Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2018-11-02 12:38:08.0     Forum: ข่าว  >  เจงกีสข่าน กับความโหดเหี้ยมของกองทัพปีศาจ!!

*** ข่าวพลังภูผา..***
เจงกีสข่าน กับความโหดเหี้ยมของกองทัพปีศาจ!!
www.arjanpong.com
#เจงกีสข่าน #มองโกล #พลังภูผา
เจงกิสข่านและกองทัพมองโกลของเขาบุกตะลุยไปทั่วเอเชีย สังหารโหดและพิชิตดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของโลก ไม่มีกองทัพใดสามารถยืนขวางทางของพวกเขาได้ เมื่อถึงตอนที่การพิชิตสิ้นสุดลง พวกเขา ก็กวาดล้างประชากร 1 ใน 10 ของโลกไปแล้ว...

มันต้องใช้กองทัพอันแข็งแกร่งและเหี้ยมโหดในการกระทำดังกล่าว นักรบในกองทัพมองโกลไม่มีทางเลือกที่จะอ่อนแอ ชีวิตในกองทัพมองโกลหมายถึงการยอมสละแม้แต่ความสะดวกสบายพื้นฐานที่สุด และทำบางสิ่งที่น่าสยองขวัญสุดขีด คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนจะพาไปดูกันครับว่าพวกเขาเคยทำอะไรไว้บ้าง...

...พวกมองโกลไม่เคยซักเสื้อผ้า...

ทหารมองโกลในยุคของเจงกิสข่านเชื่อว่า การทำให้น้ำปนเปื้อนจะสร้างความโกรธให้พวกมังกรซึ่งควบคุมวงจรชีวิตของน้ำ พวกเขา กลัวว่าถ้าทำให้น้ำสกปรก ทวยเทพจะส่งพายุมาทำลายบ้านเรือนของพวกเขา และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่ล้างสิ่งใดๆด้วยน้ำ...

การอาบน้ำในน้ำที่ไหลหรือการซักเสื้อผ้าเป็นสิ่งต้องห้าม นักรบมองโกลส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกเขาด้วยซ้ำ อย่างมากพวกเขาก็จะตีเสื้อผ้าเหล่านั้นเพื่อไล่เห็บเหาแล้วนำมันมาสวมใหม่ พวกเขาสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกันวันแล้ว วันเล่า จนกระทั่งมันเปื่อยยุ่ยและสวมใส่ไม่ได้อีกต่อไป...

พวกเขาไม่ล้างจานในน้ำเช่นกัน แต่ล้างมันในน้ำซุปที่เหลือจากอาหารมื้อล่าสุด จากนั้น พวกเขาก็รินน้ำซุปที่ใช้แล้วกลับเข้าไปในหม้อและปรุงเป็นอาหารมื้อต่อไป...

แน่นอนว่าพวกเขาต้องมีกลิ่นตัวแรง แต่ก็ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจสำหรับเรื่องนี้ เพราะมันมีพลังในกลิ่นสาบ ถือว่าเป็นเกียรติ ถ้าท่านข่านมอบเสื้อคลุมให้ใครบางคน ไม่ใช่เพียงเพราะคนคนนั้นได้เสื้อผ้าของเจงกิสข่าน แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาสามารถสวมใส่กลิ่นสาบของท่านข่านตลอดเวลาด้วย...

เรียนการขี่ม้าเมื่ออายุ 3 ขวบเมื่อเด็กมองโกลเดินได้ พวกเขาก็เรียนการขี่ม้า ทุกครอบครัวมีม้าอย่างน้อย 1 ตัว ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ทหารหรือชาวนา คนเลี้ยงแกะก็จะดูแลฝูงสัตว์ของพวกเขาบนหลังม้า พวกเขาต้องพร้อมรบตั้งแต่วัยเยาว์ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มต้นเมื่ออายุได้สามขวบ...

พวกมองโกลมีอานม้าที่สั่งทำสำหรับเด็กๆ ออกแบบให้มีความปลอดภัยเป็นพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเด็กๆจะไม่บาดเจ็บ เด็กๆต้องเริ่มฝึกหัดในทันทีที่เป็น ไปได้ เมื่อชาวยุโรปเห็น เข้าก็ทึ่งจนต้องเขียนจดหมายกลับมาเล่าว่าเด็กหญิงตัวน้อยๆในมองโกเลียขี่ม้าเก่งกว่าผู้ชายชาวยุโรปส่วนใหญ่เสียอีก...

เด็กๆยังต้องเรียนยิงธนูด้วย ทันทีที่พวกเขาเริ่มขี่ม้า ก็จะได้รับธนูคันจิ๋วและถูกสอนให้ยิง ชาวมองโกลในยุคของเจงกิสข่าน การขี่ม้าและการยิงธนูนั้นสำคัญพอๆกับการเดิน...

...ดื่มเลือดจากคอม้า...

กองทัพมองโกลเดินทางเป็นระยะทางไกลอย่างเหลือเชื่อ ภายในวันเดียวพวกเขาสามารถเดินทางได้ไกล 130 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ในยุคของพวกเขาไม่เคยได้ยินกันมาก่อน ต้องใช้การขี่ม้าอย่างทรหดจึงจะทำได้เช่นนั้น และพวกเขาไม่มีเวลาที่จะหยุดเพื่อกินอาหาร...

เพื่อทำให้การเดินทางเช่นนั้นเป็นไปได้ พวกเขาจึงยัดเนื้อดิบไว้ใต้อานม้า เชื่อกันว่ามันทำให้เนื้อนุ่มและเพื่อตัดแบ่งเนื้อดังกล่าวออกมากินได้ขณะม้ากำลังวิ่งอยู่ แต่เรื่องนี้ยังมีข้อถกเถียง บางคนเชื่อว่าเนื้อนั้นมีไว้สำหรับช่วยบรรเทาอาการแสบหลังของม้าขณะเดินทางระยะไกลมากกว่า...

มาร์โคโปโลอ้างว่านักรบเหล่านี้ขี่ม้าเป็นเวลา 10 วันรวดโดยไม่ได้หยุดพักให้นานพอที่จะก่อกองไฟได้ เมื่อกระหายน้ำพวกเขาจะเจาะรูที่คอของม้าและดื่มเลือดที่ไหลปรี่ออกมา...

...ผู้ชายมองโกลมีเมียได้ 30 คน...

ชาวมองโกลมีข้อห้ามในการมีเซ็กซ์นอกสมรส ถ้าชายคนหนึ่งถูกจับได้ว่ามีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เขาจะถูกตัดริมฝีปาก ถ้ามีคนพบตอนอยู่บนเตียงด้วยกัน ชายคนนั้นจะถูกฆ่า และถ้าเขาถูกจับได้พร้อมกับหญิงบริสุทธิ์ที่ยังไม่แต่งงาน ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะถูกประหารชีวิต...

แต่ถ้าเขาแต่งงาน ก็จะมีเมียได้มากเท่าที่ต้องการ หรือมากเท่าที่จะมีปัญญา เพราะเขาจะต้องจ่ายค่าสินสอดสำหรับเมียแต่ละคน และต้องจัดหากระโจมให้เธอเป็นที่อยู่อาศัย ชายชาวมองโกลบางคนมีเมีย 30 คน และเจงกิสข่านเองมีหลายร้อย...

...บุตรคนสุดท้องเป็นผู้รับช่วงบรรดาภรรยาของพ่อ...

เมื่อชีวิตของชาวมองโกลคนหนึ่งมาถึงจุดจบ เพื่อให้แน่ใจว่าบรรดาภรรยาของเขาจะได้รับการดูแล ที่ดินและทรัพย์สินของเขาจะถูกแบ่งให้แก่ลูกชายทั้งหมดของเขา โดยส่วนที่ดีที่สุดจะตกเป็นของลูกชายคนสุดท้อง เขาจะได้รับบ้านของพ่อ ทาสของพ่อ และรวมทั้งบรรดาเมียของพ่อ...

ชายหนุ่มคนนั้นไม่ต้องแต่งงานกับแม่ของตัวเอง แต่เขาถูกคาดหวัง ว่าจะแต่งงานกับเมียคนอื่นๆทั้งหมดของพ่อ แต่ด้วยเหตุที่ไม่มีกฎตายตัว เขาจึงได้รับอนุญาตให้เลือกปฏิบัติตามใจตัวเองได้ด้วย...

...ใช้สงครามจิตวิทยา...

หนึ่งในวิธีสำคัญที่พวกมองโกลกลายเป็นนักฆ่าที่มีประสิทธิภาพก็คือการใช้จิตวิทยา มองโกลคงไม่อาจพิชิตใครต่อใครได้หลายชาติโดยการสู้รบแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีวิธีทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้เป็นจำนวนมากที่สุดโดยไม่ต้องสูญเสียชีวิตทหาร...

ถ้ากองทัพฝ่ายตรงข้ามใหญ่กว่า พวกเขาจะวางหุ่นจำลองลงบนหลังม้าอะไหล่หรือจุดกองไฟ เพิ่มเติมเพื่อให้ดูเหมือนมีคนมากขึ้น ถ้ากองทัพของพวกเขา ใหญ่กว่า พวกเขาก็จะขี่ม้าเป็นแถว ตอนเรียงเดี่ยวโดยผูกกิ่งไม้ติดไปกับหางม้าเพื่อสร้างม่านฝุ่นควันให้ดูว่ามีจำนวนม้ามหาศาล...

ทหารมองโกลเดินทางไปพร้อมกับกระโจม พักที่สามารถกางออกก่อนปิดล้อม เป็นบ้านมือถือรุ่นแรกเลยทีเดียว พวกเขายังเคยใช้สีของกระโจมสร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชนที่อยู่ภายในกำแพงเมือง การตั้งกระโจมสีขาว หมายถึงถ้า ยอมแพ้เดี๋ยวนี้พวกเขาจะได้รับการไว้ชีวิต ถ้าพวกเขาไม่ยอมจำนน พวกมองโกลก็จะตั้งกระโจมสีแดงเป็นการบอกว่าเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่จะถูกฆ่า ส่วนการตั้งกระโจมสีดำ คือการประกาศว่าทุกคนภายในกำแพงจะต้องตาย...

...สังหารหมู่ทั้งเมือง...

กุญแจสำคัญสำหรับการสร้างความหวาดกลัวทางจิตวิทยาก็คือชื่อเสียงในความโหดร้าย พวกมองโกลต้องการให้ศัตรูของพวกเขาเชื่อว่าถ้าไม่ยอมแพ้ ทุกคนในเมืองจะถูกฆ่าอย่างสยดสยอง ซึ่งก็ไม่ต้องใช้เล่ห์กลใดๆเพื่อให้ได้รับชื่อเสียงดังกล่าว เพราะพวกเขาทำมันจริงๆ...

ถ้าเมืองนั้นไม่ยอมแพ้ กองทัพมองโกลจะสังหารหมู่ทุกคนภายในเมือง ทั้งผู้หญิงและเด็ก ถูกสังหารโหดทั้งหมด บางครั้งถึงกับล้อมจับแมวและสุนัขฆ่าพวกมันเพื่อข่มขวัญด้วยซ้ำ หัวของผู้แพ้จะถูกตัดและกองเป็นพีระมิดหัวกะโหลกเพื่อให้ใครก็ตามที่ผ่านมาเห็นได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าทำให้ท่านข่านโกรธ...

...ดีดศพติดเชื้อข้ามกำแพงเมือง...

กองทัพมองโกลน่าจะเป็นกองทัพแรกที่ใช้สงครามชีวภาพ ในขณะที่บุกตะลุยเข้าไปในยุโรป พวกมองโกลก็เจอกับกาฬโรค ถ้าเป็นทัพอื่นคงเผ่นกลับ แต่มองโกลกลับใช้มันสร้างความได้เปรียบ...

ศัตรูตั้งมั่นอยู่ภายในนครคาฟฟา ซึ่งพวกมองโกลปิดล้อมอยู่ เมื่อกาฬโรคเริ่มคร่าชีวิตพวกมองโกล พวกเขาตระหนักว่าไม่อาจปิดล้อมอยู่ได้นานๆอีกต่อไป แต่ก็ต้องการให้เกิดผลกระทบอันยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจากไป ดังนั้น พวกเขาจึงโยนศพข้ามกำแพงเมืองไป...

ศพทหารมองโกลที่ตายด้วยกาฬโรคจะถูกวางบนเครื่องดีดและถูกส่งให้บินข้ามกำแพงไป ผู้คนในเมืองก็พยายามกำจัดศพเหล่านั้นโดยการโยนลงทะเล แต่ก็ทำให้ระบบส่งน้ำของพวกเขาปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไปอีก ในไม่ช้ากาฬโรคก็ระบาดไปทั่วเมือง...

บางคนหนีออกจากกำแพงเมืองไปไกลทางทิศตะวันตก แต่มันสายเกินไป เพราะคนเหล่านั้นเป็นพาหะของโรคไปเรียบร้อยแล้ว และการที่หนีออกไปทางตะวันตก ก็กลายเป็นการแพร่เชื้อไปทั่วยุโรป...
.
...ฆ่าโดยไม่ให้หลั่งเลือด...

