Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2018-05-19 10:09:18.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  สู่ฝัน...จันทรา ธีรวรรณ

 

" เดี๋ยวเเกเข้าไปนะ...."
 
เสียงของเด็กผู้หญิงสองคน ที่ยืนเเอบกระซิบกระซาบกันเบาๆอยู่ไม่ห่างจากเเผงเเม่ค้าขายไข่ในตัวตลาดสด อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย พอจับใจความได้ว่า ให้คนตัวเล็กกว่าเข้าไปหาเเม่ค้าขายไข่คนนั้น
 
" พี่หมานเเหละเข้าไป เมื่อวานหนูก็โดนตะคอกมาทีเเล้ว..."
 
เจ้าตัวเล็กก้มหน้าก้มตาไม่ยอมก้าวขาท่าเดียว ผู้เป็นพี่สาววัย 11 ขวบก็ได้เเต่ถอนหายใจดังๆ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี นึกไม่ออกจริงๆ เพราะติดหนี้ไข่ของเเม่ค้าเจ้านี้บัญชียาวจนเป็นหางว่าว ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีปํญญาหาเงินมาใช้คืนเขาได้ เอาน่ะ...เป็นไงก็เป็นกัน...หลายปากหลายท้อง พี่ๆน้องๆยังคอยเราอยู่.....
 
" กูให้มึงเป็นครั้งสุดท้ายอีหนู!...เเล้วบอกเเม่ของมึงด้วยว่าสิ้นเดือนนี้ไม่จ่าย กูจะเเจ้งตำรวจให้ลากคอเอาไปเข้าคุก!!....."
 
ด.ญ สมาน กังวาล ยืนก้มหน้าฟังเสียงเเม่ค้าตะคอกใส่ด้วยเสียงอันดัง เอื้อมมือไปรับไข่เป็ดสองใบจากเเม่ค้าเเล้วรีบจูงมือน้องสาวออกจากตลาดทันที....น้ำใสๆเอ่อไหลออกจากตามาเมื่อไรก็ไม่รู้ ภาพของเเม่ที่เป็นหญิงเเก่ๆที่ไม่ได้เรียนหนังสือคนหนึ่ง ที่มีลูกเก้าคน ต้องตื่นตั้งเเต่ตีสอง เพื่อไปเก็บผักบุ้ง หรือรากบัว เอาไปมัดเป็นกำๆเเล้วก็ออกเร่ขายตามที่ต่างๆจนกว่าตะวันจะตกดิน รายได้ไม่เคยได้เกินยี่สิบบาทเลยสักวันเดียว....
 
พ่อเขาเเยกออกไปมีครอบครัวใหม่ตั้งเเต่เธออายุยังไม่ถึงสองขวบ โดยที่เอารถกระบะไปด้วย เหลือเเต่บ้านให้ลูกเมียได้ซุกหัวนอนได้ไม่กี่วันเพราะเเม่ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาผ่อนต่อ ก็เลยถูกธนาคารยึดไล่ให้ออกมา เเม่ต้องกอดลูกเก้าคนไปสร้างกระท่อมเล็กๆพักอาศัยอยู่ที่ท้ายทุ่งหากินไปวันๆ...สงสารเเม่เหลือเกิน...ไม่มีสักครั้งที่จะเคยเห็นเเม่กินข้าวอิ่ม เเม่จะเป็นคนสุดท้ายเสมอที่ได้กินข้าว หลังจากเมื่อเห็นลูกทุกคนได้กินกันหมดเเล้ว
 
เเม่หนูน้อยเป็นลูกคนที่เจ็ด เมื่อถึงกำหนดต้องเรียนหนังสือ เธอไม่เคยมีรองเท้าใส่ไปโรงเรียนเลยเเม้เเต่คู่เดียว ข้าวกลางวันไม่ต้องพูดถึง ปฎิเสธเพื่อนๆเสมอว่าไม่หิวให้กินกันไปก่อนเหอะไม่ต้องมาเป็นห่วง เเล้วเเม่หนูน้อยก็จะหลบไปนั่งฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะหลังห้องเพื่อข่มตาหลับดับความหิว รอจนกว่าจะถึงเวลาเรียนในช่วงบ่าย วันไหนโชคดี ครูประจำชั้นท่านเวทนา ก็จะให้ไปบีบไปนวดเเล้วให้เเม่หนูน้อยร้องเพลงให้ฟังด้วย เเล้วเธอก็จะร้องเพลง ต.ช.ด ขอร้อง ของ เพชร โพธาราม ให้ฟังทุกครั้งไป เพราะครูชอบ เเละก็จะได้ค่าขนมครั้งละสลึงทุกที
 
จากการที่เป็นเด็กที่สนใจในการร้องเพลง จึงมักได้รับโอกาสได้ไปร้องหน้าชั้นเรียนอยู่เสมอ เเละที่ข้างๆโรงเรียน ก็จะมีบ้านของคณะลิเกตั้งอยู่ใกล้ๆ เวลาว่างหรือวันเสาร์วันอาทิตย์ เเม่หนูน้อยก็จะมาเฝ้าดูเเละจดจำการร้องการรำจนขึ้นใจ ไปฝึกเอง ร้องเอง รำเองจนชำนาญ ก็คิดอยากจะเป็นลิเกหรือไม่ก็นักร้องให้ได้ เพราะความรักเเม่สงสารเเม่ จะได้ให้เเม่ได้พักผ่อนเสียที
 
จนกระทั่งได้ยินเสียงโฆษณาในวิทยุทรานซิสเตอร์ของลุงชัชเจ้าของคณะลิเกที่หยุดพักการซ้อมในวันนั้น โดยในรายการได้ประกาศเเข่งขันการประกวดร้องเพลงประจำปีของจังหวัดสุโขทัย โดยผู้ชนะเลิศจะได้ทองคำหนัก 1 สลึง เงินสด 2500 บาท พร้อมทั้งข้าวสารอีก 1 กระสอบ เป็นรางวัล...ข้าวสาร 1 กระสอบ โอวววว เเม่จ๋า..จะช่วยยืดชีวิตให้กับพวกเราได้อีกหลายวันเลยทีเดียว
 
" พรุ่งนี้...เราจะต้องขอเเม่เเล้วล่ะ......"
" ขออะไรเเม่เหรอพี่หมาน?...."
" เปล่าจ๊ะเปล่า...ไม่มีอะไรหรอก...เรารีบเดินกันเหอะ....."
 
สองพี่น้องจูงมือกันเดินอย่างรีบเร่ง โดยที่น้องสาวประคองกอดถุงไข่ใบเล็กๆอย่างทนุถนอม ราวกับเป็นสิ่งของที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต ณ.เวลานั้น....... หยาดน้ำตาของผู้เป็นพี่บัดนี้เเห้งเเล้ว มีเเต่เเววตาที่มุ่งมั่นพร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามทั้งปวงให้สมกับที่เธอตั้งใจไว้ ว่าชีวิตนี้จะเอาดีทางการเป็นนักร้องให้ได้
 
" เเม่จ๋า...รออีกนิด หนูจะไม่ให้เเม่ลำบากอีกต่อไปเเล้ว...หนูสัญญาจ๊ะเเม่......."
 
เเม่หนูน้อยตัวเล็กๆจากสวรรคโลกคนหนึ่ง เเอบให้สัญญากับใจเงียบๆว่าเธอจะต้องทำได้...เธอจะต้องทำให้ได้......................

 

guest

Post : 2018-05-19 09:38:18.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  พ่อครูครับ!! ผมขอโทษ!!

 

พ่อครูครับ!! ผมขอโทษ!!...
www.arjanpong.com
#ลูกทุ่ง #พรศักดิ์ส่องเเสง #พลังภูผา

 

" ไอ้สมเอ้ยยย...พ่อฝากวงด้วยนะลูก..........."

เสียงเเหบพร่าของผู้เฒ่า รักษ์ วัฒนา หรือครูคำหอม นักร้องนักเเต่งเพลงชื่อดังของจังหวัดอุดรธานี ที่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเเผ่วเบาเเละเเหบพร่า นัยน์ตากำลังใกล้จะปิดอีกไม่ถึงอึดใจข้างหน้าเเล้ว ได้กล่าวฝากฝังวงดนตรีหมอลำที่เปรียบเสมือนเเก้วตาดวงใจของพ่อเฒ่า ฝากไว้ให้กับลูกศิษย์ก้นกุฎิ ที่พ่อเฒ่ารักเเละผูกพันธ์เปรียบเสมือนกับลูกเเท้ๆก็ไม่ปาน ให้ดูเเลรักษาไว้จนสุดความสามารถ

 

" ครับ พ่อครู........"

เสียงเจ้าสม กระซิบที่ข้างหูของครูเฒ่าเบาๆ รอยยิ้มที่มุมปากเล็กๆปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าของครูคำหอมอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ร่างนั้นจะสะอึกสะดุ้งสุดตัวเเล้วลมหายใจเฮือกสุดท้ายของครูเฒ่าก็ล่องลอยจากไป ทิ้งไว้เเต่เพียงตำนานบอกกล่าวเล่าขานถึงความยิ่งใหญ่ของครูตลอดไป

 

เจ้าสม หรือ บุญเสาร์ ประจันตะเสน เด็กหนุ่มจากบ้านโนนสมบูรณ์ อำเภอบ้านไผ่ ขอนเเก่น กราบศพพ่อครูด้วยน้ำตาที่ไหลอาบเเก้มทั้งสองข้าง เขาปลีกตัวออกมาจากห้องของพ่อครู หลบมานั่งอยู่ใต้ซุ้มกอไผ่ที่อยู่หน้าบ้านตั้งเเต่เมือไรก็ไม่รู้ เสียงสะอึกสะอื้นที่ลอยมาจากในบ้านมันช่างเสียดเเทงจิตใจของเขาเป็นยิ่งนัก

 

ภาพความหลังที่ยังอยู่บ้านเกิดเขายังจำติดตา พ่อเฮา เเม่เเว่น ประจันตะเสน กับลูกๆ 6 คน เขาเป็นคนที่ 2 กับสภาพความเป็นอยู่ที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้านก็ว่าได้ นาที่ทำก็เช่าเขา พอถึงนาเเล้งนาล่มก็ไม่เหลืออะไรเลยเเม้กระทั่งข้าวสารจะกรอกหม้อ ก็เลยต้องพากันอพยพครอบครัว 8 ชีวิต มาอาศัยอยู่กับยายที่บ้านหนองหญ้าลังคา ตำบลปะโค อำเภอกุมวาปี อุดรธานี เเล้วก็มาเรียนหนังสืออยู่ที่นี่จนจบ ป.4 ก็ไม่ได้เรืยนต่อ ช่วยพ่อเเม่ทำนาอยู่ที่นั่นอีกหลายปี สลับกับหารายได้พิเศษด้วยการชกมวยตามเวทีต่างๆจนนับไม่ถ้วน เรื่องใจล่ะไม่ต้องห่วง ใจถึงพึ่งได้.....

 

จนกระทั่งมาเป็นทหารประจำการอยู่ที่อุดร เมื่อปลดประจำการเเล้ว เขาก็ได้มาสมัครเป็นคอนวอยอยู่กับวงของครูคำหอม ตั้งเเต่ปี พ.ศ 2521 หนักเอาเบาสู้กินนอนอยู่บนรถขนเครื่องนั่นเเหละ กว่าครูจะให้บันทึกเเผ่นเสียงครั้งเเรกก็ปาเข้าไปเกือบ 3 ปี เพลงชุดเเรกในชีวิตคือชุด เสือสำนึกบาป ในปี พ.ศ 2524 เเล้วครูก็ตั้งชื่อไว้ให้ว่า พรศักดิ์ ส่องเเสง มาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้....

 

หลังเสร็จงานศพของพ่อครูเป็นที่เรียบร้อย เจ้าสมก็ได้รับตำเเหน่งหัวหน้าวง"เเชมป์อิสาน"สืบทอดต่อไป ทั้งๆที่เขาไม่เคยคิดปราถนาตำเเหน่งนี้เลยเเม้เเต่น้อย เพราะนิสัยที่เเท้จริงของเขาเเล้วเป็นคนไม่ค่อยพูดเเละขี้เกรงใจเป็นที่สุด เเต่เขาก็ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับสมบัติของพ่อครูอย่างเต็มที่ ค่าน้ำมันรถอย่างต่ำ 8,000 บาท ในเเต่ละวันมันไม่ใช่น้อยๆเลย ถ้าวันไหนเก็บเงินได้ไม่ถึง 40,000 บาท

เป็นอันว่าวันนั้นเขาขาดทุนคนเดียว เเต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เขาพอทนได้ เเต่ที่ไม่ไหวจริงๆก็คือ ลูกน้องไม่มีใครเกรงใจเขาเลยสักคนเดียว ตบะ เดชะ บารมี สู้พ่อครูคำหอมไม่ได้...โดยเฉพาะนักดนตรีเเทบทุกคน ล้วนเเต่เข้ามาอยู่ในวงก่อนเขากันทุกคน

 

" ลุงหนั่น....ลุงเเดง มือกลองล่ะ?.......

" อ๋อ..ไอ้เเดงน่ะเหรอ...มันเมาเเอ๋นอนอยู่บนรถบัสนั่นเเหละไอ้สม เดี๋ยวสักพักมันก็คงจะตามขึ้นมาเล่นเองนั่นเเหละ....."

