Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2018-11-24 15:49:46.0     Forum: ข่าว  >  ราชาผู้ไร้อนุสาวรีย์!!

 

*** ข่าวพลังภูผา..***

ราชาผู้ไร้อนุสาวรีย์!!

www.arjanpong.com

#พระเพทราชา #อยุธยา #พลังภูผา

สมเด็จพระมหาบุรุษ หรือ สมเด็จพระเพทราชา เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 28 ของอาณาจักรอยุธยา และเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2231-2246

 

สมเด็จพระเพทราชา เป็นชาวบ้านพลูหลวง แขวงเมืองสุพรรณบุรี (ปัจจุบันคือบ้านพลูหลวง ตั้งอยู่ใน ต.สนามชัย อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี) เป็นบุตรของพระนมเปรม และมีพระขนิษฐาคือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม)[3][4] พระสนมเอกในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาได้รับราชการจนมีบรรดาศักดิ์เป็นพระเพทราชา ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพระคชบาล มีกำลังพลในสังกัดหลายพัน[5]

 

ในปี พ.ศ. 2231 เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชประทับ ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ทรงพระประชวรใกล้สวรรคต ทรงเห็นว่าพระเพทราชาเป็นผู้ใหญ่ จึงมอบหมายให้ว่าราชการแทน[6] ระหว่างนั้นพระเพทราชาลวงพระอนุชาทั้งสองพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ คือเจ้าฟ้าน้อยและเจ้าฟ้าอภัยทศว่ามีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จถึงเมืองลพบุรีก็ถูกหลวงสรศักดิ์จับไปสำเร็จโทษที่วัดทราก ส่วนพระปีย์พระราชโอรสบุญธรรมถูกผลักตกจากชาลาพระที่นั่งสุทธาสวรรค์แล้วกุมตัวไปสำเร็จโทษ เมื่อสมเด็จพระนารายณ์สวรรคตแล้ว ได้สั่งให้เจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) เข้ามาพบ เมื่อเจ้าพระยาวิชเยนทร์มาถึงศาลาลูกขุนก็ถูกกุมตัวไปประหารชีวิต เมื่อจัดการบ้านเมืองสงบแล้วจึงเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์มาประดิษฐานที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ แล้วรับราชาภิเษก ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท[7]

 

เมื่อปราบดาภิเษกนั้นสมเด็จพระเพทราชามีพระชนมายุได้ 51 พรรษา ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระมหาบุรุษ วิสุทธิเดชอุดม บรมจักรพรรดิศร บรมนาถบพิตร สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว" แล้วทรงตั้งคุณหญิงกันเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา (พระมเหสีเดิมในพระเพทราชา เป็นผู้อภิบาลพระเจ้าเสือตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ภายหลังได้ขึ้นเป็นที่ กรมพระเทพามาตย์ ในสมัยของพระเจ้าเสือ) ตั้งกรมหลวงโยธาเทพ (เจ้าฟ้าทอง) พระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย ตั้งนางนิ่มเป็นพระสนมเอก ตั้งหลวงสรศักดิ์เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตั้งหม่อมแก้วบุตรท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระขนิษฐาของพระองค์เป็นกรมขุนเสนาบริรักษ์ เป็นต้น[8]

 

เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ได้ขับไล่กำลังทหารฝรั่งเศสออกไปจากกรุงศรีอยุธยา แต่ยังทรงอนุญาตให้บาทหลวง และพ่อค้าชาวฝรั่งเศสอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาต่อไปได้ ได้มีการทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส เรื่องการขนย้ายทหาร และทรัพย์สินของฝรั่งเศสออกจากป้อมที่บางกอก โดยฝ่ายอาณาจักรอยุธยาเป็นผู้จัดเรือ กับต้องส่งคืนทรัพย์สิน ที่เป็นของกรุงศรีอยุธยาคืนทั้งหมด สำหรับข้าราชการและราษฎรไทย ที่ยังอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ทางฝรั่งเศสจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา ผลการปฏิบัติดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฝรั่งเศส สิ้นสุดลงตั้งแต่นั้นมา

 

สมเด็จพระเพทราชาเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2246[9] พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ระบุว่าสวรรคต ณ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ขณะครองราชย์ได้ 15 ปี สิริพระชนมายุได้ 71 พรรษา.....

 

Credit : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2

 

guest

Post : 2018-11-23 11:28:15.0     Forum: ข่าว  >  พระน้องนางแห่งเมืองเหนือ กับวีรกรรม“หงายเมือง”จากกรุงธนสู่กรุงเทพ!!....

 

 

 

ภาพเขียนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ

ให้สร้างพระนครและพระบรมมหาราชวังขึ้นทางฟากตรงข้ามกับกรุงธนบุรี

เขียนโดย อาจารย์พิชัย นิรันต์ ปัจจุบันภาพนี้อยู่ที่อาคารรัฐสภา 

 

 

 

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรฯ ในรัชกาลที่ 

 

 

 

เจ้าครอกฟ้าศรีอโนชา ยามออกศึก

 

 

 

ภาพวาดของเจ้าศรีอโนชา ในจินตนาการจากหน้าตาของมะเมี้ยะแม่ค้าสาวชาวพม่า

ภรรยาเจ้าอุตรการโกศล (ศุขเกษม ณ เชียงใหม่)

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
พระน้องนางแห่งเมืองเหนือ
กับวีรกรรม“หงายเมือง”จากกรุงธนสู่กรุงเทพ!!....
www.arjanpong.com
#ประวัติศาสตร์ #ธนบุรี #กรุงเทพ
เจ้าศรีอโนชาพระอัครชายาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทแห่งราชวงศ์จักรีและพระขนิษฐาในพระเจ้ากาวิละ

ที่มีบทบาทในการเชื่อมสัมพันธภาพระหว่างราชวงศ์จักรีกับราชวงศ์ทิพย์จักรพระขนิษฐาในพระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ "พระเจ้ากาวิละ" เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่

พระอัครชายาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี

บทบาท เจ้าศรีอโนชาได้ช่วยพระยาสุริยอภัยปราบพระยาสรรค์ช่วงเกิดความไม่สงบในปลายสมัยกรุงธนบุรี ขณะที่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ ยกทัพไปสู้รบกับเขมรปี พ.ศ. 2324

ในการปราบพระยาสรรค์ เจ้าศรีอโนชาได้เกณฑ์ชาวลาวที่ปากเพรียว สระบุรี เข้าผสมกับกองกำลังของพระยาสุริยอภัยจากนครราชสีมา รวมประมาณ 1,000 คน ยกเข้ามาต่อสู้กับฝ่ายพระยาสรรค์ที่ธนบุรี การปะทะกันครั้งแรกฝ่ายพระยาสุริยอภัยได้เพลี่ยงพล้ำ

เจ้าศรีอโนชาจึงบัญชากองทัพเรือชาวมอญเข้าช่วยตีขนาบจนฝ่ายพระยาสรรค์พ่ายแพ้และในตำนานเจ้าเจ็ดตนเองก็กล่าวถึงบทบาทของเจ้าศรีอโนชาว่า"เจ้าครอกศรีอโนชาหงายเมืองได้ไว้แล้ว ก็ใช้ไปเชิญเอาเจ้าพระยาจักรี พระยาสุรสีห์ 2 องค์พี่น้องเข้ามาผ่านพิภพขึ้นเสวยราชย์ เจ้าพระยาจักรีเป็นพี่กษัตริย์องค์หลวงพระยาสุรสีห์ คนน้องปรากฏว่า ล้นเกล้าล้นกระหม่อมกรมพระราชวังบวรสถานมงคลวังหน้า"

ในการนี้เจ้าศรีอโนชาเองก็ได้รับความชอบไม่น้อย ซึ่งเพิ่มพูนอำนาจและความไว้วางใจต่อราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน และหลังจากการทราบข่าวการปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระเจ้ากาวิละได้นำเจ้านายพี่น้องลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก "ทรงพระกรุณาเป็นอันมาก" จึงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยศพระยากาวิละขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่แทนพระยาจ่าบ้านที่เสียชีวิตลงในปลายกรุงธนบุรี

เจ้าครอกศรีอโนชาเสด็จพิราลัยเมื่อใดไม่ปรากฏ แต่ปรากฏกู่บรรจุอัฐิของท่านตั้งอยู่ทางทิศใต้ติดกับกำแพงด้านนอกของวัดพระธาตุลำปางหลวงจังหวัดลำปาง....

Credit : คุณสมภพ อมรดิษฐ์

..........................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-22 14:09:31.0     Forum: ข่าว  >  เพียงเเค่จะกระชากกระเป๋า ทำไมถึงโหดร้ายเช่นนี้??"

     

 

                       

 

*** ข่าวพลังภูผา...***
"เพียงเเค่จะกระชากกระเป๋า ทำไมถึงโหดร้ายเช่นนี้??"
ป้าเหยื่อไม้ตีหัว ย้อนถามโจรทมิฬใจนรก!!
www.arjanpong.com
กรณี ตำรวจจับกุม นายอนุสรณ์ สวัสดิ์ อายุ 35 ปี ที่ก่อเหตุโหดใช้ท่อนไม้ฟาดศีรษะชิงทรัพย์ นางเกสร สุขสบาย อายุ 60 ปี ที่หน้าตู้เติมเงินโทรศัพท์ถนนอุดร-หนองใส ต.หนองบัว อ.เมืองอุดรธานี โดยมีคลิปจับภาพไว้ได้ เบื้องต้นรับสารภาพอ้างว่ามึนเมาและตั้งใจจะตีแค่ครั้งเดียว แต่กลัวเหยื่อไม่สลบจึงจำเป็นต้องกระกน่ำตีถึง 3 ครั้ง

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 21 พ.ย. นางเกสร ผู้เสียหาย ได้เข้าขอบคุณตำรวจที่ช่วยจับกุมคนร้ายได้ ก่อนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ในวันเกิดเหตุหลังจากที่เลิกงานจากร้านอาหารที่ทำงานอยู่ ได้ขอเบิกเงินเดือนจากนายจ้างไป 1,000 บาท แล้วไปดูหมอลำกับเด็กๆที่ทำงานที่เดียวกัน จากนั้นก็แยกย้ายกันเดินทางกลับ โดยตนขี่จยย.กลับ จู่ๆมีคนร้ายขี่ จยย.มาประกบข้างรถตน และทำทีเป็นชักชวนไปเที่ยวต่อ เห็นผิดสังเกตจึงออกอุบายว่าขอแวะเติมเงินโทรศัพท์ก่อน แต่ถูกคนร้ายใช้ไม้ตีเข้าที่ด้านหลังศีรษะจนล้มลงและถูกรถล้มทับ ก่อนโดนกระชากเอากระเป๋าไป

"อยากจะถามว่า มาทำร้ายป้าทำไม เพียงแค่จะกระชากกระเป๋า รถของป้าก็ล้มแล้ว ทั้งๆที่ก็ไม่เคยรู้จักกัน ทำไมถึงต้องมาทำร้ายด้วยความโหดร้ายเช่นนี้ หากว่าใช้มีดหรือปืนคงตายไปแล้ว ดีแล้วที่ไปอยู่ในคุก ไม่งั้นคงไปก่อเหตุกับคนอื่นๆอีก"....

Credit : https://www.dailynews.co.th/crime/678406
https://www.youtube.com/watch?v=Qg1CiCogRFE

....................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-21 12:40:54.0     Forum: ข่าว  >  บ้านพักโกษาปาน ที่ฝรั่งเศส!!..