พวกมองโกลเชื่อว่าเลือดบรรจุอยู่ในแกนวิญญาณของมนุษย์ พวกเขาไม่กล้าทำให้เลือดของคนชั้นสูงหยดลงดิน โดยเชื่อว่ามันจะทำให้พื้นดินแปดเปื้อน ดังนั้นเมื่อพวกเขาฆ่าคนในราชวงศ์ พวกเขาจึงต้องหาวิธีอื่นๆ...

ตามปกติ คนสูงศักดิ์จะถูกอุดจมูกและปากหรือถูกจับกดน้ำ ถ้าสมาชิก คนหนึ่งของตระกูลข่านทรยศ เจงกิสข่านจะมัดผู้ทรยศในผืนพรมและโยนลงแม่น้ำ แต่บางครั้งก็มีวิธีที่สร้างสรรค์ได้สยดสยองกว่านั้น กูยุคข่านจัดการหนึ่งในคู่แข่งโดยการเย็บปิดทวารทั้งหมดแล้วผลักลงในแม่น้ำ...

กับศัตรูผู้สูงศักดิ์ก็เช่นกัน ครั้งหนึ่ง มองโกลมัดเจ้าชายรัสเซียจำนวนหนึ่งไว้ใต้แผ่นกระดานและจัดงานเลี้ยงบนกระดานแผ่นนั้นเพื่อให้พวกเขาหายใจไม่ออกและตายโดยไม่ต้องหลั่งเลือด และอีกครั้ง เจงกิสข่านได้สั่งฆ่าชายคนหนึ่งโดยการเทเงินที่หลอมเหลวลงในดวงตาของเขา...

เรียกได้ว่าโหดระดับโลกเลยทีเดียว!!......

Credit : https://www.thairath.co.th/content/920025

.............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-01 12:14:57.0     Forum: ข่าว  >  ความจริงของ"ศรีธนนชัย!!.."

***ข่าวพลังภูผา..***
ความจริงของ"ศรีธนนชัย!!.."
www.arjanpong.com
หนังสือของ ผศ.ดร.ประภัสสรื ชูวิเชียร(คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร) ได้กล่าวถึงวรรณกรรม "กำสรวลสมุทร" ว่า เเต่งในยุคต้นอยุธยา..

กำสรวลสมุทรโคลงดั้น เป็นพระราชนิพนธ์ยุคต้นอยุธยา ราวปี พ.ศ 2000 ท่านศิลปินเเห่งชาติ สุจิตต์ วงษ์เทศ เเละนักปราชญ์หลายท่านทั้งในเเละนอกกรมศิลปากร มีความเห็นสอดคล้องกันว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้านายในยยุคนั้น...

พ.ณ ประมวญมารค (หม่อมเจ้า จันทร์จิรายุ รัชนี โอรส น.ม.ส.) ตรวจสอบพบว่า เป็นพระราชนิพนธ์สมเด็จพระบรมราชา (โอรสสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) มีหลักฐานสนับสนุนหนักเเน่น ท่านจึงรวบรวมเป็นเล่ม พิมพ์ครั้งเเรก พ.ศ 2502...

ศรีธนนชัย อยู่ในวรรณกรรมกำสรวลสมุทร น่าจะได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมมาจาก อินโด-เปอร์เซีย เพื่อเล่าสู่กันฟังผ่อนคลายความตึงเครียดในชีวิตประจำวันตามจารีตประเพณี...

พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ทรงเลือกแต่งศรีธนญชัย ตอน "ฉันไม่ยอมเป็น" ถวายพระนางเธอลักษมีลาวัณ นำไปทำเป็นละครระบำ...

ละครระบำเรื่องศรีธนญชัย เปิดการแสดงที่โรงนครเกษม เมื่อวันที่ 5-6-7 ตุลาคม พ.ศ.2478 เริ่มเวลา 2 ทุ่มครึ่ง...

ละครเริ่มตอนศรีธนญชัยทำผิด พระเจ้าแผ่นดินสั่งให้ประหารชีวิต โดยมีเงื่อนไข มีคำกลอนบรรยายความเอาไว้ "ให้ใส่กรงไปไว้ที่ชายฝั่ง เลือกที่ตั้งต่ำๆให้น้ำถึง ถ้าร้องเอ็ดถึงวังจนดังอึง ก็จึงจักโปรดยกโทษทัณฑ์"...

ยังมีบทสนทนายั่วยิ้มระหว่างนายผู้คุมกรงขังกับศรีธนญชัย

- ศรีธนญชัย "นี่ นี่ นี่แน่ะพ่อ นี่ นี่ เอาฉันมาใส่กรงไว้ที่นี่ทำไม" 
- ผู้คุม "เอามาให้กินอากาศทะเลไงล่ะ" 
- ศรีธนญชัย "กินนอกกรงไม่ได้รึนาย"
- ผู้คุม "ไม่ได้หรอก อากาศชายทะเลตรงนี้ขุ่น ต้องกรองให้ผ่านซี่กรงเข้าไปถึงจะบริสุทธิ์"

ผู้คุมกลับไปแล้ว ศรีธนญชัยในกรงก็ตะเบ็งเสียงร้อง
กูไม่ยอมเป็น...กูไม่ยอมเป็น"...

เสียงร้องดังไปเข้าหูนายเรือสำเภาจีนที่แล่นผ่านมา นายสำเภา จอดเรือถาม ศรีธนญชัยก็เล่าให้ฟัง "เขาจะให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่ฉันไม่อยากเป็น"...

เรื่องก็เดินไปตามในนิทาน นายสำเภาจีนอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ขอยอมเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกรงแทน มอบหมายให้ศรีธนญชัยเป็นนายสำเภาคุมเรือไปเมืองจีนแทน...

ศรีธนญชัยกลัวลูกเรือสไตรก์ ขอให้สาบานว่าจะเชื่อฟังคำสั่ง แล้วก็คุมเรือไปเมืองจีน ไปกินอาหารจีนชั้นดี มีสาวงามเต้นระบำให้ดู จบภารกิจค้าขายแล้วก็แล่นเรือสำเภากลับเมือง

พระเจ้าแผ่นดินตรัสกับศรีธนญชัย

"ข้าก็แปลกใจ ขังเอ็งไว้ในกรง แต่พอตายแล้วทำไมมันถึงได้กลายเป็นศพจีนไปได้"

นี่ก็คือฉากเด็ดที่ ละครระบำเรื่องศรีธนญชัย ของท่าน น.ม.ส. ที่ทรงเลือกเเต่งเอาไว้ จนเป็นตำนานกล่าวขานกันมามาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้......

..........

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-31 15:23:08.0     Forum: ข่าว  >  ดำรง พุฒตาล รถคว่ำ!!

   

 

                 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ดำรง พุฒตาล รถคว่ำ!!
www.arjanpong.com
#ดำรงพุฒตาล #รถคว่ำ #พลังภูผา
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก @Sompong Somvong โพสต์ระบุว่า "มีรายงานข่าวแจ้งว่า นายดำรง พุฒตาล พิธีกรโทรทัศน์ชื่อดัง อดีต สว.และเจ้าของนิตยสาร คู่สร้างคู่สม ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่ประเทศอิตาลี ได้รับบาดเจ็บ ต้องเย็บถึง 15 เข็ม" พร้อมกับโพสต์รูปภาพ 2 ใบ ภาพแรกเป็นภาพขณะเจ้าหน้าที่กำลังทำแผลที่ศีรษะและมือขวาให้กับ นายดำรง ส่วนอีกภาพเป็นตอนที่ทำแผลเสร็จแล้ว ก่อนจะเข็นขึ้นเปลที่นายดำรง นอนอยู่เข้าห้องให้แพทย์ดูอาการอีกครั้ง...

จากการสอบถาม นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ได้ออกมายืนยันว่า อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แต่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่ได้มีอาการสาหัสจนถึงขั้น ต้องเป็นกังวลแต่อย่างใด โดยมีผู้ที่เข้ามาแสดงความตกใจจำนวนมาก รวมทั้งร่วมให้กำลังใจขอให้นายดำรงปลอดภัย....

Credit : https://www.dailynews.co.th/regional/674396

.................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-31 10:23:29.0     Forum: ข่าว  >  พระราชโอรสในสมเด็จพระนเรศวร หายไปไหน??

*** ข่าวพลังภูผา..***
พระราชโอรสในสมเด็จพระนเรศวร หายไปไหน??
www.arjanpong.com
#สมเด็จพระนเรศวร #กรุงศรีอยุธยา #พลังภูผา
ครั้งหนึ่งบาทหลวงนิกายฟรานซิสกัน ได้เห็นพระเจ้าแผ่นดินประทับในเรือพระที่นั่งที่ตกแต่ง ประดับประดาแล้วล้วนไปด้วยพระปฏิมากร เพื่อจะเสด็จพระราชดำเนินเยือนพระอารามแห่งหนึ่ง มีเรือสี่ลำแล่นล่วงหน้าไปก่อนเรือพระที่นั่ง เพื่อเป็นการค้ำประกันความปลอดภัยของพระเจ้าแผ่นดิน เรือเหล่านี้บรรทุกผู้คนเป่าแตรเงินเล็กๆ เพื่อป่าวประกาศการเสด็จพระราชดำเนินถึง บรรดาเรือล้วนมีรูปทรงวิจิตรพิสดารและแกะสลักอย่างน่าพิศวงด้วยรูปปฏิมา ประดับประดาอย่างหรูหรา ก่อเกิดความรู้สึกประทับใจถึงโขลงช้างที่ลอยเหนือน่านน้ำ ด้วยเรือเหล่านี้ลอยเลื่อนไปเบื้องหน้าและท้ายเรือโลดทะยาน....

เรือสี่ลำเหล่านี้หยุดที่พระอารามแห่งหนึ่งบนชายฝั่ง เพราะพวกเขาคาดหมายว่า พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงเจริญพระพุทธมนต์และทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ตามติดมาอย่างใกล้ชิด เรือสี่ลำนั้นเป็นเรืออื่นๆอีกหลายลำที่ใหญ่กว่านั้น แต่ละลำบรรทุกผู้คนมากมายที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบประเภทต่างๆ..

เรือแต่ละลำมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แห่งราชสำนัก 1 คน แล้วจากนั้นเป็นพระราชกุมารพระองค์เยาว์ที่สุดในพระเจ้าแผ่นดินที่เสด็จ ปรากฏพระองค์ในเรือพระที่นั่งที่ตกแต่งอย่างหรูหรามาก ตามติดมาเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีและสาวสรรกำนัลใน สมเด็จพระอัครมเหสีประทับแต่เพียงลำพังพระองค์ และบรรดานางกำนัลนั่งในเรือลำอื่นที่ตกแต่งอย่างน่าอัศจรรย์ และกั้นด้วยม่านอย่างรอบคอบ จนเป็นไปได้ที่จะสามารถมองผ่านม่านจากภายในออกมาสู่โลกภายนอกได้ โดยที่คนภายนอกไม่เห็นคนภายใน...

สุดท้ายที่มาถึง ในกระบวนพยุหยาตราโดยชลมารคคือองค์พระมหากษัตริย์ ประทับในเรือพระที่นั่งขนาดกว้างใหญ่ที่ดูแต่ไกลเหมือนนกกระยางตัวมหึมา ที่แผ่ปีกอันกว้างใหญ่ออกมา เป็นเรือพระที่นั่งปิดทองทั้งองค์ และโดยที่ฝีพายมีเป็นจำนวนมาก อิริยาบถในการพายของพวกเขาจึงดูเหมือนนกตัวใหญ่เหินลมเหนือท้ายเรือพระที่นั่ง พระเจ้าแผ่นดินประทับเหนือพระราชบัลลังก์ เคียงข้างพระองค์เป็นสาวน้อยผู้เลอโฉมข้างละ 2 คนคอยถวายอยู่งานโบกพัด เพื่อให้พระองค์ทรงสดชื่นจากความร้อนระอุของดวงอาทิตย์...

ทันทีที่เรือพระที่นั่งหยุดลง ฝูงชนก็ผลักดันกันไปข้างหนึ่งและหมอบราบลง และยกมือขึ้นประนมให้ลักษณาการศิโรราบ จนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินผ่านไป แล้วเรือพระที่นั่งของพระราชกุมารผู้ทรงพระเยาว์ ก็ติดตามมาพรั่งพร้อมด้วยเหล่าขุนนางชั้นสูง...

เมื่อพระเจ้าแผ่น ดินเสด็จพระราชดำเนินถึงพระอาราม พระองค์ได้รีบเสด็จไปถวายเครื่องราชสักการะแด่พระปฏิมากรทั้งหลาย และหลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จลงสรงสนานกลางสระน้ำใสในปริมณฑลของพระอาราม บรรดาเจ้าพนักงานภูษามาลาและชาวที่ได้อัญเชิญน้ำสรงปริมาณหนึ่งไว้เพื่อสักการบูชา และพวกเขาได้อยู่งานถวายพระมูรธาภิเษก จนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินกลับสู่พระราชวัง พระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นพระมหากษัตราธิราชเจ้าผู้ทรงพระมหาการุณยภาพ ทรงเป็นที่หวาดหวั่นครั่นคร้ามมาก แต่ก็ทรงเป็นพระปิยราชด้วยในเวลาเดียวกัน...

จดหมายเหตุบาทหลวงริบาเดเนอิราถูกเขียนขึ้นใน พ.ศ.2139 ส่วนข้อความในจดหมายเหตุฉบับดังกล่าวใช้คำว่า "พระราชกุมารพระองค์เยาว์ที่สุด" แสดงว่าพระองค์มีพระราชโอรสที่องค์เจริญพระชันษากว่าพระโอรสที่อยู่ในเรือพระราชพิธีครั้งนั้น...

