เอาไว้ว่า “ถ้าจะพิจารณาความประพฤติของพระองค์ตามหลักสรีรวิทยาสมัยใหม่ ก็ต้องวินิจฉัยว่าทรงเป็นบุรุษที่มีฮอร์โมนชนิด Androgen หรือ testosterone สูงจึงมีลักษณะ Aggressive

 

ผิดธรรมดา ห้าวหาญดุดันร้ายกาจ เวลากริ้วโกรธแล้วปากว่ามือถึงถีบชกต่อยตี และในเวลาเดียวกันฮอร์โมนชนิด Androgen ก็ทำให้ทรงมี Sexual drive สูงจึงโปรดปรานที่จะเกี้ยวพาราสีแบบเจ้าชู้ยักษ์ สมสู่ร่วมรักกับลูกสาวชาวบ้านชาวเมืองทั่วกรุง ในกรณีพระเจ้าเสือนี้ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า รสนิยมด้านเพศแปลงมาเป็นระบบ Pedophilia คือ นิยมสมสู่กับเด็ก หากเด็กหญิงคนไหนทนได้ก็เคราะห์ดีไป เด็กที่ไม่ร่วมรักด้วยเพราะความกลัวหรือความเจ็บปวด จะทำให้พระองค์ทรงมีความอัดอั้นตันใจ ซึ่งในที่สุดกลายเป็น Sexual rage นำไปสู่ความโหดร้ายทารุณ ขนาดเอาขวานหรือดาบมาผ่าทรวงอกแยกออกให้ตายเสีย”

 

จะเห็นได้ว่าการกระทำหรือพฤติกรรมทางเพศของพระเจ้าเสือนั้น ส่งผลต่อความรู้สึกของราษฎรที่พากันหวาดกลัวจึงได้พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ด้วยการหลบหนีไปอยู่ที่อื่นเป็นส่วนใหญ่ แต่ในด้านดีของพระเจ้าเสือนั้นถือว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถหลายด้าน โดยเฉพาะการขุดคลองโคกขามในมหาชัยเชื่อมระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน เป็นประโยชน์ในการคมนาคมการค้า ถือเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดที่ดินใหม่เพื่อการเกษตรกรรม เป็นผลประโยชน์มหาศาลให้กับชาติไทย นอกจากนี้ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงมีความเป็นสามัญชนมากที่สุดในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทรงโปรดปรานการปลอมพระองค์เสด็จออกประพาสต้นเพื่อดูวิถีชีวิตราษฎร เช่น การประพาสตกปลา ชกมวย เป็นต้น

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการประหารชีวิตพระสนมเอก ด้วยเหตุที่อ้างว่า ทำเสน่ห์ คือพระองค์รัตนาซึ่งเป็นธิดาของพระบำเรอภูธร ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์โดยให้ประหารทั้ง 3 คนรวมทั้งหมอทำเสน่ห์ด้วยและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ’ท้าวทองกีบม้า“ ซึ่งเป็นภรรยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ทั้ง ๆ ที่มีลูกชาย 1 คน ยังได้ถูกกลั่นแกล้งข่มเหง จับขังคุก โบยตี ทำงานหนักและยังนำเอาครอบครัวพี่น้องมาโบยตีต่อหน้าสารพัดวิธี จนในที่สุดต้องยินยอมเป็นเมียและเป็นที่โปรดปรานในเวลาต่อมา

 

เรื่องพฤติกรรมของพระเจ้าเสือนั้น ได้มีผู้กล่าวถึงในด้านที่ร้ายกาจอยู่หลายบันทึก แม้กระทั่งบันทึกของชาวต่างชาติหลายคน แต่จะเป็นความจริงหรือไม่เพราะในสมัยนั้นการเมืองในราชสำนักไทยมีความรุนแรงแย่งชิงอำนาจกันสูง โดยเฉพาะทางฝ่ายต่างชาตินั้นเป็นศัตรูกับฝ่ายพระเจ้าเสือและสำหรับเรื่องความรักกับผู้หญิงนั้น หากเป็นความจริงย่อมถือว่าพระองค์ทรงมีความรักที่โหดเหี้ยม ทารุณร้ายกาจอย่างยิ่งจนเรียกได้ว่า ’รักหฤโหดของพระเจ้าเสือ“.

Credit : https://www.clipmass.com/story/109322 

 

guest

Post : 2017-11-15 13:55:11.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  โอรสพระเจ้าทรงธรรมก่อการกบฏ ถูกตีด้วยหวายมีหนามจนตาย!!

 

 

            

 

 

Live : โอรสพระเจ้าทรงธรรมก่อการกบฏ

ถูกตีด้วยหวายมีหนามจนตาย!!

www.arjanpong.com

การประหารชีวิตขนานใหญ่ที่ตะแลงแกงเกิดขึ้นอีกครั้งในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.๒๑๗๒-๙๔) พระอาทิตยวงศ์ซึ่งถูกถอดออกจากราชสมบัติไปแล้ว แต่ยังทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงไว้เพราะเห็นว่าเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ต่อมาภายหลังได้คบคิดกับกลุ่มขุนนางที่ยังจงรักภักดีก่อการกบฏขึ้น เมื่อรวบรวมกำลังได้ประมาณ ๒๐๐ คนแล้ว ก็บุกเข้าไปในพระราชวังหลวงจะจับสมเด็จพระเจ้าปราสาททองปลงพระชนม์ ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าปราสาททองมิรู้ทันพระองค์ก็เสด็จหนีลงเรือมาลอยลำอยู่ตรงบริเวณฉนวนน้ำประจำท่าฟากแม่น้ำลพบุรี

จากนั้นก็โปรดให้เร่งคุมไพร่พลไปปราบกบฏจนแตกพ่าย พระอาทิตยวงศ์และผู้ก่อการทั้งหมดถูกจับได้ จึงโปรดให้นำไปประหารชีวิตและเสียบหัวประจานที่ตะแลงแกง......

Credit : ศิลปวัฒนธรรม

 

 

 

 

guest

Post : 2017-11-06 19:52:12.0     Forum: นิยาย ตำนานนักรบกรุงศรี  >  27.มันตามมาเอาคืนเเน่

 

*** ตำนานนักรบกรุงศรี..***
27.มันตามมาเอาคืนเเน่!!
ติดตามต่อได้ที่ : www.arjanpong.com

 

"ลืมตาเเล้วเร๊อะ? พ่อมหาเจริญ!! หลับเป็นตายเชียวนะมึง!!..."

