Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2019-02-16 14:00:58.0     Forum: ข่าว  >  อนาถความคิด!!เสพยานรกหวังลูกน้อยในท้องเเข็งเเรง!!

 

 

     

                        

 

 

อนาถความคิด!!เสพยานรกหวังลูกน้อยในท้องเเข็งเเรง!!
www.arjanpong.com
#ยาบ้า #สาวท้อง #ลูกเเข็งเเรง #สัตหีบ
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. นายอนุชา อินทศร นายอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.สราวุธ กรจิระเจริญ ปลัดอาวุโส และผู้เกี่ยวข้องร่วมจับกุมตัว น.ส.ทองกร หรือเปิ้ล ภูมิพันธ์ อายุ 32 ปี หญิงสาวที่กำลังตั้งได้ท้อง 3 เดือน ในข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย ของกลางเป็นยาไอซ์ 1 ถุง จับได้ภายในห้องเช่าเลขที่ 74 หมู่ 3 ต.แสมสาร

นายอนุชา เปิดเผยว่า ผู้ต้องหามีพฤติกรรมเสพและลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้กับชาวประมงในพื้นที่แสมสาร จึงเข้าตรวจสอบห้องพักเบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่พอตรวจปัสสาวะกลับพบว่าเป็นสีม่วง ก่อนนำไปควบคุมตัวไว้ที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 1 คืน เพื่อรอส่ง สภ.สัตหีบ โดยไม่ได้ตรวจค้นละเอียดมากนักเนื่องจากผู้ต้องหาเป็นผู้หญิง จากนั้นในวันนี้กลับได้มีกลิ่นยาบ้าตลบอบอวลออกมาจากตัวผู้ต้องหา จึงเค้นสอบอีกครั้ง

กระทั่ง น.ส.เปิ้ล รับสารภาพว่า ตอนถูกจับแอบเอายาบ้า ยาไอซ์ ไฟแช็ค ซุกซ่อนไว้ในเสื้อชั้นในพอทางสะดวกก็หยิบมาเสพ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ตั้งท้องอยู่ 3 เดือนได้เสพยาบ้ามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเสพแล้วทำให้มีพละกำลังไม่หลับไม่นอนทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยความที่ไม่มีความรู้จึงเชื่อว่าจะทำให้ลูกน้องแข็งแรงเหมือนร่างกายไปด้วย ไม่คิดว่าจะเป็นการทำร้ายลูกในท้อง....

Credit : https://www.dailynews.co.th/crime/693603
https://www.youtube.com/watch?v=Eo3pFKuCwR0

guest

Post : 2019-02-16 11:17:21.0     Forum: ข่าว  >  จะขอจดจำจนตาย

 

          

  ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ พร้อมด้วย จอมพลถนอมกิตติขจร

 

          

  วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินินาถ

  เสด็จพระราชดำเนินโดยทางรถไฟ ให้ราษฎรเข้าเฝ้าที่บริเวณสถานีรถไฟบุรีรัมย์ ศาลากลางจังหวัดฯ(ในภาพ)

  และสถานีรถไฟลำปลายมาศ

 

          

 

  ประชาชนต่างเฝ้าชื่นชมพระบารมี อย่างมืดฟ้ามัวดิน

 

          

  วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2514 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์

  เสด็จฯ ศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์เพื่อพระราชทาน”พระพุทธนวราชบพิตร”เป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัด

 

จะขอจดจำจนตาย!!
www.arjanpong.com
" จิตใต้สำนึก คือสิ่งที่ลึกสุดใจ...."
Sigmund Freud นักจิตวิทยาชาวเวียนนาได้กล่าวไว้ได้อย่างไม่ผิดนัก...
ศุกร์ที่ 21 พ.ค 2514 เวลา 14 .05 น. เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ เสด็จถึงศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อทรงเยี่ยมราษฏร

ตอนนั้นผมอายุเเค่ 9 ขวบ จึงไม่ยากนักที่จะเเทรก
ประชาชนคนเป็นหมื่นที่มาคอยเฝ้ารับเสด็จ เข้ามานั่งอยู่ข้างหน้าติดทางเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ท่านทั้งสอง ด้วยหวังชื่นชมบารมีอย่างใกล้ชิด

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จฯมาถึง...พระองค์ท่านทรงหยุดพระราชดำเนินยังเบื้องหน้าของผม แล้วทรงเเย้มสรวลพร้อมทั้งทรงมีพระราชกระเเสว่า

" เหนื่อยมั๊ยหนู?...."

ถีงเวลาจะเนิ่นนานสักขนาดไหน?..วันใดที่ผมล้า..วันไหนที่ผมท้อ...พระราชกระเเสนี้ จะผุดขึ้นมาจากส่วนที่ลึกสุดใจสว่างไสวให้ลุกขึ้นมาเพื่อสู้ต่อ

ผมเหนื่อยเเค่นี้..จะไปเทียบกับเศษหนึ่งส่วนล้านของหยดพระเสโทพระองค์ท่าน ที่หลั่งไปทั่วทุกตารางนิ้วบนผืนแผ่นดินนี้ได้อย่างไร?.....

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ....
ป้อง..
16/2/62

guest

Post : 2019-02-12 12:50:14.0     Forum: ข่าว  >  ผีเข้าเฝ้าร.6 !!

 

          

นายพันโทจมื่นฤทธิ์รณจักร (กรับ โฆษะโยธิน) ผู้บังคับการทหารรักษาวัง และราชองค์รักษ์

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

 

          

                         พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

 

          

                          ล้นกล้ารัชกาลที่ 6 กับสุนัขทรงเลี้ยง"ย่าเหล" 

 

          

                    vเลียงระหว่างพระที่นั่งอุดรภาค กับ พระที่นั่งอัมพรสถาน

 

 

ผีเข้าเฝ้าร.6 !!
www.arjanpong.com
#ผี #ราชองครักษ์ #พระที่นั่งอัมพรสถาน
ผี”ราชองครักษ์แต่งเต็มยศใหญ่เฝ้า ร. 6 ที่พระที่นั่งอุดรภาค เพื่อกราบถวายบังคมลาตายด้วยตนเอง

ธรรมเนียมของข้าราชสำนักตั้งแต่สมัยโบราณ คือ เมื่อได้เข้ารับราชการถวายตัวเป็นข้าพระบาทคอยถวายงาน เมื่อถึงแก่กรรมแล้วก็จะต้องกราบบังคมทูลลาเพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวรับทราบและมีพระราชวินิจฉัยพระราชทานเกียรติยศสมกับคุณงามความดีในตำแหน่งหน้าที่บริหารบ้านเมืองและข้าในพระองค์

ธรรมเนียมนี้ยังมีการสืบทอดมาถึงรัชกาลปัจจุบัน สำหรับผู้ที่เป็นข้าราชการกระทรวงหรือเป็นข้าในราชสำนักหรือข้าราชการที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามชั้นที่กำหนด หรือเชื้อพระวงศ์ เมื่อถึงแก่กรรมแล้ว ผู้ที่เป็นทายาทหรือเจ้าภาพจะต้องจัดดอกไม้กระทง 1 กระทง ธูปไม้ระกำ 1 ดอก เทียน 1 เล่มมีพานรองพร้อม

ด้วยธรรมเนียมดังกล่าวจึงเกิดกรณี “ผีเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว”

“ผี” ที่ว่าคือ นายพันโทจมื่นฤทธิ์รณจักร (กรับ โฆษะโยธิน) ผู้บังคับการทหารรักษาวัง และราชองค์รักษ์ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อพระบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ สิ้นพระชนม์ [10 สิงหาคม 2468 ] ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับอยู่ที่พระที่นั่งอุดร จะเสด็จพระราชทานน้ำสรงพระศพ

พระยาบำรุงราชบริพาธ เป็นผู้บันทึกเรื่องนี้ไว้ดังนี้

พระที่นั่งอุดรเป็นพระที่นั่งองค์เล็กมีเฉลียงเชื่อมต่อจากพระที่นั่งอัมพรสถานทั้งชั้นบนและชั้นล่าง แต่ก่อนจะถึงองค์พระที่นั่งอุดรมีอัฒจันทร์หินอ่อน เป็นทางลงและทางขึ้นระหว่างถนนผ่านกลาง ถนนนี้สร้างเพื่อรถพระที่นั่งเข้าเทียบ เมื่อมีพระราชประสงค์จะเสด็จขึ้นทางรถหรือเสด็จลงที่นั่น (ตามธรรมดาถ้าไม่รับสั่งเรียกเป็นพิเศษ รถพระที่นั่งจะเทียบที่หน้าพระที่นั่งอัมพรสถานบรรดาราชองครักษ์และมหาดเล็กเชิญเครื่องตามเสด็จ ก็จะไปรอเฝ้ารับเสด็จ ณ ที่นั่นด้วย)

การเสด็จพระราชดำเนินจากพระที่นั่งอุดร ไปประทับรถพระที่นั่งยังหน้าพระที่นั่งอัมพร จึงเสด็จพระองค์เดียวไม่มีใครตามเสด็จด้วย ตามธรรมดาก็มักจะเสด็จทางเฉลียงบนเป็นส่วนมาก แต่บางคราวอาจเสด็จพระราชดำเนินทางเฉลียงล่าง ตามพระราชอัธยาศัย และในวันนั้นก็บังเอิญเสด็จทางเฉลียงล่าง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาเล่าที่โต๊ะเสวยว่า [ตามบันทึกพระยาบำรุงราชบริพาธบันทึก]

“พอเสด็จลงอัฒจันทร์ชั้นบน เลี้ยวออกพระทวารจเสด็จลงอัฒจันทร์ชั้นล่าง ก็ทอดพระเนตรเห็น นายพันโทจมื่นฤทธ์รณจักร (กรับ โฆษะโยธิน) ผู้บังคับการทหารรักษาวัง และเป็นราชองครักษ์เวรยืนเฝ้าถวายการเคารพอยู่ริมถนนเชิงอัฒจันทร์ ทรงก้าวลงจากอัฒจันทร์ พลางยกพระหัตถ์ขึ้นรับการเคารพ และทรงนึกในพระทัยว่า อีตาคนนี้เป็นราชองครักษ์เวร ทำไมไม่ไปคอยเฝ้ารับเสด็จที่หน้าพระที่นั่งอัมพร มายืนเฝ้าอยู่ที่นี่ทำไม

หรือจะมาคอยเฝ้าถวายหนังสือ บางทีอาจจะมีเรื่องที่จะกราบบังคมทูลเฉพาะพระองค์บ้างกระมัง แต่ก็เปล่า ไม่เห็นถวายหนังสือ หรือกราบบังคมทูลอะไรเลย และทรงรู้สึกแปลกพระทัยว่าวันนี้หมายกำหนดการให้แต่งเต็มยศขาว ทำไมตาคนนี้แต่งเต็มยศใหญ่

ครั้งจะทรงทักว่าแต่งตัวผิด ก็ทรงเกรงว่าเจ้าตัวจะตกใจกระทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้น จึงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปโดยมิได้รับสั่งทักทายอย่างหนึ่งอย่างใด เสด็จมาประทับรถพระที่นั่ง หน้าพระที่นั่งอัมพรสถาน เลยมิได้เอาพระทัยใส่ต่อนายพันโท จมื่นฤทธิ์รณจักร”

จนการพระราชทานน้ำสรงพระศพ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ ตามราชประเพณีเสร็จเรียบร้อย ครั้นเสด็จกลับมาถึงพระที่นั่งอุดรก็ทอดพระเนตร เห็นดอกไม้ธูปเทียนถวายบังคมทูลลาตายตั้งอยู่ จึงทรงหยิบซองหนังสือขึ้นเปิดทอดพระเนตรมีข้อความว่า

“ดอกไม้ธูปเทียนของข้าพระพุทธเจ้า นายพันโทจมื่นฤทธิ์รณจักร (กรับ โฆษะโยธิน) ขอพระราชทานกราบบังคมลาถึงแก่กรรม ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะฯ”

ทันใดนั้นก็ทรงระลึกได้ว่า นายพันโท จมื่นฤทธิ์รณจักร แต่งเต็มยศใหญ่มาเฝ้าทรงรู้สึกผิดสังเกตอยู่แล้วนั้น ที่แท้ก็เพื่อมากราบถวายบังคมลาตาย ด้วยตนเอง....

Credit : พระยาบำรุงราชบริพาธ

guest

Post : 2019-02-10 12:31:18.0     Forum: ข่าว  >  วินาทีตะขอเจาะเเสกหน้า!! สยบช้างคลั่ง ใช้งาเเทง นศ.สาวสุรินทร์!!

 

  

 

วินาทีตะขอเจาะเเสกหน้า!! 
สยบช้างคลั่ง ใช้งาเเทง นศ.สาวสุรินทร์!!
www.arjanpong.com
#กอดงาช้าง #ช้างคลั่ง #งาเเทง #สุรินทร์
วันที่ 7 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุการณ์ระทึกภายในพิธีเปิดงาน ‘เทศกาลนุ่งผ้าไหม ใส่ประเกือม เรือมกันตรึม’ ประจำปี 2562 ซึ่งจัดขึ้นบริเวณสนามหน้าที่ว่าการ อ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ เมื่อช้างในขบวนแห่เกิดอาการคลุ้มคลั่งทำร้ายใช้งาแทงนักศึกษาสาวที่มาร่วมงาน ขณะเข้าไปถ่ายรูปคู่กับช้าง ท่ามกลางความตกใจของประชาชนที่มาร่วมงาน และ นายประภัสสสร์ มาลากาญจน์ ผวจ.สุรินทร์ ซึ่งเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิด

โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ ขณะที่ช้างพลายพานทอง ยืนรอร่วมขบวนแห่อยู่บริเวณต้นไม้ด้านซ้ายของเวทีเปิดงาน ปรากฏว่าน.ส.เอ (นามสมติ) นักศึกษาสาว มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อายุ 19 ปี ได้เดินเข้าไปถ่ายรูปกับช้างพลายพานทองไว้เป็นที่ระลึก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อพลายพานทองใช้งวงดมบริเวณขาน.ส.เอ ก่อนจะใช้งวงตวัดยกตัวขึ้นมาแล้วใช้งาแทงเฉียดสีข้างขาด้านขวาทะลุกระโปรง แต่โชคดีที่งาไม่แทงโดนหน้าขา

ขณะที่น.ส.เอ ยังมีสติดี ได้กอดรัดงาช้างไว้แน่นทำให้พลายพานทองเกิดอาการโมโหและคลั่งมากกว่าเดิม พยายามสะบัดร่างออกพร้อมกับเดินถอยหลังแล้วพุ่งชนร้านค้าริมถนนภายในงานจากนั้นพยายามสะบัดให้ร่างน.ส.เอหลุดออก แต่ยิ่งสะบัดยิ่งทำให้น.ส.เอ ยิ่งกอดรัดงาไว้แน่นกว่าเดิม ท่ามกลางประชาชนที่มาร่วมงานที่พากันส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ

ขณะที่ควาญช้างซึ่งพยายามใช้ตะขอสับหัวช้างเพื่อให้สงบแต่ไม่เป็นผล จนกระทั่งควาญช้างอีกคนจะนำช้างอีกเชือกเดินเข้าไปประกบคลอเคลียให้พลายพานทองสงบลง แต่ก็ยังพยายามชนกับต้นไม้และทิ่มงาลงจนกระโปรงน.ส.เอ ขาดหลุดออกจากงา จากนั้นน.ส.เอ อาศัยจังหวะนี้ผละตัวออกจากงาวิ่งหนีออกมาได้หวุดหวิด สร้างความโล่งใจของชาวบ้านที่เฝ้าดูด้วยความระทึกอยู่นาน 5 นาที

จากนั้นเจ้าหน้าที่รีบเข้าไปปฐมพยาบาล น.ส.เอ โดยพบว่ามีแผลถลอกเลือดไหลซิบบริเวณสีข้างขาด้านขวา ยาวประมาณ 10 ซ.ม. และมีอาการปวดตามตัว เนื่องจากถูกช้างชนอัดกับร้านค้า ขณะที่นายประภัสสสร์ ผวจ.สุรินทร์ ก็ได้รีบเข้าไปดูอาการด้วยตัวเอง ก่อนให้เจ้าหน้าที่กู้ชีพรีบนำตัวส่งร.พ.เขวาสินรินทร์ เพื่อรักษาแผลและตรวจอาการอย่างละเอียด

หลังเกิดเหตุ ชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน ว่าน.ส.เอ มีสติสัมปชัญญะและไหวพริบดีที่ตัดสินใจกอดงาช้างเอาไว้ ถ้าหากไม่กอดไว้มีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาจถึงแก่ชีวิตได้ ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากอากาศร้อนอบอ้วน อาจทำให้พลายพานทองเกิดอาการหงุดหงิดและเครียดจึงทำร้ายคนที่อยู่ใกล้...

