Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2013-07-21 18:51:20.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  นาทีชีวิต โดนจระเข้งับหัว!!..

 

 

                     

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คลิปวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการแสดงโชว์จระเข้ที่ฟาร์มจระเข้ชื่อดังใน จ.สมุทรปราการ กำลังเป็นที่พูดถึงกันในโลกอินเตอร์เน็ต เมื่อมีผู้ถ่ายคลิปเหตุการณ์จระเข้งับศีรษะของนักแสดงโพสต์ขึ้นเว็บไซต์ยูทูบ ระบุชื่อเรื่อง "ระทึก! จระเข้งับหัวนักแสดง”

 

ทั้งนี้ ภาพเหตุการณ์ภายในคลิปมีความยาวไม่ถึง 1 นาที ตามรายงานระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่นักแสดงชายกำลังแสดงโชว์หวาดเสียว ยื่นศีรษะเข้าไปในปากจระเข้ตัวหนึ่งต่อหน้าผู้เข้าชมการแสดงจำนวนมาก แต่ จู่ๆ จระเข้ได้งับศีรษะของนักแสดงก่อนจะเหวี่ยงไปมาอย่างแรง ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ตกใจกับภาพสุดหวาดเสียวจะจะคาตา ก่อนที่จระเข้จะอ้าปากปล่อยศีรษะของนักแสดงคนดังกล่าวออกมาและคลานลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ส่วนนักแสดงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและลำคอ ได้เดินออกไปจากลานจัดแสดงทันที

 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังคลิปนี้เผยแพร่ออกไปทำให้นักท่องโลกอินเทอร์เน็ตเข้ามาชมและแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เชื่อว่าน่าจะเป็นเหตุความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการแสดงโชว์แต่อย่างใด

 

ต่อมา ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อทางโทรศัพท์ไปยังนายอุเทน ยังประภากร เจ้าของฟาร์มจระเข้ที่ผู้โพสต์อ้างว่าคือสถานที่เกิดเหตุ ได้ยอมรับว่า เกิดเหตุขึ้นจริง ทางฟาร์มได้ส่งตัวครูฝึกจระเข้ไปรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ แต่อาการไม่สาหัสแพทย์จึงทำแผลและให้กลับบ้าน ส่วนสาเหตุมาจากครูฝึกมือลื่นทำให้หัวทิ่มเข้าไปในปากและโดนลิ้น จระเข้จึงงับโดยอัตโนมัติ

 

ด้านพ.ต.อ.พัลลภ แอร่มหล้า ผกก.สภ.เมือง จ.สมุทรปราการ เปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบไปพนักงานสอบสวนแล้ว และขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายหรือผู้ใดเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในคลิป ซึ่งตำรวจจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

 

 

 

***************************

 

 

 

 

                                              ลักยิ้ม...

 

จาก นสพ.ข่าวสด

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ลักยิ้มเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำยังไงถึงจะมี ศัลยกรรมทำได้ไหมคะ



จาก ยิ้มไม่สวย



ตอบ ยิ้มฯ



เกี่ยวกับลักยิ้ม รศ.นพ.ศิรชัย จินดารักษ์ อาจารย์สาขาศัลยศาสตร์ตกแต่ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีข้อเขียนอธิบายไว้ว่า ลักยิ้มแก้มคือรอยบุ๋มที่เกิดขึ้นให้เห็นเมื่อยิ้ม เป็นลักษณะเฉพาะที่สืบทอดทางพันธุกรรม ส่วนใหญ่แล้วลักยิ้มจะมีทั้งสองข้าง แต่บางคนก็มีข้างเดียว



ในบางครั้งใบหน้าที่สวยงดงามแลดูน่าประทับตาประทับใจก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากองค์ประกอบของใบหน้าที่มีตาสวย จมูกโด่งเรียว ริมฝีปากงดงามเสมอไป แต่ความสมดุลของใบหน้าอาจเกิดขึ้นจากองค์ประกอบในแต่ละส่วนที่เข้ากันได้ดี มีความสดชื่นแจ่มใส ประดับด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน ก็ย่อมที่จะส่งเสริมให้ใบหน้าแลดูมีเสน่ห์ขึ้น



และหากเป็นรอยยิ้มที่มีรอยบุ๋มเล็กๆ บริเวณแก้มเพียงข้างเดียวหรือสองข้างก็ตาม ก็ยิ่งจะเพิ่มความสดใสมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จะเห็นได้ว่าลักยิ้มก็มีส่วนที่จะทำให้ใบหน้าแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์ประกอบที่เล็กน้อยมากสำหรับใบหน้า

 


 


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าธรรมชาติก็ไม่ได้เป็นใจเสมอไปที่จะ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างสมดุลสวยงามตามต้องการ และหากผู้ที่ต้องการจะมีลักยิ้มด้วยเหตุผลใดก็ตามคงจะไม่สามารถแสวงหาวิธีเสริมแต่งให้ดูเป็นลักยิ้มตามธรรมชาติได้ เนื่องจากลักยิ้มตามธรรมชาตินั้นในขณะที่ไม่ยิ้มแย้มอาจมองเห็นผิวหนังบริเวณแก้มราบเรียบเหมือนกับคนไม่มีลักยิ้ม หรืออย่างมากก็มองเห็นมีรอยบุ๋มเพียงเล็กน้อย แต่ในขณะที่ยิ้มจะเห็นรอยบุ๋มเกิดขึ้นอย่างชัดเจน



 

 

ดังนั้น ผู้ที่ต้องการจะมีลักยิ้มจึงไปหาทางออกด้วยการทำศัลยกรรมตกแต่งลักยิ้ม และต้องการลักยิ้มที่ดูเป็นธรรมชาติด้วย การทำศัลยกรรมตกแต่งลักยิ้มจะต้องอาศัยพื้นฐานความเข้าใจ เกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าอย่างดีว่า



กล้ามเนื้อบริเวณใดทำหน้าที่ในขณะที่ยิ้ม เพราะจะต้องอาศัยกล้ามเนื้อในส่วนนั้นๆ ฉุดรั้งให้ผิวหนังบริเวณแก้มบุ๋มลงไปตามการทำงานของกล้ามเนื้อแต่ละมัด เพราะถ้าหากทำให้ผิวหนังยึดติดกับกล้ามเนื้อผิดตำแหน่งไปอาจไม่ได้ลักยิ้มตามที่ต้องการก็ได้

 

 


ลักยิ้ม 2 ทาง





ศัลยแพทย์ตกแต่งจะพิจารณาถึงตำแหน่งที่จะทำลักยิ้มร่วมกับ ผู้ที่มารับการผ่าตัด โดยจะต้องอธิบายให้ผู้ที่มารับการผ่าตัดเข้าใจถึงผลดี-ผลเสียที่อาจเกิดขึ้น และต้องทำความเข้าใจถึงความต้องการด้านขนาดของลักยิ้มและจำนวนลักยิ้มที่ต้องการ การทำศัลยกรรมตกแต่ง ลักยิ้มเป็นการผ่าตัดเล็กธรรมดา หลังผ่าตัดจึงกลับบ้านได้ทันที



วิธีการศัลยกรรมเสริมลักยิ้มเริ่มจากกำหนดตำแหน่งลักยิ้ม จากนั้นศัลยแพทย์จะทำสัญลักษณ์เล็กๆ ที่กระพุ้งแก้มแล้วฉีดยาชาในบริเวณที่ต้องการทำลักยิ้ม



จากนั้นจึงผ่าตัดจากภายในช่องปาก โดยตัดกล้ามเนื้อออกบางส่วนจากตำแหน่งของเยื่อบุช่องปากจนถึงบริเวณใต้ผิวหนังของตำแหน่งที่จะทำลักยิ้ม เพื่อให้เกิดช่องว่างในการเย็บบริเวณผิวหนังในตำแหน่งที่จะให้เป็นลักยิ้มมาติดกับกล้ามเนื้อด้านล่างเพื่อให้กล้ามเนื้อที่จะใช้ในการยิ้มเกาะติดกับผิวหนัง อันจะทำให้เมื่อมีการยิ้มกล้ามเนื้อก็จะดึงรั้งผิวหนังให้บุ๋มลงไป จึงเกิดเป็นลักยิ้มขึ้น ซึ่งทดสอบได้ทันทีขณะที่ผ่าตัดอยู่



หากไม่ได้ลักยิ้มแบบที่ต้องการก็เปลี่ยนแก้ไขได้ทันที เมื่อได้ ลักยิ้มตามความต้องการแล้วศัลยแพทย์จะเย็บแผลในช่องปากด้วยไหมละลาย โดยแผลจะซ่อนในปาก และมีแผลน้อยมากที่ผิวหน้า รวมการผ่าตัดสร้างลักยิ้มใช้เวลาประมาณ 30 นาที



ศัลยแพทย์จะปิดแผลบริเวณที่ผ่าตัดด้วยผ้าปิดแผลที่จะเอาออกได้ 3 วันหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยต้องพักฟื้น 2-4 วัน ขณะที่อาการบวมเล็กน้อยจะยังคงมีอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังทำในช่วง 1-2 เดือนแรกรอยบุ๋มจะปรากฏให้เห็นตลอดเวลาทั้งยามยิ้มและไม่ยิ้ม หลังจากนั้นรอยบุ๋มจะคลายตัวและเห็นเฉพาะเวลาที่ยิ้ม



แต่สรุปว่า ยิ้มที่สวยที่สุดคือยิ้มที่มาจากใจ ไม่ใช่ศัลยกรรมใดๆ

 

 

 

                     ราคาศัลยกรรม

     

                    

 

ศัลยกรรมหน้าอก ราคา หมายเหตุ
ถุงซิลิโคน 45,900-52,900 1 คืน
ถุงซิลิโคนยี่ห้อ SILLEMMED 57,900 1 คืน
ถุงซิลิโคนยี่ห้อ EURO / ALLERGAN 65,900 1 คืน
ถุงซิลิโคนยี่ห้อ MENTOR 69,000 1 คืน
ถุงซิลิโคนทรงหยดน้ำ 95,000 1 คืน
ยกกระชับ 59,000 1 คืน
ลดขนาดหน้าอก ญ. 69,000 1 คืน
ลดขนาดหน้าอก ช. 55,000 1 คืน
ลดขนาดหัวนม (2 ข้าง) 18,000  
ลดขนาดปานนม (2 ข้าง) 19,000  
แก้ไขหัวนมบอด (ข้างละ) 16,000  
ถอดอก 35,000  
ถอดและเสริมด้วย 15,000  
เลาะฐาน (ทำให้ต่ำลง) 25,000  
เย็บฐาน (ทำให้สูงขึ้น) 25,000  
เลาะผังพืดทำกับเราในประกัน (ข้างละ) 18,000  
เลาะผังพืดทำกับเราเกินประกัน 6 เดือน (ข้างละ) 25,000  
เลาะผังพืดทำจากที่อื่นข้างละ 40,000  
เลาะผังพืด + เสริม ทำจากที่อื่น (ข้างละ) 25,000  
ศัลยกรรมจมูก ราคา หมายเหตุ
ซิลิโคน Japan 7,900  
ซิลิโคน U.S.A 12,900  
ซิลิโคน Korea 21,000  
Cartilage (Ear Bone) 40,000  
ตัดปีกจมูก 7,900  
เหลา HUMP 20,000  
ขูด/ดูดจมูก 15,000  
ถอดซิลิโคนจมูก (ของเรา) 5,500  
ถอดซิลิโคนจมูก (ที่อื่น) 6,500  
ปะจมูก คนไข้ใน 18,000  
ปะจมูก คนไข้ใน เกิน 3 ปี 25,000  
ปะจมูก คนไข้นอก 30,000  
เคยฉีดหรือเสริมมา ค่าแก้(ไม่รวมซิลิโคน) 5,000  
ศัลยกรรมตา ราคา หมายเหตุ
ตา 2 ชั้น 13,900  
ตัดแต่งตาบน 14,900  
ตัดแต่งตาล่าง 14,900  
กล้ามเนื้อตา ข้างละ 15,000  
งานแก้ ทำมาจากที่อื่น (ไม่รวมงานใหม่) 5,000  
ศัลยกรรมใบหน้า ราคา หมายเหตุ
ดึงขมับ 39,000  
ดึงแก้ม 49,000  
ดึงคอ 49,000  
หางตาตก 29,000  
ศัลยกรรมความงามลิมฝีปาก ราคา หมายเหตุ
ปากกระจับ 13,900  
แก้ไขปากแหว่ง    
ศัลยกรรมแก้ม ราคา หมายเหตุ
ยุบ / กรอโหนกแก้ม 59,900  
ลักยิ้ม ข้างละ 7,900  
ตัดแต่งกราม ด้านนอก 43,900  
ศัลยกรรมคาง ราคา หมายเหตุ
ซิลิโคน USA 17,900  
แก้คาง ไม่รวมซิลิโคน 7,000  
ถอดคาง แผลด้านนอก 8,900  
ศัลยกรรมท้อง ราคา หมายเหตุ
ดูดไขมัน (VASER) จุดละ 30,000  
ศัลยกรรมความงาม ราคา หมายเหตุ
FILLER ccละ 15,000  
ศัลยกรรมร่างกาย ราคา หมายเหตุ
ก้นหย่อนยาน 69,000  
ต้นขาหย่อนยาน 59,000  
ศัลยกรรมความงามของอวัยวะเพศ ราคา หมายเหตุ
เลเบีย 8,900  
แปลงเพศ

 

 

 

**************************************

 

 

 

 

 

 

 

เคล็ดลับที่หลายคนไม่รู้ เกี่ยวกับการชาร์จไฟและถนอมแบต

"มือถือ/แท๊บเลท" อย่างถูกวิธี

 





ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับแบตเตอรี่ในมือถือและแท๊บเลทกันก่อน โดยแบตเตอรี่ในมือถือและแท๊บเลทส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นจะเป็นแบบ Li-ion และ Li-Polymer ทั้งสองแบบมีลักษณะการทำงานในลักษณะ "นับรอบการชาร์จ(Cycle)" แต่ไม่ได้นับเป็นจำนวนครั้ง โดยแรงดันในการชาร์จจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับก็คือ 1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ มากกว่า 65-70% , 2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35-60% และ 3C หมายถึงการชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30% (เดี๋ยวค่อยไปดูกันว่าควรชาร์จช่วงไหน)



ไม่เหมือนกับแบตในสมัยก่อนจำพวก Ni-Cad ที่จะนับเป็นจำนวนครั้งในการชาร์จเลย ดังที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆว่า "ซื้อไปแล้วต้องชาร์จทิ้งไว้ 12-14 ชั่วโมง พอเต็มแล้วก็ใช้ให้หมดเกลี้ยงด้วย" เนื่องด้วยความที่มันนับเป็นจำนวนครั้ง ดังนั้นยิ่งชาร์จบ่อยๆ Cycle มันก็จะเยอะ แบตก็จะเสื่อมเร็วตามมา เอาให้เข้าใจคร่าวๆกันประมาณนี้ คงไม่เจาะลึกลงไปถึงชั้นวัตถุดิบในการทำ



**แต่ไม่ว่าจะเป็นแบตชนิดใดในโลก ถึงแม้จะปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งานประมาณ 3-5 ปี ก็ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (ตามคุณภาพแบต) อันเนื่องมาจากแบตมันปล่อยประจุตัวเองออกจนหมด และสารเคมีในแบตเสื่อมประสิทธิภาพ แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีมันก็จะยิ่งเสื่อมเร็วขึ้นไปอีกนั่นเอง ^^





วิธีที่จะทำให้แบตไม่เสื่อมเร็ว



เมื่อพวกเราได้รู้จักกับแบตเตอรี่ชนิดต่างๆกันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันว่าเราจะถนอมแบตและชาร์จแบตอย่างไรให้อย่างไรให้ถูกวิธีกันดีกว่า(จะบอกเฉพาะแบตเตอรี่ชนิด Li-ion และ Li-Polymer เท่านั้น เพราะเป็นแบตที่ใช้กันอยู่ในมือถือและแท๊บเลทในปัจจุบันอยู่แล้ว)



## ปรับปรุงบทความในข้อ 4 ที่เขียนไม่ชัดเจนในตอนแรกว่าแบตสมัยนี้ไม่ตัดไฟ



1.ควรชาร์จไฟก็ต่อเมื่อระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 65-70%(1C) จะดีที่สุด แต่การใช้งานจริงคงจะได้ระดับ 35-60%(2C) ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ ซึ่งจากผลการทดสอบจากต่างประเทศได้ระบุว่า หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ 3C จะสามารถชาร์จได้ประมาณ 300 รอบ(Cycle) แต่หากเราชาร์จที่ระดับ 1C และ 2C จะสามารถชาร์จได้มากกว่า 400-500 รอบ (Cycle) "ดังนั้นไม่ควรชาร์จในขณะที่แบตต่ำกว่า 30% นั่นเอง เพราะมันจะเสื่อมเร็ว"



2.จะชาร์จเมื่อไรก็ชาร์จไป (ตามข้อที่ 1) แต่ห้ามใช้แบตจนหมดเกลี้ยงในระดับเปิดเครื่องไม่ติด (แบตเหลือ 0%) โดยเด็ดขาดเพราะแบตมันจะพังไวมาก!!



3.ถ้าหากไม่ได้ใช้มือถือเป็นเวลานาน และแบตเตอรี่สามารถถอดออกมาได้ ควรถอดแบตเตอรี่เก็บไว้ในขณะที่มีประจุประมาณ 40% และควรที่จะเก็บเอาไว้ในที่เย็น และไม่มีความชื้นครับ โดยค่า 40% นั้นเป็นตัวเลขที่มาจากห้องทดลองเลยทีเดียว



4.มือถือและแท๊บเลทในปัจจุบันนั้น มีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จแบตจนเต็ม 100% และมันจะต่อไฟตรงเหมือนกับที่เราเห็นมันขึ้นเป็นรูปสายไฟแทนฟ้าผ่านั่นแหละ แต่ถ้าหากแบตมันลดลงเพียง 1% มันก็จะชาร์จใหม่ ดังจะเห็นว่าไม่ว่าเราจะเล่นเกมส์หนักหน่วงขนาดไหนในขณะที่ชาร์จมันก็จะเต็มตลอด (ไม่เหมือนโน๊ตบุ๊คที่จะตัดไฟเมื่อแบตเต็ม และชาร์จใหม่เมื่อแบตลดลงเหลือ 90%) ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียรอบการชาร์จไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อเราชาร์จเสร็จก็ควรถอดปลั๊กเพื่อนำมาใช้งาน และเมื่อถึงระดับ 35-70% ค่อยนำกลับไปชาร์จใหม่จะดีที่สุด



5.ควรใช้ที่ชาร์จที่มีคุณภาพ และหลีกเลี่ยงที่ชาร์จปลอมเพราะอาจจะทำให้จ่ายไฟไม่นิ่งได้ และสิ่งที่หลายคนนั้นมองข้ามไปนั่นก็คือ สายไฟที่เราใช้ชาร์จนั่นเอง ก็ควรที่จะเป็นสายที่มีคุณภาพในการนำไฟฟ้าได้ดีในระดับหนึ่งเหมือนกัน (เช่นสาย micro-USB ของ Nokia ที่ทั้งถึก ทน และไม่เคยมีปัญหาการใช้งานเลย)



6.หลีกเลี่ยงการทำแบตเตอรี่ตกพื้น เพราะอาจจะทำให้สารเคมีในแบตรั่วไหล หรือขั้วแบตอาจจะหลุดออกมาก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลให้จ่ายไฟไม่นิ่ง และการใช้งานกับตัวเครื่องมือถือหรือแท๊บเลทมีปัญหาได้



7.เวลาชาร์จควรเสียบที่ชาร์จกับปลั๊กไฟก่อน แล้วค่อยเอาหัวชาร์จมาเสียบกับมือถือ/แท๊บเลทอีกทีเพื่อป้องกันไฟกระชาก



แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปซีเรียสมาก อุปกรณ์เหล่านี้มันเกิดมาเพื่อให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น ไม่ใช่มาเป็นภาระของเรา ส่วนตัวแล้วถ้าไม่ลืมก็พยายามทำ แต่ถ้าลืมก็ปล่อยมันไปเถอะ ไม่ต้องซีเรียส ยังไงวันนึงมันก็จากเราไปอยู่ดี เพียงแค่ถ้ารู้วิธีหน่อยมันก็จะอยู่กับเรานานขึ้นเท่านั้นเอง ^^



บทความนี้สามารถเอาไปใช้กับอะไรได้บ้างนอกจากมือถือและแท๊บเลท



สามารถเอาไปใช้ได้กับอุปกรณ์ที่ต้องใช้แบตเตอรี่ชนิด Li-ion และ Li-Polymer เช่น โน๊ตบุ๊คทั้งหลาย , GPS บางรุ่น , กล้องถ่ายรูปบางรุ่น , เครื่องเล่นเกมส์พกพาอย่าง Sony PSP , Sony PS Vita , Nintendo NDS , Nintendo 3DS



ที่มา..http://www.tukkaeit.com/

 

 

 

**********************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาคนนี้  คนที่ยอมรับความจริงอย่างลูกผู้ชาย  

คนที่มองความเป็นไปของบ้านเมืองด้วยใจเป็นธรรมมากที่สุดในพรรคการเมืองเก่าแก่ที่มีชื่อว่า

ประชาธิปัตย์

เป็นคนที่ออกมาประกาศปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นจากวังวนน้ำคลำของน้ำลายนักการเมืองที่...ดีแต่พูด

แต่ความเป็นนักการเมืองสุภาพบุรุษที่มีเหตุผลและจริงใจของเขา  มักโดนเตะตัดขาจากคนเก่าคนแก่ในพรรคเสมอๆ

มาถึงสถานการณ์วันนี้    เขาคงเห็นแล้วว่าหากพรรค ปชป.  ยังขืนเล่นเกมการเมืองแบบโบราณ  ไม่ยอมลดลาวาศอก  ไม่รู้แพ้รู้ชนะ

ประเทศไทยก็รังแต่จะอึมครึมวุ่นวายหาทางสงบสุขได้ยาก

ครั้นจะหวังให้ประเทศไทยปั่นป่วน  วุ่นวาย และนองเลือด   เพื่อให้พรรคถูกอุ้มเข้าสู่อำนาจการเมืองเหมือนที่เคยได้รับหลายครั้งในอดีต
ก็คงยากเสียแล้วในยุคปัจจุบัน  กระทั่งอนาคต

เพราะกระแสประชาชนคนไทยและกระแสโลก...ไม่อำนวยให้อีกแล้วอย่างแน่นอน

ทางเดียวที่จะกำชัยชนะเป็นรัฐบาลได้  คือเปิดหน้าสู้กับพรรคเพื่อไทยแบบ...แฟร์เกม  !!!

และการต่อสู้แบบแฟร์ๆทางการเมืองที่มีโอกาสโค่นพรรคเพื่อไทยได้อย่างใสสะอาดนั้น  ก็ต้องหวนกลับไปนับหนึ่งใหม่

นั่นคือ  ทำให้บ้านเมืองสงบก่อนด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้คนทุกภาคส่วนอย่างเป็นธรรม

คนนี้แหละ....หนึ่งเดียวในพรรค ปชป. ที่ขอคารวะและยกมือไหว้ได้โดยไม่ขัดเขิน  !!
 
 
 
 


  

 

 


********************************
 

guest

Post : 2013-07-16 19:03:19.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ม๊อบขอทาน

 

 

                                      

 

 

 

 

....อะไรกัน? โธ่คุณพี่ มีอีกไหม?

 

กินยังไง? เเกงถ้วยเดียว เคี๊ยวไหวเหรอ?

 

เเถวยาวเหยียด คอยเเต่เช้า เฝ้าจนเบลอ

 

เเอบชะเง้อ เหลือเเค่นี้ มีเเต่ลม

 

 

 

ไหนรับปาก อาหารดี ดนตรีเพราะ

 

ค่าตัวเหมาะ ได้ทุกคน จนสาสม

 

ไม่เอาเเล้ว กลับดีกว่า พากันจม

 

ม๊อบเหลวล่ม ไร้น้ำยา พามาตาย(ถุ๊ยยยย!!..)

 

 

 http://f.ptcdn.info/404/007/000/1374214549-image-o.gif

 

 

 

*******************************

 

 

                           การคว่ำบาตร

 

 

 

การคว่ำบาตรในความหมายทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้หมายความว่าคว่ำบาตรลง แต่หมายถึงการที่พระสงฆ์ลงมติลงโทษหรือตักเตือนชาวพุทธด้วยการไม่รับทานหรือกิจนิมนต์ของอุบาสกอุบาสิกา (ภาพ: พระสงฆ์พม่าชูบาตรที่คว่ำลงเพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ในการประท้วงครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2550)

 

 

 

การคว่ำบาตรของพระสงฆ์ในพระวินัยปิฎกด้วย (บาลี: นิกฺกุชฺชยกมฺม) มีที่มาจากศัพท์ในจุลวรรค พระวินัยปิฎก ที่กล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์สามารถมีมติลงโทษคว่ำบาตรอุบาสกอุบาสิกาได้เพื่อให้มีสติสำนึกผิดในความผิดที่กระทำต่อพระพุทธศาสนา การคว่ำบาตรในทางพระวินัยจึงถือเป็นการตักเตือนด้วยความปรารถนาดี โดยพระสงฆ์สามารถทำการคว่ำบาตรได้เฉพาะกับชาวพุทธเท่านั้นตามข้อกำหนดในพระวินัยปิฎกและตามสภาพที่เป็นจริงในทางปฏิบัติ

ความหมาย

คำว่า คว่ำบาตร นั้น มีที่มาจากการที่พระสงฆ์ลงโทษบุคคลผู้มีปรารถนาร้ายต่อพระรัตนตรัยอย่างร้ายแรง ซึ่งมีความผิดอยู่ 8 ประการ คือ

 

  1. ขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภแก่สงฆ์
  2. ขวนขวายเพื่อมิใช่ประโยชน์แก่สงฆ์
  3. ขวนขวายเพื่อให้พระอยู่ไม่ได้
  4. ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย
  5. ยุยงให้สงฆ์แตกกัน
  6. ตำหนิติเตียนพระพุทธเจ้า
  7. ตำหนิติเตียนพระธรรม
  8. ตำหนิติเตียนพระสงฆ์

 

ฆราวาสผู้ใดมีพฤติกรรมดังกล่าว พระสงฆ์จะประชุมกันแล้วประกาศไม่ให้ภิกษุทั้งหลายคบค้าสมาคมด้วย การคว่ำบาตรในทางพระวินัยไม่ได้หมายถึงการคว่ำบาตรลง แต่หมายถึงการไม่รับบิณฑบาต ไม่รับนิมนต์ ไม่รับเครื่องใช้ อาหารหวานคาวที่บุคคลผู้นั้นนำมาถวาย[3] แต่หากต่อมาคนผู้นั้นสำนึกรู้สึกตน กลับมาประพฤติดี คณะสงฆ์ก็จะประกาศเลิก “คว่ำบาตร” ยอมให้ภิกษุทั้งหลายคบค้าสมาคมรับบิณฑบาต รับนิมนต์ รับเครื่องถวายไทยธรรมได้ เรียกว่า “หงายบาตร” เป็นสำนวนคู่กัน

 

ดังนั้นการคว่ำและหงายบาตรจึงถือเป็นการลงโทษทางจารีตแบบหนึ่ง[4] ที่พระสงฆ์ได้นิยมถือปฏิบัติสืบมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เพื่อประโยชน์ในการตักเตือนและความอยู่โดยปกติสุขระหว่างพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน

 

 

                ประวัติคำว่า บอยคอต

 

 

 

 

เชื่อกันว่าหลายต่อหลายคนคงเคยรู้จักและเคยได้ยินคำว่า บอยคอต กันมาเป็นอย่างดี เนื่องจากคำๆนี้มักจะถูกนำมาใช้กันบ่อยๆตามสื่อประเภทต่าง ๆ โดยคำดังกล่าว นี้มีความหมายถึงการต่อต้านผู้หนึ่งผู้ใดด้วยการไม่ยอมสนทนาหรือประกอบกิจกรรมใด ๆ ร่วมกับผู้นั้น แต่สงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าคำ ๆ นี้มีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด

 

 

                               

(การขับไล่ผู้เช่าออกจากที่ดิน)

 

 

คำว่าบอยคอต (Boycott) ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในช่วงเวลาดังกล่าว บรรดาชาวนาชาวไอริชที่เช่าที่ดินของเจ้าของที่ดินชาวอังกฤษต่างรู้สึกเจ็บแค้นที่ถูกขูดรีดและกดขี่จากเจ้าของที่ดิน พวกเขาจึงรวมตัวกันตั้งกลุ่มต่อต้านในปี ค.ศ. 1880 โดยใช้ชื่อว่าสันนิบาตที่ดิน ซึ่งกลุ่มนี้จะดำเนินการต่อต้านเจ้าของที่ดินผู้ขูดรีดโดยใช้วิธีที่ปราศจากความรุนแรงหรืออหิงสาและหนึ่งในเป้าหมายแรกที่กลุ่มสันนิบาตที่ดินดำเนินการต่อต้านก็คือเจ้าของที่ดินชาวอังกฤษผู้หนึ่งในเมืองมาโย

 

สันนิบาตที่ดินได้เรียกร้องให้เจ้าของที่ดินผู้นี้ลดค่าเช่าลง เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวผลผลิตจากที่ดินได้ตกต่ำลงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทว่าเจ้าของที่ดินคนดังกล่าวกลับตอบโต้ต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มสันนิบาตที่ดินด้วยความแข็งกร้าว โดยเขาได้สั่งให้ตำรวจขับไล่บรรดาผู้เช่าของเขาออกไป

 

เมื่อทราบเรื่องที่เกิดขึ้นบรรดาชาวบ้านที่เป็นสมาชิกของสันนิบาตที่ดินจึงได้ตอบโต้เจ้าของที่ผู้นั้นด้วยการไม่ยอมรับเขาให้อยู่ในสังคมเดียวกับพวกตน โดยไม่มีชาวบ้านคนใดยอมขายของให้เขาหรือครอบครัวของเขา ไม่มีใครยอมรับจ้างเก็บเกี่ยวพืชผลหรือทำงานอื่นใดให้เขา จนทำให้เจ้าของที่ดินคนนั้นและครอบครัวต้องทำงานทั้งหมดเอง นอกจากยังไม่มีใครยอมพูดคุยกับเขา อีกทั้งพวกชาวบ้านยังโห่ร้องขับไล่ทุกครั้งที่เจ้าของที่คนดังกล่าวไปปรากฏตัวในที่สาธารณะ ซึ่งสุดท้ายแล้วการต่อต้านของกลุ่มสันนิบาตที่ดินก็บีบบังคับให้เจ้าของที่ผู้นั้นต้องอพยพออกนอกประเทศอังกฤษไป

 

 

                                   

(ชาร์ล คันนิงแฮม บอยคอต)

 

 

แม้ว่าเจ้าของที่ดินผู้นั้นจะเสียชีวิตไปนานแล้วแต่วิธีการต่อต้านที่สันนิบาตที่ดินกระทำต่อเขายังคงถูกกล่าวถึงและนำมาใช้งานจนถึงทุกวันนี้และชื่อของเจ้าของที่ดินผู้นั้นเองที่ได้กลายมาเป็นชื่อของการต่อต้านด้วยวิธีอหิงสานี้โดยชื่อของชายผู้นั้นก็คือ ชาร์ล คันนิงแฮม บอยคอต ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าบอยคอตนั้น

 

 

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

 

 

***พรุ่งนี้นายกฯปู ลงพื้นที่จ.สระบุรี+อยุธยา ส่วน จ.ต่อไปคือ ประจวบคีรีขันธ์ -ลำปาง -ลำพูน***

 

 

 
 

 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ทำป้ายต้อนรับนายกฯปู พร้อมคณะ ร่วมประชุมรัฐมนตรีสัญจร 18 - 19 กรกฎาคมนี้

 

ภาคเช้าของวันที่ 18 กรกฎาคม จะเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตข้าวบรรจุถุงตราฉัตร ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ อำเภอนครหลวง เพื่อยืนยันว่าข้าวไทยปลอดสารพิษ

     ภาคบ่ายเดินทางไปบางไทรฮอสปิเฮ้าส์ ศูนย์ดูแลคนชราของภาคเอกชน

เสร็จแล้วเดินทางต่อมายังสวนสาธารณะ อนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดี ทุ่งหันตรา พร้อมประชุม กรอ. และประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางในช่วงเย็น ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ


     เช้าวันที่ 19 กรกฎาคม ตักบาตรที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร และร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ เสร็จแล้วเดินทางต่อไปจังหวัดนนทบุรี

 

 

18 ก.ค.56  จ. สระบุรี+ พระนครศรีอยุธยา

 

19 ก.ค. 56   ครม.สัญจร พระนครศรีอยุธยา

 

8-9 ส.ค.56    จ.ประจวบคีรีขันธ์

 

29-30 ส.ค. 56  จ.ลำปาง + จ.ลำพูน 

 

    ภาคเช้าของวันที่ 18 กรกฎาคม จะเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตข้าวบรรจุถุงตราฉัตร ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ อำเภอนครหลวง เพื่อยืนยันว่าข้าวไทยปลอดสารพิษ

     ภาคบ่ายเดินทางไปบางไทรฮอสปิเฮ้าส์ ศูนย์ดูแลคนชราของภาคเอกชน

เสร็จแล้วเดินทางต่อมายังสวนสาธารณะ อนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดี ทุ่งหันตรา พร้อมประชุม กรอ. และประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางในช่วงเย็น ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ


     เช้าวันที่ 19 กรกฎาคม ตักบาตรที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร และร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ เสร็จแล้วเดินทางต่อไปจังหวัดนนทบุรี

 

 

 

 

 

 

 

อิกคนกำลังสร้างชาติ
อิกฝูงตั้งหน้าตั้งตาทำลายชาติ

- ห้ามไม่ให้ป้องกันน้ำท่วม
- ห้ามไม่ให้มีโลจิสติกที่ก้าวหน้า
- ห้ามให้มีความเปนธรรมในบ้านเมือง
- ห้ามแรงงานพื้นฐานของชาติมีความสุข (ชาวนา)
- ส่งเสริมการให้ร้ายสินค้าหลักของประเทศ
- ดิสเครดิทผู้นำประเทศตนเอง
- สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน ( 60% มีสีของตัวเอง เริ่มต้นมาจากสีเหลือง)
ทั้งยึดอำนาจจากประชาชนด้วยอาวุธ สังหารพลเมืองไทย กักขังหน่วงเหนี่ยว

 

 

 ************************

 

 

 

 

 

‘โอ๊ค’ โชว์คลิปย้อนรอย ชาวบ้านแฉ ‘กรณ์’ ขี้ตั๊ว ฝากบอกเลิกโกหกได้แล้ว

 

 

 
 
วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13:45 น.  ข่าวสดออนไลน์

 

 

  เมื่อวันที่ 17 ก.ค. นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แฟนเพจในชื่อ Oak Panthongtae Shinawatra   เกี่ยวกับกรณีคลิปหลุดอีก ข้อความดังนี้


 
 คลิปหลุดอันใหม่สดๆร้อนๆ ทั้งภาพและเสียง เป็นหนึ่งตัวอย่างของคนที่ "ก้าวข้ามทักษิณฯไม่พ้นเสียที" ครับ

 

 ครั้ง ที่แล้วที่คุณพ่อผมอยู่ที่ฮ่องกง ก็ปรากฏว่าบุคคลผู้นี้แหละ ถ่อไปนั่งโซฟาตัวที่สามารถมองไปยังห้องประชุมบนชั้นลอย ที่คุณพ่อผมนั่งประชุมและพูดคุยกับส.ส. ได้อย่างชัดที่สุด นั่งอยู่เป็นชั่วโมงแถมยังส่ง SMS ยืนยันไปยังหัวหน้าพรรคฯของตัวเองว่า ตนกำลังนั่งห่างจากทักษิณ20เมตร ซึ่งปรากฏภาพเป็นหลักฐานว่านั่งจ้องเขม็ง มายังห้องที่คุณพ่อผมนั่งประชุมอยู่ ดังภาพที่ผมเคยโพสต์ให้ดูมาแล้ว

 

 มา คราวนี้เอาอีกแล้วครับ ไม่ได้เจอตัวก็ขอไปถามความเห็นจากชาวบ้านก็ยังดี บุกไปถึงหมู่บ้านเสื้อแดงที่จังหวัดขอนแก่น เสร็จแล้วมาโพสต์ข้อความบนเฟสบุ๊คเสียหล่อเลยครับว่า
"ความจริงของแต่ละ ฝ่ายไม่ตรงกัน และชาวบ้านไม่เคยรับรู้ข้อมูลจากฝั่งปชป.เลย จึงได้พูดคุยอยู่ประมาณ2ชั่วโมง ในบรรยากาศที่เป็นมิตร" สังเกตได้ว่าไม่ได้เขียนพาดพิงถึงคุณพ่อผมเลย แถมปิดท้ายด้วยคำว่า

 

 "เราจากกันด้วยดี แถมผมได้เสื่อมาเป็นที่ระลึกหนึ่งผืน น้องในภาพได้ทอกับมือเขาเองครับ"

 

 แต่ ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นซิครับ แท้จริงแล้วนั่นคือโลกในความฝันของคนที่ โคจร วนเวียน อยู่รอบตัวจนก้าวข้าม"ทักษิณ"ไม่ได้เสียที "เป็นความซวยของคุณกรณ์อีกครั้ง ที่จุดไต้ตำตอดันไปคุยกับกลุ่มญาติๆทีมงานของผมพอดี" อีก2วันต่อมาจึงมีการการสัมภาษณ์ชาวบ้านซ้ำ พร้อมกับการถ่ายVDO บันทึกไว้ สรุปว่าไอ้ที่นำมาโพสต์หล่อๆนั้น Fake ทั้งดุ้นครับ

 

 ลองดูในคลิ ปแล้วจะรู้ว่า "หนังคนละม้วน"เลยครับ ในส่วนที่ชาวบ้านถามกรณ์ ที่มาโพสต์อย่างซาบซึ้งนั้น ชาวบ้านบอกถามไรไปคุณกรณ์แกหนูไม่รู้อย่างเดียว ชาวบ้าน4-5คนรุมถามกรณ์ว่า "ตอนปชป.เป็นรัฐบาล เรียกร้องให้ยุบสภา ทำไมต้องฆ่าคน ก็ตอบผมไม่รู้ อยากเป็นรัฐบาลทำไมไม่เลือกตั้ง ทำไมไปตั้งครม.กันในค่ายทหาร ก็ผมไม่รู้" 55555

 

 ส่วนที่กรณ์ถามชาว บ้านนั้น ในVDO เห็นชัดเจนว่าคำถามส่วนใหญ่ที่ถามชาวบ้านนั้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ทั้งนั้นครับ ถามว่าคิดยังไงกับทักษิณฯ ไปหาทักษิณฯที่กัมพูชา ใครให้เงินไป(ใครจ้างไป) คุณพี่แกก็ตอบว่า ไปด้วยใจ ค่ารถค่าอะไรนี่ก็ออกเอง ไปด้วยใจเพราะรักและสงสารพ่อใหญ่ทักษิณฯที่ไม่ได้รับความยุติธรรม แล้วถามกลับว่าถ้าเป็นคุณกรณ์ต้องพลัดพรากจากครอบครัวบ้างจะคิดยังไง ดังนั้น2ชั่วโมงที่คุณกรณ์มาโพสต์อย่าง"ชื่นชม"นั้น ผมว่ามันน่าจะ "ขื่นขม" มากกว่านะครับ คุณพี่เขาบอกชาวบ้านมีแต่ด่าเขา และยกย่องนายกฯทักษิณฯ ลองฟังดูใน youtube ตามนี้เลยครับ

 

 

 

 

 สุด ท้ายที่กรณ์บอกว่า "เราจากกันด้วยดี แถมผมได้เสื่อมาเป็นที่ระลึกหนึ่งผืน น้องในภาพได้ทอกับมือเขาเองครับ" ใครๆอ่านก็ย่อมคิดว่าจากกันด้วยดี แถมด้วยการมอบเสื่อ ที่น้องเขาอุตส่าห์ทอเองกับมือให้กับคุณกรณ์เป็นที่ระลึก แต่จริงๆไม่ใช่ครับ ในคลิปเจ้าตัวเขาขอฝากไปถึงคุณกรณ์ว่า อย่าพูดโกหกในสิ่งที่ชาวบ้านเขาไม่ได้ทำเลย เขาไม่ได้มอบให้สักหน่อย มาขอซื้อเขาตั้ง 1,000 บาท เขาก็ขายสิ ถ้าอยากให้ประเทศชาติสงบสุข อย่าแปลง(โกหก)เลย ฟังดูแล้วเหมือนเคส "ป้าป๊ง"มั๊ยครับ คนเสื้อแดงที่เคยไปร้องเรียนผู้ว่าฯสุขุมพันธ์ฯ เรื่องขอรถสุขาเคลื่อนที่ แต่กลับถูกรีทัชสีเสื้อเป็นสีเขียว กลายเป็นไปให้กำลังใจกันซะงั้น เฮ้ออ..!! นี่หละหนอ "ประชาธิปัตย์"

 

 มาถึงตอนจบของคลิปนี้ครับ ตบท้ายด้วยคุณพี่อีกท่านหนึ่งฝากบอกว่า "โอ๊ย..!! ขี้ตั๊ว กรณ์นี่ อย่ากลับมาอีกนะ จะชี้หน้าถามให้ 555555"

 

 เคยฟังคำว่า "ขี้ตั๊ว"นี้ แค่จากในเพลงพี่เบิร์ดครับ พึ่งจะฟังของจริงก็ที่ชาวบ้านพูดถึงคุณกรณ์ จาติกวณิช ก็ในครั้งนี้แหละ เลยรู้ว่าขี้ตั๊วนี่เป็นภาษาอิสานแปลว่า "โกหก" ครับ

 

"ขี้ตั๊ว เบเบ๊ ขี้ตั๊ว ตาลาลา
ขี้ห๊ก เบเบ๊ ขี้ห๊ก ตาลาล่า"

 

"ขี้ห๊ก สีฟ้า ขี้ห๊ก ป.ช.ป.
โกห๊ก สีฟ้า โกห๊ก ป.ช.ป." ฮิ้ววววว....!!!