เจ้ามาด ชายหนุ่มจากคลองเข้าเม่า กรุงศรี นักรบ"ไพร่อาสา"ท้ายกองของพระเชียงเงิน ต้องสะดุ้งสั่นสะท้าน เมื่อโดนน้ำอุ่นๆ จากน้ำต้ม"เปลือกต้นมะขามเทศ" ที่ หยดลงไปบนร่างของมัน เพื่อชะล้างบาดแผล ที่ถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว หลังจากหนีเจ้างูยักษ์ ฝ่าเข้าไปในดงต้นกระบองเพชร จนถอยหลังร่วงหล่นจากหน้าผา ลงสู่แอ่งน้ำตกใหญ่ที่อยู่ข้างล่าง จนมันไม่รู้สึกตัวเลยว่า สายน้ำอันไหลเเรงเชี่ยวกรากนั้น มันจะพัดผ่านพาไปยังแห่งหนตำบลไหน?

"กูกะว่า หากคืนนี้มึงไม่ฟื้น กูก็ต้องฝัง!!..."

น้ำเสียงอันลีลายียวนกวนประสาทเเบบนี้ ไม่มีใครอีกเเล้ว นอกจาก"ไอ้ทุ้ย" ข้าเก่าเต่าเลี้ยงของคุณพระ ที่หอบหิ้วกันมาจากเมืองระเเหง แขวงเมืองตาก

"น้ำาาาา......"
"ใช่!! นัง"เดือน"ไปเห็นมึงลอยตุ๊ปป่องเหมือนหมาเน่าลอยน้ำ ก็เลยตะโกนเรียกพวกเรา หาไม้มาเขี่ย เเล้วค่อยๆลากมึงขึ้นมาจากน้ำ เอามาวางเเหมะไว้อยู่ตรงนี้...
"ไม่ช่ายยยย....ข้าอยากจะกินน้ำาาาา....."
"อ้าว เหรออออออ....."

ไอ้ทุ้ยพูดจบ ก็หันไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำที่วางอยู่ข้างๆ เเล้วค่อยๆบรรจงเทใส่ปากให้เจ้ามาดอย่างช้าๆ

"ลูกเมียกู กูไม่เคยประคบประหงมมากมายขนาดนี้เลยนะมึง!!"

เจ้าทุ้ยพูดจบ ก็วางกระบอกไม้ไผ่ลง เเล้วหันไปหยิบเอาสมุนไพรที่มันโขลกซะจนชุ่มจนเกือบละเอียด ขนาดเกือบเท่าฝ่ามือ ห่อผ้าบางๆสีเทาหม่นๆ อังกับไฟใฟ้ร้อนๆ ไล่ประคบตามเส้นเอ็น ตามเนื้อตามตัวที่มันตึงอย่างกับหนังกลองของเจ้ามาด

"ไอ้ทุ้ย!! ถ้าเอ็งจะประคบเเรงๆอย่างนี้ สู้ตัดเเขนตัดขาของข้าทิ้งไปซะยังไม่ดีกว่ารึ?!!.."
"น๊านนนนน ประชดก็เป็นเหมือนกันนะมึง ไอ้มาดดดด!!......"

ไอ้มาดไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนกวนๆขวางโลก อย่างกับเพื่อนคนนี้อีกต่อไป มันจึงหันหลังนอนตะเเคง ให้เจ้าทุ้ยค่อยๆประคบร้อนดัวยสมุนไพร ตามเส้นตามเอ็นต่อไปเรื่อยๆ

"ใช่ใบเถาเอ็นอ่อนหรือเปล่า?..."

เจ้ามาดถามเเบบชวนคุยไปเรื่อยๆ

"ตีนเป็ดเครือ..."
"ต้นใหญ่มั๊ย?"
"ไม่ใหญ่หรอก..."
"มันเป็นต้นหรือเป็นเถา?"
"เป็นเถา..."
" เปลือกเถาเรียบสีน้ำตาลอมดำ พอแก่เปลือกจะหลุดล่อนออกเป็นแผ่นใช่มั๊ย?
"ไอ้เปรต!!ซักกูยังกะเสนาบดีกรมวัง ซะอีก!! ทางเหนือบ้านกูเรียก"ตีนเป็ดเครือ"เเต่ทางบ้านมึงจะเรียก เอ็นอ่อน เอ็นเเก่ ก็เรื่องของมึง!!..."

กล่าวจบ ไอ้ทุ้ยก็กดลูกประคบคลายเส้น ลงบนหลังของเจ้ามาดอย่างเเรง จนเจ้ามาดต้องเเอ่นหลังครางด้วยความเจ็บปวด!!...

"มึงจะเป็นห่าเป็นเหวอะไร? ก็ต้องไปต่อก่อนเเจ้ง คุณพระต้องรีบทำเวลาข้าม"หุบผาพญาไฟ"เเห่งนี้ไปให้ได้ เพราะไม่งั้น ที่นัดหมายกับท่านพระยาตากไว้ที่ด่านกบเเจะ ดงศรีมหาโพธิ จะไม่ทันกาล!!...."

"เเล้วอีกนานมั๊ย?ที่จะผ่านเเดนลึกลับอาถรรพ์เเห่งนี้ไปได้?!!.."

เจ้ามาดถามด้วยน้ำเสียงเเหบเครือ พร้อมกับค่อยๆขยับกายหันหลังกลับมา เพื่อจะได้เห็นหน้าเห็นตาของคู่สนทนาได้อย่างชัดเจน

"เห็น ไอ้กรด มันบอกกับคุณพระว่า ไม่น่าจะเกิน 2-3 วัน...."

เสียงถอนหายใจของเจ้าทุ้ยหลังจากที่กล่าวจบเเล้ว มันเป็นความเเสดงออกถึงความรู้สึกถึงความไม่มั่นใจต่อสถาณการณ์ในยามนี้เลย การผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านเป็นผ่านตายมาจนนับครั้งไม่ถ้วนของเจ้าทุ้ย ไม่เคยมีสักครั้ง ที่มันจะหวั่นวิตกกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ เพราะกระทั่งเวลานี้ มันยังไม่รู้เลยสักนิดว่า มันกำลังสู้อยู่กับอะไร?