Credit : https://www.khaosod.co.th

guest

Post : 2019-02-10 12:02:59.0     Forum: ข่าว  >  ใครจะไปก่อนกัน?!!...

 

       

สมบัติ เมทะนี เกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที 26 มิถุนายน 2580 ซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิมของแม่

แต่เมื่ออายุได้เพียง 7 วัน ครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่ย่านสะพานอ่อน ในกรุงเทพมหานคร ตามพ่อ

ซึ่งเป็นข้าราชการกรมรถไฟ

 

       

งานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง รุ้งเพชร เมื่อปี 2504 สังเกตุดูให้ดีที่มือของป้าแดง

รัตนาภรณ์ อินทรกำแหงมีนกเอี้ยงอยู่ในมือ นั่นเป็นนกเอี้ยงที่ป้าแดงเลี้ยงไว้ ป้าแดงรักมันมาก

นกตัวนี้ยังเป็นผู้นำเอาสมบัติเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์ เพราะหลังจากป้าแดงได้ดูตัวสมบัติแล้ว

ป้าแดงไม่ชอบสมบัติ เพราะสมบัติผอมเกินไป แต่เพราะนกเอี้ยงตัวนี้ไปเกาะที่ไหล่สมบัติ ทำให้

ป้าแดงเริ่มสนใจในตัวสมบัติ ธรรมดานกเอี้ยงตัวนี้จะไม่ค่อยเข้าหาใครง่าย ๆ ป้าแดงคิดว่า

สมบัติต้องมีอะไรดีไม่อย่างงั้นนกตัวนี้คงไม่เข้าหา ก็เลยรับสมบัติเข้าสู่วงการ แล้วก็เปิดแถลงข่าว

เปิดตัวพระเอกใหม่นามสมบัติ เมทะนี แสดงคู่กับเธอรัตนาภรณ์ อินทรกำแหง ในเรื่อง รุ้งเพชร

 

     

ประกาศตัวผู้เป็นภรรยาอย่างเปิดเผย พร้อมที่จะอำลาวงการบันเทิง เมื่อปี พ.ศ 2515

 

       

ไม่เคยห่างไกลกันเลย ตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาตลอด 60 ปี

 

ใครจะไปก่อนกัน?!!...
www.arjanpong.com
#สมบัติเมทะนี #พระเอก #บันเทิง 
มืออุ่นๆที่กุมมือของเธอไว้ในขณะนี้ ดูช่างอ่อนโยนเสียเหลือเกิน เเม้ว่าภายในห้องนอนเล็กๆจะดับไฟทุกดวงจนมืดสนิทเเล้วก็ตาม เเต่หยาดน้ำใสๆ ที่เอ่อล้นอยู่ขอบตาทั้งสองข้างของเธอ มันกำลังจะไหลรินร่วงรดหยดลงบนเเก้มเเล้วในขณะนี้...ใจหายนัก...ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาเเล้วไม่มีเค๊า เราจะทำอย่างไร? ถ้าขอได้ จะขอให้เราไปก่อนเถิด อย่าให้ต้องร้องไห้อยู่คนเดียวโดยไม่มีเขาเลย.....

ภาพในอดีตเมื่อ 49 ปีที่เเล้ว ที่บ้านพักข้าราชการกรมรถไฟหลวง อุรุพงค์ เราเห็นกันมาตั้งเเต่เด็กๆ คุณพ่อของเราทั้งสองต่างก็เป็นเพื่อนกัน เเละก็เป็นข้าราชการของการรถไฟด้วยกันทั้งคู่ ส่วนฉันก็เป็นเพื่อนสนิทเเละเรียนห้องเดียวกันกับน้องสาวคุณ วิ่งเล่นเข้าออกสลับกันไปกินข้าวที่บ้านเเต่ละคนเหมือนกัน ตามประสาเด็กๆโดยต่างคนต่างก็ไม่คิดอะไร จนกระทั่งคุณโตเป็นหนุ่ม ฉันก็อดขำคุณไม่ได้ที่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ คุณจะต้องมานั่งซักผ้า ตากผ้าด้วยตัวของคุณเอง ทั้งๆหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของเเม่บ้านเเม่เรือนไม่ใช่หรือ? เพราะว่าเราถูกเลี้ยงมาผิดกัน ที่บ้านลูกสาวทุกคนต้องเก่งงานบ้าน ส่วนผู้ชายไม่ต้องทำอะไร เเต่คุณนี่เเปลก....

"นุช ขอบใจนะที่รีดผ้าให้พี่ พับซะเรียบร้อยเชียว ไปเรียนมาจากไหนหรือ?...."
"นุชไม่ได้รีดสักกะหน่อย..."
"อ้าว เเล้วใครล่ะ?"
"นู๊นนนนนนน...."

บ้า!!..ดูซิ ทะเล้นทั้งพี่ทั้งน้อง จ้องมองเราอยู่ได้ อายนะไม่ใช่ไม่อาย สาบานได้ ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ ก็เเค่เพียงเเต่ขำที่เห็นผู้ชายต้องมานั่งซักผ้ารีดผ้าเองก็เท่านั้น เเต่นี่..สายตาของคุณที่มองในวันนั้น มันหมายถึงอะไรกันล่ะนั่น จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จ้องอยู่ได้ ไม่มีมารยาท เเต่ก็เเปลกนะ ถึงเเม้เราจะไม่ชอบสายตาคู่นั้นที่จ้องมองเราอย่างนี้ เเต่ก็ไม่อยากให้เธอไปมองใครอย่างนี้เหมือนกัน นอกจากฉันคนเดียว

"ขอบใจนะตุ๊..."
"ไม่เป็นไรค่ะ พี่เเอ๊ด...." เออนั่น..ทำให้เเทบตาย เเต่กลับขอบใจเพียงสั้นๆเเค่เนี้ยะ!!..."

หลังจากวันนั้นมา เหตุการณ์ในวันนั้นก็ทำให้เราได้มีโอกาสได้คุยกันมากขึ้น เเละเราทั้งคู่ก็ชอบฟังเพลงเเบบเดียวกันจึงคุยกันถูกคอ เเละทำให้สนิทสนมกันมากขึ้น จนกระทั่งมันได้กลายเป็นความอบอุ่นใจอย่างประหลาด เเละสุดท้ายเมื่อฉันเรียนจบคุณก็เข้าตามตรอกออกตามประตู โดยให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ อันที่จริงเเล้ว ฉันก็อยากจะเรียนให้จบปริญญาโทเสียก่อน เพราะตอนนี้ยังเด็กนัก ยังไม่ประสีประสาอะไรกับเรื่องเหล่านี้ เเต่อีกใจก็เเย้งว่า ของดีๆอย่างนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปได้ไง?....ก็ได้เเต่ยิ้มอายๆเอียงไปก็เอียงมา ก็นั่นเเหละคือคำตอบ มารู้สึกตัวอีกทีก็พอดีที่ผู้ใหญ่ทั้งสองมาผูกข้อไม้ข้อมือของเราทั้งคู่นั่นเเหละ

ดูเหมือนชีวิตคู่ก็ราบรื่นเรื่อยมา จนกระทั่งต่อมาคุณมีโอกาสได้เข้าสู่วงการบันเทิง และได้เป็นพระเอกละคร พระเอกหนัง มีผลงานการแสดงมากมาย มีชื่อเสียงโด่งดัง จนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่กลับไปมีใครทราบว่าคุณแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เนื่องจากในอดีตจะต้องปิดเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับ

ฉันรู้ว่าช่วงนั้นคุณรู้สึกอึดอัดเหมือนกัน เพราะต้องโกหกตลอด มันก็ไม่สบายใจ และคิดว่าเป็นความผิดมาก แต่เป็นสิ่งจำเป็น เพราะถ้าบอกว่าแต่งงานแล้ว งานจะไม่มีเข้ามาเลย สมัยก่อนคนดูเขายังยึดติดกับตัวดารามาก ฉันก็ต้องยอมรับว่าฉันต้องอยู่กับบ้าน จะออกไปไหนด้วยกันก็ไม่ได้ มีงานตุ๊กตาทองอยู่ปีหนึ่งที่ไปด้วยกัน แต่ต่างคนต่างไป เธอไปกับเพื่อนของเธอ ฉันก็ไปกับเพื่อนของฉัน แล้วถึงไปสลับคู่เต้นรำกันในงาน ซึ่งคนทั่วไปก็ไม่รู้

หลังจากปิดบังเรื่องครอบครัวมายาวนานถึง 13 ปี จนต่อมามีหนังสือดาราฉบับหนึ่ง ลงเรื่อง"สมบัติ เมทะนี " มีครอบครัวแล้ว ทุกคนก็ฮือฮากันมาก จนคุณคิดว่าคงต้องจบบทบาทในวงการแสดงไว้เพียงเท่านี้ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นกำลังโด่งดังอย่างมาก

"ทำอย่างไรต่อดีล่ะค๊ะ พี่เเอ๊ด?..."
"พี่ตัดสินใจเเล้วตุ๊..ว่าพี่จะขอเลิกจากวงการนี้...มันถึงเวลาเเล้วล่ะ...."

ฉันเเทบไม่อยากจะเชื่อกับหูของตัวเองเลย ว่าพระเอกอันดับหนึ่งของเมืองไทยในขณะนั้น ที่เเฟนๆหลงใหลคลั่งไคล้กันทั้งประเทศ จะตัดสินใจผละลงจากเเสงเเห่งดวงดาว ก้าวมายืนคู่เเนบชิดเป็นคู่ชีวิตของฉันกับลูกน้อย คุณกล้าทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อฉันกับลูก....

"หลับนะค๊ะที่รัก...คุณเหนื่อยเพื่อเรามามากเเล้ว...ฉันไม่เสียใจเลยที่ได้คุณมาเป็นคู่ชีวิต คุณยังคงเสมอต้นเสมอปลายตลอด ดอกกุหลาบดอกเเรกที่ฉันเคยให้คุณไว้เมื่อ 40 กว่าปีที่เเล้ว คุณยังทะนุถนอมเก็บรักษาไว้อย่างดี...สัญญานะค๊ะ..ว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหน สถิตย์อยู่ในหัวใจของฉันตราบกัลปาวสาน พระเอกในใจตลอดกาลของฉัน............."

เเม่ตุ๊ กาญจนา เมทะนี กล่าวจบ เธอก็จุมพิตเบาๆที่ไหล่ข้างซ้ายของสามีสุดที่รัก พร้อมทั้งรอยยิ้มของเธอที่เพ่งมองสามีสุดที่รักที่ในขณะที่เขายังคงนอนกุมมือเธอไว้ เป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับเธอจะบอกกับฟ้าว่า "อย่าพรากเราจากกันนะ ถ้าหากจะต้องไปก็ขอให้ฉันได้ไปก่อนนน......."

ป้อง..
10/2/62

 

 

 

       

guest

Post : 2019-02-08 13:24:47.0     Forum: ข่าว  >  เดิมทียกให้ใครใครก็ไม่เอา!! พระพุทธรูปทองคําที่ใหญ่ที่สุดในโลก!!