 

 

บ้านพักฑูตสยาม ปัจจุบันสถานที่นี้ยังคงมีอยู่และกลายเป็นที่ว่าการอำเภอ

 

 

 

เจ้าพระยาโกษาธิบดี (โกษาปาน), ออกหลวงกัลยาราชไมตรี, ออกขุนศรีวิสารวาจา(พี่หมื่นของเเม่การะเกด)

 

 

 

rue de siam ถนนสายหลักของเมือง เมื่อ 100 กว่าปีที่เเล้ว

 

 

rue de siam ถนนสายหลักของเมืองในปัจจุบัน

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
บ้านพักโกษาปาน ที่ฝรั่งเศส!!..
www.arjanpong.com
#พลังภูผา #ธรณีสัณฑฆาต
เรื่องราวของคณะราชทูตสยามที่เดินทางไปฝรั่งเศส ในประวัติศาสตร์บอกว่า คณะทูตสยามเดินทางด้วยเรือรบ 2 ลำ คือเรือ L’Oiseau [ลัว-โซ] และเรือ La Maligne [ลา-มา-ลิน-ย]

ออกเดินทางพร้อมกับ Alexandre de Chaumont [อะ-เล็ก-ซ็อง-เดอ-โช-มง] และคณะบาทหลวงวันที่ 22 เดือน 12 ปี 1685 ถึง brest วันที่ 18 เดือน 6 ปี 1686 คณะทูตสยามประกอบไปด้วย…

- 3 ทูต ; เจ้าพระยาโกษาธิบดี [โกษาปาน], ออกหลวงกัลยาราชไมตรี, ออกขุนศรีวิสารวาจา

- 6 ขุนนาง 3 ล่าม 2 เลขา 20 ข้าทาสบริวารและเครื่องบรรณาการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทอง กระดองเต่า ผ้า พรม เฟอร์นิเจอร์ ปืนใหญ่ และกระเบื้องพอร์ซเลนกว่า 1500 ชิ้น

คณะทูตเข้าพักที่จวนผู้ว่าจนถึงวันที่ 9 เดือน 7 ซึ่งปัจจุบันสถานที่นี้ยังคงมีอยู่และกลายเป็นที่ว่าการอำเภอ จากนั้นคณะทูตก็เดินทางออกจาก brest ต่อไปอีก 600 กิโลจึงไปถึงพระราชวังแวฆ์ซัย ในวันที่ 1 เดือน 9 และอยู่ฝรั่งเศสจนถึงเดือน 3 จึงเดินทางกลับสยาม สรุปใช้เวลาล่องเรือเที่ยวละ 5 เดือน, พักอยู่ที่ brest 3 อาทิตย์, ใช้เวลาเดินทางไปยังพระราชวังแวฆ์ซัย 5 อาทิตย์และอยู่ต่ออีก 7 เดือนจึงเดินทางกลับสยาม

ขากลับก็แอบแวะร้านกิ๊ฟช็อปซื้อของกระจุ๊กกระจิ๊กติดไม้ติดมือเบาๆอันได้แก่ กระจก 4000 กว่าชิ้น, ปืนใหญ่ 160 กระบอก กล้องโทรทรรศน์, แว่นตา, นาฬิกา, กำมะหยี่, คริสตัล, พรม แล้วก็มีแผนที่ลูกโลกที่เขียนเป็นภาษาไทย ของส่วนใหญ่เป็นของที่ใช้ตกแต่งท้องพระโรงของพระนารายณ์ ทั้งหมดใช้เวลาตั้งแต่ปลายปี 1686 ถึงต้นปี 1688

เอาเป็นว่าใครมีโอกาสไปฝรั่งเศส ก็ลองไปเที่ยวเมือง brest ดู ถ่ายรูปคู่กับป้ายถนน rue de siam ก็จะดีไม่ใช่น้อย ส่วนปารีสอะไปรอบเดียวก็พอ แวะเที่ยวเมืองอื่นบ้าง ฝรั่งเศสมีเมืองเป็นร้อยเป็นพัน แต่ละเมืองมีประวัติและเรื่องราวที่น่าสนใจ ไม่ได้มีแต่ปารีส ปารีสก็แค่เมืองหลวงเมืองนึงเเค่นั้น ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นประทับใจนักหนา......

Credit : Kevin Ketkaew

...............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-20 12:40:03.0     Forum: ข่าว  >  ราชันเเห่งไฟ!!

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
"ราชาเเห่งไฟ!!.." องค์ราชันนักรบผู้ยิ่งใหญ่!!
www.arjanpong.com
#พลังภูผา #ธรณ่สัฑฆาต

ด้วยความเคารพเเละซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ต่อดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงขอนำบางส่วนของเรื่องราวที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ในพงศาวดารของไทย มาลงไว้อีกมุมหนึ่ง ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในยุคนั้นสมัยนั้น โดยจดหมายเหตุ วัน วลิต ได้กล่าวไว้ว่า...

พวกมลายูเรียกพระองค์ว่า ราชาอภัย ส่วนชาวสยามเอ่ยพระนามว่า พระองค์ดำ ตลอดเวลาไม่ว่าจะทรงช้าง ทรงม้า ประทับเรือพระที่นั่ง หรือแม้แต่ประทับบนราชบัลลังก์เสด็จออกขุนนางก็จะทรงมีพระแสงไว้ มักจะทรงวางแล่งธนูไว้บนพระเพลาและถือพระแสงธนูไว้ในพระหัตถ์ เมื่อทอดพระเนตรเห็นบุคคลใดทำสิ่งไม่ถูกพระทัยแม้แต่เล็กน้อย จะทรงยิงลูกธนูไปที่ผู้กระทำผิดและตรัสให้ผู้นั้นนำลูกธนูกลับมาถวาย พระองค์จึงตรัสสั่งให้แล่เนื้อบุคคล (แม้แต่ขุนนาง) ที่ทำความผิดเล็กน้อย และให้ผู้นั้นกินเนื้อของตนเองต่อหน้าพระพักตร์ บางคนต้องบริโภคมูลอุจจาระของตนเอง โดยตรัสอยู่เสมอว่า

"นี่แหละ เป็นวิธีที่จะใช้ปกครองพวกเจ้าชาวสยาม ทั้งนี้เพราะเจ้าเป็นคนมีนิสัยดื้อด้านอย่างน่าชิงชัง อยู่ในภาวะที่ฟอนเฟะเหลวแหลก ข้าจะลงโทษอย่างนี้ต่อพวกเจ้าจนกว่าข้าจะดัดให้เจ้าเป็นชนชาติที่ได้รับความเคารพยกย่องนับถือ เจ้าเปรียบประดุจต้นหญ้าในท้องทุ่งอันอุดมสมบูรณ์ ยิ่งตัดให้มันสั้นเจ้าก็จะยิ่งขึ้นสวยงาม ข้าจะปรายทองคำไว้ตามท้องถนน ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ หลายๆ เดือน ถ้าใครจ้องจะเอาทองด้วยความละโมบแล้ว จะต้องถูกประหาร!"

บางครั้งในเวลาค่ำคืนยามวิกาล พระองค์จะเสด็จประทับเรือเล็ก พายขึ้นล่องไปตามลำแม่น้ำ นอกจากนี้ยังเสด็จไปกับพวกมหาดเล็กไม่กี่คนในยามวิกาลตามท้องถนน เพื่อฟังว่ามีข่าวเลื่องลืออะไรเกิดขึ้นบ้าง และจะได้ทรงทราบว่ามีอะไรดีหรือไม่ดีต่อพระองค์บ้าง พระองค์เป็นกษัตริย์แรกที่ให้ขุนนางคลานเข้าเฝ้าและให้หมอบก้มหน้าไว้ตลอดเวลา ธรรมเนียมการเข้าเฝ้านี้ยังคงถือปฏิบัติมาจนบัดนี้

อย่างไรก็ดีพระองค์ก็ไม่มีพระราชประสงค์ให้คนต่างถิ่นหรือชาวต่างประเทศต้องปฏิบัติดังนั้น ทรงโปรดชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวฮอลันดา พระองค์เป็นกษัตริย์สยามองค์แรกที่ส่งคณะทูตานุทูตและถวายพระราชสาส์นแด่ เจ้าชายมอริส แห่งราชวงศ์ออเรนจ์ ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในเมื่อทรงโปรดให้คณะทูตต่างประเทศเข้าเฝ้า จะไม่มีพระราชประสงค์ให้คณะทูตต้องเปลี่ยนแปลงประเพณีประจำชาติของตน และหันมาปฏิบัติตามแบบอย่างสยาม โดยตรัสว่า

"พวกท่านเป็นผู้แทนที่บรรดาพระเชษฐาพระอนุชาของเรา จัดส่งให้มา ดังนั้นเราจึงไม่ปราถนาให้ท่านต้องมาถวายพระเกียรติยศให้ยิ่งไปกว่านี้ หรือนบนอบยำเกรงเราให้มากเกินไปกว่าที่ท่านได้เคยถวายแก่พระเจ้าอยู่หัวของท่านเอง"

ทรงไต่ถามคณะราชทูตว่าพวกเขารู้ภาษาสยาม มอญ หรือพม่ากันหรือไม่ หากรู้ก็ให้กราบทูลกับพระองค์โดยตรง ถ้าพูดไม่ได้พระองค์จะให้ขุนนางสักคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นล่ามให้ เพื่อพระองค์จะทรงเจรจากับคณะราชทูต ได้ทรงขู่จะเอาโทษประหารแก่พวกล่ามหากบิดเบือนประโยคถ้อยคำ หรือไม่แปลให้ถูกต้อง ในยุคนี้พวกชาวต่างประเทศได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพยกย่อง มีพวกเจ้าหน้าที่นำของกำนัลมาให้พวกชาวต่างประเทศ เพื่อจะไม่ไปร้องฟ้องพวกเขาต่อพระเจ้าแผ่นดิน

พวกขุนนางอยู่กันด้วยความเกรงกลัวพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่สุด เมื่อมีรับสั่งให้เข้าไปเฝ้าก็จะจัดบ้านช่องของตนให้เรียบร้อยเสียก่อน เหมือนกับว่าตนกำลังจะไปตาย เพราะพวกขุนนางมักจะกลัวกันจนสยองเกล้าว่าไปเฝ้าแล้วจะไม่ได้กลับบ้านอีก

นี่คือบางส่วนของเรื่องราวที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ในพงศาวดารของไทย และอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไม? กรุงศรีอยุธยาจึงฟื้นกลับมาโดยเร็วและยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งในประวัติศาสตร์...

Credit : 
อ้างอิง : จดหมายเหตุ วัน วลิต
ที่มา : สถาบันอยุธยาศึกษา

.............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-18 14:16:21.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  หนูไม่ให้ไป

 

 

  

 

 

 

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
หนูไม่ให้ไป!!
www.arjanpong.com
#พลังภูผา #ธรณีสัณฑฆาต
" ทำไมฉันไม่มีเหมือนเขามั่งนะ?..."
เสียงรำพึงเบาๆ ของหนูเกด หรื่อ ด.ญ สุภาภรณ์ เหรียญเพชร เด็กนักเรียนฉัน ป.5 ที่กำลังเดินไปโรงเรียนตามถนนลูกรังกับเพื่อนๆในหมู่บ้านที่พากันไปโรงเรียนตั้งเเต่เช้ามืด ในอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มใหญ่เขาเดินนำหน้าพากันหัวเราะต่อกระซิกกันเป็นที่สนุกสนาน ส่วนเธอจะเดินรั้งท้ายกับพี่สาวโดยตลอด เสเเสร้งว่าทำเป็นเดินช้าตามพวกเขาไม่ทัน เเท้ที่จริงเเล้ว รู้ตัวว่ากระจอกกว่าเขาเพียงเเม้เงาก็ไม่อยากจะตีเสมอ...

กะอีเเค่รองเท้ายังไม่มีปัญญาจะหามาซื้อใส่ เสื้อนักเรียนตัวนี้ก็ใส่มาตั้งเเต่เริ่มขึ้น ป.4 เพื่อนเขาเดินกินขนมกันอยู่ข้างหน้า เรากับพี่สาว มีตังค์รวมกันเเค่บาทเดียวเท่านั้น ก๋วยเตี๋ยวชามละบาท ก็คงจะเเบ่งกันกิน 2 คน ก็พอเเล้วสำหรับมื้อเที่ยงวันนี้...อากาศต้นเดือนธันวาคมมันช่างหนาวเยือกเย็นไปถึงกระดูกเสียนี่กระไร ปากนี่เเตกเป็นขุยซะยับเยิน เเต่ก็ยังโชคดีหน่อยที่ได้ยาใส่ผมตราขวานของพ่อเอามาทาปากไว้กันหน้าเเตกปากเเตก ส่วนเเขนขาที่ลายพร้อย ก็อาศัยได้น้ำมันหมูในครัวของเเม่ ทาชโลมไปทั่วทั้งเเขนขา กันเเข้งขาลายได้ดีนัก กลับไปถึงบ้านนี่ขาวไปทั้งตัว เพราะทางเดินกลับบ้านมีเเต่ฝุ่นทั้งนั้น....

หยาดน้ำตาของเเม่หนูน้อยมันเอ่อขึ้นมาตั้งเเต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เมื่อนึกถึงชะตาชีวิตของตนเอง บ้านที่อยูจะเรียกว่าบ้านก็อายปาก ป้ายหาเสียงของผู้เเทนที่ผุพังนั่นเเหละคือฝาบ้านของครอบครัวเธอที่คอยซุกหัวนอนกันฝนกันลม ฝนตกทีก็ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน ลมพัดมาทีก็ต้องพากันฉุดกันดึงหลังคาบ้านเอาไว้ ไม่งั้นบ้านปลิว...ไร่นาที่ทำก็ไม่ใช่ของตัวเองต้องเช่าเขาทำ เก็บเกี่ยวได้เเล้วหักค่าปุ๋ยค่ายาไม่เคยเหลืออะไรเลย เเถมติดลบอีกต่างหาก หมดหน้านาก็รับจ้างตัดอ้อย ต้องเเบกอ้อยเดินเป็นกิโลๆ เเบกจนไหล่เอียงจนถึงทุกวันนี้ เถ้าเเก่เขาให้ 100 มัด 35 บาท วันหนึ่งๆตัดได้ 80 มัด ก็หมดเเรงคาทุ่งเเล้ว ไม่ทำก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำเเล้วจะเอาอะไรกิน....