"ไอ้มาด...ทำไมมึงถึงลอยน้ำมา?.."
"ข้าหนีงูยักษ์ ที่กำลังกกไข่ เเล้วไล่ข้าจนตกหน้าผา..."
"มึงฆ่ามันได้มั๊ย?.."

เจ้ามาดส่ายหน้าเเทนคำตอบ

"ดีเเล้ว!! ยังไงเสียมันก็คงไม่ไล่ติดตามมึงมาถึงที่นี่หรอก..."
"เเล้วเอ็งยังห่วงอะไรอีกวะ ไอ้ทุ้ย?..

ไอ้ทุ้ยเเอบถอนหายใจ ก่อนที่จะขยับ"ดาบหน้าวัว ด้ามไม้คูณตายพราย"อาวุธประจำกายของมัน ไว้อย่างเเน่นกระชับไม่ยอมห่าง

"มึงจำเสีอสมิง ที่นังเดือนยิงช่วยมึงเมื่อคืนวานก่อนเเต่ไม่ตาย จำได้เปล่า?.."
"จำได้...เเล้วไง??.."

เจ้าทุ้ยหยุดนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด

"กูว่า..มันกลับมาเอาคืนเเน่!!....."

ความเงียบสงัดของยามราตรีที่ไร้เเสงจันทร์ ได้ยินเเต่เพียงเสียงเต้นของหัวใจ จาก 2 นักรบเเห่งกรุงศรี ที่กำลังเหม่อมองออกไปจากกลุ่มกองไฟ ที่สุมไว้ใกล้มอดเต็มที มันเป็นสายตาที่บ่งบอกถึงความวิตกกังวลของทั้งคู่ อย่างเห็นได้ชัด!!.....

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

     

 

 

 

 

 

 

 

 

   

guest

Post : 2017-11-03 19:05:04.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ดาบ 2 มือ สู้จนตัวตาย!!

  

"ตำนานพระมหาเทพ!! ดาบสองมือสู้จนตัวตาย!!.."
www.arjanpong.com
#ตำนาน #พระมหาเทพ #อยุธยา #พลังภูผา
Credit : สำนักดาบวังหน้า พระนครศรีอยุธยา

ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเสียกรุงครั้งที่ ๑ ครั้งพระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่าเสด็จยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ในเดือน ตุลาคม พ.ศ 2111 ซึ่งได้เกณฑ์
ไพร่พลมาทั้งสิ้น ๕๐๐,๐๐๐ คน และต่อมาก็ได้เกณฑ์ไพร่พลมาสมทบอีก ๕๐๐,๐๐๐ คน แต่ยังมิอาจหักตีกรุงศรีอยุธยาได้
และได้สั่งจัดเตรียมไพร่พลที่กรุงหงสาวดีอีก ๕๐๐,๐๐๐ คน แต่ยังไม่ได้เดินทางออกจากกรุงหงสาวดี

ในครั้งนั้นพระเจ้าบุเรงนองได้ออกอุบาย โดยส่งพระยาจักรีผู้ซึ่งเคยเป็นแม่ทัพคนนึงของ กรุงศรีอยุธยามาเป็นไส้ศึก ซึ่งต่อมา
พระยาจักรีได้หาวิธีให้ร้ายพระศรีเสาวราชน้องยาเธอของสมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้ากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้ช่วย
อำนวยการรบกับพม่าได้อย่างเข้มแข็งว่าทรงเป็นขบถ จนในที่สุดพระองค์ได้ทรงต้องโทษถูกประหาร พระมหาเทพ
( ท่านชื่อเทพ อยู่วัดเป็นมหาและมียศเป็นคุณพระ ) แม่ทัพ ๑ ใน ๓ กองทัพของกรุงศรีอยุธยาและครูฝึกกองทหารทะลวงฟัน 
ซึ่งถือเป็นข้าเบื้องบาทของพระศรีเสาวราช แม้รู้ในอุบายของพระเจ้าบุเรงนองก็มิอาจทำอะไรได้ จึงเกิดความท้อใจและ
ไม่ต้องการเป็นข้าพระยาจักรี จึงขอลาออกจากราชการ

ต่อมาพระยาจักรีจึงได้ทำการต่างๆและเมื่อเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาอ่อนแอมากแล้ว จึงเปิดประตูเมืองให้กองทัพพม่าเข้าเมือง 
แต่เลือกเปิดประตูเมืองทางด้านของกองทัพพระมหาธรรมราชให้เข้าเมืองเพราะเห็นว่าเป็นคนไทยด้วยกันคงไม่ทำความเสียหาย
ให้้กรุงศรีอยุธยามากนักและคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองเป็นสำคัญ เมื่อกองทัพของพระมหาธรรมราชาเข้าเมืองได้
้เหล่าทหารที่ประจำเชิงเทินในด้านต่างๆ จึงเคลื่อนตรงมารับศึกทางด้านของทิศที่พระมหาธรรมราชาเข้าเมือง ต่อจากนั้น
กองทัพหงสาวดีทุกกองก็ได้ยกเข้าตีกรุงศรีอยุธยาในทุกทางทำให้เกิดโกลาหลอลม่านขึ้นภายในพระนคร

ครั้นพระมหาเทพทราบข่าวก็เข้าใจว่าพระยาจักรีเปิดประตูเมืองทางด้านของกองทัพพระเจ้าบุเรงนอง เนื่องจากเป็นทัพที่ยิ่งใหญ่
และแข็งแกร่งที่สุด พระมหาเทพจึงขึ้นช้างใช้ง้าวรบกับพม่าเรื่อยมาเพื่อไปขวางทัพของพระเจ้าบุเรงนอง ด้วยทหารเพียงไม่กี่คน
ที่มาบอกข่าว เมื่อช้างติดล่มก็ฉวยม้าจากข้าศึกจับทวนขึ้นต่อสู้กับพม่าเรื่อยมา สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่หน้ากำแพงเมืองทางด้าน
กองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง พระมหาเทพยืนอยู่ตัวคนเดียวในระหว่างซุ้มประตูกำแพงเมืองถือดาบสองมือยืนสู้ยันกองทัพพม่า
ของพระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งมีจำนวนกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน ไม่ให้เข้ากรุงศรีอยุธยาได้ เนื่องจากบริเวณซุ้มประตูกำแพงเมืองเป็นที่แคบ
ทหารพม่าเข้ามาได้เพียงครั้งละไม่เกิน ๑๐ คนเท่านั้นและสามารถป้องกันการล้อมจับและการโจมตีจากทางด้านหลังได้อีกด้วย 
และขณะนั้นทหารที่รักษาเชิงเทินด้านนั้นแทบจะไม่มเหลืออยู่ีเลย เนื่องจากไปช่วยทำศึกกับข้าศึกที่ยกเข้าไปในพระนคร 
ทำให้ทหารพม่าของพระเจ้าบุเรงนองไม่คิดจะปีนกำแพงเมืองขึ้นไปเพื่อเข้าพระนครเพราะต้องการเลี่ยงขุนศึกแห่งกรุงศรีอยุธยา
เพียงคนเดียวและไม่คิดใช้อาวุธยิงให้เสื่อมเสียขื่อเสียงและเกียรติยศของผู้ชนะสิบทิศ