 

       

พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร(พระพุทธรูปทองคำวัดไตรมิตร กรุงเทพฯ) 

 

       

เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จ

พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ไปอันเชิญ

พระพุทธรูปมาจากเมืองเหนือเพื่อนำมาประดิษฐานยังวัดสำคัญ พระพุทธรูปที่เชิญมา

มีจำนวนมาก ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ขุนนางผู้หนึ่งจึงแอบเอาปูนไล้พระพุทธรูปทองคำแล้ว

นำมาไว้ยังวัดที่ตนสร้าง จนได้อันเชิญมาไว้ที่วัดพระยาไกร (วัดโชติการาม)

 

       

ความใหญ่โตขององค์พระ เมื่ออัญเชิญขึ้นประทับบนรถบรรทุกที่บริษัทอิสเอเชียติ

ส่งมาช่วยขนย้ายนั้น ปรากฏว่าองค์พระยิ่งสูงขึ้นไปมาก ต้องคอยเอาไม้ค้ำสายไฟ

สายโทรศัพท์ และสายไฟรถรางให้พ้นพระเกตุมาลามาตลอดทางจนถึงวัดไตรมิตร

 

       

วัดไตรมิตรวิทยาราม ตั้งอยู่ที่ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย มีชื่อเดิมว่าวัดสามจีน

 

เดิมทียกให้ใครใครก็ไม่เอา!!
พระพุทธรูปทองคําที่ใหญ่ที่สุดในโลก!!
www.arjanpong.com
#วัดไตรมิตร #พระพุทธรูปทองคำ #สุโขทัย
ตามประวัติที่สำนักนายกรัฐมนตรีพิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาน ณ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๔ กล่าวไว้ว่า

“เดิมพระพุทธรูปทององค์นี้ ประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ กรุงสุโขทัย แต่แล้วหายสาบสูญไปเพราะมีผู้เอาปูนปั้นหุ้มไว้ ต้นเหตุของการเอาปูนหุ้มสันนิษฐานได้ ๓ ประการ ประการที่

๑ หุ้มตั้งแต่สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงั่ว) เสด็จขึ้นไปตีอาณาจักรสุโขทัย ชาวสุโขทัยกลัวจะอัญเชิญพระพุทธรูปทองคำลงมา จึงปั้นปูนหุ้มไว้ ประการที่

๒ หุ้มเพราะครั้งนั้นข้าศึกจะมาทำลายหรือเอาไฟสำรอกเอาทองออก ครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อพุทธศักราช ๒๓๑๐ เพราะครั้งนั้นข้าศึกได้เอาไฟเที่ยวสุมสำรอกเอาทองคำเสียอเนกอนันต์ เช่นพระพุทธศรีสรรเพชญ์ ก็ถูกข้าศึกเอาไฟสุมละลายลงมาทั้งองค์ ประการที่

๓ ขุนนางผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งคงจะขึ้นไปพบเห็นเข้า เมื่อปรากฏว่ามีพระพุทธลักษณะงดงามมาก ก็ใคร่จะอัญเชิญมาประทับประดิษฐานที่วัดแห่งสกุลของตน หรือครั้งนั้นอาจไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธรูปทองก็ได้ เพราะเอาปูนปั้นหุ้มไว้หนามาก แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏหลักฐานว่า เท่าที่อยู่วัดโชตินาราม (วัดพระยาไกรฯ)นั้น คงมาเมื่อรัชกาลที่ ๓ นี่เอง”

วัดโชตินาราม เป็นวัดที่พระยาไกรโกษา (บุญมา) กรมพระคลังวังหน้า ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างมาตั้งแต่ยังเป็นพระยาโชฎึกราชเศรษฐีในรัชกาลที่ ๓ แต่พอสมัยรัชกาลที่ ๕ ย่านบางคอแหลมริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นทำเลที่บริษัทฝรั่งเข้ามาเช่าทำท่าเรือกันมาก วัดพระยาไกรก็เลยถูกบุกรุกแคบลงทุกทีจนกลายเป็นวัดร้าง

บริษัทอิสเอเชียติก จำกัดได้ขอเช่าเป็นที่ทำการของบริษัท เมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็ได้รื้อถอนเสนาสนะสงฆ์ที่หักพังจนหมดสิ้น เหลือเพียงพระอุโบสถที่มีพระพุทธรูปปูนปั้นและพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่เท่ากันเพียง ๒ องค์ ซึ่งยากต่อการขนย้าย ส่วนพระขนาดย่อมถูกอัญเชิญไปไว้ตามวัดต่างๆหมดแล้ว

ในปี ๒๔๗๘ ทางคณะสงฆ์จึงมีเถระบัญชาให้วัดไตรมิตรวิทยาราม กับวัดไผ่เงินโชตนาราม ไปอัญเชิญพระพุทธรูป ๒ องค์นี้ไปเก็บรักษาไว้ ทางวัดไผ่เงินโชตนารามไปก่อน จึงเชิญพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ด้านหน้าไป วัดไตรมิตรจึงอัญเชิญพระพุทธรูปปูนปั้นที่เหลืออยู่มา

ความใหญ่โตขององค์พระเมื่ออัญเชิญขึ้นประทับบนรถบรรทุกที่บริษัทอิสเอเชียติกส่งมาช่วยขนย้ายนั้น ปรากฏว่าองค์พระยิ่งสูงขึ้นไปมาก ต้องคอยเอาไม้ค้ำสายไฟ สายโทรศัพท์ และสายไฟรถรางให้พ้นพระเกตุมาลามาตลอดทางจนถึงวัดไตรมิตร ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำ

ส่วนโบสถ์วิหารของวัดไตรมิตรก็เก่าเต็มทนใกล้พังเต็มที บริเวณวัดมีสภาพเป็นที่ลุ่ม มีสระคูคลอง น้ำท่วมขังเกือบทั่วบริเวณวัด ยังหาที่เหมาะสมให้ไม่ได้ จึงสร้างแค่เพิงสังกะสีกันแดดกันฝนให้อยู่ข้างพระเจดีย์หน้าโบสถ์ไปก่อน แล้วบอกกล่าวทั่วไปว่าใครอยากได้ก็จะยกให้ มีหลายวัดต้องการนำไปเป็นพระประธาน แต่ก็ขาดแคลนพาหนะที่จะขนไปได้ บางรายก็ติดขัดที่เส้นทางรถเข้าไม่ถึง จนรายสุดท้ายขอไปเป็นพระประธานที่วัดบ้านบึงบวรสถิตย์ ชลบุรี แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ว่าไม่งามสมกับที่จะเป็นพระประธาน

จนในปี ๒๔๙๘ มีการเตรียมงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษในปี ๒๕๐๐ วัดไตรมิตรเกิดความสงสารพระพุทธรูปที่ไม่มีใครเหลียวแล จึงสร้างวิหารให้เป็นที่ประดิษฐาน แต่ขณะขนย้ายเข้าวิหารในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๙๘ เชือกที่สอดใต้องค์พระขึ้นเกี่ยวกับกว้านยก ทานน้ำหนักไม่ได้เกิดขาด ทำให้องค์พระหล่นลงกระแทกพื้นคอนกรีต ปูนที่พอกกะเทาะออก เห็นเนื้อในเป็นทองคำสุกปลั่ง จึงจัดการกะเทาะออกทั้งองค์ พบว่าไม่มีรอยบุบสลาย แต่ก็เก็บเป็นความลับไว้ จนมาเป็นข่าวเกรียวกราวในปลายปี ๒๔๙๙

จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับกันว่าพระพุทธรูปทองคำองค์นี้งดงามอย่างหาที่ติไม่ได้ พุทธลักษณะสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงสุโขทัย และผู้ที่สร้างพระพุทธรูปทองคำขนาดนี้ได้ก็ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคทีเดียว แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง

นอกจากสันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพราะเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของกรุงสุโขทัย และโปรดให้สร้างพิหารหลวงขึ้นกลางกรุงสุโขทัยเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญต่างๆ ซึ่งหลักศิลาจารึกก็กล่าวไว้ว่า

“...กลางกรุงสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันงาม...”

พระพุทธรูปองค์นี้หน้าตักกว้าง ๓.๑๐ เมตร สูงจากฐานถึงยอดพระเกตุมาลา ๓.๙๔ เมตร ถอดออกได้เป็น ๙ ชิ้น มีความบริสุทธิ์ของเนื้อทองจากฐานขององค์พระ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ เรื่อยขึ้นไปถึงพระพักตร์มีความบริสุทธิ์ของทอง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนยอดเป็นทองคำเนื้อแท้ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ และมีน้ำหนักเฉพาะส่วนยอดนี้ ๔๕ กิโลกรัม

ใน พ.ศ.๒๕๓๓ กินเนสบุ๊คได้บันทึกไว้ว่า พระพุทธรูปทองคำวัดไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปทองคำใหญ่ที่สุดในโลก และตีราคาไว้ ๒๘.๕ ล้านปอนด์ เมื่อเทียบกับราคาทองคำในปัจจุบันคงต้องเปลี่ยนตัวเลขนี้อีกมาก

ใน พ.ศ.๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามพระพุทธรูปทองคำของวัดไตรมิตรนี้ มีนามทางราชการว่า “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร” เพื่อเป็นสรรพสิริสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลสืบไป....

Credit : วารสารสำนักนายกรัฐมนตรี

guest

Post : 2019-02-07 13:08:31.0     Forum: ข่าว  >  แม่ครัววังหน้า

   

พระบวรราชานุสาวรีย์กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หรือวังหน้า “พระยาเสือ”

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ประดิษฐาน ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

 

 

 

พระราชวังบวรสถานมงคล หรือ พระบวรราชวัง ตั้งอยู่ที่เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

เป็นพระราชวังที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า สมเด็จพระบวร

ราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ซึ่งทรงดำรงพระอิสริยยศกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์

แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์โปรดให้สร้างขึ้น โดยเริ่มสร้างพร้อม ๆ กับพระบรมมหาราชวังใน

พ.ศ. 2325

 

     

พระองค์เจ้าหญิงดาราวดี พระธิดาในสมเด็จกรมพระราชวังบวร 

 

พระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท 

 

แม่ครัววังหน้า"พระยาเสือ"ใฝ่สูง!!
คิดก่อการกบฏ หวังให้ลูกสาวเป็นพระมเหสี!!
www.arjanpong.com
#กรมพระราชวังบวร #วังหน้า #กรุงรัตนโกสินทร์
แม้สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การสืบทอดอำนาจครองราชย์บัลลังก์จะเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลและราชประเพณี ไม่มีการแย่งชิงอำนาจกันเหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยาแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนมักใหญ่ใฝ่สูงคิดชิงอำนาจ ขนาด สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งทรงได้รับการกล่าวขานว่าเป็นคนเด็ดขาดเหี้ยมหาญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ จนพม่าข้าศึกยังให้สมญาว่า “พระยาเสือ”

แต่ก็ยังมีอ้ายกบฏ ๒ คนแอบซ่อนเข้าไปในวังหน้า หมายจะสังหารกรมพระราชวังบวรฯ เพื่อชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทั้งยังมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมด้วยหลายคน ส่วนหัวหน้าแม่ครัวของวังหน้าเอง หวังจะให้ลูกสาวได้เป็นมเหสีกบฏ จัดแจงให้ ๒ กบฏแต่งเป็นหญิงซ่อนดาบไว้ในผ้า ปนไปในขบวนฝ่ายครัวที่ขนกระบุงข้าวเข้าไปใส่บาตรแต่เช้ามืด

พงศาวดารรัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ กล่าวว่า ครั้งนั้นสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ ทรงพระราชดำริว่า พระสงฆ์ที่รับบาตรตามบ้านราษฎรได้กลับวัดเร็ว เพราะราษฎรคอยใส่บาตรกันอยู่แล้ว แต่พระสงฆ์ที่ไปรับบาตรตามวังเจ้าและผู้มีบรรดาศักดิ์ใหญ่ๆ ต้องไปยืนคอยกันอยู่นานจนสาย การทำบุญก็กลับจะได้บาป จึงโปรดให้ตั้งพระราชกำหนดว่า สำหรับพระราชวังบวรฯ จะเสด็จทรงบาตรในเวลา ๗ โมงตรงทุกวัน ให้ฝ่ายเตรียมข้าวทรงบาตรมาตั้งตามกำหนด และให้สังฆการีนิมนต์พระสงฆ์มารับบาตรพร้อมกัน

ด้วยเหตุนี้ประตูดินกรมพระราชวังบวรฯจึงต้องเปิดก่อนเวลาย่ำรุ่ง เพื่อให้พวกวิเสทปากบาตรขนข้าวทรงบาตรเข้าไปตั้ง อ้ายบัณฑิต ๒ คนซึ่งมาจากเมืองนครนายก อวดตัวว่ามีความรู้ด้านล่องหนหายตัวได้ มาอาศัยกับ เอี้ยง นายวิเสทปากบาตร ก่อนหลายวัน แล้วคบคิดกับขุนนางหลายคนที่มักใหญ่ใฝ่สูง อย่างพระยาอภัยรณฤทธิ์เป็นต้น โดย เอี้ยง วิเสทปากบาตรวางแผนให้อ้ายกบฏ ๒ คนแต่งเป็นผู้หญิงซ่อนดาบไว้ในผ้าห่ม เข้าไปทางประตูดินพร้อมกับผู้หญิงที่ขนกระบุงข้าวใส่บาตรเข้าไป ไม่ยักใช้วิชาหายตัวเข้า แล้วไปแอบอยู่ข้างทวารพระราชมณเฑียรทางที่จะเสด็จลงทรงบาตร คอยทำร้ายกรมพระราชวังบวรฯ

เดชะบุญในวันนั้น กรมพระราชวังบวรฯได้เสด็จไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวที่วังหลวงก่อนจะทรงบาตร จึงเสด็จทางพระทวารหน้าไปวังหลวงแต่เช้า อ้ายกบฏ ๒ คนจึงคอยเก้อ จนนางพนักงานเฝ้าที่มาพบเข้าก็ตกใจ ร้องโวยวายขึ้นและหนีลงมา ขุนหมื่นกรมวังคนหนึ่งจึงนำคนเข้าไปจับ อ้ายกบฏก็ฟันหัวขุนหมื่นขาดกระเด็น พวกเจ้าจอมก็วิ่งไปบอกข้าราชการด้านนอก จึงแห่กันเข้ามาล้อม แล้วใช้ก้อนอิฐก้อนหินขว้างเข้าใส่จนน่วมแล้วหวดด้วยกระบอง จับมัดไว้

อ้ายกบฏ ๒ คนก็ซัดทอดผู้ร่วมคิดทั้งขบวน ซึ่งมีทั้งข้าราชการวังหลวงวังหน้า สำรับ เอี้ยง วิเสทปากบาตรยอมรับสารภาพว่าหลงเชื่ออ้ายกบฏจนสาบานว่าจะขอพึ่งบุญ ยอมยกลูกสาวให้เป็นภรรยา เมื่อสำเร็จการที่คิดไว้จะได้เป็นมเหสี

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นที่แน่นอนว่า ให้ลงพระราชอาญาตามโทษ ดำรัสให้ประหารชีวิตอ้ายบัณฑิต ๒ คนเสีย ส่วนพวกที่คบคิดร่วมขบวนการ ก็ให้รับโทษสถานเดียวกัน หัวที่คิดชั่วจึงไม่ได้อยู่กับตัวกันทุกราย...

Credit : พงศาวดารฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์

guest

Post : 2019-02-06 13:45:14.0     Forum: ข่าว  >   เปิดเรื่องลี้ลับเมืองกรุงเก่า เสียงมโหรี-ผีหัวขาดบนกำแพง!!..

 

          

นาฎศิลป์ไทย-ดนตรีไทย ถือว่าเป็นวัฒนธรรมมาตั้งเเต่สมัยอยุธยาศรีรามเทพนคร ใครหลบหลู่ดูหมิ่น

มักจะประสบเหตุการณ์ที่ไม่ดีอยู่เสมอๆ 

 

          

งานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก งานระดับชาติอีกหนึ่งของความภาคภูมิใจของคนกรุงเก่า

 

          

นายเรวัต ประสงค์ รองผู้ว่าฯอยุธยาในขณะนั้น ที่ได้ประสบความลึกลับมหัศจรรย์ ในคืนงานยอยศยิ่งฟ้าฯ

 

          

3 ก.พ.61 ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พระนครศรีอยุธยา

ว่ามีชาวต่างชาติส่งพัสดุไปยังสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่ โดยระบุให้ส่งต่อ

มายังสำนักงานที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งภายในพัสดุเป็นเศษซากอิฐ ปูนแตกหัก 3 ชิ้น ขนาดไม่เกิน

3-5 นิ้ว และมีจดหมายระบุเป็นภาษาอังกฤษ ใจความแปลได้ว่า "ขอความกรุณานำสิ่งของ 3 ชิ้นนี้ส่งคืน

บริเวณวัดใดวัดหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วยครับ(วัดมหาธาตุ) เพราะคนเอาไปอยู่ไม่เป็นสุข 

ฝากส่งคืนเจ้าของ ขอบคุณด้วย"

 

 

*** เปิดเรื่องลี้ลับเมืองกรุงเก่า เสียงมโหรี-ผีหัวขาดบนกำแพง!!..***
www.arjanpong.com
#ลี้ลับ #วิญญาณ #อยุธยา #ยอยศยิ่งฟ้า

"เปิดประสบการณ์ขนหัวลุกเมืองกรุงเก่า" รอง ผวจ. เผยเคยโดนมาแล้วกับตัว ได้ยินเสียง "มโหรี" ปริศนาแว่วมากลางดึก ขณะที่กองถ่ายละครเจอดี เห็นผีสาวสวมชุดไทยไร้หัว นั่งบนกำแพงวัดพระศรีสรรเพชญ์!