 

ลุงหนั่น มือทรัมเป็ตของวง ที่ยืนเเอ่นไปก็เเอ่นมากลิ่นเหล้าขาวหึ่มอยู่หลังเเสตนท์หน้าเวที ได้ตอบคำถามประจำวันให้กับเจ้าสมได้ฟังที่งานประจำปี อ.สตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งวงของเขาได้มาทำการเเสดงเป็นคืนเเรกของที่นี่...เจ้าสมนิ่งอย่างไม่มีคำต่อล้อต่อเถียง...นี่มันอะไรกัน...เหนื่อยกายไม่ว่าเเต่ต้องมาเหนื่อยใจนี่ซิมันช่างเจ็บปวดรวดร้าวเสียนี่กระไร เขาเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเงียบๆอยู่ที่หลังเวทีคนเดียว รอเวลาที่โฆษกเวทีจะประกาศพบกับหัวหน้าวงต่อไป สายตาที่มองออกไปอย่างไร้จุดหมายที่บนท้องฟ้าที่กลุ่มเมฆก้อนใหญ่กำลังบดบังเเสงจันทร์อยู่พอดี เขาพยามเงยหน้าไว้เพื่อมิให้หยดน้ำใสๆที่มันกำลังจะรินไหลออกมาให้อับอายขายขี้หน้าว่าเป็นคนอ่อนเเอ

 

" พ่อครูครับ...ผมทุ่มเทสุดชีวิตเเล้วครับ...ผมขอโทษ.............."

หลังการเเสดงในชุดสุดท้าย พรศักดิ์ ส่องเเสง ก็ประกาศยุบวงดนตรีของเขาต่อหน้าผู้ชมเเละทีมงานของเขาในค่ำคืนนั้นนั่นเอง!!............

 

 

 

guest

Post : 2018-05-13 09:28:49.0     Forum: นิยาย ตำนานนักรบกรุงศรี  >  31. อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด!!

 

31.อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด!!
www.arjanpong.com.
#ตำนาน #นักรบกรุงศรี #อยุธยา #พลังภูผา

 

 

                          

 

 

เจ้าทุ้ยวิ่งไปเก็บดาบของมันที่ตกอยู่ข้างหน้า ก่อนจะดีดตัวเองไปทางซ้าย โกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต!! ตามหลังติดๆมาด้วยงวงของ"ไอ้งาดำ"ที่โกญจนาท เสียงดังกึกก้องเเผดเสียงร้องลั่นป่า ห่างไม่ถึงสามวาเสียด้วยซ้ำ!!

 

"พ่อแก้วแม่เเก้ว ช่วยลูกช้างด้วย!!..."
" แปร๊นนนนน!!..."
"มึงจะร้องทำห่าอะไรวะ?!!.."

 

เสียงของเจ้าทุ้ยสบถอยู่ในลำคอ ในขณะที่ลมร้อนๆจากปลายงวงของเจ้างาดำ ก็วิ่งไล่จี้ติดตามหลัง หายใจรดต้นคออยู่ใกล้ๆห่างไม่ถึงห้าคืบ เท้าไวเท่าความคิด เจ้าทุ้ยหักหลบขวาวิ่งขึ้นเนินที่อยู่ตรงหน้าทันที เพราะสัญชาตญาณบอกให้รู้ในเสี้ยววินาทีเป็นวินาทีตายในขณะนั้นว่า ขืนมันยังดันทุรังวิ่งตรงไปข้างหน้าอยู่อีก เนื้อหนังของมันก็คงจะถูกฉีก กระซวกเเทง โดนเหยียบกระทืบจนเละเทะอย่่างไม่ต้องสงสัย??

กำลังวังชามีอยู่เท่าไร ใส่โกยเเนบอย่างไม่คิดชีวิต จุดหมายปลายทางก็คือเนินเขาเตี้ยๆ ที่หลานสาวของมันกำลังวิ่งขึ้นไปยังซอกหินเล็กๆ ที่มีใยสีขาวๆปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณนั้นเต็มไปหมด

 

"ฉิบหายเเล้วมึง!!.."
"อีหนู!!..มึงอย่าเข้าไปในนั้นนะโวัยยยย!!.."

 

เจ้าทุ้ยวิ่งตะโกนร้องเสียงหลง!! เมื่อเห็นหลังไวๆของหลานรัก เดินเเหวกใยขาวๆที่ปกคลุมไปทั่วระหว่างซอกหินเล็กๆนั้น ก่อนที่จะเเทรกร่างของเธอ หายวับเข้าไปข้างใน ในช่วงเวลาที่ฟ้ากำลังเริ่มจะสางพอดี

 

"เฮ้ยยยยยยย!! หลุมต่อ!!...."

เจ้าทุ้ยตะโกนขึ้นยังไม่ทันสุดเสียง ร่างของมันก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมขนาดใหญ่เกินกว่าสิบวา ลึกเกิอบจะท่วมหัว ที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้เเละกิ่งไม้เเห้งๆ ที่ปิดปากหลุมขนาดใหญ่เอาไว้อย่างหยาบๆ

 

เป็นเรื่อง!! "ต่อเสือยักษ์"นับเเสนที่กำลังนอนหลับอยู่ภายในหลุม ต่างก็พากันบินกรูออกมาจากหลุม ด้วยอาการตกใจเเละโกรธเเค้น!!

 

"เเปร๊นนนนนนน!!..."

 

"ไอ้งาดำ" ที่ขณะนี้ได้หยุดกึกกก!! อยู่ตรงขอบปากหลุม"ต่อเสือยักษ์" ได้เเผดเสียงร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวดทรมาน หลังจากถูกฝูงต่อมหาประลัย รุมตีรุมต่อยเจ้าตัวจ่าโขลงหัวหน้าใหญ่ พร้อมกับบริวารของมันร่วมสามสิบเชีอกอย่างอาฆาตเเค้นเอาเป็นเอาตาย เพราะเข้าใจว่าพวกนี้มารบกวนเเละเป็นอันตรายต่อรังของมัน จนพวก"ไอ้งาดำ" จำต้องถอยร่นอย่างไม่เป็นขบวน เจ้าช้างป่าที่ดุร้ายเหล่านั้น ต่างก็ใช้งวงปัดไปปัดมาอย่างรุนเเรงเเละสะเปะสะปะ เพราะพิษสงจากเหล็กในของเจ้า"ต่อเสือยักษ์"นั้น มันมีพิษอย่างรุนเเรงเเละเฉียบพลัน อันตรายจนถึงตายได้!!

 

"ต่อ"จะมีพิษสงร้ายกว่า"ผึ้ง"ตรงที่ต่อตัวหนึ่งสามารถต่อยเหยื่อได้หลายครั้ง ขณะที่ผึ้งจะต่อยเหยื่อได้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งเหล็กในฝังไว้บนตัวเหยื่อ เเละความดุร้ายอาฆาตเเค้นของ"ต่อเสือ"นั้น ถ้าเหยื่อหรือศัตรูไม่ล้ม อย่างหวังเลยว่าพวกมันจะหยุดการโจมตี!! ซึ่งบัดนี้ เจ้าช้างป่าเเต่ละเชือกต่างก็พากันวิ่งหนีเเตกกระเจิงไปทุกทิศทุกทาง พร้อมส่งเสียงเเผดร้องก้องป่าอย่างเจ็บปวดโหยหวน โดยมีเจ้า"ต่อเสือยักษ์"ที่กำลังโกรธเเละอาฆาตเเค้น ไล่บินตามต่อยตามตีช้างป่าเเต่ละเชือก ที่กำลังวิ่งหนีอย่างไม่ลดละ!!

 

"เดือน" หลานสาวคนสู้ของเจ้าทุ้ย บัดนี้..ได้เดินเเหวกใยขาวๆที่ปกคลุมระหว่างซอกหินซอกเล็กๆนั้นเข้าไป ซึ่งมันเป็นช่องเเคบๆขนาดไม่เกิดสองศอก ที่เด็กสาวพอจะเบี่ยงตะเเคงก้าวเข้าไป เพื่อหลบหนีจากการไล่ล่าของ"ไอ้งาดำ"ได้

 

"ข้างในมีลมพัดออกมาด้วย??..."

 

เด็กสาวบ้านป่าอดที่จะเเปลกใจไม่ได้ว่า ซอกหินเล็กๆขนาดนี้ที่อยู่ตีนเขา มันจะเป็นโพรงหรือจะเป็นถ้ำได้อย่างไร?? ถ้าใช่ นั่นก็เเสดงว่าตรงนี้ไม่ใช่ปากถ้ำ!!

ด้วยความสงสัย สาวน้อยบ้านป่าก็ค่อยๆเบี่ยงตะเเคงก้าวเขยิบเข้าไปข้างใน ไม่นานนักเธอก็โผล่เข้ามายืนอยู่ริมผนังภายในถ้ำที่ไม่สูงเท่าใดนัก ลมเย็นๆที่ว่า มันพัดออกมาจากตรงนี้นี่เอง เธอค่อยๆหันหลังเเล้วปีนลงมายังพื้นถ้ำอย่างช้าๆ

 

เเสงเเดดยามเช้าตรู่ ที่สาดส่องเเสงสว่างไปทั่ว นั่นก็เเสดงว่าปากถ้ำก็คงจะอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก เเสงระยิบระยับที่ส่องสกาวอยู่ตามหินงอกหินย้อยเเละผนังถ้ำ ดูช่างสวยสดงดงาม วิจิตรตระกาตาเสียเหลือเกิน เเต่ที่มันน่าสยดสยองเเละชวนขนลุกขนพองเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือที่บริเวณพื้นถ้ำ จะมีซากกระดูกเเละชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตหลายๆโครงกระดูก ที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นผิวของถ้ำมากมายก่ายกองเต็มไปหมด รวมทั้งกระโหลกศรีษะของมนุษย์ที่มองเห็นฟันกรามได้อย่างชัดเจน

 

ด้วยสัญชาตญาณ เธอค่อยๆเอื้อมมือไปดึงดาบ"กั่น"สั้น "ด้าม"ยาว ที่อยู่ในฝักขัดไว้ข้างหลังใกล้ชิดติดกับซองธนู ออกมาอย่างช้าๆ ด้วยสายตาที่เฝ้าระวังภัยอย่างเต็มที่ เพราะสถานที่เเละบรรยากาศเเบบนี้ ลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้น มันบอกชัดเลยว่า ที่นี่ล่ะ อันตรายกว่าอยู่ข้างนอกเสียอีก!!..

 

"กัสสสสสส!!....."
"ฟู่ฟฟฟฟฟฟ!!.."

 

สิ้นเสียงประหลาดที่ดังขึ้นเบาๆจากมุมถ้ำทางซ้ายมือของเธอ ก็ปรากฎว่ามียางเหนียวๆหยาบๆสีขาว ลอยละลิ่วปลิวละล่อง ตกลงมาห่อหุ้มคลุมร่างของเธอจนท่วมเต็มไปหมด!! เเล้วไอ้ยางเหนียวๆนั้น มันก็เเห้งเเข็งตัว หดยึดรั้งร่างของเธอเอาไว้ จนกระดิกพลิกตัวเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้!!

 

คุณพระช่วย!! ภาพที่เธอได้เห็นอยู่ตรงหน้าอยู่ในขณะนี้ มันทำให้เเม่สาวน้อยนักรบบ้านป่า ต้องตกตะลึงพึงเพริด หัวใจเเทบจะหยุดเต้นลงไปในขณะนี้เสียให้ได้!! สิ่งที่ทำให้เธออ้าปากตาค้าง มันกำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาหาเธอ ที่ในขณะนี้ถูกเจ้าใยเหนียวๆสีขาว ร้อยรัดมันตรึงอยู่กับที่ไว้อย่างเเน่นหนา ซึ่งเธอพยายามสบัดตัวอย่างเเรง ก็ไม่มีทางที่จะทำให้หลุดพ้นจากอันตรายที่อยู่ตรงหน้าในขณะนี้ไปได้!!...

 

"พ่อจ๋า เเม่จ๋า...."

 

สาวน้อยบ้านป่า ลูกกำพร้าจากเมืองระเเหง เเขวงเมืองตาก เอ่ยขึ้นเบาๆก่อนที่จะค่อยๆหลับตาลง พร้อมกับน้ำใสๆที่ไหลเอ่อล้นจากดวงตาทั้งคู่ เหมือนล่วงรู้ว่าวาระสุดท้ายของชีวิต ได้มาถึงเเล้ว........

 

 

 

guest

Post : 2018-03-06 14:29:58.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  "ข้าขอตายอย่างชายขาติทหาร!!  จะยืนหยัดต่อสู้จนดาบสุดท้าย!!.."