 

 

 

 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ************************************

 

 

 

 

 

                                                ทองเเท้ไม่กลัวไฟ...

 

 

 

                                                

 

 

 

 

 

....ก็อยากลอง สักนิด คิดว่าเสียว

 

ขึ้นเดี๋ยวเดียว ลงวูบวาบ ซาบซ่านหลาย

 

เห็นเขาเล่น หัวเราะร่า ท่าสบาย

 

หมากกระจาย เเน่เเท้ เเหมสะใจ

 

 

 

....จะเอาสิ่ง เหล่านี้ ที่พานพบ

 

ได้ประสบ เทศน์สั่งสอน วอนฟ้าใส

 

ให้ญาติโยม รู้ซึ้ง ก้นบึ้งใน

 

ว่าหัวใจ ของ"คำ" ทำด้วยทอง....

 

 

 

 

*******************************

 

 

 

 

 

 

           5 เคล็ดลับทำใจให้เป็นกลาง!!!

 

 


 

 

เรื่องทำใจให้เป็นกลาง อาจดูเหมือนพูดง่ายแต่ทำยาก เพราะแต่ละคนย่อมมีพื้นฐานที่ต่างกัน มีประสบการณ์การรับรู้ที่ต่างกัน และที่สำคัญ ทุกคนก็ยังอยู่ในกลุ่มผลประโยชน์ ไม่ในสถานการณ์ใดก็สถานการณ์หนึ่ง แต่มิได้หมายความว่าฝึกไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ หากเราควบคุมจิตใจตนเองได้ก็นับได้ว่าชนะไปมากกว่าครึ่ง และนี่คือเคล็ดลับ 5 ประการ ที่จะฝึกทำใจให้เป็นกลาง…

1. อย่ามองตัวเองเป็นศูนย์กลาง
นี่คือเคล็ดลับสำคัญที่สุด เพราะถ้ามองปัญหาต่าง ๆ จากมุมมองฝ่ายเดียว ใจย่อมไม่เป็นกลาง เพราะเราจะไม่มอง ไม่พยายามเข้าใจเงื่อนไขหรือสภาพแวดล้อมที่เป็นข้อจำกัดของผู้อื่น

2. เอาใจเขามาใส่ใจเรา
เพื่อให้เรามองเห็นภาพแบบองค์รวม ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย ความหมายก็คือ ต้องลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นเขา อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเขา มีข้อจำกัดแบบเขา เราจะคิดตัดสินใจเช่นไร

3. มองอย่างเจาะลึกหลายชั้น อย่าเอาอาการมาเป็นสาเหตุ
บ่อยครั้งที่ปัญหาความขัดแย้งไม่อาจแก้ไขได้ เพราะมองตื้นเขินเกินไป เอาอาการมาเป็นสาเหตุ จึงควรมองอย่างเจาะลึกเพื่อค้นหาเหตุที่แท้จริง จะได้แก้ไขตรงจุด ถูกประเด็น

4. มองไปที่อนาคตเพื่อ “อยู่” ไม่ใช่ “แยก”
เพราะการมองเช่นนี้เพื่อให้ทุกฝ่ายยังคงดำรงอยู่ได้ มิใช่แก้ไขเพื่อให้ต้องตายกันไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นการมองทางออกในทัศนคติที่เป็นบวกต่อทุกฝ่าย

5. หาทางออกว่าจะทำอย่างไรให้ “อยู่ร่วมกัน” ต่อไปได้
การมีทัศนคติที่เป็นบวกยังไม่ใช่ขั้นตอนสุดท้าย แต่ต้องหาข้อสรุปในทางเทคนิคหรือวิธีการที่สอดรับกับ “ใจที่เป็นกลาง” ด้วย ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาบ่อยครั้งก็มาพลาดท่าตรงนี้เอง เพราะผู้รับช่วงต่อใจยังไม่เป็นกลางพอ ยังคิดแบ่งพรรคแบ่งพวก เจ้าโกรธเจ้าแค้น…

 

 

 

****************************************
 

 

 

   

 

 

guest

Post : 2013-07-10 20:12:16.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เลี้ยงลูกให้ฉลาด

 

 

 

         30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด

 

 

 

 

30 วิธีง่ายๆ ต่อไปนี้อาจช่วยขยายไอเดียของคุณ ๆ ได้ หากลูกคุณยังไม่ได้ดั่งใจ แต่อย่างใดก็ตามเด็กก็คือเด็ก เป็นผ้าขาวของสังคม เราต้องเข้าใจธรรมชาติของเขา ก่อนที่จะไปเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น วิธีต่างๆ เหล่านี้ผ่านการวิเคราะห์ ทดสอบ ทดลอง และสรุปผลมาแล้วจากนักวิชาการว่าใช้ได้ผลดีมาแล้วทั่วโลก

 

 1.ตามองตา 

เมื่อลูกลืมตาตื่นขึ้น ให้เรามองหน้าสบสายตาหนูน้อยสักครู่ หนูน้อยแรกเกิดจดจำใบหน้าของคนได้เป็นสิ่งแรกเสมอ และใบหน้าของพ่อแม่คือใบหน้าแรกที่ลูกอยากจะจดจำ ซึ่งแต่ละครั้งที่หนูน้อยจ้องมองใบหน้าของเรา สมองก็จะบันทึกความทรงจำไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

 

 2.พูดต่อสิลูก

เวลาพูดกับลูก เว้นช่องว่างในช่วงคำง่าย ๆ ที่ลูกจะสามารถพูดต่อได้ เช่น พยางค์สุดท้ายของคำ หรือคำสุดท้ายของประโยค ในช่วงแรก ๆ ลูกอาจจะเงียบและทำหน้างง แต่ในที่สุดถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ ในประโยคซ้ำ ๆ ลูกจะค่อย ๆ จับจังหวะ จับคำพูดบางคำได้ และเริ่มพูดต่อในช่วงว่างที่พ่อแม่หยุดไว้ให้

 

 3.ฉลาดเพราะนมแม่ 

ให้นมแม่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลการศึกษาในเด็กวัยเรียนพบว่า เด็กที่กินนมแม่ตอนที่เป็นทารกมักจะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ นอกจากนี้การให้นมลูกยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์กับลูกน้อย

 4. ทำตลกใส่ลูก 

แม้กระทั่งเด็กน้อยอายุเพียงแค่ 2 วัน ก็มีความสามารถเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าอย่างง่าย ๆ ของพ่อแม่ได้ ไม่เชื่อลองแลบลิ้นหรือทำหน้าตาตลก ๆ ใส่ ลูกคุณจะทำตามแน่ ๆ

 5.กระจกเงาวิเศษ 

ทารกน้อยเกือบทุกคนชอบส่องกระจก เขาจะสนุกที่ได้เห็นเงาของตัวเองในกระจกโบกมือหรือยิ้มแย้มหัวเราะตอบออกมาทุกครั้ง

 6.จั๊กจี้ จั๊กจี้

การหัวเราะเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้านอารมณ์ขัน การเล่นปูไต่ทำให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการคาดเดาเหตุการณ์ด้วยว่า ถ้าพ่อแม่เล่นอย่างนี้แสดงว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ปูจะไต่จากไหนไปถึงไหนเป็นต้น

 7.สองภาพที่แตกต่าง 

ถือรูปภาพ 2 รูป ที่คล้ายกันให้ลูกมอง โดยวางให้ห่างจากใบหน้าของลูกประมาณ 8-12 นิ้ว เช่น ภาพรูปบ้านที่เหมือนกันทั้งสองรูป แต่อีกรูปหนึ่งมีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ข้างบ้าน แม้ยังเป็นเด็กทารกแต่เขาสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างนี้ได้ เป็นการสร้างความจำที่จะเป็นพื้นฐานในการจดจำตัวอักษรและการอ่านสำหรับลูกต่อไป

 8.ชมวิวด้วยกัน

พาลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้าน และบรรยายสิ่งที่เห็นให้ลูกฟัง เช่น โอ้โหต้นไม้ต้นนี้มีนกเกาะอยู่เต็มเลย ดูสิลูกบนนั้นมีนกด้วย การบรรยายสิ่งแวดล้อมให้ลูกฟังสร้างโอกาสการเรียนรู้คำศัพท์ให้กับลูก

 9.เสียงประหลาด 

ทำเสียงเป็นสัตว์ประหลาด คุ๊กคู ๆ หรือทำเสียงสูง ๆ เลียนแบบเสียงเวลาที่เด็ก ๆ พูด ทารกน้อยจะพยายามปรับการรับฟังเสียงให้เข้ากับเสียงต่าง ๆ จากพ่อแม่

 10.ร้องเพลงแสนหรรษา 

สร้างเสียงและจังหวะส่วนตัวระหว่างเราและลูกน้อยขึ้นมา เช่น เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ก็ร้องเพลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก อาจจะเป็นกลอนสั้น ๆ แล้วใส่เสียงสูงต่ำแบบการร้องเพลงเข้าไป หรืออีกทางคือเปิดเพลงชนิดต่าง ๆ ให้ลูกฟังบ้าง เช่น บางวันอาจจะเป็นลูกทุ่ง บางวันเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงป๊อปยอดฮิตทั่วไป มีนักวิจัยค้นพบว่า จังหวะดนตรีเกี่ยวพันกับการเรียนรู้คณิศาสตร์ของลูก

11.มีค่ามากกว่าแค่อาบน้ำ

เวลาในการอาบน้ำสอวนให้ลูกรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำ การบรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่ากำลังทำอะไรและจะทำอะไรต่อไปเท่ากับเป็นการสอนคำศัพท์ และช่วยให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันไปในตัว

 12.อุทิศตัวเป็นของเล่น 

ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเล่นราคาแพงไว้ให้ลูกบริหารร่างกาย เพียงแค่คุณพ่อหรือคุณแม่นอนราบลงไปบนพื้น และปล่อยให้หนูพยายามคลานข้ามตัวไป แค่นี้ร่างกายของคุณพ่อคุณแม่ก็จะกลายเป็นสนามเด็กเล่นที่ราคาถูกที่สุด และสนุกที่สุดสำหรับหนูน้อยได้พัฒนากล้ามเนื้อให้ทำงานสัมพันธ์ และเรียนรู้เรื่องการแก้ปัญหาไปพร้อมกัน

 13.พาลูกไปช็อปปิ้ง 

นาน ๆ ครั้งพาลูกน้อยไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตด้วยก็ไม่เสียหาย ใบหน้าผู้คนอันหลากหลาย รวมถึงแสง สี เสียง ในห้างสรรพสินค้า คือ สิ่งบันเทิงใจสำหรับหนูน้อยเชียวล่ะ

 14.ให้ลูกมีส่วนร่วม 

พยายามให้ลูกได้มีส่วนร่วมในกิจวัตรต่าง ๆ เช่น ถ้ากำลังจะปิดไฟก็อาจจะบอกลูกว่า แม่กำลังจะปิดแล้วนะ เสร็จแล้วจึงกดปิดสวิชต์ไฟ นี่จะเป็นการสอนให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุและผล ลูกน้อยจะเรียนรู้ว่าเมื่อคุณแม่กดสวิชต์ หลอดไฟจะปิดเป็นต้น

 15.เสียงและสัมผัสจากลมหายใจ

ช่วยให้ลูกน้อยกระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยการเป่าลมเบา ๆ ไปตาม ใบหน้า มือ แขน หรือท้องของลูก หาจังหวะในการเป่าของตัวเอง เช่น เป่าเร็ว ๆ สลับกับช้า หรือเป่าแล้วตามด้วยเสียงต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของคุณพ่อคุณแม่ แล้วรอดูปฏิกริยาตอบสนองจากลูก

 16.ทิชชู่หรรษา 

ถ้าลูกชอบดึงกระดาษทิชชู่ออกจากม้วน ปล่อยเขาค่ะ อย่าห้าม แต่อาจใช้กระดาษทิชชู่ม้วนที่เราใช้ไปพอสมควรแล้ว จนเหลือกระดาษอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะการที่เด็กน้อยได้ขยำหรือขยี้กระดาษให้ยับย่น หรือพับให้เรียบนั้นเป็นการฝึกประสาทสัมผัสและการใช้มือของลูกเป็นอย่างดี

 17.อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

การอ่านหนังสือช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องภาษาได้จริง ๆ มีผลการวิจัยออกมาว่า แม้กระทั่งเด็กอายุ 8 เดือน สามารถเรียนรู้จดจำการเรียงลำดับคำในประโยคที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังซ้ำ 2-3 ครั้งได้ ดังนั้น ควรจัดเวลาในแต่ละวันอ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ

 18.เล่นซ่อนหาจ๊ะเอ๋ 

การเล่นจ๊ะเอ๋นี้นอกจากจะทำให้ลูกหัวเราะแล้ว ยังช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่าเมื่อสิ่งของหายไปแล้วสามารถกลับคืนมาได้อีก

 19.สัมผัสที่แตกต่าง 

หาสิ่งของที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ไม้ หรือผ้าฝ้าย ค่อย ๆ นำพื้นผิวแต่ละอย่างไปสัมผัสแก้ม เท้า หรือท้องลูกเบา ๆ ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็บรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่าความรู้สึกเมื่อถูกสัมผัสเป็นอย่างไร เช่น นี่จั๊กจี้นะลูก ส่วนอันนี้นุ๊ม นุ่ม ใช่ไหม เป็นต้น

 20.ให้ลูกผ่อนคลายและอยู่กับตัวเองบ้าง

ให้เวลาประมาณ 5-10 นาที ในแต่ละวัน นั่งเงียบ ๆ สบาย ๆ กับลูกน้อยบนพื้นบ้าน ไม่ต้องเปิดเพลง เปิดไฟ หรือเล่นอะไรกัน ปล่อยให้ลูกได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ตามใจชอบ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องไปยุ่งกับลูกเลยและรอดูว่าใช้เวลาสักเท่าไรหนูน้อยจึงจะคลานมาขอเล่นกับคุณพ่อคุณแม่อีกครั้ง นี่เป็นการฝึกความเป็นตัวของตัวเองให้ลูกขั้นแรก

 21.ทำอัลบั้มรูปครอบครัว

นำรูปภาพของญาติ ๆ มาใส่ไว้ในอัลบั้มเดียวกัน และนำออกมาให้ลูกดูบ่อย ๆ เพื่อให้จดจำชื่อญาติแต่ละคน แล้วเวลาที่คุณปู่ หรือคุณย่าโทรศัพท์มา ก็นำรูปท่านออกมาให้ลูกดูพร้อมกับที่ให้ลูกฟังเสียงของท่านจากโทรศัพท์ไปด้วย

 22.มื้ออาหารแสนสนุก 

เมื่อถึงเวลาที่ลูกสามารถกินอาหารเสริมที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว อย่าลืมจัดอาหารของลูกให้มีชนิด ขนาดและพื้นผิวที่หลากหลาย เช่น มีทั้งผลไม้ชิ้นเล็ก เส้นพาสต้า มักกะโรนี หรือซีเรียล ปล่อยให้ลูกน้อยใช้มือจับอาหารถ้าลูกอยากทำ เป็นการฝึกใช้นิ้ว และฝึกใช้ประสาทสัมผัสเมื่อได้สัมผัสกับอาหารที่มีลักษณะแตกต่างกัน

 23.เด็กชอบทิ้งของ 

บางครั้งดูเหมือนเด็กชอบทิ้งของลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พฤติกรรมนี้เกิดจากเด็กทดสอบเรื่องแรงโน้มถ่วงว่าจะตกลงสู่พื้นทุกครั้งหรือไม่

 24.กล่องมายากล

หากล่องหรือตลับที่เหมือนกันมาสักสามอัน แล้วซ่อนของเล่นชิ้นโปรดของลูกไว้ในกล่องใบหนึ่ง สลับกล่องจนลูกจำไม่ได้ แล้วให้ลูกค้นหาของเล่นชิ้นนั้นจนเจอ นี่เป็นเกมฝึกสมองอย่างง่ายสำหรับเด็ก

25.สร้างอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ

กระตุ้นทักษะการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลูก โดยนำเบาะ โซฟา หมอน กล่อง หรือของเล่นวางขวางไว้บนพื้น แล้วพ่อแม่ก็แสดงวิธีคลานข้าม ลอด หรือคลานรอบ ๆ สิ่งกีดขวางเหล่านี้ได้อย่างไร

26.เลียนแบบลูกบ้าง

เด็กชอบให้พ่อแม่ทำอะไรตามเขาในบางครั้ง เช่น เลียนแบบท่าหาวของลูก แกล้งดูดขวดนมของลูก ทำเสียงเลียนแบบเวลาที่ลูกส่งเสียงอ้อแอ้ หรือคลานในแบบที่ลูกคลาน การทำอย่างนี้กระตุ้นให้ลูกแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ออกมา เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของพ่อแม่ นี่คือก้าวแรกของลูกสู่การมีความคิดสร้างสรรค์

27.จับใบหน้าที่แปลกไป 

ลองทำหน้าตาแปลก ๆ เช่น ขมวดคิ้ว แยกเขี้ยว แลบลิ้นให้ลูกดู เวลาลูกเห็นพ่อแม่ทำหน้าตาตลก หนูน้อยจะอยากลองจับ ปล่อยให้ลูกได้ลองจับต้องใบหน้าของพ่อแม่ แล้วสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมา เช่น ถ้าลูกจับจมูกจะทำเสียงแบบนี้ ถ้าจับแก้มจะทำเสียงอีกแบบหนึ่ง ทำแบบนี้ 3-4 รอบ แล้วจึงเปลี่ยนเงื่อนไขไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกแปลกใจ

28.วางแผนคลานตามกัน 

ลองคลานเล่นไปกับลูกให้ทั่วบ้าน คลานช้าบ้าง เร็วบ้างและหยุดหรือพ่อแม่อาจจะวางของเล่นที่น่าสนใจ หรือจัดบ้านในบางมุมให้แปลกไปก่อนที่จะมาคลานเล่นกับลูกเพื่อไปสำรวจตามจุดต่าง ๆ ที่จัดไว้ตามแผน

29.เส้นทางแห่งความรู้สึก

อุ้มลูกน้อยเดินไปทั่วบ้านในวันฝนตก จับมือลูกไปสัมผัสหน้าต่างที่เย็นชื้น หยดน้ำที่เกาะบนใบไม้ ต้นไม้ หรือสิ่งของอื่น ๆ ในบ้านที่จับต้องได้อย่างปลอดภัย เป็นการเปิดประสาทสัมผัสของลูกสู่ความรู้สึกต่าง ๆ เมื่อได้แตะต้องสิ่งของเย็น เปียก หรือความลื่น

30.เล่าเรื่องของลูก

เลือกนิทานเรื่องโปรดของลูก แต่แทนที่จะเล่าอย่างที่เคยเล่า ลองใส่ชื่อของลูกลงไปแทนที่ชื่อตัวละครตัวสำคัญของเรื่อง เพื่อให้หนูน้อยรู้สึกแปลกใจและสนุกสนานไปกับชื่อของตัวเองในนิทาน

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร at office issue 55 August 2008 p.30-34
โดย เป๊กกี้
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

 

 

 

 

Posted by ลูกสาวเมืองเลย ,

 

 คุณสมบัติที่คนรุ่นใหม่ ๆ  ควรมี  ข่าวเมื่อเช้ามีหนุ่มน้อยนายหนึ่งที่ลอกเลียนแบบพฤติกรรมของโช นักศึกษาที่กราดยิงพื่อนและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย   แล้วอ่านข่าว  ฟังข่าว  เหตุการณ์ดูคล้ายกัน  และพฤติกรรมของหนุ่มน้อยผู้นี้ดูคล้ายกันมากกับโช   ลองย้อนมองดูว่าพฤติกรรมเหล่านี้  และคล้าย ๆ แบบนี้น่าจะเกิดขึ้นอีก   และอาจมองไม่เห็น  คงเป็นภัยเงียบที่ค่อยเป็นค่อยไป  แล้วระเบิดออกมา

        สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์วิเคราะห์จากพฤติกรรมของน้องคนนี้เขาเป็นคนเก็บตัว   ครอบครัวไม่อบอุ่น  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้อง ๆ ที่มีครอบครัวแตกแยกจะเป็นแบบนี้ทุกคน  มีหลายคนที่ประสบความสำเร็จและเป็นคนดีในสังคม   แต่ก็คงไม่ยากที่เด็กดี ๆ หลายคนอาจคล้อยตาม  หรือลอกเลียนแบบหากขาดคำแนะนำดี  ๆ  จากผู้ใหญ่ วันนี้มีข้อคิดดี  ๆ  มาฝากไม่อยากให้เด็กไทยเก็บกด  และเก่งอย่างเดียว  ไม่มีทักษะทางสังคม  ไม่อดทน  ไม่รู้จักแยกแยะสิ่งดี  สิ่งเลว  อ่านแล้วลองนำไปแนะนำหรือว่าปฏิบัติดูน่าจะดี

       พัฒนาตนเองด้วย  5 Q

IQ   Intelligent Quotient  
       การมีมันสมองอันชาญฉลาด แต่ระยะหลังมานี้นักวิจัยหลายคนฟันธงว่า  ถึงจะ  IQ สูงแค่ไหนก็เถอะ  ส่วนนี้จะช่วยหนุนให้ประสบผลสำเร็จในชีวิตได้แค่ 20%  เท่านั้นเอง   แต่ก็ต้องมีไว้ก่อนเป็นดี

EQ  Emotional  Quotient
       มีความฉลาดทางอารมณ์สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้อยู่เหนือความคิดและการกระทำ  รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา  และเลือกที่จะแสดงออกอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์  แยกแยะสิ่งที่ควรและไม่ควรแสดงออกต่อผู้อื่น

MQ   Moral  Quotient  
       มีคุณธรรมจริยธรรมในการดำเนินชีวิต  มีความฉลาดและอารมณ์ดี  แต่ขาดซึ่งคุณธรรมประจำใจก็ไปไม่รอด  และตอนนี้ล่ะ  MQ  น่าจะถูกส่งเสริมให้มีในสังคมมากขึ้นจะได้ไม่เกิดปัญหาคอร์รัปชั่น และปัญหาสังคมมากมายเหมือนที่เป็นอยู่

AQ  Adversity  Quotient 
       มีความสามารถที่จะอดทนต่องานที่หนัก   หรือเบา มีความบากบั่น  มุ่งมั่น  พยายาม  ไม่ย่อท้อ  ทำงานได้สำเร็จตามกำหนดไม่ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคใด ๆ  ก็ตาม  ซึ่งปัจจุบันเยาวชนรุ่นใหม่ของเราจะขาด  A  ตัวนี้มาก  เนื่องจากความสะดวกสบายเข้ามาแทนที่ไม่ได้ต่อสู้บากบั่น  อดทนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จเหมือนคนรุ่นก่อน  ๆ 

CQ  Complexity  Quotient 
        ความสามารถในการรับมือกับปัญหาหนัก ๆ  และยุ่งยากซับซ้อนกว่าเก่า  สามารถหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ยุ่ง ๆ  ได้สภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว   คนที่ทำงานจึงมีโอกาสที่จะต้องเจอกับงานที่ยุ่งเหยิงขึ้น   บางคนถึงขนาดเจอปัญหาแล้วแก้ไม่ได้ฆ่าตัวตาย  อย่างที่เห็นกันอยู่ในสังคม  พ่อฆ่าลูกและภรรยาด้วยเหตุเจอปัญหาหนี้สิน   อดีตสามีฆ่าอดีตภรรยาและคนรักใหม่ลามไปถึงคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง  หนุ่มน้อยวัยยี่สิบก่อเหตุฆ่าคนอื่นตาย  โถเยอะจริง ๆ  ปัญหาสังคม   หากคุณต้องการพัฒนา  CQ คือ ยิ่งถ้าได้เจอปัญหาใหม่ ๆ  ที่ท้าทายมาก ๆ  ถึงแม้คุณจะแก้ปัญหานั้นไม่ได้แต่ก็จะสอนคุณให้มีมุมมองใหม่  สอนให้คุณอ่านใจคน  วัฒนธรรม  และสังเกตได้ถึงสิ่งต่างแม้เพียงเล็กน้อยซึ่งจะกลายเป็นวิชาที่คุณจะใช้ต่อกรกับปัญหายุ่งอื่น ๆ  ที่จะตามมาในอนาคต   นอกจากนี้คุณต้องหัดใช้ศิลปะในการผสมผสานระหว่างความฉลาดกับสัญชาตญาณประกอบกับสัดส่วนที่เหมาะสมของการวิเคราะห์ที่แม่นยำ  และวิธีการที่วางมาอย่างดีแค่นี้  CQ  ของคุณก็จะพุ่งสูงขึ้นได้ไม่น้อยหน้าใครล่ะค่ะ

          เนื้อหาที่นำมาโพสนี้ส่วนหนึ่งลูกสาวเมืองเลยนำมาจากนิตยสารเล่มหนึ่งนานมาแล้ว ต้องขออภัยมา  ณ ที่นี้ด้วยที่ไม่สามารถจำชื่อนิตยสารได้  แต่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์จึงนำมาโพส  และก็เพิ่มเติมเนื้อหาเล็กน้อย 

 

 

***************************************

 

 

 

 

ขนม็อบสนามหลวงกลับบ้านแล้ว นี่เป็นการล้มเหลวครั้งที่สองของไอ้ตาโปน คงไร้บารมี

 

 

                          

 

 

 

ในที่สุดม็อบสนามหลวงของนายไชยวัฒน์ สินสุวงษ์ ก็ต้องล้มเลิกและกลับบ้านในที่สุด โดยที่รัฐบาลนายกฯปู ต้องจัดรถส่งกลับบ้านตามจุดต่างๆ ในที่สุด ทั้งๆ ที่ม็อบนี้ชุมนุมมานานเป็นเดือนแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเพิ่มจำนวนให้เกิน 500 คนได้

 

แม้ว่าจะมีการสร้างสีสัน เพื่อเรียกแขกเพิ่มจำนวนคน โดยขนพวกลูกหลานทหารป่าหรือพรรคคอมมิวนิสต์เก่า สายอีสานที่เรียกกันว่า “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.)” โดยช่วยเน็ตได้เพิ่มคำว่า รอ. ต่อท้ายเข้าไปในชื่อย่อ ผรท.รอ. เพราะนับเป็นครั้งแรกของโลกที่คอมมิวนิสต์ร่วมมือกับพวกรอยัลลิสต์ ทั้งๆ ที่โดยอุดมการณ์แท้จริงของคอมมิวนิสต์แล้ว ยากที่จะร่วมมือกับรอยัลลิสต์ ปรากฏการณ์ในไทยจึงเป็นที่ขบขันหัวร่อมิออก ร้องไห้มิได้ ของนักทฤษฎีสายมาร์กซิสต์ทั้งหลาย

 

ผรท.รอ.เหล่านี้ไม่ใช่ทหารป่าตัวจริง แต่เป็นพวกลูกหลาน มีการตัดชุดใหม่ แต่งตัวเต็มยศ เดินพาเหรดเข้าไปร่วมม็อบของนายไชยวัฒน์ ที่สนามหลวง แต่ก็ไม่สามารถสร้างกระแสได้เท่าใดนัก เพราะประเด็นมันไม่ได้ปลุกเร้าอะไรต่อสังคม ออกจะขำๆ ด้วยซ้ำไป

 

ต่อมาม็อบสนามหลวง ผรท.รอ. ก็ไปไล่แย่งซีนกับม็อบหน้ากากขาว ในที่สุดทั้งม็อบหน้ากากขาว และม็อบสนามหลวงก็ไปไม่รอด ปลุกกระแสไม่ขึ้น

 

นับว่าการกรีฑาทัพใหญ่สองครั้ง คือครั้งม็อบ เสธ.อ้าย หรือม็อบแช่แข็งเมื่อตอนต้นปี กับม็อบสนามหลวงในเดือนนี้ ไอ้ตาโปนประสบความล้มเหลวทั้งสองครั้ง ไม่ใช่ล้มเหลวเมื่อยกทัพไปแล้วรบกับข้าศึกแล้ว แต่ล้มเหลวตั้งแต่ขั้นตอนระดมพลให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นตอนการรบเลย

 

ก็บอกได้ชัดเจนว่า ไอ้ตาโปนนั้น "ไร้บารมีทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง" แค่ม็อบสักสองสามพันคนยังหาไม่ได้เลย นอกจากไร้บารมีทางการเมืองแล้ว เราก็พอประเมินได้ว่า ไอ้ตาโปนนั้นไร้บารมีทางทหารด้วย เพราะการออกศึกครั้งนี้ไม่มีพวกความมั่นคง พวกสีเขียวข้ำไปช่วยเหลือเลย

 

ไอ้ตาโปนนั้นถนัดแค่ "ยิงหัวคน" เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าชุดซุ่มยิง ยศทางทหารก็ไม่ควรเกิน "จ่าสิบเอก" เท่านั้น ไม่ควรมียศถึงนายพลแต่อย่างใด ไอ้ตาโปนไม่เหมาะเป็นแม่ทัพใหญ่ เป็นขุนศึกผู้นำสงคราม

 

การล้มเหลวถึง 2 ครั้ง นั้นหากมีการเคลื่อนครั้งที่ 3 ก็คงล้มเหลวอีก คนสนับสนุนก็เสียเงินเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไร

 

การสงครามนั้นหากไม่มั่นใจ อย่าระดมพลรบ เพราะทำให้ข้าศึกประเมินจุดอ่อนจุดแข็งเราได้ หากไม่พร้อมที่จะบุกก็อย่าเตรียมการบุก

 

แผนการรบของไอ้ตาโปนกับไอ้ซีไอเอนั้นไม่มีอะไรมากเลย นอกจากปลุกม็อบโดยใช้หน้าม้า 3-400 คน หวังว่าประเด็นเก่าๆ ล้าหลังที่ยกขึ้นมานั้นจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ฮืออกมาสู้บนถนนด้วย ทั้งๆ ที่ความขัดแย้งเมืองไทยนั้น เกิน 7-8 ปีแล้ว คนเลือกข้างหมดแล้ว ไม่มีใครถูกหลอกได้อีกแล้ว อยู่ที่ว่าใครจะเลือกข้างฝ่ายใด เท่านั้นเอง ไม่มีใครที่ "สมองว่างเปล่า" จนใครก็ได้สามารถปั่นกระแสได้อีกแล้ว

 

การล้มเหลวของม็อบสนามหลวงครั้งนี้ ไอ้ตาโปนคงไม่มีบารมีจะทำการใดๆ ได้อีก

 

 

*************************************

 

 

 


                                                   
 

          

 

   พุทธศาสนิกชนยึดถือพระพุทธศาสนาเป็นสรณะในการดำรงชีวิต ในประเทศไทยประชาชนมากกว่าร้อยละ ๙๕นับถือพระพุทธศาสนาเป็นเวลากว่าพันปีแล้วที่พระพุทธศาสนาได้เข้ามาผสมกลมกลืนกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย จนแยกกันไม่ออก ความเจริญหรือความเลื่อมของพระพุทธศาสนาย่อมมีผลกระทบต่อสังคมไทย พวกเราชาวพุทธจึงมีหน้าที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงสืบไป หน้าที่สำคัญของชาวพุทธมีดังนี้

บทบาทของพระภิกษุในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

             พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา มีหน้าที่ศึกษาปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน สืบต่อพระพุทธศาสนา มีคุณธรรมและหลักความประพฤติที่ต้องปฏิบัติมากมาหน้าที่ของพระภิกษุที่สัมพันธ์กับคฤหัสถ์ ได้แก่ การให้ความอนุเคราะห์ชาวบ้าน ตามหลักปฏิบัติในฐานะที่พระภิกษุเป็นเสมือนทิศเบื้องบนได้แก่

๑. ห้ามปรามสอนให้เว้นจากความชั่ว คือ งดเว้นจากการเบียดเบียนกัน ไม่ทำลายทั้งชีวิตตนเองและผู้อื่น
๒. แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี งดเว้นอบายมุข 6
ในทางพุทธศานาแล้ว อบายมุขมีอยู่ 6 อย่าง หรือที่เรียกกันว่าอบายมุข 6 ซึ่งประกอบไปด้วย


. การติดสุราและของมึนเมา
. การชอบเที่ยวกลางคืน
. การชอบเที่ยวดูการละเล่น
. การติดการพนัน
. การคบคนชั่วเป็นมิตร
. การเกียจคร้านในหน้าที่การงาน

๓. อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดีด้วยน้ำใจอันงามโดยยึดถือหลักสังคหวัตถุ 4

 

สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล หรือเป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่

1. ทาน คือ การให้ การเสียสละ หรือการเอื้อเฟื้อแบ่งปันของๆตนเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้ไม่เป็นคนละโมบ ไม่เห็นแก่ตัว เราควรคำนึงอยู่เสมอว่า ทรัพย์สิ่งของที่เราหามาได้ มิใช่สิ่งจีรังยั่งยืน เมื่อเราสิ้นชีวิตไปแล้วก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้