จากกรณีที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวชมโบราณสถานในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา แล้วหยิบเศษอิฐเก่ากลับไป 3 ชิ้น แต่ภายหลังปรากฏว่า ต้องพบกับเรื่องราวและความเดือดร้อนจนต้องส่งพัสดุคืนมาให้กับการท่องเที่ยว โดยทางเจ้าหน้าที่และชาวบ้านเชื่อกันว่า วิญญาณบรรพบุรุษกรุงศรีอยุธยาตามทวงคืน ตามที่เสนอข่าวไปนั้น ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. นายเรวัต ประสงค์ รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า สมัยที่เป็นหน้าห้องของ นายประเสริฐ โยธีพิทักษ์ รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา ขณะนั้นมี นายบรรจง กันตวิรุฒ เป็นผวจ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณปี 2539

ได้มีคนแอบลักลอบขุดบริเวณจวนผู้ว่าฯ และพบเงินพดด้วงจำนวนมาก จากนั้นนำไปขายให้กับร้านค้าในเกาะเมืองรวมทั้งแผงของเก่า ซึ่งทางราชการได้ประกาศให้นำมาคืน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครนำมาคืนเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน ก็มีคนทยอยนำเงินพดด้วงและสร้อยสังวาลโบราณไปคืนให้ที่สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ส่วนใหญ่เป็นญาติๆของคนที่เอาไปบอกว่าคนที่เอาไปจริงๆประสบอุบัติเหตุ และเรื่องราวเดือดร้อนในชีวิต จึงนำเงินพดด้วงทั้งหมดมาคืน

นายเรวัต ยังเปิดเผยประสบการณ์ตรงด้วยว่า เมื่อคราวที่จัดงาน"ยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก" ปี 57 บริเวณลานวัฒนธรรมตรงข้ามวัดมงคลบพิตร ใกล้กับวัดพระราม มีการนำภาพเก่ามาแสดงและมีการแสดงลิเกดนตรีไทยปรากฏว่า ภายหลังงานเลิกไปแล้วเวลาประมาณเที่ยงคืน ตนอยู่กับเจ้าหน้าที่บริเวณพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง จู่ๆพวกตนทั้งหมดได้ยินเสียงระนาด ปี่พาทย์ บรรเลงอยู่ จึงกันได้ชวนกันไปดู แต่ก็ปรากฏว่าไม่มีใครเลยจึงรีบเดินทางกลับ ช่วงเช้าวันถัดมาจึงได้มีการกราบไหว้ขอขมาและบวงสรวงอีก ซึ่งเชื่อว่าเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษ มาเที่ยวชมงาน ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ส่วนที่บริเวณวัดมหาธาตุ และวัดพระศรีสรรเพชญก็ยังพบว่ามีนักท่องเที่ยวนำอิฐเก่ามาเรียง หลายคนเชื่อว่าเป็นความเชื่อหรือบางคนได้นำอิฐเก่าเหล่านั้นกลับมาคืนนั่นเอง

ขณะที่ นายกรพจน์ หากวี อายุ 35 ปี อดีตเคยรับจ้างถ่ายภาพให้กับนักท่องเที่ยวบริเวณทางเข้าวัดพระศรีสรรเพชญ์ เปิดเผยว่า เคยเห็นนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศส หยิบอิฐเก่าๆบริเวณวัดพระศรีสรรเพชญ์ขึ้นมา แล้วขอไกด์นำกลับไปด้วยอยากเก็บเป็นที่ระลึก ซึ่งไกด์ก็บอกว่าไม่อยากให้เอาไป แต่นักท่องเที่ยวไม่ฟังหยิบใส่กระเป๋าไป 1 ชิ้น

ปรากฎว่าเวลาผ่านไปเกือบเดือนพบกับไกด์คนเดิมนำก้อนอิฐที่นักท่องเที่ยวเอาไปนำมาคืน โดยไกด์เล่าให้ฟังว่านักท่องเที่ยวดังกล่าวเจอเรื่องร้ายๆและประสบอุบัติเหตุจึงได้ส่งพัสดุมาให้ตนแล้วให้ตนนำมาคืน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออีกทั้งกองถ่ายละครหลายกองที่เข้ามาถ่ายทำที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ เวลากลางคืนก็มักจะพบเจอผู้หญิงสวมใส่ชุดไทยมีสะใบแต่ไม่มีศีรษะ นั่งพับเพียบบนกำแพง จนต้องมีการจุดธูปขอขมาซึ่งเชื่อว่ายังมีวิญญาณของบรรพบุรุษอยู่มากมายอิฐทุกก้อนจะมีส่วนในอดีตไม่ควรที่จะเอาไป... ..

Credit : https://www.dailynews.co.th/regional/625391

guest

Post : 2019-02-05 13:38:09.0     Forum: ข่าว  >   ร่มเกล้า!! สมรภูมินรก!

 

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ขณะทรงร่วมรบที่

สมรภูมิบ้านหมากแข้ง

 

การรบที่ดุเดือน การสูญเสียชีวิตเหล่าทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มต้นขึ้นเมื่อ วันที่ 15 ธันวาคม

ปี 2530 เมื่อฝ่ายทหารไทยได้เคลื่อนกำลังฝ่าความมืดเข้าโจมตีเนิน 1428 

 

แถลงการณ์ร่วม “หยุดยิง” วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ มีข้อสรุปคือ หนึ่ง ทั้งสองฝ่าย

จะหยุดยิงตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. ของวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ สอง จะถอยจากแนวปะทะ

ฝ่ายละ ๓ กิโลเมตร สาม ตั้งคณะเจ้าหน้าที่ประสานงานตรวจการปฏิบัติตามข้อตกลง

และสี่ หลีกเลี่ยงการปะทะกันด้วยอาวุธ โดยจะให้มีการเจรจาภายใน ๑๕ วัน โดยมี พลเอก

ชวลิต ยงใจยุทธ เเละพล.อ. สีสะหวาด แก้วบุนพัน หัวหน้าเสนาธิการทหารสูงสุด ทปล.

เป็นผู้ลงนามหยุดยิง

 

เนื้อที่ 72 ตร.ก.ม บ้านร่มเกล้า ปัจจุบัน เป็นของไทย โดยสมบูรณ์

 

 

*** ร่มเกล้า!! สมรภูมินรก!!.....***
www.arjanpong.com
#ทหารผ่านศึก #อนุสาวรีย์ชัย #บ้านร่มเกล้า

.....สงครามบ้านร่มเกล้า.....

เกิดจากกรณีพิพาท ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก อันเนื่องมาจากปัญหาเส้นเขตแดนที่อ้างสนธิสัญญาคนละฉบับ

ลาวได้ส่ง กำลังทหารเข้ามายึดพื้นที่ส่วนที่เป็นปัญหา ไทยส่งกำลังทหารเข้าผลักดัน เกิดการปะทะกันด้วยกำลังทหารของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างหนักหน่วงในช่วงเดือนธันวาคม 2530 ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2531 มีการหยุดยิงเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2531

เหตุการณ์เกิดขึ้นใน ช่วงปลายของยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ 
ทั้งนี้โดยมีพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

วันที่ 31 พฤษภาคม 2530 ทหารลาวยกกำลังเข้ามาในพื้นที่ซึ่งฝ่ายไทยอ้างว่าอยู่ในเขตอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ทำลายรถแทรกเตอร์ของบริษัทป่าไม้เอกชนเสียหาย 3 คัน มีผู้เสียชีวิต 1 คน หายสาบสูญ 1 คน ทหารพรานชุด 3405 เข้าปะทะกับทหารลาว

ขณะนั้นสหรัฐเผ่นออกไปจากเอเชียแล้ว ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากไว้ในเวียดนาม ทางอีสานใต้มาถึงตะวันออกกองพลใหญ่ของเวียดนามจ่อคอหอยอยู่ ทางอีสานเหนือภายใต้ชื่อทหารลาว แต่ความจริงน่าจะเป็นกองกำลังผสมของหลายชาติ โดยมีชาติมหาอำนาจยืนทะมึนอยู่ข้างหลัง ทั้งได้ใช้เทคโนโลยีสูงยิ่งในการบัญชาการ

ยามนั้นกองทัพไทยปกป้อง เอกราชอธิปไตยจนแม้กระสุนปืนใหญ่ก็ไม่เหลือ ที่ระดมมาจากมิตรประเทศในอาเชียนก็หมดสิ้น 
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธสั่งการให้อดีตทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน คือ พ.อ.อมรรัตน์ จินตกานนท์ ร่วมกับ “คณะทำงานลับ” คนหนึ่ง และทีมงานของเขา ติดต่อประสานงานกับกองทัพจีน นำไปสู่กระบวนการ “วิธีการพิเศษ” ลำเลียงทั้งปืนใหญ่และกระสุนจากจีนมาใช้ !

ปืนใหญ่และกระสุนปืนใหญ่ ชุดนั้นมีความหมาย 2 นัย นัยแรกตรงไปตรงมา คือเป็นยุทโธปกรณ์เสริมและทดแทน นัยที่สองที่อาจจะสำคัญกว่าก็คือเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ “สาส์น” ที่ต้องการ “สื่อ” ต่อฝ่ายตรงกันข้าม

ลักษณะกระสุนชนิดใหม่ที่ถูกยิงออกไปทำ ให้เกิดความเข้าใจว่าศึกครั้งนี้ไทยไม่ได้รบโดยโดดเดี่ยวแล้ว จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีการเจรจา และถอนทหารออกจากแนวรบ อาจกล่าว ได้ว่าเป็นชัยชนะโดยไม่ต้องรบ

อาวุธจากจีนนั้น คงเป็นแค่ประเด็นเสริม จริง ๆ แล้ว เพราะว่า ทางไทยได้ส่งหน่วยรบพิเศษ ไปปฏิบัติการในแนวหลังของฝ่ายตรงข้าม ในลักษณะสงครามกองโจร ทำให้ ฝ่ายตรงข้ามเกิดวิกฤตขึ้น เนื่องจากขาดการส่งกำลังบำรุง

ระบบ อาวุธและการติดต่อสื่อสารในการรบที่ทางฝ่ายลาวใช้นั้น ทันสมัยมาก สามารถรู้พิกัดที่ตั้งปืนใหญ่ของไทย และยิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีการรบกวนระบบการสื่อสารของทหารไทย ซึ่งกองทัพประชาชนลาวคงไม่มีระบบที่ทันสมัยอย่างนี้ ที่ตั้งบนเนิน ๑๔๒๘ มีการดัดแปลงการตั้งรับอย่างดี บังเกอร์เป็นคอนกรีต เสริมเหล็ก ลักษณะเป็นเนินเขาบีบแคบ ในการเข้าตีต้องเข้าตีจากด้านหน้าอย่างเดียว ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบในการรบ หากจะต้องทำการรบในกรอบปกติ

สำหรับในกรณี นี้นั้นจากการวิเคราะหของหลายฝ่ายกล่าวว่า เนื่องจากเนิน ๑๔๒๘ เป็นที่ตั้งที่ดี การเข้าตีต้องเข้าตีจากด้านหน้า ทางลาวตั้งฐานปืนใหญ่ ด้านหลัง ซึ่งเป็นแนวเขาซับซ้อน ยากต่อการค้นหา และยิงตอบกลับ ในช่วงนั้นมีข่าวว่ากองทัพไทยประกาศว่า หากจะทำการบุกข้ามแม่น้ำโขงเข้าไปก็ต้องทำหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งมีผู้ใหญ่หลายฝ่ายออกมามาปรามในเรื่องนี้ เพราะไม่อยากให้สถานการณ์รุนแรงจนกลายเป็นสงครามเต็มขั้นระหว่างไทยกับลาว

๒๑ มกราคม ๒๕๓๑ มีการปรับยุทธวิธีการสู้รบครั้งใหญ่ต่อยุทธการภูสอยดาว เพราะไทยเริ่มมีการสูญเสียมากขึ้น และเพื่อลดความสูญเสียดังกล่าว จึงมีการปรับปรุงยุทธการรบให้เหมาะสมยิ่งขึ้นต่อยุทธภูมิที่เป็นอยู่ ( ทางไทยเริ่มมีการใช้การรบนอกแบบ และได้ผล สร้างความกดดันต่อการปฏิบัติการของฝ่ายลาวเป็นอย่างมาก)

๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ นายไกรสอน พรมวิหาร นายกรัฐมนตรีลาวได้ส่งสาสน์ถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีของไทย เสนอให้ทหารทั้งสองฝ่ายพบแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้โดยเร็ว ลาวพร้อมที่จะส่งคณะผู้แทนทหารมา กรุงเทพมหานคร และยินดีที่จะต้อนรับคณะผู้แทนทหารของประเทศไทย ที่จะเดินทางไปนครเวียงจันทน์เพื่อปรึกษาหารือปิดฉาก สงครามร่มเกล้า!!

.....จุดที่น่าสังเกตของเหตุการณ์ครั้งนี้.....

หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่ากรณี พิพาทระหว่างไทยกับลาวครั้งนี้เป็นแรงผลักดันที่ลาวได้รับจากเวียดนามและ โซเวียต ซึ่งพยายามขัดขวางการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ และเป็นหนึ่งในแผนตัดขาดและยึดภาคอีสานของไทยตามยุทธการตัว L (L Operation) และรวมภาคอีสานของไทย ลาว เขมร เวียดนาม เป็นสหพันธ์อินโดจีน โดยมีเวียดนามเป็นผู้นำ

.....สรุปตัวเลข.....

จำนวนผู้เสียชีวิต

ฝ่ายไทย
-เสียชีวิต 147 นาย
-พิการ 55 นาย
-บาดเจ็บสาหัส 167 นาย
-บาดเจ็บเล็กน้อย 550 นาย

ฝ่าย ลาว
-ทหาร สปปล.เสียชีวิต 286 นาย, บาดเจ็บ 301 นาย
-ทหารเวียดนาม เสียชีวิต 157 นาย, บาดเจ็บ 112 นาย
-ทหารโซเวียตเสียชีวิต 2 นาย, บาดเจ็บ 2 นาย
-ทหารคิวบา เสียชีวิต 2 นาย

.....บทสรุป.....