 

 

 

"ข้าขอตายอย่างชายขาติทหาร!! 
จะยืนหยัดต่อสู้จนดาบสุดท้าย!!.."
www.arjanpong.com
#พระนารายณ์ #พระยายมราช #อยุธยา #พลังภูผา

 

พระยายมราชสังข์นี้ เป็นนักรบแขกเพื่อนคู่หูกับพระยารามเดโช การที่ทั้งสองคนเป็นกบฎไม่ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ก็เป็นการแสดงอารมณ์และความประพฤติแบบแขกอยู่สักหน่อย คือมุทะลุใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล

 

ทั้งสองถือตนว่า เป็นทหารเอกของพระนารายณ์มาก่อน เมื่อได้ข่าวว่าพระเพทราชาและพระเจ้าเสือแย่งชิงราชสมบัติก็โกรธแค้น ไม่ยอมเข้ามาถือน้ำพิพัฒน์สัตยาเช่นขุนนางอื่นทั้งหลาย ทระนงในเกียรติยศของตน ถือมั่นในอุดมคติว่าเมื่อตนจงรักภักดีต่อสมเด็จพระนารายญ์มหาราชมาตลอดชีวิต ก็จะไม่ยอมเปลี่ยนมารับใช้ผู้ที่ทรยศกับพระองค์ จึงแข็งเมืองทั้งสองขึ้นทันที

ทั้งพระยารามเดโชและพระยายมราชสังข์นั้น เป็นนักรบแขกนิสัยร้อนรุนแรงมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ยังมีชีวิตอยู่ เล่าไว้ในประวัติศาสตร์ว่า

 

ที่ทั้งสองถูกส่งไปครองเมืองราชสีมา และศรีธรรมราช ก็เพราะสมเด็จพระนารายณ์ไม่สามารถเก็บไว้ในกรุงศรีอยุธยาได้ สมัยที่เจ้าพระยาโกษาเหล็กท่านยังเป็นอัครมหาเสนาบดีอยู่ ยอดทหารแขกทั้งสองนี้ มีความเคารพนับถือและเกรงอกเกรงใจท่าน แต่เมื่อเจ้าพระยาโกษาเหล็กถึงแก่กรรม ก็ไม่มีใครคุมแขกทั้งสองนี้อยู่ได้ เพราะเฮี้ยวมาก และเกลียดชังเจ้าพระยาวิชเยนทร์อัครมหาเสนาบดีฝรั่งชาวกรีก จึงต้องส่งออกไปครองเมืองที่ห่างไกล

 

เหตุผลที่พระยายมราชสังข์ และพระยารามเดโชโกรธแค้นเกลียดชังเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ก็เพราะท่านผู้นี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าพระยาโกษาเหล็กต้องเสียชีวิต

 

เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งเจ้าพระยาวิชเยนทร์กราบทูลแนะนำให้สมเด็จพระนารายณ์สร้างป้อมปราการแบบตะวันตก ตามเมืองสำคัญต่าง ๆ ในกรุงสยามเพื่อเป็นการป้องกันราชอาณาจักร เจ้าพระยาโกษาเหล็กซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีและแม่ทัพเอกคัดค้านว่าไม่เห็นด้วย เพราะท่านห่วงว่าหากศัตรูยกทัพมาล้อมป้อม ทหารไทยประจำอยู่ข้างในก็จะอดตายภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์

 

สมเด็จพระนารายณ์ทรงโกรธเจ้าพระยาโกษาเหล็ก หาว่าท่านพูดเช่นนั้นเพราะพยายามปกป้องคุ้มครองคนไทยที่จะต้องถูกเกณฑ์ตัวไปสร้างป้อม กล่าวว่าท่านกินสินบนจากคนเหล่านี้ แล้วจึงรับสั่งให้เฆี่ยนเจ้าพระยาโกษาเหล็กเสีย เหตุการณ์นี้ บาทหลวง เดอ เบซ บันทึกไว้ละเอียดว่า

 

“การโบยหลังนั้น เป็นวิธีทำโทษที่พบบ่อยในกรุงสยาม แต่ขุนนางชั้นสูงจะถูกเฆี่ยนก็ต่อเมื่อได้กระทำความผิดที่ร้ายแรง นักโทษจะถูกเปลือยกายลงมาถึงเอว มือทั้งสองจะถูกขึงห้อยไว้เหนือศีรษะระหว่างที่หลังถูกเฆี่ยนด้วยหวายมัดเชือก จะถูกโบยกี่ทีนั้นขึ้นอยู่กับความหนักของโทษ แต่มักโบยกันจนผิวหนังหลุดลอกออกจากหลังหมดสิ้น

 

พระคลัง (คือเจ้าพระยาโกษาเหล็ก) ท่านถูกโบยมากมายหลายครั้ง ความต้องทนทุกข์ทรมานกาย บวกรวมกับความชอกช้ำละอายใจ ทำให้ท่านถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ และเจ็บหนัก ท่านมิได้โทษใครอื่นนอกจากตนเอง สำหรับผลกรรมที่ความผิดของท่านนำมา.. หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็ถึงแก่ความตาย ก่อนจะสิ้นลมหายใจ ท่านได้เรียกญาติพี่น้องทั้งหลายมาที่เตียงนอน และสั่งสอนถึงความเคารพและจงรักภักดีที่ต้องมีต่อองค์พระเจ้าแผ่นดิน”

 

“เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ขุนเหล็ก) ได้ถึงอสัญกรรมในปี พ.ศ. 2226 และเนื่องจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ขุนเหล็ก) ได้ถึงแก่อสัญกรรมไปเสียนั้น เป็นเหตุให้ข้าราชการแตกพรรคแตกพวกกัน และคงจะเนื่องจากพระยายมราช (สังข์) กับพระยารามเดโชสองท่านนี้ มีหัวรุนแรงในข้างไม่ชอบวิชเยนทร์อย่างเปิดเผย แต่ทั้งสองท่านนั้น ต่างก็เป็นนายทหารที่มีฝีมือของสมเด็จพระนารายณ์ ด้วยได้เคยทรงใช้สอยในงานพระราชสงครามเป็นที่โปรดปรานมาแล้ว จะโปรดให้อยู่ร่วมกันในกรุงศรีอยุธยา ก็จะเป็นการยุ่งยากพระราชหฤทัยจึงโปรดแต่งตั้งให้ไปมีอำนาจอยู่แยกย้ายกันเสีย

 

และประจวบกับตั้งแต่ประหารชีวิตเจ้าพระยานครฯ คนก่อน ให้ตายตกไปตามศรีปราชญ์แล้ว เมืองนครศรีธรรมราชก็ว่างผู้ครองอยู่ จึงโปรดตั้งให้พระยารามเดโชไปเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช พร้อม ๆ กันกับโปรดตั้งขุนนางเชื้อแขกผู้หนึ่ง ทำหน้าที่พระคลังสืบต่อเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ขุนเหล็ก) ซึ่งถึงอสัญกรรมไปในปี พ.ศ. 2226 นั้น”

 

ส่วนพระยายมราช (สังข์) ยอดทหารแขกอีกคนหนึ่งนั้นพงศาวดารกล่าวว่า ได้ถูกส่งออกไปครองนครราชสีมา เจ้าแขกทั้งสองก็ครองเมืองอย่างเงียบ ๆ ตลอดรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์ จนพระองค์ทรงประชวร และสิ้นพระชีพ จึงแผลงฤทธิ์เป็นกบฎขึ้นทั้งคู่

 

เมื่อสมเด็จพระเพทราชา และพระเจ้าเสือมหาอุปราชทรงได้ข่าวว่าพระยายมราชสังข์แข็งเมืองนครราชสีมาก็ทรงพิโรธนักจึงรับสั่งให้พระยาสีหราชเดโชจัดทัพใหญ่มีพลทหาร 10,000 คน ช้าง 200 เชือก และม้าอีก 300 ตัว ยกขึ้นไปล้อมเมืองแต่พระยายมราชสังข์กับชาวนครราชสีมาก็ต่อสู้เป็นสามารถ

 

ทัพกรุงยกเข้าแหกหักเป็นหลายครั้ง ชาวเมืองรบพุ่งป้องกันทั้งกลางวันกลางคืนไม่ย่อหย่อนทัพกรุงหักเอาไม่ได้ก็ตั้งล้อมมั่นไว้ แต่ทัพกรุงยกไปเคี่ยวขับทำสงครามด้วยชาวนครราชสีมาทั้งสองครั้ง ประมาณสองปีเศษ

 

ชาวเมืองไม่ได้ทำนาสิ้นสองเทศกาลมาแล้ว เสบียงอาหารก็กันดารลง ไพร่พลเมืองอดอยากซูบผอมล้มตายเป็นอันมากนัก บ้างยกครัวหนีออกจากเมืองนั้นก็มาก แต่ทว่าพระยายมราชเจ้าเมืองนี้ ฝีมือเข้มแข็ง ตั้งเคี่ยวขับต้านทานอยู่มิได้แตกฉาน”

 

เมื่อไม่ได้เมืองด้วยการรบพุ่งแบบธรรมดา พวกแม่ทัพกรุงศรีอยุธยาก็ปรึกษาหารือกัน ว่าจะต้องระดมอาวุธพิเศษใช้ลูกระเบิดเพลิงเผาเมืองให้ราบคาบ สมัยโบราณนั้นไม่มีเครื่องบินทิ้งระเบิด จึงต้องชักว่าวจุฬาแทน พร้อมทั้งยิงลูกระเบิดและธนูเพลิงข้ามกำแพงเข้าไปในเมือง การระดมโจมตีแบบสมัยใหม่นี้ มีประสิทธิภาพมาก นครราชสีมาลุกไหม้เป็นเพลิงไปทั้งเมือง ผู้คนบาดระส่ำระสาย ในที่สุดก็แตก

 

พระยายมราชสังข์หนีออกจากนครราชสีมาได้ ก็พาสมัครพรรคพวกตรงมาหาเพื่อนแขกเก่าคือ พระยารามเดโช ก็เป็นกบฎแข็งเมืองต่อพระเทพราชาเช่นกัน พระยาแขกทั้งสองจึงซ่องสุมผู้คนและเครื่องศัตราวุธเตรียมยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา พระยารามเดโชคุมนครศรีธรรมราชอยู่มั่น

 

ส่วนพระยายมราชสังข์นั้น จัดทัพใหม่ยึดแผ่นดินอยู่ตรงจุดต่อระหว่างเมืองไชยาและนครศรีธรรมราช พระเพทราชาทรงได้ทราบข่าว ก็พิโรธโกรธเคืองยิ่งนัก ตรัสว่า

 

“อ้ายสองคนนี้องอาจนัก จะไว้มันมิได้ ควรจะแต่งทัพใหญ่ยกไปทั้งทางบกทางเรือ ปราบปรามมันเสียจึงจะชอบ อันอ้ายกบฎสองคนนี้ มันไม่พ้นเงื้อมมือเรา แม้ได้ตัวแล้ว จะสับมิให้กากลืนแค้น”

คราวนี้กรุงศรีอยุธยาจัดทัพบกมีพลหนึ่งหมื่น ช้าง 3,000 เชือก ม้ากี่ตัวพงศาวดารไม่บอก พระยาสุรสงครามเป็นแม่ทัพหลวง แล้วยังมีทัพเรืออีก เป็นเรือรบ 100 ลำ เรือทะเล 100 ลำ และพลรบ พลแจวอีกห้าพัน มีพระยาราชบังสันเป็นแม่ทัพ พงศาวดารเล่าต่อว่า

 

“กองทัพบกยกไปถึงพรมแดนเมืองไชยา และเมืองนครศรีธรรมราชต่อกัน ซึ่งนายสังข์ยมราชมิรู้ตัว ไม่ทันที่จะจัดแจงต้านทานไว้ให้มั่นคง ต้องจำเป็นจำรบพุ่ง ผู้คน ทแกล้วทหาร มิทันพร้อมเพรียงกัน ระส่ำระสายไปเป็นอลหม่านและนายสังข์ยมราชมีฝีมือเข้มแข็ง ถือพลทหารออกแหกหักจะออกมา ทัพกรุงต่อรบต้านทานไว้เป็นสามารถแล้วเข้ารุมตีขนาบเป็นหลายกอง

พวกนายสังข์ยมราชน้อยตัว เหลือกำลังแหกออกมิได้ ก็แตกฉานล้มตายเป็นอันมาก และตัวนายสังข์ยมราชหนีไปมิพ้นกับทหารร่วมใจเจ็ดคนแปดคนด้วยกัน ก็ยืนประจัญรบพุ่งอยู่จนตายในที่รบสิ้น”

 

ในที่สุด พระยายมราชสังข์ ยอดทหารของสมเด็จพระนารายณ์ ก็ตายอย่างชายชาติทหาร ยืนหยัดต่อสู้จนดาบสุดท้าย..........

 

Credit : คุณธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร
ภาพ : ประตูเมืองโคราชในอดีต

 

 

guest
admin
- Guest -

Post : 2018-02-26 14:46:08.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  Live : อัศจรรย์!! หลวงพ่อแขนลาย บนอะไรก็ได้ดั่งใจหวัง!!