หมดหน้าอ้อยก็มารับจ้างเด็ดพริก ได้ค่าจ้างกิโลละ 2 บาท ห้ามทำยอดพริกเขาหักอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นเป็นเรื่อง ช่วงที่ฝนตก พริกที่โดนฝนโดนน้ำ มันก็จะเน่า พอไปเก็บมันก็จะปวดเเสบปวดร้อนไปหมด เเต่ที่ทนได้ก็เพราะว่าเป็นคนชอบฟังเพลง ทำงานไปด้วยก็เปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ไปด้วย...ที่บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้ เเต่บ้านอื่นเขามีกัน เวลาจะไปดูทีวีบ้านเขา เขาก็เเกล้งทำเป็นปิดประตูหน้าต่างทำท่าว่าเข้านอนกันเเล้ว เเม่หนูน้อยก็คิดตามประสาซื่อว่าบ้านเเถวนีเข้านอนกันเร็วเนอะ...5 โมงเย็นก็หลับกันเเล้ว........

ภาพที่ชินตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือกับข้าวเเต่ละมื้อ เเม่หอมจะต้มน้ำปลาร้าเเล้วเอามาคลุกข้าวโรยด้วยใบสะระเเหน่ให้ลูกๆทั้ง 4 คน เเละพ่อหกผู้ที่เป็นสามีอีกคน เหลือเท่าไรนั่นเเหละ..เเม่หอม ถึงจะได้กินเป็นคนสุดท้าย........

" จบ ป.6 เทอมนี้เเล้ว พี่ว่าพี่จะเข้ากรุงเทพ....."

เสียงพี่สาวที่เดินจูงมือหนูเกดน้องคนสุดท้องมาตลอดทาง ได้เอ่ยขึ้นเบาๆก่อนที่จะจูงมือน้องผ่านรั้วโรงเรียนเข้าไปข้างใน

" เเล้วหนูล่ะ?...." เสียงของน้องสาวที่ถามในขณะที่หยุดกึกอยู่กับที่ ไม่ยอมที่จะก้าวขาเดินต่อไป มันช่างเสียดเเทงหัวใจของผู้ที่เป็นพี่ยิ่งนัก

" เเล้วพี่จะมารับ...เราจะไม่ทิ้งกัน รอพี่อยู่ที่บ้านนี่เเหละ ดูเเลพ่อเเม่ให้ดีนะ......"

เเม่หนูน้อยกอดเอวพี่สาวไว้เเน่น เเล้วร้องไห้อย่างไม่อายใครตรงหน้าเสาธงนั่นเเหละ ปากก็ตะโกนซ้ำไปซ้ำมาว่า

" ไม่เอา หนูไม่ให้ไปๆๆๆๆ!!!....."

ประตูเเห่งดาราได้เปิดอ้าต้อนรับเเม่หนูน้อยจาก อ.อู่ทอง สุพรรณบุรีเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว ถ้าวันนั้นพี่สาวเธอไม่ตัดสินใจเข้ากรุงเทพ วันนี้ก็จะไม่มี อัมพร เเหวนเพชร...........

guest

Post : 2018-11-17 11:48:48.0     Forum: ข่าว  >  อวสานกรุงศรี!!..

 

     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
อวสานกรุงศรี!!..
www.arjanpong.com
#พลังภูผา #ธรณีสัณฑฆาต 
ในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้ามังระทรงยึดกรุงศรีอยุธยาได้ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์เสด็จสวรรคต พม่าได้ทำการเผากรุงศรีอยุธยาปล้นชิงทรัพย์สินในพระนคร บังคับราษฎรทั้งภิกษุทั้งฆราวาสให้แจ้งที่อยู่ทรัพย์สิน ผู้ขัดขืนต้องเผชิญโทษทัณฑ์ต่าง ๆ แล้วให้จับผู้คน รวมถึงพระราชวงศ์ ข้าราชการ สมณะ ไปคุมขังไว้

โดยพระสงฆ์ให้กักไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ส่วนฆราวาสให้ไว้ตามค่ายของแม่ทัพนายกองทั้งหลาย คำนวณแล้ว ปรากฏว่า เชื้อพระวงศ์ถูกกวาดต้อนไปกว่า 2,000 พระองค์ รวมจำนวนผู้ถูกพม่ากวาดต้อนไปนั้นมากกว่า 30,000–100,000 คน อันรวมไปถึงสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรและกรมขุนวิมลพัตร ด้วย

เชลยส่วนใหญ่คือประชากรที่อยู่รายรอบกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ อ่างทอง, สิงห์บุรี, สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, ชัยนาท, อุทัยธานี, นนทบุรี, ปราจีนบุรี, และธนบุรี มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาถูกกวาดต้อนไปด้วย เป็นต้นว่าบุคคลเชื้อสายเปอร์เซียและพราหมณ์ ดังปรากฏใน พระราชพงศาวดารพม่า ความว่า

"...สั่งให้เผาพระนครและปราสาททั้ง ๓ องค์ และให้เผาอารามและวิหารเสียให้หมดด้วย และสั่งให้ทำลายกำแพงเมือง และบรรดาเข้าของที่มีอยู่ในกรุงศรีอยุธยา มีพระไตรปิฎก คือ พระธรรมวินัย เป็นต้น สั่งให้ทำลายเสียแล้วก็กลับมายังพระนครแห่งตน..."

ทำให้เกิดภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด มีราษฎรอยุธยาจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตจากการสู้รบ ป่วยไข้ หรืออดอาหารตายจำนวนมากถึง 200,000 คน

ด้วยเหตุนี้ราษฎรอยุธยาจำนวนมากอพยพหนีพม่าไปไกลถึงเมืองเขมรและเมืองพุทไธมาศ และมีชาวเมืองสวรรคโลกอพยพเข้าไปเมืองเชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นเป็นประเทศราชของพม่า นอกจากจะกวาดต้อนผู้คนจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระเจ้ามังระยังทรงกวาดต้อนเชลยสยามจากเมืองสุโขทัย, สวรรคโลก และพิษณุโลกเข้าสู่อาณาจักรเป็นจำนวนมาก

ส่วนใน พงศาวดารเมืองสงขลา ระบุไว้อีกว่า "...พม่าตีแตกมากระทั่งถึงเมืองชุมพร ไชยา พวกกองทัพมากวาดเอาครอบครัวไทยไปเป็นอันมาก..."

ต่อมาเชลยชาวสยามและชาวยวนนั้น ทางการพม่าได้จัดให้ตั้งบ้านเรือนในตำบลระแหงใกล้คลองชเวตชอง ส่วนตำบลมินตาซุใต้คลองชเวตชอง ได้ให้เจ้านายยวนและอยุธยาประทับ ซึ่งชุมชนชาวอยุธยานั้นมีขนาดใหญ่พอสมควรจึงเกิดเป็นย่านโยดายา, ตลาดโยดายา และศาลพระรามขึ้นในชุมชน ดังปรากฏใน "พระราชพงศาวดารโกนบอง" จนถึงทุกวันนี้.....

Credit : https://th.wikipedia.org/…/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B…

..............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-16 15:30:37.0     Forum: ข่าว  >  เปิดคลิปเสียง"หมอฉาว" บอกไม่ต้องกลัวท้อง!!

 

 

                      

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
เปิดคลิปเสียง"หมอฉาว" บอกไม่ต้องกลัวท้อง!!
www.arjanpong.com
#พลังภูผา #ธรณีสัณฑฆาต
จากกรณีเพจ ทนายนิด้า เผยแพร่เรื่องราวที่หมอ ข่มขืนคนไข้สาวตอนตรวจภายในที่คลินิกแห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ โดยตอนแรกหมออ้างใช้ของปลอมสอดใส่ เพื่อเป็นการปลุกอารมณ์ทางเพศ จากนั้นก็ได้มีการจ่ายเงิน 3 แสนบาท แลกกับการที่ไม่ให้ผู้เสียหายดำเนินคดี กระทั่งล่าสุดหมอคนดังกล่าวได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แต่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 16 พ.ย. น.ส.ศรันยา หวังสุขเจริญ หรือ ทนายนิด้า กล่าวว่า หลังจากที่เป็นเรื่องราวใหญ่โตผ่านทางสื่อมวลชนไป เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ได้มีผู้เสียหายกว่า 20 ราย ติดต่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับหมอคนดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะถูกกระทำอนาจารในลักษณะเดียวกัน มีการเอานิ้วสอดใส่ในอวัยวะเพศ รวมถึงเอาอวัยวะเพศชายถูไถ และมีหนึ่งในผู้เสียหายอายุ 29 ปี ถูกข่มขืนระหว่างไปตรวจภายในที่คลินิกเช่นเดียวกัน ซึ่งสามีที่ไปด้วยกันก็ยังไม่รู้เรื่อง โดยกำลังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อแจ้งความเอาผิดกับหมอรายนี้

“ตอนนี้ทางเราได้เก็บคลิปเสียง ข้อมูลการแชตสนทนาผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ ระหว่างหมอกับผู้เสียหายไว้หมดแล้ว รวมถึงพยานบุคคลที่พร้อมจะเป็นพยานอีกจำนวนมาก มั่นใจว่าจะเอาผิดได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังเตรียมร้องเรียนกับ สบส. ให้เข้ามาตรวจคลินิกดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า ไม่มีพยาบาลหรือผู้ช่วยพยาบาล อยู่กับหมอขณะตรวจคนไข้ จึงถูกกระทำอนาจาร ซึ่งตรงนี้จะเป็นความผิดหรือไม่ต้องให้ สบส. ชี้แจงอีกครั้ง”น.ส.ศรันยา กล่าวและว่าอย่างไรก็ตามขณะนี้ผู้เสียหายจิตใจย่ำแย่มากหลังจากสื่อโทรทัศน์แห่งหนึ่งเปิดเผยชื่อจริง จึงอยากให้สื่อฯมีจรรยาบรรณมากกว่านี้...

Credit : https://www.dailynews.co.th/regional/677416
https://www.youtube.com/watch?time_continue=1&v=TO5s5ihkyAw

guest

Post : 2018-11-16 12:17:50.0     Forum: ข่าว  >  เอาไงล่ะทีนี้??เสือใบเเฉ"เสือดำตัวจริงตายไปนานเเล้ว!!"

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
เอาไงล่ะทีนี้??เสือใบเเฉ"เสือดำตัวจริงตายไปนานเเล้ว!!"
www.arjanpong.com
#พลังภูผา #ธรณีสัณฑาต
เสือดำ ผู้เป็นจอมโจรชื่อดังในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ร่วมสมัยกับ เสือใบ, เสือฝ้าย และ เสือมเหศวร มีชื่อจริงว่า ระพิน ได้ชื่อว่าเสือดำ จากการสวมชุดดำเวลาออกปล้น และใช้ปืนคู่ แต่เมื่อเวลาออกปล้นจะต้องประกาศให้เจ้าทรัพย์รู้ก่อนล่วงหน้าเป็นสัปดาห์และปล้นด้วยความสุภาพ นิยมปล้นแต่คนรวยให้คนยากจน จนได้รับฉายาว่า สุภาพบุรุษเสือดำ เช่นเดียวกับ เสือใบ

เสือดำ ถูกปราบได้ด้วย ขุนพันธรักษ์ราชเดช นายตำรวจมือปราบชื่อดัง โดยขุนพันธ์ฯ ให้โอกาสเสือดำกลับตัว เสือดำจึงไปบวชกับ พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้น และบวชมาจนบัดนี้

ปัจจุบัน เสือดำ ก็คือ “หลวง พ่อทวีศักดิ์”ได้เล่าถึงเส้นทางแห่งโจรที่ทำให้พบ “เสือมเหศวร” และ “เสือใบ” ว่า ช่วงนั้นก็ออกปล้นเรื่อยมา จนมาพบกับ “เสือมเหศวร” และ “เสือใบ” ซึ่ง “หัวอกเดียวกัน” เพราะทั้งสองถูกโจรปล้นบ้านแต่ไร้ทางการช่วยเหลือ

เเละวันนี้ก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เมื่อเสือใบได้ออกมาเเฉเรื่องราวของเสือดำจนเป็นที่ฮือฮาไปทั้งเมืองว่า หลวงพ่อทวีศักดิ์จริงๆ ไม่ใช่เสือดำ จากคำยืนยันเสือใบ ถือว่าเป็นคลิปที่คลายข้อสงสัยของใครๆหลายๆ และชัดเจนที่สุด

"เสือดำในยุคนั้นตายแล้ว ตาแผนทุบตาย เสือดำตัวจริงอายุแก่กว่าเสือใบนิดหน่อย เสือดำจริงๆชอบนอนสูบฝิ่น ไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร ส่วนเสือดำในปัจจุบันจริงๆแล้วแกชื่อดำ ไปออกรายการนักข่าวถามหลวงพ่อชื่ออะไรแน่ เห็นแกทำอึกอัก จริงๆแล้วเสือดำตัวจริงเป็นคนป่าสะแก ดอนมะเกือ ลูกกำนันผา ส่วนเสือดำปัจจุบันเป็นคนคลอง 6 แกเป็นชอบคุย ผมก็เลยยอแก"

สำหรับภาพถ่ายของ "เสือดำ" สมัยหนุ่มๆ ซึ่งภาพที่เป็นประเด็นนี้ “หลวงพ่อทวีศักดิ์”(อดีตเสือดำ) ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับทางช่อง TNN24 ว่าภาพนี้ "ขุนพันธ์"เป็นผู้ถ่ายให้เป็นที่ระลึกหลังดวลปืน

ซึ่งเมื่อดูดีๆแล้วพบว่า ภาพที่ "เสือดำ"กล่าวว่าเป็นภาพที่"ขุนพันธ์"ถ่ายให้หลังดวลปืน มีลักษณะในภาพถ่ายคล้ายกับภาพถ่ายของ John C. H. Grabill ชื่อภาพThe Cow Bow อยู่ที่ Library of Congress อย่างเหลือเชื่อ!!