2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสำหรับกาลเทศะ พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะการพูดเป็นบันไดขั้นแรกที่จะสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น วิธีการที่จะพูดให้เป็นปิยวาจานั้น จะต้องพูดโดยยึดถือหลักเกณฑ์
ดังต่อไปนี้

เว้นจากการพูดเท็จ
เว้นจากการพูดส่อเสียด
เว้นจากการพูดคำหยาบ
เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ

3. อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ทุกชนิดหรือการประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

4. สมานัตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลเล รวมทั้งยังเป็นการสร้างความนิยม และไว้วางใจให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย

     


 

. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยฟัง คือ สอนให้รู้จักแยกแยะมิตรแท้ มิตรเทียม ให้คบบัณฑิตเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีพ
๕. ชี้แจงอธิบายทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ในสิ่งที่สดับเล่าเรียนมาแล้ว เช่น การแสวงหาทรัพย์โดยวิธีสุจริต การรู้จักรักษาทรัพย์ และการดำรงชีวิตตามฐานะ
. บอกทางสวรรค์ให้ คือ การแนะนำวิธีครองตน ครองคน ครองงาน หรือวิธีครองชีวิตให้ได้รับผลดีมีความสุข



บทบาทของพระภิกษุในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา อาจทำได้ดังต่อไปนี้

๑. การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเมื่อพระภิกษุประพฤติปฏิบัติชอบตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วย่อมนำมาซึ่งความเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนและบุคคลผู้พบเห็นโดยทั่วไป

๒. การสั่งสอนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเทศนา ปาฐกถาธรรม หรือเผยแผ่ธรรมทางสื่อมวลชน

๓. การทำกิจกรรมอันเป็นการสงเคราะห์ชาวบ้าน เช่น ช่วยสร้างสิ่งสาธารณประโยชน์ เป็นผู้นำชาวบ้านในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เช่นรักษาป่า ขุดลอกหนองบึง ส่งเสริมอาชีพสุจริต ตั้งกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ธนาคารข้าว ธนาคารโคกระบือ เป็นต้น

๔. จัดกิจกรรมอันเป็นประเพณีและศาสนพิธีในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้ชาวบ้านได้ทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาร่วมกัน อันจะทำให้เกิดความรักสามัคคีในหมู่บ้าน ชุมชน สังคม รวมทั้งการถือโอกาสเทศนาธรรมสั่งสอนให้งดเว้นจากอบายมุข ให้ประพฤติดี หลีกหนีความชั่ว

๕. การเป็นผู้นำในการปฏิบัติธรรม เช่น ฝึกสมาธิเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงพระพุทธศาสนาจากการปฏิบัติอย่างแท้จริง

 

 

กระหึ่มเน็ต ! เพลง จากนี้ไปจนนิพพาน เสียดสี หลวงปู่เณรคำ

 

 

เพลง จากนี้ไปจนนิพพาน เสียดสี หลวงปู่เณรคำ

เพลง จากนี้ไปจนนิพพาน เสียดสี หลวงปู่เณรคำ

เพลง จากนี้ไปจนนิพพาน เสียดสี หลวงปู่เณรคำ
 


 

 

   
 

 

 

   

 


           ดังว่อนเน็ต เพลง จากนี้ไปจนนิพพาน เพลงล้อเลียนเสียดสีพฤติกรรมฉาว หลวงปู่เณรคำ ใช้สินค้าแบรนด์เนม นั่งเครื่องบินเจ็ท และหลองลวงกอบโกยเงินบริจาคจากประชาชน

           หลังจากที่มีกระแสเปิดโปงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ออกมาอย่างต่อเนื่องรายวัน รวมทั้งดีเอสไอก็ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลการซื้อรถเบนซ์หลายสิบคัน รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ของหลวงปู่เณรคำ ในขณะที่มีข่าวออกมาว่าเจ้าตัวได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาแล้วนั้น

           ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2556 ก็ได้มีผู้แต่งเพลงเสียดสีล้อเลียนพฤติกรรมของหลวงปู่เณรคำ ออกมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ในชื่อเพลง "[แซว] จากนี้ไปจนนิพพาน - หลวงปู่เณรเกม (Daddy Bunny)" โดยคุณ enobeman สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบ ซึ่งภายในเพลงนั้นมีเนื้อหาในเชิงล้อเลียน เสียดสี พระ "คำ" ที่ใช้สินค้าแบรนด์เนม อ้ายคำแบกหลุยส์ไปช้อปปิ้ง นั่งเครื่องบินเจ็ท และหลอกลวงให้ประชาชนบริจาคเงินทำบุญจนตัวเองร่ำรวย โดยมีเนื้อเพลงดังนี้


          เพลง จากนี้ไปจนนิพพาน

          คำร้องโดย หลวงปู่เณรเกม


          อาตมาเดินบิณฑ์อยู่วันนั้น เหล่าญาติโยมมากันตั้งมากมาย มีพะโล้มีแกงไก่ โยมใส่มาให้ฉัน

          ให้ไปไหนก็ไป แค่โยมใส่ซองเข้ามาแล้วกัน คำจะขอเอาปัจจัยเหล่านั้น ไว้ดูแลเอง

          จากที่เคยเดินบิณฑ์ ก็ไม่ไหว ไส่เรย์แบนกันไปนิมนต์เทศน์ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส ก็ขึ้นเจ็ตกันไป

          เหนื่อยมากแล้วต้องนอนก่อน เครื่องปรับอากาศสะอาดสดใส วันพรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไป ให้โยมลองดู

          ฉันไม่เคยรับ ไม่เคยรู้ ว่ารูปนี้มันมาได้ไง ทุก ๆ ทีจำวัดปิดไฟ หรือว่าเณรเสือกใส่วิกผมกัน

          ฉันบอกไปแล้ว ต่อจากนี้ไปจนนิพพาน ขอฉันขอแบรนด์เนมเท่านั้น ทุก ๆ วันอยู่กุฏิบนคอนโด

          ฉันไม่เคยรับ ไม่เคยรู้ ว่ารูปนี้มันมาได้ไง ทุก ๆ ทีจำวัดปิดไฟ หรือว่าโยมเสือกใส่วิกผมกัน

          ฉันบอกไปแล้ว ต่อจากนี้ไปจนนิพพาน ฉันจะแบรนด์เนมเท่านั้น ทุก ๆ วันอยู่กุฏิบนคอนโด


 

 

 

 

 

 

 

 

**********************************************

 

 

 

 

        "สโนว์เดน"แฉสหรัฐฯ จารกรรม-สอดแนมแบบไร้พรมแดน

 

บันทึกในฮ่องกงก่อนหนีหมายจับของสหรัฐฯ ไปยังรัสเซีย นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตนักวิเคราะห์ข่าวกรองซีไอเอของสหรัฐฯ ระบุว่า ทั้งกูเกิล เฟซบุ๊ก แอปเปิล และไมโครซอฟท์ ซึ่งถือสัญชาติสหรัฐฯ ต่างร่วมหัวป้อนข้อมูลให้กับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ หรือ เอ็นเอสเอของสหรัฐฯ


        ทั้งนี้ การเปิดโปงชุดแรกก่อนหน้านี้ นายสโนว์เดน ระบุว่า สหรัฐฯ แค่สอดแนม และจารกรรมต่างชาติเท่านั้น
        นายสโนว์เดนเป็นชาวอเมริกันอายุ 30 ปี ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นหน้าที่ส่วนตัวต้องทำการเปิดโปง เพื่อสกัดไม่ให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลก รุกล้ำสิทธิ และเสรีภาพส่วนบุคคลตามระบอบประชาธิปไตย
        โอกาสนี้ นายสโนว์เดนยังกล่าวหาด้วยว่า นายคีธ อเล็กซานเดอร์ เลขาธิการเอ็นเอสเอ เข้าให้การเท็จต่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้


        ทั้งนี้ คาดว่านายสโนว์เดนยังคงติดค้างอยู่ที่สนามบินภายในกรุงมอสโก ซึ่งล่าสุดเวเนซุเอลาประกาศให้ที่ลี้ภัย และกำลังรอคำตอบ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศชี้ว่านับวันยิ่งยากที่นายสโนว์เดนจะเดินทางออกจากรัสเซีย
 


 

ทำไม

 

ทำไม'เอกวาดอร์'อุ้มสม 'จอมแฉความลับ'มะกัน? (โดย สุทธิชัย หยุ่น)

 

เมื่อ นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน "จอมแฉ" อดีตพนักงาน "สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ" (National Security Agency)

ประกาศว่าจะขอลี้ภัยการเมืองที่ประเทศเอกวาดอร์ ของอเมริกาใต้ ก็มีคำถามว่าทำไมต้องเป็น "เอกวาดอร์"ตอบสั้นๆ ว่า เพราะประเทศละตินอเมริกาเล็กๆ (ประชากร 14 ล้านคน) ที่ตั้งอยู่ตะวันตกสุดของอเมริกาใต้นั้น มีประธานาธิบดี ชื่อ Rafael Correa ที่ต้องการพิสูจน์ว่าเขาไม่กลัวอำนาจมะกัน และต้องการเป็น "พระเอก" ในหมู่ประเทศอเมริกาใต้ ที่เล่น "บทบู๊" ในเวทีสากลได้"เอกวาดอร์" มาจากคำว่า Equator หรือ เส้นศูนย์สูตรของโลก ผู้คนพูดภาษาสเปนเป็นส่วนใหญ่

 

ชายแดนด้านเหนือคือโคลอมเบีย และเพื่อนบ้านด้านตะวันออกและใต้คือเปรู ด้านตะวันตกติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกเอกวาดอร์ กับ ชิลี เป็นสองประเทศในอเมริกาใต้ ที่ไม่มีชายแดนติดกับบราซิล เมืองหลวงชื่อ Quito ซึ่งได้รับการขนานนามเป็น "มรดกโลก" โดย ยูเนสโก เพราะว่าเป็นจุดที่รักษาความเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกาใต้

 

เอกวาดอร์ มีแหล่งน้ำมันของตนเอง และการส่งออกน้ำมันเท่ากับ 40% ของยอดส่งออกทั้งหมด และมีชื่อเสียงในฐานะเป็นประเทศส่งออกกล้วยมากที่สุดประเทศหนึ่ง

 

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเอกวาดอร์ ก็ได้ช่วยเหลือ "จอมแฉ" อีกคนหนึ่ง คือ นายจูเลียน อัสซานจ์ เจ้าของเว็บไซต์ Wikileaks ที่เปิดโปงเอกสารลับของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ผ่านพลทหารแบรดเลย์ แมนนิ่ง ที่เคยทำงานเป็นนักวิเคราะห์ข่าวกรองของกองทัพมะกัน มาแล้ว

 

โดยให้ นายอัสซานจ์ พำนักอยู่ในสถานทูตเอกวาดอร์ ที่กรุงลอนดอน มาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี

 

เมื่อ นายสโนว์เดน หนีจากอเมริกาไปฮ่องกงก่อนจะบินไปมอสโก นายอัสซานจ์ ก็ประกาศปกป้อง "รุ่นน้องร่วมอุดมการณ์" อย่างนายสโนว์เดน ทันที โดยแนะนำให้ขอลี้ภัยทางการเมืองกับรัฐบาลเอกวาดอร์

 

รัฐบาลของประธานาธิบดีคอเรีย ก็ตอบรับฉับพลัน โดยอ้างการปกป้อง "สิทธิมนุษยชน" ขณะที่รัฐบาลของโอบามา แห่งสหรัฐ ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่ประเด็นสิทธิเสรีภาพ หากแต่เป็นเพราะนายสโนว์เดน ได้กระทำความผิดทางอาญาในฐานขโมยความลับราชการมาเปิดเผยย้อนดูประวัติของประธานาธิบดีคอเรีย ก็จะเห็นว่ามีความสนิทสนมกับอดีตประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ แห่ง เวเนซุเอลา แม้ว่าเขาจะมีท่าทีลีลาที่ดุเดือดน้อยกว่า ชาเวซ

 

แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเอกวาดอร์ กับ สหรัฐ ก็มีเรื่องตึงเครียดกันในหลายกรณี

 

คอเรีย เคยบอกเลิกข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ อย่างไม่เกรงใจมหาอำนาจ และเคยขับไล่ฐานทัพสหรัฐจากประเทศนั้นอย่างหน้าตาเฉย

 

อีกทั้ง คอเรีย ก็เคยไล่นักการทูตมะกันกลับบ้านมาแล้ว เหตุเพราะว่าผู้นำเอกวาดอร์ ไม่พอใจที่คนจากวอชิงตันทำกิจกรรมที่เขาถือว่าเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงเรื่องภายในของเขา

 

ที่เจ็บแสบและฮาไม่น้อย คือ เมื่อปี ค.ศ. 2006 หลังจากที่เพื่อนซี้ ชาเวซ แห่ง เวเนซุเอลา โกรธแค้นผู้นำสหรัฐ ถึงกับเรียกประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ว่าเป็น "ผีซาตาน" นั้น นายคอเรีย ออกมาเสริมต่อด้วยการสำทับว่า

 

"การเรียกประธานาธิบดีบุช ว่าเป็นซาตาน ไม่เป็นการยุติธรรมสำหรับภูตผีปีศาจด้วยซ้ำไป"

 

เหมือนเรียกคนว่า หมา แล้วทำให้หมาเสียเกียรติ อะไรทำนองนั้นทีเดียว

 

พอ นายอัสซานจ์ แห่ง Wikileaks ถูกไล่ล่า เพราะว่าเอาความลับราชการมะกันมาเปิดเผย ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ ผู้นี้ก็ได้โอกาสที่จะแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า เขาพร้อมที่จะยืนอยู่ข้าง "คนเป่านกหวีด" เพื่อสะท้อนถึงความย่ำแย่ของนโยบายต่างประเทศสหรัฐ

 

ถือเป็นจังหวะที่เขาได้แสดงตนเป็นผู้นำของประเทศเล็กๆ ที่อยู่หลังบ้านสหรัฐ แต่พร้อมที่จะท้าทายมหาอำนาจ อย่างไม่เกรงขาม แต่อย่างใด

 

ทำไมเขาจึงยอมให้ อัสซานจ์ เข้าไปอยู่ในสถานทูตเอกวาดอร์ ที่ลอนดอน เป็นปีๆ

 

คำถามทางการจากเอกวาดอร์ คือ "ถ้า นายอัสซานจ์ ออกจากสถานทูต เขาก็อาจจะถูกส่งตัวกลับไปสหรัฐ ซึ่งก็จะเปิดทางให้เขาถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง"จึงไม่ต้องแปลกใจ หากว่ารัฐบาลเอกวาดอร์ จะเปิดทางให้นายสโนว์เดน เข้าประเทศเพื่อลี้ภัยการเมืองอย่างเปิดเผยเพราะแม้ว่า เอกวาดอร์ จะมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐ แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับ "กรณีความผิดที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับการเมือง"

 

แปลว่า เอกวาดอร์ จะอ้างความเป็น "ผู้ลี้ภัยการเมือง" ของ สโนว์เดน ขณะที่รัฐบาลสหรัฐยืนกรานว่า เขาเป็น "อาชญากรผู้ขโมยความลับราชการ"

 

และเมื่อจีนกับรัสเซียทำท่าเหมือนจะแอบสนับสนุนนายสโนว์เดน เพราะว่า ฮ่องกงและมอสโก ไม่ยอมจับตัวเขาส่งกลับสหรัฐ วอชิงตันก็เดือดดาลปักกิ่งและมอสโก อย่างออกนอกหน้าฉับพลัน

 

เรื่องจริง...สนุกและซับซ้อนกว่าหนังฮอลลีวู้ด...หลายเท่านัก

 

 

***************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*************************************

 

guest

Post : 2013-07-07 20:14:12.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  ถ้าไม่กล้าเเล้วคุณจะไม่ได้อะไรเลย..

 


                       
 
" วันนี้มีกี่ที่ล่ะพี่?.."
น้องมด เมียสาวของหัวหน้าตลกคณะเก้ายอด ได้เอ่ยถามผู้เป็นสามีถึงเรื่องงานเเสดงตลกตามคาเฟ่ของเมื่อคืนที่ผ่านมา ในขณะที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่เงียบๆสองคน ภายในสลัมห้องเช่าที่มีความกว้างไม่ถึงสามวา ติดกับโรงสนุ๊กเกอร์ใต้ถุนโรงหนังนครหลวงราม่า ใกล้สามเเยกไฟฉายฝั่งธนบุรี
 
" มีที่เดียว เเต่ไม่ได้เล่น เเขกมันน้อย..ทางร้านเขาขอเลื่อนเป็นอาทิตย์หน้าค่อยมาเล่นใหม่..."
เขาตอบเมียรักด้วยเสียงที่ระคนไปด้วยความผิดหวัง เเวบหนึ่งของสายตาที่ชำเลืองมองไปยังเมียรักที่กำลังกินข้าวคลุกน้ำปลาอยู่ตรงหน้า หยาดน้ำใสๆที่มันไหลออกมาจากพวงเเก้มทั้งสองข้างของเธอ มันเหมือนมีดสักร้อยเล่มพันเล่ม ปักฉึกผนึกเเน่นเเก่นกลางใจ ให้ลูกผู้ชายอย่างเขาก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว มันเอ่อมันท้น มันล้นออกมาทั้งสองข้าง ด้วยความสงสารเมียรักอย่างสุดหัวใจ
 
" ทนอีกสักนิด มดเอ๊ย...พอเเต่เก็บเงินได้สักสองหมื่น เเล้วค่อยกลับบ้านไปเปิดร้านขายของชำเล็กๆในหมู่บ้านกัน..."
" เเล้วพรุ่งนี้ล่ะพี่ มีงานมั๊ย?.."
" ไม่มี.."
 
ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงที่เเผ่วเบา ไอ้ความเหนื่อยยากลำบากเเสนเข็ญจะหนักหนาสาหัสสากรรณ์สักเพียงใดที่มันถาโถมซัดกระหน่ำตัวเขาเท่าไรก็ไม่เคยหวั่น เเต่คู่ชีวิตที่อยู่ข้างหน้านี่ซิ คำน้อยที่จะปริปากบ่นสักคำก็ไม่มี ท้อเเล้ว...เขาท้อเเล้ว...ก็คงจะพอกันที เหนื่อยเหลือเกินกับอาชีพเต้นกินรำกิน
 
" พรุ่งนี้ไม่มีงาน พี่ว่าจะไปเเถววิลล่าคาเฟ่ซะหน่อย เห็นไอ้โย่งมันบอกว่าพี่เทพ โพธิงาม เขารับสมัครตลกหน้าใหม่เข้าประจำคณะ ให้ทดลองเล่นกับเขาดูคนละเจ็ดวัน ถ้าเล่นกับเขาได้ เขาก็จะให้ประจำคณะเขาเลย..."
" เล่นกับใครมั่งล่ะพี่?.."
" ก็มีพี่เทพ พี่น้อย เเล้วก็พี่เเฉ่งเป็นตัวยืน..."
" เเล้วพี่โย่ง ทำไมไม่ไปสมัครล่ะ?"
" มันไปเเล้ว เเต่พี่เทพไม่เอามัน เล่นเข้ากับเขาไม่ได้ ดูยังไงก็ไม่ขำ...."
ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเเอบถอนหายใจลึกๆด้วยความเป็นห่วงกลัวจะเสียเวลาเปล่า เพราะเธอรู้ดีว่าความสามารถของพี่โย่งตลกสายใต้คนนี้ ประสบการณ์ความสามารถเฉพาะตัวเหนือกว่าสามีของเธอจนเทียบกันไม่ได้ ก็ยังสอบไม่ผ่าน เเล้วสามีของเธอล่ะ จะมีอะไรไปเล่นกับเขา?.....
 
เเละเเล้ววันทดสอบวันเเรกก็มาถึง เขาไปคอยที่ปั๊มน้ำมันติดวิลล่าคาเฟ่ ตั้งเเต่ยังไม่สามทุ่ม เพราะที่ปั๊มเเห่งนี้ทีมงานของเทพ โพธิ์งาม จะมาจอดรถกันที่นี่กันทุกคืน กว่าชาวคณะจะมาถึงก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง วันนั้นเป็นวันเเรกที่เขาได้มีโอกาสได้เล่นวาดลวดลายเเสดงฝีมือ ผลปรากฎว่าไม่ได้ฮาสักเเอะ...
 
" อีน้อย..มีงเอาไอ้สากกะเบือนี้มาจากไหน?.." เทพ โพธิงาม เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดหัวเสีย หลังจากการเเสดงจบลง
" น้องเขามาจากตลกคณะเก้ายอดน่ะพี่ เห็นมาสมัครก็เลยให้ลองขึ้นไปเล่นดู.."
" มึงไปบอกมันเลยว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมา.."
" พรุ่งนี้ค่อยบอกเด็กมันก็ได้ ปล่อยให้มันเล่นอีกสักวัน...เด็กมันจะได้ไม่เสียกำลังใจ.."
" ก็ได้ เเต่ค่าตัวมันวันพรุ่งนี้ มึงเป็นคนจ่ายนะเว้ย..."
กล่าวจบ เทพ โพธิงาม ผู้เป็นพี่ชาย ก็ขับรถกระชากออกไปอย่างหัวเสีย
 
" เธอได้ยินพี่เทพ พูดเมื่อกี๊เเล้วใช่ไหม หม่ำ เอ่อ...หม่ำอะไรนะ?.."
" หม่ำ สปาเก๊ตตี้ ครับ "
" เออนั่นเเหละ หม่ำ สปาเก๊ตตี้ พรุ่งนี้มีอะไรก็โชว์ให้หมดเลยนะ พี่ช่วยเธอได้เเค่นี้จริงๆ "
 
วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่เขาจะได้มีโอกาสเล่นตลกกับคณะ เทพ โพธิงาม เป็นครั้งสุดท้าย เขาก้าวขึ้นเวทีด้วยความเชื่อมั่นเกินร้อย ไม่สนใจว่าจะเล่นมุขไหน หยิบสดๆเน้นฮาอย่างเดียว ไล่กอดไล่ปล้ำ น้อย โพธิงาม จนกระเจิง ไล่เตะไล่ต่อย เทพ โพธิงามจนตกเวที ด่าเจ้าเเฉ่ง ช่อมะดัน ยังกะหมูกะหมา เกินคาด..ฮาถล่มทลาย คนดูหัวเราะจนท้องคัดท้องเเข็ง...
 
" อีน้อย..พรุ่งนี้มึงให้มันมาอีกวันนะ กูชอบว่ะ.."
คำพูดของเทพ โพธิงาม ในวันนั้น เหมือนกับสวรรค์เปิดให้มี หม่ำ จ๊กม๊ก ตลกร้อยล้านในวันนี้...........
 
 
 
 
********************
 

guest

Post : 2013-07-06 23:18:04.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สหฟาร์ม เจ๊ง

 

 

 

                สหฟาร์ม เจ๊ง..

 

 

 

สหฟาร์มหยุดกิจการ

สหฟาร์มหยุดกิจการ

 

 

 

หลังจาก บริษัทสหฟาร์ม จำกัด ประกาศหยุดธุรกิจการผลิตไก่แช่แข็งเพื่อการส่งออก ของบริษัทในเครือที่ ต.กันจุ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ เป็นการชั่วคราว หลังติดค้างค่าแรงจนทำให้แรงงานต่างด้าวลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องนั้น

 

ล่าสุด วันที่ 8 กรกฎาคม นายกษิต โฆษิตานนท์ ประธานหอการค้า จ.เพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า ถือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาค เนื่องจากมีคนหลากหลายกลุ่มอาชีพที่ได้รับความเดือดร้อนตามไปด้วย

 

โดยเฉพาะ ผู้ค้ารายย่อย หรือลูกค้าที่ทำสัญญากับบริษัทและมีการลงทุนไปแล้ว แต่เกิดปัญหาติดค้างหนี้สิน จนทุนหายกำไรหด กลุ่มคนเหล่านี้ น่าเป็นห่วงกว่ากลุ่มแรงงงานในระบบ ซึ่งได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอยู่แล้ว ทางราชการจึงควรเร่งยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

 

นายกษิต กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ก็มีสัญญาณบ่งชี้ เนื่องจากทางกลุ่มพ่อค้าพืชไร่ใน จ.เพชรบูรณ์ ราว 30-40 ราย หยุดป้อนข้าวโพด ซึ่งเป็นวัตถุดิบให้แก่บริษัท ซึ่งทราบมาว่า เนื่องจากมีปัญหาภาวะหนี้สินเช่นเดียวกัน โดยมูลหนี้ที่เป็นตัวเลขกลม ๆ อยู่ ราว ๆ 1 พันล้านบาท จึงอยากเสนอให้กรมสืบสวนคดีพิเศษ เข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริง

 

 

สหฟาร์มเจ๊ง! ขาดสภาพคล่อง คุมเข้มโรงเชือดไก่เพชรบูรณ์

 

 วานนี้ (7 ก.ค.) พ.ต.อ.โสภณ เพียรร่มทองไทย ผกก.สภ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ กล่าวถึงเหตุการณ์กลุ่มแรงงานต่างด้าว ลูกจ้างบริษัท โกลเด้นไลน์ บิสซิเนส จำกัด เลขที่ 99/2 ม.4 ต.กันจุ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ บริษัทในเครือของกลุ่มสหฟาร์ม กว่า 3,000 คน ชุมนุมประท้วงเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้บริษัทจ่ายค่าจ้างที่ติดค้างว่า ระหว่างนี้ได้กำชับให้ชุดสายตรวจเข้าไปตรวจที่แคมป์คนงานบริษัทเป็นระยะๆ หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงชำแหละไก่สดที่ลพบุรี

 


        อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้สถานการณ์ยังไม่น่าห่วง เพราะยังไม่มีการผิดเงื่อนไข ที่ผู้บริหารบริษัทรับปากกับกลุ่มคนงานในการเจรจากันเมื่อวันที่ 6 ก.ค.คือบริษัทฯ จะจ่ายเงินค่าแรงเดือน พ.ค.56 ที่ค้างอยู่ 25% ให้คนงานภายในวันที่ 15 ก.ค.56 และบริษัทฯ จะจ่ายเงินค่าแรง เดือน มิ.ย.56 ที่ค้างอยู่ 100% ให้คนงานภายในสิ้นเดือน ก.ค.56

 


        จากการสอบถามทางบริษัทพบว่า ระหว่างรอการจ่ายเงิน แรงงานเหล่านี้อาจจะเครียด แต่ก็ได้รับแจ้งว่าทุกคนมีวัตถุประสงค์ต้องการมาทำงาน จึงไม่ต้องการก่อปัญหา ระหว่างนี้อยู่ระหว่างรอเอกสารที่บริษัทต้องจัดเตรียมให้ เพื่อจะไปทำงานที่อื่น ส่วนแรงงานชาวพม่า 6 คนที่ก่อเหตุทุบทำลายสิ่งของนั้นเมื่อบริษัทไม่ติดใจเอาความ จึงปล่อยตัวไปตั้งแต่เมื่อเย็นวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมาแล้ว

 


        ทั้งนี้ เมื่อเวลา 23.50 น. วันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา ร.ต.ท.ชาญวุฒิ เรืองจาบ ร้อยเวร สภ.ม่วงค่อม อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ได้รับแจ้งว่ามีเหตุเพลิงไหม้ที่บริษัท สหฟาร์ม จำกัด ริมถนนสายสระบุรี-หล่มสัก เลขที่ 99 หมู่ 8 ต.ห้วยหิน อ.ชัยบาดาล โดยเหตุเกิดที่บริเวณโรงงานผลิตไก่แช่แข็งช่องทางที่ใช้ลำเลียงสินค้ามาเก็บเข้าห้องเย็น เป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบและควบคุมเพลิงไม่ให้ลุกลามไปติดอาคารโรงงานใกล้เคียงกันได้ในเวลา 04.30 น.

 


        โดยในเบื้องต้น ได้ตั้งไว้ 2 ประเด็น คือ ไฟฟ้าลัดวงจร กับการวางเพลิง แต่ต้องมีการตรวจสอบอีกครั้งว่า สาเหตุมาจากอะไรกันแน่ เพราะมีการขู่ว่าจะมีการว่างเพลิงของแรงงานชาวต่างชาติที่ยังไม่ได้รับค่าจ้างมาเป็นระยะอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง แต่เบื้องต้นอาคารดังกล่าวนี้น่าจะถูกทางไฟฟ้าตัดไฟไปแล้ว เนื่องจากติดค้างค่าไฟฟ้าอยู่จำนวนมาก คาดว่าจะรู้ผลได้ภายใน 2-3 วันนี้

 


        สำหรับความเสียหายจากเพลิงไหม้อาคารชำแหละไก่สดของบริษัทสหฟาร์ม ในครั้งนี้ น่าจะอยู่ราวไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท เนื่องจากเครื่องจักรในอาคารเสียหายเป็นจำนวนมากแถมอาคารอาจจะต้องมีการทุบทิ้งเพื่อทำการก่อสร้างใหม่ทั้งหมดเพราะอาจจะได้รับความร้อนจนอาจจะถล่มลงมาได้ นอกจากอาคารแล้วยังพบรถยนต์ 6 ล้อบรรทุกไก่สดส่งขายยังถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหายอีก 1 คันด้วยเนื่องจากจอดอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ซึ่งขณะนี้ได้มีการสั่งห้ามบุคคลเข้าไปในจุดเกิดเหตุแล้ว
 

       
       **** สหฟาร์มทรุดจากนโยบายประชานิยม

 
        แหล่งข่าวในแวดวงผู้ประกอบการเลี้ยงไก่เนื้อ เผยถึงกรณีที่ทาง สหฟาร์ม ติดค้างเงินค่าเลี้ยงไก่กับ ลูกเล้า (คอนแทร็กต์ ฟาร์มมิ่ง ) ที่ไม่ยอมจ่ายค่าเลี้ยง มูลค่ารวมจำนวนมหาศาล ซึ่งปัญหาดังกล่าวเริ่มรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบัน ทำให้มีลูกเล้าหลายร้อยรายได้รวมตัวกันมากมาทวงค่าเลี้ยงเลี้ยงไก่ที่ค้างจ่ายมาหลายเดือน แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ลูกเล้าของสหฟาร์มหันไปย้ายค่ายเลี้ยงไก่ให้บริษัทอื่นๆแทน

 


        กล่าวได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสหฟาร์มครั้งนี้รุนแรงและเลวร้ายที่สุดในรอบ 40 ปีนับว่ารุนแรงมากกว่าช่วงเกิดวิกฤตไข้หวัดนก สาเหตุสำคัญเกิดจากการที่สหฟาร์ม มีการขยายการลงทุนเกินตัว ขยายทั้งจำนวนลูกเล้า โรงงานชำแหละไก่ กอร์ปกับในปีที่แล้ว มาราคาวัตถุดิบแพงทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากถึง 30% การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท/วัน ค่าไฟฟ้า(เอฟที)ที่เพิ่มขึ้น ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกระทบต่อการส่งออก ขณะที่ราคาขายไก่ทั้งในและต่างประเทศตกต่ำ ยิ่งรุมเร้าปัญหาให้แย่ลงไปอีก

 


        ล่าสุด ปัญหาการขาดสภาพคล่องของสหฟาร์มได้ลุกลามขยายวงกว้างมากขึ้นจากลูกเล้าไปสู่ลูกจ้างและพนักงานบริษัทในกลุ่มสหฟาร์ม ทำให้มีการค้างจ่ายเงินเดือนและทยอยจ่าย สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่อแรงงานต่างด้าวที่หาเช้ากินค่ำ จนนำมาสู่การประท้วงเรียกร้อง และขู่เผาโรงงานหากไม่ได้รับเงินค่าจ้าง จนบริษัทฯต้องยอมที่จะจ่ายเงินค้างจ่ายให้ ขณะเดียวกันก็ปิดโรงชำระแหละไก่ 2 เดือนเพื่อหาเงินกู้สำหรับเดินโรงงานต่อไป

 


        แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัญหาหลักๆ คือ ประชาชนนิยม ที่รัฐบาลประกาศไว้ก่อนเลือกตั้ง เพื่อดึงดูดใจประชากรส่วนใหญ่โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของชนชั้น ถือว่าเป็นการกระบวนการปลุกระดมทางการเมือง แต่หลังจากที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาทำงานทางการเมืองแล้วก็จบกันไป โดยไม่มีการวางแผนที่จะแก้ไขปัญหา หรือวางแผนรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะในกลุ่มของเกษตรปศุสัตว์ ที่รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งโยงใยเป็นลูกโซ่ เกิดปัญหาสังคมตามมาอีกมากมาย เนื่องจากรัฐบาลไม่ให้ความสนใจ ที่จะสนับสนุนในเรื่องของสถาบันงานเงินให้กับผู้ประกอบการ ธนาคารไม่ปล่อยเงินกู้ทำให้ผู้ประกอบการไม่มีเงินหมุนเวียนธุรกิจก็ไปไม่รอด ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลจะต้องมีนโยบายรองรับกับการทำประชานิยม

 


        " สหฟาร์มยังมีปัญหาในภายในของบริษัทเอง ที่มีการเติบโตเกินตัว รวมทั้งในปัจจุบันนี้เป็นยุคของเจเนอเรชั่นใหม่ ของสหฟาร์ม ทำการการบริหารจัดการต่างจากในยุคของ ดร.ปัญญา โชติเทวัญ ใช้เงินไม่เป็น ไม่มีการวางแผนงาน เพราะมั่นใจในนโยบายของรัฐบาลมาเกินไป ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าอยู่ทาง สหฟาร์ม มีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับรัฐบาลในชุดนี้ แต่เมื่อมีปัญหาการเงินไม่ว่าใครก็เมิน "

 


        แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการไก่แปรรูป กล่าวว่า สถานการณ์อุตสาหกรรมไก่ในครึ่งปีหลังนี้จะดีขึ้นกว่า 6 เดือนแรกปี 2556 เนื่องจากต้นทุนอาหารสัตว์อ่อนตัวลงมา และราคาไก่เป็นก็ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 46-47 บาท/กิโลกรัม ดีขึ้นจากปีก่อนที่ราคาไก่เป็นอยู่ที่ 30 กว่าบาท/กิโลกรัม เป็นระดับราคาที่ผู้ประกอบการมีกำไรเหมาะสม

 


        ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ราคาไก่ที่ดีขึ้นในช่วงนี้ เพราะได้รับอานิสงส์จากสหฟาร์มที่สะดุดล้ม จนต้องปิดโรงงานชำแหละไก่ไปทั้ง 2 โรงลพบุรีและเพชรบูรณ์ หลังจากช่วงที่ผ่านมา สหฟาร์มไม่สามารถแก้ปัญหาขาดสภาพคล่องได้ ผิดจากผู้ประกอบการค่ายอื่นๆที่มีการขยายการลงทุนเพิ่มแต่ก็ไม่มากเท่า แม้ว่าปีที่แล้วจะขาดทุนแต่ไม่รุนแรงเท่าสหฟาร์ม ทำให้ปีนี้ยังประคองตัวเองได้

 


        แหล่งข่าวกล่าวว่า จากการปิดโรงชำแหละไก่ของสหฟาร์ม ทำให้ลูกเล้าบางรายที่เลี้ยงบไก่ป้อนให้สหฟาร์มต้องนำไก่ที่มีอายุ 10กว่าวันไปฝัง เพราะไม่สามารถหาอาหารสัตว์มาเลี้ยงให้ได้ แต่บางรายก็ประคองเลี้ยงไปแล้วขายให้โรงชำแหละไก่อิสระแทน เชื่อว่างานนี้จะเห็นการฟ้องร้องบริษัทฯตามมาอีกมากทั้งซัปพลายเออร์วัตถุดิบอาหารสัตว์ วัคซีน ฯลฯ เพราะเท่าที่ได้ยินมีการค้างจ่ายซัปพลายเออร์จำนวนหนึ่งด้วย

 


        ซึ่งแนวทางการแก้ไขในขณะนี้ คือ รัฐบาลจะต้องมีการหารือกับสถาบันทางการเงินให้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่เพื่อให้สหฟาร์ม มีเงินมาหมุนเวียนและผู้ประกอบการรายย่อยก็สามารถอยู่รอดต่อไป ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาสังคมที่ตามมาเป็นลูกโซ่อีกมากมาย ตั้งแต่ผู้ผลิตอาหารสัตว์ แรงงาน เกษตรกร โดยยอมรับว่าอาชีพเลี้ยงไก่ความเสี่ยงสูง สถาบันการเงินไม่อยากปล่อยกู้

 


       
       **** ลูกเล้ารวมตัวทวงหนี้บริษัทฯ

 


        นายธีรศักดิ์ ทรายฮวด ผู้เลี้ยงไก่ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ 1 ในลูกเล้าของสหฟาร์มในจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีอยู่กว่า 100 ราย กล่าวว่า ไม่แปลกใจที่บริษัทสหฟาร์ม จะหยุดกิจการบริษัทในเครือที่ ต.กันจุ อ.บึงสามพัน เนื่องจากไม่มีผู้เลี้ยงไก่ ซึ่งเป็นลูกเล้าบริษัทส่งไก่เข้าไปให้เชือดแล้ว เพราะบริษัทติดค้างค่าไก่ลูกเล้าไว้เป็นจำนวนมาก

 


        ก่อนหน้านี้ก็ทราบข่าวมาเหมือนกันว่าบริษัทจะหยุดดำเนินธุรกิจราว 2 เดือน ซึ่งตอนนี้ลูกเล้าทุกรายพยายามทำใจ แต่มีหลายรายที่ทำใจไม่ได้ เพราะไปกู้หนี้ยืมสินมาลงทุน เมื่อบริษัทไม่ยอมจ่ายหนี้ บางรายก็แทบล้มละลาย หรือจะถูกยึดบ้านยึดที่ดินทำกินหมดเนื้อหมดตัวกันเลยทีเดียว ล่าสุดมีลูกเล้า 36 ราย มูลหนี้ร่วม 30 ล้านบาท จากทั้งหมด 100 กว่าราย รวมตัวกันพยายามติดตามทวงหนี้จากบริษัททุกช่องทาง แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น

 


        "เราทำทุกวิธีเพื่อติดตามทวงหนี้ โดยไปยื่นหนังสือให้ทางจังหวัดช่วยเหลือรวม 3 ครั้งก็ไม่มีผล ไปร้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็ได้รับแจ้งว่า อยู่ระหว่างประสานกับทางบริษัทฯ ไปร้องสภาทนายความจังหวัด ก็ได้รับคำแนะนำพร้อมพาไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ .บึงสามพันก็ไม่มีความคืบหน้าเช่นเดียวกัน".