  

 

สะท้านทุ่งกรุงศรี!!
หลวงพ่อแขนลาย บนอะไรก็ได้ดังใจหวัง!!
www.arjanpong.com
#วัดศาลาปูน #ศักดิ์สิทธิ์ #อยุธยา #พลังภูผา

 

วัดศาลาปูนวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่เลขที่ ๓๘ หมู่ ๔ ต.วาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดโบราณตั้งอยู่ริมคลองเมืองพระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำลพบุรีเดิม) ฝั่งตรงกันข้ามกับเกาะเมือง มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ ๒๘ ไร่

 

มีการสันนิษฐานว่า เหตุที่วัดมีชื่อเรียกว่า "วัดศาลาปูน" คงเนื่องด้วยเป็นชื่อหมู่บ้านที่มีราษฎรประกอบอาชีพเผาปูนขาย ด้านทิศตะวันออกของวัดยังปรากฏซากเตาเผาปูนอยู่ แต่บางท่านก็สันนิษฐานว่าคงชื่อวัดศาลาปูนมาแต่ดั้งเดิม ต่อมาเมื่อทรงราชการคือพระเจ้าแผ่นดินโปรดฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัด จึงเปลี่ยนนามเป็นวัดโลกยสุธา หรือโลกสุธา โดยยังคงความหมายชื่อเดิมอยู่ เพราะคำว่า “สุธา” แปลว่า ปูนขาว กาลเวลาผ่านไปชื่อโลกยสุธา หรือโลกสุธาที่ทางราชการตั้งคงจะเรียกยาก จึงไม่ติดปากชาวบ้านในที่สุดก็เลือนหายไป กลับมาใช้ชื่อศาลาปูนเหมือนเดิม

ความสำคัญของวัดศาลาปูนในอดีตนั้นเป็นที่สถิตของ พระราชาคณะตำแหน่งพระธรรมราชา สืบต่อกันมา ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ จนถึงรัชกาลที่ ๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ วัดศาลาปูนเป็นที่สถิตของพระราชาคณะชั้นสมเด็จคือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะเพียงรูปเดียวที่ได้รับพระราชทานตั้งขึ้นในเขตหัวเมืองชั้นนอก

 

ภายในวัดศาลาปูน คือพระพุทธรูปสำริดสมัยอยุธยา "หลวงพ่อแขนลาย" เป็นศิลปะสมัยก่อนอยุธยา เป็นพระพุทธรูปนั่งขนาดหน้าตักกว้าง ประมาณ ๒๙ นิ้ว ลักษณะคล้ายพระอัครสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ซึ่งแขนด้านหนึ่งขององค์พระมีการลงอักขระยันต์ไว้อย่างชัดเจน เชื่อกันว่าเป็นรูปเคารพของพระบรมไตรโลกนาถและพระศรีอารย์ เป็นที่เล่าลือถึงความศักดิ์สิทธิ์และการบนบานศาลกล่าวที่ประสบความสำเร็จในหลายๆ เรื่อง เคยถูกขโมยหลายครั้งแต่ไม่สามารถนำองค์พระออกไปได้

 

"มะพร้าวอ่อน ไข่ พวงมาลัย ปิดทอง และถวายทองคำแท้ ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีผู้สมหวังในการบนบานศาลกล่าวนำทองคำแท้มาแก้บนอย่างต่อเนื่อง และเคยมากถึง ๑๐ บาท โดยทางวัดได้นำทองคำทั้งหมดไปเปลี่ยนเงินเพื่อนำเข้าทุนนิธิเพื่อเป็นทุนส่งเสริมการศึกษาของเด็กนักเรียน" นี่เป็นคำบอกเล่าของพระครูอนุกูลศาสนกิจ ฐานิโก หรือพระครูประดิษฐ์ รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดศาลาปูน

พระครูอนุกูลศาสนกิจ ยังบอกด้วยว่า โดยส่วนตัวแล้วสันนิษฐานจากแขนด้านหนึ่งขององค์พระมีการลงอักขระยันต์ไว้อย่างชัดเจนว่า น่าจะเป็นพระเกจิอาจารย์ หรืออดีตเจ้าอาวาสรูปหนึ่งรูปใดของวัดที่มีความศักดิ์มาก ถึงขนาดมีคนศรัทธาสร้างหล่อรูปเหมือนไว้กราบไหว้ เพราะในอดีตนั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างรูปเคารพพระรูปใดรูปหนึ่งขึ้นมา

 

มีใครจะรู้บ้างว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง" พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แห่ง วัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ ศอก ๒ นิ้วเศษ สูง ๔ ศอก ๑๖ นิ้วเศษ ศิลปะสมัยเชียงแสน สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสมัยไทยล้านนาและล้านช้าง ตำนานเล่าว่า ลอยน้ำมา จึงอัญเชิญไว้ที่วัดศาลาปูน จากนั้นอัญเชิญพระพุทธรูปจากวัดศาลาปูน จ.พระนครศรีอยุธยา มาประดิษฐานไว้ที่วัดไร่ขิง โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) เมื่อครั้งที่สร้างวัดไร่ขิงใหม่ๆ เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๔

 

นอกจากนี้ภายในวัดยังมีสิ่งน่าสนใจอีกมากมาย เช่น เจดีย์ทรงกลม ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังพระอุโบสถ เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ก่ออิฐสอปูนประกอบด้วยฐานประทักษิณสูง มีระเบียบและบันไดทางขึ้นด้านเดียว

 

ภาพเขียนฝาผนังฝีมือช่างหลวงภายในพระอุโบสถ ด้วยอายุการก่อสร้างนานกว่า ๕๐๐ ปี ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าภาพชำรุดไปมาก ซึ่งเป็นผลพวงจากน้ำท่วมใหญ่ระหว่าง พ.ศ.๒๕๕๔-๒๕๕๕ โดยก่อนหน้านี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๕ โดยในปี ๒๕๕๘ นี้ พระครูอนุกูลศาสนกิจ มีโครงการที่จะบูรณะครั้งใหญ่โดยได้ทำหนังสือถึงกรมศิลปากรแล้ว คาดว่าต้องใช้งบกว่า ๓๐ ล้านบาท

 

ทั้งนี้ พระครูอนุกูลศาสนกิจ มีความหวังเล็กๆ ว่าจะได้พึ่งบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อวัดไร่ขิงที่ไปสร้างความเจริญรุ่งเรื่องให้วัดไร่ขิง กลับมาช่วยซ่อมแซมพระอุโบสถวัดศาลาปูนซึ่งครั้งหนึ่งเคยประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถแห่งนี้ให้งามสง่าอีกครั้งหนึ่ง ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญได้ที่วัดศาลปูน โทร.๐-๓๕๒๔-๒๑๖๕

 

Credit : 
http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/202081

 

 

guest

Post : 2018-02-23 14:23:05.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  Live : ทำไงดี?! เจอคนมักง่าย ใส่เบรคมือ จอดรถขวางประตูหน้าบ้าน!!.

 

 

 

 

ใครถูกใครผิด?! ทุบรถคนมาจอดขวางหน้าบ้าน!!
www.arjanpong.com
#จอดรถขวางทาง #กฎหมาย #จราจร #พลังภูผา

 

 

จากกรณี นางสาวบุญศรี และนางสาวรัตนฉัตร แสงหยกตระการ เจ้าของบ้านภายในซอยศรีนครินทร์ 55 เขตประเวศ ที่ถูกตลาดล้อมรอบ จนเกิดเหตุการณ์ทุบรถ และมีการฟ้องร้องคดีต่อศาลปกครองกลาง ได้มาเปิดให้กับกองบรรณาธิการเดลินิวส์

 

โดยนางสาวบุญศรี เปิดเผยว่า จากการพูดคุยกับผู้ว่าฯกทม.ทางโทรศัพท์ ตนไม่ได้มีความมั่นใจใดๆเลยว่าจะมีการแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เพราะได้ต่อสู้มาเป็น 10 ปีแล้ว โดยสิ่งผู้ว่าฯกทม.ถามตนว่าต้องการให้ทำอย่างไร 1... 2... 3.. นั้น สิ่งที่ตนต้องการคือ ขอให้ย้ายตลาดออกไปทำการค้าในจุดที่ควรอยู่ เนื่องจากพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ประชาชนได้ขอจัดสรรมาเพื่อปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัยที่สงบร่มเย็น

 

ซึ่งทางผู้ว่าฯกทม.แจ้งเพียงว่าจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และตามที่ทราบมาล่าสุดได้ยินว่าทางผู้ว่าฯจะให้ตลาดหยุดดำเนินการเป็นเวลา 7 วันตรงนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่ทั้งนี้หากผู้ว่าฯต้องการจะมาพูดคุยด้วยตนยินดี

 

นางสาวบุญศรี กล่าวต่อว่า การพูดคุยกับผู้ว่าฯวันนี้ตนไม่มีความมั่นใจใดๆ ว่ากทม.จะดำเนินการแก้ไขในเรื่องนี้ได้เพราะได้เรียกร้องมาตลอดระยะเวลา 10 ปี แจ้งเรื่องร้องเรียนไปทุกหน่วยงาน ทั้งกทม. สำนักงานเขตประเวศ ผู้ว่าฯกทม. ผู้อำนวยการเขต สถานีตำรวจนครบาลประเวศ สำนักการโยธา คณะกรรมการอุทธรณ์การก่อสร้างฯ ร้องไปทุกที่

ซึ่งหน่วยงานต่างๆก็เพียงแต่เวียนหนังสือไปมาและไม่มีการแก้ปัญหาใดๆ กลับละเลยเพิกเฉย ระหว่างการร้องดำเนินคดีนี้ก็ยังมีการแก้ไขข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ทำให้มีการสร้างอาคารพาณิชย์ได้ และปล่อยให้ตลาดเปิดดำเนินการทั้งที่ไม่ได้รับใบอนุญาต การก่อสร้างไม่ถูกต้องจากที่ตนได้ฟ้องดำเนินคดีฐานปล่อยให้เปิดตลาด 2 ตลาดขนาบ2ข้างบ้านขึ้นมาในบริเวณนี้

 

จนถึงปัจจุบันมีตลาดเกิดขึ้นบริเวณนี้นับรวมถึง 10 ตลาด เป็นความทุกข์ทรมานของคนอยู่อาศัยทั้งตนเองและเพื่อนบ้านต้องพบปัญหาทั้งฝุ่นมลพิษ การจราจร คนเจ็บป่วยออกจากบ้านไม่ได้ และถึงขั้นเสียชีวิต เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน

 

นางบุญศรีกล่าวย้ำถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นอีกด้วยว่า ระหว่างที่คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาและจนล่าสุดศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองตั้งแต่ปี 2556 ไม่ให้ตลาดมาละเมิดความเป็นอยู่อันสงบสุขของประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ได้มีการแก้ปัญหาให้ การทำตลาดก็ยังคงมีทุกวัน การจอดรถและค้าขายก็ยังทำการประชิดติดรั้วบ้านทุกวัน และที่สำคัญยังปล่อยให้มีการเปิดตลาดใหม่ขึ้นมาอีก

 

ซึ่งจากการให้สัมภาษณ์ของผู้อำนวยการเขตประเวศเอง ก็ยอมรับว่าตลาดเปิดโดยไม่ได้ขออนุญาตแต่กลับไม่ดำเนินการใดๆ แบบนี้เป็นการละเลยต่อหน้าที่หรือไม่ ตนไม่เข้าใจว่าหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทำอะไรอยู่ ทั้งนี้ยืนยันจะต่อสู้ต่อไป และไม่คิดจะย้ายบ้านไปที่ไหน เพราะตนซื้อที่ปลูกบ้านและอยู่อาศัยตามสิทธิอันชอบธรรม สิ่งที่จะต้องแก้ไขคือตลาดที่เกิดขึ้นอย่างผิดกฎหมายต่างหาก

 

ตนต้องการให้เรื่องนี้เป็นคดีตัวอย่างที่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเพิกเฉยของหน่วยงานราชการที่ไม่ปฎิบัติตามหน้าที่อย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้กับประชาชนคนอื่นๆอีก ซึ่งเขตมีหน้าที่ดำเนินการกับตลาดได้เลยเพราะสร้างผิดกฎหมาย ไม่ต้องรอผลคดีถึงที่สุด....

Credit : https://www.dailynews.co.th/regional/628568

 

.....ท่านผู้การฯ นครบาล กล่าวว่าอย่างไร??.....

 

21 ก.พ.61 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น. กล่าวถึงกรณี น.ส.บุญศรี แสงหยกตระการ , น.ส.รัตนฉัตร แสงหยกตระการ และ น.ส.ราณี แสงหยกตระการ ก่อเหตุทุบรถกระบะของ น.ส.รชนิกร เลิศวาสนา ที่จอดใส่เบรกมือขวางหน้าบ้าน ภายในหมู่บ้านเสรีวิลล่า ย่านสวนหลวง ร.9 ว่า ที่ผ่านมาเจ้าของบ้านได้โทรแจ้ง 191 บ่อยครั้ง ถึงสภาพปัญหารถจอดขวางหน้าบ้าน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ค่อยมา หลังจากนี้ขอตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าที่มีการโทรแจ้งนั้นบ่อยแค่ไหน สภาพการจราจรบริเวณนั้นเป็นถนนหลวง หรือพื้นที่ส่วนบุคคล

 

ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่บ้านป้าหลังดังกล่าวเท่านั้น หากประชาชนท่านใดที่ได้รับความเดือดร้อน ถูกรถผู้อื่นจอดขวางหน้าบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อได้รับแจ้ง ต้องไปดูอย่างช้าไม่เกิน 10 นาที หาก สน.ใดไม่อำนวยความสะดวก ให้แจ้งมาที่ บช.น.เราจะดำเนินการแก้ปัญหาให้ อย่างไรก็ตาม หากต้องใช้รถยกเจ้าของรถที่จอดขวาง นอกจากจะเสียค่าปรับ แล้วต้องจ่ายค่าบริการรถยกเองด้วย...........

 

.....เรื่องนี้กฎหมายกล่าวว่าอย่างไร??.....