Credit : https://commons.wikimedia.org/wiki/John_C._H._Grabill
https://www.tnews.co.th/contents/196997

................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

 

 

 

 

 

 

guest

Post : 2018-11-15 12:44:50.0     Forum: ข่าว  >  จริงหรือ?วิญญาณอดีตกษัตริย์ของกรุงศรีฯ ขับไล่พระเจ้าตากสินให้ไปอยู่ที่อื่น!!

 

*** ข่าวพลังภูผา...***
จริงหรือ?วิญญาณอดีตกษัตริย์ของกรุงศรีฯ 
ขับไล่พระเจ้าตากสินให้ไปอยู่ที่อื่น!!
www.arjanpong.com
#พลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
ในพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเล กล่าวว่า ในคืนประทับแรมที่กรุงศรีอยุธยานั้น พระเจ้าตากสินได้ทรงเล่าให้คนทั้งหลายฟังในตอนเช้าว่า อดีตกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาได้มาเข้าฝันขับไล่ไม่ให้อยู่ “เราคิดสังเวชเห็นว่าบ้านเมืองจะรกร้างเป็นป่า จะมาช่วยปฏิสังขรณ์ทำนุบำรุงให้บริบูรณ์ดีดังเก่า แต่เมื่อเจ้าของเดิมท่านยังหวงแหนอยู่ฉะนี้ เราชวนกันไปสร้างเมืองธนบุรีอยู่เถิด...”

แต่ในพระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับที่เป็นสมบัติของบริติซมิวเซียม กรุงลอนดอน กล่าวถึงเหตุที่ทรงทอดทิ้งกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า

“...ทอดพระเนตรเห็นอัฐิกะเฬวรคนทั้งปวง อันถึงวิบัติฉิบหายด้วย ทุพภิกขะโจระโรคะ สุมกองอยู่ดุจหนึ่งภูเขา และเห็นประชาชนซึ่งลำบากอดอยากอาหาร มีรูปร่างประดุจหนึ่งเปรตปีศาจพึงเกลียด ทรงพระสังเวช ประดุจมีพระทัยเหนื่อยหน่ายในราชสมบัติ จะเสด็จไปเมืองจันทบูร จึ่งสมณพราหมณาจารย์ เสนาบดี ประชาราษฎร ชวนกันกราบทูลอาราธนาวิงวอน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมหน่อพุทธางกูรตรัสเห็นประโยชน์อันจะเป็นปัจจัยแก่พระปรมาภิเษกสมโพธิญาณนั้นก็รับอาราธนา จึ่งเสด็จยับยั้งอยู่ ณ พระตำหนักเมืองธนบุรี”

และในจดหมายของ"บาทหลวงคอร์" ที่รายงานไปยังฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๓๑๓ กล่าวไว้ว่า

“บรรดาคนทั้งหลายเรียกพระเจ้าตากว่าพระเจ้าแผ่นดิน แต่พระเจ้าตากเองว่าเป็นเพียงผู้รักษากรุงเท่านั้น พระเจ้าตากหาได้ทรงประพฤติเหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินก่อนๆไม่ และในธรรมเนียมของเจ้าแผ่นดินฝ่ายทิศตะวันออกที่ไม่เสด็จออกให้ราษฎรเห็นพระองค์ ด้วยกลัวจะเสื่อมเสียพระเกียรติยศนั้น พระเจ้าตากไม่ทรงเห็นชอบด้วยเลย

พระเจ้าตากทรงพระปรีชาสามารถยิ่งกว่าคนธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงไม่ทรงเกรงว่าถ้าเสด็จออกให้ราษฎรพลเมืองเห็นพระองค์และพระองค์มีรับสั่งด้วยแล้ว จะทำให้เสียพระราชอำนาจลงแต่อย่างใด? เพราะพระองค์มีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรการทั้งปวงด้วยพระเนตรของพระองค์เอง และจะทรงฟังการทั้งหลายด้วยพระกรรณของพระองค์เองทั้งสิ้น!!

พระองค์ทรงทนทานต่อความเหน็ดเหนื่อย ทั้งทรงกล้าหาญและพระปัญญาก็เฉียบแหลม มีพระนิสัยกล้าได้กล้าเสียและพระทัยเร็ว ถ้าจะว่าก็เป็นทหารอันกล้าหาญคนหนึ่ง...”

ถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานี้ อาจจะย้อนแย้งเคลือบเเคลงสงสัยกันอยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งที่พระองค์ท่านได้ทรงสร้างไว้ให้กับลูกหลานคนไทย นั่นก็คือการกอบกู้อิสรภาพของสยามขึ้นมาใหม่ให้พวกเราได้มีผืนแผ่นดินอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้

สิ่งนี้ต่างหาก เป็นสิ่งที่ลูกหลานไทยไม่มีใครผู้ใดเคลือบแคลงสงสัยทั้งสิ้น!!...

........................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-14 14:21:40.0     Forum: ข่าว  >  ไร้ญาติขาดมิตร!! ชีวิตจริงของ"เจ้าเเม่บัวลอย" วัดชลอ!!

*** ข่าวพลังภูผา...***
ไร้ญาติขาดมิตร!! ชีวิตจริงของ"เจ้าเเม่บัวลอย" วัดชลอ!!
www.arjanpong.com
#ข่าวพลังภูผา #ธรณีสัณฑฆาต
...เพลง...

@ สุดคลองบางกอกน้อย พายเรือตามหาบัวลอย
จนเหงื่อพี่ย้อยโทรมกาย
ปากพี่ตะโกนกู่ ถึงยอดชู้ เพื่อนร่วมกาย
ไม่รู้ว่าเจ้าจมหาย ลอยไปแห่งใดเล่าหนา

ใจพี่แทบขาดแล้ว มือคงยังจ้ำยังแจว
ตามหานางแก้วดวงตา
ศพน้องเจ้าลอยล่อง อยู่ใต้ท้องสุธารา
หรือว่าลอยออกนอกเจ้าพระยา 
จึงค้นหาไม่พบศพบัวลอย

โถ เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ยังลงว่ายเล่น
เพียงเห็นชื่นเย็นนิดหน่อย
น้ำเชี่ยวยิ่งเหลือ เจ้าจึงเป็นเหยื่อคลองบางกอกน้อย
จิตใจพี่ให้เศร้าสร้อย ถึงบัวลอยแม่จอมขวัญ

สุดหล้าสุดฟ้าเขียว เธอเป็นแม่พระองค์เดียว
ที่เหนี่ยวใจรักคงมั่น
เจ้าสิ้นใจต่อหน้า ด้วยพี่คว้าเจ้าไม่ทัน
เหมือนพี่พิฆาตเด็ดดวงชีวัน
จอมขวัญนงนุชสุดบูชา @

...ตำนาน...

จากเมื่ออดีตกาลนานมาแล้วมีสตรีตั้งท้องคนหนึ่งชื่อ "บัว" ต้องการที่จะช่วยแบ่งเบาภาระผัวโดยการทำขนมขาย แม้ผัวจะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง เมื่อผัวไปทำงานก็จะทำขนมใส่เรือแล้วพายไปขายในคลอง ชาวบ้านที่จะซื้อก็จะตะโกน "บัวจ๋า..บัวลอยมาทางนี้หน่อย" และด้วยขนมทำจากกระทิ เมื่อทำเสร็จแล้วก็เอาลงเรือขายเลย ประกอบกับฝีมือการทำขนม ที่มีความอร่อยจนติดอกติดใจชาวบ้าน จนใครๆก็เรียกเธอว่า "บัวลอย"


วันหนึ่งเมื่อผัวกลับจากทำงานไม่เห็นเมียสุดที่รัก จึงพายเรือตามหานางบัว พร้อมกับร้องตะโกนว่า "บัวลอย บัวลอย" แต่ก็ไม่พบแม้แต่เรือของเธอ หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนพบศพเธอลอยไปติดอยู่ที่ท่าเรือของวัดในคลอง จึงมีการนำขึ้นมาทำพิธีตามศาสนา และด้วยความเชื่อของคนไทยที่ว่า ถ้าตายท้องกลมผีจะเฮี้ยน จึงไม่ได้มีการเผาแต่แค่ฝังเอาไว้ และมีบางคนมาขอหวยปรากฎว่าถูกจนโด่งดังไปทั่วผู้คนถูกหวยเป็นว่าเล่น


แต่แล้วเช้าวันหนี่งศพของนางบัวก็หายไป คาดว่าเจ้ามือหวยคงมาทำการขุดศพเอาไปทิ้งและสะกดวิญญาณไว้ หลังจากนั้นตำนานบัวลอย ก็เริ่มถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่นี้ก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาของคลองบางกอกน้อย และได้มีการนำมาแต่งเป็นเพลง โดยพิพัฒน์ บริบูรณ์ ได้เเต่งเพลงนี้ขึ้นมาโดยใช้ชื่อเพลงว่า"ศพลอย"

เอาไปให้ ทูล ทองใจ,นริศ อารีย์,ชรินทร์ นันทนาคร ฯลฯ ไม่มีใครยอมร้อง เพราะเนื้อหาของเพลงมีศพลอยน้ำมาด้วย อีกอย่างในปี พ.ศ 2503 ครูพิพัฒน์ ก็ยังเป็นนักเเต่งเพลงโนเนมที่ยังไม่มีศิลปินก้มกราบหมอบคลานเข้าไปขอเพลง จึงไม่มีใครยอมร้องเพลงนี้ จนกระทั่งปี 2504 ที่เพลง"ผู้ใหญ่ลี"โด่งดังนั่นเเหละ ถึงจะมีลูกศิษย์ลูกหาเคล้าเเข้งเคล้าขาเลียกันเเผลบๆ จนขนหน้าเเข้งของครูร่วงซะเกลี้ยงเกลา

เห็นว่าไม่มีใครยอมร้องเเน่ เลยไปจ้าง ชัยชนะ บุญณโชติ ตอนนั้นอายุ 18 ปี อยู่กับวงพยงค์ มุกดา ให้มาร้องเพลงนี้โดยจ้างด้วยทองคำหนัก 2 บาท ช่วยร้องให้ที ก็เลยดังเปรี้ยงป้างจนกระทั่งถึงทุกวันนี้


ในปัจจุบัน ก็มีศาลของเจ้าแม่บัวลอย ก็ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อย ในวัดชลอ ตั้งอยู่เลขที่ 33 ถนนบางกรวย-ไทรน้อย หมู่ที่ 3 ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี โดยพระครูปลัดทนงค์ เจ้าอาวาสวัดชลอ รูปปัจจุบัน ก็ได้เล่าถึงตำนานของเจ้าแม่บัวลอยถึงความเฮี้ยนของเจ้าแม่บัวลอย เมื่อตายไปก้ได้นำศพมาต้มเพื่อเลาะเอากระดุกมาร้อย แล้วนำไปให้นักเรียนศึกษาผู้ปฎิบัติธรรม ได้ใช้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ฝึกปฎิบัติอสุภกรรมฐานจนกระทั่งปัจจุบันนี้

ครูพิพัฒน์ บริบูรณ์ เคยเล่าให้ฟังว่าความจริงเเล้ว"เเม่นางบัวลอย"ไม่ใช่เป็นคนพื้นเพที่นี่ เเต่มากับเรือโยงลากจูงที่ขึ้นล่องเจ้าพระยา จนกระทั่งเธอเป็นไข้สูง คนในเรือเห็นว่าอาการหนักมากจึงพากันยกร่างของเธอมาไว้ที่บนศาลาริมน้ำของวัด ให้หลวงพ่อช่วยฝากผีฝากไข้ให้หน่อย เเล้วพวกเขาจะรีบไปบอกผัวของเธอ ให้มาดูเเลอาการต่อไป

จนกระทั่งว่าผ่านไปเป็นเดือน เธอก็ตายเเล้วศพของเธอก็เก็บไว้รวมๆกันกับศพไม่มีญาติที่ป่าช้าท้ายวัด จนวันหนึ่งมีชายคนหนึ่งท่าทางคงจะเป็นผัว เเละคนอื่นๆอีก 2-3 คน มาตามหาเธอ พอรู้ว่าเธอตายเเล้วก็ไม่มีอาการเเสดงความเสียอกเสียใจอะไรกันเลย พอหลวงพ่อเผลอเเป๊ปเดียว คนกลุ่มนั้นก็หนีหายกันไปหมด!!