 

 

 

 

***************************************************

 

 

 

                                                สายใยเเห่งรัก..               

 

 

                                  

 
 
 
 
"อย่าบอกป้าโจ๊วนะลูก ว่าลุงอู๊ด เสียเเล้ว.."
เสียงพูดอ้นเเผ่วเบาจากปากของนาง พรรณี พลรัตน์ น้องสาวคนเดียวของป้าโจ๊ว ที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ในห้อง ไอ ซี ยู โดยมีสายอ๊อกซิเจน กับสายน้ำเกลือ พันระโยงระยางเต็มไปหมดของโรงพยาบาลตำรวจ ที่เอ่ยกระซิบก้บลูกสาวที่นั่งเฝ้าอยู่ปลายเตียงของผู้เป็นป้าด้วยดวงตาที่เศร้าหมอง
 
"ลุงเสียเมื่อไร ล่ะเเม่?.."
เมื่อตอนสองทุ่มครี่งนี่เอง อยู่ที่สมิติเวช พรุ่งนี้ก็คงจะเคลื่อนไปที่วัดมกุฏฯ เเม่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไว้ศาลาไหน?..."
 
ผู้เป็นเเม่กล่าวจบพร้อมกับหยดน้ำตาใสๆที่ค่อยๆไหลรินร่วงมาเป็นสายอย่างไม่รู้ตัว ภาพของพี่สาวคนเดียวที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ในอาการที่ไม่รู้สึกตัวอยู่ในขณะนี้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก นี่หรือศิลปินเเห่งชาติ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี?.. นี่หรือคนที่ให้ความสุขเเก่มิตรรักนักฟังเพลงมาเป็นระยะเวลานานเเสนนาน เป็นนางฟ้าเสียงสวรรค์ที่อยู่ในหัวใจคนนับล้านคน?..ทำไมต้องมานอนซมเพราะพิษ เบาหวาน พาร์กิสัน อัลไซเมอร์ หนักหนาสาหัสสากรรณ์ถึงขนาดนี้ล่ะ?!!.....
 
ภาพของพี่สาวกับสามีก็คือคุณ สุวัฒน์ วรดิลก หรือ ลุงอู๊ดของเด็กๆ ต่อเเต่นี้ไปก็คงจะไม่มีอีกเเล้ว ภาพของทั้งคู่ที่ไม่เคยห่างกันเลยเเม้เเต่วันเดียว ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ครองรักกันมา มันยิ่งกว่าเงาตามตัวของกันเเละกันเสียอีก ไม่รู้ล่ะ..เห็นพี่โจ๊วตรงไหน ก็ต้องเห็นพี่อู๊ดอยู่ตรงนั้นด้วยล้านเปอร์เซนต์!!...ทั้งคู่ต่างก็ห่วงหาอาทรซึ่งกันเเละกันอยู่ตลอดเวลา คำน้อยสักนิดที่จะผิดใจกันนั้นไม่มี จวบจนกระทั่งพี่อู๊ดล้มป่วยลงด้วยวัยชรา เเข้งขาไม่มีเเรง เเต่ก็ได้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากคอยดูเเลเฝ้าไข้อย่างใกล้ชิด จัดการหาหยูกหายาพาขับรถไปหาหมอพนอคลอเคล้ากันไม่ห่าง พี่อู๊ดยิ้มเเย้มเเจ่มใสทักทายลูกหลานเเละลูกศิษย์ลูกหา ที่เเวะเข้าไปเยี่ยมเยียนกราบทักทายสองตายายที่ศรีราชาอยู่เป็นประจำ ไม่มีสักนิดเลยสำหรับเเววตาของการท้อถอย.....
 
เเล้วก็ถึงวันหนึ่งที่พี่โจ๊วต้องมาล้มป่วยลงบ้างจากอาการโรคเบาหวานกำเริบ พร้อมกับโรคร้ายหลายอย่างที่ประดังเข้ามา ทางญาติๆก็ตกลงกันว่าให้มารักษาตัวที่กรุงเทพจะดีกว่า เพราะอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือทางการเเพทย์จะมีความพร้อมมากกว่า
 
"โจ๊ว เขาเป็นยังไงมั่งล่ะณี?..." เสียงของชายชราที่นอนไม่ไหวติงอยู่บนเตียง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด จากน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาจากชายชราผู้นั้น
 
"หมอเขารับตัวไว้เเล้วล่ะพี่อู๊ด อยู่ใกล้มดใกล้หมอ เครื่องไม้เครื่องมือก็มีพร้อมทุกอย่าง ไม่ต้องกลัวหรอกพี่ อาการก็ดีขึ้นไปเรื่อยๆ อีกไม่นานก็คงหาย.."
"หมอเขาว่าเป็นอะไร?.."
"โรคคนเเก่น่ะพี่.." กล่าวจบเธอก็เเสร้งทำปลีกตัวเดินเข้าไปในครัวหลังบ้าน เพี่อที่จะได้หยุดการสนทนาไว้เเต่เพียงเท่านั้น ก็เธอจะพูดออกไปได้อย่างไรกันเล่า? ว่าทุกวันนี้พี่สาวของเธอนั้นยังนอนอยู่ที่ห้องไอซียู เเละยังไม่รู้สึกตัวเลย...
 
นั่นเป็นครั้งเเรกที่เธอได้เห็นเขาทั้งคู่ต้องเเยกจากกัน เเละนับตั้งเเต่วันนั้นเป็นต้นมา อาการของพี่อู๊ดก็ทรุดลงเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งวันที่ 15 เมษายน 2550 พี่อู๊ดก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยอาการหัวใจล้มเหลวในสภาพที่คราบน้ำตายังเเห้งเกรอะกรังอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง..."ใช่เเล้วล่ะ..พี่อู๊ดตรอมใจตาย......" พรรณี รำพึงรำพันกับตัวเองเบาๆด้วยอารมณ์ที่หดหู่ยิ่งนัก
 
ทางญาติๆต่างตกลงกันว่าจะสวดอภิธรรม 30 วัน เเล้วก็จะเก็บศพ 100 วัน ก่อนที่จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพต่อไป ลูกๆหลานๆใครทีว่างก็สลับสับเปลื่ยนกันเข้ามาดูอาการของป้าโจ๊วที่โรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วง
 
"เเม่ป้ายิ้มเเล้ว!!.." เสียงลูกสาวละล่ำละลัก หันไปบอกเเม่พรรณีที่กำลังยืนคุยกับคุณหมอด้วยน้ำเสียงดีใจ..ภาพที่เห็นอยู่ในขณะนี้ คนไข้ที่นอนหลับตาไม่รับรู้เรื่องราวต่างๆมานาน เธอกำลังยิ้มอย่างมีความสุข ทั้งๆที่ตาทั้งสองข้างของเธอยังปิดสนิท
 
"รอด้วยพี่อู๊ด...." เสียงที่เบาเเสนเบาพอจะจับใจความได้ถึงความรู้สึกที่โหยหาอาทรเเห่งห้วงลึกสุดหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอรอคอยบางสิ่งบางอย่างมานานเเสนนาน..."รอด้วยยยยยยย............" เสียงที่เเผ่วเบานั้น ค่อยๆเงียบหายไป พร้อมกับลมหายใจที่สงบนิ่งลงในเวลาต่อมา......
 
10.30 น. ของวันที่ 14 พฤษภาคม 2550 เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ศิลปินเเห่งชาติ ได้สิ้นใจอย่างสงบ ภายหลังจากสวดอภิธรรมศพ สุวัฒน์  วรดิลก ศิลปินเเห่งชาติ ผู้เป็นสามี ครบ 30 วัน พอดี................

 

 

*******************************************

 

 

               

 

 

                                       จลาจลอิยิปต์

 

 

 

อียิปต์เดือด ผู้สนับสนุบต่อต้าน โมฮัมเหม็ด มอร์ซี อดีตประธานาธิบดี ที่ถูกรัฐประหารเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ปะทะกัน เสียชีวิตไปเกือบ 30 คน บาดเจ็บกว่า 300 คน

 

 

อียิปต์ ปะทะเดือด ตาย 30 เจ็บกว่า 300
 
 
 
 
 
 

อียิปต์เดือด ผู้สนับสนุบต่อต้าน โมฮัมเหม็ด มอร์ซี อดีตประธานาธิบดี ที่ถูกรัฐประหารเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ปะทะกัน เสียชีวิตไปเกือบ 30 คน บาดเจ็บกว่า 300 คน

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สถานการณ์ทางการเมืองในอียิปต์ ทวีความตึงเครียดมากขึ้น หลังเกิดเหตุ
ปะทะกัน ระหว่างกลุ่มสนับสนุนอดีตประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด มอร์ซี ที่มีกลุ่มภราดรภาพมุสลิม เป็นแกนนำกับกลุ่มต่อต้านและทหาร เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไปประมาณ 30 ราย บาดเจ็บ 318 คน ในหลายเมืองทั่วประเทศ

รายงานระบุว่า ความรุนแรงเกิดขึ้น หลังจากเจ้าหน้าที่ทหารยิงผู้สนับสนุน นายมอร์ซี เสียชีวิต 3 ราย ก่อนที่ นาย
โมฮัมเหม็ด บาดี ผู้นำสูงสุดของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ปรากฏตัวต่อหน้าผู้สนับสนุน ที่มัสยิดในกรุงไคโร พร้อม
กับเรียกร้องให้ออกมาแสดงพลังตามท้องถนน เพื่อคืนตำแหน่งให้ นายมอร์ซี และประณามทหารว่าผิดคำสัญญา
จากนั้นจึงเกิดการปะทะกับฝ่ายต่อต้าน และทหาร บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำไนล์ ที่มุ่งหน้าไปยังจตุรัสทาห์รี

ขณะเดียวกัน กองทัพได้ประกาศว่า สามารถควบคุมตัว นายไครัด อัล-ชาเตอร์ ผู้ช่วยของ นายบาดี ที่บ้านพักของ
เขาในกรุงไคโรได้แล้ว แต่ความวุ่นวายยังขยายไปยังหลายเมืองกลุ่มผู้สนับสนุนพยายามบุกเข้าไปยังอาคารของรัฐบาล และกองทัพ จนทำให้เกิดเหตุปะทะกับตำรวจและกลุ่มต่อต้าน นายมอร์ซี ที่เมืองอเล็กซานเดรีย เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 กลุ่มสนับสนุน นายมอร์ซี กราดยิงใส่กลุ่มต่อต้าน มีผู้เสียชีวิตไป 12 ราย และที่เมืองอัล-อาริส มีตำรวจเสียชีวิตไป 5 นาย ด้วย

ด้าน กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญกับอียิปต์ ได้ออกแถลงการณ์ประณามความรุนแรงที่เกิด
ขึ้นและเรียกร้องทุกฝ่ายยุติความรุนแรง เช่นเดียวกับ นายบัน กี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ออกมาแสดงความ
วิตกกังวลต่อเหตุการร์ในอียิปต์ ที่กำลังบานปลายด้วย

 

 

                              
 

 

 

นายศราวุฒิ อารีย์ นักวิชาการจากศูนย์มุสลิมศึกษาสถาบันเอเชียศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลั ให้สัมภาษณ์รายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ทางสถานีวิทยุ 97.0 เมกกะเฮิรทซ์ ถึงการรัฐประหารในประเทศอียิปต์ว่า หากเราติดตามจะพบการคัดง้างระหว่างกองทัพกับรัฐบาลของนายโมฮัมเหม็ด มอร์ซีมาตลอด และหลังจากเหตุการณ์อาหรับสปริง ที่โค่นล้มอดีตประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัก ทหารเกิดความหวาดระแวงกลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮูดของนายมอร์ซี เพราะมีความพยายามออกกฎหมายลดอำนาจบทบาทกองทัพ ตุลาการ



นายศราวุฒิล่าวต่อว่า ที่ประชาชนซึ่งเคบขับไล่นายมูบารัก ออกมาขับไล่นายมอร์ซีอีกครั้ง เหตุผลมีหลานประการ ประการแรกเพราะการชนะเลือกตั้งของนายมอร์ซีชนะ เพียง 52 % ส่วนกลุ่มเก่า 48% เพราะฉะนั้นจำนวนประชาการที่สนับสนุนสองฝ่ายใกล้เคียงกัน นอกจากนี้วัยรุ่นหนุ่มสาวช่วงอาหรับสปริง เขาต้องการให้เปลี่ยนแปลงฉับไว แต่การบริหารของมอร์ซีสะท้อนความล้มเหลว เมื่อมีเศรษฐกิจตกต่ำ มีคนว่างงานจำนวนมากจึงเกิดเหตุการณ์ขึ้น นอกจากนี้กระแสโลกอาหรับมีการต่อสู้ระหว่างแนวทางกลุ่มนิยมอิสลาม กับกลุ่มแนวทางฝ่ายทางโลก ก่อนหน้านี้ก็ทมีการลุกฮือในอีกหลายๆประเทศ ของฝ่ายทางโลก เขาเกิดความหวาดระแวงว่าฝ่ายนิยมอิสลามจะนำไปสู่แนวทางเคร่งครัดของมุสลิม และจะนำไปสู่การลิดรอนอิสรภาพของตนเอง และครั้งนี้ทำให้ทหารเข้ามายึดอำนาจในที่สุด.....

 

สถานการณ์ที่ Eยิปต์ เข้าใจง่ายๆจาก อ.พิชิต

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

ขณะนี้ สถานการณ์ในอียิปต์ซับซ้อนมาก Morsy เป็นประธานาธิบดีมาหนึ่งปี จากพรรคภราดรภาพมุสลิม มีปัญหามาก พยายามเอาศาสนาอิสลามเข้ามาครอบงำการเมืองของอียิปต์ เปลี่ยนให้เป็น รัฐมุสลิม ไล่ล่าทุกองค์กรที่วิพากษ์วิจารณ์ Morsy โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การ "ทำรุนแรงXXX" ต่อผู้หญิงที่ต่อต้านรัฐบาล ไล่ล่าแม้แต่ผู้นำศาสนาอิสลามที่ไม่ใช่นิกายสุหนี่ (พรรคภราดรภาพมุสลิมเป็นนิกายสุหนี่)

รัฐธรรมนูญที่ร่างโดย Morsy ก็โน้มเอียงโดยอ้างศาสนา เช่น ไม่ให้สิทธิหญิงเท่าเทียมชาย
ประชาชนนับล้านเลยออกมาชุมนุมขับไล่ให้ Morsy ลาออกและให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ทันที โดยสรุปคือ ประชาชนที่ออกมาขับไล่ Morsy ต่อต้านการเอาศาสนาอิสลามมาครอบการเมือง (กลัวเป็นแบบอิหร่าน) และต้องการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นแบบ "เสรีนิยม" มากขึ้น

ฝ่ายพรรคภราดรภาพมุสลิมก็เอาผู้สนับสนุนของตนออกมาชุมนุมต่อต้านอีกที ผู้นำพรรคภราดรภาพมุสลิมประกาศ "จิฮัด สงครามศักดิ์สิทธิ์" ต่อผู้ที่ต่อต้าน Morsy และหาว่า ผู้ประท้วงเป็นพวกต้องการ "ประชาธิปไตยเสรีนิยม" แบบตะวันตก
นโยบายของพรรคภราดรภาพมุสลิมอียิปต์ข้อหนึ่งคือ "รวมชาติอิสลามทั้งหลายให้เป็นหนึ่ง ไปสู้กับ จักรพรรดินิยมตะวันตก"

ล่าสุด กองทัพได้ยื่นคำขาดให้ Morsy ลาออกภายใน 48 ชั่วโมง ประชาชนฝ่ายต่อต้านได้เฮ พอเส้นตายผ่านไป รถถังก็เคลื่อนออกมา "รัฐประหาร!!!" ประชาชนที่ต่อต้าน Morsy เชียร์ทหารเป็นการใหญ่
ก็ต้องดูต่อไปว่า จะเป็นอย่างไร ที่สำคัญ เมื่อกองทัพโค่น Morsy ได้แล้ว จะทำตามข้อเรียกร้องของประชาชนที่ให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่และให้เลือกตั้งประธานาธิบดี​ใหม่หรือไม่ หรือจะ "มั่วนิ่ม" ลากถูไปเป็นเผด็จการอีกรอบ??!!

--------------------------------------------------------------------------------
อาจารย์เขียนให้อ่านเข้าใจง่าย ซึ่งเห็นอยู่ว่าบริบทมันต่างจากประเทศไทยเยอะเลย ที่นั่้นคนเคยอิสระ แต่ต้องมาเจอรัฐธรรมนูญที่พยายามริดรอนเสรีภาพ ส่อออกไปเป็นรัฐอิสลามเคร่งครัดเหมือนอิหร่าน ผู้หญิงถูกกดขี่อย่างมากจนไกล้เคียงเผด็จการเข้าไปทุกวัน

ประชาชนออกมาประท้วงเพื่อต้องการเสรีภาพครับ

ย้ำ!!

เค้าไม่มีเสรีภาพเลยออกมาประท้วง ผิดกับไทยที่มีเสรีภาพอยู่แล้วแต่ออกมาประท้วงเพื่อให้เป็นเผด็จการ

 

 

 

 

 

*********************************

 

 

 

 

                                                          ผลของคนอกตัญญู



ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภอนาถบิณฑิกเศรษฐี เรื่องมีอยู่ว่า...

    มีเศรษฐีชาวบ้านนอกคนหนึ่ง เป็นสหายผู้ไม่เคยเห็นกันของอนาถบิณฑิกเศรษฐี วันหนึ่ง ได้บรรทุกสิ่งของมาขายเมืองสาวัตถี ด้วยขบวนเกวียนสินค้า ๕๐๐ เล่ม มอบให้คนงานนำมาขาย พร้อมฝากคำมาหาอนาถบิณฑิกเศรษฐีด้วย

   ฝ่ายท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ทำการต้อนรับด้วยความยินดี สั่งให้หาที่พักและเสบียงแก่คนเหล่านั้น ไต่ถามถึงความสุขของเศรษฐีผู้สหาย รับซื้อแลกเปลี่ยนสินค้าทั้งหมดแล้วส่งกลับบ้าน พวกคนงานแจ้งเนื้อความนั้นแก่เศรษฐีเจ้านายของตน

   ต่อมาอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ส่งเกวียนบรรทุกสินค้าจำนวน ๕๐๐ เล่ม พร้อมนำเครื่องบรรณาการไปเยี่ยมเยือนเศรษฐีผู้สหายนั้น ฝ่ายเศรษฐีนั้นรับเครื่องบรรณาการแล้ว บอกว่าไม่รู้จักอนาถบิณฑิกเศรษฐีไม่จัดที่พักและเสบียงให้คนงานเหล่านั้นเลย ไม่รับซื้อสินค้าอีกด้วย คนเหล่านั้นต้องขายสินค้ากันเองแล้วกลับคืนเมืองสาวัตถี เล่าเรื่องนั้นแก่อนาถบิณฑิกเศรษฐีฟัง

   อยู่ต่อมา เศรษฐีนั้น ได้บรรทุกสินค้ามาขายที่เมืองสาวัตถีซ้ำอีก นำบรรณาการมอบให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว พวกคนงานของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นพวกนั้นแล้ว ขออาสาต้อนรับเอง ให้ปลดเกวียนไว้นอกเมือง พอถึงเวลากลางคืนได้นำพวกเข้าปล้นสินค้าแย่งเอาแม้กระทั่งผ้านุ่ง พวกบ้านนอกไม่เหลือแม้กระทั่งผ้านุ่งต่างกลัวตาย พากันหนีไปสู่บ้านของตน

   ฝ่ายคนของอนาถบิณฑิกเศรษฐีพากันบอกเรื่องนั้นแก่เศรษฐี ท่านเศรษฐีจึงนำความนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสพระคาถาว่า
     " ผู้ใด ไม่รู้จักคุณความดีและประโยชน์ให้ที่ผู้อื่นกระทำไว้ก่อน
       ผู้นั้น เมื่อมีกิจการเกิดขึ้นภายหลัง ย่อมไม่ได้ผู้ช่วยเหลือ "
 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
 
บุญคุณคนต้องทดแทน

* เรื่องที่ ๑๐ ในอปายิมวรรค หน้า ๓๑๖-๓๑๙ พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๒

ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
วัดธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๔๐๐๐๐ โทร ๐๔๓-๒๒๒๑๐๑, ๐๔๓-๓๒๐๘๕๐

 

 

 

************************************

 

 

 

 

 

 

 

'ยุทธศักดิ์' ปฏิเสธ คลิปเสียง ยันไม่คิดคุมผบ.เหล่าทัพ

 
 

 

 

 

 

 "พล.อ.ยุทธศักดิ์" ปฏิเสธ คลิปเสียง ยันไม่คิดคุมผบ.เหล่าทัพ -แก้กม.กลาโหม-คุมโยกย้ายทหาร และไม่เคยพบ"พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่สิงคโปร์ 
 
 
เว็บไซต์เดลินิวส์  รายงานว่า วันนี้( 6 ก.ค.) พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ได้มีสมาชิกยูทูปใช้ชื่อว่า " ไทย รักชาติ" โพสต์คลิปเสียง โดยใช้หัวข้อว่า "เสียงการสนทนาของ พล.อ. ยุทธศักดิ์กับพ.ต.ท ทักษิณ ในการวางแผนกลับประเทศ???" มีทั้งหมด 4 ตอนว่า ยังไม่ได้ฟังคลิปเสียงดังกล่าว ยืนยันว่าช่วงก่อนปรับ ครม. และหลังปรับครม. ไม่ได้โทรศัพท์หา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และไม่เคยไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการส่วนตัว รวมไปถึงไม่เคยไปคุยในวงสนทนาที่มีบุคคลที่สาม
 
 "ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปคุยกับท่าน คนที่มาบอกผมให้มารับตำแหน่งรมช.กลาโหม คือท่านนายกฯ โทรศัพท์มาเรียกผมช่วง 3 โมงเย็นไม่เกี่ยวกับนายกฯทักษิณ และในคลิปไม่ใช่เสียงผมแน่นอน" รมช.กลาโหม กล่าว
 
เมื่อถามว่า ในบทสนทนา อ้างว่าชายดังกล่าวเล่าเหตุการณ์ที่ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ไปราชการภาคใต้และโดนทักกลับว่าคู่สนทนาอายุ 76 ปี พล.อ.ยุทธศักดิ์ หัวเราะพร้อมกล่าวว่า ไม่มี ไม่มี ไปเอาที่ไหนมา ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่รู้ใครเอาเรื่องนี้ไปเขียน ยืนยันว่าไม่ได้พูด เมื่อถามย้ำว่า ในบทสนทนาอ้างว่าเหตุการณ์ระเบิดภาคใต้ทหารตาย 6 ศพ เกิดเมื่อวานนี้เหมือนเป็นการไปพูดคุยกันวันที่ 23 ก.ค. ตามที่มีข่าวว่าไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่สิงคโปร์
 
พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ไปเช็คดูได้เลยว่าช่วงดังกล่าวตนเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์และไปประชุม ไม่ได้ไปสิงคโปร์เลยพอกลับมาก็ได้รับข่าวว่าต้องมารับหน้าที่ พอวันที่ 4-5 ก.ค.ก็ไปเกาหลี ไม่ได้ไปฮ่องกง และตนก็ไม่ได้ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณนานแล้ว ท้าเลยเอาคลิปเสียงมายืนยันว่า เป็นเสียงตน หรือเสียงนายกฯทักษิณ วันจันทร์ (8 ก.ค.) เอามาเปิดฟังเลย เอาหลักฐานมายืนยัน นี่แค่เริ่มทำงานนะ สงสัยคลื่นใต้น้ำในกระทรวงกลาโหมจะแรง ขนาดตอนไปเกาหลีหลังรับตำแหน่งยังมีข่าวลือ บอกว่าตนจะยึดห้อง รมว.กลาโหม ซึ่งก็ได้แจ้งไปทางเลขาธิการนายกฯ ว่าได้สั่งปลัดกระทรวงกลาโหมส่วนตัวให้ไปเตรียมห้องทำงานให้ท่าน ไปเช็คดูความเรียบร้อย เพราะท่านเป็นผู้หญิง ทั้งเรื่องห้องน้ำ โต๊ะทำงาน พร้อมทั้งไปตรวจดูว่ามีเครื่องดักฟังหรือเปล่า แต่เมื่อมีเรื่องอย่างนี้ออกมาก็ดี จะได้รู้ว่ามีคนไม่ค่อยหวังดี และไม่อยากให้ตนมา

 
 ในเนื้อหาการสนทนามีการพูดถึงการควบคุม ผบ.เหล่าทัพ และการแก้ไขกฎหมายบางฉบับเรื่องโยกย้ายทหารเพื่อคุมกองทัพนั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่เคยพูดเรื่องการแก้ไขกฎหมาย หรือแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับการโยกย้าย และตนก็ยังไม่ได้คุยกับนายกฯ ทั้งนี้นายกฯ เป็นประธานบอร์ดโยกย้าย และยืนยันว่ายังไม่มีแนวคิดเรื่องโยกย้ายทหาร หรือต้องการคุมเสียงของกองทัพ ตอนนี้ทหารกับรัฐบาลคุยกันแบบเปิดอก.

 

 

 

ยืนยันได้เลย ไม่ใช่การบันทึกเสียงจากโทรศัพท์

แต่เป็นเสียงบันทึกจากการสนทนาแบบนั่งโต๊ะคุยกัน

เสียงไมค์ ที่พูดกะนายกฯ ทักษิณ ชัดเจนมาก เหมือนมีไมค์อยู่ใกล้ตัว

เหมือนจะเป็นการบันทึกเสียงไปให้ ใครซักคนฟัง ว่าความคิดท่าน นายกฯ ทักษิณ มีแนวคิดอย่างไร

แต่ถ้าบันทึกเสียงจากโทรศัพท์ จะใช้โทรศัพท์ยี่ห้อ อีริกสัน รุ่นเก่าดักฟัง เสียงจะชัดเจนเพียงคนเดียว

ยืนยันได้อย่างหนึ่งก็คือ ของจริงครับ ไม่มีการตัดต่อ
 
 
 
 
 
 

**********************************

 

 

 

 

 

 

 

******************************************

 

guest

Post : 2013-06-29 18:56:12.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ตะเกียบ

 

 

                             ตะเกียบ



คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


 

 

 




 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อ่านประวัติ ศาสตร์ของตะเกียบ โดย อดุลย์ รัตนมั่นเกษม นักวิชาการจีนศึกษา เล่าว่า ในสมัยราชวงศ์ถัง นักการศึกษาชื่อ ขงอิ่งต๋า ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตำราคัมภีร์ขงจื๊อ มีชีวิตอยู่เมื่อปี ค.ศ.574-648 สนองรับคำสั่งของพระเจ้าถังไท้จง เรียบเรียง "อู่จิงเจิ้งอี้" (Wujing Zhengyi- An Exact Implication of the Five Classics" สำหรับเป็นบรรทัดฐานในการสอบคัดเลือกคนเข้ารับราชการ

ขงอิ่งต๋าพูดถึงธรรมเนียมและมารยาทในการกินข้าวของคนจีนในสมัยนั้นว่า "มารยาทการกินข้าวของคนโบราณจะไม่ใช้ตะเกียบ แต่ใช้มือ เมื่อกินข้าวร่วมกับคนอื่นควรชำระมือให้สะอาดหมดจด อย่าให้ถึงเวลากินข้าวแล้วเอามือถูใบสน หยิบข้าวกิน เกรงจะเป็นที่ติฉินของคนอื่นว่าสกปรก"

คนโบราณที่ขงอิ่งต๋ากล่าวถึงคือคนในยุคขงจื๊อ จึงมีความเชื่อกันว่า คนจีนน่าจะรู้จักใช้ตะเกียบกันมาเป็นเวลานานมากกว่า 2,000 ปี ตะเกียบใช้สำหรับคีบผักต้มจากหม้อน้ำแกงมาไว้ในชามข้าว จากนั้นจึงเอามือหยิบข้าวกิน ถ้ามีใครใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากถือเป็นการเสียมารยาทมาก สิ่งใดที่บรรพบุรุษสร้างหรือกำหนดไว้จะไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืน คนจีนจึงรักษาธรรมเนียมการกินด้วยมืออยู่เป็นเวลานานหลายร้อยปี

จีนเริ่มใช้ตะเกียบตั้งแต่เมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง แต่ยอมรับกันว่าคนจีนใช้ตะเกียบกินข้าวกันอย่างแพร่หลายหลัง ยุคราชวงศ์ฮั่น ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 3

สมัยนั้นเรียกตะเกียบ ว่า "จู้" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "ไขว้จื่อ" เหตุเพราะชาวเรือถือคำว่า จู้ ที่ไปพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า หยุด ว่าไม่เป็นมงคลต่อการเดินเรือ

การที่คนจีนใช้ตะเกียบกินอาหารมาเป็นเวลานับพันปีจึงมีคำสอนไว้มากมาย กระทั่งกลายมาเป็นวัฒนธรรมตะเกียบ ซึ่งมีตั้งแต่การจับตะเกียบจนถึงข้อห้ามต่างๆ ดังนี้

ห้ามวางตะเกียบเปะปะ จะต้องวางให้เป็นระเบียบเสมอกัน ทั้งคู่ คนจีนถือคำว่า "ชางฉางเหลียงต่วน" ความหมายตามตัวอักษรหมายถึง สามยาวสองสั้น โดยนัยหมายถึงความตาย หรือความวิบัติฉิบหาย

ดังนั้น การวางตะเกียบที่ทำให้เหมือนมีแท่งไม้สั้นๆ ยาวๆ จึงไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด

ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น หรือถือไว้ในลักษณะที่ให้นิ้วชี้ชี้คนอื่นที่อยู่ร่วมโต๊ะ ห้ามอม ดูดหรือเลียตะเกียบ

ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม เพราะมีแต่ขอทานเท่านั้นที่จะเคาะถ้วยชาม ปากก็ร้องขอความเมตตาให้บริจาคทาน

ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาบนโต๊ะอาหาร ควรใช้ตะเกียบคีบอาหารที่ต้องการนั้นทันที

ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหาร การกระทำเช่นนี้เปรียบเหมือนพวกโจรสลัดขุดสุสานเพื่อหาสมบัติ เป็นกิริยาที่น่ารังเกียจ

ห้ามคีบอาหารให้น้ำหยดใส่อาหารจานอื่น เมื่อคีบอาหารได้แล้วจะต้องให้สะเด็ดน้ำสักนิด เพื่อไม่ให้น้ำหยด และอย่าทำอาหารที่คีบอยู่หล่นใส่โต๊ะหรืออาหารจานอื่น

ห้ามถือตะเกียบกลับข้าง คือถือปลายตะเกียบขึ้นใช้ช่วงบนคีบอาหาร กิริยานี้น่าดูแคลนที่สุด ถือว่าไม่ไว้หน้าตนเอง เหมือนหิวจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบแทงลงในอาหาร เป็นการเหยียดหยามน้ำใจกัน ห้ามปักตะเกียบไว้ในชามข้าว เพราะดูเหมือนปักธูปในกระถางไหว้คนตาย โดยเฉพาะข้าวให้คนอื่นแล้วปักตะเกียบไว้ในชามข้าวส่งให้ ถือเป็นการสาปแช่ง

ห้ามวางตะเกียบไขว้กัน ถือว่าไม่ให้เกียรติทั้งตนเองและเพื่อนร่วมโต๊ะ

ห้ามทำตะเกียบตกพื้น จะทำให้วิญญาณที่หลับสงบอยู่ใต้พิภพตื่นตกใจ ถือว่าอกตัญญู ต้องรีบเก็บตะเกียบมาวาดเครื่องหมายกากบาทบนจุดที่ตกทันที พร้อมกล่าวคำขอโทษ

วิธีถือตะเกียบที่ถูกต้อง จะต้องถือตะเกียบไว้ตรงง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ให้อีกสามนิ้วที่เหลือคอยประคองตัวตะเกียบไว้ และต้องถือให้เสมอกัน เมื่ออิ่มแล้วต้องวางตะเกียบขวางไว้กลางชามข้าวเสมอ

 

 

 

 

 

 ***************************************

 

 

"หน้ากากขาว" แตกสะบั้น! หลังก่อม็อบกักขฬะหน้า สตช. แฟนคลับแกนนำด่ากันเละ

กระทู้ข่าว


 
 
 
 
วันที่ 2 กรกฎาคม 2556 (go6TV) เพจ V For Thailand ประกาศยกเลิกกิจกรรมอย่างไม่มีกำหนด หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ช่วงชิงการนำม็อบ ปราศัยหยาบคายหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปิดถนนสี่แยกราชประสงค์ ทั้งที่มีคนแค่หลักร้อย รวมถึงแย่งการนำประกาศเคลื่อนทัพไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและต้องผ่านวังสระปทุม จนกลายเป็นความขัดแย้งกันในหมู่แกนนำหน้ากากขาว มวลชนผู้สนับสนุนม็อบหน้ากากขาวเองก็ด่าถึงความไร้วุฒิภาวะ และการแย่งกันเป็นแกนนำ รวมถึงการตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคการเมืองหนึ่งด้วย

http://www.go6tv.com/2013/07/blog-post_1632.html
 

 

************************

 

 

คำทำนายของแม่เฒ่า วานก้า ผู้ถูกขนานนามว่า นอสตราดามุสแห่งบัลแกเรีย

 

 

                                             

 

 

 

วานก้า หรือชื่อจริงคุณยาย วานเกเลีย ปานเดว่า กุชเตโรว่า เป็นชาวบัลแกเรีย ซึ่งตายไปเมื่อหลายปีก่อน เกิดเมื่อ 31 มกราคม 1911 ในครอบครัวชาวนายากจนที่หมู่บ้าน สตรูมิซ่า ที่ปัจจุบันอยู่ใน มาเซโดเนีย

 

คำทำนายครั้งแรกของคุณยาย มีขึ้นเมื่ออายุ 16 ปี คือการบอกถึงสถานที่ที่แพะของพ่อที่ถูกลักไป ถูกนำไปซ่อน คุณยายบอกว่า ท่านเห็นสิ่งนี้ในฝัน


ตัวอย่าง การทำนายของคุณยายวานก้าที่ว่าแม่นๆนั้น ก็อย่างเช่นเรื่องเรือดำน้ำคูร์สค์ ของรัสเซียที่ระเบิดเมื่อหลายปีก่อน ที่คุณยายทำนายไว้ตั้งแต่ปี 1980 คุณยายทำนายเรื่องนี้ว่า ในปี 1999 หรือ 2000 คูร์สค์ จะจมอยู่ใต้น้ำ ผู้คนทั้งโลกจะเศร้าใจกับมัน แต่ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ เพราะเมืองคูร์สค์ อยู่ไกลจากทะเล หรือแม่น้ำ และไม่มีใครฉุกคิดว่าคุณยายทำนายถึงเรื่องดำน้ำคูร์สค์


นอกจากนั้น คุณยายวานก้า ก็ยังทำนายตั้งแต่ปี 1979 ถึงการที่สหภาพโซเวียต จะกลับคืนมาเป็นรัสเซียเหมือนเดิม เรื่องที่สหรัฐถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี ในเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ตั้งแต่ปี 1989 เรื่องการลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างกอร์บาชอฟกับเรแกน การเข้ามาอยู่ในกลุ่ม จี 8 ของรัสเซีย การกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งของรัสเซีย การขึ้นมายิ่งใหญ่ของคนชื่อ วลาดิมีร์ และเรื่องวันตายของคุณยายเอง
คุณยายตายเมื่อ 11 สิงหาคม 1996 เวลา 10:10 น. ตรงตามที่ทำนายเอาไว้ทั้งวันที่ และเวลา

 

คำทำนายถึงโลกในอนาคต


2008 – ผู้นำ 4 ประเทศถูกลอบสังหาร กรณีพิพาทในอินโดสถาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
2010 – เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 ( พฤศจิกายน 2010 – ตุลาคม 2014 ) ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมี การนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ ทำให้ซีกโลกเหนือ จะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์ จากนั้นพวกมุสลิม จะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่ ผู้คนจะป่วยเป็นฝีหนองและมะเร็งผิวหนังกันมากจากผลของอาวุธเคมี


2016 – ยุโรปแทบจะร้างผู้คน
2018 – จีนเป็นมหาอำนาจของโลกรายใหม่ ประเทศกำลังพัฒนา กลับกลายจากประเทศผู้ถูกกดขี่ มาเป็นผู้กดขี่เสียเอง
2023 – วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
2028 – เกิดแหล่งพลังงานใหม่ (คาดว่า น่าจะเป็น เทอร์โมนิวเคลียร์ รีแอ็คชั่น ) โลกเริ่มเอาชนะปัญหาความอดอยากได้ มนุษย์เริ่มเดินทางไปยังดาวศุกร์


2033 – น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
2043 – เศรษฐกิจโลกรุ่งเรือง มุสลิมปกครองยุโรป
2046 – มนุษย์ปลูกอวัยวะได้ทุกอย่าง การเปลี่ยนอวัยวะ เป็นวิธีการรักษาโรคที่ดีที่สุด
2066 – สหรัฐโจมตีกรุงโรมของพวกมุสลิมด้วยอาวุธใหม่ คืออาวุธสภาพอากาศ ซึ่งทำให้อากาศหนาวเย็นลง
2076 – สังคมไร้ชนชั้น (คอมมิวนิสต์)
2084 – ธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู


2088 – เกิดโรคใหม่ โรคแก่ติดจรวด (แก่ในไม่กี่วินาที)
2097 – เอาชนะโรคแก่ติดจรวดได้
2100 – ดวงอาทิตย์เทียมให้แสงส่างกับโลกส่วนที่มืด
2111 – มนุษย์ กลายเป็นมนุษย์ไซบอร์ก (หุ่นยนต์มีชีวิต)
2125 – โลกได้รับสัญญาณจากอวกาศ
2130 – โลกไปตั้งอาณานิคมใต้น้ำ (จากคำแนะนำของมนุษย์ต่างดาว)
2164 – สัตว์ กลายเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์


2167 – เกิดศาสนาใหม่
2183 – อาณานิคมบนดาวอังคารมีอาวุธนิวเคลียร์ และต้องการเป็นเอกราชจากโลก
2187 – โลกหยุดยั้งการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก
2195 – อาณานิคมใต้น้ำ เลี้ยงตัวเองได้โดยสมบูรณ์ ทั้งอาหารและพลังงาน
2196 – ชาวเอเชียผสมกับชาวยุโรปโดยสมบูรณ์
2221 – ในการติดตามหาชีวิตนอกโลก มนุษย์ต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
2256 – ยานอวกาศนำโรคร้ายกลับมายังโลก
 

2262 – วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดาวหางเกือบชนดาวอังคาร
2273 – การผสมปนเปกันของคนผิวขาว ผิวเหลือง และผิวดำ ก่อเกิดเป็นคนสีผิวใหม่
2279 – พบพลังที่ไม่ได้มาจากอะไรเลย (คาดว่าอาจจะมาจากสภาพสูญญากาศ หรือไม่ก็หลุมดำ )
2288 – มีการเดินทางไปกับกาลเวลา การติดต่อครั้งใหม่กับมนุษย์ต่างดาว
2291 – ดวงอาทิตย์เริ่มเย็นลง มีความพยายามที่จะจุดมันขึ้นมาใหม่
2296 – เกิดระเบิดครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์ สถานีอวกาศและดาวเทียมเก่าเริ่มตก
2299 – ในฝรั่งเศสเกิดการจลาจลต่อต้านมุสลิม
2302 – เปิดกฏใหม่เรื่องความลับของจักรวาล
2304 – พบความลับของดวงจันทร์


2354 – เกิดความผิดพลาดกับดวงอาทิตย์เทียม ก่อให้เกิดความแห้งแล้ง
2371 – เกิดปัญหาความอดอยากครั้งใหญ่
2480 – ดวงอาทิตย์เทียม 2 ดวงชนกัน
3005 – สงครามบนดาวอังคาร
3010 – ดาวหางชนดวงจันทร์ เศษซากที่กระจาย พากันโคจรรอบโลก
3797 – ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือบนโลก แต่มนุษย์ได้ไปวางสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตบนดาวดวงอื่นแล้ว

 

 

 

 

*************************************************

 

 

 

ชาวนาทั่วประเทศ..สดุดียกย่องชมเชยนายกยิ่งลักษณ์อย่างท่วมท้น และขอให้อยู่เป็นนายกมิ่งขวัญต่อไป..