ไทย บรรลุ เป้าประสงคฺ์ของไทย

- รักษาอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนกรณีพิพาท คิดเป็นเนื้อที่ 72 ตารางกิโลเมตร

- การปักปันเขตเดน ระหว่างไทยและลาว ปัจจุบัน ปักปันไปแล้ว 676 กิโลเมตร จาก 702 กิโลเมตร เป็นไปได้ด้วยดี

- เนื้อที่ 72 ตร.ก.ม บ้านร่มเกล้า ปัจจุบันเป็นของไทย โดยสมบูรณ์!!.........

Credit : https://board.postjung.com/490105.html
..........
พลังภูผา..
#แก้กษัย #ปวดเมื่อย #ท้องผูก #กรดไหลย้อน 
สนใจที่ : www.arjanpong.com
โทร : 0898129392

guest

Post : 2019-02-03 09:46:37.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  สายใยเเห่งรัก

 

                                                  

สายใยเเห่งรัก..

 

"อย่าบอกป้าโจ๊วนะลูก ว่าลุงอู๊ด เสียเเล้ว.."
เสียงพูดอ้นเเผ่วเบาจากปากของนาง พรรณี พลรัตน์ น้องสาวคนเดียวของป้าโจ๊ว ที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ในห้อง ไอ ซี ยู โดยมีสายอ๊อกซิเจน กับสายน้ำเกลือ พันระโยงระยางเต็มไปหมดของโรงพยาบาลตำรวจ ที่เอ่ยกระซิบก้บลูกสาวที่นั่งเฝ้าอยู่ปลายเตียงของผู้เป็นป้าด้วยดวงตาที่เศร้าหมอง
"ลุงเสียเมื่อไร ล่ะเเม่?.."
เมื่อตอนสองทุ่มครี่งนี่เอง อยู่ที่สมิติเวช พรุ่งนี้ก็คงจะเคลื่อนไปที่วัดมกุฏฯ เเม่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไว้ศาลาไหน?..."
ผู้เป็นเเม่กล่าวจบพร้อมกับหยดน้ำตาใสๆที่ค่อยๆไหลรินร่วงมาเป็นสายอย่างไม่รู้ตัว ภาพของพี่สาวคนเดียวที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ในอาการที่ไม่รู้สึกตัวอยู่ในขณะนี้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก นี่หรือศิลปินเเห่งชาติ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี?.. นี่หรือคนที่ให้ความสุขเเก่มิตรรักนักฟังเพลงมาเป็นระยะเวลานานเเสนนาน เป็นนางฟ้าเสียงสวรรค์ที่อยู่ในหัวใจคนนับล้านคน?..ทำไมต้องมานอนซมเพราะพิษ เบาหวาน พาร์กิสัน อัลไซเมอร์ หนักหนาสาหัสสากรรณ์ถึงขนาดนี้ล่ะ?!!.....

ภาพของพี่สาวกับสามีก็คือคุณ สุวัฒน์ วรดิลก หรือ ลุงอู๊ดของเด็กๆ ต่อเเต่นี้ไปก็คงจะไม่มีอีกเเล้ว ภาพของทั้งคู่ที่ไม่เคยห่างกันเลยเเม้เเต่วันเดียว ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ครองรักกันมา มันยิ่งกว่าเงาตามตัวของกันเเละกันเสียอีก ไม่รู้ล่ะ..เห็นพี่โจ๊วตรงไหน ก็ต้องเห็นพี่อู๊ดอยู่ตรงนั้นด้วยล้านเปอร์เซนต์!!...ทั้งคู่ต่างก็ห่วงหาอาทรซึ่งกันเเละกันอยู่ตลอดเวลา คำน้อยสักนิดที่จะผิดใจกันนั้นไม่มี จวบจนกระทั่งพี่อู๊ดล้มป่วยลงด้วยวัยชรา เเข้งขาไม่มีเเรง เเต่ก็ได้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากคอยดูเเลเฝ้าไข้อย่างใกล้ชิด จัดการหาหยูกหายาพาขับรถไปหาหมอพนอคลอเคล้ากันไม่ห่าง พี่อู๊ดยิ้มเเย้มเเจ่มใสทักทายลูกหลานเเละลูกศิษย์ลูกหา ที่เเวะเข้าไปเยี่ยมเยียนกราบทักทายสองตายายที่ศรีราชาอยู่เป็นประจำ ไม่มีสักนิดเลยสำหรับเเววตาของการท้อถอย.....

เเล้วก็ถึงวันหนึ่งที่พี่โจ๊วต้องมาล้มป่วยลงบ้างจากอาการโรคเบาหวานกำเริบ พร้อมกับโรคร้ายหลายอย่างที่ประดังเข้ามา ทางญาติๆก็ตกลงกันว่าให้มารักษาตัวที่กรุงเทพจะดีกว่า เพราะอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือทางการเเพทย์จะมีความพร้อมมากกว่า

"โจ๊ว เขาเป็นยังไงมั่งล่ะณี?..." เสียงของชายชราที่นอนไม่ไหวติงอยู่บนเตียง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด จากน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาจากชายชราผู้นั้น

"หมอเขารับตัวไว้เเล้วล่ะพี่อู๊ด อยู่ใกล้มดใกล้หมอ เครื่องไม้เครื่องมือก็มีพร้อมทุกอย่าง ไม่ต้องกลัวหรอกพี่ อาการก็ดีขึ้นไปเรื่อยๆ อีกไม่นานก็คงหาย.."

"หมอเขาว่าเป็นอะไร?.."

"โรคคนเเก่น่ะพี่.." กล่าวจบเธอก็เเสร้งทำปลีกตัวเดินเข้าไปในครัวหลังบ้าน เพี่อที่จะได้หยุดการสนทนาไว้เเต่เพียงเท่านั้น ก็เธอจะพูดออกไปได้อย่างไรกันเล่า? ว่าทุกวันนี้พี่สาวของเธอนั้นยังนอนอยู่ที่ห้องไอซียู เเละยังไม่รู้สึกตัวเลย...

นั่นเป็นครั้งเเรกที่เธอได้เห็นเขาทั้งคู่ต้องเเยกจากกัน เเละนับตั้งเเต่วันนั้นเป็นต้นมา อาการของพี่อู๊ดก็ทรุดลงเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งวันที่ 15 เมษายน 2550 พี่อู๊ดก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยอาการหัวใจล้มเหลวในสภาพที่คราบน้ำตายังเเห้งเกรอะกรังอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง..."ใช่เเล้วล่ะ..พี่อู๊ดตรอมใจตาย......" พรรณี รำพึงรำพันกับตัวเองเบาๆด้วยอารมณ์ที่หดหู่ยิ่งนัก

ทางญาติๆต่างตกลงกันว่าจะสวดอภิธรรม 30 วัน เเล้วก็จะเก็บศพ 100 วัน ก่อนที่จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพต่อไป ลูกๆหลานๆใครทีว่างก็สลับสับเปลื่ยนกันเข้ามาดูอาการของป้าโจ๊วที่โรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วง

 "เเม่ป้ายิ้มเเล้ว!!.." เสียงลูกสาวละล่ำละลัก หันไปบอกเเม่พรรณีที่กำลังยืนคุยกับคุณหมอด้วยน้ำเสียงดีใจ..ภาพที่เห็นอยู่ในขณะนี้ คนไข้ที่นอนหลับตาไม่รับรู้เรื่องราวต่างๆมานาน เธอกำลังยิ้มอย่างมีความสุข ทั้งๆที่ตาทั้งสองข้างของเธอยังปิดสนิท

 รอด้วยพี่อู๊ด...." เสียงที่เบาเเสนเบาพอจะจับใจความได้ถึงความรู้สึกที่โหยหาอาทรเเห่งห้วงลึกสุดหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอรอคอยบางสิ่งบางอย่างมานานเเสนนาน..."รอด้วยยยยยยย............" เสียงที่เเผ่วเบานั้น ค่อยๆเงียบหายไป พร้อมกับลมหายใจที่สงบนิ่งลงในเวลาต่อมา......

10.30 น. ของวันที่ 14 พฤษภาคม 2550 เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ศิลปินเเห่งชาติ ได้สิ้นใจอย่างสงบ ภายหลังจากสวดอภิธรรมศพ สุวัฒน์  วรดิลก ศิลปินเเห่งชาติ ผู้เป็นสามี ครบ 30 วัน พอดี................

guest

Post : 2019-02-02 11:25:15.0     Forum: ข่าว  >  เอากันให้ตายไปข้าง!! ต้องจับสึก"ครูบาศรีวิชัย" ข้อหาไม่ประดับธงทิวเเละประทีปโคมไฟ!!

อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยที่เชิงดอยสุเทพ

 

เจ้าแก้วนวรัตน์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในพิธีลงจอบแรก 

 

ครูบาศรีวิชัยท่ามกลางหมู่เฮาในวันทำพิธีจอบแรกขึ้นดอยสุเทพ

 

วันเปิดถนนขึ้นดอยสุเทพ

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
เอากันให้ตายไปข้าง!! ต้องจับสึก"ครูบาศรีวิชัย"
ข้อหาไม่ประดับธงทิวเเละประทีปโคมไฟ!!
www.arjanpong.com
#ครูบาศรีวิชัย #ดอยสุเทพ #เชียงใหม่ #ลำพูน
ถูกข้อหาดอยสุเทพอยู่ห่างตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๖ กม. สูงจากพื้นราบ ๗๔๖.๙๒ ม. และสูงจากระดับน้ำทะเล ๑,๐๕๓ ม. แต่การขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนยอดดอยนับเป็นเรื่องยากลำบาก ต้องเลาะไปตามไหล่เขาที่เป็นทางทุรกันดาร บางแห่งก็ต้องโหนเถาวัลย์ขึ้นไป หลายคนจึงหมดสิทธิ์ที่จะขึ้นไปได้

ความคิดที่จะสร้างถนนขึ้นไปถึงยอดดอยสุเทพนี้มีมานานแล้ว นายพลโท พระองค์เจ้าบวรเดช กฤดากร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอุปราชเทศาภิบาล มณฑลพายัพ ระหว่าง พ.ศ.๒๔๕๘-๒๔๖๔ ก็เคยมีความคิดนี้ แต่เมื่อให้ช่างมาสำรวจแล้ว จะต้องใช้เงินถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ในขณะนั้น จึงได้ระงับไป

ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๗๗ หลวงศรีประกาศ (ฉันท์ วิชยาภัย) คหบดีของเชียงใหม่ มีความคิดจะนำไฟฟ้าขึ้นไปติดที่ยอดพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อให้ผู้คนในเมืองยกมือไหว้พระธาตุได้ถูกทิศในเวลาค่ำคืน แต่เมื่อนำความคิดนี้ไปปรึกษาหารือกันแล้ว ก็มีผู้เสนอว่า งานนี้ถ้ามีครูบาศรีวิชัย ที่เคารพศรัทธาของชาวล้านนาเข้าร่วมด้วย ย่อมสำเร็จอย่างแน่นอน ครั้นเมื่อหลวงศรีประกาศนำความไปกราบครูบาฯ ท่านก็ว่าอย่าแค่ลากสายไฟขึ้นไปเลย ทำเป็นถนนให้รถยนต์วิ่งขึ้นไปได้ดีกว่า ทำหลวงศรีประกาศถึงกับอึ้ง จากงานลากสายไฟขยายเป็นถนน ใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่า แต่เมื่อครูบาฯยืนยันความตั้งใจอย่างแข็งขัน หลวงศรีประกาศจึงลงมาขอความช่วยเหลือจาก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ คนสำคัญของคณะราษฎร และรับตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น ขอให้ช่วยส่งช่างมาสำรวจแนวทางทำถนนให้ ซึ่งหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ให้ความร่วมมือด้วยดี

เมื่อได้แนวทางสร้างถนนขึ้นดอยมาแล้ว ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๗๗ เวลา ๑๐.๐๐ น. จึงได้ทำพิธีบุกเบิก โดยมี เจ้าแก้วนวรัตน์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เป็นผู้ลงจอบแรกเป็นปฐมฤกษ์ ครูบาศรีวิชัยได้นำภิกษุสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา ต่อหน้าหมู่เฮาและชาวเขาหลายเผ่า ที่มีศรัทธาต่อพระธาตุดอยสุเทพและครูบาศรีวิชัย

ท่ามกลางผู้คนที่แน่นขนัดในพิธีนั้น ครูบาฯได้เปล่งวาจาให้ได้ยินทั่วกันว่า“ก่อนชีวิตอาตมาจะมรณภาพ อาตมาใคร่จะได้เห็นถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ เพื่อหมู่เฮาทั้งหลายทั้งปวงจักได้ขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนยอดดอยได้สะดวก”

ด้วยประโยคเดียวของนักบุญแห่งล้านนานี้ ได้ปลุกให้หมู่เฮาในจังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งชาวเขาเผ่าต่างๆ มีกระเหรี่ยง แม้ว ยาง เย้า ต่างคว้าจอบเสียมมาช่วยกันถึงวันละ ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ คน โดยจัดแบ่งพื้นที่ให้ทำเป็นหมู่ๆละ ๑๐ วา และยังมีผู้มาทีหลังขอแบ่งจากผู้ที่ได้ส่วนแบ่งไว้ เพื่อขอมีส่วนร่วมด้วย

ด้วยเหตุนี้ ถนนขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพที่ผ่านเส้นทางทุรกันดารยาวถึง ๑๑ กม. กับอีก ๕๐๐ ม. จึงสำเร็จได้ด้วยพลังศรัทธาในเวลา ๕ เดือนกับ ๒๒ วัน และทำพิธีเปิดในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๗๘

นอกจากการสร้างถนนขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพแล้ว ครูบาศรีวิชัยยังสร้างวัดหรือสำนักสงฆ์ตามเส้นทางไว้เป็นระยะ ซึ่งวัดเหล่านี้ทำให้ครูบาศรีวิชัยถูกกล่าวหาจากฝ่ายอิจฉาริษยาว่าสร้างวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งอุปสมบทให้พระที่เข้าประจำวัดเหล่านี้โดยไม่มีตราตั้งเป็นอุปัชฌาย์ ซ้ำยังแถมด้วยข้อหาร้ายแรงอีกว่า ยุยงให้พระภิกษุรวม ๖๒ วัดให้ลาออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ จนถูกจับส่งตัวมาชำระอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯอีกครั้ง

ทั้งนี้ก่อนที่จะสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยก็เคยต้องอธิกรณ์มาหลายครั้ง จากเจ้าคณะแขวงลี้ และนายอำเภอลี้ ซึ่งตั้งตัวเป็นอริกับครูบาศรีวิชัยอย่างเปิดเผย แต่ก็หน้าแตกกันไปทุกที