ฉะนั้นบทเพลงนี้กับตำนานของบัวเลย จึงไม่ตรงกับความเป็นจริงไปเสียทั้งหมด!!

..............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-13 14:51:44.0     Forum: ข่าว  >  "พระยาราม" รู้ทั้งรู้ว่าเป็นกลศึก แต่ก็ขอยอมตาย!!..

 

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
"พระยาราม" รู้ทั้งรู้ว่าเป็นกลศึก แต่ก็ขอยอมตาย!!..
www.arjanpong.com
#พลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
"พระยาราม" นักรบจากเมืองกำแพงเพชร ถือว่าเป็น นักรบที่มีหัวจิตหัวใจ สละชีพเพื่อแผ่นดินอย่างตัวตายถวายชีวิต เมื่อคราวศึกหงสาวดีบุเรงนอง ที่ยกกองทัพ 500,000 คน หมายบดขยี้กรุงศรีฯให้ย่อยยับ เมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ 2112

ความสามารถเข้มแข็งของพระยารามจะเห็นได้จากการจัดกำลังป้องกันพระนครด้วยความมั่นคง มีพลสรรพาวุธประจำหน้าที่รอบกำแพงเมือง และจัดกองทัพไว้ทั้งสี่ด้านรอบเมือง ตัวพระยารามนั้นตั้งทัพที่ท้องสนามหลวงเป็นกองกลาง เพื่อเป็นกำลังเสริมไปช่วยด้านใดด้านหนึ่งที่เพลี่ยงพล้ำ ยุทธวิธีของพระยารามทำให้พม่าหักเข้าไม่ได้ และยังให้เอาปืนใหญ่ยิงไปยังทัพพม่า กระสุนไปตกใกล้พลับพลาของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง และกระสุนต้องช้างม้ารี้พลของพม่าตายเป็นอันมาก!!

ความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และชาติบ้านเมืองของพระยารรามที่น่าสรรเสริญ คือความแกล้วกล้าสามารถ กอร์ปด้วยครั้งนั้นกองทัพพม่ามีกำลังพลมหาศาล พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองก็เป็นษัตริย์นักรบ ที่ทุกเมืองต่างก็เกรงขาม

แต่พระยารามกลับอาสาสู้ศึกด้วยความสามารถ จนพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็นว่า ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ยังคงเป็นไปเช่นนั้น จะเอาชนะไทยไม่ได้

พระเจ้าบุเรงนองล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ถึง ๗ เดือน ก็ยังหักเอามิได้ ฤดูฝนก็ใกล้เข้ามาทุกทีทำให้ทรงวิตก พระมหาธรรมราชาซึ่งยอมไปเข้ากับพระเจ้าบุเรงนองจึงทูลว่า ที่กรุงศรีอยุธยาต่อสู้รักษาเมืองอยู่ได้ ก็เพราะมีพระยารามเป็นหัวแรงสำคัญ ถ้ากำจัดพระยารามเสีย ก็จะชนะได้โดยง่าย และรับอาสามีหนังสือลับไปถึงพระวิสุทธิกษัตรีย์ พระอัครชายาที่ถูกยึดตัวอยู่ในเมืองว่า ถ้าพระมหินทร์ดื้อดึงรบไปก็มีแต่จะทำให้ผู้คนล้มตาย พระเจ้าหงสาวดีรับสั่งว่าเรื่องทั้งปวงที่เกิดขึ้นก็เพราะพระยารามคนเดียวที่ยุแยกให้พี่น้องแตกกัน ถ้าส่งตัวพระยารามออกมาถวายก็จะทำให้เรื่องยุติ กลับเป็นไมตรีต่อกัน

พระวิสุทธิกษัตรีย์นำหนังสือไปถวายสมเด็จพระมหินทร์ ปรึกษาข้าราชการทั้งปวง ทุกคนต่างเหนื่อยหน่ายต่อการสู้รบ ส่วนพระยารามก็กราบทูลว่า ถ้าบ้านเมืองจะสงบสุขได้ด้วยวิธีนี้ ตัวเองก็จะยอมเสียสละ

สมเด็จพระมหินทร์จึงอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชให้ออกไปเจรจาขอเป็นไมตรี พร้อมทั้งให้ข้าราชการผู้ใหญ่นำตัวพระยารามออกไปถวายพระเจ้ากรุงหงสาวดี

เมื่อพระเจ้าบุเรงนองรับตัวพระยารามไปแล้วก็ปรึกษาบรรดาแม่ทัพ ต่างลงความเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาเหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือ ถ้าจะขอสงบศึกก็ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ให้พระเจ้าแผ่นดินออกมาถวายบังคมด้วย ซึ่งคำตอบของพระเจ้าหงสาวดีทำให้บรรดาขุนนางข้าราชการของกรุงศรีอยุธยาพากันเป็นเดือดเป็นแค้นที่พระเจ้าบุเรงนองพลิกลิ้น จึงทูลอาสาสมเด็จพระมหินทร์จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด!!

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้กรุงศรีอยุธยา แตก ครั้งที่ 1 จนได้...

guest

Post : 2018-11-11 11:44:32.0     Forum: ข่าว  >  "เราเเค่มาขอหมอ ไปรักษาพ่อเเม่เราบ้าง!!" เสียงตะโกนก้อง ของกะเหรี่ยงลิ้นดำหลังยึด ร.พ ราชบุรี!!

 

*** ข่าวพลังภูผา..***
"เราเเค่มาขอหมอ ไปรักษาพ่อเเม่เราบ้าง!!"
เสียงตะโกนก้อง ของกะเหรี่ยงลิ้นดำหลังยึด ร.พ ราชบุรี!!
www.arjanpong.com
#พลังภูผา #ธรณีสัณฑฆาต

เริ่มที่ ตอนเช้าตรู่ของวันที่ 24 มกราคม 2543

ชาวเมืองราชบุรี ตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ในห้วง ฤดูหนาวท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นไม่มีคาดคิดว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ความร้อนระอุ จะแผ่อานุภาพปกคลุมไปทั่วเมืองราชบุรี

เหตุการณ์ระทึกขวัญ ที่ต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทยอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่บุกยึด รพ.ศูนย์ราชบุรี

เวลาที่ผู้คนบางคนยังหลับใหล บางคนอยู่ในบ้านยังหุงหาอาหาร หรือทำกิจกรรมที่บ้านยามเช้าตรู่ ในเวลา 6 โมงเช้า 24 มกราคม 2543 ได้มีรถบัสสาย 18 ได้เดินทางจากบ้านห้วยสุด อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี มุ่งหน้าเข้าตัวเมือง

และแล้วในขณะที่รถโดยสาร ผ่านบ้านหวายน้อย ต.สวนผึ้ง ทันไดนั้นได้มีผู้โดยสารชาย 2 คนขึ้นมาบนรถ ก่อนจะชักปืนจ่อศีรษะ "พินิจ ปองมณี" คนขับไว้

จากนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ได้ส่งสัญญาณให้อีก 8 คนที่ซุ่มอยู่ในป่าข้างทาง โดยที่บุคคลทั้ง 8 คนนี้ ได้ติดอาวุธสงครามครบมือ จากนั้นก็กระโจนขึ้นรถอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่จะบังคับให้คนขับรถโดยสาระตะบึงด้วยความเร็วสูงมุ่งสู่ รพ.ศูนย์ราชบุรี

เมื่อรถได้จอดนิ่งสนิทคนร้าย ได้ใช้ปืนบุกเข้าจี้ รปภ. เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ผู้ป่วย และญาติ รวมถึงบังคับให้ ผู้โดยสารที่ติดมากับรถบัส เข้าไปอยู่ในห้องโอพีดี คนร้ายอีกส่วนแยกไปติดตั้งระเบิดเคลย์โมตามประตูทางเข้าและกำแพงโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรีไว้

เมื่อ ผกก.สภ.เมืองราชบุรี พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย ตันบุญเอก รับทราบ และรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ให้ พล.ต.ต.ฉลอง สนใจ ผบก.ภ.จว.ราชบุรี และนายโกเมศ แดงทองดี ผู้ว่าฯ ราชบุรี รับทราบ จากนั้นแล้วนำกำลังตำรวจกว่า 100 นาย พร้อมอาวุธครบมือ สมทบกับกองกำลังทหารค่ายภานุรังษี ปิดล้อมโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรีไว้

กองกำลังก็อดอาร์มี่ ได้ยิงปืนเข้าใส่ ขู่จะกดระเบิด 
ทหารและตำรวจจึงต้องถอยร่นออกมาตั้งรับใหม่

พล.ต.ท.อนันต์ เหมทานนท์ ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.กิตติ สินธุสุวรรณ รอง ผบช.ภ.7 ร่วมประชุมกับนายโกเมศ ระหว่างนี้มีพยาบาลภายในโรงพยาบาลคอยรายงานความเคลื่อนไหวให้ทราบเป็นระยะๆ

ทำให้ทราบว่าตัวประกันถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน

ส่วนแรกถูกคุมตัวอยู่ที่วิทยาลัยพยาบาลด้านทิศใต้ 
อีกส่วนอยู่ห้องตรวจคนไข้นอก

ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยและญาติที่กระจายอยู่ตามตึกต่างๆ ร่วม 1,000 ชีวิต

นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี หารือกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย สั่งเสริมกำลังอีก 300 นาย วางแผนร่วมกับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผบ.ตร. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.ทบ. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ นายกร ทัพพะรังสี รมว.สาธารณสุข เกี่ยวกับข้อเรียกร้อง 5 ข้อของกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่

ซึ่งข้อเรียกร้อง 5 ข้อของกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่ ได้แก่

1.ให้รัฐบาลไทยหยุดใช้ปืน ค 120 มม. ยิงชนกลุ่มน้อยตามแนวตะเข็บชายแดน และให้รับรักษาผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

2.ให้รัฐบาลไทยหยุดช่วยเหลือทหารพม่าที่มาใช้ดินแดนไทยมาต่อสู้กับชนกลุ่มน้อย

3.ให้รัฐบาลไทยช่วยเหลือผู้อพยพบ้านบ่อหลี

4.ให้รัฐบาลไทยกดดันรัฐบาลพม่าให้ยอมรับชนชาติกะเหรี่ยง

5.ให้รัฐบาลไทยลงโทษทหารไทยที่สั่งให้ยิงฐานกำลังของตน

ระหว่างนี้มีการยิงปืนขู่เป็นระยะๆ กดดันไม่ให้ตำรวจ-ทหารเคลื่อนไหว

ต่อมาสถานการณ์เริ่มดีขึ้น เมื่อกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่ยอมปล่อยตัวประกันเด็ก สตรี และคนชราที่ป่วยออกมารักษา

กระทั่งบ่าย 2 โมง กองกำลังก็อดอาร์มี่ ร้องขอช่างภาพโทรทัศน์ช่อง 7 สี เพื่อประกาศเจตนารมณ์ให้สาธารณชนได้รับรู้ โดย พ.จ.อ.ชาลี ศรีเพ็ง ได้รับหน้าที่บันทึกภาพหัวหน้าชุดปฏิบัติการชื่อ "หนุ่ย" หรือ "ปรีดา" ผู้ก่อการร้ายเพียงคนเดียวที่พูดไทยได้และยังเป็น 1 ในกองกำลังกะเหรี่ยง เคเอ็นยู ที่ยึดสถานทูตพม่าประจำประเทศไทย

เมื่อความมืดโรยตัวเข้าครอบคลุม นักรบพระเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าจากลายพรางมาเป็นชุดผู้ป่วย เพื่อให้ตำรวจทหารแยกแยะไม่ออก ป้องกันการจู่โจมและปิดประตูหน้าต่าง ไฟฟ้า ไม่ให้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวภายใน

ระหว่างนี้ทางการไทยได้วางแผนเตรียมจัดการขั้นเด็ดขาด เพราะหากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อจะไม่เป็นผลดี กองกำลังผสมชุดปฏิบัติการนเรศวร 261 ของ ตชด. หน่วยอรินทราช 26 ของ บช.น.และชุดปฏิบัติการ 90 จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี ค่อยๆ คืบคลานเข้าประจำจุดอย่างเงียบเชียบและรัดกุม รอคอยคำสั่งปฏิบัติการ เน้นความรวดเร็วและแม่นยำ ที่สำคัญต้องไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจาก 10 ชีวิตของผู้ก่อการร้าย