 

 

 

                                  

 

 

 

ดีใจสุดๆ เมื่อนายกตรึงราคาข้าว 15,000 บาท

 ;

 

การประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) วันที่ 1 กรกฎาคม 2556 ที่ตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาล ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นประธาน ได้มีมติให้คงราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้า 100% ความชื้น 15% ที่ 15,000 บาท/ตัน และข้าวชนิดอื่นๆ กลับมาที่ราคาเดิม โดยจะรับจำนำเฉพาะปริมาณที่ไม่เกินที่ได้ระบุไว้ในใบรับรองเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนแล้​วเท่านั้น และในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อครัวเรือนตามมติ กขช. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2556 สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/56 จะสิ้นสุดวันที่ 15 กันยายน 2556 และเฉพาะภาคใต้ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2556

ส่วนราคาจำนำที่ต่อรองของงวดต่อไป กำลังพิจารณาอยู่คงได้ 13,500 - 14,000บาทต่อตัน

 

 

 

 

ทำถูกต้องแล้ว...เพราะเป็นนโยบายที่ให้สัญญากับประชาคมไว้

มันจะขาดทุนมั่งก็อย่าวอรี่...

 

เอาเงินภาษี....ที่เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของชาวบ้าน

ไปทุ่มเททุ่มทิ้งเรื่องอื่นๆมากมายมหาศาล...ไม่มีอะไรงอกเงยกลับคืนสักบาท

ไม่เห็นมีแมวตัวไหน...ออกมาโวยวายเห่าหอน

 

พอรัฐบาลจะเอาเงิน...มาช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ที่ยกย่องสรรเสริญกันนักหนาว่า...เป็นกระดูกสันหลังของชาติ

 

กลับออกมาโวยวาย...กลัวบ้านเมืองจะล่มจม

ทีเอาเงินไปสร้างโรงพัก....มีแต่เสาโด่เด่

เอาไปซื้ออาวุธไว้ยิงชาวบ้าน...ปิดปากเงียบเชียว

 

 

 

 

*********************************************

 

 

 

 

                กัดกันเข้าไป..

 

 

 

 

 

 

 

****************************

 

 

 

  ขอแชร์เรื่องการชุมนุมหน้าเซ็นทรัลสักนิดครับ มีเรื่องที่ควรแก้ไข

 

 

                                                  

 

 

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,344 posts

ตอบ วันนี้, 01:01

*
POPULAR

คือว่าผมก็ไปถึงแต่บ่ายโมง ตอนนั้นก็ไม่มีไรครับ ปกติดี จะมีนิดๆหน่อยๆก็ตรงที่เวลาการเคลื่อนขบวนไม่ชัดเจน เปลี่ยนเวลาไปมาสองสามรอบ

 

ที่เห็น ก็จะมีพี่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ใส่หน้ากากตลอด พูดโทรโข่ง (จะมีคนตัวสูงๆคอยถือโทรโข่งให้)

 

 

พี่ผู้หญิงคนนี้ดีมาก คอยประสานงานเรื่องการจัดขบวน แต่ไม่ได้แสดงออกหรือมีท่าทีว่าตัวเป็นแกนนำไรเลย เค้าแค่พยามให้การชุมนุมเป็นระเบียบ มีกรอบชัดเจน และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ห้างและผู้ใช้ถนน

 

อย่างตอนที่สมาคมเชียร์ลีดเดอร์เค้าจำเป็นต้องใช้พื้นที่เพื่อทำการแสดง พี่คนนี้ก็เป็นคนเดินประกาศขอความร่วมมือจากผู้ชุมนุม เพื่อเปิดพื้นที่ให้น้องๆเค้ามาเต้นกัน

 

ผมเห็นพี่เค้าใช้ได้ เลยหาโอกาสเดินไปบอกพี่เค้าว่า พี่ครับวันนี้หน้าสตช.ควรพูดเรียกร้องความยุติธรรมและความปลอดภัยให้กับพี่น้องชาววีในต่างจังหวัดที่ถูกทำร้ายและขู่เข็ญ พี่เค้าบอกว่าโอเค

 

 

จากนั้นพอเริ่มเคลื่อนขบวนตอนบ่ายสองโมงครึ่ง ผมเดินมาถึงกลางสี่แยกราชประสงค์ ก็ได้เห็นรถขยายเสียงคันหนึ่ง และได้ยินเค้าพูด ใจก็นึกว่าดีแฮะ คนนี้พูดปลุกระดมได้ดี เพราะที่ผ่านมามันดูเงียบไปนิด

 

สัปดาห์ก่อนๆ พอเดินผ่านหน้าสตช.ก็ได้ยินแต่คำว่า ขี้ข้าทักษิณ ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าต้องพูดเข้าประเด็นว่าทำไมถึงไปเรียกเขาอย่างนั้นด้วย

 

 

พอถึงหน้าสตช.พี่ผู้หญิงก็บอกให้พี่น้องหยุดหน้าสตช. ผมมีโทรโข่งก็เลยช่วยประกาศว่าเงียบก่อนครับ ให้ฟังข้อเรียกร้องของเราก่อน (เพราะไม่งั้นเดี๋ยวตำรวจฟังไม่รู้เรื่อง)

 

พี่เค้าก็เริ่มพูดข้อเรียกร้องดังกล่าว ไม่ทันไร มีเสียงจากรถขยายเสียงคันนี้พูดไล่หลังมาจากโรงพยาบาลตำรวจ ผลก็คือเสียงพี่ผู้หญิงถูกกลบ ฟังไม่รู้เรื่องสักนิดเดียว เพราะเค้าพูดผ่านโทรโข่งเล็กๆตัวเดียว

 

ผมก็เลยอาสาวิ่งไปบอกรถคันนั้นว่า ตัวแทนเค้ากำลังพูดข้อเรียกร้องต่อตำรวจอยู่ ยังไงก็ให้ช่วยด้วย

 

จากนั้นรถคันนั้นก็พูดต่อ สงสัยคงฟังไม่เข้าใจว่าผมบอกให้หยุดสักครู่ แต่รถคันนั้นก็ช่วยพูดในเรื่องที่ชาววีถูกทำร้าย ก็ถือว่าดีเพราะเครื่องเสียงดังชัดเจน

 

 

จากนั้นพี่ผู้หญิงก็นำมวลชนเคลื่อนขบวน จุดหมายที่เดิมคือหอศิลป์ รถขยายเสียงก็มาอยู่จุดแทนที่พี่ผู้หญิง และพูดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าสตช. เรียกร้องให้ส่งตัวแทนระดับผู้การออกมารับพวงหรีด

 

เรียกร้องอยู่นานมากก็ไม่มีตำรวจสักนายออกมารับ ผมก็ร้อนใจ เพราะขบวนหยุดตามรถคันนี้ ทำให้ขบวนขาดตอนไปเลย กลุ่มแรกไปถึงหอศิลป์แล้ว แต่ท้ายแถวยังอยู่หน้าหน้าเซ็นทรัล เพราะเดินมาไม่ได้เนื่องจากรถขยายเสียงไม่เคลื่อน

 

 

ผมเลยพยามบอกพี่น้องด้วยโทรโข่งว่า ให้เคลื่อนไปยังหอศิลป์เลยครับ ท้ายแถวยังมีพี่น้องอีกมากที่เดินมาไม่ได้ (ทำให้รถติดหนักมาก) แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะคนหยุดฟังรถขยายเสียง และรอดูว่าตำรวจจะมารับพวงหรีดมั้ย

 

 

จากนั้นรถคันนี้ก็ประกาศว่า จะพาพี่น้องเดินไปอนุเสาวรีย์ ผมก็ไปถามเค้าว่า พี่ครับ เค้านัดรวมกันหน้าหอศิลป์นะ เดี๋ยวกลุ่มมันแตก แกบอกว่าไม่เป็นไรหรอก

 

ผมไปบอกแกสองครั้งสามครั้ง ก็ยังประกาศเหมือนเดิม ผมก็เลยเดินล่วงหน้าไปหอศิลป์ก่อน

 

 

พอไปถึงก็พบพี่น้องกลุ่มแรกที่มาถึงก่อน จากนั้้นก็ทยอยตามกันมา จนครบขบวน รวมทั้งรถขยายเสียงด้วย และมีการ์ด(น่าจะเป็นการ์ดเพราะใส่ชุดเหมือนกันหลายคน) ไปคุยกับรถคันนั้้นว่า อย่าไปอนุเสารีย์ เพราะไม่ต้องการเดินขบวนผ่านเขตพระราชฐาน

 

 

การชุมนุมก็ดำเนินผ่านไป สักพักผมเห็นการ์ดชี้ๆ และพูดว่า เฮ้ยรถมันไปแล้ว (พาคนตามไปด้วยเป็นร้อย) ไปเอากลับมาเร็ว ..แล้วเค้าก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปตาม แต่ผมก็ไม่รู้นะว่าตามกลับมาได้เปล่า เพราะเห็นเลยสะพานหัวช้างไปแล้ว

 

ระหว่างนััน ผู้กองปูเค็มก็สลับพูดกับอีกหลายๆท่าน ที่ลานหน้าหอศิลป์ ผมก็เลยไปขอถ่ายรูปกับพี่เค้ามาด้วย ^^

 

 

ที่เล่าให้ฟังนั้น ไม่ได้มีเจตนาจะว่าอะไรใครเลยจริงๆ เพราะเชื่อว่าทุกคนรักชาติ รักในหลวงเหมือนกัน

 

แต่ที่ผมเห็นคือ ความไม่มีเอกภาพ

 

 

จริงอยู่ชุมนุมวีไม่มีแกนนำ แต่ที่ปฏิบัติกันมาคือ เช่นเวลาพี่ผู้หญิงเค้าจะประกาศอะไร เค้าจะออกตัวก่อนเสมอว่า "กลุ่มได้คุยกันแล้ว..." หมายถึง หลายๆคนได้หารือกันและออกมาเป็นมติ ถึงจะกระทำหรือไม่กระทำการใดๆ

 

 

ดังนั้น กลุ่มก็ควรจะฟังมติดังกล่าว

 

 

แต่รถขยายเสียงคันนี้ ไม่ฟัง มติ ของกลุ่ม การที่ไม่ยอมเคลื่อนขบวนจากหน้าสตช.เหมือนที่เคยปฏิบัติกันมา มันทำให้ รถติดเป็นชั่วโมงๆ คนด่ากันกี่หมื่นคนไม่รู้วันนี้

 

และที่ยังพาคนไปอนุเสาวรีย์อีกเป็นร้อย มันทำให้การชุมนมไม่เป็นเอกภาพ แล้วก็ไปผ่านเขตพระราชฐาน ซึ่งเค้าไม่ทำกัน

 

 

 

ผมว่า คราวหน้าวางแผนดีๆ รับฟังกันมากๆ การชุมนุมจะได้เรียบร้อย ได้ใจคน ไม่ใช่ให้คนเกลียด เคลื่อนขบวนใช้เวลาพอควร การจราจรจะได้ไม่ติดขัดมาก

 

เรื่องคำหยาบคายก็ไม่ควรนะครับ รถขยายเสียงใช้เยอะไปมาก อย่างนี้แล้วเราจะต่างอะไรกับเสื้อแดงล่ะครับ คนได้ยินเค้าก็ไม่ชอบหรอกครับ

 

ที่สำคัญที่สุด ควรคำนึงถึงกำลังของผู้ชุมนุมด้วย แดดร้อน ฝนตก ดูจังหวะเวลาให้ดี คนวัยกลางคนเยอะมาก เพราะถ้าโปรแกรมกำลังดี คนไม่เหนื่อยมาก เค้าจะกลับมาอีกครับ

 

 

ขออภัยถ้าพาดพิงเพื่อนร่วมอุดมการณ์ท่านใด/กลุ่มใดนะครับ ผมแค่อยากให้บรรลุเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้

 

ท่านใดที่อ่านกระทู้นี้ และสามารถสื่อสารไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ก็กรุณาด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลเพจV กลุ่มนำ การ์ด และรถขยายเสียง

 

ขอบคุณครับ

 

 

 V for Thailand ไม่ต้องการแกนนำ
ทุกคนมาทำสิ่งที่ตนต้องการแสดงออกแล้วก็แยกย้ายกันไป จบแล้ว

จากการชุมนุมที่ผ่านมาทั้งหมด นักม้อบมืออาชีพเริ่มเห็นราคา
จึงพยายามมาอาศัยอิงแอบและควบคุมมวลชนว่าเป็นของตน
แนวคิดของ V for Thailand จึงเริ่มผิดเพี้ยนไป

หาสนามอื่นเพื่อแสดงออกดีกว่ามั้ง?

 

เห็นมีการเต้นและการแสดงโชว์
ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ทำให้บรรยากาศการชุมนุมหมดความขลัง
กลายเป็นจำอวดหรืออะไรก็ไม่รู้
ช่วยบอกเขาให้เลิกเถิดครับ
ชุมนุมด้วยใจและสงบ อย่ามีบรรเทิงเข้ามาเกี่ยวข้อง
อีกอย่างการใช้รถและเครื่องขยายเสียง ไม่ควรมี
ทำให้ชาวบ้านหนวกหู
ใช้โทรโข่งอย่างเดียวก็พอ
เป็นข้อเสนอแนะนะครับ


การเต้นเป็นของสมาคมเชียร์ลีดเดอร์ครับ เค้ามีโปรแกรมจัดกิจกรรมกับทางเซ็นทรัลอยู่ก่อนแล้ว

เราไปชุมนุมบนที่ๆเค้าต้องแสดง เค้ามาขอพื้นที่ กลุ่มวีจึงเปิดให้ และยืนดูให้กำลังใจครับ

เรื่องนี้อยากให้ช่วยกันแก้ข่าว เห็นแดงเอามาตีกินในเฟสกันเยอะเลยครับ

 

 

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,696 posts

ตอบ วันนี้, 10:59

ในความเห็นส่วนตัวนะผมว่ากลุ่มวีควรชุมนุมเป็นจุด ใช้เวลาไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง แค่นั้นพอ

 

การสื่อสารควรชัดเจนก่อนเริ่มกิจกรรม ส่วนเติมกิจกรรมอันอื่นควรให้คนที่เอาเข้ามาชี้แจงให้ชัดเจน

 

แค่นั้นพอ ในความเห็นผม พวกเราต้องการให้รัฐบาลเห็นความไม่พอใจต่อระบอบทักษิณแต่ไม่ต้องการความรุนแรง -_-

 

 

 

 

****************************************************

 

 

 

                             เอาร่างกูไป เอาใจกูมา...

 

 

 

                            

 

 

 

 

 

....เลือดทุกหยาด รินหยด รดท่วมร่าง

 

ไม่มีจาง เข้มข้นนัก รักเเหนหวง

 

เเผ่นดินนี้ จะขอสู้ กูขอทวง

 

รักเเสนห่วง ปฐพี ที่เป็นไทย

 

 

 

....เข้ามาเถิด มึงอย่าหวัง พังไปข้าง

 

ไม่มีทาง หากคิดชั่ว กลัวที่ไหน

 

ได้เพียงร่าง ที่เหลวเเหลก เเลกเอาไป

 

เเต่หัวใจ สถิตย์อยู่ คู่เเผ่นดิน....

 

 

*************************

 

 

 

ความหมายของคำว่า "บาง"

 

 

 

 ความหมายของคำว่า "บาง" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542
คือ ทางน้ำเล็กๆ ทางน้ำเล็กที่ไหลขึ้นลงตามระดับน้ำในแม่น้ำ ลำคลอง หรือทะเล
ตำบลบ้านที่อยู่ หรือเคยอยู่ริมบาง หรือในบริเวณที่เคยเป็นบางมาก่อน

แต่มีการสันนิษฐานว่า "บาง" อาจกลายเสียงมาจากคำว่า "บัง" ในภาษามอญ
หมายถึง เรือ แล้วนำมาใช้ในความหมายว่า ย่านหรือสถานที่จอดและขึ้นลงเรือ
รวมไปถึงชุมชนที่อยู่โดยรอบ เช่น บางโพ บางปลา บางกอก เป็นต้น

ดังนั้น "บาง" อาจหมายถึงสถานที่ หรือชุมชนใดชุมชนหนึ่งที่น่าจะมีลำคลอง
แม่น้ำ หรือทางน้ำพาดผ่าน หรือสิ้นสุดลง กลายเป็นย่านชุมชนที่มีผู้คนอยู่รวมกัน
มีการแลกเปลี่ยน ทำมาหากิน ค้าขาย และในย่านนั้น มักจะมีท่าเรือให้คนในและนอก
ใช้จอดเรือเพื่อร่วมสังสรรค์กันได้อย่างสะดวก

ในการใช้คำว่า "บาง" เป็นชื่อต้นของชุมชน
จึงมักหมายถึงแหล่งที่มีทางน้ำ หรือมีท่าเรือ
ซึ่งมีเรือจอดอยู่เสมอ ขณะเดียวกันหากพื้นที่นั้น
มีสิ่งใดที่โดดเด่นแล้ว ชาวบ้านมักนำชื่อของสิ่งนั้น
มาตั้งเป็นชุมชนต่อท้ายคำว่า บาง ของตนเอง
เช่น บางกะปิ บางขุนพรหม บางรัก

ที่มา: หนังสือ 100 ปี เขตบางกะปิ : ย้อนรอยตำนาน ร้อยอดีต 100 ปี เขตบางกะปิ, ทวีศักดิ์ ปิ่นทอง บรรณาธิการ (หน้า 44)
ที่มาภาพ : http://www.flickr.com/photos/huaboraan/8461707136

 

 

 

*************************************************

guest

Post : 2013-06-25 20:00:19.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  หลอน!คำสาปฟาโรห์รูปปั้นอียิปต์หมุนเอง

 

 

                     หลอน!คำสาปฟาโรห์รูปปั้นอียิปต์หมุนเอง

 

 

 

 

 

 

หลอน!คำสาปฟาโรห์รูปปั้นอียิปต์หมุนเอง

 

พิพิธภัณฑ์ในเมืองแมนเชสเตอร์หลอน ตั้งกล้องถ่ายรูปปั้นโบราณยุคไอยคุปต์ พบหมุนเองได้ หลังตั้งอยู่ในห้องจัดแสดงมานาน80ปี

 

พิพิธภัณฑ์แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องโบราณวัตถุจากยุคไอยคุปต์โบราณ ในแต่ละปีมีผู้คนมากมายเข้ามาเยี่ยมชมของจัดแสดงอันล้ำค่าเหล่านี้โดยไม่มีเรื่องผิดปกติอันใด

 

แต่เมื่อเร็วๆ นี้ บรรดาภัณฑารักษ์และนักอียิปต์วิทยาต่างก็มืดแปดด้านกันไปหมด เมื่อจู่ๆ รูปสลักหินอายุเกือบ 4,000 ปีที่จัดแสดงอยู่นั้น เกิดเคลื่อนไหวเองได้ โดยหมุนรอบตัวเอง 360 องศา ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นทำให้เป็นเช่นนั้น

 

แคมป์เพลล์ ไพรซ์ ภัณฑารักษ์ดีกรีดอกเตอร์ประจำห้องอียิปต์ของพิพิธภัณฑ์แมนเชสเตอร์ ให้ข้อมูลว่า ประติมากรรมศิลาแกร่งความสูง 25 ซม.ชิ้นนี้ เป็นวัตถุโบราณจากสมัยอาณาจักรกลางของอียิปต์ หรือเมื่อราว 1,800 ปีก่อนคริสตกาล เป็นรูปแทนตัวของนักบวชที่คาดว่าชื่อ เนบ เซนู

 

ทางพิพิธภัณฑ์ได้รับบริจาควัตถุโบราณปริศนาชิ้นนี้มาเมื่อปี 1933 ซึ่งที่มาที่ไปไม่ชัดเจน แต่มีความเป็นได้ว่าก่อนหน้านี้ถูกฉกชิงมาโดยโจรขุดสุสาน และนำมาปล่อยขายในตลาดมืด จนตกมาถึงมือผู้เชี่ยวชาญในแมนเชสเตอร์ในที่สุด

 

ตลอดเวลากว่า 80 ปีที่รูปสลักยืนแน่นิ่งในตู้กระจกโดยไม่มีเรื่องแปลกประหลาดพิสดารอันใด จนกระทั่งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เริ่มมีผู้สังเกตเห็นว่ารูปสลักโบราณเริ่มหันหน้าไปในทิศทางที่ผิดไปจากเดิม โดยคนแรกที่พบความผิดปกติคือไพรซ์ ที่บอกว่าตอนแรกเห็นรูปสลักดันไปด้านข้างก็เพียงแค่สงสัยว่าใครกันที่เคลื่อนย้ายสิ่งของโดยพลการ แต่ต่อมารูปสลักหันไปอีกทางหนึ่ง และวันต่อๆ มาก็หันไปเรื่อยๆ ราวกับเคลื่อนที่เองได้

 

หลังจากนั้นได้มีการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่ารูปสลักเคลื่อนที่เองได้ โดยค่อยๆ ผินด้านหน้าจนกระทั่งหันหลังให้กับตู้จัดแสดงโดยสิ้นเชิง!

 

ปรากฏว่าที่ด้านหลังของประติมากรรมชิ้นนี้ มีอักษรโบราณจารึกข้อความเกี่ยวกับการถวายเครื่องสังเวยให้กับโอซิรส เทพเจ้าแห่งชีวิตของชาวอียิปต์โบราณ เพื่อให้พระองค์ช่วยพิทักษ์ดวงวิญญาณของเจ้าของรูปสลัก

 

ทั้งนี้ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ จะมีการทำรูปสลักของผู้ตายติดตั้งไว้ในหลุมศพ เพื่อเป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณ ในกรณีที่ร่างมัมมี่ของเจ้าของสุสานถูกทำลาย ทำให้เกิดกระแสร่ำลือไปต่างๆ นานาถึงพลังลี้ลับที่อาจบงการรูปสลักให้เคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต

 

ผู้เชี่ยวชาญบางคนพยายามอธิบายว่า เหตุที่รูปสลักหมุนได้ก็เพราะแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจากผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่เดินวนไปวนมาในห้อง แต่คำอธิบายนี้ไม่สมเหตุสมผล เพราะมีผู้ตอบโต้ว่า เหตุใดรูปสลักเพิ่งจะเคลื่อนที่ ทั้งๆ ที่ตั้งอยู่ในห้องจัดแสดงมานานถึง 80 ปีแล้ว

 

ภัณฑารักษ์ไพรซ์ กล่าวว่า โดยปกติแล้วนักอียิปต์วิทยา หรือผู้เชี่ยวชาญอารยธรรมอียิปต์โบราณมักไม่ใช่คนงมงาย แต่กรณีนี้ หาคำอธิบายชัดๆ ไม่ได้จริงๆ!

 

 

 

ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ก่อนหายกับชิ้นที่ได้กลับมาช่างต่างกันซะนี้กระไร(ความคิดส่วนตัวนะครับ)

 

Posted by ยงชุนเซราะตะลุง , ผู้อ่าน : 1866 , 17:47:52 น. หมวด : ศิลปะ/วัฒนธรรม พิมพ์หน้านี้ โหวต 2 คน rosawan , ยงชุนเซราะตะลุง โหวตเรื่องนี้

 

 

 

 

ไฟล์:Obj Naraibantomsin.jpg

 

ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ก่อนหายกัลชิ้นที่ได้กลับมาช่างต่างกันซะนี้กระไร(ความคิดส่วนตัวนะครับ) *ทับหลังก่อนหายไปอยู่ที่ชิคาโก* ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์เป็นทับหลังที่ปราสาทหินพนมรุ้ง นับเป็นโบราณวัตถุที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ที่ถูกโจรกรรมไป เมื่อราวปี พ.ศ. 2503 และถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

แต่ในที่สุดชาวไทย นำโดยรัฐบาล และ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ก็ได้ทับหลังชิ้นนี้คืนมา ทันวันพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งพอดี ในปี พ.ศ. 2531

 

ภาพสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่ทับหลังของมณฑปด้านทิศตะวันออกปรา...สาทประธาน เป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์ โดยพระนารายณ์บรรทมตะแคงขวา เหนือ พระยาอนันตนาคราช ซึ่งทอดตัวอยุ่เหนือมังกรอีกต่อหนึ่งท่ามกลางเกษียรสมุทรมีก้านดอกบัวผุด ขึ้นจากพระนาภีของพระองค์ มีพระพรหมประอยู่เหนือดอก บัวนั้น พระนารายณ์ทรงถือ คฑา สังข์ และจักรไว้ในพระหัตถ์หน้าซ้ายพระหัตถ์หลังซ้ายและพระหัตถ์หลังด้านขวา ตามลำดับ

 

ส่วนพระหัตถ์หน้า ขวา รอบรับพระเศียรของพระองค์เองทรงมงกุฏรูปกรวยกภณฑล กรองศอ และทรงผ้าจีบเป็นริ้ว มีชายผ้ารูปหาปลาซ้อนกันอยู่ 2 ชั้นด้านหน้าคาดด้วย สายรัดพระองค์ มีอุบะขนาดสั้นห้อยประดับมีปพระลักษณมีชายาพระองค์ประทับนั้นอยู่ตรงปลายพระบาท

 

สำหรับพระพรหม ซึ่งประทับเหนือดอกบัวนั้น มีสี่พักตร์ สี่กร ถัดจากองค์พระนารายณ์มาทางซ้ายบริเวณเลี้ยวของทับหลัง มีรูปหน้ากาลคายพวงอุบะขนาดใหญ่ เหนือหน้ากาลมีรูปครุฑ ใช้มือยึดนาคไว้ข้างละต้น

 

นอกจากนี้ยังปรากฏรูปสัตว์อื่น ๆ ได้แก่ นกแก้ว ลิง และนกหัสดีลิงก์คาบช้างอยู่ด้วยการบรรทมสินธุ์ของพระนารายณ์นั้น คือ การบรรทมในช่วงการสร้างโลก การบรรทมแต่ละครั้งนั้น จะเกี่ยวกับยุคเวลาในแต่ละกัลป์

 

ภาพทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่ปราสาทพนมรุ้งนี้ คงได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์วราหปุราณะ เป็นคัมภีร์ที่ให้ความสำคัญแก่ พระนารายณ์เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ในขณะที่พระนารายณ์ กำลังบรรทมอยู่นั้น ได้ทรางสุบินขึ้นจากพระนาภี บนดอกบัวได้บังเกิดพระพรหม และพระพรหมทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์ และสิ่งต่าง ๆ *ทับหลังชิ้นที่ได้คืนมา* ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ก่อนหายกับชิ้นที่ได้กลับมาช่างต่างกันซะนี้กระไร(ความคิดส่วนตัวนะครับ)

 

 

 

 **********************************

 

 

ลบแล้วจ้า! คลิป “เต้น” โปรโมตร้านโชว์สวย หลังถูกถล่มยับคุมงานลิขสิทธิ์ แต่ดันละเมิดซะเอง

กระทู้สนทนา
ลบทิ้งแล้ว คลิปเต้นก๊อบทำนองเพลงฝรั่งโปรโมตร้านโชว์สวย หลังถูกวิจารณ์ยับเป็นรัฐมนตรีคุมงานลิขสิทธิ์ แต่ดันก๊อบปี้เสียเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ได้เผยแพร่คลิปที่มีชื่อว่า “ครบสองเดือน โชวห่วย โชว์สวย” ซึ่งมีเนื้อหาที่พูดถึงการครบรอบ 2 เดือนของโครงการ “โชวห่วย โชว์สวย ทั่วไทย รวมใจช่วยสังคม” โดย “เต้น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่งานนี้เจ้าตัวรวมถึงบรรดาข้าราชการในกระทรวงฯ บางส่วน และสมาชิกสมาคมค้าปลีกไทย ได้ลงทุนลงแรงแสดงร้องเต้นประกอบในมิวสิกวิดีโอ

โดยหลังจากคลิปดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทิวบ์มาตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายนเป็นต้นมา จากผู้ที่ใช้ชื่อว่า Mhd.Azizi Bin Wanruslan ปรากฏว่าได้มีคนที่เล่นอินเทอร์เน็ตเข้าไปแสดงความไม่เห็นด้วยและแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมาย

และเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน นายเจนภพ จบกระบวนวรรณ ได้โพสต์เฟซบุ๊กโดยแสดงความกังวลว่า ทำนองเพลงที่นายณัฐวุฒินำมาใช้นั้นอาจจะละเมิดลิขสิทธิ์เพราะเป็นการลอกทำนองมาใช้ และไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง เนื่องจากตัวนายณัฐวุฒิเองเป็นผู้กำกับดูแลกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลด้านลิขสิทธิ์

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น ล่าสุดได้มีการลบคลิปดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ยูทิวบ์แล้ว

ทั้งนี้ ทำนองเพลงที่นายณัฐวุฒิลอกเลียนมาคือเพลง แบล็กซูเปอร์แมน ร้องโดย Johnny Wakelin เป็นเพลงฮิตในอดีต

 

 

 

 

 

************************************

 

 

               สุนทรภู่ (กินเหล้า เจ้าชู้ สู้นาย)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 
 
 
 
                                                 Poo-2.jpg
 
    
 

พระสุนทรโวหาร นามเดิม ภู่ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สุนทรภู่ (26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 - พ.ศ. 2398) เป็นกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียง ได้รับยกย่องเป็น เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย[1] เกิดหลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ 4 ปี และได้เข้ารับราชการเป็นกวีราชสำนักในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อสิ้นรัชกาลได้ออกบวชเป็นเวลาร่วม 20 ปี ก่อนจะกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเป็นอาลักษณ์ในสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น พระสุนทรโวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิต

 

สุนทรภู่เป็นกวีที่มีความชำนาญทางด้านกลอน ได้สร้างขนบการประพันธ์กลอนนิทานและกลอนนิราศขึ้นใหม่จนกลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางสืบเนื่องมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ผลงานที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่มีมากมายหลายเรื่อง เช่น นิราศภูเขาทอง นิราศสุพรรณ เพลงยาวถวายโอวาท กาพย์พระไชยสุริยา และ พระอภัยมณี เป็นต้น โดยเฉพาะเรื่อง พระอภัยมณี ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของวรรณคดีประเภทกลอนนิทาน และเป็นผลงานที่แสดงถึงทักษะ ความรู้ และทัศนะของสุนทรภู่อย่างมากที่สุด งานประพันธ์หลายชิ้นของสุนทรภู่ได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการเรียนการสอนนับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เช่น กาพย์พระไชยสุริยา นิราศพระบาท และอีกหลาย ๆ เรื่อง

 

ปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบ 200 ปีชาตกาล สุนทรภู่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านงานวรรณกรรม ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง บ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่ และเป็นที่กำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแกลง นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์แห่งอื่น ๆ อีก เช่น ที่วัดศรีสุดาราม ที่จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดนครปฐม วันเกิดของสุนทรภู่คือวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ถือเป็น วันสุนทรภู่ ซึ่งเป็นวันสำคัญด้านวรรณกรรมของไทย มีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่าง ๆ โดยทั่วไป

 

ประวัติ

ต้นตระกูล

บันทึกส่วนใหญ่มักระบุถึงต้นตระกูลของสุนทรภู่เพียงว่า บิดาเป็นชาวบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาเป็นชาวเมืองอื่น ทั้งนี้เนื่องจากเชื่อถือตามพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง ชีวิตและงานของสุนทรภู่ ต่อมาในภายหลัง เมื่อมีการค้นพบข้อมูลต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ก็มีแนวคิดเกี่ยวกับต้นตระกูลของสุนทรภู่แตกต่างกันออกไป นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า ฝ่ายบิดาเป็นชาวบ้านกร่ำ เมืองแกลง จริง เนื่องจากมีปรากฏเนื้อความอยู่ใน นิราศเมืองแกลง ถึงวงศ์วานว่านเครือของสุนทรภู่ แต่ความเห็นเกี่ยวกับตระกูลฝ่ายมารดานี้แตกออกเป็นหลายส่วน ส่วนหนึ่งว่าไม่ทราบที่มาแน่ชัด ส่วนหนึ่งว่าเป็นชาวฉะเชิงเทรา และส่วนหนึ่งว่าเป็นชาวเมืองเพชร ก.ศ.ร. กุหลาบ เคยเขียนไว้ในหนังสือ สยามประเภท ว่า บิดาของสุนทรภู่เป็นข้าราชการแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ชื่อขุนศรีสังหาร (พลับ)[2] ข้อมูลนี้สอดคล้องกับบทกวีไม่ทราบชื่อผู้แต่งซึ่ง ปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ พบที่อนุสาวรีย์สุนทรภู่ จ.ระยอง ว่าบิดาของสุนทรภู่เป็นชาวบ้านกร่ำ ชื่อพ่อพลับ ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา ชื่อแม่ช้อย[3] ทว่าแนวคิดที่ได้รับการยอมรับกันค่อนข้างกว้างขวางคือ ตระกูลฝ่ายมารดาของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองเพชร สืบเนื่องจากเนื้อความใน นิราศเมืองเพชร ฉบับค้นพบเพิ่มเติมโดย อ.ล้อม เพ็งแก้ว เมื่อ พ.ศ. 2529[4]

 

วัยเยาว์

สุนทรภู่ มีชื่อเดิมว่า ภู่ เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลาเช้า 2 โมง (ตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329) ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง ซึ่งเป็นบริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบันนี้ เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำอันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้นสุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง สุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม

 