เเล้วบรรดาพระราชโอรสเหล่านั้น ต่างพากันหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของบ้านนี้เมืองนี้ไปได้อย่างไร??.....

.............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-30 11:48:04.0     Forum: ข่าว  >  จุดจบเนเมียวสีหบดี!!..

*** ข่าวพลังภูผา..***
จุดจบเนเมียวสีหบดี!!..
www.arjanpong.com
#เนเมียวสีหบดี #อยุธยา #พลังภูผา 
หลังจากตีกรุงศรีอยุธยาได้แล้ว เนมโยสีหปเต๊ะ หรือเนเมียวสีหบดี (ชื่อตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียก หลักฐานไทยเรียก โปสุพลา) ได้รับบำเหน็จตั้งเป็น "โยธยาหวุ่น" ควบคุมเชลยคนไทย ภายหลังมีปฏิบัติการทางทหารในแถบล้านนาและล้านช้างเป็นหลัก...

ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้ขึ้นไปปราบจลาจลอยูในล้านนาร่วมกับมหาสีหสูระ (อะแซหวุ่นกี้) ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ได้สำเร็จ สีหปเต๊ะก็ขึ้นไปตีเมืองหลวงพระบางใน พ.ศ. ๒๓๑๔ เนื่องจากเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ทรงขอความช่วยเหลือจากอังวะมาช่วยป้องกันเมืองจากเจ้าสุริยวงศ์แห่งหลวงพระบาง หลังจากตีเมืองหลวงพระบางได้สำเร็จปราบล้านช้างได้ราบคาบ สีหปเต๊ะจึงลงมาประจำการที่เชียงใหม่เพื่อกะเกณฑ์ไพร่เตรียมการยกทัพตีกรุงธนบุรีอีก ปรากฏว่ายกมาตีเมืองพิชัยอยู่สองครั้งใน พ.ศ. ๒๓๑๕ และ ๒๓๑๖ แต่ไม่สำเร็จ...

จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๑๗ อังวะเตรียมการบุกตีกรุงธนบุรีโดยให้ยกทัพไปสองทางเหมือนตอนเสียกรุง โดยให้มังกรีกามณีจันทะ เจ้าเมืองเมาะตะมะยกทัพจากทางใต้ และให้เนมโยสีหปเต๊ะยกทัพมาจากทางเหนือลงจากเชียงใหม่...

สีหปเต๊ะไว้วางใจให้ขุนนางล้านนาอย่างพญาจ่าบ้าน กับเจ้ากาวิละแห่งลำปางเป็นทัพหน้า (ทั้งสองมีเรื่องขัดแย้งกับโปมะยุง่วนหรือสะโตมังถาง พม่าเจ้าเมืองเชียงใหม่ที่กดขี่ราษฎรจนพญาจ่าบ้านเคยจะก่อกบฏกลางเมืองเชียงใหม่ แต่สู้ไม่ได้หนีไปพึ่งสีหปเต๊ะที่เวียงจันทน์ สีหปเต๊ะจึงให้ความคุ้มครองทั้งสองนับแต่นั้น) แต่ทั้งสองหนีไปเข้ากับพระเจ้ากรุงธนบุรี แล้วช่วยให้ทัพไทยตีเมืองเชียงใหม่มาจากพม่าได้สำเร็จ...

เนมโยสีหปเต๊ะต้องหนีไปอยู่ที่เมืองแหน (น่าจะเป็น อ.เวียงแหง เชียงใหม่) แล้วไปที่เมืองหน่ายของไทใหญ่ไม่ได้กลับไปที่อังวะ โดยในเอกสารคำให้การชาวอังวะที่เรียบเรียงจากปากคำของอะภะยะกามณี เจ้าเมืองเชียงแสนที่ตกเป็นเชลยในสมัยรัชกาลที่ ๑ ระบุว่า...

"โปสุพลาเนมะโยกามะนีแตกหนีออกจากเมืองเชียงใหม่ ไปอยู่เมืองหน่าย ฝ่ายภรรยาโปสุพลาซึ่งอยู่ ณ เมืองอังวะนั้น เจ้าอังวะจำไว้ ภรรยาโปสุพลาให้คนมาบอกโปสุพลาว่า อย่าให้ไปเมืองอังวะเป็นอันขาดทีเดียว โปสุพลาจึงหลบหลีกอยู่ ณ บ้ายซุยเกียน ใกล้กันกับเมืองตองอูทางห้าวัน"

เนมโยสีหปเต๊ะ(โปสุพลา)กับกองทัพประจำอยู่ที่เมืองหน่ายถึง พ.ศ. ๒๓๑๙ โดยเตรียมจะรวมกำลังกับมหาสีหสูระเพื่อยกไปตีกรุงธนบุรี แต่เนื่องจากพระเจ้ามังระสวรรคต พระเจ้าจิงกูจาที่เป็นโอรสได้ราชสมบัติแทน...

เมื่อสิ้นพระเจ้ามังระแล้ว แม่ทัพคู่บารมีของพระองค์ผู้นี้ ก็ถูกพระเจ้าจิงกูจาบุตรชายของพระองค์สั่งปลดทิ้งเสียจากตำแหน่งและถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองสะกาย จากนั้นก็หายเงียบไป และพระเจ้าจิงกูจาก็ได้แต่งตั้ง เนเมียวสีหบดีคนใหม่ซึ่งเป็นคนของพระองค์ขึ้นแทน (เนเมียวสีหบดีเป็นชื่อยศ)...

จากตรงนี้ เนเมียวฯก็กลายสภาพเป็นนักโทษหนีอาญาแผ่นดินไม่กล้าไปราชสำนักอังวะอีก รอนแรมไปตายอย่างไร้ครอบครัว ถูกตีตราเป็นทาสหลวง สาสมกับวีรกรรมที่ฆ่าคนกรุงศรีไป 2 แสนคน!!.........

..............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-29 21:49:13.0     Forum: ข่าว  >  ชิ้นส่วน 'ไลออนแอร์' ลอยเกลื่อนน่านน้ำ หลังประสบอุบัติเหตุดิ่งทะเลชวา!!

 

 

               

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ชิ้นส่วน 'ไลออนแอร์' ลอยเกลื่อนน่านน้ำ 
หลังประสบอุบัติเหตุดิ่งทะเลชวา!!
www.arjanpong.com
#ไลออนเเอร์ #เครื่องบินตก #อินโดนีเซีย
เครื่องบินโดยสารของสายการบิน ‘ไลออนแอร์’ ประสบอุบัติเหตุตกทะเลนอกชายฝั่งเกาะชวา หลังออกเดินทางจากกรุงจาการ์ตาพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 189 ชีวิตเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (29 ต.ค.) ล่าสุดเจ้าหน้าที่อิเหนาได้เผยภาพคราบน้ำมันและชิ้นส่วนสัมภาระของผู้โดยสารที่พบในทะเลใกล้กับจุดที่เครื่องบินตก...

เจ้าหน้าที่กระทรวงคมนาคมอิเหนาระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าวขาดการติดต่อกับหอควบคุมการบินหลังออกเดินทางไปได้ไม่กี่นาที...

คณะกรรมการความปลอดภัยขนส่งแห่งชาติอินโดนีเซีย (NTSC) ยืนยันว่า เครื่องบินลำนี้มีผู้โดยสารและลูกเรือรวมทั้งสิ้น 189 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารวัยผู้ใหญ่ 178 คน เด็ก 1 คน และทารก 2 คน พร้อมด้วยนักบิน 2 คนและพนักงานต้อนรับอีก 6 คน...

โยฮาเนส สิราอิต เจ้าหน้าที่จาก AirNav ซึ่งเป็นผู้ให้บริการนำร่องเดินอากาศในอินโดนีเซีย ระบุว่า นักบินได้ส่งสัญญาณขอวกกลับมาลงจอดที่ฐาน และได้รับอนุญาตจากหอควบคุมการบิน ก่อนที่จะหายไปจากจอเรดาร์...

โฆษกสำนักงานค้นหาและช่วยชีวิตแห่งอินโดนีเซียแถลงว่า เที่ยวบิน JT610 ขาดการติดต่อหลังออกเดินทางไปได้เพียง 13 นาที และมีเรือลากจูงที่กำลังล่องออกจากท่าเรือในกรุงจาการ์ตาแจ้งเข้ามาว่า เห็นเครื่องบินลำหนึ่งร่วงลงสู่ทะเล...

“ขณะนี้ยืนยันได้แล้วว่าเครื่องบินตก” ยูซุฟ ลาตีฟ โฆษกสำนักงานค้นหาและช่วยชีวิตระบุผ่านข้อความมือถือ หลังผู้สื่อข่าวสอบถามเกี่ยวกับชะตากรรมของไลออนแอร์ที่สูญหาย ซึ่งข้อมูลจากเว็บไซต์ติดตามเที่ยวบิน flightradar24 ระบุว่าเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 737 Max 8 ...

“เครื่องบินตกลงไปในทะเลลึกประมาณ 30-40 เมตร” เขาให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี...

เจ้าหน้าที่ของบริษัทเปอร์ตามินา (Pertamina) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจพลังงาน ระบุว่า มีผู้พบเห็นเบาะโดยสารและชิ้นส่วนอื่นๆ ที่คาดว่ามาจากเครื่องบินลำนี้ลอยอยู่กลางทะเลใกล้กับโรงกลั่นน้ำมันนอกชายฝั่ง...

มูฮัมหมัด เชากี หัวหน้าสำนักงานค้นหาและช่วยชีวิต ยืนยันว่ามีการพบซากชิ้นส่วนเครื่องบินใกล้กับจุดที่ไลออนแอร์ขาดการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ภาคพื้น...

“เรายังไม่ทราบว่ามีผู้รอดชีวิตหรือไม่ เราต่างหวังและสวดภาวนา แต่ก็ยืนยันไม่ได้” เชากี แถลงต่อสื่อมวลชน...

เที่ยวบิน JT610 เดินทางออกจากกรุงจาการ์ตาเมื่อเวลา 6.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น และมีกำหนดไปถึงเมืองปังกัลปีนัง (Pangkal Pinang) ในจังหวัดบังกาเบอลิตุง (Bangka Belitung) ในเวลา 7.20 น.

เอ็ดเวิร์ด สิราอิต ผู้บริหารไลออนแอร์กรุ๊ป ยังปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลใดๆ แต่ยืนยันว่าจะมีการแถลงข่าวภายในวันนี้ (29)...

ข้อมูลจาก Flightradar24 แสดงให้เห็นว่า เครื่องบินโดยสารลำนี้พุ่งทะยานขึ้นไปถึงระดับความสูง 5,000 ฟุต จากนั้นก็ลดระดับลงอย่างกะทันหัน และนักบินได้พยายามนำเครื่องกลับขึ้นไปใหม่ ก่อนจะร่วงลงสู่ทะเล...

ข้อมูลที่บันทึกในช่วงสุดท้ายระบุว่า เครื่องบินลำนี้ลอยอยู่ที่ความสูง 3,560 ฟุต ห่างจากชายฝั่งไปทางทิศเหนือราวๆ 15 กิโลเมตร และได้เพิ่มความเร็วเป็น 345 น็อต...

โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับโบอิ้ง 737 Max ซึ่งเป็นเครื่องบินโดยสารทางเดินเดียว (single-aisle) เวอร์ชั่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากขึ้น และเริ่มนำมาให้บริการแก่ผู้โดยสารในปี 2017...

มาลินโดแอร์ซึ่งเป็นสายการบินสัญชาติมาเลเซียในเครือไลออนแอร์ เป็นหนึ่งในสายการบินแรกๆ ของโลกที่รับมอบเครื่องบินโดยสารรุ่นนี้...

โบอิ้งยืนยันผ่านทวิตเตอร์ว่าได้รับรายงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด...

Credit : https://mgronline.com/around/detail/9610000107769

guest

Post : 2018-10-29 13:20:03.0     Forum: ข่าว  >  คำสาปแช่งของรัสปูติน!!

*** ข่าวพลังภูผา..***
คำสาปแช่งของรัสปูติน!!
www.arjanpong.com
#รัสปูติน #รัสเซีย #พลังภูผา
ในยุคที่ราชวงศ์โรมานอฟเกรียงไกร มีกษัตริย์ผู้ปรีชาสามารถหลายพระองค์ ที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้รัสเซีย โดยเฉพาะพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม..

และเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต ราชบัลลังก์ตกเป็นของ “พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สอง” และพระมเหสี “พระนางเจ้าอเล็กซานดรา”..

ในปี ค.ศ 1906 พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สองและพระมเหสี ก็ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหาองค์รัชทายาทชายสืบราชบัลลังก์ เนื่องจากทรงมีพระราชธิดาล้วนๆ 4 พระองค์ ทรงสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าขอให้ประทานพระราชโอรส ในที่สุดก็สมพระทัยหวังได้พระราชโอรส ตั้งพระนามให้ว่า “เจ้าชายอเล็กไซ นิโคลาวิช โรมานอฟ”...