 

มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
(๒) “ทาง” หมายความว่า ทางเดินรถ ช่องเดินรถ ช่องเดินรถประจำทาง ไหล่ทาง ทางเท้า ทางข้าม ทางร่วมทางแยก ทางลาด ทางโค้ง สะพาน และลานที่ประชาชนใช้ในการจราจร และให้หมายความรวมถึงทางส่วนบุคคลที่เจ้าของยินยอมให้ประชาชนใช้ในการจราจรหรือที่เจ้าพนักงานจราจรได้ประกาศให้เป็นทางตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย แต่ไม่รวมไปถึงทางรถไฟ

 

มาตรา ๕๗ เว้นแต่จะได้มีบทบัญญัติ กฎ หรือข้อบังคับตามพระราชบัญญัตินี้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ห้ามมิให้ผู้ขับขี่จอดรถ

 

(๑๐) ตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ หรือในระยะห้าเมตรจากปากทางเดินรถ

 

มาตรา ๑๔๘ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๖ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๐ มาตรา ๓๖ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๘ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๔ มาตรา ๕๑ มาตรา ๕๔ มาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ มาตรา ๖๐ มาตรา ๖๒ มาตรา ๖๓ มาตรา ๖๘ มาตรา ๖๙ มาตรา ๗๐ มาตรา ๗๑ มาตรา ๗๓ วรรคสอง มาตรา ๗๔ มาตรา ๗๖ มาตรา ๘๓ มาตรา ๘๔ มาตรา ๘๗ มาตรา ๘๘ มาตรา ๙๖ วรรคหนึ่ง มาตรา ๙๗ มาตรา ๑๐๑ มาตรา ๑๐๗ มาตรา ๑๐๘ มาตรา ๑๐๙ มาตรา ๑๑๐ มาตรา ๑๑๑ มาตรา ๑๑๒ มาตรา ๑๑๔ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๑๘ มาตรา ๑๑๙ มาตรา ๑๒๐ มาตรา ๑๒๑ มาตรา ๑๒๒ วรรคหนึ่งหรือวรรคสาม มาตรา ๑๒๓ มาตรา ๑๒๔ มาตรา ๑๒๖ มาตรา ๑๒๙ หรือมาตรา ๑๓๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท..........

 

(พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒)

 

guest

Post : 2018-02-22 12:53:45.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  Live : เสด็จออกจากวัง ทรงช้างไปเพนียด อุปราช(จัน) ถึงคราวชะตาขาด!!

 

*** เสด็จออกจากวัง ทรงช้างไปเพนียด อุปราช(จัน) ถึงคราวชะตาขาด!!..***

 

 

www.arjanpong.com
#อุปราช #ขุนวรวงวงศา #ศรีสุดาจันทร์ #อยุธยา

มหาอุปราช (จัน) เป็นพระมหาอุปราชในรัชกาลขุนวรวงศาธิราช ทรงได้รับการอุปราชาภิเษกได้เพียงไม่กี่วันก็ถูกลอบปลงพระชนม์

 

...พระประวัติ...

มหาอุปราช มีพระนามเดิมว่านายจัน เป็นช่างตีเหล็กอาศัยอยู่ที่บ้านมหาโลก โดยเป็นพระอนุชาของขุนวรวงศาธิราช ในพ.ศ. 2091 นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ทรงอ้างว่าสมเด็จพระยอดฟ้ายังทรงพระเยาว์ หัวเมืองเหนือก็ไม่เป็นปกติจึงปรึกษากับขุนนางว่าจะให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการแผ่นดินจนกว่าสมเด็จพระยอดฟ้าจะทรงเจริญพระชนมายุ จึงทำพิธีราชาภิเษกขุนวรวงศาธิราชเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยาและสถาปนานายจัน น้องชายขุนวรวงศาธิราชอยู่บ้านมหาโลก ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช

 

...ลอบปลงพระชนม์...

การครองราชบัลลังก์ของขุนวรวงศาธิราชนั้น ไม่เป็นที่เห็นชอบของขุนนางในราชสำนักและพระญาติวงศ์บางส่วน เพราะขุนวรวงศาธิราชทรงขึ้นครองบัลลังก์โดยไม่ชอบธรรมจึงมีขุนนางบางคนรวมตัวกันเพื่อล้มล้างราชบัลลังก์ ได้แก่ ขุนพิเรนทรเทพ เจ้านายเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา (ในราชการ) และหลวงศรียศบ้านลานตากฟ้า

 

ทั้งสี่ร่วมกันวางแผนลอบปลงพระชนม์ จนโอกาสมาถึงเมื่อกรมการเมืองลพบุรีกราบทูลขุนวรวงศาธิราชว่า มีช้างเผือกเชือกหนึ่งที่ลพบุรี ขุนวรวงศาธิราชรับสั่งว่าจะไปจับแต่ต่อมาเปลี่ยนพระทัยให้กรมการเมืองลพบุรีไปจับแทน หลังจากนั้น 7 วันช้างเผือกเข้ามาทางวัดแม่นางปลื้มเข้าเพนียดวัดซองพระองค์จึงรับสั่งว่าหนนี้จะเสด็จไปจับเอง

 

ขุนพิเรนทรเทพสั่งให้หมื่นราชเสน่หา (นอกราชการ) ไปดักยิงอุปราชจันน้องขุนวรวงศาธิราชตายที่ท่าเสื่อระหว่างขี่ช้างไปเพนียด จากนั้น ขุนพิเรนทรเทพได้เรียกพระยาพิชัยกับพระยาสวรรคโลก ข้าราชการเมืองเหนือลงมาร่วมมือในการก่อการครั้งนี้ด้วย

 

...พระราชกิจ...
จากบันทึกของปินโต ได้บันทึกไว้ว่าอุปราชจันเป็นผู้ลงนามเซ็นสัญญาแทนรัฐบาลกรุงศรีอยุธยา........

 

Credit : http://www.wikiwand.com/…/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8…

 

 

 

guest

Post : 2018-02-19 14:37:21.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  Live : รักเศร้าๆ ของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง

vv

 

 

*** รักเศร้าๆ ของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง!!..***

   

 

www.arjanpong.com
#สายน้ำผิ้ง #สร้อยดอกหมก #อยุธยา #พลังภูผา

 

เรื่องเล่า ตำนาน หรือพงศาวดาร มักมีคุณค่ากับคนรุ่นหลังเสมอ โดยตำนานหลายเรื่องมีความรักเข้าไปเกี่ยวข้องจนทำให้ผู้คนเกิดความเชื่อและซาบซึ้งตราตรึงใจ เช่นเดียวกับ ตำนานวัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ว่ากันว่า วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักอันน่าเศร้าของ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง กษัตริย์ของไทย และพระนางสร้อยดอกหมาก จากแผ่นดินจีน

 

ทั้งนี้ ตาม ตำนานวัดพนัญเชิง ในพงศาวดารเหนือ บอกไว้ว่า เมื่อครั้งก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา สยามประเทศในตอนนั้นไร้ซึ่งกษัตริย์ปกครองอยู่ระยะหนึ่ง เหล่าอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และสมณชีพรามณ์ทั้งหลายจึงลงความเห็นว่า ต้องทำพิธีเสี่ยงเรือสุวรรณหงส์เอกชัย เพื่อเสาะหาผู้มีบุญวาสนามาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน โดยให้เรือแล่นไปตามแม่น้ำ

ครั้นเมื่อเรือมาถึงยังตำบลแห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำ มีกลุ่มเด็กเลี้ยงโคเล่นกันอยู่ เรือก็จอดสนิทนิ่งไม่ยอมเคลื่อนที่ แม้ว่าเหล่าฝีพายจะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม เมื่อเหล่าอำมาตย์เห็นเช่นนั้น จึงเดินเข้าไปในกลุ่มเด็กเลี้ยงโคและพบกับเด็กชายคนหนึ่งท่าทางฉลาด พูดจาฉะฉาน หลักแหลม จึงคิดว่าเด็กผู้นี้คงเป็นผู้มีบุญญาธิการ จึงรับตัวมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองประเทศ

 

หลังได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สยามประเทศแล้ว มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่สร้างความน่าอัศจรรย์ใจ และเป็นที่มาของพระนาม "พระเจ้าสายน้ำผึ้ง" เมื่อพระองค์ทรงโปรดให้ยกขบวนพยุหยาตราไปทางชลมารคพร้อมกับเหล่าเสนาบดี เมื่อเรือล่องมาถึงวัดปากคลอง ซึ่งเป็นเวลาน้ำขึ้น จึงตรัสสั่งให้จอดเรือพระที่นั่งอยู่หน้าวัด และทรงทอดพระเนตรเห็นรังผึ้งใต้ช่อฟ้าหน้าโบสถ์ พระองค์จึงดำริว่า...

 

"จะขอนมัสการพระพุทธปฏิมากร ด้วยเดชะบุญญาภิสังขารของเรา เพื่อจะได้ครองไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ ขอให้น้ำผึ้งหยดลงมากลั้วเอาเรือขึ้นไปประทับแทนกำแพงแก้วนั้นเถิด"

เมื่อตรัสจบน้ำผึ้งก็หยดลงมากลั้วเอาเรือพระที่นั่งยกขึ้นไปถึงที่ทันที เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่สายตาของเสนาบดีน้อยใหญ่ พระเจ้ากรุงไทยจึงเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธปฏิมากร เสร็จแล้วจึงเสด็จลงเรือพระที่นั่ง จากนั้นเรือพระที่นั่งก็ถอยลงมาตามเดิมได้เอง บรรดาภิกษุสงฆ์และเหล่าเสนาบดีจึงพากันถวายพระพรชัยและถวายพระนามพระเจ้ากรุงไทยว่า "พระเจ้าสายน้ำผึ้ง"

ครั้นถึงเวลาน้ำลง พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ก็รับสั่งให้เหล่าเสนาบดีกลับไปรักษาพระนคร ส่วนพระองค์จะเสด็จโดยเรือเพียงลำเดียว เพื่อเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ และด้วยกุศลที่สร้างมาแต่ปางหลัง จึงทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อยปลอดภัยจนกระทั่งถึงกรุงจีน เมื่อชาวจีนเห็นว่าว่าทรงเดินทางเพียงพระองค์เดียวท่ามกลางทะเลใหญ่ แต่ยังสามารถรอดชีวิตมาได้นั้นเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จึงนำความขึ้นทูลว่าพระเจ้าแผ่นดินจีนว่า พระเจ้าแผ่นดินไทยองค์นี้มีบุญญาธิการมาก

 

ด้านพระเจ้ากรุงจีนเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงอยากทดสอบว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งจะมีบุญญาธิการจริงหรือไม่ โดยรับสั่งให้เสนาบดีไปทูลเชิญพระเจ้าสายน้ำผึ้งประทับที่อ่าวนาค ซึ่งเป็นที่ที่มีอันตรายมาก และให้ทหารไปสอดแนมดูว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นหรือไม่ แต่ผลปรากฎว่านอกจากจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ยังมีเสียงดุริยางค์ดนตรีเป็นที่ครึกครื้น เมื่อความทราบถึงพระเจ้ากรุงจีน พระองค์จึงมีรับสั่งให้จัดขบวนแห่ออกไปรับพระเจ้าสายน้ำผึ้งเข้ามาภายในพระราชวัง พร้อมทั้งให้ราชาภิเษกกับพระนางสร้อยดอกหมาก ธิดาบุญธรรมของพระองค์ ขึ้นเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสายน้ำผึ้งด้วย

 

ระหว่างการเดินทางกลับเมืองสยาม ในขณะที่ใกล้ถึงพระราชวัง พระเจ้าสายน้ำผึ้ง มีรับสั่งให้พระนางสร้อยดอกหมากคอยพระองค์อยู่ในเรือ เนื่องจากพระองค์ต้องการเสด็จเข้าพระราชวังก่อนเพื่อจัดเตรียมขบวนเกียรติยศออกมาต้อนรับ ทว่าเมื่อขบวนเกียรติยศมาถึงพระเจ้าสายน้ำผึ้ง กลับไม่ได้เสด็จมาด้วยพระองค์เอง พระนางสร้อยดอกหมากจึงไม่ยอมเสด็จขึ้นจากเรือ พร้อมกล่าวว่า...

 

"มาด้วยพระองค์ก็โดยยาก เมื่อมาถึงพระราชวังแล้ว เป็นไฉนพระองค์จึงไม่มารับ ถ้าพระองค์ไม่เสด็จมารับก็จะไม่ไป" เมื่อเสนาบดีนำความไปกราบทูล พระเจ้าสายน้ำผึ้ง คิดว่าพระนางหยอกเล่น จึงกล่าวเล่น ๆ ว่า "เมื่อมาถึงแล้วจะอยู่ที่นั่นก็ตามใจเถิด"

 

หลังพระนางสร้อยดอกหมากทราบว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งตรัสเช่นนั้น ก็รู้สึกน้อยพระทัยยิ่งนัก ครั้นรุ่งเช้าพระเจ้าสายน้ำผึ้งก็เสด็จมารับด้วยพระองค์เอง พระนางสร้อยดอกหมากจึงตัดพ้อต่อว่าพระองค์ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง จึงงตรัสสัพยอกอีกว่า "เอาล่ะ เมื่อไม่อยากขึ้นก็จงอยู่ที่นี่เถิด" เมื่อได้ฟังดังนั้น ด้วยความน้อยพระทัย พระนางสร้อยดอกหมากจึงกลั้นพระทัยตายทันที ทำให้พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก

 

ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง จึงโปรดเกล้าให้อัญเชิญพระศพของพระนางสร้อยดอกหมากขึ้นมาพระราชทานเพลิงพระศพ ท่ามกลางความอาลัยรักของประชาชนชาวจีนและชาวไทย และทรงให้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระนางสร้อยดอกหมาก โดยตั้งชื่อวัดนี้ว่า "วัดพระนางเชิญ" หรือ "วัดพนัญเชิง" (ในปัจจุบัน) แต่นั้นมา

 

สำหรับ วัดพนัญเชิง ปัจจุบัน เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

 

Credit : https://travel.kapook.com/view12028.html

 

 

guest

Post : 2018-02-16 13:02:08.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  Live : เจ้าฟ้ากุ้ง!! ลอบเป็นชู้ กับเจ้าฟ้าสังวาลย์ จริงหรือ?!!