เชื่อกันว่า ในวัยเด็กสุนทรภู่ได้ร่ำเรียนหนังสือกับพระในสำนักวัดชีปะขาว (ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานนามในรัชกาลที่ 4 ว่า วัดศรีสุดาราม อยู่ริมคลองบางกอกน้อย) ตามเนื้อความส่วนหนึ่งที่ปรากฏใน นิราศสุพรรณ[5] ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ในกรมพระคลังสวน[6] แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดีตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม จากสำนวนกลอนของสุนทรภู่ เชื่อว่าผลงานที่มีการประพันธ์ขึ้นก่อนสุนทรภู่อายุได้ 20 ปี (คือก่อนนิราศเมืองแกลง) เห็นจะได้แก่กลอนนิทานเรื่อง โคบุตร[7]

 

สุนทรภู่ลอบรักกับนางข้าหลวงในวังหลังคนหนึ่ง ชื่อแม่จัน ชะรอยว่าหล่อนจะเป็นบุตรหลานผู้มีตระกูล จึงถูกกรมพระราชวังหลังกริ้วจนถึงให้โบยและจำคุกคนทั้งสอง แต่เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2349 จึงมีการอภัยโทษแก่ผู้ถูกลงโทษทั้งหมดถวายเป็นพระราชกุศล หลังจากสุนทรภู่ออกจากคุกก็เดินทางไปหาบิดาที่เมืองแกลง จังหวัดระยอง การเดินทางครั้งนี้สุนทรภู่ได้แต่ง นิราศเมืองแกลง พรรณนาสภาพการเดินทางต่าง ๆ เอาไว้โดยละเอียด และลงท้ายเรื่องว่า แต่งมาให้แก่แม่จัน "เป็นขันหมากมิ่งมิตรพิสมัย"[8] ในนิราศได้บันทึกสมณศักดิ์ของบิดาของสุนทรภู่ไว้ด้วยว่า เป็น "พระครูธรรมรังษี" เจ้าอาวาสวัดป่ากร่ำ กลับจากเมืองแกลงคราวนี้ สุนทรภู่จึงได้แม่จันเป็นภรรยา

 

แต่กลับจากเมืองแกลงเพียงไม่นาน สุนทรภู่ต้องติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ในฐานะมหาดเล็ก ตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่ อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2350 สุนทรภู่ได้แต่ง นิราศพระบาท พรรณนาเหตุการณ์ในการเดินทางคราวนี้ด้วย

 

สุนทรภู่กับแม่จันมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อหนูพัด ได้อยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่ ส่วนหนุ่มสาวทั้งสองมีเรื่องระหองระแหงกันเสมอ จนภายหลังก็เลิกรากันไป

 

หลังจาก นิราศพระบาท ที่สุนทรภู่แต่งในปี พ.ศ. 2350 ไม่ปรากฏผลงานใด ๆ ของสุนทรภู่อีกเลยจนกระทั่งเข้ารับราชการในปี พ.ศ. 2359

 

กวีราชสำนัก

สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์เมื่อ พ.ศ. 2359 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 มูลเหตุในการได้เข้ารับราชการนี้ ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจแต่งโคลงกลอนได้เป็นที่พอพระทัย ทราบถึงพระเนตรพระกรรณจึงทรงเรียกเข้ารับราชการ แนวคิดหนึ่งว่าสุนทรภู่เป็นผู้แต่งกลอนในบัตรสนเท่ห์ ซึ่งปรากฏชุกชุมอยู่ในเวลานั้น[9] อีกแนวคิดหนึ่งสืบเนื่องจาก "ช่วงเวลาที่หายไป" ของสุนทรภู่ ซึ่งน่าจะใช้วิชากลอนทำมาหากินเป็นที่รู้จักเลื่องชื่ออยู่ ชะรอยจะเป็นเหตุให้ถูกเรียกเข้ารับราชการก็ได้[3]

 

เมื่อแรกสุนทรภู่รับราชการเป็นอาลักษณ์ปลายแถว มีหน้าที่เฝ้าเวลาทรงพระอักษรเพื่อคอยรับใช้ แต่มีเหตุให้ได้แสดงฝีมือกลอนของตัว เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งกลอนบทละครในเรื่อง "รามเกียรติ์" ติดขัดไม่มีผู้ใดต่อกลอนได้ต้องพระราชหฤทัย จึงโปรดให้สุนทรภู่ทดลองแต่ง ปรากฏว่าแต่งได้ดีเป็นที่พอพระทัย จึงทรงพระกรุณาฯ เลื่อนให้เป็น ขุนสุนทรโวหาร การต่อกลอนของสุนทรภู่คราวนี้เป็นที่รู้จักทั่วไป เนื่องจากปรากฏรายละเอียดอยู่ในพระนิพนธ์ ชีวิตและงานของสุนทรภู่ ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บทกลอนในรามเกียรติ์ที่สุนทรภู่ได้แต่งในคราวนั้นคือ ตอนนางสีดาผูกคอตาย และตอนศึกสิบขุนสิบรถ ฉากบรรยายรถศึกของทศกัณฐ์[9] สุนทรภู่ได้เลื่อนยศเป็น หลวงสุนทรโวหาร ในเวลาต่อมา[10] ได้รับพระราชทานบ้านหลวงอยู่ที่ท่าช้าง ใกล้กับวังท่าพระ และมีตำแหน่งเข้าเฝ้าเป็นประจำ คอยถวายความเห็นเกี่ยวกับพระราชนิพนธ์และพระนิพนธ์วรรณคดีเรื่องต่าง ๆ รวมถึงได้ร่วมในกิจการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเป็นหนึ่งในคณะร่วมแต่ง ขุนช้างขุนแผน ขึ้นใหม่

 

ระหว่างรับราชการ สุนทรภู่ต้องโทษจำคุกเพราะถูกอุทธรณ์ว่าเมาสุราทำร้ายญาติผู้ใหญ่ แต่จำคุกได้ไม่นานก็โปรดพระราชทานอภัยโทษ เล่ากันว่าเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติดขัดบทพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง ไม่มีใครแต่งได้ต้องพระทัย[11] ภายหลังพ้นโทษ สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 เชื่อว่าสุนทรภู่แต่งเรื่อง สวัสดิรักษา ในระหว่างเวลานี้ในระหว่างรับราชการอยู่นี้ สุนทรภู่แต่งงานใหม่กับแม่นิ่ม มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อพ่อตาบ

 

ออกบวช (ช่วงตกยาก)

 
กุฏิวัดเทพธิดารามที่สุนทรภู่บวชจำพรรษา เป็นสถานที่ค้นพบวรรณกรรมที่ทรงคุณค่ามากมายเช่น พระอภัยมณี ฯลฯ ที่ท่านเก็บซ่อนไว้ใต้เพดานหลังคากุฏิของท่าน

 

สุนทรภู่รับราชการอยู่เพียง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ออกบวช แต่จะได้ลาออกจากราชการก่อนออกบวชหรือไม่ยังไม่ปรากฏแน่ชัด แม้จะไม่ปรากฏโดยตรงว่าสุนทรภู่ได้รับพระบรมราชูปถัมภ์จากราชสำนักใหม่ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ก็ได้รับพระอุปถัมภ์จากพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นอยู่เสมอ เช่น ปี พ.ศ. 2372 สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรเจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว พระโอรสในเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ปรากฏความอยู่ใน เพลงยาวถวายโอวาท นอกจากนั้นยังได้อยู่ในพระอุปถัมภ์ของพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ และกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งปรากฏเนื้อความในงานเขียนของสุนทรภู่บางเรื่องว่า สุนทรภู่แต่งเรื่อง พระอภัยมณี และ สิงหไตรภพ ถวาย

 

สุนทรภู่บวชอยู่เป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่าง ๆ หลายแห่ง เท่าที่พบระบุในงานเขียนของท่านได้แก่ วัดเลียบ วัดแจ้ง วัดโพธิ์ วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม งานเขียนบางชิ้นสื่อให้ทราบว่า ในบางปี ภิกษุภู่เคยต้องเร่ร่อนไม่มีที่จำพรรษาบ้างเหมือนกัน ผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่าง ๆ มากมาย และเชื่อว่าน่าจะยังมีนิราศที่ค้นไม่พบอีกเป็นจำนวนมาก

 

งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่ภิกษุภู่แต่งไว้ก่อนลาสิกขาบท คือ รำพันพิลาป โดยแต่งขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385

 

ช่วงปลายของชีวิต

 

ปี พ.ศ. 2385 ภิกษุภู่จำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม คืนหนึ่งหลับฝันเห็นเทพยดาจะมารับตัวไป เมื่อตื่นขึ้นคิดว่าตนถึงฆาตจะต้องตายแล้ว จึงประพันธ์เรื่อง รำพันพิลาป พรรณนาถึงความฝันและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ประสบมาในชีวิต หลังจากนั้นก็ลาสิกขาบทเพื่อเตรียมตัวจะตาย ขณะนั้นสุนทรภู่มีอายุได้ 56 ปี

 

หลังจากลาสิกขาบท สุนทรภู่ได้รับพระอุปถัมภ์จากเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ รับราชการสนองพระเดชพระคุณทางด้านงานวรรณคดี สุนทรภู่แต่ง เสภาพระราชพงศาวดาร บทเห่กล่อมพระบรรทม และบทละครเรื่อง อภัยนุราช ถวาย รวมถึงยังแต่งเรื่อง พระอภัยมณี ถวายให้กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพด้วย เมื่อถึงปี พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาเจ้าฟ้าน้อยขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สุนทรภู่จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร มีบรรดาศักดิ์เป็น พระสุนทรโวหาร ช่วงระหว่างเวลานี้สุนทรภู่ได้แต่งนิราศเพิ่มอีก 2 เรื่อง คือ นิราศพระประธม และ นิราศเมืองเพชร

 

สุนทรภู่พำนักอยู่ในเขตพระราชวังเดิม ใกล้หอนั่งของพระยามนเทียรบาล (บัว) มีห้องส่วนตัวเป็นห้องพักกั้นเฟี้ยมที่เรียกชื่อกันว่า "ห้องสุนทรภู่" เชื่อว่าสุนทรภู่พำนักอยู่ที่นี่ตราบจนสิ้นชีวิต[12] เมื่อปี พ.ศ. 2398 สิริรวมอายุได้ 69 ปี

 

ทายาท

สุนทรภู่มีบุตรชายสามคน คือพ่อพัด เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน พ่อตาบ เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และพ่อนิล เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน ชื่อพ่อกลั่น และพ่อชุบ

 

พ่อพัดนี้เป็นลูกรัก ได้ติดสอยห้อยตามสุนทรภู่อยู่เสมอ เมื่อครั้งสุนทรภู่ออกบวช พ่อพัดก็ออกบวชด้วย[13] เมื่อสุนทรภู่ได้มารับราชการกับเจ้าฟ้าน้อย พ่อพัดก็มาพำนักอยู่ด้วยเช่นกัน[12] ส่วนพ่อตาบนั้นปรากฏว่าได้เป็นกวีมีชื่ออยู่พอสมควร[9] เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น ตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า ภู่เรือหงส์ (บางสายสกุลอาจเป็น ภู่ระหงษ์)[ต้องการอ้างอิง] เรื่องนามสกุลของสุนทรภู่นี้ ก.ศ.ร. กุหลาบ เคยเขียนไว้ในหนังสือสยามประเภท อ้างถึงผู้ถือนามสกุล ภู่เรือหงส์ ที่ได้รับบำเหน็จจากหมอสมิทเป็นค่าพิมพ์หนังสือเรื่อง พระอภัยมณี[3][14] แต่หนังสือของ ก.ศ.ร. กุหลาบ ไม่เป็นที่ยอมรับของราชสำนัก ด้วยปรากฏอยู่บ่อยครั้งว่ามักเขียนเรื่องกุ เรื่องนามสกุลของสุนทรภู่จึงพลอยไม่ได้รับการเชื่อถือไปด้วย จนกระทั่ง ศจ.ผะอบ โปษะกฤษณะ ยืนยันความข้อนี้เนื่องจากเคยได้พบกับหลานปู่ของพ่อพัดมาด้วยตนเอง[14]

 

อุปนิสัยและทัศนคติ

อุปนิสัย

 

ตำราโหราศาสตร์ผูกดวงชะตาวันเกิดของสุนทรภู่ไว้เป็นดวงประเทียบ พร้อมคำอธิบายข้างใต้ดวงชะตาว่า "สุนทรภู่ อาลักษณ์ขี้เมา"[9] เหตุนี้จึงเป็นที่กล่าวขานกันเสมอมาว่า สุนทรภู่นี้ขี้เหล้านัก ในงานเขียนของสุนทรภู่เองก็ปรากฏบรรยายถึงความมึนเมาอยู่หลายครั้ง แม้จะดูเหมือนว่า สุนทรภู่เองก็รู้ว่าการมึนเมาสุราเป็นสิ่งไม่ดี ได้เขียนตักเตือนผู้อ่านอยู่ในงานเขียนเสมอ[15] การดื่มสุราของสุนทรภู่อาจเป็นการดื่มเพื่อสังสรรค์และเพื่อสร้างอารมณ์ศิลปิน ด้วยปรากฏว่าเรือนสุนทรภู่มักเป็นที่ครึกครื้นรื่นเริงกับหมู่เพื่อนฝูงอยู่เสมอ[3] นอกจากนี้ยังเล่ากันว่า เวลาที่สุนทรภู่กรึ่ม ๆ แล้วอาจสามารถบอกกลอนให้เสมียนถึงสองคนจดตามแทบไม่ทัน[9] เมื่อออกบวช สุนทรภู่เห็นจะต้องพยายามเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ซึ่งในท้ายที่สุดก็สามารถทำได้

 

สุนทรภู่มักเปรียบการเมาเหล้ากับการเมารัก ชีวิตรักของสุนทรภู่ดูจะไม่สมหวังเท่าที่ควร หลังจากแยกทางกับแม่จัน สุนทรภู่ได้ภรรยาคนที่สองชื่อแม่นิ่ม นอกจากนี้แล้วยังปรากฏชื่อหญิงสาวมากหน้าหลายตาที่สุนทรภู่พรรณนาถึง เมื่อเดินทางไปถึงหย่อมย่านมีชื่อเสียงคล้องจองกับหญิงสาวเหล่านั้น นักวิจารณ์หลายคนจึงบรรยายลักษณะนิสัยของสุนทรภู่ว่าเป็นคนเจ้าชู้ และบ้างยังว่าความเจ้าชู้นี้เองที่ทำให้ต้องหย่าร้างกับแม่จัน ความข้อนี้เป็นจริงเพียงไรไม่ปรากฏ ขุนวิจิตรมาตราเคยค้นชื่อสตรีที่เข้ามาเกี่ยวพันกับสุนทรภู่ในงานประพันธ์ต่าง ๆ ของท่าน ได้ชื่อออกมากว่า 12 ชื่อ คือ จัน พลับ แช่ม แก้ว นิ่ม ม่วง น้อย นกน้อย กลิ่น งิ้ว สุข ลูกจันทน์ และอื่น ๆ อีก[2] ทว่าสุนทรภู่เองเคยปรารภถึงการพรรณนาถึงหญิงสาวในบทประพันธ์ของตนว่า เป็นไปเพื่อให้ได้อรรถรสในงานประพันธ์เท่านั้น จะถือเป็นจริงเป็นจังมิได้[16] อย่างไรก็ดี การบรรยายความโศกเศร้าและอาภัพในความรักของสุนทรภู่ปรากฏอยู่ในงานเขียนนิราศของท่านแทบทุกเรื่อง สตรีในดวงใจที่ท่านรำพันถึงอยู่เสมอก็คือแม่จัน ซึ่งเป็นรักครั้งแรกที่คงไม่อาจลืมเลือนได้ แต่น่าจะมีความรักใคร่กับหญิงอื่นอยู่บ้างประปราย และคงไม่มีจุดจบที่ดีนัก ใน นิราศพระประธม ซึ่งท่านประพันธ์ไว้เมื่อมีอายุกว่า 60 ปีแล้ว สุนทรภู่ได้อธิษฐานไม่ขอพบกับหญิงทิ้งสัตย์อีกต่อไป[17]

 

อุปนิสัยสำคัญอีกประการหนึ่งของสุนทรภู่คือ มีความอหังการ์และมั่นใจในความสามารถของตนเป็นอย่างสูง ลักษณะนิสัยข้อนี้ทำให้นักวิจารณ์ใช้ในการพิจารณางานประพันธ์ซึ่งยังเป็นที่เคลือบแคลงอยู่ว่า เป็นผลงานของสุนทรภู่หรือไม่ ความอหังการ์ของสุนทรภู่แสดงออกมาอย่างชัดเจนอยู่ในงานเขียนหลายชุด และถือเป็นวรรคทองของสุนทรภู่ด้วย เช่น

 

อย่างหม่อมฉันอันที่ดีและชั่ว ถึงลับตัวแต่ก็ชื่อเขาลือฉาว
เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมรลาวลือเลื่องถึงเมืองนคร[18]  

หรืออีกบทหนึ่งคือ

หนึ่งขอฝากปากคำทำหนังสือ ให้สืบชื่อชั่วฟ้าสุธาสถาน
สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาฬ พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร[19]  

 

เรื่องความอหังการ์ของสุนทรภู่นี้ เล่ากันว่าในบางคราวสุนทรภู่ขอแก้บทพระนิพนธ์ของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ต่อหน้าพระที่นั่งโดยไม่มีการไว้หน้า ด้วยถือว่าตนเป็นกวีที่ปรึกษา กล้าแม้กระทั่งต่อกลอนหยอกล้อกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยที่ไม่ทรงถือโกรธ แต่กลับมีทิฐิของกวีที่จะเอาชนะสุนทรภู่ให้ได้[9] การแก้กลอนหน้าพระที่นั่งนี้อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้สุนทรภู่ล่วงเกินต่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์โดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สุนทรภู่ตัดสินใจออกบวชหลังสิ้นแผ่นดินรัชกาลที่ 2 แล้วก็เป็นได้[9]

ทัศนคติ

สุนทรภู่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างมาก และตอกย้ำเรื่องการศึกษาในวรรณคดีหลาย ๆ เรื่อง เช่น ขุนแผนสอนพลายงามว่า "ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน"[20] หรือที่พระฤๅษีสอนสุดสาครว่า "รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี"[21] โดยที่สุนทรภู่เองก็เป็นผู้สนใจใฝ่ศึกษาหาความรู้ และมีความรู้กว้างขวางอย่างยิ่ง เชื่อว่าสุนทรภู่น่าจะร่วมอยู่ในกลุ่มข้าราชการหัวก้าวหน้าในยุคสมัยนั้น ที่นิยมวิชาความรู้แบบตะวันตก ภาษาอังกฤษ ตลอดกระทั่งแนวคิดยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสตรีมากขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่สะท้อนแนวความคิดของสุนทรภู่ออกมามากที่สุดคืองานเขียนเรื่อง พระอภัยมณี ซึ่งโครงเรื่องมีความเป็นสากลมากยิ่งกว่าวรรณคดีไทยเรื่องอื่น ๆ ตัวละครมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ตัวละครเอกเช่นพระอภัยมณีกับสินสมุทรยังสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้หลายภาษา นอกจากนี้ยังเป็นวรรณคดีที่ตัวละครฝ่ายหญิงมีบทบาททางการเมืองอย่างสูง เช่นนางสุวรรณมาลีและนางละเวงวัณฬาที่สามารถเป็นเจ้าครองเมืองได้เอง นางวาลีที่เป็นถึงที่ปรึกษากองทัพ และนางเสาวคนธ์ที่กล้าหาญถึงกับหนีงานวิวาห์ที่ตนไม่ปรารถนา อันผิดจากนางในวรรณคดีไทยตามประเพณีที่เคยมีมา[22]

 

ลักษณะความคิดแบบหัวก้าวหน้าเช่นนี้ทำให้ นิธิ เอียวศรีวงศ์เรียกสมญาสุนทรภู่ว่าเป็น "มหากวีกระฎุมพี"[22] ซึ่งแสดงถึงชนชั้นใหม่ที่เกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อทรัพย์สินเงินทองเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นนอกเหนือไปจากยศถาบรรดาศักดิ์ งานเขียนเชิงนิราศของสุนทรภู่หลายเรื่องสะท้อนแนวคิดด้านเศรษฐกิจ รวมถึงวิจารณ์การทำงานของข้าราชการที่ทุจริตคิดสินบน ทั้งยังมีแนวคิดเกี่ยวกับบทบาทความสำคัญของสตรีมากยิ่งขึ้นด้วย[22] ไมเคิล ไรท์[note 1] เห็นว่างานเขียนเรื่อง พระอภัยมณี ของสุนทรภู่ เป็นการคว่ำคติความเชื่อและค่านิยมในมหากาพย์โดยสิ้นเชิง โดยที่ตัวละครเอกไม่ได้มีความเป็น "วีรบุรุษ" อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าในตัวละครทุก ๆ ตัวกลับมีความดีและความเลวในแง่มุมต่าง ๆ ปะปนกันไป[23]

 

อย่างไรก็ดี ในท่ามกลางงานประพันธ์อันแหวกแนวล้ำยุคล้ำสมัยของสุนทรภู่ ความจงรักภักดีของสุนทรภู่ต่อพระราชวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ยังสูงล้ำเป็นล้นพ้นอย่างไม่มีวันจางหายไปแม้ในวาระสุดท้าย สุนทรภู่รำพันถึงพระมหากรุณาธิคุณหลายครั้งในงานเขียนเรื่องต่าง ๆ ของท่าน ในงานประพันธ์เรื่อง นิราศพระประธม ซึ่งสุนทรภู่ประพันธ์หลังจากลาสิกขาบท และมีอายุกว่า 60 ปีแล้ว สุนทรภู่เรียกตนเองว่าเป็น "สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาฬ พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร" กล่าวคือเป็นอาลักษณ์ของ "พระเจ้าช้างเผือก" อันเป็นพระสมัญญานามของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย[24] สุนทรภู่ได้แสดงจิตเจตนาในความจงรักภักดีอย่างไม่เสื่อมคลาย ปรากฏใน นิราศภูเขาทอง ความว่า "จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งบุญถวาย ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป"[13]

ความรู้และทักษะ

เมื่อพิจารณาจากผลงานต่าง ๆ ของสุนทรภู่ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนนิราศหรือกลอนนิยาย สุนทรภู่มักแทรกสุภาษิต คำพังเพย คำเปรียบเทียบต่าง ๆ ทำให้ทราบว่าสุนทรภู่นี้ได้อ่านหนังสือมามาก จนสามารถนำเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนทราบมาแทรกเข้าไปในผลงานได้อย่างแนบเนียน เนื้อหาหลายส่วนในงานเขียนเรื่อง พระอภัยมณี ทำให้ทราบว่า สุนทรภู่มีความรอบรู้แตกฉานในสมุดภาพไตรภูมิ ทั้งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่นำมาดัดแปลงประดิษฐ์เข้าไว้ในท้องเรื่อง เช่น การเรียกชื่อปลาทะเลแปลก ๆ และการกล่าวถึงตราพระราหู[25] นอกจากนี้ยังมีความรอบรู้ในวรรณคดีประเทศต่าง ๆ เช่น จีน อาหรับ แขก ไทย ชวา เป็นต้น[26] นักวิชาการโดยมากเห็นพ้องกันว่า สุนทรภู่ได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีจีนเรื่อง ไซ่ฮั่น สามก๊ก วรรณคดีอาหรับ เช่น อาหรับราตรี รวมถึงเกร็ดคัมภีร์ไบเบิล เรื่องของหมอสอนศาสนา ตำนานเมืองแอตแลนติส ซึ่งสะท้อนให้เห็นอิทธิพลเหล่านี้อยู่ในผลงานเรื่อง พระอภัยมณี มากที่สุด[25]

 

สุนทรภู่ยังมีความรู้ด้านดาราศาสตร์ หรือการดูดาว โดยที่สัมพันธ์กับความรู้ด้านโหราศาสตร์ ด้วยปรากฏว่าสุนทรภู่เอ่ยถึงชื่อดวงดาวต่าง ๆ ด้วยภาษาโหร เช่น ดาวเรือไชยหรือดาวสำเภาทอง ดาวธง ดาวโลง ดาวกา ดาวหามผี ทั้งยังบรรยายถึงคำทำนายโบร่ำโบราณ[27] เช่น "แม้นดาวกามาใกล้ในมนุษย์ จะม้วยมุดมรณาเป็นห่าโหง"[28] ดังนี้เป็นต้น

 

การที่สุนทรภู่มีความรอบรู้มากมายและรอบด้านเช่นนี้ สันนิษฐานว่าสุนทรภู่น่าจะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านเอกสารสำคัญซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนค่อนข้างน้อยเนื่องจากเป็นช่วงหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาไม่นาน ทั้งนี้เนื่องมาจากตำแหน่งหน้าที่การงานของสุนทรภู่นั่นเอง นอกจากนี้การที่สุนทรภู่มีแนวคิดสมัยใหม่แบบตะวันตก จนได้สมญาว่าเป็น "มหากวีกระฎุมพี"[22] ย่อมมีความเป็นไปได้ที่สุนทรภู่ซึ่งมีพื้นอุปนิสัยใจคอกว้างขวางชอบคบคนมาก น่าจะได้รู้จักมักจี่กับชาวต่างประเทศและพ่อค้าชาวตะวันตก ปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ เห็นว่าบางทีสุนทรภู่อาจจะพูดภาษาอังกฤษได้ก็เป็นได้[3] อันเป็นที่มาของการที่พระอภัยมณีและสินสมุทรสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้หลายภาษา รวมถึงเรื่องราวโพ้นทะเลและชื่อดินแดนต่าง ๆ ที่เหล่านักเดินเรือน่าจะเล่าให้สุนทรภู่ฟัง[29]

 

แต่ไม่ว่าสุนทรภู่จะได้รับข้อมูลโพ้นทะเลจากเหล่าสหายของเขาหรือไม่ สุนทรภู่ก็ยังพรรณนาถึงเรื่องล้ำยุคล้ำสมัยมากมายที่แสดงถึงจินตนาการของเขาเอง อันเป็นสิ่งที่ยังไม่ได้ปรากฏหรือสำเร็จขึ้นในยุคสมัยนั้น เช่น ในผลงานเรื่อง พระอภัยมณี มีเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สามารถปลูกตึกปลูกสวนไว้บนเรือได้ นางละเวงมีหีบเสียงที่เล่นได้เอง (ด้วยไฟฟ้า) หรือเรือสะเทินน้ำสะเทินบกของพราหมณ์โมรา สุนทรภู่ได้รับยกย่องว่าเป็นจินตกวีที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งแห่งยุคสมัย ปรากฏเนื้อความยืนยันอยู่ในหนังสือ ประวัติสุนทรภู่ ของพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) ความว่า "...ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น ฝ่ายจินตกวีมีชื่อคือหมายเอาสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเป็นประธานแล้ว มีท่านที่ได้รู้เรื่องราวในทางนี้กล่าวว่าพระองค์มีเอตทัคคสาวกในการสโมสรกาพย์กลอนโคลงฉัณท์อยู่ ๖ นาย คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ๑ ท่านสุนทรภู่ ๑ นายทรงใจภักดิ์ ๑ พระยาพจนาพิมล (วันรัตทองอยู่) ๑ กรมขุนศรีสุนทร ๑ พระนายไวย ๑ ภายหลังเป็นพระยากรุง (ชื่อเผือก) ๑ ในหกท่านนี้แล ได้รับต้นประชันแข่งขันกันอยู่เสมอ..."[30]

 

ทักษะอีกประการหนึ่งของสุนทรภู่ได้แก่ ความเชี่ยวชำนาญในการเลือกใช้ถ้อยคำอย่างเหมาะสมเพื่อใช้พรรณนาเนื้อความในกวีนิพนธ์ของตน โดยเฉพาะในงานประพันธ์ประเภทนิราศ ทำให้ผู้อ่านแลเห็นภาพหรือได้ยินเสียงราวกับได้ร่วมเดินทางไปกับผู้ประพันธ์ด้วย สุนทรภู่ยังมีไหวพริบปฏิภาณในการประพันธ์ กล่าวได้ว่าไม่เคยจนถ้อยคำที่จะใช้ เล่าว่าครั้งหนึ่งเมื่อภิกษุภู่ออกจาริกจอดเรืออยู่ มีชาวบ้านนำภัตตาหารจะมาถวาย แต่ว่าคำถวายไม่เป็น ภิกษุภู่จึงสอนชาวบ้านให้ว่าคำถวายเป็นกลอนตามสิ่งของที่จะถวายว่า "อิมัสมิงริมฝั่ง อิมังปลาร้า กุ้งแห้งแตงกวา อีกปลาดุกย่าง ช่อมะกอกดอกมะปราง เนื้อย่างยำมะดัน ข้าวสุกค่อนขัน น้ำมันขวดหนึ่ง น้ำผึ้งครึ่งโถ ส้มโอแช่อิ่ม ทับทิมสองผล เป็นยอดกุศล สังฆัสสะ เทมิ"[9]

 

อันว่า "กวี" นั้นแบ่งได้เป็น 4 จำพวก[31] คือ จินตกวี ผู้แต่งโดยความคิดของตน สุตกวี ผู้แต่งตามที่ได้ยินได้ฟังมา อรรถกวี ผู้แต่งตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และ ปฏิภาณกวี ผู้มีความสามารถใช้ปฏิภาณแต่งกลอนสด เมื่อพิจารณาจากความรู้และทักษะทั้งปวงของสุนทรภู่ อาจลงความเห็นได้ว่า สุนทรภู่เป็นมหากวีเอกที่มีความสามารถครบทั้ง 4 ประการอย่างแท้จริง

การสร้างวรรณกรรม

งานประพันธ์วรรณคดีในยุคก่อนหน้าสุนทรภู่ คือยุคอยุธยาตอนปลาย ยังเป็นวรรณกรรมสำหรับชนชั้นสูง ได้แก่ราชสำนักและขุนนาง เป็นวรรณกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อการอ่านและเพื่อความรู้หรือพิธีการ เช่น กาพย์มหาชาติ หรือ พระมาลัยคำหลวง[22] ทว่างานของสุนทรภู่เป็นการปฏิวัติการสร้างวรรณกรรมแห่งยุครัตนโกสินทร์ คือเป็นวรรณกรรมสำหรับคนทั่วไป เป็นวรรณกรรมสำหรับการฟังและความบันเทิง[22][32] เห็นได้จากงานเขียนนิราศเรื่องแรกคือ นิราศเมืองแกลง มีที่ระบุไว้ในตอนท้ายของนิราศว่า แต่งมาฝากแม่จัน รวมถึงใน นิราศพระบาท และ นิราศภูเขาทอง ซึ่งมีถ้อยคำสื่อสารกับผู้อ่านอย่างชัดเจน วรรณกรรมเหล่านี้ไม่ใช่วรรณกรรมสำหรับการศึกษา และไม่ใช่สำหรับพิธีการ

 

สำหรับวรรณกรรมที่สร้างขึ้นโดยหน้าที่ตามที่ได้รับพระบรมราชโองการ มีปรากฏถึงปัจจุบันได้แก่ เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม ในสมัยรัชกาลที่ 2 และ เสภาพระราชพงศาวดาร ในสมัยรัชกาลที่ 4 ส่วนที่แต่งขึ้นเพื่อถวายแด่องค์อุปถัมภ์ ได้แก่ สิงหไตรภพ เพลงยาวถวายโอวาท สวัสดิรักษา บทเห่กล่อมพระบรรทม และ บทละครเรื่อง อภัยนุราช

 

งานประพันธ์ของสุนทรภู่เกือบทั้งหมดเป็นกลอนสุภาพ ยกเว้น พระไชยสุริยา ที่ประพันธ์เป็นกาพย์ และ นิราศสุพรรณ ที่ประพันธ์เป็นโคลง ผลงานส่วนใหญ่ของสุนทรภู่เกิดขึ้นในขณะตกยาก คือเมื่อออกบวชเป็นภิกษุและเดินทางจาริกไปทั่วประเทศ สุนทรภู่น่าจะได้บันทึกการเดินทางของตนเอาไว้เป็นนิราศต่าง ๆ จำนวนมาก แต่หลงเหลือปรากฏมาถึงปัจจุบันเพียง 9 เรื่องเท่านั้น เพราะงานเขียนส่วนใหญ่ของสุนทรภู่ถูกปลวกทำลายไปเสียเกือบหมดเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม[33]

แนวทางการประพันธ์

สุนทรภู่ชำนาญงานประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพอย่างวิเศษ ได้ริเริ่มการใช้กลอนสุภาพมาแต่งกลอนนิทาน โดยมี โคบุตร เป็นเรื่องแรก ซึ่งแต่เดิมมากลอนนิทานเท่าที่ปรากฏมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาล้วนแต่เป็นกลอนกาพย์ทั้งสิ้น[9] นายเจือ สตะเวทิน ได้กล่าวยกย่องสุนทรภู่ในการริเริ่มใช้กลอนสุภาพบรรยายเรื่องราวเป็นนิทานว่า "ท่านสุนทรภู่ ได้เริ่มศักราชใหม่แห่งการกวีของเมืองไทย โดยสร้างโคบุตรขึ้นด้วยกลอนสุภาพ นับตั้งแต่เดิมมา เรื่องนิทานมักเขียนเป็นลิลิต ฉันท์ หรือกาพย์ สุนทรภู่เป็นคนแรกที่เสนอศิลปะของกลอนสุภาพ ในการสร้างนิทานประโลมโลก และก็เป็นผลสำเร็จ โคบุตรกลายเป็นวรรณกรรมแบบฉบับที่นักแต่งกลอนทั้งหลายถือเป็นครู นับได้ว่า โคบุตรมีส่วนสำคัญยิ่งในประวัติวรรณคดีของชาติไทย"[34]

 

สุนทรภู่ยังได้ปฏิวัติขนบการประพันธ์นิราศด้วย ด้วยแต่เดิมมาขนบการเขียนนิราศยังนิยมเขียนเป็นโคลง ลักษณะการประพันธ์แบบเพลงยาว (คือการประพันธ์กลอน) ยังไม่เรียกว่า นิราศ แม้นิราศรบพม่าที่ท่าดินแดง เดิมก็เรียกว่าเป็นเพลงยาวจดหมายเหตุ มาเปลี่ยนการเรียกเป็นนิราศในชั้นหลัง สุนทรภู่เป็นผู้ริเริ่มการแต่งกลอนนิราศเป็นคนแรกและทำให้กลอนนิราศเป็นที่นิยมแพร่หลาย[35] โดยการนำรูปแบบของเพลงยาวจดหมายเหตุมาผสมกับคำประพันธ์ประเภทกำสรวล[22] กลวิธีการประพันธ์ที่พรรณนาความระหว่างเส้นการเดินทางกับประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตก็เป็นลักษณะเฉพาะของสุนทรภู่ ซึ่งผู้อื่นจะประพันธ์ในแนวทางเดียวกันนี้ให้ได้ใจความไพเราะและจับใจเท่าสุนทรภู่ก็ยังยาก มิใช่แต่เพียงฝีมือกลอนเท่านั้น ทว่าประสบการณ์ของผู้ประพันธ์จะเทียบกับสุนทรภู่ก็มิได้[35] ด้วยเหตุนี้กลอนนิราศของสุนทรภู่จึงโดดเด่นเป็นที่รู้จักยิ่งกว่ากลอนนิราศของผู้ใด และเป็นต้นแบบของการแต่งนิราศในเวลาต่อมา[9]

 

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากงานกลอน สุนทรภู่ก็มีงานประพันธ์ในรูปแบบอื่นอีก เช่น พระไชยสุริยา ที่ประพันธ์เป็นกาพย์ทั้งหมด ประกอบด้วยกาพย์ยานี กาพย์ฉบัง และกาพย์สุรางคนางค์ ส่วน นิราศสุพรรณ เป็นนิราศเพียงเรื่องเดียวที่แต่งเป็นโคลง ชะรอยจะแต่งเพื่อลบคำสบประมาทว่าแต่งได้แต่เพียงกลอน แต่การแต่งโคลงคงจะไม่ถนัด เพราะไม่ปรากฏว่าสุนทรภู่แต่งกวีนิพนธ์เรื่องอื่นใดด้วยโคลงอีก

วรรณกรรมอันเป็นที่เคลือบแคลง

ในอดีตเคยมีความเข้าใจกันว่า สุนทรภู่เป็นผู้แต่ง นิราศพระแท่นดงรัง[9] แต่ต่อมา ธนิต อยู่โพธิ์ ผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีไทยและอดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้แสดงหลักฐานพิเคราะห์ว่าสำนวนการแต่งนิราศพระแท่นดงรัง ไม่น่าจะใช่ของสุนทรภู่ เมื่อพิจารณาประกอบกับเนื้อความ เปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในชีวิตของสุนทรภู่ และกระบวนสำนวนกลอนแล้ว จึงสรุปได้ว่า ผู้แต่งนิราศพระแท่นดงรัง คือ นายมี หรือ เสมียนมี หมื่นพรหมสมพักสร ผู้แต่งนิราศถลาง[36]

 

วรรณกรรมอีกชิ้นหนึ่งที่คาดว่าไม่ใช่ฝีมือแต่งของสุนทรภู่ คือ สุภาษิตสอนหญิง แต่น่าจะเป็นผลงานของนายภู่ จุลละภมร ซึ่งเป็นศิษย์[10] เนื่องจากงานเขียนของสุนทรภู่ฉบับอื่น ๆ ไม่เคยขึ้นต้นด้วยการไหว้ครู ซึ่งแตกต่างจากสุภาษิตสอนหญิงฉบับนี้

 

นอกจากนี้ยังมีวรรณกรรมอื่น ๆ ที่สงสัยว่าอาจจะเป็นผลงานของสุนทรภู่ ได้แก่ เพลงยาวสุภาษิตโลกนิติ ตำรายาอัฐกาล (ตำราบอกฤกษ์ยามเดินทาง) สุบินนิมิตคำกลอน และตำราเศษนารี[10]