การรบผ่านไปนานมาก มีแต่ศพของทหารพม่านอนตายกองสุมกันอยู่บริเวณหน้าซุ้มประตู จนต้องเก็บออกไปศพแล้วศพเล่า 
หลังจากนั้นไม่มีทหารพม่าคนใดในกองทัพของพระเจ้าบุเรงนองอีกแล้วที่กล้าเข้าไปประดาบกับพระมหาเทพ สิ่งที่ทหารพม่ากลัว
คงมาจากภาพการตายที่สยดสยองภายใต้คมดาบของพระมหาเทพ คงมาจากที่ไม่มีใครสามารถประดาบกับพระมหาเทพได้ถึง 
๓ ดาบแล้วยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้และคงมาจากสายตา น้ำเสียงและลักษณะท่าทางของพระมหาเทพที่ดุดันและทรงอำนาจ
จนสามารถสั่นคลอนจิตใจของทหารพม่าผู้เจนศึกและผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชนได้ทั้งกองทัพ

พระเจ้าบุเรงนองทรงกริ้วที่กองทหารพม่าของพระองค์ยังไม่สามารถเข้ากรุงศรีอยุธยาได้ ในขณะที่กองทัพอื่นเข้าไปได้หมดแล้ว 
ทหารจึงรายงานว่ามีทหารกรุงศรีอยุธยาเข้ามาขัดขวางกองทัพไว้และเมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทหารกรุงศรีอยุธยาที่เข้าขวาง
กองทัพของพระองค์ทั้งกองทัพนั้น มาจากทหารเพียงคนเดียว พระองค์จึงมีความสนพระทัยในตัวนายทหารผู้นั้น 
จึงเสด็จขึ้นมาดูตัวพระมหาเทพและเสด็จมาทันก่อนที่นายกองพม่าจะสั่งทหารยิงธนูและพุ่งหอกซัดเข้าใส่พระมหาเทพ

เมื่อเสด็จทอดพระเนตรพระมหาเทพแล้วจึงพูดกับทหารพม่าว่านายทหารผู้นี้ได้สิ้นชีวิตลงไปแล้ว แล้วพระองค์จึงสั่งให้ทหาร
เข้าไปเก็บศพของพระมหาเทพและเตรียมเคลื่อนทัพเข้ากรุงศรีอยุธยา แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป แม้จะต้องถูกลงอาญา
แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปในรัศมีดาบของพระมหาเทพอีก จนสุดท้ายพระเจ้าบุเรงนองจึงสั่งให้ทหารพม่าหน่วยหนึ่งถือค้อน
ปีนขึ้นกำแพงเมืองและทุบซุ้มประตูให้พังลงมาทัพร่างของพระมหาเทพ แล้วจึงสั่งให้เคลื่อนทัพเข้ากรุงศรีอยุธยา

ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองได้ให้ทหารสืบหาประวัติเกี่ยวกับพระมหาเทพและได้ให้ทหารขุดศพของพระมหาเทพขึ้นมาทำพิธีศพ
อย่างสมเกียรติเยี่ยงนักรบที่เก่งกาจและยิ่งใหญ่ที่สุดและได้ปรารพกับเหล่าทหารพม่าว่า " ตนเองแม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะสิบทิศ 
แต่ทิศที่สิบไม่ได้ของพระองค์แต่เป็นทิศของพระมหาเทพ หากตนเองต้องต่อสู้กับพระมหาเทพก็คงต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เพราะไม่ว่าตนเองจะเก่งกาจยังไงก็ไม่มีวันเอาชนะกองทหารพม่าทั้งกองทัพได้อย่างพระมหาเทพแน่นอนและถ้าหาก
,กรุงศรีอยุธยามีพระมหาเทพซักสิบคน หงสาวดีคงไม่มีวันที่จะเอาชนะกรุงศรีอยุธยาได้แน่!! "

 

 

 

 

  

 

 

guest

Post : 2017-10-31 19:18:55.0     Forum: นิยาย ตำนานนักรบกรุงศรี  >  26.ข้าขอไปด้วย

 *** ตำนานนักรบกรุงศรี..***

26.ข้าขอไปด้วย!!
ติดตามต่อได้ที่ : www.arjanpong.com

 

                   

 

"ข้าพระยาตาก จากค่ายวัดพิชัย!! จะมุ่งหน้าไปข้ามแม่น้ำที่ด่านกบแจะ เมืองปราจีนบุรี ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง"ทุ่งศรีมหาโพธิ์" มีนัดหมายกับมิตรสหายร่วมตายไว้ที่นั่น!!...."

"อ้อออออ..ท่านพระยาตาก ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมาหลายเพลาเเล้ว..."

กล่าวจบ หนุ่มใหญ่ผิวคล้ำหนวดเข้มที่นั่งอยู่บนคอช้าง ก็สอด"หน้าไม้"กลับเข้าไปยังซองหนังวัวที่อยู่ตรงซอกคอช้างไว้เหมือนเดิม ก่อนที่ชายหนุ่มรูปร่างบึกบึนทะมัดทะเเมงอีกคนที่อยู่ข้างล่าง จะลากเสียงยาวออกคำสั่งเจ้างางอนเเสนรู้ตัวนั้น

"จูนนนนนนนน..."
"อูมมมมมมม!!..."