กระนั้น เจ้าชายน้อยกลับมีพระพลานามัยอ่อนแอ ทรงประชวรด้วยโรค “ฮีโมฟีเลีย” (โรคเลือดไหลไม่หยุด) ซึ่งเป็นโรคร้ายที่ยังไม่มีวิธีรักษาในยุคนั้น ทรงปกปิดเรื่องนี้มิให้แพร่งพราย และพยายามเสาะแสวงหาหมอเก่งๆมารักษาพระราชโอรส แต่ทั้งแผ่นดินก็ยังไม่สามารถเยียวยาอาการป่วยขององค์รัชทายาท...

นี่เองคือจุดเริ่มต้นการสร้างตำนานมนต์ดำของ “กริกอรี รัสปูติน” บุรุษลึกลับลูกชาวนาจากไซบีเรีย ที่ร่ำลือว่าเป็นหมอเทวดา ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน...

เมื่อ “พระนางเจ้าอเล็กซานดรา” ตามตัว “รัสปูติน” เข้าวัง พ่อหมอก็สร้างปาฏิหาริย์ ด้วยการรักษาอาการป่วยของเจ้าชายน้อยจนเกือบหายสนิท และทุกครั้งที่พระราชโอรสอาการกำเริบอีก มีเพียง “รัสปูติน” ที่เยียวยาให้ฟื้นได้ เขามิได้ใช้ยาวิเศษใดๆ แต่รักษาด้วยพลังจิตและท่องคาถามนต์ดำ...

นับแต่นั้นมาตลอด 12 ปี รัสปูตินได้กลายเป็นคนสนิทของราชวงศ์ และเป็นที่ไว้วางพระทัยมากของพระมเหสี โดยได้รับเชิญเข้าไปพำนักในเขตพระราชฐานชั้นใน เพื่อถวายการรักษารัชทายาทอย่างใกล้ชิด...

นอกจากชื่อเสียงหมอเทวดา “รัสปูติน” ยังดังเรื่องความเป็นคาสโนวา ลือกันว่าเขามักมากในกามารมณ์ และมีเสน่ห์ทางเพศรุนแรงบางตำราระบุว่า รัสปูตินมีขนาดอวัยวะเพศยาวถึง 13 นิ้ว!! และเคยร่วมนิกายนอกรีต ที่ประกอบพิธีมนต์ดำลวงผู้หญิงมาบูชายัญ ล้อมวงดื่มเหล้า เต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และชวนกันมีเซ็กซ์หมู่ เมื่อได้เข้าวังคลุกคลีกับนางข้าหลวงและชนชั้นสูงมากมาย “รัสปูติน” ก็สร้างเรื่องอื้อฉาวกระฉ่อนเมือง มีเสียงลือหนักว่า แม้แต่พระมเหสีก็หลงใหลพ่อหมอ เพราะเชื่อว่าพระเจ้าได้สื่อสารกับพระองค์ผ่านรัสปูติน...

ความเหิมเกริมของรัสปูตินทำให้เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงและข้าราชบริพารผู้ภักดีอดรนทนไม่ไหว ภายใต้การนำของ “เจ้าชายยูสโซบอฟ” ทรงเล็งเห็นว่ารัสปูตินเป็นภัยร้ายแรงต่อราชสำนัก และความมั่นคงของชาติ พระองค์วางแผนลับกับขุนนางสนิท ลวงรัสปูตินมาฆ่า!! โดยจัดไวน์ชั้นดีกับเค้กผสมยาพิษร้ายแรงให้ดื่มกิน แต่ยาพิษทำอะไรพ่อหมอไม่ได้ เจ้าชายโมโหมากจึงควักปืนยิงคว่ำต่อหน้า แต่กลับไม่ตาย เขาพยุงร่างเดินโซเซออกไปหน้าวัง แม้กลุ่มขุนนางจะระดมยิงซ้ำ กระสุนปืนก็ไม่สามารถฆ่าพ่อหมอได้ เมื่อไม่รู้จะฆ่าแกงอย่างไร จึงพุ่งเข้าจับรัสปูตินมัดและโยนลงน้ำเย็นยะเยือก สุดท้ายเขาจบชีวิตด้วยการจมน้ำตาย!!..

ก่อนตายไม่นาน พ่อหมอกราบทูลพระมเหสีว่า "ข้าพเจ้ารู้ว่าจะถูกฆ่าตายในไม่ช้า ขอให้พระองค์รับรู้ว่า หากมีเชื้อพระวงศ์ใดสังหารข้าพเจ้า พระองค์และครอบครัวต้องสวรรคตภายในสองปี ด้วยฝีมือประชาชนของพระองค์เอง" จากนั้นไม่นาน คำสาปของรัสปูตินก็สำแดงฤทธิ์ จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รัสเซีย...

Credit : https://www.thairath.co.th/content/534311

 

 

 

guest

Post : 2018-10-28 13:20:18.0     Forum: ข่าว  >  คลิป ฮ.เสี่ยวิชัย ตกข้างสนามบอลเลสเตอร์ ซิตี้!!

 

 

                     

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
คลิป ฮ.เสี่ยวิชัย ตกข้างสนามบอลเลสเตอร์ ซิตี้!!
www.arjanpong.com
#เสี่ยวิชัย #เลสเตอร์ซิตี้ #คิงเพาเวอร์
จากกรณีสำนักข่าวต่างประเทศสกาย สปอร์ตส์ รายงานว่า เฮลิคอปเตอร์ของเจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของกิจการกลุ่ม คิง พาวเวอร์ และประธานสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ประสบเหตุขัดข้องตกลงใกล้กับสนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ซึ่งเป็นสนามเหย้าของเลสเตอร์ซิตี ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตั้งอยู่ในเมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ จนเพลิงลุกไหม้ ภายหลังจากที่ขึ้นบินไปได้ไม่นาน กลับหมุนเสียการควบคุมและตกลงบริเวณลานจอดรถ โดยยังไม่มีรายงานว่าผู้ที่โดยสารอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวเป็นใครบ้าง...

ทั้งนี้ ผู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่า เห็นเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวหมุน เสียการควบคุม และดิ่งลงพื้น ภายหลังจากที่ขึ้นบินภายหลังจากจบการแข่งขันระหว่างเลสเตอร์ เสมอกับ เวสต์แฮม 1-1 ได้ไม่นาน...

Credit : https://www.dailynews.co.th/foreign/673808

......................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-27 15:17:01.0     Forum: ข่าว  >  "ทวินันท์"ซัดเพลง"ประเทศกูมี" ลั่นไม่พอใจก็ไสหัวไป!

 

 

                

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
"ทวินันท์"ซัดเพลง"ประเทศกูมี" ลั่นไม่พอใจก็ไสหัวไป!
www.arjanpong.com
กลายเป็นประเด็นร้อนอีกหนึ่งเรื่องที่พูดถึงในโลกออนไลน์ สำหรับเพลง "ประเทศกูมี" ของกลุ่มศิลปิน แร็พ Rap Against Dictatorship ซึ่งเนื้อหาของเพลงดังกล่าว พูดถึงเรื่องราวเสียดสีสังคมและการเมือง รวมถึงเอ็มวีที่มีการจำลองเหตุการณ์ผู้คนยืมดูหุ่นที่ถูกแขวนคอ ซึ่งคล้ายกับภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2519 ล่าสุด หลังจากที่หน่วยงานต่างๆ รวมถึงรัฐบาลได้ออกมาแสดงความเห็นถึงเพลงดังกล่าว ทำให้เพลง "ประเทศกูมี" เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางเพิ่มมากขึ้น ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น...

ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊กของ "ทวินันท์ คงคราญ" อดีตนักร้องดังและผู้ประกาศชื่อดัง ก็ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นถึงเพลงดังกล่าวอย่างเผ็ดร้อน โดยระบุว่า "ประเทศกูก็มี คนดีๆ อยู่เต็มเมือง แต่บางทีก็มีคนชั่วชอบทำเรื่อง ด่าว่าบ้านเมืองให้เสียหาย..ถ้า_ _ไม่พอใจ ก็ไสหัวไปให้พ้นบ้านเมือง_"

ทั้งนี้ เพลงดังกล่าวทำยอดวิวยูทูปกำลังจะถึงหลัก 6 ล้านวิวภายในไม่กี่ชั่วโมง และยังถูกจับตาว่ามีจะมีความผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์หรือไม่.......

Credit : https://www.dailynews.co.th/regional/673683
https://www.youtube.com/watch?v=scqEjAWEr_g

...................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-27 12:09:51.0     Forum: ข่าว  >  ตำนาน ท้าวปาจิต-อรพิม ที่จริงเเล้วมาจากไหน??

*** ข่าวพลังภูผา..***
ตำนาน ท้าวปาจิต-อรพิม ที่จริงเเล้วมาจากไหน??
www.arjanpong.com
ปาจิต-อรพิม เป็นเรื่องราวของการพลัดพรากระหว่างเจ้าชายจากเมืองพรหมพันธ์นคร ที่ได้รับคำทำนายว่าต้องไปตามหาคู่ที่เมืองอื่น และโหรทำนายว่าคู่ของตนจะอยู่ในท้องของหญิงที่มีกลดให้ร่มเงาอยู่ตลอดเวลา...

เจ้าชายปาจิตเดินทางไปพบนางบัว ซึ่งกำลังตั้งครรภ์และกำลังดำนา โดยมีร่มเงาตามนางตลอดเวลา จึงได้ขออาศัยช่วยดูแลลูกที่เกิดมา คือนางอรพิม จึงเป็นแหล่งกำเนิดชื่อบ้านจารย์ตำรา-บ้านสัมฤทธิ์ (เนื่องจากพบนางอรพิม) บ้านตำแย (เพราะไปเรียกหมอตำแยมาให้นางบัว) บ้านนางเหริญ (ที่นางอรพิมหัดเดิน)...


เมื่อนางอรพิมอายุได้สิบหกปี เจ้าชายปาจิตจึงเดินทางไปยังบ้านเมืองของตนเพื่อนำขันหมากมาสู่ขอนางอรพิม ระหว่างทางกลับมาได้แวะพักที่บ้านพลับพลา ได้ยินข่าวว่าท้าวพรหมทัตได้ลักพานางอรพิมไปไว้ในวัง จึงขว้างปาขันหมากที่นำมา ทิ้งเงินทองไว้กลายเป็นชื่อเมืองลำปลายมาศ เป็ดทองไปอยู่ที่ถ้ำเป็ดทอง ทุบเกวียนเหลือแต่ล้อกลายเป็นบ้านกงรถ แล้วรีบไปหานางอรพิมโดยปลอมเป็นพี่ชาย...


เมื่อนางอรพิมเห็นจึงเรียกว่า "พี่มา" กลายเป็นชื่อเมืองพิมายในปัจจุบัน หลังสังหารกษัตริย์พรหมทัต ทั้งสองต่างก็หลบหนีไปตามทาง และพบกับนายพรานซึ่งลอบฆ่าปาจิตและนางอรพิมก็ฆ่านายพรานเสีย นางอรพิมได้รากไม้จากพระอินทร์ทำให้ปาจิตฟื้น เดินทางจนมาพบสามเณรที่พานางอรพิมหลบหนีปาจิต นางจึงออกอุบายให้สามเณรขึ้นไปที่ต้นมะเดื่อแล้วเอาหนามสุมไฟ เณรตายไปกลายเป็นแมงหวี่ตอมผลมะเดื่อ...


นางอรพิมปลอมเป็นชาย ฝากอวัยวะที่แสดงความเป็นหญิงของตนไว้กับต้นไม้ต่างๆ เช่น หน้าอกฝากไว้กับต้นงิ้วป่า ฝากโยนีไว้ที่ต้นมะกอกโคกหรือต้นสำโรง เมื่อเดินทางไปเมืองจัมบากได้ช่วยธิดาเจ้าเมืองและออกบวชจนกลายเป็นสังฆราชา..

ต่อมาสั่งให้คนวาดรูปเรื่องราวของตนและปาจิต จนกระทั่งปาจิตมาพบและได้ร้องไห้กับรูปภาพจนนางอรพิมรู้ว่านี่คือสามีของนาง จากนั้นก็เดินทางกลับไปบ้านเมืองของปาจิตและกลับมาครองเมืองพิมายและได้สร้างเมรุพรหมทัตเพื่อเป็นการไถ่บาปที่ได้ฆ่าท้าวพรหมทัต....

*** ท้าวปาจิต นางอรพิม ในราชสำนักอยุธยา..***

เรื่องราวของปาจิต-อรพิมใน"โคลงทวาทศมาส" ในสมัยอยุธยา ตอนหนึ่งว่า...

"ปราจิตต์เจียรเหน้าหน่อ อรพินท์ 
พระพิราไลยปลง ชีพแล้ว 
คืนสมสุดาจิน รสร่วม กันนา 
กรรมแบ่งกรรมแก้วแก้ว ช่วยกรรม์ ฯ ...."

ท้าวปาจิต นางอรพิม มีในหนังสือทวาทศมาส เป็นวรรณกรรมแต่งเมื่อตอนต้นอยุธยา ราวเรือน พ.ศ. 2000 อ้างอิงการพลัดพรากของตัวละครเอกหนุ่มสาว 6 คู่ ตามลำดับ ดังนี้...

พระราม นางสีดา, พระอนิรุทธ นางอุษา, พระสมุทโฆษ นางพินทุมวดี, พระสุธน นางมโนห์รา, ท้าวปราจิต (ปาจิต) นางอรพินท์ (อรพิม), พระสุธนู นางเจียรัปประภา...