 

"อย่าพรากเราจากกัน!!.."

คำขอก่อนตายของ เจ้าฟ้ากุ้ง เจ้าฟ้าสังวาล!!
www.arjanpong.com
#เจ้าฟ้ากุ้ง #เจ้าฟ้าสังวาลย์ #อยุธยา #พลังภูผา

 

   

 

จดหมายส่วนตัว 
เรื่องในเอกสาร VOC ที่เกี่ยวกับเจ้าฟ้ากุ้ง

ข้อมูลจาก 
เอกสารในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ( Algemeen Riyksarchief ) ณ กรุงเฮก เลขที่ VOC 2883, หน้า ๑–๓๒ เป็นจดหมายจากนาย Nicolaas Bang พ่อค้าใหญ่ของ VOC ประจำกรุงศรีอยุธยา ถึงข้าหลวงใหญ่ MOSSCL ณ กรุงปัตตาเวีย เขียนที่กรุงศรีอยุธยา ลงวันที่ ๘ มกราคม ๑๗๘๕

 

๑. เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๗๕๖ เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในราชสำนักไทย

 

๒. เป็นเวลาราวๆ 1 ปีที่ "Kpoomprincs" ( มกุฎราชกุมาร / อุปราช ) ประชวรด้วยโรค Morbus Gallicus กามโรคชนิดหนึ่งที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "French Pox" เลยเข้าวังหลวงไม่ได้ทรงประทับอยู่แต่ในวังของพระองค์เอง ( วังหน้า )

 

๓. ในช่วงที่ทรงพระประชวร พระมหาอุปราชทรงสั่งลงโทษข้าหลวง ( แม้ข้าหลวงที่สำคัญ ) อย่างรุนแรง นอกจากนั้นแล้วยังทรงวิวาทกับพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษอีกพระองค์หนึ่ง Tjauw Sakew ( ถอดเสียงออกเป็น "เจ้าสระแก้ว" น่าที่จะหมายถึง กรมหมื่นสุนทรเทพ ซึ่ง พระราชพงศาวดารว่าทรงประทับอยู่ ณ พระตำหนักสระแก้ว ) เจ้าฟ้ากุ้งได้สั่งให้ลูกน้องไปล้อมที่ประทับของ "Tjauw Sakew" แต่กรมหมื่นสุนทรเทพพร้อมบรรดาพระราชโอรสของพระองค์ทรงสามารถหลบหนีไปได้ แล้วเข้าไปที่พระราชวังหลวง เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษและกราบบังคมทูลเรื่องราวทั้งหมด

 

๔. เมื่อพระมหาอุปราชทรงทราบว่า "Tjauw Sakew" หนีเข้าไปในพระราชวังหลวงแล้ว ก็ทรงนำบริวารบุกไปถึงพระทวารพระบรมหาราชวัง โดยตั้งพระทัยจะจับตัว "Tjauw Sakew" มาฆ่าเสีย แต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษได้ทรงมีพระราชดำรัสว่าให้ปิดพระทวารพระบรมหาราชวังเสีย ไม่ให้ผู้ใดล่วงเข้าไปทั้งสิ้น ( ถ้าไม่ได้รับพระราชานุญาติจากพระองค์ ) พระมหาอุปราชเลยต้องเสด็จกลับไปยังวังหน้าของพระองค์

 

๕. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงออกพระโอษฐ์เรียกพระมหาอุปราชเข้าเฝ้า ทีแรกนั้นพระมหาอุปราชหายอมไม่ แต่ในที่สุดพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงขู่ว่า ถ้าไม่มาเข้าเฝ้าแล้วไซร้พระองค์จะทรงมาจับตัวไปเอง เจ้าฟ้ากุ้งจึงทรงยอมเข้าไปในพระบรมหาราชวัง พระมหาอุปราชทรงนำอาวุธ ( ดาบ ) ติดพระองค์ไปด้วย พร้อมทั้งบริวารก็ถืออาวุธจำนวนหนึ่ง ทรงเดินถือดาบเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ( แต่บริวารของพระองค์ไม่สามารถเข้าไปได้ ) แต่ในที่สุดก็ทรงยอมยื่นดาบให้ "เจ้านายพระองค์หนึ่ง" ( ไม่กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี หรือไม่ก็ กรมหมื่นเทพพิพิธ ) ก่อนเข้าเฝ้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงตรัสถามพระมหาอุปราชเรื่องการถืออาวุธเข้ามาในวังเพื่อที่จะฆ่า "Tjauw Sakew" แต่พระมหาอุปราชไม่ทรงตอบคำถามดังกล่าว

 

๖. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงให้จับตัวพระมหาอุปราชไว้และล่ามโซ่ทั้งที่มือและเท้า ( การจองจำห้าประการ ) ทรงห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหาถ้าไม่ได้รับพระราชานุญาติจากพระองค์ ให้เจ้าองค์หนึ่ง ( ไม่กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี หรือไม่ก็ กรมหมื่นเทพพิพธ ) ขุนนาง ๒ คน คอยเฝ้าคุมอยู่ระหว่างที่เสวยพระกระยาหาร เนื่องจากพระมหาอุปราชไม่อยากเสวยพระกระยาหารนัก พระองค์จึงทรงเสวยได้น้อยมากในเวลา ๓ วัน ที่พระมหาอุปราชติดคุกอยู่ก้ได้มีคนนำเอาเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับพระมหาอุปราชมากราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษหลายเรื่อง

 

๗. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษจึงมีพระราชดำรัสสั่งให้ "Tjauw Sakew" กับ "Tjauw Cromme Kiesa Poon" ( กรมหมื่นจิตรสุนทร ) พร้อมทั้งเจ้าพระยาจักรี , เจ้าพระยาพระคลัง เป็นผู้สอบสวนพระมหาอุปราช แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรเลย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงลงพระอาญาให้โบยพระมหาอุปราช ๒๐ ที แต่ก็ไม่ได้ผล หลังจากนั้นพระมหาอุปราชทรงถูกโบยอีก ๒๐ ที และให้เผา “ ปลายพระบาท “ อีกด้วย ( นาบพระบาท ) ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้ผลนัก จึงมีพระราชดำรัสให้จับข้าหลวงสำคัญๆของพระมหาอุปราชเข้าคุกให้หมด เพื่อสอบสวนความต่างๆ ซึ่งได้มีการทรมานเฆี่ยนตีข้าหลวงเหล่านี้

 

๘. ได้ความว่า พระมหาอุปราชได้ทรงสั่งให้ทำกุญแจไขเข้าไปในพระบรมหาราชวัง ( ฝ่ายใน ) เพื่อที่จะได้ทรงเข้าไปหาพระมเหสีและพระสนมของของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษได้ในตอนกลางคืน นอกจากนั้นแล้วยังได้ความอีกว่า พระมหาอุปราชทรงรับสั่งให้ข้าหลวงซื้ออาวุธปืนไฟ ( ปืนยาว ) และดาบมาเก็บไว้

 

๙. และยังมีการกล่าหาพระมหาอุปราชอีกด้วยว่า ทรงรับสั่งให้ประหารชีวิตพระสงฆ์และคนอื่นๆอีกหลายคน ทรงรับสั่งให้ตัดมือตัดนิ้วมือของคนจำนวนหนึ่ง

 

๑๐. พอเจ้านาย ๒ องค์ เสนาบดี ๒ คนนี้ ( ดูข้อ ๗ ) รายงานเรื่องราวต่างๆนี้กราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ

 

๑๑. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงรับสั่งให้นำตัวเจ้าหญิงทั้ง ๔ องค์ ( Devier Princersen ) เข้ามาสอบสวน ที่แรกต่งทรงปฏิเสธ แต่เมื่อทรงถูกขู่มากๆเข้าก็ทรงยอมรับว่า พระมหาอุปราชมีแผนการที่จะลอบปลงพระชนม์ ( เวลาที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จเข้ามาหาพระมเหสี / พระสนม ) เพื่อที่จะได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ด้วยความร่วมมือของ เจ้านาย ( เจ้าฟ้าเอกทัศน์ ) และขุนนางจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งบริวารของพระมหาอุปราชเอง ซึ่งมีอาวุธพร้อมอยู่แล้วที่จะเข้ามายึดพระบรมหาราชวัง

 

๑๒. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงตกพระทัยมาก พอได้ยินเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพระมหาอุปราช จึงทรงมีรับสั่งให้เฆี่ยนตีพระมหาอุปราชอีก ๕๐ ที และให้เอาเหล็กร้อนๆมาจ่อที่หน้าผาก แขน และขา

 

๑๓. ส่วนพระมเหสีและพระสนมทั้งสี่องค์นั้นทรงถูกเฆี่ยนตีองค์ละ ๕๐ ที จนสิ้นพระชนม์ทั้งหมด บริวารของพระมหาอุปราชต่างถูกโบยทั้งสิ้นและมีที่เสียชีวิต ๒ ราย

 

๑๔. เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ค.ศ. ๑๗๕๖ พวกชาวฮอลันดาได้ข่าวว่า "พระมหาอุปราชทรงสิ้นพระชนม์แล้ว" พระองค์ก็ทรงมีพระราชดำรัสสั่งให้โบยพระมหาอุปราชอีก ๕๐ ที มีการซักถามพระมหาอุปราชอีกด้วยว่า ทรงรับสั่งให้ทำกุญแจเข้าไปในพระบรมหาราชวังเพื่อการอันใด ทรงตอบว่าเพื่อที่จะได้เข้าไปหา ( เป็นชู้ ) พระมเหสีและพระสนมถึง ๔ องค์ด้วยกัน

เจ้าฟ้าสังวาลนั้น ให้เฆี่ยนยกหนึ่ง ๓๐ ที อยู่ ๓ วันก็ถึงแก่พิราลัย กรมพระราชวังนั้น เฆี่ยนอีก ๔ ยกเป็น ๑๘๐ ก็ดับสูญสิ้นพระชนม์ จึงให้นำเอาศพไป ณ.วัดชัยวัฒนารามทั้งสององค์"

 

จากหลักฐานของฮอลันดา นอกจากเรื่องชู้แล้ว ก็ยังสะท้อนภาพการแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายระหว่างฝั่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลกับเจ้าสามกรมเหมือนกับพงศาวดาร แต่สิ่งที่มีมากกว่าพงศาวดารคือ การระบุความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับตัวกรมพระราชวังบวร ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าถูกหวาดระแวงหวาดระแวงว่าจะชิงราชสมบัติ จนเป็นเหตุให้ถูกลงโทษ เรื่องคบชู้ซึ่งเป็นประเด็นหลักตามพงศาวดารจึงดูจะกลายเป็นแค่ปัจจัยเสริมในหลักฐานร่วมสมัยเท่านั้น.....

 

Credit : http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6388.0

 

 

 

guest

Post : 2018-02-14 14:17:08.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  พระราชธิดาของพระนารายณ์ ต้องยาเสน่ห์ ของพระเพทราชา ทรงพระกรรเเสงตลอดทั้งคืน!!

 

 

พระราชธิดาของพระนารายณ์ ต้องยาเสน่ห์
ของพระเพทราชา ทรงพระกรรเเสงตลอดทั้งคืน!!

Live : สดๆ จันทร์ - ศุกร์ ก่อนเที่ยง เชิญที่ 
https://www.facebook.com/arjanpong123
#พระนารายณ์ #พระเพทราชา #กรมหลวงโยธาเทพ

 

 

 

กรมหลวงโยธาเทพทรงเป็นพระราชธิดาของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่า พระนารายณ์ทรงพระราชทานเกียรติยศและอำนาจให้กับพระราชธิดาพระองค์นี้อย่างที่ไม่เคยมีกษัตริย์พระองค์ใดทรงปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน ทำให้พระองค์ทรงมีพระอำนาจและอิทธิพลสูงในราชสำนักตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์

 

แต่เมื่อพระนารายณ์เสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาทสืบราชสมบัติ ชะตาชีวิตของกรมหลวงโยธาเทพต้องพลิกผัน เมื่อพระเพทราชาผู้เป็นเสนาบดีได้ปราดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ และทรงสถาปนาให้พระนางเป็นอัครมเหสีฝ่ายซ้ายในขณะที่พระองค์ยังทรงเศร้าโศกจากการจากไปของพระบิดาและน่าจะทรงคับแค้นใจไม่น้อยกับการกระทำของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่

 

อย่างไรก็ดี แม้พระเพทราชาจะทรงมีพระราชอำนาจเด็ดขาดในราชอาณาจักร แต่พระองค์ก็ไม่อาจใช้กำลังอำนาจบังคับกรมหลวงโยธาเทพได้ตามอำเภอใจ พระองค์จึงจำต้องใช้ “เวทย์มนต์” ในการแก้ปัญหา ดังพระราชพงศาวดารที่กล่าวว่า

 

“…ทรงพระกรุณาให้หาหมอทำเสน่ห์ ครั้นได้หมอมาแล้วก็ให้ทำตามวิธีการเสน่ห์ และกรมหลวงโยธาเทพก็ให้คลั่งไคล้ใหลหลงทรงพระกันแสงถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นกำลัง ครั้นเสด็จพระราชดำเนินไปครั้งหลังจึงยอม…”

 

Credit : https://www.silpa-mag.com/club/miscellaneous/article_1892

 

 

 

 

 

guest
ArjanPong
- Guest -

Post : 2018-02-13 14:00:13.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  Live : นักรบกรุงศรีฯ พระยารามรณรงค์ ถูกส่งให้ไปตาย!!