หลังจากสิ้นเสียงสั่งของชายหนุ่มที่อยู่ข้างล่าง เจ้าช้างใหญ่เชีอกนั้น ก็ส่งเสียงสอดรับกึกก้องดังสะท้านป่า ก่อนที่มันจะงอข้อเท้าหน้า รับคนที่อยู่บนคอช้างลงมา พร้อมกับส่งตัวชายหนุ่มบึกบึนที่อยู่ข้างล่าง ขึ้นไปอยู่บนคอช้างเเทน

"ข้าขุนชำนาญไพรสนฑ์กับนายกองช้าง จากกรมทหารอาสาหกเหล่า รักษาพระนคร ดีใจที่ได้พบนักรบจากลุ่มน้ำปิง ที่ทุกคนต่างพากันร่ำลือถึงฝีมือเพลงดาบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า"พระมหาเทพ" ครูดาบชั้น 1 เเห่งกรุงศรีในอดีตเลยทีเดียว!!.."

"ไม่หรอก..อย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับครูท่านเลย..."

พระยาตากกล่าวจบ ก็ก้าวลงจากหลังม้า โดยมีหลวงราชเสน่หาเข้ามารับเชีอกม้าเเล้วจูงไปผูกใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก พร้อมกับขุนชำนาญก็นั่งลงอยู่บนเนินดินเตี้ยๆ ก่อนที่จะมีนักรบเเห่ง"บ้านนา"คนหนี่ง นำไต้ติดไฟมาปักไว้ข้างๆ พร้อมกับกระบอกน้ำยื่นส่งมาให้

"เอ้า!! กินน้ำกินท่ากันก่อนท่าน.."

กล่าวจบ ขุนชำนาญก็ได้ยื่นกระบอกน้ำไม้ไผ่ไปให้พระยาตาก เพื่อที่จะให้ได้กินก่อน ท่านพระยารับน้ำไว้ พร้อมกระดกพรวดเดียวเกือบหมดกระบอก เเล้วจึงค่อยๆนั่งอยู่ไม่ไกลจากขุนชำนาญ ภายใต้เเสง"ไต้ตามทาง"ในยามพลบค่ำ ที่ไร้ซึ่งเเรงลมโหมกระพือพัด สรรพสิ่งเงียบสงัดในค่ำคืนของท้องฟ้ายามย่ำราตรี

"ค่ายพิชัยเเตกเเล้วกระนั้นหรือ?! พวกท่านจึงพากันมุ่งหน้ามาเส้นทางสายนี้!!.."
"ยัง..ยังไม่เเตก!! ข้าเพียงหวังจะออกมารวบรวมชาวสยามใจสู้ให้ได้มากที่สุด เเล้วจึงค่อยหวนกลับไปกอบกู้กรุงศรี!!...เเล้วเจ้าล่ะ?..เหตุไฉนจึงมาหลบซ่อนอยู่ที่"บ้านนา"อย่างนี้?!!
"เอื๊อกกกกก!!..."

ขุนชำนาญเเทบสำลักน้ำที่เหลือจากกระบอกไม้ไผ่ หลังจากที่พระยาตากได้ส่งกระบอกน้ำกลับคืนไปให้ ก่อนที่ท่านขุนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

"วันพุธ เที่ยงคืน ขึ้น 1 ค่ำเดือนยี่ ปีจอ อัฐศกจุลศักราช 1128 ข้าได้รับคำสั่งจากท่านเจ้ากรมทหารอาสาหกเหล่า นำกำลัง 100 นาย เเล่นไปทางเรือหวังดักตีค่ายอังวะที่วัดท่าการ้อง ที่พวกมันบังอาจลากปืนใหญ่มาตั้งไว้หมายยิงถล่มเข้าไปในพระนคร...."

"คืนนั้น ข้าได้"หมื่นฤกษ์ มือฉมัง" ที่คนในกองทหารอาสาหกเหล่าทุกคน ยอมรับนับถือในเรื่องเวทย์มนต์คาถา มหาอุตม์ หนังเหนียว เเคล้วคลาดปลอดภัย เป็นผู้เรื่มกระทำพิธีอาบน้ำ"ว่านพญาหัวเสือ"เป็นว่านที่ได้มาจากสุโขทัย ที่"วัดตาเถรขึงหนัง"เด่นทางด้านคงกระพันชาตรี เเล้วหมื่นเเกก็เเจกว่านให้เคี้ยว พร้อมสวมใส่ผ้าประเจียดและรัดแขนด้วยว่าน เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเหล่าผู้กล้าหาญก่อนออกสู่สนามรบ!!.."

"พอได้เวลาอันเป็นมงคล พวกเราทั้งหมด ก็ลงเรือที่ท่า"ประตูมหาโภคราช"ของพระบรมมหาราชวัง ลงเรือผ่านคลองท่อ เร่งเดินทางไปยังวัดท่าการ้อง โดยมี"หมื่นฤกษ์ มือฉมัง" ถือดาบสองมือรำไปข้างหน้าเรือ ขณะที่ยังไม่ถึงวังหลังดีนัก"

"ปังงงงงง!!.."

"สิ้นเสียงปืนจากฝ่ายซุ่มโจมตีของอังวะ ร่างของ"หมื่นฤกษ์ มือฉมัง" ก็ลอยละลิ่วปลิวลงน้ำพร้อมกับเลือดเเดงฉานสาดกระเซ็นไปทั้งลำคลอง นักรบที่ผ่านพิธีอาบน้ำว่านผ่านน้ำมนต์ทั้งหลาย ต่างพากันหันฝีพายจ้ำอ้าวเข้าพระนคร โดยไม่มีใครจะรับฟังคำสั่งของข้าเลยเเม้เเต่คนเดียว!!"

"เจ้าก็เลยหลบมาอยู่ที่นี่?!.."
"อืมมมมมม...."

ขุนชำนาญตอบคำถามของพระยาตาก ด้วยน้ำเสียงที่ครางอยู่ในลำคอ เเม้จะเป็นเวลาย่ำค่ำ เเต่สายตาของพระยาตาก ก็สามารถมองเห็นหยาดน้ำใสๆบริเวณขอบตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มผู้นี้ ที่เขาพยายามเชิดหน้าขึ้น จะไม่ยอมให้มันไหลร่วงหล่นริน ออกมาได้อย่างเด็ดขาด!!

ใช่เเล้ว!! มันหาใช่หยาดน้ำใสๆที่ไหลเกลือกกลั้ว มั่วมากับความอ่อนเเอ!! เเต่นี่มันคือสิ่งที่กลั่นออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุด ต่อการเเสดงความหมายถึงอาการเจ็บใจอย่างเห็นได้ชัด!!