แผนปฏิบัติการแบ่งออกเป็น 3 ชุด

ชุดแรก 
พลร่มป่าหวายทำหน้าที่จู่โจม โดยประกบคนร้ายแบบ 2 ต่อ 1 พร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด

ชุดที่ 2 ปิดล้อมอาคารและสนับสนุนปฏิบัติการ หากมีคนร้ายเล็ดลอดออกมา

ชุดที่ 3 ปิดล้อมอยู่ด้านนอก คอยคุ้มกันและสนับสนุนการจู่โจม

และแล้วเหตุการณ์ระทึกขวัญที่ล่วงเลยมากว่า 22 ชั่วโมงก็มาถึงจุดสิ้นสุดตอนตีห้าครึ่ง

ปฏิบัติการสายฟ้าแลบก็เปิดฉากขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดของผู้คนใน รพ ศูนย์ราชบุรีแห่งนี้

ระเบิดแบบไร้สเก็ดกว่า 20 ลูก สั่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ รพ.ศูนย์ราชบุรี ที่แสงไฟสปอตไลท์จับอยู่ เสียงปืนและระเบิดกัมปนาทไปทั่วทั้งตัวเมืองราชบุรี ผสานเสียงกรีดร้องของตัวประกัน ที่ก้มหมอบตามเสียงกำชับของชุดปฏิบัติการ ส่วนเบื้องบนก็มีเฮลิคอปเตอร์คอยบินวนฉายสปอตไลท์สนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่จู่โจม

โรงพยาบาลกลายเป็นสมรภูมิเลือด เสียงปืนที่ดังทิ้งจังหวะ 1 ชุด 3 นัด เงียบลงตอน 6 โมง 10 นาที

ทหาร-ตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่ปรากฏร่างนักรบก็อดอาร์มี่ 9 คน นอนเรียงรายจมกองเลือดใกล้ๆ กัน ส่วนรายที่ 10 เสียชีวิตคาห้องน้ำ หลังหลบหนีออกมาจากการปะทะ ทั้งหมดถูกยิงที่ศีรษะในลักษณะเผาขนและเสียชีวิตทันที

เหตุการณ์วันนั้นไม่มีใครได้รับอันตราย จะมีก็เพียงกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่ทั้ง 10 ชีวิตที่ด่าวดิ้นลง พร้อมกับความทรงจำของเจ้าหน้าที่และตัวประกัน ที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์อย่างยากจะลืม.....

Credit :https://www.baanmaha.com/…/39067-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B…

..................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-10 12:12:19.0     Forum: ข่าว  >  "พญาจ่าบ้าน" ขุนศึกนักรบที่ถูกลืม!!

*** ข่าวพลังภูผา..***
"พญาจ่าบ้าน" ขุนศึกนักรบที่ถูกลืม!!
www.arjanpong.com
#พลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
พุทธศักราช 2317 มีเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่ทำให้เกิดการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ล้านนา นี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ล้านนาต้อง “เลือกข้าง” ว่าจะอยู่กับใคร ระหว่างการยอมอยู่ใต้บังคับของพม่าดุจช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมานับแต่บุเรงนองยึดเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ.2101 หรือว่าอยากทดลองเปลี่ยนไปอยู่กับอำนาจใหม่เป็นประเทศราชของสยามแทน?

บุคคลผู้มีบทบาทอย่างสูงในการตัดสินใจคือ พญาจ่าบ้าน (บุญมา) และพญากาวิละ ขณะนั้นกษัตริย์พม่าแห่งกรุงอังวะได้มอบหมายให้พญาจ่าบ้าน เป็นผู้ดูแลนครเชียงใหม่ ส่วนพญากาวิละเป็นผู้ดูแลนครลำปาง ภายใต้การควบคุมของ “โป่มะยุง่วน” ผู้ที่ชาวเชียงใหม่เรียกว่า “โป่หัวขาว” เนื่องจากเป็นหม่องที่ชอบโพกผ้าสีขาวเป็นสัญลักษณ์เสมอ

กองกำลังของพญาจ่าบ้านมีเพียงหยิบมือ ในขณะที่พม่ามีทหารนับหมื่น หนทางเดียวที่ล้านนาจะหาญสู้พม่าได้ ก็คือการหันไปสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าตากสิน พญาจ่าบ้านได้ส่งหลานชายผู้มีฐานะเป็นอุปราชเมืองเชียงใหม่ ซึ่งพม่าตั้งให้ดูแลเมืองลำพูนด้วย ชื่อ “ก้อนแก้ว” นำกองทัพ “ทหารโพกผ้าแดง” ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าตากสิน ณ ถ้ำแห่งหนึ่งกลางลำน้ำปิง เวียงลี้

อุปราชก้อนแก้วเป็นคนหนุ่ม ฝีมือเข้มแข็ง ซุ่มฝึกกองทหารโพกหัวด้วยผ้าแดงไว้ราวพันกว่าคน เป็นผู้นำทัพที่ชาวล้านนารักใคร่และเคารพยำเกรงมาก ถือว่าเป็นแม่ทัพมือขวาของพญาจ่าบ้านเลยทีเดียว

เมื่อชาวล้านนาได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่า ขอเลือกที่จะอยู่ข้างฝ่ายสยาม พระเจ้าตากสินจึงทรง “มอบบ้านเวนเมืองให้เป็นเจ้า” ด้วยการแต่งตั้งให้พญาจ่าบ้านเป็นพระยาหลวงวชิรปราการกำแพงเพ็ชร ครองเมืองเชียงใหม่ เจ้ากาวิละครองนครลำปาง ส่วนอุปราชก้อนแก้วให้ดูแลฐานทัพเสบียงที่เวียงป่าซางเมืองลำพูน

ช่วงที่พม่าบุกกลับเข้ามาหมายจะยึดเมืองเชียงใหม่คืนจากสยาม พญาจ่าบ้านกับอุปราชก้อนแก้วได้แบ่งกองกำลังทหารซุ่มโจมตีพม่าคนละทิศ

การสู้รบครั้งนี้ยืดเยื้อยาวนาน กองทัพของพญาจ่าบ้านอดอยากแร้นแค้นถึงขนาดที่ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่บันทึกไว้ว่า ต้องจับจิ้งจกตุ๊กแกกิ้งก่ากิน

หรือแม้กระทั่งเมื่อจับทหารพม่าได้ 7 นาย แทนที่จะฆ่าทิ้งกลับจำใจต้องแล่เนื้อเถือหนังเพื่อประทังความหิวโหย

แต่เหตุไฉนคนไทยไม่เคยรับรู้เรื่องราวของพญาจ่าบ้านเลย ผิดกับพญากาวิละแห่งราชวงศ์ทิพจักร หรือราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน ผู้เป็นต้นตระกูล ณ เชียงใหม่ ณ ลำปาง ณ ลำพูน ฯลฯ พญาจ่าบ้านหายไปไหนหรือ ทั้งๆ ที่เคยเป็นถึงเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่พระองค์แรกก่อนพญากาวิละ?

เหตุที่ชื่อของพญาจ่าบ้านลบเลือนหายไปจากความทรงจำ??.."ประวัติศาสตร์ที่พึ่งสร้าง หรือตำนานที่พึ่งเขียน” จะไม่คืนความเป็นธรรม ให้กับท่านเหล่านี้บ้านเลยหรือ?!..

Credit : https://www.matichonweekly.com/culture/article_13156

..............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา #ธรณีสันฑะฆาต
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-09 12:16:36.0     Forum: ข่าว  >  "ฉันไม่ไหวแล้ว!!.."

*** ข่าวพลังภูผา...***
"ฉันไม่ไหวแล้ว!!.."
www.arjanpong.com
#ธรณีสันฑะฆาต #พลังภูผา
"เบี้ยสูงอายุเดือนนี้เลื่อนไปก่อนนะป้า ทางการยังไม่พร้อม หากมีอะไรคืบหน้าเดี๋ยวผมจะมาบอกนะป้านะ"
"ขอบใจนะลูก ที่อุตสาห์มาบอก...."

ป้าศรี กล่าวขอบอกขอบใจหนุ่มข้างบ้านที่ทำงานอยู่ อบต. ขี่จักรยานยนต์มาบอกข่าวถึงหน้าบ้านเกี่ยวกับเรื่องเบี้ยสูงอายุจากภาครัฐที่เดือนนี้ยังไม่มีเงินเข้ามา ใบหน้าที่ยิ้มรับเเขกเมื่อกี๊ หลังจากเขาขี่รถออกไปเเล้ว กลับเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด หมดเเรงที่จะหยิบจะฉวยอะไรเเล้ว ป้าศรีวัย 80 ปี ค่อยๆเดินไปนั่งที่เก้าอี้พลาสติกตัวเก่าที่เหลืออยู่ในบ้าน ถอนลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เงิน 800 บาท ที่จะได้ใช้ตลอดทั้งเดือน กลับไม่มีเข้ามา

" เเล้วฉันจะอยู่ยังไงต่อไปล่ะพี่ฑูรย์เดือนนี้?!!..."

เธอหลับตาลงอย่างช้าๆด้วยเรียวเเรงที่จวนเจียนจะสิ้นเสียเต็มประดา ภาพความหลังสมัยที่เธอยังเป็นนางเอกละครเร่คณะอุดมศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ปรากฎชัดเจนขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก ความสวยความสาวเป็นดาวประดับฟ้าที่โด่งดังที่สุดของละครเร่ในยุคนั้น เเน่นอนที่สุด เธอเปรียบเสมือนดอกฟ้านางสวรรค์ ที่เหล่าผู้ชายทั้งยศฐาบันดาศักดิ์ใหญ่คับบ้านคับเมือง หรือจะเป็นเจ้าสัวพ่อค้าวานิช ต่างก็หยิบยื่นไมตรีมาให้ เเต่เธอกลับไม่ใยดี กลับมาให้ความรักความสนใจกับตลกประจำคณะที่ชื่อ ไพฑูรย์ ไก่เเก้ว มันเหมือนกับเเพ้คารมของเขาว่างั้นเถอะ ยอมอยู่กินกับเขาทั้งๆที่รู้ว่าต่อไปในวันข้างหน้า จะมีความลำบากยากเเค้นเเสนเข็ญสักปานใดก็ตาม

อยู่กันจนมีลูกชายคนหนึ่งชื่อสุเทพ อดมื้อกินมื้อตามประสาศิลปินในยุคนั้น โชคดีหน่อยที่ได้มาอยู่กับวงพยงค์ มุกดา ก็เลยได้มีโอกาสได้ร้องเพลงดีๆจากครูพยงค์มากมาย จนได้รับเเผ่นเสียงทองคำพระราชทานก็มี ส่วนสามีก็ยังคงเล่นตลกอยู่ในวงเดียวกัน เเละก็รับจ้างเเต่งเพลงไปด้วย เช่น เพลงตาลต้นเดียว มานพ เเก้วมณี เพลงใต้เงาโศก ไพรวัลย์ ลูกเพชร เพลงน้ำตาผัว สุรพล สมบัติเจริญ เป็นผู้ขับร้อง ก็พออยู่ได้สามชีวิต พ่อ เเม่ ลูก....

เเต่ชีวิตของสามีเธอช่างสั้นนัก ก็ต้องจากไปด้วยวัยยังไม่สมควร ปล่อยให้เธอเเละลูกน้อยต้องต่อสู้ชะตากรรมเเต่เพียงเดียวดาย โชคดีที่ ชินกร ไกรลาศ ศิษย์รุ่นน้องได้ตั้งวงดนตรีขึ้นมาหลังจากครูพยงค์ มุกดา ได้เลิกลายุบวงไป ก็ได้ฝากผีฝากไข้กับวงนี้อยู่นานหลายปีเลยทีเดียว เดินสายร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ จนกระทั่งชินกรยุบวงอีก เเล้วจะไปทางไหนดีล่ะทีนี้? สภาพร่างกายที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด งานร้องเพลงหรือก็ไม่มี ถึงมีก็ไม่อยากจะไปเพราะอายเขา เกรงใจเขา เพราะเราเเก่เเละขี้โรคอย่างนี้กลัวจะทำงานให้เขาได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับได้เกิดมหาอุทกภัยเมื่อปี พ.ศ 2554 จำนวนมวลน้ำมหาศาล ได้พัดพาเอาสมบัติพัสถานที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้างหายวับไปกับกระเเสน้ำอันเชี่ยวกราก สิ้นเนื้อประดาตัวไม่เหลืออะไรอีกเเล้วชีวิตหมดกันเลยทีเดียว

นี่หรือ?...นางเอกละครเร่คณะอุดมศิลป์ ที่ผู้ชายทั้งเเผ่นดินต่างก็เฝ้าหมายปอง
นี่หรือ?...เจ้าของรางวัลเเผ่นเสียงทองคำพระราชทานในเพลง ลูกนอกสมรส เเละเพลงผู้ใหญ่ลี ที่โด่งดังไปทั้งประเทศ
นี่หรือ?...ศรีสอางค์ ตรีเนตร!!!......