 

*** นักรบกรุงศรีฯ พระยารามรณรงค์ ถูกส่งให้ไปตาย!!..***

 

  

 

พระเจ้าหงษาวดีเห็นไทยแตกกันขึ้นก็จริงเปนที ก็ยกกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุทธยา เมื่อปีมะโรง จุลศักราช ๙๓๐ พุทธศักราช ๒๑๑๑ จัดเปนกองทัพ ๗ ทัพ จำนวนพล (พม่าว่า ) ห้าแสน พระมหาธรรมราชาคุมกองทัพไทย ฝ่ายเหนือลงมาช่วยพระเจ้าหงษาวดีด้วยทัพ ๑ ทัพ

 

พม่ายกเข้ามาคราวนี้เดินทางด้านแม่สอดเหมือนคราวก่อน เข้ามาได้สดวกด้วยไม่ต้องรบพุ่งตามระยะทาง ฝ่ายข้างกรุงศรีอยุทธยา ตั้งใจต่อสู้ด้วยเอาพระนครเปนที่มั่นอย่างเดียว การที่ต่อสู้ครั้งนี้ได้ความตามหนังสือพระราชพงษาวดารว่า ผู้คนข้างฝ่ายไทยแตกหนีเข้าป่าเสียมาก เกณฑ์ระดมคนไม่ได้มากเหมือนคราวก่อน การบังคับบัญชาของพระมหินทร์ก็ไม่สิทธ์ขาด สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ทรงผนวชอยู่ ต้องเชิญเสด็จลาผนวชออกมาทรงบัญชาการ

 

แต่มีพระยารามรณรงค์ผู้ว่าราชการเมืองกำแพงเพ็ชร์คนเก่าคน ๑ ซึ่งไม่เข้ากับพระมหาธรรมราชา มาทำราชการอยู่ในกรุง ฯ เปนคนเข้มแข็ง จัดการป้องกันพระนคร ในเวลานั้นลำน้ำทางด้านตวันออกตั้งแต่วัดมณฑปลงมาจนวัดพระเจ้าพนัญเชิงยังเปนคลองคูพระนคร กำแพงพระนครข้างด้านตวันออกนั้น ก็ยังอยู่ลึกเข้าไปมาก ด้านนี้ไม่มีแม่น้ำใหญ่เปนคูเหมือนอย่างด้านอื่น ต้องค่ายรายตลอด แต่ข้างด้านอื่นที่มีแม่น้ำใหญ่นั้น

 

ปรากฏว่าปลูกหอรบเอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งรายตลอด แลในคราวนี้ไทยหาปืนใหญ่เตรียมไว้มากกว่าคราวก่อน ๆ พม่าตั้งล้อมเข้าตีปล้นพระนครหลายครั้งก็เข้าไม่ได้ ไทยขอกองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตยกลงมาตีโอบหลัง พม่าก็ตีกองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตแตกไป พระเจ้าหงษาวดีตั้งล้อมกรุงศรีอยุทธยาอยู่ถึง ๗ เดือน ตีหักเอาพระนครอย่างไร ๆ ก็ไม่ได้ ด้วยข้างด้านใต้ลำแม่น้ำเจ้าพระยาน้ำลึกลงไปจนออกปากน้ำ ไทยอาไศรยใช้เรือใหญ่หาเครื่องสาตราวุธ แลสะเบียงอาหารส่งเข้าพระนครได้ แต่ถึงกระนั้นข้างไทยในพระนครก็บอบช้ำอิดโรยลงทุกที สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ก็สวรรคต

 

พระเจ้าหงษาวดีเห็นจวนจะถึงฤดูน้ำท่วม จึงให้พระมหาธรรมมหาราชาบอกเข้าไปในพระนครว่า พระเจ้าหงษาวดีขัดเคืองพระยารามรณรงค์คนเดียว ถ้าส่งตัวไปถวายแล้วเห็นจะยอมเปนไมตรี สมเด็จพระมหินทร์สำคัญว่าจริง ส่งตัวพระยารามรณรงค์ออกไปให้ พระเจ้าหงษาวดีก็ไม่เลิกทัพ กลับเร่งการตีพระนครทางข้างด้านตวันออก ข้างไทยก็ยังต่อสู้แขงแรง

 

พระเจ้าหงษาวดีเสียรี้พลลงอีกเปนอันมาก เห็นจะตีเอาพระนครไม่ได้ จึงเกลี้ยกล่อมพระยาจักรีที่เอาตัวไปพร้อมกับพระราเมศวรให้รับเปนไส้ศึก แล้วปล่อยตัวให้หนีเข้าไปในพระนคร ข้างสมเด็จพระมหินทร์สำคัญว่าพระยาจักรีหนีเข้ามาได้เอง เห็นเปนผู้ที่ต่อสู้พม่าแขงแรงมาแต่ก่อน ก็มอบการงานให้พระยาจักรีบัญชาการรักษาพระนครแทนพระยารามรณรงค์ ข้างพระยาจักรีเปนไส้ศึก แกล้งถอดถอนผลัดเปลียนแม่ทัพนายกองที่เข้มแขงไปเสียจากน่าที่ ก็เสียพระนครแก่พระเจ้าหงษาวดี เมื่อ ณวันอาทิตย์เดือน ๑๑ แรม ๙ ค่ำ ปีมะเส็ง จุลศักราช ๙๓๑ พุทธศักราช ๒๑๑๒ ด้วยความทรยศของไทยด้วยกันเอง!!...

 

Credit : ประชุมพงษาวดารเรื่องไทยรบพม่า
โดย: สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

 

guest

Post : 2018-02-12 13:41:23.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เปิดตำนาน

 

*** เปิดตำนาน "โกฮับ" ก๋วยเตี๋ยวเรืออันลือลั่น!!..***

www.arjanpong.com
#ตำนาน #โกฮับ #ก๋วยเตี๋ยว #รังสิต

 

 

 

 

ตำนานก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิตที่ขึ้นชื่อและโด่งดังของปทุมธานี คือโกฮับ ย้อนผ่านไปประมาณปี พ.ศ. 2500-2510 ใครที่ใช้เส้นทางถนนพหลโยธินข้ามสะพานข้ามคลองรังสิต จะเห็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือขึ้นบก โดยมีการนำเอาเรือก๋วยเตี๋ยวมาตั้งหน้าร้านหลายเจ้า เปิดแข่งกัน แต่ละร้านก็ขึ้นป้ายเชื่อมโยงโกฮับเช่นโก.. หลานโกฮับ โก..เหลนโกฮับ เต็มไปหมดจนไม่ทราบว่าใครเป็นทายาทตัวจริงของโกฮับกันแน่

 

แต่จากการที่มีร้านก๋วยเตี๋ยวเรือมากมาย ในย่านสะพานรังสิต ทำให้ก๋วยเตี๋ยวเรือเป็นที่รู้จักและเริ่มแพร่หลายออกไปมาแล้ว 86 ปี ผู้สร้างตำนานก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิต คือโกฮับ ซึ่งผู้คนรุ่นใหม่สมัยนี้คงจะไม่รู้จักคิดว่าโกฮับไม่มีตัวตนจริง คงเป็นชื่อที่เรียกขานกันเล่นๆ หรือเป็นนิทานที่เล่ากันปากต่อปากกันมาเกี่ยวกับเรื่องก๋วยเตี๋ยวเท่านั้น ความเป็นจริงแล้ว โกฮับมีตัวตนจริง ขายก๋วยเตี๋ยวเรือเป็นเจ้าแรกอยู่ในคลองรังสิตประยูรศักดิ์หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันสั้นๆว่า คลองรังสิต ราคาชามละ3 สตางค์

 

ข้อมูลประวัติโกฮับที่ค้นคว้าได้อ้างอิงจากผู้รู้ในท้องถิ่น*1 ทราบว่า โกฮับ เป็นชาวจีนไหหลำ แซ่เดิมคือแซ่ห่านเกิดราวปี พ.ศ.2428 บ้านอยู่ข้างโรงพักเก่าริมทางรถไฟ ติดกับประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี มีภรรยาไม่ปรากฏชื่อ มีบุตรชาย 1 คน ชื่อนายประสิทธิ์ แซ่ห่าน ขายผ้าอยู่ในตลาดใหม่ดอนเมือง ต่อมาเป็นโรคประสาทและเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2508

 

โกฮับเริ่มขายก๋วยเตี๋ยวเรือเมื่อเขาอายุได้ 30 ปีในราวปี พ.ศ.2475 โดยใช้เรือสำปั้นพายไปตามคลองรังสิตและคลองซอยต่างๆตั้งแต่เช้า พอถึงเวลาเที่ยงวันโกฮับจะใส่หมวกกุ๋ยเล้ยพายเรือมาจอดขายบริเวณปากคลองสว่าน(ที่เรียกว่าคลองสว่าน เพราะเรือขุดใช้สว่านขนาดใหญ่ไชดินให้เป็นคลอง)ใต้ถุนสะพานแก้วนิมิต หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันติดปากว่าสะพานแก้วในปัจจุบัน เนื่องจากคนงานอู่เรือขุดคลองชลประทานรังสิต หยุดพักเที่ยงจะมาซื้อรับประทาน โกฮับ เลิกขายก๋วยเตี๋ยวเรือเมื่ออายุได้ 67 ปี ตรงกับปี พ.ศ.2494

 

ความโด่งดังก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตกโกฮับ ไม่ใช่จะรู้จักกันแค่เพียงคนงานอู่เรือขุดเท่านั้น ชาวดอนเมืองกรุงเทพมหานครก็พากับมารับประทานกันทุกวันคลองรังสิตในสมัยนั้นบ้านเรือนปลูกอยู่ห่างกันไม่หนาแน่นเหมือนเดี๋ยวนี้ น้ำในคลองใสสะอาดมองเห็นตัวปลามาแวกว่ายกินเศษอาหาร ริมคลองรังสิตไม่มีต้นหญ้า ไม่มีผักตบชวา มองดูโล่งเตียนไม่มีอะไรกั้นหรือปิดบังเป็นทิวทัศน์ที่สะอาดและสวยงามมาก

 

ในช่วงที่โกฮับขายก๋วยเตี๋ยวเรืออยู่นั้น ก็มีคนหันมาขายก๋วยเตี๋ยวเรือกันมากขึ้น เช่น โกเหลียง โกสุ๋ย โกตี๋ ฯลฯ ซึ่งโกฮับมีสูตรเด็ดเคล็ดลับง่ายๆของก๋วยเตี๋ยวน้ำตก คือการแล่เนื้อวัวเป็นชิ้นเล็กๆแล้วกองวางไว้บนตะแกรงทับด้วยก้อนน้ำแข็ง ใต้ตะแกรงมีภาชนะรองรับเลือดที่ถูกละลายมากับน้ำแข็ง ก็จะนำมาทำเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำตกเพิ่มรสชาติของความอร่อยในการรับประทาน และเป็นที่มาของคำว่า”น้ำตก” ซึ่งในปัจจุบันเกือบจะไม่มีให้เห็นวิธีการทำดังกล่าว

 

หลังจากที่โกฮับเลิกขาย คนที่รับช่วงขายก๋วยเตี๋ยวเรือต่อมาคือนายเปี๊ยก และก็มีการเขียนชื่อร้านของตัวเองว่าก๋วยเตี๋ยวเรือต้นตำรับ หลานโกฮับบ้าง แหลนโกฮับบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับการที่จะเขียนชื่อร้านเรียกลูกค้ากันอย่างไร ตามแต่ละร้านที่จะหาชื่อมาเชื่อมโยงกับโกฮับดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

 

และจากคำบอกเล่าของ นางนันทา ทรายแก้ว อายุ 62 ปี ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยโกฮับขายก๋วยเตี๋ยวที่ตึกตรงสะพานใหม่ โกฮับมีลูกชาย 1 คน ชื่อ เฮง และลูกสาวอีก 1 คน เป็นโรคประสาท ตอนอยู่ที่รังสิตไม่ได้ช่วยขายจะมีเพื่อนชื่อ “ยี” บ้านอยู่คลอง 7 ที่ช่วยโกฮับขาย แต่ตอนนี้แต่งงานและไปอยู่ จังหวัดอุบลราชธานี และมีคนชื่อ “ต๊อก” เป็นญาติของฉันแต่ไปอยู่พิษณุโลกแล้ว ตอนนั้นที่ฉันไปอยู่กับโกฮับอายุประมาณ 13 – 14 ปี พอเขาจะเอาตึกคืนโกฮับกลับมารังสิต ก็ไม่ได้มาช่วยเพราะเตี่ยไม่ยอมให้ช่วย

 

จากคำบอกเล่าของคนเก่าแก่ของคนในท้องที่พบว่า “โกฮับ” นั้นเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือยุคแรกๆที่อยู่ในคลองรังสิตประยูรศักดิ์ แห่งนี้

 

Credit : http://www.rangsit.org/rsftmk/gohub_history.html

 

 

 

 

 

guest

Post : 2018-02-07 13:56:04.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เปิดเรื่องลี้ลับ เมืองกรุงเก่า!!