พระยาตากโอบไหล่ขุนชำนาญเบาๆ เพื่อให้คลายความรู้สึกปวดเจ็บที่ตรงหัวใจ ต่อสิ่งต่างๆที่ผ่านมาของขุนชำนาญ

"เอาเถิดดด..ข้าก็เคยมีความรู้สึกเช่นเจ้า เดี๋ยวค่อยคิดอ่านกันต่อไปไม่ดีกว่าหรือ? เเต่ตอนนี้ การที่เจ้าออกมาร่วมรบกับพวกของข้าเมื่อสักครู่ ข้าเกรงว่ากองกำลังอังวะที่มีกองม้าจุ่โจมทะลวงฟัน ไม่ต่ำกว่า 2,000 ก็คงจะบดขยี้"บ้านนา"ของเจ้าจนไม่เหลือซาก!!..."

"ใช่!! ข้าก็คิดเช่นท่านเหมือนกัน!!...."

กล่าวจบ ขุนชำนาญก็รีบลุกขึ้น เเล้วออกคำสั่งด้วยเสียงอันดัง

"ไอ้หมึก!! มึงรีบม้าเร็วไปบอกคนในหมู่บ้านที่เหลือ ให้ขึ้นไปหลบบน"เขาโรงช้าง" เเลจนกว่าจะเห็นพวกอังวะมันผ่านพ้นไปสัก 2-3 ราตรีเสียก่อน จึงค่อยย้อนกลับลงมา!!.."

"ส่วนพวกมึงทั้งหลาย ใครจะกลับไปหาลูกหาเมียของพวกมึงกูก็ไม่ว่า เเต่ฝากบอกกับ"อีกระถิน" เมียกูด้วยว่า กูไปทัพกับพระยาตาก ไม่ต้องเป็นห่วงกูดอก!!..."

สิ้นเสียงของขุนชำนาญไพรสณฑ์ ไอ้หมึก ก็กระตุกบังเหียน ควบตะบึงม้าเร็วเร่งจนสุดฝีเท้า เพี่อรีบไปเเจ้งข่าวให้คนในหมู่บ้านได้รู้ถึงภัยที่กำลังจะมาถึง!!

ภาพที่พระยาตากเห็นอยู่ในขณะนี้ เหล่าผู้กล้า นักรบอาสาเเห่ง"บ้านนา" ไม่มีใครขยับตามไอ้หมึก กลับเข้าไปยังหมู่บ้านเลยเเม้เเต่คนเดียว!!

"ขอบใจ..เพื่อนผู้ร่วมชีวิต มิตรผู้ร่วมตายกันทุกคน ต่อเเต่นี้จุดหมายปลายทางของเรา ก็คือการเอากรุงศรีกลับคืนมา!!.."

กล่าวจบ พระยาตากก็ก้าวกระโดดขี่หลังม้า นำหน้าผู้เเหนหวงเเผ่นดินทั้งหลาย
มุ่งหน้าสู่ตะวันออก เพื่อรวบรวมไพร่พลจนกว่าจะพร้อม หวังจะตีโต้อริราชศัตรู กู้เเผ่นดินกลับคืนมาให้จงได้!!.....

 

 

guest

Post : 2017-10-31 09:06:26.0     Forum: ข้อคิด-คำคม  >  หากจะภาวนา ก็ไม่ต้องรอ

 

            

 

 

         

 

 

           

 

          

 

 


                  "ทำกระทงขาย ไม่รู้จะขายได้หรือเปล่า? มันไม่สวย!!.."

 

       

 

            

 

 

                  

 

 

                       

guest

Post : 2017-10-30 09:16:12.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เเม้จะถูกด่าถางถางอย่างไร ก็ไม่เคยเสียน้ำตา!!

          

 

"ไม่ต้องบอกว่าลุงตู่แกรักในหลวงรัชกาลที่ 9 มากขนาดไหน" น้ำตาของชายชาติทหาร มันไม่ได้หลั่งกันง่ายๆ หากไม่เกิดจากความจงรักภักดี สุดหัวใจ กับการถวายงานครั้งสุดท้ายในชีวิต นายกฯหลั่งน้ำตา ทันทีที่ขบวนอัญเชิญพระบรมศพ เคลื่อนสู่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง . ขอบคุณคลิปจาก : ปริญญา สมศักดิ์ ช่างภาพสถานีข่าว สปริงนิวส์.....

 

 

guest

Post : 2017-10-23 10:44:34.0     Forum: นิยาย ตำนานนักรบกรุงศรี  >  25.ออกไปช่วยมัน!!

 

                                                

25.ออกไปช่วยมัน!!

www.arjanpong.com

"ไอ้นี่มันบ้า!! กูไม่เคยพบเคยเห็น มีคนเเต่เพียงเท่านี้ ริหาญหันหน้าต่อกรกับกองม้าทะลวงฟันอังวะเป็นร้อย เพี้ยนเเล้วมึง!!..."

หนุ่มวัยกลางคน ผิวคล้ำ หนวดเข้ม ที่ในขณะนี้นั่งอยู่บนคอช้างป่างางาม เเอบหลบซุ่มนิ่งเงียบอยู่ข้างทางป่าทึบ พร้อมด้วยชาวบ้านที่อาสาออกรบร่วมร้อย ที่กระจายกำลังกันอยู่ทั้ง 2 ข้างทาง ซึ่งในขณะนี้ได้เห็นภาพของพระยาตาก เเละเหล่านักรบเดนตายไม่กี่คน ได้หันกลับหลังมุ่งหน้าเข้าประจัญบาน กับกำลังส่วนหน้ากองม้าทะลวงฟันอังวะ ที่ไล่ติดตามบดขยี้มาตั้งเเต่บ้านโพธิสังหาร จนกระทั่งมาทันที่บ้านนา หวังจะหิ้วหัวพระยาตากไปฝาก"มองย่า" ผู้บัญชาการกองทะลวงฟัน มือขวาของ "เนมโยสีหปะเต๊ะ" เเม่ทัพใหญ่เเห่งค่ายโพธ์สามต้นของอังวะให้จงได้!!