เท่ากับท้าวปาจิต นางอรพิม เป็นวรรณกรรมชั้นสูง 1 ใน 6 เรื่อง ซึ่งเป็นที่ยกย่องของนักปราชญ์ราชบัณฑิตในราชสำนักตอนต้นอยุธยา...

[4 เรื่อง ได้จากคัมภีร์กับชาดกของอินเดีย ส่วนอีก 2 เรื่อง คือ พระสุธน นางมโนห์รา กับ ท้าวปาจิต นางอรพิม เป็นวรรณกรรมท้องถิ่นของกลุ่มคนลุ่มน้ำโขง ที่ถูกนักบวชดัดแปลงเป็นชาดกนอกนิบาต (เรียก ปัญญาสชาดก มี 50 เรื่อง) ที่ไม่มาจากอินเดีย แต่แต่งขึ้นเองในล้านนา เพื่อเพิ่มความ “เฮี้ยน” ให้คำบอกเล่าดั้งเดิมซึ่งไม่อินเดีย]...

*** มาจากไหน??..***

ท้าวปาจิต นางอรพิม ในเมืองพิมาย ใครเอามาจากไหน? เมื่อไร? ฯลฯ ยังไม่พบหลักฐานตรงๆ แต่น่าเชื่อว่าเข้าถึงเมืองพิมายได้อย่างน้อย 2 ทาง

1.ลาวลุ่มน้ำโขง โยกย้ายไปอยู่เมืองพิมาย แล้วบอกเล่าสืบต่อกันมา

2. ไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา โยกย้ายไปอยู่เมืองนครราชสีมา ราวหลัง พ.ศ. 2000 แล้วบอกเล่าสืบต่อมา

น่าเชื่อว่าไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา นำวรรณกรรมเรื่องท้าวปาจิต นางอรพิม จากราชสำนักอยุธยาเข้าไปสวมใส่สิ่งก่อสร้างในเมืองพิมาย เมื่อคราวที่พระเจ้าแผ่นดินอยุธยาสร้างเมืองนครราชสีมาเป็นศูนย์อำนาจของอยุธยาที่ลุ่มน้ำมูล แทนเมืองพิมาย (ซึ่งเป็นศูนย์อำนาจของเขมรเมืองพระนครหลวง)...

สอดคล้องกับเมรุพรหมทัตเป็นเจดีย์ก่อด้วยอิฐ (ตั้งบนเนินดิน) สร้างขึ้นยุคอยุธยาไว้ในเมืองพิมาย แล้วคนสมัยหลังผูกเรื่องว่าเป็นสถานที่เผาศพท้าวพรหมทัตในเรื่องท้าวปาจิต นางอรพิม นั่นเอง........

รูปภาพ : รูปท้าวพรหมทัต (ในเรื่องท้าวปาจิต นางอรพิม 
ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย)

Credit : http://lek-prapai.org/home/view.php?id=5018
https://www.matichon.co.th/columnists/news_623592

............................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-26 11:03:34.0     Forum: ข่าว  >  พระเจ้าตะเบงชเวตี้ ชะตาขาด!! หลงกลอุบาย ถูกบั่นพระศอคอขาดกระเด็น!!

*** ข่าวพลังภูผา..***
พระเจ้าตะเบงชเวตี้ ชะตาขาด!! 
หลงกลอุบาย ถูกบั่นพระศอคอขาดกระเด็น!!
www.arjanpong.com
ตามมหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ระบุว่า ประสูติเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2059 ที่เมืองตองอู ก่อนประสูติมีลางบอกเหตุ ปรากฏฝนตกลงมาที่ใดก็เกิดลุกเป็นไฟ โหรหลวงทำนายว่าเป็นลางมงคล พระโอรสที่จะประสูติเป็นผู้มีบุญญาธิการ...

พระองค์ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดาทั้งที่มีพระชนมายุไม่ถึง 20 พรรษา มีพระนามว่า "ตะเบ็งเฉวฺ่ที" (ไทยเรียกเพี้ยนเป็น "ตะเบ็งชะเวตี้" พระนามมีความหมายแปลได้ว่า สุวรรณเอกฉัตร - ร่มทอง) และภายหลังขึ้นครองราชย์ พระนามได้เปลี่ยนเป็น "เมงตะยาเฉวฺ่ที" มีความหมายว่า "พระมหาธรรมราชาฉัตรทอง" (คำว่าเมงตะยานี้เป็นที่มาของชื่อมังตราในนิยายผู้ชนะสิบทิศ) มีมเหสี 2 พระองค์ นามว่า ขิ่นเมียะ และขิ่นโพงเซวฺ ทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2079-2093....

ทรงได้รับการกล่าวขานว่าเป็นกษัตริย์นักรบที่เก่งกาจ เพราะตลอดรัชกาลพระองค์ทำสงครามเป็นส่วนใหญ่ ก่อนขึ้นครองราชย์ เมื่อเจริญพระชนมพรรษาขึ้น ได้ทรงกระทำพิธีเจาะพระกรรณ (เจาะหู) อันเป็นราชประเพณีของพม่าเช่นเดียวกับพระราชพิธีโสกันต์ของไทย โดยเลือกที่จะทำพิธีที่เจดีย์ชเวมอดอ (พระธาตุมุเตา) กลางเมืองหงสาวดีของมอญ โดยมีทหารคุ้มกันแค่ 500 นาย โดยไม่ทรงหวาดหวั่นทหารมอญนับหมื่นที่ล้อมอยู่ จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว....

และเมื่อทรงครองราชย์ พระองค์ได้ทำการสงครามแผ่ขยายอาณาจักรตองอูไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่น หงสาวดี เมาะตะมะ แล้วเสด็จกลับมากรุงหงสาวดี ราชาภิเษกเป็นพระเจ้าหงสาวดีในปี พ.ศ. 2088 และสถาปนามินจีเสว่เป็นพระเจ้าเมงเยสีหตูครองเมืองตองอูแทนในฐานะเจ้าเมืองออก

] ต่อมาทรงพิชิตเมืองแปรได้ก็สำเร็จโทษพระเจ้ามังฆ้องและพระมเหสีรวมทั้งขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหมด แล้วสถาปนานิต่าเป็นพระเจ้าตะโดธรรมราชาที่ 1 ครองเมืองแปรแทน แม้หลังจากนั้นจะทรงตีกรุงอังวะและกรุงศรีอยุธยาไม่สำเร็จ แต่ยังทรงได้เมืองยะไข่ พะสิม เป็นต้น ทำให้สามารถขยายอาณาจักรครอบคุลมปากแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำสาละวินได้ นับเป็นกษัตริย์พม่าพระองค์แรกที่เอาชนะหงสาวดี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของชาวมอญคู่ปรับสำคัญของชาวพม่าในอดีตได้....

หลังจากสิ้นสงครามคราวเสียสมเด็จพระสุริโยทัยได้เพียง 3 เดือน ตามพงศาวดารเล่าว่า พระองค์เสวยแต่น้ำจัณฑ์จนเสียสติ และสวรรคตในวันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2093 ขณะพระชนมายุ 34 พรรษา เพราะถูกทหารรับใช้คนสนิทชาวมอญชื่อสมิงสอตุตลอบปลงพระชนม์ด้วยการตัดพระศอระหว่างเสด็จไปคล้องช้าง ทำให้ปลอดทหารผู้ภักดีคอยถวายอารักขา....

ด้วยชีวประวัติอันพิสดารและน่าสนใจ เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์พม่าช่วงนี้เป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนชาวไทยชื่อยาขอบ ได้หยิบยกขึ้นมาแต่งเป็นนิยายพงศาวดารชื่อดัง คือ ผู้ชนะสิบทิศ....

ปัจจุบัน พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ได้รับการนับถือเป็นนัตหลวง ลำดับที่ 17 ในบรรดานัตหลวง 37 องค์ ตามความเชื่อเรื่องผีนัตของพม่าอีกด้วย.....

Credit : https://th.m.wikipedia.org/wiki/พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้
....................
รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-25 11:08:50.0     Forum: ข่าว  >  ถ้าจะเอาผืนแผ่นดินนี้ ก็จงมาเอาหัวกูไปก่อนเถิด!!

*** ข่าวพลังภูผา...***
ถ้าจะเอาผืนแผ่นดินนี้ ก็จงมาเอาหัวกูไปก่อนเถิด!!
www.arjanpong.com
วีรบุรุษผู้กล้า หนึ่งในตำนานนักรบไทยที่ไม่ธรรมดา ที่เล่าว่าสามารถต่อสู้กับกองทัพพม่าได้ด้วยตัวคนเดียวในยุคเสียกรุงครั้งที่ ๑ จนพระเจ้าบุเรงนองถึงกับเอ่ยปากว่าตนเองแม้ว่าจะเป็นผู้ชนะสิบทิศแต่ในทิศที่สิบต้องยอมยกให้ "พระวีระมหาเทพ"...

พระวีระมหาเทพ เป็นครูดาบของกองทะลวงฟันชำนาญดาบสองมือสามารถใช้ดาบได้คล่องแคล่วทั้งมือซ้ายมือขวา ชำนาญในอาวุธทุกชนิดและการรบด้วยมือเปล่า...

เมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ ๑ พระวีระมหาเทพขึ้นช้างบุกทะลวงเข้าไปในกองทหารพม่า ฆ่าศัตรูล้มตายระเนระนาดจนช้างติดหล่ม จึงเข้าแย่งม้าจากข้าศึกขึ้นม้าแล้วทะลวงฟันพม่าล้มตายเป็นเบือ แล้วมาปักหลักที่ประตูเผาข้าว เพราะเป็นทางแคบ ข้าศึกผ่านมาได้คราวละไม่เกินสิบคน ทัพของบุเรงนองผ่านมาทางนี้แต่กลับเข้าไม่ได้เพราะทหารพม่าเข้าประดาบไม่ถึงสามทีก็ล้มขาดใจตาย...

ทหารพม่าคนแล้วคนเล่าล้มตายลงไปจนศพสูงเป็นพะเนิน จนบุเรงนองต้องขี่ม้าออกมาดูตัวพระวีระมหาเทพ ทหารพม่าที่ล้มตายสูงเป็นพะเนินจนแทบจะสิ้นกองทัพ จนไม่มีทหารพม่าคนไหนกล้าเฉียดเข้าใกล้พระมหาเทพอีก สุดท้ายต้องระดมยิงธนูเข้าใส่ แม้ขนาดนั้นร่างของพระมหาเทพก็ยังไม่ล้ม จนกระทั่งท่านสิ้นใจในท่ายืน...

ขนาดศพท่านพม่ายังไม่กล้าเดินผ่าน บุเรงนองประทับใจในพระวีระมหาเทพ ถึงขนาดให้จารึกชื่อนี้ลงในแผ่นทองคำ บรรจุไว้ในพระมหาเจดีย์ชะเวดากองจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน.......

Credit : https://www.tnews.co.th/contents/301518

..................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-23 13:45:16.0     Forum: ข่าว  >  "ไม่ขอรับเกียริติยศใดๆทั้งสิ้น!!.." พูนศุข พนมยงค์ ดอกไม้เหล็กกลางทุ่งเผด็จการ..

 

                                  

"ไม่ขอรับเกียริติยศใดๆทั้งสิ้น!!.." 
พูนศุข พนมยงค์ ดอกไม้เหล็กกลางทุ่งเผด็จการ..
www.arjanpong.com
พูนศุข เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวน 12 คน ของพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ) อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกในรัชกาลที่ 6 กับคุณหญิงเพ็ง เธอเกิดวันอังคารที่ 2 มกราคม ร.ศ. 130 (พ.ศ. 2455)....

สำหรับการอบรมสั่งสอนจากที่บ้าน เจ้าคุณชัยวิชิตฯ มีคติว่า “อยู่อย่างจน จะไม่จน อยู่อย่างรวย จะไม่รวย” โดยสอนลูกๆ ให้เป็นคนมัธยัสถ์ ไม่ฟุ่มเฟือย และให้มีความคิดเป็นหลักวิทยาศาสตร์ เช่น ในยามค่ำคืน ที่มืดสนิทเพราะไม่มีไฟฉายหรือคบไฟใดๆ เจ้าคุณฯ จะพาลูกๆ เดินผ่านตรอกป่าช้าจากถนนสีลมไปสาทรเหนือ เพื่อจะได้มีความกล้าหาญ ไม่กลัวผี หรืออีกครั้งหนึ่ง มีคนผูกคอตายที่ต้นไม้ เจ้าคุณฯ ให้ไปตัดกิ่งไม้นั้นมาไว้ในบ้าน เพื่อให้ลูกๆ ดูว่าไม่มีผีติดมาด้วย จะได้เลิกกลัว....

เมื่อปรีดีสำเร็จการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส และกลับมารับราชการเป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม แล้วเป็นเลขานุการกรมร่างกฎหมาย ดังมียศและบรรดาศักดิ์ว่า “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม” และเป็นครูสอนกฎหมายในโรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม หลังจากนั้นจึงให้ผู้หลักผู้ใหญ่มาสู่ขอพูนศุข ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2471.....