อย่างคดีแรกหาว่าท่านเป็นอุปัชฌาย์เถื่อน ส่งตำรวจไปจับท่านมาขังไว้ที่วัดเจ้าคณะแขวงลี้เป็นเวลา ๔ วัน ๔ คืน แล้วส่งตัวไปให้เจ้าคณะจังหวัดพิจารณาโทษ เรื่องก็กลายเป็นว่ามีกุลบุตรหลั่งไหลมาขอบวชที่วัดศรีดอนชัยกันมาก ครูบาฯได้ยื่นขออนุญาตเป็นอุปัชฌาย์ไปแล้ว แต่ก็ไม่มีคำตอบ พอใกล้เข้าพรรษาเกรงว่าจะเป็นการเสียโอกาสแก่กุลบุตรเหล่านั้น จึงตัดสินใจบวชให้ เจ้าคณะจังหวัดเห็นว่าครูบาศรีวิชัยทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ความผิดเป็นฝ่ายเจ้าคณะแขวงลี้ที่ดึงเรื่องที่ขออนุญาตไว้

คดีต่อมาเจ้าคณะแขวงลี้เจ้าเก่า ตั้งข้อหาว่าครูบาศรีวิชัยไม่ให้ความร่วมมือที่เจ้าคณะแขวงสั่งให้ทุกวัดจัดประดับธงทิวและประทีปโคมไฟ เฉลิมฉลองในวาระที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ และสั่งให้สำรวจจำนวนพระภิกษุและสามเณรในวัดส่งไปให้ทราบ เรื่องนี้ครูบาศรีวิชัยชี้แจงว่า การประดับธงทิวและจุดประทีปโคมไฟไม่ใช่กิจของสงฆ์ การปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นสิริมงคลแก่พระมหากษัตริย์นั้น จะต้องเป็นการชุมนุมสวดถวายพระพรชัย ซึ่งท่านก็ได้ทำไปแล้ว ส่วนการที่ว่าท่านขัดคำสั่งไม่สำรวจจำนวนพระเณรในวัดส่งไปให้นั้น ก็ปลดท่านออกจากเจ้าอาวาสและเจ้าคณะหมวดแล้ว ท่านจึงไม่มีอำนาจไปสำรวจอะไรทั้งสิ้น

หน้าแตกกันไปหลายครั้งก็ยังไม่เข็ด ขบวนการริษยาปล่อยข่าวว่าครูบาศรีวิชัยเป็นผีบุญ มีดาบกายสิทธิ์ซึ่งเทพยดามอบให้ สามารถเดินในน้ำได้และเดินกลางฝนไม่เปียก แต่เมื่อจะตั้งข้อหาเป็นความผิด ก็ไม่สามารถหาหลักฐานว่าครูบาศรีวิชัยมีพฤติกรรมเช่นนั้น จึงให้นายอำเภอลี้ทำรายงานไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีหลักฐานจะดำเนินคดีได้ จึงหันไปหา เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน ให้มีหนังสือไปนิมนต์ครูบาศรีวิชัยไปพบเจ้าคณะจังหวัดลำพูน

การเดินทางไปของครูบาศรีวิชัยในครั้งนี้ ปรากฏว่ามีผู้เลื่อมใสศรัทธาและสานุศิษย์ติดตามไปด้วยถึง ๒,๐๐๐ คน แต่เมื่อไปถึงวัดหริภุญชัย ตำรวจได้กันประชาชนไม่ให้เข้าไปในวัด คงปล่อยให้ภิกษุสามเณรราว ๒๐๐ รูปเข้าไปเท่านั้น และยังห้ามประชาชนนำอาหารเข้าไปถวายพระภิกษุสามเณร จนเมื่อพระภิกษุสามเณรทั้ง ๒๐๐ รูปนั้นต้องหิวโหย ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจึงทนไม่ได้ ฝ่าวงล้อมของตำรวจนำอาหารไปถวาย ทำให้ประชาชนทั้งหมดเฮโลนำอาหารเข้าไปถวายด้วย ความสำเร็จของพลังมวลชนในครั้งนี้ทำให้ทางการจังหวัดลำพูนเกรงจะมีปัญหา จึงแยกส่งตัวครูบาศรีวิชัยไปกักตัวไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่

ครูบาศรีวิชัยถูกกักตัวที่วัดศรีดอนชัย เชียงใหม่ เป็นเวลา ๓ เดือนเศษ มีประชาชนหลั่งไหลไปกราบไหว้และถวายอาหารกันไม่ขาดสาย พ่อค้าแม่ค้าก็ถือโอกาสนำสินค้าไปเปิดร้านขาย จนเหมือนมีงานเทศกาล จังหวัดเชียงใหม่เกรงว่าจะต้องเผชิญกับปัญหามวลชนเช่นเดียวกับลำพูน จึงจัดส่งครูบาศรีวิชัยไปให้คณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่กรุงเทพฯพิจารณา

นั่นเป็นการถูกส่งตัวมาพิจารณาคดีที่กรุงเทพฯก่อนการสร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ ครั้นสร้างถนนเสร็จแล้ว รางวัลที่ครูบาศรีวิชัยได้รับจากฝ่ายปกครองและคณะสงฆ์เชียงใหม่ คือข้อหาที่สร้างวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตขึ้นระหว่างทางขึ้นดอย และบวชให้ผู้ประสงฆ์จะแสวงบุญโดยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นอุปัชฌาย์เช่นเดิม ถูกส่งตัวมาพิจารณาที่กรุงเทพฯอีกครั้ง

ท่านได้กล่าวกับหลวงศรีประกาศที่มาเยี่ยมขณะถูกส่งตัวมาพิจารณาคดีที่วัดเบญจมบพิตรว่า จะไม่กลับไปเชียงใหม่อีกแล้ว เพราะเชียงใหม่ได้ส่งท่านมาพิจารณาคดีอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯถึง ๒ ครั้ง นอกจากน้ำในแม่ปิงไหลย้อนขึ้นเหนือ ท่านจึงจะเหยียบเชียงใหม่อีก

หลังจากพ้นมลทินในการถูกกล่าวหาครั้งที่ ๒ นี้แล้ว ท่านก็กลับอยู่เมืองลำพูน แม้ชาวเชียงใหม่จะแห่กันไปรบเร้าให้ท่านกลับไปเชียงใหม่ นักบุญแห่งล้านนาก็ย้อนถามไปว่า

“น้ำในแม่ปิงยังไม่ไหลย้อนขึ้นเหนือไม่ใช่หรือ”

Credit : https://mgronline.com/
: Rome Bunnak

 

 

guest

Post : 2019-01-31 12:18:38.0     Forum: ข่าว  >  กว่าจะสร้างได้!! อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินวงเวียนใหญ่!!

 

 

พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่

 

  

พระพักตร์สมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่วงเวียนใหญ่

 

  

อาจารย์จำรัส เกียรติก้อง

 

  

 

อาจารย์ทวี นันทขว้าง

 

*** ข่าวพลังภูผา..*** 
กว่าจะสร้างได้!! อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินวงเวียนใหญ่!!
www.arjanpong.com
#พระเจ้าตากสิน #วงเวียนใหญ่ #ธนบุรี
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิมหาราช ที่วงเวียนใหญ่นั้น มีเรื่องเบื้องหลังให้เล่ากันมากมาย ซึ่งก็เหมือนเรื่องทั่วๆไปของมหาราชพระองค์นี้

สำหรับอนุสาวรีย์แห่งนี้ พ.ศ.๒๔๗๗ นายทองอยู่ พุฒพัฒน์ ส.ส.จังหวัดธนบุรี เป็นผู้เสนอเรื่องให้สร้าง หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่มีบางฝ่ายเกรงจะกระทบกระเทือนฝ่ายนิยมราชวงศ์จักรี จึงดึงเรื่องกันมานาน แม้จะเปิดบริจาคและลงประชามติเลือกแบบที่จะสร้างแล้ว ก็ถูกดองไปอีก

จนนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจแห่งยุคเผชิญเหตุการณ์ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถูกถล่มด้วยระเบิดและกราดปืนกลใส่ขณะว่ายน้ำหนี ซมซานเข้าไปกราบพระบรมรูปในพระราชวังเดิม รอดชีวิตมาได้เลยบัญชาให้สร้างจนสำเร็จ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๙๗ แม้สำเร็จอย่างสง่างามก็ยังมีเรื่องค่อนขอดกันไม่จบ

การปั้นพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินนั้น คณะกรรมการของกรมศิลปากรกำหนดให้อาจารย์ศิลป์ พีระศรี คณบดีคณะจิตรกรรมและประติมากรรมของมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นผู้ออกแบบ

โดยรูปพระพักตร์ของอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินที่วงเวียนใหญ่นั้น มาจากหน้าของอาจารย์ทวี นันทขว้าง บวกกับใบหน้าของอาจารย์จำรัส เกียรติก้อง ซึ่งทั้งสองท่านต้องไปยืนเป็นแบบให้อาจารย์ศิลป์ปั้นพระพักตร์พระเจ้ากรุงธนบุรีคนละหลายวัน

กล่าวกันว่าที่อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เลือกเอาใบหน้าของอาจารย์ทวี นันทขว้าง คนลำพูนซึ่งมีเชื้อสายไทลื้อ ก็เพราะเห็นว่าใบหน้ามีลักษณะไทยปนจีน

ส่วนใบหน้าของอาจารย์จำรัส เกียรติก้อง ซึ่งเป็นลูกครึ่งไทยเยอรมัน ก็เพราะวงหน้าอาจารย์จำรัสมีลักษณะของนักรบที่บึกบึน เข้มแข็ง เฉียบขาด

แม้พระบรมราชานุสาวรีย์ที่ใช้เวลาถึง ๑๗ ปีกว่าจะสร้างสำเร็จ แต่เมื่อเสร็จแล้วก็ยังถูกค่อนแคะกันอีกจนได้ แม้กระทั่ง"หางของม้า"ก็ยังถูกค่อนขอดวิจารณ์ ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้...

Credit : อ.ทวี นันทขว้าง/อ.โรม บุนนาค

guest

Post : 2019-01-30 15:55:56.0     Forum: ข่าว  >  นาทีระทึก!!ยิงสนั่นกรุง โชเฟอร์คลั่งยาชนเเหลก!!

 

 

                           

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
นาทีระทึก!!ยิงสนั่นกรุง โชเฟอร์คลั่งยาชนเเหลก!!
www.arjanpong.com
#โชเฟอร์คลั่ง #เสพยาชนเเหลก #ทุ่งสองห้อง
จากกรณี ตำรวจสน.ทุ่งสองห้อง กำลังปฎิบัติหน้าที่กวดขันวินัยจราจร บริเวณแยกหลักสี่-แจ้งวัฒนะ ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ แต่จู่ ๆ รถบรรทุก 6 ล้อ อีซูซุ ฟอร์เวิร์ด ทะเบียน 83-9537 สมุทรปราการ ลักษณะมีควันดำมากอาจจะเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด ได้ขับผ่านเข้ามาจึงเรียกตรวจสอบ แต่ปรากฏว่าคนขับกลับเร่งเครื่องหลบหนี ชนลากจักรยานยนต์(จยย.)ของตำรวจพังเสียหาย และยังพุ่งเฉี่ยวชนรถที่จอดอยู่ด้านหน้าอีก 8 คัน สุดท้ายเจ้าหน้าที่ต้องใช้ปืนยิงยางเพื่อสกัดจับรถคันดังกล่าว ภายหลังสามารถคุมตัว นายจัตุรงค์ นามสมบัติ คนขับรถบรรทุกขณะจอดรถวิ่งหลบหนีเข้าไปในซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 43 เอาไว้ได้ พร้อมกับเด็กรถชาวเมียนมา 2 คน ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 30 ม.ค. พ.ต.อ.ปริญญา เหลืองอุทัย ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง กล่าวว่า หลังคุมตัว นายจัตุรงค์ นามสมมัติ ไปตรวจร่างกายแล้วพบว่าปัสสาวะเป็นสีม่วง และเมื่อให้แพทย์ตรวจละเอียดแล้วก็พบว่ามีสารเมทแอมเฟตามีนในร่างกายจริง สอดคล้องกับคำให้การรับสารภาพของนายจัตุรงค์ว่า เสพยาบ้ามาก่อนขับขี่ พอเห็นตำรวจตั้งด่านจึงเกรงกลัวว่าจะถูกจับได้ รีบขับรถหนีทำให้เกิดการเฉี่ยวชนรถตำรวจและรถคันอื่นพังเสียหาย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในเรื่องยาเสพติดแล้ว โดยสรุปแจ้งข้อหาทั้งหมด 5 ข้อหา ได้แก่ เสพเมทแอมเฟตามีนขณะขับรถ, ฝ่าฝืนสัญญาณมือไม่หยุดรถให้ตรวจ, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน, ขับรถประมาททำให้ทรัพย์สินทางราชการเสียหาย และขับรถประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย ส่วนเด็กรถชาวเมียนมาตรวจไม่พบสารเสพติดและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงปล่อยตัวไป....

Credit : https://www.dailynews.co.th/crime/690531

guest

Post : 2019-01-30 13:15:41.0     Forum: ข่าว  >  "จัณฑาลก็เป็นคนเหมือนกัน มิใช่หรือ?!!..."

 

 

       

  Dr. Babasaheb Bhimrao Ramji Ambedkar
เกิดในวรรณะศูทร ที่ยากจนที่สุดตระกูลหนึ่งของ.อินเดีย ในเมืองนาคปูร์ รัฐมหาราษฏร์ ทาง

ตอนกลางของอินเดีย เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2434 หลังจากพิธีปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธได้

3 เดือน ท่านอัมเบดการ์ได้ถึงแก่กรรม ด้วยโรคร้าย ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2499 

 

       

  เบดการ์ ณ อนุสาวรีย์ชัยโกเรกาวน์ ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ,2470 หลังจากนำพิธีระลึกถึง

ยุทธการโกเรกาวน์ (ชัยชนะของอังกฤษ นำโดยร้อยเอก ฟรานซิส เฟรนช์ สตอนตัน ที่มีต่ออินเดีย)

 

       

  นาย นาฮูราม กอสซี ชาวฮินดูหัวรุนแรงวัย 36 ปีที่ไม่พอใจเมื่อคานธีอ่อนข้อให้ข้อเรียกร้อง

ของมุสลิมปากีสถานมากเกินไป ได้ใช้ปืนบาเร็ตต้า.38 ยิงเข้าไปที่ท้องแล้วก็หน้าอกของคานธี

3 นัด เสียชีวิตทันที ในเย็นวันที่ 30 มกราคม 2491

 

       

  ท่าน ดร.อัมเบดการ์ ผู้ที่นำศาสนาพุทธกลับมาสู่ประเทศอินเดียอีกครั้ง...