" พี่ฑูรย์...ฉันไม่ไหวเเล้วพี่........."

เสียงเเหบพร่าสั่นๆของป้าศรี ที่พึมพัมออกมา ก่อนที่ร่างเธอจะร่วงหล่นจากเก้าอี้พลาสติกเก่าๆตัวนั้น...พร้อมทั้งความรู้สึกสุดท้ายของเธอ ได้ล่องลอยออกไปไกลเเสนไกลเท่าใดก็ไม่รู้............

guest

Post : 2018-11-08 11:48:05.0     Forum: ข่าว  >  กบฎสมัยกรุงศรี!!ตายอย่างทรมานสถานเดียว!!

*** ข่าวพลังภูผา..***
กบฎสมัยกรุงศรี!!ตายอย่างทรมานสถานเดียว!!
www.arjanpong.com
#กบฎ #อยุธยา #ประหาร #พลังภูผา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดอีกยุคสมัยหนึ่งของไทยเรา พบว่า มีการตราบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดคือ โทษประหารชีวิตเอาไว้ในพระไอยการกระบถศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก่อนจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่กฎหมายฉบับนี้มิได้มีการแก้ไขในบทลงโทษความผิดขั้นประหารชีวิตและวิธีการประหารชีวิตเลยแม้แต่น้อย คือยังคงลักษณะเดิมไว้แต่ครั้งการตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทุกประการ โดยวิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้

สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม

สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก

สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด

สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด

สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย

สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า

สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย

สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย

สถาน 10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)

สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก

สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)

สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอมแล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า

สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาด**censor**ลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย

สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ

สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่

สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย

สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย

สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย

การประหารชีวิตขนานใหญ่ที่ตะแลงแกงเกิดขึ้นอีกครั้งในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.๒๑๗๒-๙๔) พระอาทิตยวงศ์ซึ่งถูกถอดออกจากราชสมบัติไปแล้ว แต่ยังทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงไว้เพราะเห็นว่าเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม

ต่อมาภายหลังได้คบคิดกับกลุ่มขุนนางที่ยังจงรักภักดีก่อการกบฏขึ้น เมื่อรวบรวมกำลังได้ประมาณ ๒๐๐ คนแล้ว ก็บุกเข้าไปในพระราชวังหลวงจะจับสมเด็จพระเจ้าปราสาททองปลงพระชนม์ ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าปราสาททองมิรู้ทันพระองค์ก็เสด็จหนีลงเรือมาลอยลำอยู่ตรงบริเวณฉนวนน้ำประจำท่าฟากแม่น้ำลพบุรี จากนั้นก็โปรดให้เร่งคุมไพร่พลไปปราบกบฏจนแตกพ่าย พระอาทิตยวงศ์และผู้ก่อการทั้งหมดถูกจับได้ จึงโปรดให้นำไปประหารชีวิตและเสียบหัวประจานที่ตะแลงแกง.........

Credit : Mthai .com

.............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-07 14:25:16.0     Forum: ข่าว  >  บ้าไปแล้ว!! ทหารสยาม ทิ้งปืนถอดเสื้อ วิ่งลงทะเล สู้กับกองเรือญี่ปุ่นทั้งลำ!!

*** ข่าวพลังภูผา..***
บ้าไปแล้ว!! ทหารสยาม ทิ้งปืนถอดเสื้อ
วิ่งลงทะเล สู้กับกองเรือญี่ปุ่นทั้งลำ!!
www.arjanpong.com
ญี่ปุ่นบุกยึดประเทศไทย (8 ธ.ค. 2484) ที่ ประจวบคีรีขันธ์ เเต่ทหารอากาศ กองบิน 5 ไม่ยอมให้ขึ้นฝั่ง เอาชีวิตเข้าเเลกแม้ว่าจะมีกำลังน้อยกว่า

แผนปฏิบัติการรุก เวลา 05.00 น. วันที่ 8 ธ.ค.2484 ทหารญี่ปุ่นใช้เรือท้องแบนหุ้มเกราะลำเลียงพลขึ้นบก...เป้าหมายกองบินน้อยที่ 5 และจังหวัดประจวบฯ มีเรือขนาดใหญ่จอดทอดสมอ อยู่หลังเกาะเหลือม ห่างฝั่่ง 3 กม.

แต่ก่อนเริ่มแผน...มีเหตุการณ์ ทำให้ทหารไทยได้รู้ล่วงหน้า

ก่อนหน้านั้น...เมื่อ 7 ธ.ค. มีวิทยุจากกองบัญชาการทหารอากาศว่า ผู้บังคับบัญชาระดับสูง จะมาตรวจเยี่ยม...เรืออากาศตรี สมศรี สุจริตธรรม ได้รับคำสั่งให้เอาเรือออกหาปลา...เอาไว้เลี้ยงต้อนรับ

เวลา 03.00 น. ทหารหาปลาอยู่ชายฝั่งด้านอ่าวมะนาว เห็นเรือท้องแบน ทหารญี่ปุ่น จึงกลับมารายงาน...เวลา 04.00 น. ทหารญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ได้รุกเข้าปะทะกับฝ่ายไทยถึงตัวเมืองประจวบ

กองบินน้อย 5 สั่งอพยพครอบครัวทหาร...ขึ้นไปอยู่ในจุดปลอดภัยบนเขาล้อมหมวก แล้วเริ่มการสู้...เครื่องบินรบ 3 เครื่องทะยานขึ้นฟ้า ...แต่ก็ถูกญี่ปุ่นยิงทันทีร่วง 3 ลำ

เครื่องบินลำเดียว รอดกระสุนญี่ปุ่นเหินขึ้นฟ้า นักบินตั้งใจจะทิ้งระเบิด 250 ปอนด์ ใส่เรือใหญ่ญี่ปุ่นแต่เนื่องจากฝนตกหนัก ลมพัดแรงจัด...ทัศนวิสัยแย่...นักบินเห็นเกาะวัวตาเหลือก คิดว่าเป็นเรือญี่ปุ่น ก็ทิ้งระเบิดเข้าใส่

เวลา 05.00 น. ผลการรบ...แนวรบด้านนี้...กองกำลังฝ่ายไทย ถูกทำลายเกือบไม่มีเหลือ

เวลา 08.30 น. 8 ธ.ค. แนวรบด้านอ่าวมะนาว ญี่ปุ่นส่งกองกำลังเพิ่ม เรือลำเลียงท้องแบนหุ้มเกราะ 3 ลำมุ่งหน้าเข้าหาด้านซ้ายเขาล้อมหมวก เรืออากาศตรี สมศรี สุจริตธรรม คุมทหาร 10 นาย ยิงทหารญี่ปุ่นในเรือลำแรก...ตายหมด

เรือลำที่ 2 ญี่ปุ่นหันข้างหุ้มเกราะเข้าหาฝั่ง...ทหารไทยยิงไม่ถูก พลทหารแม้น พราหมณ์น้อย ทิ้งปืนถอดเสื้อ วิ่งลงทะเลลอยคอไปดึงท้ายเรือทหาร ให้หันข้างเข้าหาปืน...ทหารไทยยิงญี่ปุ่นตายหมดเป็นลำที่ 2

ขณะเรือจม พลฯแม้น...ลอยคอกลับขึ้นฝั่ง ได้อย่างปลอดภัย

เรือญี่ปุ่นลำที่ 3 มุ่งหน้าเข้ามา เห็นสถานการณ์ตรงหน้า...ก็เบนหัวเรือแล่นหนีออกทะเล

ทหารไทยเอาชนะแนวต้านทานส่วนหน้าได้ ขณะที่แนวต้านทานแตกหักชั้นใน...ก็พร้อมสู้...เวลา 10.00 น. มีคำสั่งจากหน่วยเหนือ ให้เผาทำลายกองร้อยทหาร และหมวดเสนารักษ์ แต่ทหารญี่ปุ่นก็ยังหนุนเนื่อง

การสู้รบดำเนินต่อ เวลา 11.00 น. 9 ธ.ค. สถานการณ์ย่ำแย่ลงทุกที ปืนใหญ่ที่เหลือกระบอกเดียวก็เกิดขัดข้อง...หน่วยเหนือสั่งเผาคลังน้ำมัน ใช้ประโยชน์ทั้งสกัดกั้นข้าศึก และไม่ให้เกิดประโยชน์แก่ข้าศึก

นาทีคับขัน...มีคำสั่งให้ทหารรวมพล...แล้วบอกข่าว หน่วยเหนือส่งทหารเรือมาช่วยแล้ว...ทหารดีใจส่งเสียงไชโยๆ ทหารญี่ปุ่นขวัญเสีย คิดว่าถูกกลลวง สั่งถอยกลับที่ตั้ง

จนกระทั่ง นายตี๋ (ขจัด ขลิบนุกูล) บุรุษไปรษณีย์ ว่ายน้ำข้ามอ่าวประจวบ มาขึ้นเขาล้อมหมวก ส่งข่าวจากรัฐบาลให้ยุติการสู้รบ...เวลา 14.00 น. การสู้รบจึงยุติลง...ทหารญี่ปุ่นกับทหารไทย รวมพลปรับความเข้าใจ และสำรวจความเสียหาย

ทหารญี่ปุ่นตาย 217 คน บาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมาอีกราว 200 คน ทหารไทยตาย 38 คน ตำรวจ 1 ลูกเสือ 1 ครอบครัวทหารอีก 2 รวมฝ่ายไทยตาย 42 คน.......

เป็นวีรกรรมที่คนไทยทั้งชาติไม่มีวันลืม!!

Credit : https://www.thairath.co.th/content/332327

............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-06 12:13:56.0     Forum: ข่าว  >  เมื่อสิ้นบุเรงนอง คน"หงสา" อดอยากถึงกับหันมากินเนื้อกันเอง!!

*** ข่าวพลังภูผา..***
เมื่อสิ้นบุเรงนอง คน"หงสา"
อดอยากถึงกับหันมากินเนื้อกันเอง!!
www.arjanpong.com
#บุเรงนอง #หงสาวดี #พลังภูผา
บุเรงนองกษัตริย์แห่งราชวงศ์ตองอูที่ยิ่งใหญ่ แต่อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของพระองค์มีอายุที่สั้นยิ่งนัก เมื่อนันทบุเรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา พระองค์มิได้มีอำนาจบารมีเทียบเท่า เจ้าบ้านเมืองอื่นที่เคยอ่อนน้อมก็พากันแข็งข้อ ซึ่งพระองค์ก็ทรงปราบปรามอย่างรุนแรง

ดังที่พ่อค้าชาวเวนิช กัสเปโร บัลบี (Gaspero Balbi) ที่อยู่ในหงสาวดีขณะนั้น อ้างว่าพระองค์ได้สั่งประหารประชาชนกว่า 4 พันรายที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนกบฏขอเจ้าเมืองอังวะ ส่วนชะตากรรมของเจ้าแห่งอังวะนั้นบ้างก็ว่าตายหลังพ่ายแพ้ในศึกชนช้างกับนันทะบุเรง แต่บ้างก็อ้างว่าหลบหนีไปอยู่เมืองจีนจนเสียชีวิตที่นั่น

การทำสงครามกับสยามหลายครั้งยังสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างหนัก เนื่องจากกองทัพหงสาต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวงจากการพ่ายแพ้ให้กับกองทัพพระนเรศวรในแทบทุกครั้ง รวมถึงการสูญเสียชีวิตของพระอุปราชแห่งหงสา โอรสของนันทะบุเรงเองด้วย

ความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าให้กับอยุธยา และการแปรพักตร์ของอดีตพันธมิตรของพระองค์ ยิ่งทำให้นันทะบุเรงทรงดำเนินมาตรการกระชับอำนาจมากยิ่งขึ้น มีบันทึกว่าพระองค์ทรงใช้อำนาจกดขี่ชาวมอญอย่างหนัก จนทำให้ชาวมอญหลบหนีมาพึ่งบารมีกษัตริย์แห่งอยุธยาเป็นจำนวนมาก

การตกอยู่ในภาวะสงครามตลอดเวลา ทำให้หงสาวดีตกอยู่ในสภาพที่ยากแค้น ท้องทุ่งที่ทำการเกษตรถูกทำลายจนเกิดภาวะอดอยากถึงขนาดที่คนต้องกินคนกันเอง ซึ่งมีบันทึกของนักบวชคณะเยซูอิตถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า

“…ถึงกับว่าพวกเขาต้องกินกันเอง และภายในตัวเมืองพะโค(หงสาวดี) มีหญิงชายลูกเล็กเด็กแดงอยู่อาศัยเหลือไม่เกินสามหมื่นคน นับเป็นภาพที่น่าเศร้าใจที่ได้เห็นซากปรักหักพังของวัดวาอาราม และปราสาทราชวัง ตามถนนหนทางและท้องไร่ท้องนาเต็มไปด้วยหัวกระโหลกและกระดูกของชาวพะโคผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกฆ่าหรือต้องตายด้วยความอดอยาก…”

ปัจจุบันหงสาวดีเป็นเหมือนกับเมืองในชนบทเล็กๆ พระราชวังอันยิ่งใหญ่เหลือเพียงฐานก่ออิฐเตี้ยๆ ไม่เหลือเค้าโครงความยิ่งใหญ่ในอดีต ทางการพม่าจึงได้จัดสร้างพระราชวังแห่งกษัตริย์บุเรงนองขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยหลักฐานจากจิตรกรรมฝาผนังหรือภาพวาดรวมถึงคำบรรยายในสมุดพับโบราณของพม่า รวมทั้งขนบธรรมเนียมของราชสำนักประกอบเข้าด้วยกัน แต่ก็ยากที่จะจำลองความยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักรของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้........