ในด้านชีวิตส่วนตัวหลังแต่งงาน ในส่วนเงินเดือนที่ได้รับมา ปรีดีให้พูนศุขดูแลทั้งสิ้น เพราะเขามีรายได้จากโรงพิมพ์และค่าสอนลูกศิษย์ไว้ใช้พอแล้ว และเป็นเช่นนี้เรื่อยมาแม้จะมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง บางเดือนถึงขนาดลืมเงินเดือนทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงาน จนเจ้าหน้าที่ต้องเอามาให้ที่บ้าน ภายหลังปรีดีจึงให้เจ้าหน้าที่มอบเงินเดือนให้พูนศุขโดยตรง....

ต่อมาเมื่อมีเงินพอใช้จ่ายในครอบครัวแล้ว รายได้ทางอื่นๆ เขาและเธอได้ใช้เพื่อสาธารณกุศล เช่น เงินประจำตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ไม่เคยเบิกมาใช้ แต่จัดให้เป็นเงินสวัสดิการช่วยเหลือนักศึกษาที่ขาดแคลน....

ปี 2476 เมื่อปรีดีเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจขึ้นตามหลักเศรษฐกิจในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ที่ต้องการบำรุงความสุขสมบูรณ์ในทางเศรษฐกิจ แต่ถูกเล่นงานทางการเมืองอย่างหนัก จนมีการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกกดดันให้เดินทางออกนอกประเทศ ....

เมื่อยามเผชิญมรสุมชีวิต ยามที่ปรีดีต้องพลัดพรากจากไกล พูนศุขยังดูแลลูกๆ ไม่ห่างไกล บ้านที่เหมือนจะแตกสาแหรกขาด พูนศุขก็คงความอบอุ่นให้ลูกๆ ไว้ ยามที่เดือดร้อนด้วยไม่มีหัวหน้าครอบครัวอยู่เป็นเสาหลัก พูนศุขอาศัยความที่ชอบทำอาหารและขนม จึงได้ทำขนมให้คนไปขายย่านสีลมและสวนลุมพินี เพื่อหารายได้เสริมมาจุนเจือฐานะเศรษฐกิจภายในบ้าน ปรีดีเองก็ซาบซึ้งใจในความข้อนี้ ดังได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงเธอ เมื่อปี 2512 ว่า “น้องต้องพลอยได้รับความลำบากเนื่องจากศัตรูข่มเหงพี่ แต่น้องมิได้เสื่อมคลายในความรักและความเห็นใจพี่ตลอดมา”....

ต่อมาในปี 2495 พูนศุขถูกจับกุม ในข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร หรือที่เรียกกันว่า “กบฏสันติภาพ” อย่างไรก็ดีหลังฝากขังครบ 84 วันแล้วไม่สามารถหาพยานหลักฐานเอาผิดได้ พูนศุขจึงได้รับอิสรภาพอีกครั้ง ประหนึ่งว่าชนชั้นปกครองจะกลั่นแกล้งครอบครัวของเธอ เมื่อไม่สามารถเล่นงานนายปรีดีได้ ก็เล่นงานพูนศุข ผู้ภรรยา และปาล บุตรชายคนโต แทน โดยปาลนั้นศาลตัดสินจำคุก 20 ปี ลดโทษเหลือ 13 ปี หลังจากติดคุกราว 5 ปี จึงได้รับพระราชทานอภัยโทษในครั้งกึ่งพุทธกาล....

โดยในช่วงควบคุมตัวเธอไว้นั้น ตำรวจสอบปากคำได้พยายามทำสงครามจิตวิทยาอยู่เสมอ เช่น กล่าวว่ารู้หรือไม่ว่าปรีดีนอกใจ ไปมีคนอื่นแล้ว แต่เธอก็เชื่อในรักแท้ที่มีต่อกันอย่างไม่หวั่นไหว นอกจากนี้ ภาพที่ชวนเศร้าใจคือ บางครั้งช่วงสุดสัปดาห์ เธอต้องเอาดุษฎีกับวาณี บุตรสาว 2 คนเล็ก มาเลี้ยงดูในที่คุมขังด้วย....

เมื่ออายุ 86 ปี พูนศุขเขียน ‘คำสั่งถึงลูกๆ ทุกคน’ ไว้ถึงการจัดการงานศพของเธอ โดยในข้อที่ 2 ระบุไว้ชัดเจนว่า “ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น” ....

พูนศุขจากโลกนี้ไปในคืนวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของปรีดีพอดี เขาและเธอคงได้พบกันแล้ว ณ ที่ใดที่หนึ่ง......

Credit : https://www.the101.world/phoonsuk-banomyong/

................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

 

guest

Post : 2018-10-21 09:39:32.0     Forum: ข่าว  >  นรกกินหัว!! ไม่สำนึก ลูกเมายาก้มกราบพ่อ ก่อนด่าพ่อว่าตอเเหล!!

 

 

                


นรกกินหัว!! ไม่สำนึก 
ลูกเมายาก้มกราบพ่อ ก่อนด่าพ่อว่าตอเเหล!!
www.arjanpong.com
จากกรณี เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ผู้ใช้เฟซบุ๊ก @เจริญศักดิ์ อ่ำอ่อน ได้โพสต์คลิปเรื่องราวระบุว่า “ผมยอมรับว่ามีผลดีและเสีย และยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปที่ทำลงไปด้วยความเสียใจ ลูกติดยาบ้าขนาดหนักมาขอเงินพ่อ ไม่ให้มาทำร้ายพ่อ ต่อยพ่อจนพ่อต้องกล้มลงกราบยังไม่พอเอาหมวกกันน๊อกฟาดพ่อต่ออีก ตอนนี้ติดยาขนาดหนัก ผมอยากเอาเขาไปบำบัดแต่ไม่ยอม ชื่อ ประพนธ์ หรือนิว ฝากแชร์ถึงหน่วยงานที่ช่วยเหลือ“...

โดยภายในคลิปเป็นภาพ นายเจริญศักดิ์ และนายประพนธ์ ลูกชาย กำลังมีบทสนทนากัน ขณะที่นายประพนธ์มีอาการโมโหและพูดจาข่มขู่พ่อ ก่อนที่พ่อจะก้มลงกราบเท้าลูกชายถึง 3 ครั้ง เพื่อขอร้องให้ลูกชายหยุดการกระทำดังกล่าว จากนั้นตัวพ่อก็เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.สุทธิสาร ว่าลูกชายมีอาการมึนเมายา อาละวาด และทำร้ายร่างกายก่อนจะหลบหนีมาอยู่ที่บ้านญาติที่ลาดพร้าว 48....

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 19 ต.ค. ตำรวจได้คุมตัว นายประพันธ์ อ่ำอ่อน มาที่โรงพัก พร้อมเชิญ นายเจริญศักดิ์ ผู้เป็นพ่อ ให้มาเป็นสักขีพยานด้วย โดยนายเจริญศักดิ์ กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า ในฐานะพ่อนั้น ตนพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกกลับคืนมา ถึงขั้นต้องกราบก็ยอม ไม่อยากจะดำเนินคดีขอเพียงให้ลูกชายกลับคืนมาเท่านั้น ที่สำคัญเมื่อก่อนลูกชายไม่เป็นแบบนี้ ขยันและตั้งใจเรียน แถมยังเรียนสูงจบวิศวะด้วย ที่โพสต์คลิปเพียงเพื่อขอความช่วยเหลือให้ช่วยพาไปบำบัด แต่พอเสพยาบ้าเข้าไปก็เป็นอย่างที่เห็น....

ด้าน นายประพันธ์ ก็ให้การตอบโต้พ่อว่า สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นโกหกปลิ้นปล้อน พออยู่ต่อหน้าไมโครโฟนก็พูดอีกอย่าง ทั้งๆที่ไม่ได้เลี้ยงตนมาตั้งแต่เกิด ก่อนจะก้มกราบเท้าพ่อตามที่ตำรวจสั่ง พอตัวพ่อจะจับมือให้อภัย ตัวลูกก็ไม่พอใจพร้อมกับปัดมือทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ก่อนที่ตำรวจจะคุมตัวนายประพันธ์ไปสงบสติอารมณ์ที่ห้องสืบสวน....

พ.ต.อ.เติมเผ่า สิริภูบาล ผกก.สน.สุทธิสาร เปิดเผยว่า ผลตรวจปัสสาวะตัวลูกชายพบว่าเป็นสีม่วง คือมีสารเสพติด ลูกชายก็ยอมรับว่าพึ่เพิ่งจะเสพยาบ้ามา แต่ก็ยินดีไปบำบัด ส่วนเรื่องคดีทำร้ายร่างกายนั้นเป็นของ สน.ปทุมวัน ก็ต้องให้ไปดำเนินการเอง แต่ทางพ่อไม่ประสงค์จะดำเนินคดี ทุกอย่างก็น่าจะจบไป ทั้งนี้คำพูดที่ลูกยังเมาไม่มีสติอยู่ อาจพูดโดยไม่ยั้งคิด เป็นผลเสียของการเสพยาบ้า....

เบื้องต้นได้นำตัวนายประพันธ์ส่งตัวไปบำบัดที่สถานบำบัดยาเสพติดแล้ว....

Credit : https://www.dailynews.co.th/crime/672307
...........................
รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-21 09:24:12.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  เเล้วจะอยู่กันอย่างไร?

 

" พี่รัญ เป็นอะรั๊ย?!!.."

 

เสียงของนาง อุไร อบรม ภรรยาคุู่ทุกข์คู่ยากของนาย อรัญ สุทธิสุข ตะโกนถามขึ้นด้วยเสียงอันดังพร้อมกับวิ่งเข้าไปหา เมื่อเห็นสามีอันเป็นที่รัก หกล้มเอาหัวฟาดกิ่งมะม่วงเเล้วก็เเน่นิ่งไป 

 

" อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะพี่รัญ..ทำใจดีๆไว้...." 

 

เสียงร่ำไห้ของเธอพร้อมกับเขย่าตัวเเรงๆของสามีอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่สามารถที่จะปลุกให้เขาฟื้นตื่นขึ้นมาได้ ชายหนุ่มร่างเล็ก ก็ยังคงลืมตาปากเบี้ยว เเขนขากระดิกไม่ได้เลยเเม้เเต่น้อย อยู่ในอ้อมกอดของภรรยาสุดที่รัก ที่เขย่าตัวกู่ก้องร้องเรียกอยู่ตลอดเวลา 

 

เช้าวันใหม่ของวันที่ 27 มิถุนายน 2555 อรัญ สุทธิสุข ก็ลืมตาอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาลสิงห์บุรี เขาเห็นสภาพของสายอะไรก็ไม่รู้? ระโยงระยางไปหมด ครั้นจะพลิกตัวตะเเคง ก็ไม่มีเเรงพอที่จะขยับ เหมือนกับโดนผีอำยังไงยังงั้น!! ภาพที่เขาเห็นอยู่ตรงเบื้องหน้าปลายเตียง เป็นภาพของภรรยากำลังคุยกับคุณหมอผู้ชายอยู่ด้วยอาการก้มหน้านัยตาเศร้าๆ

 

อรัญ สุทธิสุข หลับตาลงถอนหายใจอีกครั้ง ภาพหนหลังในอดีตที่ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ มันทำให้เขารู้สึกเสียดายกาลเวลาที่ผ่านมาเสียเหลือเกิน ถ้าเขารู้จักเก็บเงินเก็บทองกอบโกยทรัพย์สินต่างๆ จากความดังทะลุฟ้าของเขาในเวลานั้น เขาก็คงจะไม่อนาถาขนาดนี้

 

อายุเเค่ 17 ปี เขาก็ออกมาจากบ้านเกิดเมืองนอนที่ บางมัญ สิงห์บุรี มาสมัครเป็นนักร้องกับวง ศักดิ์ โกศล ที่ซอยไสวสุวรรณ บางโพ กทม. โดยเสียค่าสมัคร 10 บาท ทางหัวหน้าวงก็รับเขาไว้เเต่เป็นตำเเหน่งคอนวอยกับหางเครื่อง โดยได้ค่าตัววันละ 20 บาท เเต่ก็ยังใจดีถ้าวันไหนนักร้องในวงขาด ก็จะให้เขาขึ้นไปร้องเเทน โดยตั้งชื่อให้ว่า ธง เทวราช ร้องเพลงในเเนวของ ชาย เมืองสิงห์

 

อยู่มาสักพักวงก็ต้องยุบไปเพราะไม่มีงาน เขาจึงออกไปอยู่กับวง ศรีสละ ทองธารา,ยงยุทธ เชี่ยวชาญชัย,เทวัญ ขวัญบ้านนา เเละอีกหลายๆวง โดยที่เป็นตัวตลกประจำวงหรือตำเเหน่งอะไรก็ได้ที่ขาด เขาจึงเปรียบเสมือนตัวอะไหล่ที่ขาดไม่ได้สำหรับวงดนตรีลูกทุ่งในยุคนั้น สามารถเสริมได้ทุกตำเเหน่งหน้าที่ภายในวง

 

จนกระทั่งเข้ามาอยู่ในวง จีระพันธ์ วีระพงษ์ ก็ได้มีโอกาสพบกับครู ฉลอง ภู่สว่าง ซึ่งครูก็เอาวันเดือนปีเกิดของเขาไปดูเเล้วผูกดวงชะตาให้ พร้อมกับเเต่งเพลงให้เพลงหนึ่งชื่อเพลง ผู้หญิงหน้าเงิน เมื่อปี พ.ศ 2516 ผลปรากฎว่าดังเปรี้ยงเลย น้ำขึ้นให้รีบตัก ผลงานเพลงจากครูฉลอง ก็ตามมาอีกเป็นชุด ไม่ว่าจะเป็นเพลง หน้าไม่ทันสมัย หรือ ปูไข่ไก่หลง โดยเฉพาะเพลงหลังนี่เป็นตำนานไปซะเเล้ว คนร้องเพลงนี้ได้กันทั้งประเทศ เเล้วครูก็เปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็น ชายธง ทรงพล โอ้โห...ดังที่ัสุดในประเทศไทยในเวลานั้นเลยก็ว่าได้

 

อนิจจา...คนง่ายๆใจดีอย่างเขา ไม่รู้จักคำว่าความดังเป็นอย่างไร? พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ไม่คิดที่จะต่อยอดจากชื่อเสียงที่ดังอยู่เเล้วในขณะนั้น อยู่ไปวันๆ สนุกสนานกับการเดินสายเล่นตลกร้องเพลงไปทั่วประเทศ ไม่ได้เก็บหอมรอมริบไว้ยามเจ็บไข้ได้ป่วย กว่าจะนึกขึ้นมาได้ ก็สายเกินไปเสียเเล้ว

 

" เอ่อออออ...ออนอี๊ เอินเอื๋อเอ้าไอ....." เขาพยายามถามถึงเงินที่มีอยู่ทั้งบ้านว่าพอจะมีค่ารักษาพยาบาลในการป่วยครั้งนี้หรือเปล่า?