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
"จัณฑาลก็เป็นคนเหมือนกัน มิใช่หรือ?!!..."
www.arjanpong.com
#คานธี #อัมเบดการ์ #อินเดีย
" มหาตามะ มาเเล้วก็ไป เเต่จัณฑาลถึงอย่างไรก็เป็นจัณฑาลอยู่วันยังค่ำ "

ผมชอบประโยคนี้ของ Dr. Babasaheb Bhimrao Ramji Ambedkar ที่กล่าวเอาไว้ณ.กรุงนิวเดลลี ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ 2470 เสียเหลือเกิน มันได้บ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจที่ตัวเขามีต่อ มหาตมะ คานธี ได้อย่างชัดเจน

ท่าน ดร.บาบาซาเฮบ อัมเบดการ์ ท่านนี้เกิดอยู่ในตระกูลจัณฑาลผู้ยากไร้เเห่งรัฐมหาราฎระ ของอินเดีย มีพี่น้อง 14 คน เขาเป็นคนสุดท้าย พ่อเเม่ก็พยายามกัดฟันส่งให้เขาได้ร่ำได้เรียน ถึงเเม้ว่าการเรียนหนังสือที่โรงเรียนจะถูกรังเกียจจากครูเเละเพื่อนๆขนาดไหนก็ตามที เขาก็พยายามกัดฟันสู้อย่างเจียมเนื้อเจียมตนเสมอมา

ขนาดนั่งเรียนครูเเละเพื่อนๆที่มีวรรณะสูงกว่า ต่างไม่ยอมให้เขาได้นั่งเก้าอี้เรียนเพราะกลัวเสนียดจัญไรมันจะติดเอา ต้องไปเอากระสอบเก่าๆมาปูหลังห้องเพื่อเรียนหนังสิอทุกวัน ขนาดกินน้ำก็ต้องขอให้เพื่อนๆเทน้ำให้กินหน่อย เพราะจัณฑาลไม่มีสิทธิได้กินน้ำร่วมเเก้วกับวรรณะอื่นอย่างเด็ดขาด

เขาก็ทนกล้ำกลืนจนกระทั่งเรียนจบ ดร.จึงได้มีโอกาสมาร่วมงานกับ มหาตามะ คานธี ในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ซึ่งเขาก็มีความหวังว่าท่านคานธีจะช่วยยกระดับจัณฑาลให้เป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้าง เเต่ผิดคาด...

มหาตมะ คานธี กลับทำทุกวิถีทางที่จะให้ชนชั้นวรรณะต่างๆในประเทศอินเดียให้คงอยู่เหมือนเดิม โดยที่ปฎิเสธที่จะเปลี่ยนเเปลงใดๆทั้งสิ้น ทำให้ ดร.เสียใจมากที่ได้เห็นธาตุเเท้ของคานธี จึงตัดสินใจนำจัณฑาลที่เป็นฮินดู 400,000 คน หันมานับถือพุทธศาสนา ที่ ดร.เห็นว่า เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด

30 มกราคม ของทุกปี ถือว่าเป็นวันเสียชีวิตของ มหาตมะ คานธี เเต่ผมถือว่า ประชาธิปไตยของอินเดีย ได้ตายไปก่อนหน้านั้นนานเเล้ว......

ป้อง 30/1/62..

guest

Post : 2019-01-29 13:11:34.0     Forum: ข่าว  >  เธอจากไปเเล้ว 'ว.วัชญาน์' เจ้าของตำนานเพลง 'สาวเจียงฮาย'!!

 

 

                   

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
เธอจากไปเเล้ว 'ว.วัชญาน์' เจ้าของตำนานเพลง 'สาวเจียงฮาย'!! 
www.arjanpong.com
#ววัชญาน์ #สาวเจียงฮาย #นักเเต่งเพลง
หลังมีข่าวล้มป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองมาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ล่าสุดมีรายงานว่า "บ่วย วารุณี วิชัยพรหม" นักแต่งเพลง นักจัดรายการวิทยุชื่อดังเจ้าของนามปากกา "ว.วัชญาน์" วัย 67 ปีได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบที่บ้านพักในช่วงเวลา 04.52 น. ของวันนี้ (28 มกราคม 2562)

"บ่วย วารุณี วัชญาน์" เกิดที่บ้านป่ากว๋าว อำเภอพาน จังวัดเชียงราย เป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 7 คน ซึ่งแม้หลังจบการศึกษาภาคบังคับเจ้าตัวจะไม่ได้เรียนหนังสือต่อเพราะแม่ให้เรียนเย็บผ้าแทน แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังดั้นด้นเข้ากรุงเทพฯ มาเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาด้วยตนเองที่ รร.อำมาตยศึกษา โดยอาศัยอยู่กับญาติจนได้

ระหว่างที่เรียนกวดวิชาเจ้าตัวก็ทำงานเป็นเซลส์แมนไปด้วย กระทั่งสอบเทียบได้วุฒิ ม.ปลาย จึงไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จากนั้นมีโอกาสเข้าไปทำงานที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ถนนพิษณุโลก ในตำแหน่งโอเปอเรเตอร์ ก่อนขอย้ายตัวเองไปอยู่แผนกควบคุมเสียงแทน

ที่ผ่านมา "บ่วย วารุณี" มีโอกาสได้จัดรายการวิทยุหลากหลายแนว ทั้งรายการเด็ก การเมือง บันเทิง สังคม ซึ่งนอกจากงานดีเจแล้วเจ้าตัวยังเป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงที่มีผลงานมากมาย อาทิ สาวเจียงฮาย (ที่ร้องว่า ไปไปเต๊อะไปแอ่ว ไปเต๊อะไปแอ่ว จังหวัดเจียงฮาย) เพลงไฟเสน่หา เพลงอดีตรักดอกทองกวาว เพลงรักฝังใจ ฯลฯ

รวมถึงอีกหลายบทเพลงที่ทำให้ชื่อของ "ติ๋ว ศันสนีย์ นาคพงศ์" เป็นที่รู้จัก ตลอดจนเพลงธรรมะอีกมากมายหลายบทเพลง อย่างไรก็ตาม ด้วยการโหมทำงานหนัก ทำให้เธอต้องป่วยด้วยสารพัดโรค ทั้งโรคไตเสื่อม (เข้ารับการเปลี่ยนไตมาแล้ว 2 ครั้ง) ต้องทานยาตลอดชีวิต, เนื้องอกที่รังไข่ รวมไปถึงโรคมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง

ทั้งนี้ในส่วนของพิธีศพนั้น ในวันนี้จะมีพิธีรดน้ำศพเวลา 15.00 น. ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ศาลา 7 โดยมีรายงานเบื้องต้นว่าะมีการสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 7 คืนด้วยกัน

Credit : https://mgronline.com/entertainment/detail/9620000009471
......
พลังภูผา..
#แก้กษัย #ปวดเมื่อย #ท้องผูก #กรดไหลย้อน 
สนใจที่ : www.arjanpong.com
โทร : 0898129392

guest

Post : 2019-01-29 13:06:54.0     Forum: ข่าว  >  "ปินโต"เเทบไม่เชื่อสายตา!!คน 3,000 พาช้างเผือกไปอาบน้ำ!!

 

ปินโต ได้เห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์(ช้างเผือก)ตอนเขาพาไปอาบน้ำที่แม่น้ำ มีคนถือร่มขาวบังแดด

ไห้ถึง ๒๔ คน และมีคนตามถึง ๓,๐๐๐ คน แลดูเหมือนกระบวนแห่ มีขุนนางขี่ช้างนำหน้าไป

๓๐ เชือก และตามหลังอีก ๓๐ เชือก

 

พระบาทสมเด็จพระไชยราชาธิราช เชื่อว่าเป็นพระโอรสใน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2077 รัชกาลที่ 13 สมัยกรุงศรีอยุธยา หลังการ

ปราบดาภิเษก โดยการสำเร็จโทษ สมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร ทรงครองราชย์

ระหว่าง พ.ศ. 2077–2089 ครองราชย์ได้ ๑๒ ปี 

 

ภาพงานพระเมรุมาศสมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ.2090) โดย เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต

 

ฟอร์เนา เมนเดส ปินโต กับบันทึกของเขา

 

www.arjanpong.com
#ปินโต #โปรตุเกส #อยุธยา #พระไชยราชา
บันทึกของ เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต หรือ เฟอร์ดินันด์ เมนเดซ ปินโต หรือ แฟร์นัง มังเดช ปินโต ฝรั่งอีกคนหนึ่งที่มีส่วนสำคัญกับการบันทึกประวัติศาสตร์ไทยโดยบุคคลร่วมสมัย ได้เห็น ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ หรือได้รับรู้ในเวลาใกล้เคียงกับที่เหตุการณ์เกิดขึ้น

ปินโตเป็นชาวโปรตุเกส ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นฝรั่งคนแรกที่เดินทางมาถึงประเทศไทย และเป็นผู้ที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาได้สมญาว่าเป็น “เวนิชตะวันออก” เพราะเขียนจดหมายไปถึงบาทหลวงองค์หนึ่งว่า กรุงศรีอยุธยามีแม่น้ำล้อมรอบ และมีคลองมากมายเป็นเส้นทางคมนาคม เหมือนเมืองเวนิชที่อิตาลี

ปินโตได้เล่าว่า ตามปกติพระเจ้าแผ่นดินจะไม่ค่อยเสด็จไปไหน ประทับอยู่ในพระราชวังที่มีแสงทองระยับตา แต่ถ้าเสด็จออกนอกพระราชวัง จะเสด็จด้วยช้างพระที่นั่ง มีข้าราชกาโดยเสด็จเป็นกระบวน และมีพวกฟ้อนรำและตลกนำหน้ากระบวน ส่วนการเสด็จทางเรือ ปินโตเล่าว่า

“ข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จเที่ยวทางเรือ ทรงเรือลำใหญ่กว่าเรือใบเดินทะเล เรือลำนั้นมีปีกด้วย ทำเป็นรูปนก ทางหัวเรือตกแต่งอย่างงดงาม และมีพายปิดทอง มีเรือตามเสด็จ ๑๒ ลำ แต่ไม่มีราชบัลลังก์ในนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จลงประทับเรือเมื่อใด คนอื่นก็จะต้องหมอบลง”

ปินโตได้เล่าถึงเรื่องช้างเผือกว่า เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของราชสำนัก ซึ่งเป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจ ทำให้เมืองขึ้นต่างๆเกรงกลัว ยอมอยู่ใต้อำนาจ และเป็นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างไทย-พม่าขึ้นใน พ.ศ.๒๐๙๐ – พ.ศ.๒๐๙๑ ปินโตก็ได้เห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นี้ตอนเขาพาไปอาบน้ำที่แม่น้ำ มีคนถือร่มขาวบังแดดไห้ถึง ๒๔ คน และมีคนตามถึง ๓,๐๐๐ คน แลดูเหมือนกระบวนแห่ มีขุนนางขี่ช้างนำหน้าไป ๓๐ เชือก และตามหลังอีก ๓๐ เชือก ช้างเผือกมีสายโซ่ทองคำที่หลัง และโซ่เงินที่เอวราวกับคาดเข็มขัด แลมีโซ่เงินอยู่รอบๆคอ ถ้าเป็นวันงาน โซ่เหล่านี้จะเป็นทองทั้งนั้น ช้างเผือกเอางวงถือโลกทองไปลูกหนึ่งโตขนาด ๒ เท่าหัวคน จึงแลดูเหมือนอยู่เหนือโลก มียกพื้นให้ช้างยืนอาบน้ำที่ริมแม่น้ำ ปินโตว่าเขาไม่ได้เห็นพิธีอาบน้ำซึ่งมีมากมายหลายอย่าง ส่วนถนนที่ช้างผ่านก็ตกแต่งธงหรูหราเช่นเดียวกับวันแทงวัวในโปรตุเกส

ปินโตยังได้เล่าถึงการที่เขาได้เข้าร่วมกับนักผจญภัยโปรตุเกสรวม ๑๒๐ คน ถือปืนไฟไปในกองทัพสมเด็จพระไชยราชาธิราชที่ขึ้นไปปราบกบฏทางเมืองเหนือ แต่เมื่อชนะศึกกลับมาก็ถูกมเหสีผู้ทรงเสน่ห์ ศรีสุดาจันทร์แอบเอายาพิษให้เสวยจนสวรรคต เพื่อปิดบังความลับที่นางมีชู้จนทรงครรภ์กับขุนวรวงศา ซึ่งปินโตก็อยู่ในกรุงศรีอยุธยาในตอนนั้นด้วย เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ไทยโดยผู้ที่อยู่ร่วมยุคสมัย.....

Credit : Rome Bunnak

ข่าวพลังภูผา..
ติดตามที่ : www.arjanpong.com
..........
พลังภูผา..
#แก้กษัย #ปวดเมื่อย #ท้องผูก #กรดไหลย้อน 
สนใจที่ : www.arjanpong.com
โทร : 0898129392

guest

Post : 2019-01-28 11:34:44.0     Forum: ข่าว  >  ถ้าไม่ได้เงิน 300 ชั่ง จาก

 

                    

       เจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นทหารเอกคนสำคัญคนหนึ่งของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

       หนึ่งในบรรดาผู้กอบกู้อิสรภาพของสยามกลับคืนมาจากพม่า ในปี พ.ศ 2310

 

                    

       กองเรือรบของพระเจ้าตากสิน ที่ได้มาจากเงิน 300 ชั่ง ที่ฝังดินไว้ของเจ้าพระยาจักรีเเขก

 

                    

       ร่องรอยแนวกำแพงเมืองจันทบุรี ที่พระเจ้าตากยกเข้าโจมตี ปัจจุบันอยู่ในค่ายทหาร

       ตากสิน จังหวัดจันทบุรี

 

                    

       พระยาจักรี(หมุดหรือแขก)ถึงอสัญกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๗ โดยในวันฝังศพของท่านที่สุสาน

       ของมัสยิดต้นสน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จด้วยพระองค์เองมาร่วมในพิธีฝังศพ

       และโปรดเกล้าฯพระราชทานที่ดินเพิ่มเติมให้แก่มัสยิดต้นสนเพื่อขยายขอบเขตของ สุสาน

       เพิ่มเติมด้วย

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
ถ้าไม่ได้เงิน 300 ชั่ง จาก"เจ้าพระจักรีเเขก"
เจ้าตากจะตีเมืองจันทร์เเตกได้อย่างไร?? 
#พระเจ้าตากสิน #เจ้าพระยาจักรีหมุด #จันทบุรี
www.arjanpong.com
เจ้าพระยาจักรี (หมุด) หรือ เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ เป็นเจ้าพระยาจักรีคนแรกในแผ่นดินกรุงธนบุรี คนทั้งหลายมักเรียกกันว่า “เจ้าพระจักรีแขก” เป็นบิดาของพระยายมราช (หมัด) หรือจุ้ย และพระยาราชวังสัน (หวัง) เป็นทหารเอกคนสำคัญคนหนึ่งของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกำเนิด

เจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นมุสลิม มีชื่อจริงว่า มะหะหมุด (มะฮฺมูด) เป็นบุตรขุนลักษมณา (บุญยัง) เชื้อสายสุลต่านสุลัยมาน และหม่อมดาว เกิดเมื่อพ.ศ. ๒๒๗๐ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กในสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์หรือพระเจ้าเอกทัศน์ ต่อมามีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงนายศักดิ์นายเวร หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า “หลวงนายศักดิ์”