หนุ่มผิวคล้ำ หนวดเข้ม ที่เเอบซุ่มนั่งอยู่บนคอช้างป่าด้วยอาการสงบอยู่ในขณะนี้ เขายอมรับเลยว่า ไม่เคยเห็นกองกำลังไหนจะบ้าดีเดีอดได้ถึงขนาดนี้? รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางที่จะชนะได้เลย เเล้วไอ้กลุ่มพวกนี้ มันมีอะไรยึดถือยึดมั่นมีค่าสูงสุดยิ่งกว่าชีวิตของพวกมัน? ถึงได้ยอมตายถวายชีวิตให้?!!

ม้าผอมๆ 4 ตัว กับนักรบที่อ่อนล้าโรยเเรงไม่กี่ 10 คน ที่ขณะนี้พุ่งเข้าปะทะกองกำลังอังวะอย่างบ้าคลั่ง อยู่ตรงกลางวงล้อมของนักรบ"บ้านนา"ของเขาพอดี เพราะก่อนหน้านี้ หน่วยเสือหมอบเเมวเซาหาข่าวของเขา ได้ส่งข่าวเเจ้งให้ทราบว่า ได้มีกองกำลังจากกรุงศรีไม่ทราบเป็นผู้ใด?กำลังมุ่งหน้าเดินทางตรงเข้ามายัง "บ้านนา"ของพวกเขา หนุ่มผิวคล้ำ หนวดเข้มคนนี้ จึงนำกองกำลังอาสาชายที่ในหมู่บ้าน ออกมาคอยตั้งรับขับไล่ เพื่อให้กองกำลังจากกรุงศรีกลุ่มนี้ หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น

"โช๊ะ!!.."

เสียงดาบในมือของชายร่างเล็ก ที่นั่งอยู่บนหลังม้าได้ฟาดฟันลงไปอย่างสุดเเรงเกิด เข้าตรงใบหน้าของนักรบหนุ่มกองม้าทะลวงฟันอังวะผู้โชคร้ายคนนั้น อย่างพอดิบพอดี!! เลือดพุ่งกระฉูดพร้อมกับร่างของมัน ก็กระเด็นร่วงหล่นจากหลังม้าในทันที!!

"สวบบบบบบ!!.."

เสียงทวนบนหลังม้า ที่กำลังเเหวกอากาศพุ่งตรงมายังทางด้านหลังของชายร่างเล็กบนหลังม้าคนนั้น บัดนี้!! เหลืออีกไม่ถึงวาก็จะพุ่งเสียบทะลุคอด้านหลังอย่างเเม่นยำเเน่นอน เเต่ทว่าชายร่างเล็กคนนั้น กลับฟุบตัวลงไปบนเเผงคอม้าทันที ปล่อยให้เจ้าทวนเพชรฆาตพุ่งผ่านเลยไปอย่างหวุดหวิด ก่อนที่เขาจะตวัดดาบกลับหลังสวนขึ้นมาทันทีทันใด โดยที่ไม่ได้หันมามอง!! เเต่ทว่าปลายคมดาบเล่มนั้น ได้เสยเข้าปลายคางของนักรบอังวะผู้โชคร้ายคนนั้นอย่างพอดิบพอดี พร้อมกับร่างของมันที่คอหวิดขาด จะค่อยๆร่วงหล่นลงมาจากหลังม้าอย่างช้าๆ พร้อมๆกับม้าที่วิ่งเตลิดเปิดเปิงอย่างไร้ทิศไร้ทาง!!

"กูว่ามึงไม่ไหวดอกว่ะ?!!.."

กล่าวจบ หนุ่มผิวคล้ำ หนวดเข้ม ก็หยิบ"หน้าไม้"ที่เสียบอยู่ตรงซองหนังวัว ข้างคอช้างขึ้นมา ก่อนที่จะดึงสายเอ็นยิง มารั้งไว้ที่สลักไก เเล้ววางลูกศรลงตรงลำกระบอกที่บากเป็นร่องยิง พร้อมกับเล็งเป้าหมายไปที่ นักรบอังวะร่างใหญ่ใส่เกราะเหล็ก คะเนว่าอยู่ห่างไม่ต่ำกว่า 80 วา ที่กำลังควบม้าสีดำตัวเขื่องพุ่งเข้าใส่ หลวงพรหมเสนา ทางด้านข้าง ที่ในขณะนี้ กำลังรบประชิดติดตัวดาบต่อดาบกับคู่ต่อสู้ โดยที่ไม่ได้ทันระเเวดระวังภัยที่กำลังพุ่งเข้าใส่ทางด้านข้าง

"อย่างมึงต้องยัดห่าด้วยไอ้นี่!!.."
"ป่อกกกก!!.."

เสียงสลักไกสับลงไปตรงลำกระบอกยิง ก่อนที่ลูกธนูจะพุ่งเข้าสู้เป้าหมายอย่างรวดเร็วและแม่นยำ!!

"ฉึกกกก!!..."
"อั๊คคคค!!

ร่างของนักรบอังวะตัวใหญ่ใส่เกราะเหล็ก บนม้าสีดำตัวเขื่อง สะดุ้งขึ้นสุดตัว!! เมื่อลูกศรจากหน้าไม้ของหนุ่มใหญ่ ที่ขี่ช้างหลบอยู่ในดงป่าข้างทาง ได้ทะลุทะลวงเสื้อเกราะเหล็กปักเข้าที่กลางยอดอกได้อย่างเเม่นยำ!! ก่อนที่ร่างใหญ่ใส่เกราะเหล็กนั้น จะร่วงหล่นจากหลังม้าลงสู่พื้นดินในทันที...

"ใครช่วยกูวะ?!!.."

หลวงพรหมเสนา ระเบิดเสียงออกมาอย่างดัง ในขณะที่กำลังตั้งรับเพลงดาบของศัตรู ที่โหมกระหน้ำรุกไล่ฟันเเทงอย่างมีชั้นมีเชิงอยู่บนหลังม้าด้วยกันทั้งคู่

"เเปร๋นนนนนน!!....."