" ไม่ถึงหมื่นหรอกจ๊ะพี่รัญ..."

" อืมมมมมมมมม..."

 

เสียงผ่านจากลำคอเบาๆ พร้อมทั้งเสียงถอนหายใจอย่างรวยรินของ ชายธง ทรงพล ที่อ่อนระโหยโรยเเรงอย่างน่าสงสาร สิ่งที่เขาทำมาโดยตลอดก็คือการหยิบยื่นความสุขเเละเสียงหัวเราะให้กับมิตรรักนักฟังเพลงมาอย่างสม่ำเสมอ เเต่สิ่งที่สะท้อนกลับคืนมาในบั้นปลายของชีวิต กลับมีเเต่เสียงสะอื้นที่เเฝงไปด้วยความมืดอันน่าสะพรึงกลัวอยู่เบื้องหน้าของครอบครัวเขา...หยาดน้ำใสๆที่กำลังจะไหลออกมา กลับถูกปลายนิ้วของภรรยาปาดออกไปเสียก่อน

 

" เดี๋ยวฉันจะไปพูดเรื่องค่ารักษาพยาบาลกับหมอเขาอีกทีนะพี่...ไม่ต้องห่วงนะ...."

 

เธอกล่าวจบ ก็ฟุบหน้าปล่อยโฮอย่างไม่อายเตียงข้างๆ เเล้วก็ฟุบหน้าร้องไห้อยู่ข้างเตียงของสามีที่นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานเเสนนาน........

guest

Post : 2018-10-20 08:48:38.0     Forum: ข่าว  >  ก้าวที่ผิดพลาดของ คลีโอพัตรา

*** ข่าวพลังภูผา..***
ก้าวที่ผิดพลาดของ คลีโอพัตรา!!
www.arjanpong.com 
จะมีหญิงสักกี่คนกันล่ะ ที่จะสร้างความรักเเละความเกลียดชัง ให้กับผู้คนได้มากมายถึงขนาดนี้ 2,000 กว่าปีที่เรื่องราวของเธอ ถูกจารจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จากรุ่นสู่รุ่น ยากนักที่จะลบล้างจากความทรงจำของมนุษย์ชาติไปได้ สาวงามผู้ร้อนเเรงผู้มากด้วยร้อยเล่ห์เสน่หา...คลีโอพัตรา........

อันที่จริงเธอก็ไม่ได้งดงามประดุจนางฟ้านางสวรรค์ที่หยาดเยิ้มหยดย้อยสักเท่าไหร่ ค่อนข้างจะเจ้าเนื้ออยู่ในขั้นอวบระยะสุดท้าย ริมฝีปากที่หนา นัยตาก็สีน้ำตาลอมดำเข้มๆ เเต่ทีเด่นเป็นสง่าก็อยู่ที่จมูกที่โด่งเป็นสัน ที่ธรรมชาติให้ไว้เพื่อกลบเกลื่อนความด้อยของรูปหน้าไว้ทั้งหมด...

เเล้วจุดเด่นของเธอล่ะอยู่ตรงไหน?...."สมองไงล่ะ!!.."

เธอพูดได้ 14 ภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษากรีก,อิยิปต์,ฮิบบรู,เอธิโอเปียน(ภาษาพื้นเมืองเเอฟริกัน),เปอร์เซี่ยน,หรือเเม้กระทั่งภาษาโรมัน ซึ่งถือว่าเป็นคู่รักคู่เเค้นของอิยิปต์มาโดยตลอด จนกระทั่ง พระเจ้าปโตเลมี ที่ 12 ผู้เป็นพระราชบิดา ถึงกับตั้งให้เธอเป็น "เทพธิดาไอซิส" ซึ่งเป็นตำเเหน่งสูงสุดของนักบวชหญิงอิยิปต์ เมื่ออายุเพียง 14 ปีเท่านั้น โดยเธอจะเป็นเทพเจ้าประจำอยู่ที่ มหาวิหารเทพธิดาไอซิส ทั้งวันทั้งคืน เพื่อที่จะรับการบูชาจากบุรุษ ที่สัมผัสความศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาไอซิส โดยผ่านร่างของเธออย่างไม่ซ้ำหน้า...

ในบันทึกอียิปต์โบราณได้กล่าวถึงตำเเหน่งนี้ว่า ต้องผ่านผู้ชาย 1,000 คนขึ้นไป ถึงจะได้สวมชุดสีบ่งบอกถึงสถานะ อันจะได้รับการยกย่องอย่างสูงเเละเป็นที่เชื้อเชิญในทุกสังคม ซึ่งเธอก็สามารถได้สวมชุดสีของนักบวชหญิงไอซิส ด้วยเวลาเพียง 10 วัน เท่านั้นเอง...

ก็ด้วยเสน่ห์ความสาวพร้อมประสบการณ์ทางเรื่องรักมีอย่างมากมายมหาศาล เธอจึงผูกมัดล่ามโซ่หัวใจจักรพรรดิหนุ่มนามว่า จูเลียส ซีซาร์ จากกรุงโรม ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิยิปต์ในสมัยนั้น เเต่ด้วยมารยาล้านเล่มเกวียนของพระนาง ทำให้จูเลียส ซีซาร์ หลงรักเธอจนหัวปักหัวปำ จนกระทั่งลืมลูกลืมเมียที่อยู่ทางกรุงโรมเสียสิ้น ด้วยความย่ามใจของพระนาง ถึงกับขอตามพระสวามีกลับไปยังกรุงโรมด้วย เพราะคิดว่าทางนั้นก็คงจะเหมือนกับบ้านเมืองของเธอทางนี้ ที่เงินสามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ ถ้าหากว่าประชาชนมีความนิยมเลื่อมใสศรัทธา ในสิ่งที่เธอได้สร้างภาพมันขึ้นมา...

นั่นล่ะ คือสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเธอ จนถึงความล่มสลายของอิยิปต์ไปอย่างย่อยยับ กับการที่เธอกับพระราชโอรส ออดอ้อนจะตามพระสวามีกลับไปยังกรุงโรม เพียงเเค่อยากจะชนะเมียหลวงที่อยู่ที่นั่นเท่านั้นเอง........
...................
รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-20 08:45:32.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  น้ำตาหล่นที่โคราช

น้ำตาหล่นที่โคราช...
www.arjanpong.com

" ไม่ต้องห่วงอยู่ได้สบายดี..."

เกย ผาบัว หนุ่มใหญ่ชาวไร่ จากบ้านวัดป่า หล่มสัก เพชรบูรณ์ ถอนหายใจอย่างอ่อนเเรงกับชีวิตของไอ้น้องคนเล็ก ที่ต้องตกระกำลำบากผลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ สงสารไอ้น้องคนนี้มันจับใจเหลือเกิน ด้วยความที่เป็นน้องคนเล็กของครอบครัวที่มีเเต่ชายล้วน ความผูกพันธ์ทางสายเลือดจึงมีมากกว่าธรรมดา เพราะมีเเต่ผู้ชายล้วนจึงรู้ใจกันไปหมด...

สมควร ผาบัว ผู้เป็นน้องคนเล็กนี้ หลังจากถูกเกณฑ์ทหาร 2 ปี ก็เหมือนกับปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ เหมือนกับนกพอได้บินออกจากรังเป็น น้อยนักที่มันจะบินกลับมารังเดิม ไอ้น้องคนนี้ก็เหมือนกัน หลังจากปลดประจำการเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว มันก็มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯทันที ทางพี่ก็อุตสาห์จะให้มาช่วยปลูกพริกปลูกกระเทียมที่บ้านเกิดสักหน่อย อ้าวววว...เข้ากรุงไปซะเเล้ว.....

ไอ้น้องคนนี้มันดีหน่อย ตรงที่ว่าเขียนจดหมายมาเล่าโน่นเล่านี่อยู่ตลอด จึงได้รู้ถึงความเคลื่อนไหวของเจ้าน้องคนนี้อยู่เสมอ ออกจากทหารเกณฑ์ก็ไปสมัครเป็นคอนวอยอยู่กับวงรังษี เสรีชัย หยิบโน่นขนนี่เอาทุกอย่าง นักร้องขาดก็ขึ้นไปร้องเพลงเเทน จนกระทั่งได้รู้จักกับนักจัดรายการชื่อดังนามว่า สุขสันต์ หรรษา หรือจ่าจวบ (ประจวบ เเสนสุข) ผู้กว้างขวางเเห่งวงการลูกทุ่ง ถูกชะตากันถึงขนาดให้ใช้นามสกุลตั้งเป็นชื่อนักร้องกันเลยทีเดียว....

โชคชักพาชะตาชักนำ ได้เพลงของอาจารย์ ชลธี ธารทอง มาอัดเเผ่นเสียงเพลงเเรกก็ดังเปรี้ยงเป็นตำนานไปเลย พอดังมีชื่อเสียงเงินทองไหลมาเทมา สุรา นารี การพนัน ยาเสพติด ก็ประดังเข้ามาหาเจ้าน้องคนนี้อย่างน่ากลัว เคยเตือนไปก็หลายครั้ง ว่าอย่าไปหลงระเริงกับมันนักไอ้ชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านี้ เก็บเงินเก็บทองซะบ้างเพราะว่าลูก 2 คน กำลังกินกำลังเรียน เพื่ออนาคตของเด็กมัน....

จนกระทั่งกาลเวลาผ่านไป ชื่อเสียงของน้องชายที่เคยดังก้องฟ้า กลับร่วงหล่นเซถลาเหมือนนกปีกหัก ครอบครัวที่เคยอบอุ่นก็ต้องเเตกสลาย จนกระทั่งน้องชายต้องหันมาพึ่งยาเสพติด เเละก็ถูกทางการจับได้ ต้องโทษจำคุก 18 ปี 9 เดือน ถูกคุมขังที่คลองเปรม หมดสิ้นอนาคตทันที....

ถึงเเม้จะถูกคุมขัง เจ้าน้องคนนี้ก็เขียนจดหมายมาตลอด เป็นห่วงที่สุดก็คือลูก 2 คน ที่ฝากเขาเลี้ยงอยู่ที่เชียงใหม่ เมื่อพ่อพ้นโทษเมื่อไร ก็จะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกทั้ง 2 ทันที.... เเต่ทว่าวันนี้...ลุงกำนันได้ขี่มอเตอร์ไซค์มาเเจ้งเมื่อกี้เองว่า....เเสนสุข เเดนดำเนิน ได้ลื่นล้มตายในห้องน้ำของคุกไปซะเเล้ว เมื่อวันที่ 25 ธค 2554 ให้รีบไปรับศพมันที่คลองเปรมด้วย....

" ไอ้ควรเอ้ยยยยย...มึงไม่ต้องห่วงลูกมึงนะ กูจะดูเเลให้ถึงที่สุด...หลับให้สบายเถอะไอ้น้อง......"

ลุงเกย ค่อยๆพับจดหมายฉบับสุดท้ายของน้องชายด้วยมือที่สั่นเทา น้ำตาของลูกผู้ชายบ้านป่าเมืองดอยของเขา ต้องหลั่งออกมาอย่างไม่รู้ตัว ด้วยความสงสารเจ้าน้องคนเล็กอย่างสุดใจ.........

...............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-19 15:09:57.0     Forum: ข่าว  >  สารภาพเเล้ว เเม่ฆ่าเอง น้องไทเกอร์!

 

 

                   

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
แม่สารภาพ ลงมือฆ่าน้องไทเกอร์ 3 ขวบ 
เหตุหิวเหล้า พ่อเศร้าเสียลูกไป 2 คน!
www.arjanpong.com
จากกรณีตำรวจ สภ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา รับเเจ้งจากนายประเมิน สอคงส่อง ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ต.ดอนหญ้านาง อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ว่าพบศพเด็กชายวัย 3 ปี ลอยน้ำอยู่บริเวณกลางทุ่งนา ต.หนองน้ำใส อ.ภาชี เมื่อญาติไปถึงก็พบว่าเป็นศพของน้องไทเกอร์ ด.ช.พัสธร ศรีคง อายุ 3 ปี...