- ร่วมกู้เอกราช

ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาไม่นาน ท่านได้รับพระบรมราชโองการให้เดินทางไปเก็บเงินค่าส่วยสาอากรที่หัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก หลวงนายศักดิ์ได้เก็บเงินจากพระยาจันทบุรีได้เงิน ๓๐๐ ชั่ง พอดีมีข่าวกรุงแตกจึงเอาเงินไปฝังไว้ที่วัดจันทร์ ตกค่ำจึงวางแผนให้พรรคพวกชาวจีนมาโห่ร้องทำทีปล้น แล้วบอกพระยาจันทบุรีว่าโจรปล้นเงินไปหมด พระยาจันทบุรีไม่เชื่อสั่งให้จับหลวงนายศักดิ์ ประจวบกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกกองทัพถึงจันทบุรี หลวงนายศักดิ์จึงหนีออกไปสมทบ เพราะสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเคยทำราชการภายใต้บังคับบัญชาของตน จึงรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน หลวงนายศักดิ์ได้มอบจีนพรรคพวกให้ ๕๐๐ คน กับเงินส่วยสาอากร ๓๐๐ ชั่งที่เก็บไว้นั้น ร่วมกันกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตีเมืองจันทบุรีแตก

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีใช้เงินที่หลวงนายศักดิ์ทูลเกล้าฯถวายจำนวน ๓๐๐ ชั่ง เป็นเงินทุนจัดสร้างเรือรบขึ้นที่จันทบุรี ประกอบกับหลวงนายศักดิ์เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการเดินเรือและต่อเรือ จึงทำให้สามารถสร้างเรือประมาณร้อยลำ

กองทัพของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสามารถตีเมืองธนบุรีซึ่งพม่ามอบให้นายทองอินปกครองดูแล เมื่อยึดเมืองได้แล้ว ก็ยกกองทัพไปตีค่ายโพธิ์สามต้นของพม่าซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา กองทัพได้รับชัยชนะโดยสามารถฆ่าสุกี้แม่ทัพของพม่าตายในสนามรบ ทำให้กรุงศรีอยุธยากลับคืนสู่อิสรภาพภายในระยะเวลาเพียง ๗ เดือนหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา ซึ่งหนึ่งในบรรดาผู้กอบกู้อิสรภาพก็คือหลวงนายศักดิ์

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จขึ้นครองราชย์และทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ในปี พ.ศ. ๒๓๑๑ โปรดเกล้าฯ หลวงนายศักดิ์ ให้เป็นอัครมหาเสนาบดี มีบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ ดำรงตำแหน่ง สมุหนายก ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ปกครองดูแลหัวเมืองตั้งแต่เหนือสุดของประเทศจดดินแดนภาคกลางของประเทศ นับเป็นเจ้าพระยาจักรีคนแรกในแผ่นดินกรุงธนบุรี คนทั้งหลายมักเรียกกันว่า “เจ้าพระจักรีแขก”.....

Credit : https://th.wikipedia.org/

.....
พลังภูผา..
#แก้กษัย #ปวดเมื่อย #ท้องผูก #กรดไหลย้อน 
สนใจที่ : www.arjanpong.com
โทร : 0898129392

 

guest

Post : 2019-01-26 15:46:15.0     Forum: ข่าว  >  สุดเจ๋ง!! หนุ่มขี่ จยย.เสียหลักล้ม โชว์สกิลเทพ สปริงตัวขึ้นมาไปต่อ!!

 

                          

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
สุดเจ๋ง!! หนุ่มขี่ จยย.เสียหลักล้ม โชว์สกิลเทพ สปริงตัวขึ้นมาไปต่อ!!
www.arjanpong.com
#จยยล้ม #สกิลเทพ #สปริงตัว #ขอนเเก่น
กลายเป็นคลิปที่ชาวเน็ตพากันส่งต่อและแชร์กันอย่างรวดเร็ว หลังมีสมาชิกเฟซบุ๊กชื่อว่า "ปริณประพัฒน์ เพชรศรี" โพสต์คลิปความยาว 17 วินาที พร้อมระบุข้อความว่า "สกิลพี่แกสูงจริง ถนนมข. (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) ขออนุญาติเจ้าของสกิลเทพด้วยนะครับ" เผยให้เห็นหนุ่มรายหนึ่งกำลังขี่รถจักรยานยนต์สีน้ำเงินมาตามปกติ จู่ๆ เกิดเสียหลักพุ่งชนขอบฟุตปาธจนรถล้มลง ส่วนหนุ่มรายนี้กระเด็นออกจากตัวรถตีลังกาไถลลงไปนอนบนพื้นถนน ก่อนจะใช้ทักษะสุดเทพด้วยการสปริงตัวขึ้นมา แล้วประคองรถจักรยนต์เพื่อขี่ไปต่อ ...

เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 26 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง นายปิน อายุ 28 ปี เจ้าของคลิปดังกล่าว เปิดเผยว่า เวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะนั้นตนขับรถเข้าไปในมหาวิทยาลัยขอนแก่น กระทั่งก่อนถึงจุดกลับรถสังเกตเห็นกระบะคันข้างหน้าได้เปิดไฟเลี้ยวเพื่อขอสัญญาณยูเทิร์น แต่จู่ๆ หนุ่มที่ขี่มอเตอร์ไซค์ตามหลังกระบะ มีอาการชะงักอย่างกะทันหัน ทำให้รถพุ่งไปชนกับขอบฟุตปาธดังที่ปรากฏตามคลิปวิดีโอ แต่ภาพที่ตนเห็นนั้นไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะหลังจากหนุ่มรายนี้ล้มลงไปนอนหงายกับพื้น ก็รีบใช้สกิลการสปริงตัวขึ้นมาในทันที ขณะนั้นตนรู้สึกอึ้งมาก ก่อนที่จะหยุดรถครู่หนึ่งจนกระทั่งหนุ่มรายนี้เก็บข้าวของใส่กระเป๋าและรีบขี่รถไปทางตรง ขณะที่่ตนได้ยูเทิร์นกลับรถมาอีกทาง

"ตอนนั้นมันเร็วมากครับ ผมไม่แน่ใจว่าเขาตกใจที่เห็นกระบะเลี้ยวหรือเปล่า ไม่รู้ว่าเขาเหม่อหรือเปล่านะครับ และผมก็ไม่คิดว่าเขาจะทำท่าแบบนั้น เขาน่าจะมีการฝึกมา แต่ก็โชคดีมากครับที่เขาไม่ชนกับเสาไฟข้างหน้า ซึ่งการที่ผมโพสต์ก็อยากฝากเตือนการขับรถให้มีสติ อย่าประมาท หรือเผลอ เพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ครับ" เจ้าของคลิป กล่าวทิ้งท้าย....

Credit : https://www.dailynews.co.th/regional/689853
.....
พลังภูผา..
#แก้กษัย #ปวดเมื่อย #ท้องผูก #กรดไหลย้อน 
สนใจที่ : www.arjanpong.com
โทร : 0898129392

guest

Post : 2019-01-26 12:31:45.0     Forum: ข่าว  >  สองทุ่ม!!ไฟที่สุมกำเเพงป้อมมหาไชย ก็พังลงในพริบตา!!

 

       

       ตลาดหัวรอ ด้านริมแม่น้ำป่าสัก สมัย ร.5 ราษฎรลงเรือรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวงในงาน

       พระราชกุศลรัชมงคล ระหว่าง 29 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม พ.ศ. 2450

       

       

       พม่าจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริมป้อมมหาชัย และยิงปืนใหญ่ระดมเข้าไป

       ในพระนคร 

 

       

       วัดวาอารามในเขตเกาะเมือง สูญสิ้นเเละเสียหายเป็นอย่างมาก

 

       

       พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท คือพระที่นั่งองค์หนึ่งในเขตพระราชวังโบราณ จังหวัด

พระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยพระราขดำริของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่

กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมาก เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจของราชอาณาจักรสยาม พระที่นั่ง

สรรเพชญมหาปราสาทเคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญของราชสำนักและเป็นที่รับแขกบ้าน

แขกเมืองของพระมหากษัตริย์ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รับราชทูต ฯลฯ แต่พระที่นั่งองค์นี้

ถูกเผาทำลายลงทั้งองค์เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ จนในปัจจุบันเหลือแต่ฐาน

และกำแพงบางส่วนเท่านั้น...

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
สองทุ่ม!!ไฟที่สุมกำเเพงป้อมมหาไชย ก็พังลงในพริบตา!!
www.arjanpong.com
#กรุงเเตก #หัวรอ #อยุธยา #พม่า #ป้อมมหาไชย

หลังจากนายทัพพม่ารู้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า กองทัพของทางกรุงศรีอยุธยาอ่อนกำลังลงมาก และประชาชนในเมืองก็อยู่ในสภาพอดยาก จึงตกลงใจเริ่มขุดอุโมงค์ลอดตัวกำแพงอยุธยาทางด้านหัวรอ ซึ่งเป็นจุดที่แคบที่สุดของคูเมือง อุโมงค์ที่ขุดมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 5 อุโมงค์ ในจำนวนนั้น 2 อุโมงค์เป็นอุโมงค์ที่ขุดมาหยุดลงตรงใต้ฐานกำแพง จากนั้นก็ขยายแนวขุดไปตามแนวกำแพงทั้งสองด้านเป็นขนาดความยาวประมาณ 350 หลา ด้านใต้อุโมงค์ใช้ไม้ทำขื่อรับฐานกำแพงไว้อีกชั้นหนึ่ง

ส่วนอุโมงค์ที่เหลืออีก 3 อุโมงค์นั้นขุดลอดฐานกำแพงเข้าไปในตัวพระนคร แต่ยังคงเหลือชั้นดินปิดไว้ประมาณ 2 ฟุต การปฏิบัติการขุดอุโมงค์ดังกล่าวมิได้เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะปกติทางฝ่ายอยุธยาบนเชิงเทินใช้ปืนยิงกลุ่มพม่า ที่เข้ามาใกล้แนวกำแพงอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุให้พม่าต้องดำเนินการเป็นขั้นตอนคือ

การสร้างสะพานในชั้นต้นทำสะพานข้ามคูก่อน จากนั้นจึงสร้างค่ายใหม่ขึ้นอีก 3 ค่ายประชิดแนวคูเมืองด้านทิศเหนือเสร็จแล้วจึงเริ่มขุดอุโมงค์ ในขณะที่ฝ่ายอยุธยาไม่ได้เพิกเฉยต่อการปฏิบัติการดังกล่าว ในครั้งนี้พระมหามนตรี ได้อาสาออกไปตีค่ายพม่าที่เข้ามาตั้งประชิดทั้ง 3 ค่าย พระเจ้าเอกทัศจึงโปรดให้จัดพลออกไป 50,000 คน ช้าง 500 เชือก ปรากฏว่าในครั้งนี้พระมหามนตรีได้ทำการรบอย่างอาจหาญ สามารถยึดค่ายพม่าได้ทั้ง 3 ค่าย แต่ภายหลังพม่าได้ส่งกำลังหนุนออกมาโอบล้อมทัพไทย จนเป็นเหตุให้พระมหามนตรีต้องนำกำลังถอนกลับเข้าเมือง

ต่อมาพม่ายกเข้ามาเผาพระที่นั่งเพนียด แล้วตั้งค่าย ณ เพนียดคล้องช้างและวัดสามวิหาร วัดมณฑป จากนั้นก็ทำสะพานข้ามทำนบ รอเข้ามาขุดอุโมงค์ที่เชิงกำแพงและตั้งป้อมศาลาดิน ตั้งค่ายวัดแม่นางปลื้ม ต่อป้อมสูงเอาปืนใหญ่ขึ้นยิง แล้วจึงตั้งค่ายเพิ่มขึ้นอีกค่ายหนึ่งที่วัดศรีโพธิ์

....กรุงแตก!!....

ในวันที่กรุงแตกนั้น เวลาประมาณบ่ายสามโมง พม่าจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริมป้อมมหาชัย และยิงปืนใหญ่ระดมเข้าไปในพระนคร จากบรรดาค่ายที่รายล้อมทุกค่าย พอเพลาพลบค่ำกำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมทรุดลง เวลา 2 ทุ่ม แม่ทัพพม่ายิงปืนเป็นสัญญาณให้ทหารเข้าพระนครพร้อมกันทุกด้าน พม่าเอาบันไดปีนพาดเข้ามาได้ตรงที่กำแพงทรุดนั้นก่อน ทหารอยุธยาที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้ พม่าก็สามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทาง........

Credit : https://th.wikipedia.org/
.......
พลังภูผา..
#แก้กษัย #ปวดเมื่อย #ท้องผูก #กรดไหลย้อน 
สนใจที่ : www.arjanpong.com
โทร : 0898129392

guest

Post : 2019-01-25 14:41:34.0     Forum: ข่าว  >  "ไม่ต้องวิ่งเดี๋ยวล้ม!!"เซียนพนันหนีกระเจิงทิ้งไก่ระเนระนาด!!

 

 

                     

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
"ไม่ต้องวิ่งเดี๋ยวล้ม!!"เซียนพนันหนีกระเจิงทิ้งไก่ระเนระนาด!!
www.arjanpong.com
#คลิป #จับบ่อนไก่ #เขื่องใน #อุบล 
เมื่อวันที่ 24 ม.ค. นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผวจ.อุบลราชธานี สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดอุบลราชธานี กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดอุบลราชธานีที่ 1 ฝ่ายปกครอง อ.เขื่องใน เข้าตรวจโรงเรือนท้ายหมู่บ้านสว่าง ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน หลังจากได้รับแจ้งว่าสถานที่ดังกล่าวมีการลักลอบจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่ โดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่เป็นประจำ ภายหลังฝ่ายปกครองและทหารนำกำลังไปตรวจสอบ พบนักพนันกว่า 100 คน ส่งเสียงเชียร์ไก่กันอย่างสนุกสนาน เสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุม จังหวะนั้นเหล่ากองเชียร์และนักพนันต่างแตกฮือตกใจ พากันวิ่งหนีเข้าป่าหญ้า สวนไร่นา จนฝุ่นดินตลบ

ภายหลังเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ 15 คน พร้อมของกลางไก่ชน 2 ตัว สังเวียนไก่ โพยพนัน และของกลางอื่น ๆ อีกหลายรายการ โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า "ร่วมกับพวกที่หลบหนี ลักลอบเล่นการพนัน (ชนไก่) พนันเอาทรัพย์สินกันโดยผิดกฎหมาย" คุมตัวทั้งหมดพร้อมของกลางไปบันทึกการจับกุมยัง ที่ว่าการอำเภอเขื่องใน ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เขื่องใน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

Credit : https://www.dailynews.co.th/crime/689621
......
พลังภูผา..
#แก้กษัย #ปวดเมื่อย #ท้องผูก #กรดไหลย้อน 
สนใจที่ : www.arjanpong.com
โทร : 0898129392

처음 이전 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>