เสียงโกญจนาทของช้างป่าที่เเผดก้องไปทั่วพงไพรในขณะนี้ นั่นคือสัญญาณการเข้าบุกโจมตีของนักรบอาสาชาว"บ้านนา" ที่เเอบซุ่มนิ่งเงียบเกือบ 100 ชีวิต อยู่ทั้ง 2 ข้างทางป่าทึบ ที่ส่งเสียงโห่ร้องดังลั่น พร้อมกับพุ่งเข้าขยี้กองกำลังอังวะอย่างเเค้นจัด
กองกำลังของพระยาตาก ที่กำลังจะเพลี่ยงพล้ำในตอนเเรก บัดนี้กลับมีพลังหึกเหิม วิ่งเข้าโรมรันพันตูผู้รุกรานอย่างไม่กลัวตายถวายชีวิต ต่างก็พุ่งกระโจนใส่เหล่ากองมัาทะลวงฟันอังวะอย่างไม่คิดเกรงกลัว ธนูไฟจากนักรบบ้านป่าดอกเเล้วดอกเล่า ที่พุ่งปักไปยังเหล่าอริราชศัตรู ร่วงหล่นจากหลังม้าดั่งกับใบไม้ร่วง!! ยิ่งหัวหน้าใหญ่ใส่เกราะเหล็กสิ้นชีพไปเเล้วด้วย ขวัญเเละกำลังใจของเหล่านักรบอังวะบัดนี้ เเทบจะไม่มีเหลือที่จะต่อสู้อีกต่อไปเเล้ว

"เเมบยูเมย พยันไล โซเต๊กวอออออๆๆๆๆ!!.."

เสียงตะโกนให้ถอยของรองหัวหน้าเหล่ามัาทะลวงฟันอังวะ ที่บัดนี้ได้สั่งบัญชาการให้ทุกคนถอยร่นกลับไปก่อน เพราะในเวลาย่ำค่ำอย่างนี้ ไม่สามารถจะล่วงรู้หรือคาดคะเนได้เลยว่า กองกำลังที่ดักซุ่มอยู่ข้างทาง มีมากน้อยสักปานใด

"เเปร๋นนนนน!!...."

เสียงเเผดร้องของเจ้าพลายป่างางาม ที่ตะโกนกึกก้องร้องไล่ม้าตัวสุดท้ายของกองทะลวงฟันอังวะ ที่ห้อตะบึงกลับหลังหัน ควบหนีอย่างไม่คิดชีวิต!!

ทัพของพระยาตากที่เหลือ ต่างก็พากันลดอาวุธเเล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวหมดเเรง ในขณะที่หลวงพรหมเสนา กับหลวงพิชัยอาสา ได้กระโดดลงจากหลังม้า รีบไปดูอาการของเหล่าเพือนที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ว่ามีใครเป็นอะไรกันบ้าง ในขณะที่ พระยาตาก กับ หลวงราชเสน่หา ยังคงนั่งอยู่บนหลังม้า ประจันหน้าอยู่กับ หนุ่มใหญ่ ผิวคล้ำ หนวดเข้ม ที่นั่งอยู่บนคอช้างพลายป่างางาม ห่างกันไม่ถึง 10 วา

"ข้าขอขอบใจ ที่เจ้าได้ออกมาร่วมรบเมื่อสักครู่ พวกเจ้าเป็นใคร? มาจากบ้านไหน?.."

พระยาตาก เอ่ยทักทายด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย เเต่สายตาประกายเเวววาวด้วยเเสงเเห่งความเป็นมิตร

"เเล้วพวกมึงล่ะเป็นใคร? จะไปไหน?!!...."

เสียงของ หนุ่มใหญ่ ผิวคล้ำ กล่าวตอบเเละถามมาด้วยน้ำเสียงอันดัง ด้วยสายตาเเห่งความหวาดระเเวง เเสดงอาการไม่ไว้ใจอย่างเห็นได้ชัด!!.......

 

guest

Post : 2017-10-20 13:25:56.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เเม่ครับ ผมขอโทษ!!

   

 

 

ผู้สื่อข่าว onbnews จ.นครปฐม รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันที่ 18 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา สภ.โพธิ์แก้ว อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม  ได้รับแจ้งมีเด็กนักเรียนตกจากที่สูง อาคารเซ็นฟรัง โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์ หมู่6 ตำบลท่าข้าม อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ลงมานอนแน่นิ่ง  จึงแจ้ง ร.ต.ท.กมลภพ หาญเวช  สารวัตรเวร สภ.โพธิ์แก้ว และเจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ๊งเขตชานธน รีบไปที่เกิดเหตุ พบมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นนักเรียนชาย (ขณะนั้นยังไม่เสียชีวิต) สวมใส่เสื้อนักเรียนสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน นอนสลบนิ่งอยู่กับพื้นข้างอาคาร เจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ๊งช่วยกันปฐมพยาบาลและพบชีพจรอ่อนมากจึงรีบทำ(CPR)ปั้มหัวใจ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก่อนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิชัยเวชอ้อมน้อย เดินทางมาพร้อมกับรถกู้ชีพ ดำเนินการปั้มหัวใจต่อจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ๊งและรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลวิชัยเวช แต่สุดยื้อชีวิตไม่เป็นผลนักเรียนชายได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ทราบชื่อคือ นายปริเยศ หรือโปร  ไม่ทราบนามสกุล อายุประมาณ16 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4  โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์

 

เบื้องต้นจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุของสารวัตรเวรสภ.โพธิ์แก้วบนชั้นที่6ของอาคารดังกล่าวพบจดหมายลาตาย1ฉบับ และโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตวางอยู่  ตรงหน้าต่างกระจกชั้นที่ 6 ถูกเปิดออก ซึ่งคาดว่าเป็นช่องที่ผู้เสียชีวิตกระโดดหรือพลัดตกลงมา 

 

 

และจากการสอบถามเพื่อนนักเรียนทราบว่า ปกติหลังเลิกเรียนประมาณ 17.30 น. ก็จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเดินตรวจสอบภายในอาคาร ก่อนจะปิดห้องทั้งหมด ส่วนเพื่อนนักเรียนที่เสียชีวิต อาจจะแอบซ่อนตัวในห้องเรียน โดย ก่อนเกิดเหตุนักเรียนที่เสียชีวิต ยังถ่ายภาพด้านนอกอาคารลงอินสตาแกรมส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้เขียนอะไรลงอินสตาแกรม ซึ่งทางด้านสารวัตรเวรสภ.โพธิ์แก้วคงต้องสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องและผู้ใก้ลชิด ก่อนจะสรุปหาสาเหตุว่านักเรียนที่เสียชีวิต กระโดดหรือพลัดตกลงมา  เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

처음 이전 ... 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>