 

การตีพิมพ์ เผยแพร่ และดัดแปลงผลงาน

ในยุคสมัยของสุนทรภู่ การเผยแพร่งานเขียนจะเป็นไปได้โดยการคัดลอกสมุดไทย ซึ่งผู้คัดลอกจ่ายค่าเรื่องให้แก่ผู้ประพันธ์ ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้สันนิษฐานไว้ว่า สุนทรภู่แต่งเรื่อง พระอภัยมณี ขายเพื่อเลี้ยงชีพ[9] ดังนี้จึงปรากฏงานเขียนของสุนทรภู่ที่เป็นฉบับคัดลอกปรากฏตามที่ต่าง ๆ หลายแห่ง จนกระทั่งถึงช่วงวัยชราของสุนทรภู่ การพิมพ์จึงเริ่มเข้ามายังประเทศไทย โดยมีสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎทรงให้การสนับสนุน โรงพิมพ์ในยุคแรกเป็นโรงพิมพ์หลวง ตีพิมพ์หนังสือราชการเท่านั้น ส่วนโรงพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือทั่วไปเริ่มขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 (ตั้งแต่ พ.ศ. 2401 เป็นต้นไป)[37]

 

โรงพิมพ์ของหมอสมิทที่บางคอแหลม เป็นผู้นำผลงานของสุนทรภู่ไปตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2413 คือเรื่อง พระอภัยมณี ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูง ขายดีมากจนหมอสมิทสามารถทำรายได้สูงขนาดสร้างตึกเป็นของตัวเองได้ หลังจากนั้นหมอสมิทและเจ้าของโรงพิมพ์อื่น ๆ ก็พากันหาผลงานเรื่องอื่นของสุนทรภู่มาตีพิมพ์จำหน่ายซ้ำอีกหลายครั้ง[9] ผลงานของสุนทรภู่ได้ตีพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 จนหมดทุกเรื่อง[9] แสดงถึงความนิยมเป็นอย่างมาก สำหรับเสภาเรื่อง พระราชพงศาวดาร กับ เพลงยาวถวายโอวาท ได้ตีพิมพ์เท่าที่จำกันได้ เพราะต้นฉบับสูญหาย จนกระทั่งต่อมาได้ต้นฉบับครบบริบูรณ์จึงพิมพ์ใหม่ตลอดเรื่องในสมัยรัชกาลที่ 6[9]

 

การแปลผลงานเป็นภาษาอื่น

ผลงานของสุนทรภู่ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ดังนี้

งานดัดแปลง

ใบปิดภาพยนตร์การ์ตูน "สุดสาคร" ของ ปยุต เงากระจ่าง

ละคร

มีการนำกลอนนิทานเรื่อง สิงหไตรภพ มาดัดแปลงเป็นละครหลายครั้ง โดยมากมักเปลี่ยนชื่อเป็น สิงหไกรภพ โดยเป็นละครโทรทัศน์แนวจักร ๆ วงศ์ ๆ และละครเพลงร่วมสมัยโดยภัทราวดีเธียเตอร์[40] นอกจากนี้มีเรื่อง ลักษณวงศ์ และพระอภัยมณี ที่มีการนำเนื้อหาบางส่วนมาดัดแปลง ตอนที่นิยมนำมาดัดแปลงมากที่สุดคือ เรื่องของสุดสาคร

ลักษณวงศ์ ยังได้นำไปแสดงเป็นละครนอก โดยศูนย์ศิลปวัฒนธรรมแห่งชาติภาคตะวันตก จังหวัดสุพรรณบุรี ในปี พ.ศ. 2552 มีกำหนดการแสดงหลายรอบในเดือนพฤศจิกายน[41]

ภาพยนตร์

  • พ.ศ. 2509 ภาพยนตร์ พระอภัยมณี ฉบับของ ครูรังสี ทัศนพยัคฆ์ นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา - เพชรา เชาวราษฎร์
  • พ.ศ. 2522 ภาพยนตร์การ์ตูน "สุดสาคร" ผลงานสร้างของ ปยุต เงากระจ่าง
  • พ.ศ. 2545 ภาพยนตร์ พระอภัยมณี ผลิตโดย ซอฟต์แวร์ ซัพพลายส์ อินเตอร์เนชั่ลแนล กำกับโดย ชลัท ศรีวรรณา จับความตั้งแต่เริ่มเรื่อง ไปจนถึงตอน นางเงือกพาพระอภัยมณีหนีจากนางผีเสื้อสมุทร และพระอภัยมณีเป่าปี่สังหารนาง
  • พ.ศ. 2549 โมโนฟิล์ม ได้สร้างภาพยนตร์จากเรื่อง พระอภัยมณี เรื่อง สุดสาคร โดยจับความตั้งแต่กำเนิดสุดสาคร จนสิ้นสุดที่การเดินทางออกจากเมืองการะเวกเพื่อติดตามหาพระอภัยมณี
  • พ.ศ. 2549 ภาพยนตร์การ์ตูน เรื่อง สิงหไกรภพ ความยาว 40 นาที

เพลง

บทประพันธ์จากเรื่อง พระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีเกี้ยวนางละเวง ได้นำไปดัดแปลงเล็กน้อยกลายเป็นเพลง "คำมั่นสัญญา" ประพันธ์ทำนองโดย สุรพล แสงเอก บันทึกเสียงครั้งแรกโดย ปรีชา บุญยเกียรติ ใจความดังนี้

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา เชยผกาโกสุมปทุมทอง
แม้เป็นถ้ำอำไพใคร่เป็นหงส์ จะร่อนลงสิงสู่เป็นคู่สอง[note 2]
ขอติดตามทรามสงวนนวลละออง เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป...  

 

อีกเพลงหนึ่งคือเพลง "รสตาล" ของครูเอื้อ สุนทรสนาน คำร้องโดยสุรพล โทณะวนิก ซึ่งใช้นามปากกาว่า วังสันต์[42] ได้แรงบันดาลใจจากบทกลอนของสุนทรภู่ เรื่อง นิราศพระบาท[43] เนื้อหาดังนี้

เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น เพราะดั้นด้นอยากลิ้มชิมรสหวาน
ครั้นได้รสสดสาวจากจาวตาล ย่อมซาบซ่านหวานซึ้งตรึงถึงทรวง
ไหนจะยอมให้เจ้าหล่นลงเจ็บอก เพราะอยากวกขึ้นลิ้นชิมของหวง
อันรสตาลหวานละม้ายคล้ายพุ่มพวง พี่เจ็บทรวงช้ำอกเหมือนตกตาล...  

 

หนังสือและการ์ตูน

งานเขียนของสุนทรภู่โดยเฉพาะกลอนนิทานเรื่องพระอภัยมณี จะถูกนำมาเรียบเรียงเขียนใหม่โดยนักเขียนจำนวนมาก เช่น พระอภัยมณีฉบับร้อยแก้ว ของเปรมเสรี หรือหนังสือการ์ตูน อภัยมณีซาก้า อีกเรื่องหนึ่งที่มีการนำมาสร้างใหม่เป็นหนังสือการ์ตูนคือ สิงหไตรภพ ในหนังสือ ศึกอัศจรรย์สิงหไกรภพ ที่เขียนใหม่เป็นการ์ตูนแนวมังงะ

ชื่อเสียงและคำวิจารณ์

สุนทรภู่นับเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างวรรณคดีประเภทร้อยกรอง หรือ "กลอน" ให้เป็นที่นิยมแพร่หลาย ทั้งยังวางจังหวะวิธีในการประพันธ์แบบใหม่ให้แก่การแต่งกลอนสุภาพด้วย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์ ยกย่องความสามารถของสุนทรภู่ว่า "พระคุณครูศักดิ์สิทธิ์คิดสร้างสรรค์ ครูสร้างคำแปดคำให้สำคัญ"[7]

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือ "ประวัติสุนทรภู่" ว่าด้วยเกียรติคุณของสุนทรภู่ว่า "ถ้าจะลองให้เลือกกวีไทยบรรดาที่มีชื่อเสียงปรากฏมาในพงศาวดารคัดเอาแต่ที่วิเศษสุดเพียง 5 คน ใคร ๆ เลือกก็เห็นจะเอาชื่อสุนทรภู่ไว้ในกวีห้าคนนั้นด้วย"[9] เปลื้อง ณ นคร ได้รวบรวมประวัติวรรณคดีไทยในยุคสมัยต่าง ๆ นับแต่สมัยสุโขทัยไปจนถึงสมัยรัฐธรรมนูญ (คือสมัยปัจจุบันในเวลาที่ประพันธ์) โดยได้ยกย่องว่า "สมัยพุทธเลิศหล้าเป็นจุดยอดแห่งวรรณคดีประเภทกาพย์กลอน ต่อจากสมัยนี้ระดับแห่งกาพย์กลอนก็ต่ำลงทุกที จนอาจกล่าวได้ว่า เราไม่มีหวังอีกแล้วที่จะได้คำกลอนอย่างเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน และเรื่องพระอภัยมณี"[44] โดยที่ในสมัยดังกล่าวมีสุนทรภู่เป็น "บรมครูทางกลอนแปดและกวีเอก"[44] ซึ่งสร้างผลงานอันเป็นที่รู้จักและนิยมแพร่หลายในหมู่ประชาชน ทั้งนี้เนื่องจากกวีนิพนธ์ในยุคก่อนมักเป็นคำฉันท์หรือลิลิตซึ่งประชาชนเข้าไม่ถึง สุนทรภู่ได้ปฏิวัติงานกวีนิพนธ์และสร้างขนบการแต่งกลอนแบบใหม่ขึ้นมา จนเป็นที่เรียกกันทั่วไปว่า "กลอนตลาด" เพราะเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวบ้านนั่นเอง[44]

นิธิ เอียวศรีวงศ์ เห็นว่า สุนทรภู่น่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากในสังคมกระฎุมพีช่วงต้นรัตนโกสินทร์ กระฎุมพีเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เสพผลงานของสุนทรภู่ และเห็นสาเหตุหนึ่งที่ผลงานของสุนทรภู่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเพราะสอดคล้องกับความคิดความเชื่อของผู้อ่านนั่นเอง[22]

นอกเหนือจากความนิยมในหมู่ประชาชนชาวสยาม ชื่อเสียงของสุนทรภู่ยังแพร่ไปไกลยิ่งกว่ากวีใด ๆ ใน เพลงยาวถวายโอวาท สุนทรภู่กล่าวถึงตัวเองว่า

"อย่างหม่อมฉันอันที่ดีและชั่ว ถึงลับตัวแต่ก็ชื่อเขาลือฉาว เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมรลาวลือเลื่องถึงเมืองนคร"[18]

ข้อความนี้ทำให้ทราบว่า ชื่อเสียงของสุนทรภู่เลื่องลือไปไกลนอกเขตราชอาณาจักรไทย แต่ไปถึงอาณาจักรเขมรและเมืองนครศรีธรรมราชทีเดียว

คุณวิเศษแห่งความเป็นกวีของสุนทรภู่จึงอยู่ในระดับกวีเอกของชาติ ศจ.เจือ สตะเวทิน เอ่ยถึงสุนทรภู่โดยเปรียบเทียบกับกวีเอกของประเทศต่าง ๆ ว่า "สุนทรภู่มีศิลปะไม่แพ้ลามาตีน ฮูโก หรือบัลซัคแห่งฝรั่งเศส... มีจิตใจและวิญญาณสูง อาจจะเท่าเฮเนเลนอ แห่งเยอรมนี หรือลิโอปารดี และมันโซนีแห่งอิตาลี"[7] สุนทรภู่ยังได้รับยกย่องว่าเป็น "เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย"[1] งานวิจัยทุนฟุลไบรท์-เฮย์ส ของคาเรน แอนน์ แฮมิลตัน ได้เปรียบเทียบสุนทรภู่เสมือนหนึ่งเชกสเปียร์หรือชอเซอร์แห่งวงการวรรณกรรมไทย[45]

เกียรติคุณและอนุสรณ์

บุคคลสำคัญของโลก (ด้านวรรณกรรม)

ปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบวันเกิด 200 ปีของสุนทรภู่ องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้สุนทรภู่ เป็นบุคคลสำคัญของโลกทางด้านวรรณกรรม นับเป็นชาวไทยคนที่ 5 และเป็นสามัญชนชาวไทยคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้ ในปีนั้น สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์จึงได้จัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือ "อนุสรณ์สุนทรภู่ 200 ปี" และมีการจัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมเกี่ยวกับการเผยแพร่ชีวิตและผลงานของสุนทรภู่ให้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น

อนุสาวรีย์และหุ่นปั้น

อนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่ วัดศรีสุดาราม

อนุสาวรีย์สุนทรภู่แห่งแรก สร้างขึ้นที่ ต.กร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านบิดาของสุนทรภู่ โดยวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2498 อันเป็นปีที่ครบรอบ 100 ปีการเสียชีวิตของสุนทรภู่ และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 ภายในอนุสาวรีย์มีหุ่นปั้นของสุนทรภู่ และตัวละครในวรรณคดีเรื่องเอกของท่านคือ พระอภัยมณี ที่ด้านหน้าอนุสาวรีย์มี หมุดกวี หมุดที่ 24 ปักอยู่[46]

 

ยังมีอนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่จังหวัดอื่น ๆ อีก ได้แก่ ที่ท่าน้ำหลังวัดพลับพลาชัย ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นจุดที่สุนทรภู่ได้เคยมาตามนิราศเมืองเพชร อันเป็นนิราศเรื่องสุดท้ายของท่าน และเชื่อว่าเพชรบุรีเป็นบ้านเกิดของมารดาของท่านด้วย[47] อนุสาวรีย์อีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่วัดศรีสุดาราม เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เชื่อว่าท่านได้เล่าเรียนเขียนอ่านเมื่อวัยเยาว์ที่นี่ นอกจากนี้มีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งสุนทรภู่ ตลอดจนหุ่นขี้ผึ้งในวรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จังหวัดนครปฐม

 

พิพิธภัณฑ์

กุฏิสุนทรภู่ หรือพิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ ตั้งอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ถ.มหาไชย กรุงเทพฯ เป็นอาคารซึ่งปรับปรุงจากกุฏิที่สุนทรภู่เคยอาศัยอยู่เมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่นี่ [48] ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย และมีการจัดกิจกรรมวันสุนทรภู่เป็นประจำทุกปี

วันสุนทรภู่

หลังจากองค์การยูเนสโกได้ประกาศยกย่องให้สุนทรภู่เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางวรรณกรรมระดับโลกเมื่อปี พ.ศ. 2529 ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้จัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้น และกำหนดให้วันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี เป็น วันสุนทรภู่[49] นับแต่นั้นทุก ๆ ปีเมื่อถึงวันสุนทรภู่ จะมีการจัดงานรำลึกถึงสุนทรภู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ที่พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ วัดเทพธิดาราม และที่จังหวัดระยอง (ซึ่งมักจัดพร้อมงานเทศกาลผลไม้จังหวัดระยอง) รวมถึงการประกวดแต่งกลอน ประกวดคำขวัญ และการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับสุนทรภู่ในโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ

 

 

*************************************

 

 

 

หลวงพ่อเกษม รับคำท้าดวลไมค์ หลวงปู่พุทธะอิสระ หลังเทศน์พาดพิง

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=oPt6IAX_vps

 

 

 

 

ปกติเป็นคนห่างวัด ไม่รู้จักมักคุ้นกับเจ้ากูทั้งสอง

แต่ชอบอ่านหนังสือ

รู้ข้อเท็จจริงที่คนทั้งโลกยอมรับ (ขออนุญาตไม่ใช้ภาษาแขก) คือ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนบวช ทรงเป็นลูกกษัตริย์ ผู้มีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่ครองบัลลังค์ อำนาจ ต่อจากพ่อ

แต่ท่านตัดสินใจออกแสวงหาความจริงแห่งจักรวาล

สละทรัพย์สมบัติ ของมีค่า ทุกสิ่งทุกอย่าง คงเหลือไว้เพียงอัฐบริขาร 8

๑. ผ้าจีวร
๒. ผ้าสังฆาฎิ
๓. ผ้าสบง
๔. ประคดเอว
๕. มีดโกน
๖. บาตร
๗. เข็มเย็บผ้า
๘. ธมกรก (เครื่องกรองน้ำ)

นอนกลางดิน กินกลางทราย มีร่มโพธิปกป้องจากสภาพดินฟ้าอากาศ

กระทั่งค้นพบความจริงแห่งจักรวาล

และออกโปรดสัตว์ กระทั่งถึงแก่ความตาย ด้วยทรัพย์สมบัติ 8 อย่างดังกล่าว

แต่ทุกวันนี้ เจ้ากู นั่งเบนท์ ขี่เจ๊ท สร้างโบสถ์ พันล้าน สร้างรูปหล่อ อ้างอิงว่าแทนท่าน

ใหญ่โตมโหฬาร ใครบริจาคมาก ได้บุญมาก ชาตินี้ชาติหน้า

ไอ้เรื่องเล่าเรื่องแต่งหลังจากท่านถึงแก่ความตายแล้วนั้น มันก็เหมือนประวัติศาสตร์ประเทศนี้ ที่เขียนโดยผู้ปกครอง ให้ผู้ใต้ปกครองเชื่อไปทางไหน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทิ้งทรัพย์สมบัติราชวังแสนล้าน ไปอยู่ป่า อยู่เขา อยู่กับชาวบ้าน

เจ้ากูสมัยนี้ ทิ้งป่า ทิ้งเขา (หรือไม่ก็ทำลายป่า ทำลายเขา) สร้างปราสาทราชวังแสนล้าน โดยมีผู้สมรู้ร่วมคิดได้ประโยชน์ สนับสนุน

 

 

 

*************************************

guest

Post : 2013-06-20 21:05:32.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ความจริงในประเทศจีน

 

 

ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในจีนพุ่งสูงขึ้นเป็น 564 ล้านรายแล้ว

 

 การใช้งานอินเตอร์เน็ตของชาวจีนมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด China Internet Network Information Center (CNNIC) หน่วยงานที่รับผิดชอบระบบเครือข่ายของจีนได้ออกมารายงานว่าเมื่อสิ้นปี 2012 ที่ผ่านมา ในประเทสจีนมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตแล้ว 564 ล้านคน

ในส่วนของการใช้งานอินเตอร์เน็ตจัดเป็นใช้งานอินเตอร์เน็ตไร้สาย 420 ล้านรายเพิ่มขึ้น 18.1% จากปีที่แล้ว ทว่าการใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอรืพีซี โน๊คบุ๊ก กลับลดลง

ในส่วนของการใช้งานนั้นผู้ใช้ในจีนนิยมใช้งาน microblog โดยมีผู้ใช้งานแล้ว 309 ล้านราย รวมไปถึงการสั่งสินค้าออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตก็มีเพิ่มขึ้นเป็น 242 ล้านคน

ทั้งนี้จีนได้คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2015 จะมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตอยู่ที่ 800 ล้านราย

 

เซี่ยงไฮ้ติดอันดับหนึ่ง “ช้อปปิ้งออนไลน์” .. ธุรกิจไทยอย่าพลาดจับตามอง!!

รายงานจากเว็บไซต์ www.taobao.com (แหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน) เปิดเผยว่า เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองอันดับแรกที่มีผู้ซื้อสินค้าออนไลน์มากที่สุดในจีน สาเหตุสำคัญเนื่องจากเซี่ยงไฮ้มีเทคโนโลยีก้าวหน้าทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ รวมไปถึงผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง

จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า คนจีนในปัจจุบันนิยมใช้อินเทอร์เน็ตในการช้อปปิ้งไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ๆ อย่างเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กว่างโจว หรือมณฑลทางภาคตะวันออกของจีนอย่างเจ้อเจียงและเจียงซู ซึ่งนอกจากผู้บริโภคต่างก็มีกำลังซื้อสูงแล้ว ยังมีรูปแแบการใช้ชีวิตที่หนีไม่พ้นเทคโนโลยีทันสมัยด้วย โดยธุรกิจไทยอาจจะพิจารณาพื้นที่ดังกล่าวเป็นเป้าหมายในขายสินค้าไทยได้ ซึ่งแน่นอนว่าอินเทอร์เน็ตที่คนจีนต่างกำลังนิยมใช้เป็นอย่างมาก ก็อาจจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถใช้กระจายสินค้าไทยได้เช่นกัน



 

 

ภาษาที่มีคนใช้ทางอินเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลก

อันดับที่ 1 ภาษาอังกฤษ มีผู้ใช้ทางอินเทอร์เน็ต 26.8 %


อันดับที่ 2 ภาษาจีนกลาง มีผู้ใช้ทางอินเทอร์เน็ต 24.2 %

(เหล่าซือมีข้อสังเกตส่วนตัวว่า จำนวนผู้ใช้ภาษาจีนในเน็ตเพิ่มขึ้นกว่า 500 ล้านคนแล้ว และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สัดส่วนคนใช้ภาษาจีนทางเน็ตคงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย)


อันดับที่ 3 ภาษาสเปน มีผู้ใช้ทางอินเทอร์เน็ต 7.8 %


และภาษาอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 26.4 %

               

                           หลักสูตรที่ 9 "กลยุทธ์การค้าออนไลน์" โดยระบบ e-Learning ซึ่งกำหนดเปิดรับสมัครดังนี้


รุ่น

ระยะเวลาเรียน

 
กำหนดรับสมัคร

 
สมัครเรียน

 
4
1 กุมภาพันธุ์ 2556 – 15 มีนาคม 2556
รับสมัครเรียนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธุ์ 2556

 
ปิดรับสมัคร

5
1 สิงหาคม 2556 – 15 กันยายน 2556
รับสมัครเรียนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2556
คลิกดาวน์โหลดใบสมัคร
 
 
 

คลิกดูรายละเอียดหลักสูตร
 
ถ้าท่านต้องการสมัครเรียนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อสถาบันฝึกอบรมการค้าระหว่างประเทศ
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

เบอร์โทรศัพท์ 089-700-0622
แฟกซ์ 02-5122223
E-mail : elearning@ditp.go.th
 

 

 

 

60 ความจริงในประเทศจีน

posted on 25 Aug 2009 13:04 by aunlamun in Fun directory Knowledge

ตอนนั้นเห็นบองเต่า เฮียวิชัย และอีกหลายๆคนเล่น ก็อยากเล่นด้วยอะนะ เผอิญว่าช่วงนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับหมอๆจะเขียนเท่าไร ก็เลยขุดเอามาทำละกัน เชิญรับชมครับ

 

  1. คนจีนชอบเข้าห้องน้ำแล้วไม่ราด
  2. ทั้งๆที่ชักโครกก็ไม่เสีย น้ำก็มี แต่มันไม่ราด
  3. คนแรกเข้าแล้วไม่ราดไม่ว่า คนที่สองพอเข้าบ้างก็ไม่ราดของคนแรกทิ้งก่อน
  4. แถมบอมบ์ซ้ำก่อนเดินตัวปลิวจากไป ทิ้งให้คนที่สามเผชิญหน้ากับสองก้อนแรกอย่างอุจาด (โคตรรับไม่ได้)
  5. กลอนประตูห้องน้ำจีนมักจะเสีย
  6. แต่ถึงไม่เสีย มันก็ไม่ยอมล็อก
  7. คนจีนทำไมถึงชอบขี้กันไม่ลงโถวะ เดี๋ยวก็ติดGPSให้ซะนี่
  8. เมืองจีนมีไฟแดง แต่ไม่ขลัง
  9. มีทางม้าลาย แต่ก็ไม่ขลังเช่นกัน
  10. คนจีนจะขับรถมาด้วยความเร็ว 180กม./ชม. และจะเหยียบเบรคก็ต่อเมื่อห่างจากไฟแดงไปหนึ่งเมตรเท่านั้น
  11. เพราะฉะนั้นแม้ตอนไฟแดง คนข้ามก็ต้องคอยวัดดวงเสมอว่ามันจะเบรคหรือเปล่า
  12. จุดนี้รถมอเตอร์ไซค์และจักรยานดีกว่ามาก เพราะมันไม่เบรคชัวร์ เราไม่ต้องลังเล
  13. "เข้าคิว" แปลว่าอะไร
  14. แล้วทำไมจะรอให้ผมลงรถก่อนแล้วค่อยขึ้นรถไม่ได้มิทราบครับ
  15. ผู้หญิงจีนไม่ชอบโกนขนรักแร้
  16. แถมชอบใส่เสื้อกล้าม
  17. แล้วถ้าตอนขึ้นรถเมล์เธอต้องยืนห้อยโหนนะเมึ้ง
  18. คนจีนกล้าแต่งตัวมาก สีสันสุดๆ
  19. กางเกงขาสั้นของสาวๆจะสั้นมาก ในประเทศไทยจะเห็นคนใส่แบบนี้ตอนอยู่ในหอนักศึกษา หรือตามชายหาด
  20. ชุดนอนถือเป็นชุดประจำชาติอย่างนึง
  21. เพราะเขาใส่ออกมาเดินห้างกันได้
  22. ถ้าจะให้ดีอย่าหาแฟนเป็นผู้หญิงเซี่ยงไฮ้
  23. เธอไม่เคยไว้หน้าแฟนครับ และจะกุมอำนาจในบ้านเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
  24. ทีวีจีนถ้าติดเคเบิลจะมีหกสิบกว่าช่อง
  25. ซึ่งช่องที่เยอะขึ้นมาจะไม่ใช่ HBO, Cartoon Network, ESPN แต่อย่างใด
  26. แต่มันคือช่องทีวีจากจังหวัดอื่นๆต่างหาก
  27. คุณสามารถดู Full House, องค์หญิงกำมะลอ, มังกรหยก ได้อย่างเมามันส์ เพราะแต่ละช่องก็จะเอามาฉายซ้ำอยู่นั่นแหละ
  28. ละครที่จีนทำขึ้นเองส่วนใหญ่เกี่ยวกับทหาร เนื้อหาจะเกี่ยวกับช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ด่าญี่ปุ่นกระจายทั้งเรื่อง
  29. ถ้าไม่มีไต้หวัน กับฮ่องกง วงการบันเทิงจีนจะไม่มีความบันเทิงแม้แต่นิดเดียว
  30. แต่จีนทำสารคดีเกี่ยวกับประเทศตัวเองได้น่าสนใจมากนะครับ
  31. อาจเป็นเพราะประวัติศาสตร์เขายาวนาน เลยเอามาเล่าได้สนุกมาก
  32. เดินกระทบไหล่กันเป็นเรื่องปกติ เดินกระแทกไหล่จนเราตัวปลิวเป็นเรื่องธรรมดา
  33. ขากกกกกกกกกก.....ถุย
  34. ถ้าคุณไม่หันไปมองพวกเขา คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาแค่คุยกันหรือทะเลาะกันอยู่
  35. คนจีนในไทยไม่ชอบซื้อรถสีดำ
  36. แต่คนจีนในจีนชอบขับรถสีดำ
  37. คนจีนในไทยที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมจะไม่กินเนื้อ
  38. แต่ที่นี่ไม่มีข้อห้าม
  39. ถ้าจะซื้อของที่นี่ให้เริ่มต่อที่ 20-30%ของราคาที่เขาตั้งไว้ แล้วค่อยๆเพิ่มราคาทีหลัง
  40. แต่ก่อนจะต่อดูหน้าคนขายนิดนึง
  41. เพราะเคยมีคดีเจ้าของร้านฆ่าลูกค้ามาแล้ว
  42. ถ้าต่อราคาจนถึงราคาที่เราต้องการแล้วมันยังไม่ขายก็วางของลงแล้วเดินออกจากร้านซะ
  43. แล้วมันจะเรียกเราให้กลับมาซื้อเอง
  44. แต่ถ้ามันไม่เรียก ก็เดินไปหาร้านใหม่ละกัน
  45. ของราคาไม่เท่าไรก็อย่าไปต่อเขาเลยครับ
  46. ถ้าอยากมาเที่ยวเมืองจีน ซื้อทัวร์จากไทยมาเลยดีกว่า
  47. ทัวร์เมืองจีน บริการและคุณภาพห่วยแตกมาก
  48. ร้านอาหารเมืองจีนถ้าคุณสั่งข้าวผัดแล้วสั่งให้ใส่หมูเพิ่ม มันจะทำกันไม่เป็น
  49. ถ้าอยากเปลี่ยนเมนูจากเนื้อวัวน้ำมันหอยเป็นเนื้อหมูน้ำมันหอย มันก็ทำกันไม่เป็นอีก
  50. เพราะมันไม่อยู่ในเมนูของร้าน
  51. ก๋วยเตี๋ยวเมืองไทยเส้นน้อย เครื่องเยอะ ส่วนก๋วยเตี๋ยวเมืองจีนเส้นเยอะเครื่องน้อย
  52. อาหารจีนมันมากกกกกกกกกก
  53. น้ำมันในจานผัดผัก หากเทออกมา สามารถเอามาทอดไข่เจียวต่อได้อีกห้าฟอง
  54. อาหารจีนเค็มมากกกกกกกกก
  55. อาหารจีนชูรสเยอะมากกกกกก
  56. เวลาเด็กไทยมาสั่งอาหารในจีนจะชอบพูดว่า 少油 少盐 不要味精
  57. แปลว่า น้ำมันน้อย เกลือน้อย ไม่ใส่ผงชูรส
  58. แล้วบ๋อยมันจะทำหน้างงๆ ว่าพวกมึงกินกันเข้าไปได้ไง
  59. แต่อาหารจีนอร่อยๆก็เยอะนะ
  60. ถ้าเพื่อนๆชอบ ก็อาจจะมีต่อภาคสองนะ

 

**********************************

 

 

 

                             ถึงจะไกล ใจก็จะคว้า....

 

 

                                

 

 

 

....ขอกระโดด สักครั้ง หวังไม่พลาด

 

เมื่อโอกาส มีมาถึง จึงจ้องหา

 

โหนกคอซ้าย หมายขย้ำ ต่ำลงมา

 

เรื่องพลาดท่า ต้องไม่เกิด เปิดจู่โจม

 

 

 

....ตามมานาน เหลือเกิน เพลินเลยนะ

 

คงหวังจะ ทอดน่องวาง ย่างโชว์โฉม

 

หนึ่งสองสาม กระโจนพรวด หวดอัดโครม

 

พุ่งถาโถม หากพลาดเป้า เราอาจตาย(นะ)....

 

 

 

************************

 

 

 

 ถาม โดยคุณ want_haireless

 

 

ท่านว่ารัฐธรรมนูญไม่ดี  ท่านอ่านแล้วข้อไหนไม่ดีครับ  ข้อไหนทำให้บริหารราชการแผ่นดินมีปัญหา  ข้อไหนที่เปิดโอกาสให้นัการเมืองทำชั่ว  ถ้าท่านแจงได้  ผมจะขอนับถือจากหัวใจจริงๆครับ   แต่ถ้าข้อไหน  จำกัดการใช้อำนาจ  ข้อไหนจำกัดช่องทางทุจริต  ข้อไหน  มีบทลงโทษคนชั่ว  แล้วท่านบอกว่า  ข้อนั้นเอียง.....ผมไม่รู้จะคุยกับท่านอย่างไร......... 

 

กติกามีไว้ใช้บังคับทั้งสองฝ่าย  ท่านว่า  กฏหมายเอียง   ผมไม่เชื่อว่า  ทางเพื่อไทยจะไม่มีนักกฏหมายฝีมืดดีสู้ในศาล  ยกเว้นประจักษ์พยานที่ปรากฏทำให้สู้ไม่ได้  คดีสำคัญๆๆที่ตัดสินแล้ว  เปิดเผยครับ  ใครสนใจหาอ่านได้จากเวปไซค์ต่างมีเยอะแยะ  แต่พวกท่านได้อ่านอย่างละเอียดจริงหรือไม่   หรือแค่ฟังเขามา  แล้วมาอาละวาด........ไม่ใช่เด็กแล้วครับ  เรื่องบ้านเรื่องเมือง  ต้องเอาความถูกต้องเป้นหลัก   แม้คนที่รักจะต้องทัณฑ์ก็ต้องให้มันเป็นไปตามกระบวนการ  เพื่อยึดหลักการให้อยุ่คู่กับระบอบการปกครองไปนานๆ

 

 

 

ตอบ...โดยคุณ payai97 ประชาทอล์ค

เรื่องนี้คงต้องคุยโยงไปหลายประเด็นเลยนะ

 

1...สมัยรัฐบาลม้าก

แก้กฎหมาย 2-3 มาตรา...หมายความว่าอย่างไร

 

จะหมายความว่า...รัฐบาลม้ากมองว่า

กฎหมายที่แก้ไปนั้นมันไม่ดี มันเอียงได้ไหม

ทั้งที่ 2-3 มาตรานั้นไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนเลย

 

เช่น มาตราที่เปลี่ยนระบบเขตเลือกตั้ง ให้มีน้อยลง แล้วไขว้ไปไขว้มาข้ามจังหวัด

ถามว่า..ถ้าไม่แก้มาตรานี้จะส่งผลกระทบกับชาวบ้านอย่างไร

หรือว่าถ้าไม่เปลี่ยนแล้ว...ประชาชนจะไม่ออกมาใช้เสียงเลือกตั้งงั้นหรือ

 

อย่างการเปลี่ยนจำนวน สส. เขตจาก 400 มาเป็น 375

และเปลี่ยนจำนวน สส.ระบบบัญชีรายชื่อจาก 100 มาเป็น 125

 

รัฐบาลม้ากบอกได้ไหมว่า...เปลี่ยนแล้วชาวบ้านจะได้อะไร

รัฐธรรมนูญ 50 จะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบขึ้นมาใช่ไหม

 

2...รัฐธรรมนูญ 50 มาจากการยึดอำนาจประชาชน...ด้วยปลายกระบอกปืน

คนที่เข้ามาเขียน รธน.ฉบับนี้...ล้วนมาจากการแต่งตั้งของเผด็จการ คมช.

 

เอาแค่ที่มาของ รธน.มันก็ไม่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตยแล้ว

เพราะหลักการประชาธิปไตยก็ชัดเจนว่า

**อำนาจเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน**

แต่ รธน.50 มันเป็นเช่นนั้นรึเปล่า

 

คนกลุ่มหนึ่งที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้ส่งมา...เขียนกฎหมายใหญ่โต

แล้วเอามาบังคับใช้กับคนทั้งประเทศ...แบบนี้จะเรียกว่าอำนาจเป็นของประชาชนได้อย่างไร

 

3...มาตราที่เขียนให้มี สว.มาจากการลากตั้ง..สรรหาด้วยมือของคนไม่กี่คน

โดยประชาชนไม่มีส่วนเลือกสรรคัดกรองเลย...มันยึดโยงกับประชาชนทั้งประเทศไหม

 

4...มาตราที่ให้มีการยุบพรรค...สส.ในพรรคทำผิดเพียงคนเดียว

แต่คนอื่นๆที่ไม่เกี่ยว ไม่รู้ไม่ได้ร่วมทำผิดด้วย...แต่ต้องมารับผิดด้วยทั้งหมด

แถมยังทุบบ้าน เผาบ้านของเขาทิ้งทั้งหลัง...มันยุติธรรมใช่ไหม

 

สมมุติว่าคนในบ้านของคุณ..ไปทำผิดข้อหาอะไรก็ตาม

ทุกคนในบ้านคุณต้องผิดด้วยรึเปล่า และเขาจะรื้อบ้านคุณทิ้ง...คุณจะยอมไหม

 

5...มาตรา 68 เป็นมาตราที่กำลังทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไม่ได้

หน้าที่โดยตรงของฝ่ายนิติบัญญัติกลับทำไม่ได้...กลายเป็นอัมพาต

 

แล้วจะให้คนในฝ่ายนิติบัญญัติ...มานั่งกินเดือนฟรีๆ

โดยไม่ต้องทำตามบทบาท อำนาจหน้าที่ของตนเอง...จะเอากันย่างนั้นใช่ไหม

 

ถ้างั้นบ้านเมืองก็ไม่ต้องมีสภา ไม่ต้องมีฝ่ายนิติบัญญัติไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ

จะได้ไม่ต้องเอาเงินภาษีของประชาชน...มาจ่ายค่าจ้างแพงสูงลิ่วอย่างสญเปล่าเช่นนี้

 

ปัญหาของมาตรานี้เกิดจากการตีความ...ของคณะตลก

โดยตีความต่างจากนักกฎหมาย นักวิชาการนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์และอื่นๆไม่ตรงกัน

 

ประเด็นที่ถกเถียงกัน...จนหาข้อยุติไม่ได้

และยังเกิดความขัดแย้งกันของคนหลายกลุ่ม...มาจากข้อความในตัวบทกฎหมาย นั่นคือ

 

จะฟ้องร้องที่อัยการสูงสูดก่อนแล้วค่อยส่งไปยังตลก...หากเรื่องฟ้องร้องมีมูล

 หรือจะฟ้องตรงไปที่ตลก...โดยไม่ต้องผ่านอัยการฯก็ได้

 

ถ้าเป็นกรณีนี้...แล้วจะมีอัยการไปทำไม...ยกเลิกไปเลยดีไหม เปลืองค่าจ้างเปล่าๆ

มีไปก็ไม่ต้องทำงาน ไม่มีงานให้ทำ...เพราะตลกเอาไปทำเองหมด

 

ฝ่ายนิติบัญญัติและรัฐบาลเห็นว่า...ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ มันคลุมเคลือ

คนหลายฝ่ายถกเถียงกันไม่จบสิ้น...จึงคิดจะแก้ไขเขียนให้มันชัดกันไปเลย

 

แล้วถ้าฝ่ายนิติบัญญัติ...จะแก้ไขกฎหมายมันผิดตรงไหน

ในเมื่อทำตามอำนาจหน้าที่ของตัวเองแท้ๆ

 

สิ่งที่ชาวบ้านเขาข้องใจสงสัย...ก็คือ

ทำไมรัฐบาลม้ากแก้ไขได้...ตลกไม่เคยออกมาคัดค้าน ไม่ยื่นเงื่อนไขอะไรเลย

 

แต่ทำไมพอมาถึงรัฐบาลนี้...ตลกจึงออกมาคัดค้าน

ให้ระงับการลงมติวาระ 3..แถมยังเขียนเงื่อนไขโน่น นี่ นั่น อ่านทีไรงงทุกที

 

 

 

**********************************

 

 

 

                      เรื่องประหลาดบนโลกที่คุณไม่รู้

 

 

 1. ไซบีเรียขายนมเป็นก้อนๆ

2. ถ้าตัดสมองเป็นสองส่วน คุณจะไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไป

3. ผลจากการสำรวจหญิงนิวยอร์กพบว่ามากกว่า 26 %เป็นสังคัง


4. สถิตการส่งพิซซ่าที่ไกลที่สุดในโลกคือ 19,950 กม.โดยเป็นการส่งพิซซ่าโดยร้าน Vegetarian Supreme ในลอนดอน มายังเมลเบิร์น ออสเตเลีย

5. ถ้าเราจะนับว่าโลกมีตัวต่อเลโก้เท่าไหร่ให้เอาจำนวนประชากรโลกทั้งหมดคูณด้วย 65 (แค่ค่าเฉลี่ย)

6. รัฐบาลสวีเดนปรับสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ตั้งชื่อลูกว่า"Brfxxccxxmnpcccclllmmnprxvclmnckssglbb11116"

7. คนอเมริกา 6% ไม่รู้จักชื่อเมืองหลวงของตนเอง

8. คิงโพธิ์แดงเป็นไพ่คิงใบเดียวในสำรับที่ไม่มีหนวด

9. หนูถึงจุดสุดยอดนาน30นาที

10. เมืองที่มีสาวสวยที่สุดในโลกคือเมืองบัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา

11. บริษัททำมีดโกนชื่อ Wilkinson ก่อตั้งในปี 2315 โดยดั่งเดิมมีความวชาญในการทำมีดดาบ

12. จากทารก 17000 คน จะมีเด็ก 1 คนที่เป็นเด็กเผือก

13. กล้องที่แพงที่สุดในโลกมีชื่อว่า Daguerreotype ประมูลไป 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ

14. น้ำนมยีราฬถูกรับรองเป็นอาหารของชาวยิวผู้เคร่งศาสนา ได้

15. 22 %ของผู้หญิงออสเตรเลียที่อายุเกิน 30 ปี เคยถ่ายวีดีโอในขณะมีเซ็กซ์

16. คนตัดไม้แคนนาดาใช้หมีในการไล่สัตว์อื่นๆ ออกจากป่าก่อนเข้าไปตัดไม้

17. ช้างตั้งท้องนาน 22 เดือน และช้างทารกมีน้ำหนักมากกว่า 120 กก.