 

*** เปิดเรื่องลี้ลับเมืองกรุงเก่า เสียงมโหรี-ผีหัวขาดบนกำแพง!!..***

www.arjanpong.com
#ลี้ลับ #วิญญาณ #อยุธยา #พลังภูผา

 

 

       

 

 

"เปิดประสบการณ์ขนหัวลุกเมืองกรุงเก่า" รอง ผวจ. เผยเคยโดนมาแล้วกับตัว ได้ยินเสียง "มโหรี" ปริศนาแว่วมากลางดึก ขณะที่กองถ่ายละครเจอดี เห็นผีสาวสวมชุดไทยไร้หัว นั่งบนกำแพงวัดพระศรีสรรเพชญ์!

 

จากกรณีที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวชมโบราณสถานในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา แล้วหยิบเศษอิฐเก่ากลับไป 3 ชิ้น แต่ภายหลังปรากฏว่า ต้องพบกับเรื่องราวและความเดือดร้อนจนต้องส่งพัสดุคืนมาให้กับการท่องเที่ยว โดยทางเจ้าหน้าที่และชาวบ้านเชื่อกันว่า วิญญาณบรรพบุรุษกรุงศรีอยุธยาตามทวงคืน ตามที่เสนอข่าวไปนั้น ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. นายเรวัต ประสงค์ รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า สมัยที่เป็นหน้าห้องของ นายประเสริฐ โยธีพิทักษ์ รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา ขณะนั้นมี นายบรรจง กันตวิรุฒ เป็นผวจ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณปี 2539

ได้มีคนแอบลักลอบขุดบริเวณจวนผู้ว่าฯ และพบเงินพดด้วงจำนวนมาก จากนั้นนำไปขายให้กับร้านค้าในเกาะเมืองรวมทั้งแผงของเก่า ซึ่งทางราชการได้ประกาศให้นำมาคืน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครนำมาคืนเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน ก็มีคนทยอยนำเงินพดด้วงและสร้อยสังวาลโบราณไปคืนให้ที่สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ส่วนใหญ่เป็นญาติๆของคนที่เอาไปบอกว่าคนที่เอาไปจริงๆประสบอุบัติเหตุ และเรื่องราวเดือดร้อนในชีวิต จึงนำเงินพดด้วงทั้งหมดมาคืน

 

นายเรวัต ยังเปิดเผยประสบการณ์ตรงด้วยว่า เมื่อคราวที่จัดงาน"ยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก" ปี 57 บริเวณลานวัฒนธรรมตรงข้ามวัดมงคลบพิตร ใกล้กับวัดพระราม มีการนำภาพเก่ามาแสดงและมีการแสดงลิเกดนตรีไทยปรากฏว่า ภายหลังงานเลิกไปแล้วเวลาประมาณเที่ยงคืน ตนอยู่กับเจ้าหน้าที่บริเวณพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง จู่ๆพวกตนทั้งหมดได้ยินเสียงระนาด ปี่พาทย์ บรรเลงอยู่ จึงกันได้ชวนกันไปดู แต่ก็ปรากฏว่าไม่มีใครเลยจึงรีบเดินทางกลับ ช่วงเช้าวันถัดมาจึงได้มีการกราบไหว้ขอขมาและบวงสรวงอีก ซึ่งเชื่อว่าเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษ มาเที่ยวชมงาน ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ส่วนที่บริเวณวัดมหาธาตุ และวัดพระศรีสรรเพชญก็ยังพบว่ามีนักท่องเที่ยวนำอิฐเก่ามาเรียง หลายคนเชื่อว่าเป็นความเชื่อหรือบางคนได้นำอิฐเก่าเหล่านั้นกลับมาคืนนั่นเอง

 

ขณะที่ นายกรพจน์ หากวี อายุ 35 ปี อดีตเคยรับจ้างถ่ายภาพให้กับนักท่องเที่ยวบริเวณทางเข้าวัดพระศรีสรรเพชญ์ เปิดเผยว่า เคยเห็นนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศส หยิบอิฐเก่าๆบริเวณวัดพระศรีสรรเพชญ์ขึ้นมา แล้วขอไกด์นำกลับไปด้วยอยากเก็บเป็นที่ระลึก ซึ่งไกด์ก็บอกว่าไม่อยากให้เอาไป แต่นักท่องเที่ยวไม่ฟังหยิบใส่กระเป๋าไป 1 ชิ้น

 

ปรากฎว่าเวลาผ่านไปเกือบเดือนพบกับไกด์คนเดิมนำก้อนอิฐที่นักท่องเที่ยวเอาไปนำมาคืน โดยไกด์เล่าให้ฟังว่านักท่องเที่ยวดังกล่าวเจอเรื่องร้ายๆและประสบอุบัติเหตุจึงได้ส่งพัสดุมาให้ตนแล้วให้ตนนำมาคืน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออีกทั้งกองถ่ายละครหลายกองที่เข้ามาถ่ายทำที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ เวลากลางคืนก็มักจะพบเจอผู้หญิงสวมใส่ชุดไทยมีสะใบแต่ไม่มีศีรษะ นั่งพับเพียบบนกำแพง จนต้องมีการจุดธูปขอขมาซึ่งเชื่อว่ายังมีวิญญาณของบรรพบุรุษอยู่มากมายอิฐทุกก้อนจะมีส่วนในอดีตไม่ควรที่จะเอาไป... ..

 

Credit : https://www.dailynews.co.th/regional/625391

 

 

 

 

 

guest
admin
- Guest -

Post : 2018-02-04 10:44:27.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  จุดจบ เนเมียวสีหบดี!!

 

 

*** จุดจบ เนเมียวสีหบดี!!....***
www.arjanpong.com
#เนเมียวสีหบดี #อังวะ #อยุธยา #กรุงเเตก

 

      

 

 

หลังจากตีกรุงศรีอยุธยาได้แล้ว เนมโยสีหปเต๊ะ หรือเนเมียวสีหบดี (ชื่อตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียก หลักฐานไทยเรียก โปสุพลา) ได้รับบำเหน็จตั้งเป็น "โยธยาหวุ่น" ควบคุมเชลยคนไทย ภายหลังมีปฏิบัติการทางทหารในแถบล้านนาและล้านช้างเป็นหลัก

 

ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้ขึ้นไปปราบจลาจลอยูในล้านนาร่วมกับมหาสีหสูระ (อะแซหวุ่นกี้) ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ได้สำเร็จ สีหปเต๊ะก็ขึ้นไปตีเมืองหลวงพระบางใน พ.ศ. ๒๓๑๔ เนื่องจากเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ทรงขอความช่วยเหลือจากอังวะมาช่วยป้องกันเมืองจากเจ้าสุริยวงศ์แห่งหลวงพระบาง หลังจากตีเมืองหลวงพระบางได้สำเร็จปราบล้านช้างได้ราบคาบ สีหปเต๊ะจึงลงมาประจำการที่เชียงใหม่เพื่อกะเกณฑ์ไพร่เตรียมการยกทัพตีกรุงธนบุรีอีก ปรากฏว่ายกมาตีเมืองพิชัยอยู่สองครั้งใน พ.ศ. ๒๓๑๕ และ ๒๓๑๖ แต่ไม่สำเร็จ

 

จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๑๗ อังวะเตรียมการบุกตีกรุงธนบุรีโดยให้ยกทัพไปสองทางเหมือนตอนเสียกรุง โดยให้มังกรีกามณีจันทะ เจ้าเมืองเมาะตะมะยกทัพจากทางใต้ และให้เนมโยสีหปเต๊ะยกทัพมาจากทางเหนือลงจากเชียงใหม่

 

สีหปเต๊ะไว้วางใจให้ขุนนางล้านนาอย่างพญาจ่าบ้าน กับเจ้ากาวิละแห่งลำปางเป็นทัพหน้า (ทั้งสองมีเรื่องขัดแย้งกับโปมะยุง่วนหรือสะโตมังถาง พม่าเจ้าเมืองเชียงใหม่ที่กดขี่ราษฎรจนพญาจ่าบ้านเคยจะก่อกบฏกลางเมืองเชียงใหม่ แต่สู้ไม่ได้หนีไปพึ่งสีหปเต๊ะที่เวียงจันทน์ สีหปเต๊ะจึงให้ความคุ้มครองทั้งสองนับแต่นั้น) แต่ทั้งสองหนีไปเข้ากับพระเจ้ากรุงธนบุรี แล้วช่วยให้ทัพไทยตีเมืองเชียงใหม่มาจากพม่าได้สำเร็จ

 

เนมโยสีหปเต๊ะต้องหนีไปอยู่ที่เมืองแหน (น่าจะเป็น อ.เวียงแหง เชียงใหม่) แล้วไปที่เมืองหน่ายของไทใหญ่ไม่ได้กลับไปที่อังวะ โดยในเอกสารคำให้การชาวอังวะที่เรียบเรียงจากปากคำของอะภะยะกามณี เจ้าเมืองเชียงแสนที่ตกเป็นเชลยในสมัยรัชกาลที่ ๑ ระบุว่า

"โปสุพลาเนมะโยกามะนีแตกหนีออกจากเมืองเชียงใหม่ ไปอยู่เมืองหน่าย ฝ่ายภรรยาโปสุพลาซึ่งอยู่ ณ เมืองอังวะนั้น เจ้าอังวะจำไว้ ภรรยาโปสุพลาให้คนมาบอกโปสุพลาว่า อย่าให้ไปเมืองอังวะเป็นอันขาดทีเดียว โปสุพลาจึงหลบหลีกอยู่ ณ บ้ายซุยเกียน ใกล้กันกับเมืองตองอูทางห้าวัน"

 

เนมโยสีหปเต๊ะกับกองทัพประจำอยู่ที่เมืองหน่ายถึง พ.ศ. ๒๓๑๙ โดยเตรียมจะรวมกำลังกับมหาสีหสูระเพื่อยกไปตีกรุงธนบุรี แต่เนื่องจากพระเจ้ามังระสวรรคต พระเจ้าจิงกูจาที่เป็นโอรสได้ราชสมบัติแทน

 

เมื่อสิ้นพระเจ้ามังระแล้ว แม่ทัพคู่บารมีของพระองค์ผู้นี้ ก็ถูกพระเจ้าจิงกูจาบุตรชายของพระองค์สั่งปลดทิ้งเสียจากตำแหน่งและถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองสะกาย จากนั้นก็หายเงียบไป และพระเจ้าจิงกูจาก็ได้แต่งตั้ง เนเมียวสีหบดีคนใหม่ซึ่งเป็นคนของพระองค์ขึ้นแทน (เนเมียวสีหบดีเป็นชื่อยศ)..........

 

Credit : https://th.wikipedia.org/…/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B…

 

 

 

guest

Post : 2018-02-01 14:46:06.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เสียค่ายวัดพนัญเชิญ!! สถานการณ์พลิก กรุงแตก!!

        

 

 

 

 

 

 

           

 

*** ทำไมกองทัพกรุงศรีอยุธยา ถึงรบแพ้อังวะที่ยกมาน้อย?!! ***

 

www.arjanpong.com

#วัดพนัญเชิง #อยุธยา #พม่า #พลังภูผา

 

ทัพอังวะยกมามีไม่เยอะก็จริง แค่ 4 หมื่นต้นๆ แต่เขามารวบรวมคนจากหลายแหล่งจนมหาศาล พอเข้าเขตไทย กำลังพลก็เกือบแสน (พม่า 40,000, ล้านนา/ไทใหญ่ 30,000 , มอญทวาย+มอญในไทย 25,000, ล้านช้าง+คนไทสวามิภักดิ? 6,000+ ) ขณะที่ไทยตอนนั้นรวมทหารมาเฝ้ากรุงยังมีทหารไม่เกิน 5-60,000 นายเอง

 

นอกจากนั้นพม่ายังมีการวางแผนเตรียมพร้อมมาอย่างดี ถึงขั้นคำนวนศักราชว่า ปี 2309 ระดับน้ำหลากในอยุธยาจะน้อยกว่าปกติ จึงไม่ต้องถอยทัพหนีในฤดูน้ำทวมอีก ทำให้แผน"ป้อมเมือง"ที่ฝ่ายเราเตรียมไว้ต้องล้มเหลว แผนสุดท้ายของเราที่เหลือคือ ต้องรบถ่วงเวลาตามสถานการณ์ จนกว่าพระเจ้ามังระจะเรียกกองทัพกลับไปช่วยเมืองแม่

 

แต่ก็มีปัญหาเรื่องเสียค่ายวัดพนัญเชิง ทำให้เส้นทางส่งกระสุนถูกปิดลง ศักยภาพการป้องกันเมืองจึงลดต่ำลงอีก จนไม่สามารถรักษาเมืองได้ก่อนที่กองทัพพม่าจะต้องยกกลับ ซึ่งก็อีกไม่เกินเดือนเอง......

 

จากภาพ : วัดพนัญเชิง พ.ศ 2451

 

Credit : Pantip/3638727

처음 이전 ... 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>