Credit : https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_3123

...............

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

guest

Post : 2018-11-05 11:30:24.0     Forum: ข่าว  >  "ศพน้องฉันอยู่ไหน??" นางสายทอง บุกเข้าห้องขุนแผน ถามหาที่ฝังศพนางวันทอง!!

*** ข่าวพลังภูผา..***
"ศพน้องฉันอยู่ไหน??" นางสายทอง 
บุกเข้าห้องขุนแผน ถามหาที่ฝังศพนางวันทอง!!
www.arjanpong.com
#วัดตะไกร #วันทอง #อยุธยา #พลังภูผา

จากหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๓ ตอนว่าด้วยแผนที่กรุงศรีอยุธยา ฉบับพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระยาโบราณราชธานินทร์ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ หน้า ๑๖๖ - ๑๖๗ ได้กล่าวถึงตลาดบกนอกกรุงว่า

ที่หน้าวัดตะไกรเป็นตลาดลงท่าน้ำที่หน้าวัดพระเมรุแห่งหนึ่ง ในจำนวนตลาดนอกกรุงซึ่งมีอยู่ถึง ๒๓ แห่ง ประกอบกับหลักฐานทางด้านวรรณคดีเรื่อง “เสภาขุนช้างขุนแผน” สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ได้ทรงสันนิษฐานโดยอาศัยพงศาวดารและคำให้การชาวกรุงเก่าไว้ว่า มีเค้ามาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ คือ ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๔ ถึง พ.ศ. ๒๐๗๒ ได้กล่าวถึงความสำคัญของวัดตะไกรไว้ดังนี้

“ครานั้นสายทองผู้เป็นพี่ ครั้นฟื้นสมประดีขึ้นมาได้
คิดถึงน้องน้อยละห้อยใจ น้ำตาไหลหลั่งละลุมลง
จึงอำลาศรีประจันแล้วครรไล ลงเรือร่ำไห้อาลัยหลง
มาถึงกรุงไกรด้วยใจจง ตรงไปบ้านขุนแผนผู้แว่นไว
ครั้นถึงเข้าไปที่ในห้อง ถามว่าศพวันทองน้องอยู่ไหน
ขุนแผนบอกว่าฝังวัดตะไกร แล้วให้คนนำไปโดยฉับพลัน”

เรื่องราวในบทเสภานี้ได้กล่าวอ้างถึงวัดตะไกรว่า เป็นที่ฝังและทำฌาปนกิจศพของนางวันทอง ผู้ต้องคำพิพากษาถึงประหารชีวิต แล้วนำศพไปฝังยังวัดตะไกร ดังจะเห็นได้จากบทเสภาดังกล่าวอีกตอนหนึ่งที่ว่า

“ครั้นถึงจึงแวะวัดตะไกร จอดเรือเข้าไว้ที่ตีนท่า”

อันเป็นตอนที่ขุนช้างได้ทราบข่าวว่า ได้จัดทำศพนางวันทองที่วัดตระไกร จึงได้เตรียมผ้าไตรและเครื่องไทยทานไปร่วมบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่นางวันทอง

เรื่องพระพันวษา ขุนแผน วัดตะไกร เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและมีจริง ขุนแผนได้เป็นแม่ทัพไปทำศึกกับเชียงใหม่และได้ชัยชนะจึงมีชื่อเสียงและเป็นคนสำคัญ เรื่องการทำศึกกับหัวเมืองเชียงใหม่ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พระพันวษา) นี้พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ได้บันทึกไว้ว่า

“ศักราช ๘๗๗ กุนศก (พ.ศ ๒๐๕๘) วัน ๓ ๑๕ ๑๑ ค่ำ เพลารุ่งแล้ว ๘ ชั้น ๓ ฤกษ์ ๙ ฤกษ์ สมเด็จพระรามาธิบดีเสด็จยกทัพหลวงไปตีได้เมืองน (คร) ฯ ลำ (ภารได้) เมือง” หลังจากที่สมเด็จพระรามาธิบดีเสด็จยกทัพหลวงไปตีได้เมืองลำปางแล้วพวกเชียงใหม่ก็ไม่ลงมาทำอะไรวุ่นวายอีก

ทีนี้กล่าวถึงเรื่องการประหารชีวิตนางวันทองบ้างว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ข้อนี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงสันนิษฐานไว้ว่า นางวันทองต้องโทษประหารก่อน ส่วนขุนแผนนั้นต้องโทษจำคุกในฐานที่ฆ่าข้าหลวง ต่อมาเกิดศึกเชียงใหม่ จมื่นศรีฯ พยายามทูลยกย่องขุนแผน ขุนแผนจึงพ้นโทษด้วยจะให้ไปทำศึก ในระยะเวลาที่พูดถึงนี้ ซึ่งวัดตะไกรมีอยู่แล้ว จึงน่าสันนิษฐานว่าวัดตะไกรนี้ต้องสร้างก่อนปี ๒๐๕๘ อันเป็นปีที่เสร็จศึกเชียงใหม่

Credit : http://www.qrcode.finearts.go.th/…/ayutthaya02-005/item/307…

 

 

 

guest

Post : 2018-11-03 10:11:17.0     Forum: ข่าว  >  พระป่าผู้ลึกลับ!!

*** ข่าวพลังภูผา..***
พระป่าผู้ลึกลับ!!
www.arjanpong.com
#พระป่า #ธุดงค์ #พลังภูผา
"พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้ยินได้ฟังมาจาก หลวงตารูปหนึ่ง ณ.ที่วัดที่อำเภอ ศรีราชา ขณะนี้ท่านเองยังมีชีวิตอยู่เป็นภิกษุผู้มีวัยเกือบ ๘๐ ท่านเป็นภิกษุผู้เคร่งในศีลน่าเคารพมาก การสวดมนต์ท่านสามารถท่องบทสวดหนังสือมนต์พิธีได้ทั้งเล่มรวมถึงบทปาฎิโมกข์ด้วย

เรื่องมีอยู่ว่า ท่านเป็นผู้ที่บวชเมื่ออายุมาก ตอนพรรษาต้นๆ ปี ๒๕๓๒ ท่านได้เดินทางไปที่ถำ้ผาจม จ.เชียงรายและได้พบกับคณะพระธุดงธ์คณะหนึ่งกำลังหาพระภิกษุร่วมเดินทางไปประเทศอินเดียให้ครบเก้ารูปเพื่อสักการะสังเวชสถานทั้งสี่ตำบล ท่านจึงตอบตกลงร่วมคณะเดินทางไป วิธีการเดินทาง คือ การเดินเท้าข้ามประเทศพม่าและต้องหลบหลีกเจ้าหน้าที่ของพม่าด้วยเนื่องจากเวลาขณะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังไม่ราบรื่นนัก เอกสารหลักฐานคือใบสุทธิเพียงอย่างเดียว

ปัจจัยเงินทองทั้งหมดไม่รับ ทั้งหมดต่างปวารณาถือธุดงธ์ควัตรเอาชีวิตเป็นเดิมพัน การเดินทางจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่าไม่เคยได้กินอิ่ม อดข้าวเป็นเรื่องปกติ 2วันบ้าง 4วันบ้าง แต่กระนั้นทุกรูปยังคงความสามัคคี ไม่มีใครท้อทอยหรือแสดงความเห็นแก่ตัวตามวิสัยปุถุชนออกมา

จนกระทั่งถึงขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ ทุกรูปเดินเท้าอย่างหมดแรง กลางป่าลึก หาบ้านคนไม่ได้ ต่างคิดว่าตายแน่ ๆ เอาชีวิตมาทิ้งแล้วหนอ

พลันสายตาทุกรูป เห็น บุรุษผู้หนึ่งรูปร่างผอม นุ่งผ้าสีย้อมฝาดขมุกขมอมผืนเดียว ผมยาวประมาณ ๑ ฝ่ามือ ที่ไหล่สะพายข้องจับปลา ที่มือถือไม้แหลม กำลังก้มหน้าก้มตาเอาไม้แหลมแทงลงในซอกหิน เหมือนคนกำลังหาปลา ทุกครั้งที่เสียบลงไปจะมีปลาดิ้น ติดมาที่ไม้แหลมทุกครั้ง

พระทุกรูปเห็นแล้วก็คิดในใจว่า..."พระหรือคนบ้าหนอ"

แค่คิดในใจ ท่านก็ตะโกนออกมาว่า... "ก็พระซีว่ะ"

แล้วพระทุกรูปคิดต่อในใจว่า..."ทำไมเป็นพระแล้วแต่งกายแบบนี้?"

ท่านก็ตะโกนสวนออกมาว่า... "แล้วการเป็นพระ...มันอยู่ที่หัว..เหรอ?" มันอยู่ที่...จีวรเครื่องนุ่ง...เหรอ?"

หลวงตาก็เลยพูดขึ้นว่า..."แล้วเป็นพระทำไมฆ่าสัตว์ต้ดชีวิตล่ะ?"

ท่านก็เดินเข้ามา...แล้วทำท่าเหมือนโกรธ ขว้างข้องจับปลาลงกับพื้น แล้วบอก "กูไม่ทำก็ได้ว่ะ"

ปรากฏว่า...ในข้องกลายเป็นรากไม้ทั้งหมด แล้วท่านก็พูดต่อ..."กะว่ามากันเหนื่อย ๆ จะต้มยาให้กินเสียหน่อย"

พระภิกษุทุกรูป จึงก้มกราบ ขอขมากรรม ณ ที่ตรงนั้น

ท่านจึงพาทุกคนไปในถำ้ที่พักของท่าน ตอนไปนี่แปลก ทุกคนเหมือนไม่ได้เดิน หรือออกแรงกันเลย พอถึงที่พัก ท่านนำอาหารมาให้ทานก็แปลกอีก...

อาหารแม้เพียงน้อยแต่ทุกคนกลับอิ่มพอดี กำลังวังชากลับเป็นปกติอย่างเหลือเชื่อ โรคที่หลวงตาเป็นก็เหมือนจะหายไปเลย แล้วท่านก็ออกมาสนทนาธรรมกับทุกคน

ท่านบอกว่า..."ดีนะที่เจอท่าน มิฉะนั้นต้องมีคนตาย อย่างแน่นอน"

พระภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า..."ถ้ารอดไปได้จะกลับมากราบท่านอีก"

ท่านกล่าวว่า..."ทุกท่านจะเจอกับผมครั้งนี้ จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย" แล้วก็ทำนายทายทักทุกคน ซึ่งก็เป็นไปตามคำทำนายทุกประการ

ครั้นพอถึงรุ่งเช้า ท่านก็บอกว่า..."ให้เดินทางไปตามเส้นทางนี้นะ แล้วจะรอด"

ทุกรูปก็เดินไปตามที่ท่านบอก ก็พบทางรอดจริง ๆ คือ ไปเจอกับทหารพม่า แล้วก็ถูกควบคุมต้วส่งกลับชายแดนไทยทั้งหมด ช่วงถึงชายแดนนั้น ทุกรูปพึ่งคิดได้คือ...

พวกท่านอยู่ใจกลางป่าลึกของประเทศพม่า ค่อนข้างไปทาง บังคลาเทศ แล้วทำไมภิกษุรูปนั้นถึงพูดภาษากลางชัดเจนขนาดนั้น?

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง บุคคลที่เกี่ยวข้องยังมีชีวตอยู่ ผู้พูดเป็นภิกษุผู้มีศีลอันงดงาม แต่ขอปิดชื่อ ที่อยู่ไว้ ไม่อยากให้ใครไปรบกวนสมณะธรรมของท่าน.....

Credit : Dhammavijjā (ธัมมวิชชา ภิกษุณี) ที่ 10:16

...................

รายการ : #ข่าวพลังภูผา
Radio online : www.arjanpong.com
FM 89.75 MHz. #พระนครศรีอยุธยา 
Time : 06.00-08.00 น./17.00-19.00 น ทุกวัน 
โทร/line : 0898129392
Email : arjanpong123

처음 이전 ... 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>