โดยครั้งสุดท้ายออกจากบ้านไปพร้อมกับนางรุ่งทิพย์ โยธิการ์ อายุ 34 ปี ผู้เป็นเเม่ ต่อมานางรุ่งทิพย์ ได้กลับไปที่บ้านเพียงคนเดียว เเล้วยังให้การ วกไปวนมา อ้างว่าได้พลัดหลงกับลูก คิดว่าสามีมารับลูกชายกับบ้านไปแล้ว ไม่ทราบว่าน้องไทเกอร์กลายเป็นศพลอยน้ำได้อย่างไง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น...

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 19 ต.ค. นางรุ่งทิพย์ ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องสอบสวนตลอดทั้งคืน หลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการตายของน้องไทเกอร์อย่างปริศนา หลังจากถูกสอบสวนเป็นเวลานาน นางรุ่งทิพย์ ยังคงให้การปฏิเสธเช่นเดิม อ้างว่าตนไม่ได้ฆ่าน้องไทเกอร์ ระหว่างการสอบสวนนางรุ่งทิพย์ มีท่าทีที่นิ่งเฉย ไม่รู้ว่าพลัดหลงกับน้องไทเกอร์ตรงจุดไหน ไม่รู้ว่าลูกเสียชีวิตได้อย่างใด...

ระหว่างการสอบสวนเจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้นายบุญมี พ่อของน้องไทเกอร์ เข้าไปพบกับนางรุ่งทิพย์ เเม่น้องไทเกอร์ได้ จากนั้นนายบุญมีได้ถามนางรุ่งทิพย์ว่า “ฆ่าลูกหรือไม่” นางรุ่งทิพย์ยังคงยืนยันว่าไม่ได้ฆ่า จากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เคยคิดนางรุ่งทิพย์ วิ่งออกมาจากบ้านด้วยท่าทีที่ตกใจ พร้อมกับตะโกนของความช่วยเหลือ อ้างว่าโดนสามีทำร้ายร่างกาย เเต่สามีไม่ได้อยู่ภายในบ้าน เชื่อว่านางรุ่งทิพย์ คงดื่มสุรามากจนทำให้เสียสติ...

ล่าสุดพบว่า นางรุ่งทิพย์ ยอมรับสารภาพแล้วว่า เป็นคนลงมือฆ่าน้องไทเกอร์ สาเหตุเพราะไม่มีเหล้ากิน พอไม่ได้กินเหล้าเลยหงุดหงิด กินเหล้ามานาน 6 ปี ถ้าไม่ได้กินจะเบลอ มีอาการสั่น ถ้าได้กินนิดหน่อยก็จะไม่เป็นไร...

เจ้าหน้าที่เตรียมนำตัวนางรุ่งทิพย์ ส่งไปตรวจสภาพจิต ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา รอผลการผ่าชันสูตรพลิกศพน้องไทเกอร์มาประกอบ หลังจากนั้นจะพิจารณาดำเนินการในคดีนี้ ว่าจะดำเนินอย่างไร ส่วนนายบุญมี ศรีคง อายุ 43 ปี พ่อน้องไทเกอร์ เวลานี้ค่อนข้างถอดใจ อย่างเห็นได้ชัดพูดเเต่เพียงว่า ตนเสียลูกไป 2 คนเเล้ว ไม่เอาภรรยาคนนี้เเล้ว หากมีความผิดจริงก็ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายได้เลย......

Credit : https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1708522
http://www.amarintv.com/…/news-update-th…/news-13304/278665/
...............................
รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-10-17 19:36:45.0     Forum: ข่าว  >  หนุ่มง้อเมียไม่สำเร็จ แทงตัดขั้วหัวใจฝ่ายหญิงดับ!!

 

 

                           

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
หนุ่มง้อเมียไม่สำเร็จ แทงตัดขั้วหัวใจฝ่ายหญิงดับ!! 
www.arjanpong.com
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (16 ต.ค.) เมื่อเวลา 18.30 น. สภ.คูคต จ.ปทุมธานี ได้รับแจ้งจากพยาบาลมิตรไมตรีคลินิกเวชกรรม สาขาคลองสี่ลำลูกกา หมู่ 5 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ว่ามีคนนำผู้ได้รับบาดเจ็บถูกแทงจะมารักษาที่คลีนิก แต่เสียชีวิตระหว่างนำส่งขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ....

ที่เกิดเหตุพบรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ 4 ประตู สีดำ หมายเลขทะเบียน ฌล-8843 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่ริมทาง ที่กระบะท้าย พบศพผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อ น.ส.วราภรณ์ หรือ ใหม่ อายุ 29 ปี สภาพนอนนอนหงาย สวมกางเกงขาสั้น ลายสก็อต สวมเสื้อยืดสีขาว จากการชันสูตรเบื้องต้นพบมีบาดแผลถูกแทงด้วยของมีคมเข้าที่ ใต้ราวนมซ้าย 1 แผลเป็นเหตุให้เสียชีวิต....

สอบสวนเบื้องต้นพยาบาลที่คลินิก ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ มีหญิงสูงวัยคนขับรถกระบะคันดังกล่าวมาจอดที่ด้านหน้า ก่อนจะมีหญิงสาวอีกคนวิ่งเข้ามาที่คลีนิกบอกว่าช่วยไปห้ามเลือดให้หน่อย มีคนถูกรถชนมา ทางพยาบาลจึงวิ่งออกไปช่วยกัน แต่เมื่อไปถึงพบว่ามีบาดแผลถูกแทงจึงแนะนำให้ไปส่งที่รพ.

ขณะเดียวกันได้มีชาย 1 คนขี่จยย.มาจอดบริเวณท้ายรถกระบะคันเกิดเหตุ ก่อนจะสนทนากันกับคนที่ขับรถยนต์กระบะมาครู่ใหญ่ ก่อนที่ทั้งหมดจะหายไปแล้วเหลือไว้เพียงแต่ศพที่ท้ายรถยนต์กระบะจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ....

พ.ต.อ.สมิทธิ สารอต ผกก.สภ.คูคต เปิดเผยว่า หลังรับแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งรัดตรวจสอบที่เกิดเหตุ จนสามารถควบคุมตัว นางลำเพย อายุ 51 ปี แม่ของสามีผู้ตายไว้ได้ 1 คน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบถามในเบื้องต้นแล้วยังให้การวกวน...

กระทั่งทราบว่าเหตุเกิดที่บ้านหลังหนึ่ง หมู่ 5 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นบ้านของเพื่อนผู้เสียชีวิตที่มีความสนิทคุ้นเคย และผู้เสียชีวิตได้หนี นายทรงสิทธิ์ หรือ ป๊อก อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นสามีมาอาศัยอยู่กับเพื่อนเป็นเวลา 4 วันแล้ว เพราะทะเลาะกันเกรงว่าสามีจะทำร้าย....

จากการสอบสวนพยาน ทราบว่า ช่วงเย็นที่ผ่านมา นายทรงสิทธิ์ หรือ ป๊อก ได้ตามหาจนพบ น.ส.วราภรณ์ หรือ ใหม่ ภรรยาอยู่ภายในบ้านดังกล่าวกระทั่งเกิดมีปากเสียกัน ก่อนที่นายทรงสิทธิ์ หรือป๊อก จะใช้มีดแทงผู้ตายภายในห้องนอน ก่อนจะวิ่งออกมาขี่รถจยย.ของผู้ตายหลบหนีไป....

ส่วนรถยนต์กระบะและศพมาอยู่บนรถกระบะได้อย่างไรนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างเร่งสอบปากคำแม่ของนายทรงสิทธิ์ หรือ ป๊อก อย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และดำเนินคดีกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี รวมทั้งให้อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนำร่างผู้เสียชีวิตส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รพ.ภูมิพลอดุลยเดช เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป....

Credit : https://www.sanook.com/news/7544422/
.......................................
รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

 

 

guest

Post : 2018-10-17 09:37:31.0     Forum: ข่าว  >  ตะเเลงเเกงกรุงศรี!! มีเหล่าวิญญาณที่รอคอย...

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ตะเเลงเเกงกรุงศรี!! มีเหล่าวิญญาณที่รอคอย...
www.arjanpong.com
" รีบเสด็จลงทาง #พระบัญชร เดี๋ยวนี้เถิดพระเจ้าข้า..."
" มีเหตุอันใดฤา? "

สิ้นเสียงกระเเสรับสั่งของ #สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ที่ทรงตรัสกับ #ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ที่กราบถวายบังคมทูลรายงาน ถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าห้องพระบรรทมของพระองค์ท่านอยู่ในขณะนี้ ในขณะที่เสียงดาบเสียงธนู เสียงโห่ร้องอย่างย่ามใจของผู้ประสงค์ร้ายดังใกล้เข้ามาทุกที

#พระอาทิตยวงค์ เป็นกบฎพะยะค่ะ!!!.."

สายพระเนตรของพระองค์ท่าน ทรงเบิกกว้างเเละมีพระราชปุจฉาต่อมหาดเล็กด้วยพระสุรเสียงก้องกังวาล

" พวกมันมีกันสักเท่าใด?..."

" กระหม่่อมว่า..มิเกิน 200 พะยะค่ะ..."
"ดาบข้า!!.."
" อย่าทรงห่วงเลยพะยะค่ะ รีบเสด็จลงทางพระบัญชรเดี๋ยวนี้เถิด..."

กล่าวจบ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พร้อมด้วยมหาดเล็กคู่ใจก็พากันกระโดดหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ วิ่งฝ่าความมืดไปยังประตูหลังท้ายวัง เเล้วหนีไปลงเรือมาลอยลำอยู่ตรงบริเวณฉนวนน้ำประจำท่า ฟาก #เเม่น้ำลพบุรี

" ไอ้ #พระยากลาโหม อยู่ไหนวะ? มานี่ซิ..."
" พะยะค่ะ.."
" มึงทำอย่างไรก็ได้ ที่จะเอาไอ้กบฎทั้งหลาย มาหมอบอยู่ตรงหน้ากูก่อนเเจ้ง หาไม่...คอมึงจะหลุดจากบ่า!!..."

สิ้นสุรเสียงของกษัตริย์นักรบ ที่ทรงธนูเเม่นที่สุดในเเผ่นดิน เหล่าพวกทหารกล้าที่นำโดยเจ้าพระยากลาโหม ก็คืบคลานโอบล้อมพระที่นั่ง #วิหารสมเด็จมหาปราสาท เพื่อที่จะทวงเอาคืนจากการที่ถูกกองกำลังของพระอาทิตยวงค์ยึดครองเอาไว้เมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา การต่อสู้เเย่งชิงอำนาจในครั้งนี้ ก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าเเรงเท่าใดนัก เพราะกองกำลังกบฎในครั้งนี้ ก็ล้วนเเล้วเเต่เป็นชาวบ้านป่าบ้านดอยด้วยกันกันทั้งนั้น ที่ถูกชักจูงมาหวังจะได้รับรางวัลตอบเเทนหวังจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในเเผ่นดินกับเขาบ้าง....

พระอาทิตยวงค์หัวหน้ากบฎ ก็ถูกจับได้ในเวลาไม่นานนัก สมเด็จพระเจ้าปราสาทอง ทรงมีพระกระเเสรับสั่งให้นำไปสำเร็จโทษที่ #ตะเเลงเเกงใจกลางเมืองด้วยโทษประหารชีวิตตามพระอัยการกบถศึก 21 สถาน ไม่ว่าจะเปิดกระโหลกศรีษะเเล้วเอาคีมคีบเหล็กเเดงร้อนไฟใหญ่ ใส่ลงไปในสมอง หรือเอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายเเล้วใช้เพลิงจุด.....

เสียงหวีดร้องตะโกนด้วยเสียงอันน่าสยดสยอง ดังไปจนถึงหอกลอง ทะลุลอดไปจนถึง #วัดเกษ พ่อค้าเเม่ขายเเถว #ป่าโทน #ป่าถ่าน ที่ว่าใจเเข็ง...ก็ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดมามุงดูเหตุการณ์ประหารหมู่ในครั้งนี้เลยเเม่เเต่คนเดียว....

นั่นก็คือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นบนผืนเเผ่นดินกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ 2172 เเต่นี่ พ.ศ 2561 ผมก็ได้มายืนอยู่ตรงตะเเลงเเกง ซึ่งเป็นที่ประหารนักโทษกบฎเหล่านั้น...

ตะเเลงเเกงในสมัยนั้น ก็คือวงเวียนหน้าศาลหลักเมืองในสมัยนี้นั่นเอง...ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเเห่งความอาฆาตพยาบาทผูกใจเจ็บ จากผู้ที่ถูกกระทำในครั้งนั้น...เหมือนกับว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังรอคอยอะไรสักอย่างหนึ่ง เเม้นว่าการรอคอยนี้...จะไม่มีเงื่อนไขเวลามาผูกมัดไว้ก็ตาม....ใช่...พวกเขากำลังคอยอยู่....

เเม้นว่ากาลเวลาจะผ่านมาเเล้วสักเท่าใดก็ตาม..ผมเชื่ออย่างนั้น..........

.......................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

처음 이전 ... 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>