18. ใน 1 วัน เลือดจะเดินทางในร่างกายประมาณ 19,300 กม.

19. อเล็ก ซานเดอร์มหาราช เป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่สั่งให้ทหารทั้งหมดโกนเครา ให้เรียบร้อย หลังจากที่ทหารของพระองค์ตายจำนวนมากจากการโดนข้าศึก คว้าหนวดเคราในการต่อสู้ประชิดตัว

20. ในปี 2491 รัฐไอดาโฮเคยออกกฎหมายว่าใครเจอกันแล้วไม่ยิ้มถือว่า ผิดกฎหมาย

21. รถ KITT จากซีรีย์อเมริกัน Knight Rider เคยถูกเอาไปประมูล ด้วยราคาเริ่มต้น 54,000 $

22. คลื่นที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สูง 516 เมตร เกิดจากแผ่นดินไหว 8.3 ริกเตอร์ ในปี 2501

23. ไมอามี่เป็นเมืองเดียวในประเทศอเมริกาที่ก่อตั้งโดยผู้หญิง

24. ชายหาดที่ยาวที่สุดในโลกคือหาด Praia do Cassino ทางภาคใต้ของราซิลยาวถึง 240 กม.

25. ในปี 2463 ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐเคยผลิตรถยนต์ที่ชื่อ The Rugy





26. มดเป็นสัตว์โลกชนิดเดียว ที่ไม่เคยหลับ นอน หรือหยุดการเคลื่อนไหว

27. จากการรายงานวิจัยล่าสุด พบว่าผู้บริหารขอมีเพศสัมพันธ์กับสาวๆ ในออฟฟิศ จะได้รับการตอบรับ 92 เปอร์เซ็นต์

28. ชาวอเมริกันกินเนื้อหมูตลอดอายุไขตัวเอง รวมแล้วเท่ากับหมู 28 ตัว

29. สถิตการปล้นธนาคารพบว่าส่วนใหญ่โจรจะลงมือวันศุกร์

30. สัตว์ในตระกูลกิ่งก่า (ไม่รวมจิ้งจก) มีชนิดเดียวเท่านั้นที่ส่งเสียงร้องได้นั้นคือตุ๊กแก

31. เมื่อยานอพพอลโล ทะยานสู่นอกโลก สิ่งแรกที่มนุษย์อวกาศลงมือปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนคือ มันมีแมลงสาปเข้ามาในยาน 1 ตัว

32. สัตว์กินเนื้อทุกชนิดในโลกจะไม่กินเนื้อสัตว์ที่ตายเพราะฟ้าผ่า แม้แต่อีแร้ง

33. ระเบิด ลูกแรกที่ฝ่ายทหารสัมพันธมิตร ในสงครามโลกครั้งที่ 2 หย่อนลงในเบอร์ลิน เยอรมันนี ปรากฏว่ามันหล่นในสวนสัตว์ส่งผลให้ช้างตายไป 1 เชือก

34. นักบินอวกาศที่กำลังไปท่องอวกาศจะมีกฎไว้ว่าห้ามกินถั่วเป็นก่อนหน้าเดินทาง 3 วัน เพราะอาจผายลมในขณะอยู่ชุดอวกาศได้

35. ชื่อ เพลงที่ยาวที่สุดในโลกแต่งขึ้นเมื่อปี 1943 โดยฮอกี้ คาร์มิเคิล ชื่อเพลง " I'm a Cranky Old Yank in a Clanky Old Tank on the Streets of Yokohamaa with my Honolulu MaMa Doin' Those Beat-o,Beat-o Flat-on-My-Seaat-o,Hirohito Blues"

36. คุณจะถูกยุงตอมเมื่อคุณกินกล้วยขณะออกมาอยู่กลาง แจ้ง

37. บีโธเฟน นักแต่งเพลงก้องโลก ก่อนตายเขากล่าวคำสุดท้ายว่า "เพื่อนๆ ทั้งหลายจงปรบมือเถิด..ละคร..ตลกกำลังจบลงแล้ว"

38. ทุกๆ ช่วงสี่ปี โธมัส เอดิสัน จะจดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ขึ้น โดยใช้เวลาร่างสิ่งประดิษฐ์นั้นแค่ 5 วัน

39. คำว่าแคนาดา เป็นคำภาษาอินดียแดงแปลว่า หมู่บ้านใหญ่

40. ประเทศไทยมีสถิตผู้สูบบุหรี่น้อยที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

41. แต่ประเทศไทยติดอันดับคนเสพยาบ้ามากที่สุดติดอันดับต้นๆ ของโลกแทน

42. จิม มอริสสัน นักร้องเพลงร็อกชื่อดังปี 60 เขาเป็นนักร้องคนแรกที่โดนตำรวจจับบนเวที เพราะขณะร้องเพลง ซิปดันไม่รูด

43. การประหารชีวิตนักโทษด้วยเครื่องกิโยตินครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นที่เมืองแวร์ซายส์ 17 มิ.ย. 1939มีผู้ร่วมงานจำนวนมากพร้อมจัดให้กินอาหารตั้งโต๊ะแบบดินเนอร์ด้วย

44. สถิตสิงห์อมควันมากที่สุดในโลกไม่ใช้จีนแต่เป็นประเทศแถบกรีนแลนด์

45. ที่อิสราเอล การพูดคุยโทรศัพท์มือถือในรถ มีความผิดถึงขั้นเป็นคดีอาญา

 

 

 

 **********************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

***************************************

 

12000 ล่อติดกับงับเหยื่อ

ตัวเลข 12000 ตั้งราคาเพื่อต่อรองพี่น้องชาวนา พบกันครึ่งทางยันพอใจทั้งสองฝ่ายน่าจะ 13500 +- ไม่มาก

เทียบเชิญชาวนาเป็นเกราะป้องกันหมากสองชั้นเซียนเหนือเมฆ    

 พวกทาสพ่อค้าข้าว เสียหมาเลย เกมนี้รัฐบาลล่อให้ลงมาชนกับชาวนาโดยตรง

 

 

 

guest

Post : 2013-06-12 19:31:53.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  วิธีบูชาและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรให้ได้ผล

 

     

ขอในสิ่งที่ไม่ควรขอ
 

                               

 

 

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่อัคคาฬวเจดีย์เมืองอาฬวี ทรงปรารภกุฏิการสิกขาบทที่ภิกษุชาวเมืองอาฬวีพากันสร้างกุฏิด้วยการเที่ยวขอไม่มีขีดจำกัด เป็นเหตุให้ชาวเมืองอาฬวีเดือดร้อนเห็นพระภิกษุที่ไหนก็กลัวหลบหนีหน้าไปหมด พระองค์จึงตรัสติเตียนพวกภิกษุว่า " ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการขอ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้พวกนาคในนาคภิภพ ก็ไม่ชอบใจ " แล้วทรงนำอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ในตระกูลมั่งคั่งมีทรัพย์สมบัติมากตระกูลหนึ่ง ท่านมีน้องชายอยู่คนหนึ่งรักกันมาก ต่อมาเมื่อมารดาบิดาเสียชีวิตแล้ว พราหมณ์สองพี่น้องก็พากันสละทรัพย์สมบัติบริจาคทานออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญพรตอยู่ฝั่งแม่น้ำคงคา ฤาษีพี่ชายอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำ ส่วนฤาษีน้องชายอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำ

 

อยู่มาวันหนึ่ง พญานาคมณิกัฏฐะได้แปลงเพศเป็นชายหนุ่มเที่ยวเล่นไปตามฝั่งแม่น้ำคงคา ผ่านไปถึงอาศรมของฤาษีผู้น้องจึงแวะเข้าไปสนทนาปราศรัยด้วยเกิดความสนิทสนมคุ้นเคยชอบพอกันกับฤาษีผู้น้องนั้น จึงเทียวมาเยี่ยมเยือนทุกวันมิได้เว้น เมื่อสนทนาเสร็จก่อนจะกลับก็จะคืนร่างเป็นพญานาคเอาขนดหางตะหวัดรัดรอบฤาษีแผ่พังพานไว้เหนือหัวด้วยความสิเนหาในฤาษีนั้น นอนพักอยู่หน่อยหนึ่งแล้วค่อยคลายร่างออกไหว้ฤาษีแล้วจึงกลับนาคพิภพ จะเป็นเช่นนี้ประจำ

 

ฤาษีนั้นทุกครั้งที่ถูกรัดตัวเกิดความกลัวจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับจนร่างกายซูบซีดผ่ายผอมลงทุกวัน วันหนึ่ง ท่านได้แวะไปหาฤาษีพี่ชาย เล่าเรื่องให้ฟังแล้วปรับทุกข์กับพี่ชายว่า " ผมไม่อยากให้พญานาคมาหาผมเลย พี่ช่วยผมหน่อยซิ" พี่ชายถามว่า " พญานาคเวลามา มีเครื่องประดับอะไรไหมละ" " ประดับแก้วมณีมาครับพี่" ท่านตอบพี่ชาย ฤาษีพี่ชายจึงแนะนำว่า " เมื่อพญานาคมาถึงอาศรมของท่าน ยังไม่ทันได้ไหว้ ท่านก็ขอแก้วมณีของมันเลย มันก็จะหนีไป วันที่สองพอมันมาถึงประตูอาศรมเท่านั้น ท่านก็เอ่ยปากขอแก้วมณีของมันอีก พอถึงวันที่สาม ท่านไปยืนดักรอที่ฝั่งแม่น้ำ พอมันโผล่หัวขึ้นจากฝั่งแม่น้ำเท่านั้น ท่านก็เอ่ยปากขอแก้วมณีอีก ทีนี้แหละมันก็จะไม่มารบกวนท่านอีกเลย "

 

ฤาษีผู้น้องได้ทำตามนั้น ในวันที่ ๓ พญานาคขณะยืนอยู่ในน้ำเมื่อถูกฤาษีขอแก้วมณีอีก จึงพูดว่า " ท่านฤาษี ข้าวและน้ำอันไพบูลย์ยิ่งมีแก่ข้าพเจ้าก็เพราะแก้วมณีดวงนี้ ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีแก่ท่านได้อย่างไร ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น ต่อแต่นี้ไปข้าพเจ้าจักไม่มาอาศรมของท่านอีกแล้วละ เมื่อท่านขอแก้วมณีดวงนี้ทำให้ข้าพเจ้าหวาดเสียวเหมือนชายหนุ่มถือดาบอันคมกริบ "

 

กล่าวจบก็ดำน้ำลงไปนาคพิภพไม่กลับมาที่นั้นอีกเลย


 

ฝ่ายฤาษี เมื่อพญานาคไปแล้วไม่มาหาอีกกลับคิดถึง เกิดความเศร้าเสียใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จึงยิ่งซูบผอมลงไปมากกว่าเดิมอีก หลายวันต่อมาฤาษีพี่ชายอยากจะทราบเรื่อง จึงแวะมาที่อาศรมน้องชาย เมื่อเห็นน้องชายแล้วยิ่งตกใจจึงถามถึงสาเหตุ ฤาษีน้องชายจึงตอบเป็นคาถาว่า
" บุคคลไม่ควรขอสิ่งที่รู้ว่าเป็นที่รักของเขา
อนึ่ง เพราะขอเกินไปย่อมเป็นที่เกลียดชัง
นาคราชถูกฤาษีขอแก้วมณี จึงไม่หวนกลับมาให้ฤาษีเห็นอีกเลย "

 

ฤาษีพี่ชายได้ปลอบน้องชายให้หายเศร้าเสียใจแล้วจึงกลับอาศรมของตน ฤาษีสองพี่น้องบำเพ็ญฌานสมาบัติได้ไปเกิดในพรหมโลกในที่สุด

   

 

โดยธรรมชาติของคนและสัตว์ไม่ชอบการขอ ควรขอเท่าที่จำเป็นและขอในสิ่งที่เขาจะสามารถให้ได้เท่านั้น

 

* เรื่องที่ ๓ ในสังกัปปวรรค หน้า ๒๒ - ๒๙ พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกายชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๔

ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย)

 

 

 *************************************

 

 

 

            วิธีบูชาและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรให้ได้ผล  

  

 

                                         

 

 

 

 

หลายคนอาจจะสงสัยว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้การขอพรพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรให้ได้ผลวันนี้เรามีขั้นตอนการขอพรดังกล่าวมาฝากกันชาว Sanook! Horoscope กันค่ะ วิธีบูชาและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรให้ได้ผล เรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือ "พลังจิต" เพราะพลังจิตที่กล้าแกร่งมีสมาธิเป็นหนึ่งเดียวนั่นคือ แรงส่งมหาศาล ที่จะนำแรงสัจจะอธิษฐานในการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ได้ผลตามที่มุ่งหวัง

 

ซึ่งขอให้เข้าใจเสียก่อนว่า พลังจิตที่เราใช้เป็นแรงส่งหรือเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นเพียงพลังส่งการไปขอพร ขออำนาจบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นการไปขอ ไม่ใช่เป็นการไปบังคับกะเกณฑ์เหล่านั้น ซึ่งเราไม่มีอำนาจอะไรไปบังคับท่านได้ว่าท่านจะต้องช่วยหรือไม่ช่วย และรับรองได้ว่าคนที่กำลังเกิดทุกข์นั้นไม่มีพลังจิตพอด้วย เพียงไปขอความเมตตาจากท่านเท่านั้น !!!

 

พลังจิตเป็นพลังธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และในตัวเราทุกคนนั้นมี จะมีมากหรือน้อยจะเชื่อมต่อกับท่านได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนปฏิบัติ และฐานกำลังจิตเดิมที่มาจากกรรมดี ที่เคยทำมาหรือมีกรรมร่วมกันมากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นหรือไม่ ในบางเรื่องต่างมีพันธะสัญญาต่อกันอยู่ ท่านอาจจะช่วยดลบันดาลในสิ่งที่เราขอความเมตตา แต่ต้องผสมรวมกันกับกรรมของเราด้วย จึงจะสำเร็จได้ แต่ที่ไม่สำเร็จเพราะเราไม่เคยมีกรรมร่วมกับท่าน เหมือนเราไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกัน ลองคิดดูว่าเขาเหล่านั้นจะช่วยเหลือเราหรือไม่ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย

 

หลักการขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ผล การที่เราไปทำการสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ควรเป็นการไปขอพร ขอบุญบารมี ขอโมทนาพระคุณความดีของท่าน ให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ใช่ไปติดสินบน เอาของไปล่อใจท่าน ทำให้ท่านมีกิเลส หรือมีกรรมร่วมกับเราอีก ซึ่งแน่นอนว่าท่านคงไม่ต้องการและไม่ปรารถนาที่จะทำเช่นนั้นและที่สำคัญ คนที่ไปชักชวนทำให้ท่านก่อกรรมไม่ดีเพราะเอาสิ่งของไปล่อท่าน คนคนนั้นจะต้องได้รับกรรมที่ก่อขึ้นด้วย...

 

ที่ท่านช่วยให้พรเพราะท่านเมตตาเราเท่านั้น ไม่ได้หวังเครื่องเซ่นใดๆ ทั้งสิ้น การขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบันดาลให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องขออย่างมีสติ ต้องประกาศตัวเองก่อนว่าเราคือใคร มีศีลอะไร มีความดีอะไร ด้วยความดีเหล่านั้น ก็ขอให้เป็นกำลังใจให้เราสร้างความดีต่อไป การขอพรนั้นเป็นสิ่งที่ดี ขอได้ทุกโอกาสและขอได้กับเทพหรือเทวดาทุกองค์ หรือแม้แต่พระพุทธรูปก็ตาม เมื่อปฏิบัติดีอยู่ในศีลด้วยความดี ตั้งใจมั่นศรัทธา ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับเรา

 

เคล็ดลับอีกประการหนึ่ง ในเวลาที่เรากำลังขอพรอยู่นั้น เราต้องรวมจิตให้มีพลังเพื่อเชื่อมบุญต่อกับท่านเหล่านั้นได้ ให้สังเกตดูว่า ในช่วงที่เรามีพลังจิตกล้าแกร่งนั้น เราจะรู้สึกโล่ง ขนลุก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวหรือมีแสงวาบขึ้นมาในจิต แสดงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นท่านรับรู้แล้วในสิ่งที่เราปรารถนาและสิ่งนั้นจะประสบหรือไม่ อยู่ที่กรรมลิขิต แต่ความสำเร็จที่เราปรารถนานั้น เราต้องรุ้ว่าที่ขอนั้นบุญหรือบาป ผิดต่อศีลธรรมไหม ถ้าบาปก็งดไม่ต้องขอ ถ้าดีก็ทำยิ่งๆ ขึ้นไป

 

เวลาขอพรเราต้องศรัทธา เราเปรียบตัวเองว่าเราคือ ฝุ่น ได้เข้าไปกราบสักการะด้วยความปิติยินดี จึงจะมีความสุข เมื่อมีความสุข ความสำเร็จจะอยู่ที่เรา ถ้าเราทำบาปจะมีความทุกข์ จงจำเอาไว้ว่าถ้าความทุกข์เกิด ความสำเร็จจะไม่ปรากฏ เราต้องปฏิบัติดี ทำดี อยู่ในศีลธรรม แล้วความสุขและสิ่งที่เราปรารถนาจะอยู่กับเราแน่นอน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com/ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

 

                             

 

******************************   

 

  

 

  

    9900;">
  • 1

 

 

'แดงเชียงใหม่'ปะทะหน้ากากขาวเจ็บอื้อ

'แดงเชียงใหม่'ปะทะหน้ากากขาวเจ็บอื้อ ฝ่ายหลังแตกหนีกระเจิงเหตุมีจำนวนน้อยกว่า เศษขยะเกลื่อนเมือง

 

เมื่อเวลา 16.30น. วันที่ 14 มิ.ย.2556 หลังจากที่กลุ่มหน้ากากขาวในจังหวัดเชียงใหม่ได้นัดรวมตัวจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ระหว่างที่มีการรวมตัวกันบริเวณหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ถนนนิมานเหมินทร์ ซอย 13 อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มวลชนคนเสื้อแดงกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 กว่า 100 คน ได้เข้ามาปะทะกับกลุ่มหน้ากากขาวเชียงใหม่ที่มีจำนวน 50 คน โดยเหตุการณ์เริ่มรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้ปาขยะใส่กลุ่มหน้ากากขาว และมีการดึงป้ายผ้าที่เขียนว่า "โค่นล้มระบอบทักษิษ" ทำให้เกิดการชุลมุมจนเกิดกากชกต่อยระหว่างคน 2 กลุ่ม แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 20 คนเข้าห้ามปราบแต่ไม่สำเร็จ

 

นอกจากนี้ ทางกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้มีการระดมกำลังคนเข้ามาบริเวณที่เกิดเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยที่กลุ่มหน้ากากขาวได้ถอยร่นเข้าไปอยู่ในอาคารพาณิชย์ของเอกชน เพื่อหลบเลี่ยงการถูกโจมตี แต่เบื้องต้นกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้ฝ่าเข้าไปในอาคารพาณิชย์ดังกล่าว และเกิดการชุลมุนชกต่อยกับทางกลุ่มหน้ากากขาวอีกคครั้ง เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตอนนี้ทางกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51ได้นำรถยนต์เข้ามาปักหลักบริเวณหน้าอาคารพาณิชย์ดังกล่าว และมีการนำเครื่องขยายเสียงแสดงเจตนารมณ์ปกป้องทักษิณ และมีการด่าทอไปยังกลุ่มหน้ากากอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ปาสิ่งของใส่กลุ่มหน้ากากขาวจนแตกกระเจิง บางส่วนได้วิ่งหลบหนีไปหลบซ่อนอยู่ตามซอยในถนนนิมานเหมินท์ ขณะที่บางส่วนถอยล่นเข้าไปหลบที่ฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ห่างจากจุดปะทะประมาณ 200 เมตร

 

กระทั่งเกิดการปะทะกันอีกครั้งที่บริเวณเซเว่นอีเลฟเว่นข้างกับฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ถนนนิมานเหมินท์ คาดว่ามีกลุ่มคนหน้ากากขาวได้รับบาดเจ็บหลายราย ขณะเดียวกัน ทางรปภ.ของฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ได้มีการนำแผงเหล็กมากั้นไม่กลุ่มเสื้อแดงเข้ามา เนื่องจากระหว่าางที่มีการปะทะกันนั้น กลุ่มเสื้อแดงได้ขว้างปาเศษขยะ ขวดน้ำ ขวดแก้ว เข้ามาภายในคอนโดฯ จนทำให้บริเวณด้านหน้าทางเข้าเต็มไปด้วยเศษขยะเกลื่อนกระจัดกระจาย

 

ขณะที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงว่ากลุ่มคนเสื้อแดงยังปักหลักเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ที่ย่านถนนนิมานเหมินท์ เนื่องจากมีสายของกลุ่มเสื้อแดง รายงานว่ายังกลุ่มหน้ากากขาวบางส่วนยังหลบซ่อนตัวอยู่ และการ์ดของกลุ่มหน้ากากขาว มีการพกพาอาวุธปืนและจะทำร้ายกลุ่มเสื้อแดง พร้อมประกาศจะปกป้องคนที่ให้ร้ายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนากรัฐมนตรีและจ้องจะล้มรัฐบาล

   

      

                           

โดยคุณ เจเจ สาทร

" การชุมนุมหน้ากากขาว ปกติจะจัดวันอาทิตย์ แต่ทำไมที่เชียงใหม่จัดวันศุกร์ เพราะมันคือหลุมพรางครับ

จัดวันศุกร์โดยกลุ่มวิหก ที่มีสถานีวิทยุ ยั่วยุให้เสื้อแดงออกไปติดกับดัก แล้วหาช่องทางสร้างความวุ่นวายใน

เย็นวันศุกร์ เพื่อเป็นข่าวในเช้าวันเสาร์ บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ยั่วอารมณ์หน้ากากขาวทั่วประเทศ ให้แห่กัน

ออกมาชุมนุมมากขึ้นในวันอาทิตย์ เพื่อเป็นขาวไงครับ ชัดเจนไหม ผมจึงเรียนทุกท่านว่า อย่าไปตกหลุมพราง

อยู่ในที่ตั้งนิ่งๆ ปล่อยให้เขานิ่งเฉาตายไปเอง แต่เหตุการณ์จะพลิกกลายเป็นเค้าฟื้น ก็เพราะความบ้าระห่ำจัดชุมนุม

แบบไร้สติของพวกเรากันเองแหละครับ

หากทราบดังนี้ ก็เพลาๆ งดๆ ก่อนช่วงนี้นะครับพี่น้อง

  

   *****************************

   

              อ่านใจไม่ออก..

 

 

                             

 

 

 

 

 

....เอาไงเเน่? จริงหรือเล่น? เห็นเเล้วเสียว

 

จ้องอย่างเดียว นิ่งเงียบเฉย เลยสยอง

 

อุตสาห์เเซะ หัวคมำ ทำไม่มอง

 

หยิ่งจองหอง จ้องตะปบ หลบยังไง?

 

 

 

....อย่าคิดมาก โธ่คุณพี่ มีเเต่เครียด

 

หากโกรธเกลียด อายุสั้น มันไม่ไหว

 

นะพี่นะ เเค่เเหย่เล่น ไม่เป็นไร?

 

กัดเมื่อไร เหมียวตายเเน่ เเย่นะคุณ....

 

 

 

************************

 

 

                       เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมารยาททางสังคม 




 มารยาท หรือ มรรยาท หมายถึง กิริยาวาจาที่ถือว่าสุภาพเรียบร้อย ถูกกาละเทศะ ส่วนคำว่า มารยาทในสังคม จะหมายถึง กรอบหรือระเบียบแบบแผนที่ควรประพฤติหรือควรละเว้นในส่วนที่เกี่ยวกับผู้อื่น รวมทั้งชุมชนหรือคนหมู่มาก โดยเหตุที่มนุษย์เราไม่สามารถอยู่ลำพังคนเดียวในโลกได้ ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีกฎกติกากำหนดแบบแผนในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งทุกชาติทุกประเทศต่างก็มีแบบอย่างทางวัฒนธรรมที่เรียกกันว่า มารยาททางสังคมนี้ทั้งสิ้น เพียงแต่รายละเอียดอาจจะแตกต่างกันบ้าง อย่างไรก็ดี ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัจจุบัน อาจทำให้คนสมัยนี้หันไปพึ่งพาเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยลง อันเป็นเหตุให้ละเลยหรือเพิกเฉยต่อมารยาทที่พึงมีต่อกัน แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ยังจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในทุกสังคม ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำสิ่งละอันพันละน้อยเกี่ยวกับมารยาททางสังคมมาเสนอ เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ และประโยชน์ในทางปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

                 -การกล่าวคำว่า “ ขอบคุณ ” เมื่อผู้อื่นให้สิ่งของ /บริการ หรือเอื้อเฟื้อทำสิ่งต่างๆให้ไม่ว่าจะโดยหน้าที่ของเขาหรือไม่ก็ตาม เช่น บริกรเปิดประตูให้ คนลุกให้นั่งหรือช่วยถือของให้เราในรถประจำทาง คนช่วยกดลิฟท์รอเรา หรือช่วยหยิบของที่เราหยิบไม่ถึงให้ เป็นต้น โดยปกติจะใช้คำว่า “ ขอบคุณ ” กับผู้ที่อาวุโสกว่า และใช้คำว่า “ ขอบใจ ” กับผู้อายุน้อยกว่าเรา แต่ปัจจุบันมักใช้รวมๆกันไป

                 -เอ่ยคำว่า “ ขอโทษ ” เมื่อต้องรบกวน /ขัดจังหวะผู้อื่น เช่น เขากำลังพูดกันอยู่ และต้องการถามธุระด่วน ก็กล่าวขอโทษผู้ร่วมสนทนาอีกคน แต่ควรเป็นเรื่องด่วนจริงๆ หรือกล่าวเมื่อทำผิดพลาด /ทำผิด หรือทำสิ่งใดไม่ถูก ไม่เหมาะสมโดยไม่ตั้งใจ เช่น เดินไปชนผู้อื่น หยิบของข้ามตัวหรือศีรษะผู้อื่น เป็นต้น

                 สำหรับคนไทย เมื่อเอ่ยคำว่า “ ขอบคุณ ” หรือ “ ขอโทษ ” ต่อผู้ที่อาวุโสกว่า เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ ผู้ใหญ่ มักจะยกมือไหว้พร้อมกันไปด้วย เช่น กล่าวขอบคุณพร้อมยกมือไหว้พ่อแม่ที่ท่านซื้อของให้ เป็นต้น

                 -ในการรับประทานอาหารไม่ว่าจะในหรือนอกบ้าน ไม่ควรล้วงแคะ แกะเกาในโต๊ะอาหาร หากจะใช้ไม้จิ้มฟัน ควรใช้มือป้องไว้ ควรใช้ช้อนกลางตักอาหารจากจานรวม และแบ่งอาหารใส่จานของตนพอประมาณ ไม่มากจนรับประทานไม่หมด ถ้าไอหรือจาม ควรใช้มือหรือผ้าป้องปาก หากต้องคายอาหารก็ควรใช้มือป้องปาก และใช้กระดาษเช็ดปากรองรับ แล้วพับให้มิดชิด และไม่ควรเคี้ยวอาหารเสียงดัง และไม่ควรสูบบุหรี่จนรบกวนผู้อื่น

                 -การรับประทานอาหารแบบสากล เมื่อเข้าที่นั่งแล้วให้คลี่ผ้าเช็ดมือวางบนตัก ไม่ควรเริ่มรับประทานอาหารก่อนแขกผู้ใหญ่หรือเจ้าภาพ ใช้เครื่องใช้ในการรับประทานเฉพาะที่จัดไว้ให้เฉพาะคน ใช้ช้อนกลางตักอาหารจานกลาง ห้ามใชัช้อนของตนตักจากจานกลาง ถ้าต้องการสิ่งที่ไกลตัว อย่าโน้มหรือเอื้อมมือไปหยิบข้ามเครื่องใช้ในการรับประทานอาหารของผู้อื่น หรืออย่าข้ามหน้าคนอื่นไป หากจำเป็นควรขอให้บริกรหยิบให้ การหยิบเครื่องใช้ในการรับประทานอาหารให้หยิบจากด้านนอกเข้ามาก่อนเสมอ โดยจับส้อมมือซ้าย และมีดมือขวา ถ้าไม่มีมีด ใช้ส้อมอย่างเดียวให้ถือส้อมด้วยมือขวา จานขนมปังจะอยู่ทางซ้ายให้ใช้มือซ้ายช่วยบิรับประทานทีละคำ อย่าบิไว้หลายชิ้นและอย่าใช้มีดหั่นขนมปัง อย่าทาเนยหรือแยมบน

                 ขนมปังทั้งแผ่นหรือทั้งก้อนแล้วกัดกิน การกินซุปให้หงายช้อนตักออกจากตัวและรับประทานจากข้างช้อน อย่ากินปลายช้อน อย่าซดเสียงดัง ถ้าจะตะแคงถ้วยให้ตะแคงหงายออกจากตัว อาหารเนื้อสัตว์ ให้ตัดแต่พอคำและกินโดยใช้ส้อมช่วย น้ำดื่มให้วางทางขวามือเสมอ ก่อนลุกจากเก้าอี้ให้ทบผ้าเช็ดปากวางไว้บนโต๊ะ

                 -ในการไปชมมหรสพ เช่น คอนเสิร์ต หนังหรือละคร ควรเข้าแถวซื้อตั๋วตามลำดับก่อน-หลัง ไม่แทรกหรือตัดแถวผู้อื่น หรือฝากเงินคนที่อยู่ข้างหน้าโดยที่ตัวเองไม่ได้ยืนเข้าแถว เว้นแต่ผู้นั้นสนิทสนมกันและมีเหตุจำเป็นทำให้ไม่ยืนเข้าแถวไม่ได้ ไม่ควรพาเด็กเล็กเกินไปชมการแสดง เพราะจะส่งรบกวนและทำความรำคาญให้ผู้อื่น ไม่ควรลุกจากที่นั่งโดยไม่จำเป็น อย่าส่งเสียงสนทนากันดังๆ หรือวิพากษ์วิจารณ์การแสดง หรือแสดงอาการสนุกสนาน เป่าปาก ตบมือจนเกินกว่าเหตุ เพราะเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพ หญิงชายไม่ควรเกี้ยวพาราสี หรือกอดจับต้องกันเมื่ออยู่ในโรงมหรสพ เมื่อไอ จาม หรือถ่มน้ำลาย ต้องทำด้วยกิริยาปกปิด มิให้เกิดเสียงดังรบกวนคนอื่น

                 -ในการเดินกับผู้ใหญ่ ถ้าเดินนำ ให้เดินห่างพอสมควร อยู่ด้านใดก็แล้วแต่สถานที่อำนวย แต่โดยปกติจะเดินอยู่ทางด้านซ้ายของผู้ใหญ่ หากเดินตาม ให้เดินเยื้องไปทางซ้ายของผู้ใหญ่เช่นกัน และเดินด้วยความสำรวมไม่ว่าเดินนำหรือตาม

                 -การแนะนำบุคคลให้รู้จักกัน มีหลักทั่วๆไปว่า แนะนำผู้อาวุโสน้อยต่อผู้อาวุโสมาก พาชายไปแนะนำให้รู้จักผู้หญิง ยกเว้นชายนั้นจะเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ หรือมีตำแหน่งระดับสูง พาหญิงโสดไปรู้จักหญิงที่แต่งงานแล้ว แนะนำผู้มาทีหลังต่อผู้มาก่อน ถ้าเสมอกันก็ให้แนะนำตามความเหมาะสม

                 -การสวดมนต์ ฟังพระสวด ฟังเทศน์ฟังธรรม หรือขณะพูดกับพระสงฆ์ ให้แสดงความเคารพด้วย การประนมมือ ที่เรียกว่า อัญชลี คือประนมมือให้นิ้วมือแนบชิดกัน ฝ่ามือราบปลายนิ้วตั้งขึ้น แขนแนบตัวระดับอก ไม่กางศอก ทั้งหญิงชายปฏิบัติเหมือนกัน

                 -การไหว้ (วันทา) จะมี ๓ ระดับ คือ ถ้าไหว้พระ เช่น พระรัตนตรัย ปูชนียวัตถุหรือปูชนียสถานให้แสดงความเคารพโดยประนมมือให้นิ้วหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ถ้าไหว้ผู้มีพระคุณหรือผู้อาวุโส ที่เคารพนับถือ เช่น พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ครูอาจารย์ ประนมมือให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก ถ้าไหว้บุคคลทั่วไป ให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายคาง ถ้า กราบ(อภิวาท) พระพุทธรูปหรือพระสงฆ์ ต้องกราบ ๓ ครั้งแบมือ หากกราบคนไม่ว่าจะเป็นคนเป็น หรือคนตาย กราบ ๑ ครั้ง ไม่แบมือ

                 -การจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ให้ประธานในพิธี (จะยืนหรือคุกเข่าแล้วแต่สถานที่) จุดเทียนเล่มซ้ายมือ (ของประธาน)ก่อน แล้วค่อยจุดเล่มขวา จากนั้นจึงจุดธูป แล้วกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ หากมีพระบรมฉายาลักษณ์และธงชาติด้วย เมื่อกราบแล้ว ถอยออกมาแล้วทำความเคารพด้วยการคำนับเพียงครั้งเดียว ส่วนคนอื่นๆในที่นั้น เมื่อประธานลุกไปประกอบพิธี ให้ยืนขึ้น และเมื่อจุดเทียนเล่มแรก ให้ทุกคนประนมมือจนเสร็จพิธี เมื่อประธานกลับลงมานั่ง จึงนั่งตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงบางส่วนของมารยาททางสังคมอันเป็นหลักประพฤติปฏิบัติโดยทั่วไป ซึ่งหวังว่าจะเป็นแนวทางให้ท่านได้นำไปใช้ประโยชน์ในโอกาสต่างๆต่อไปตามสมควร

 

 

**********************************************

 

 

 

     เช กูวารา นักรบผู้ปฏิวัติสังคม ในอุดมคติ

 

 

Share
เออร์เนสโต เช กูวารา บุรุษหน้าตาคมคาย คิ้วเข้ม หนวดเคราดกหนา ผมยาว ใส่หมวกแบเร่ต์ติดดาว เป็นเอกลักษณ์ หนึ่งในผู้ซึ่งทำให้คำว่า "การปฏิวัติ" ในหัวใจคนหนุ่มสาวเป็นรูปร่างชัดเจน ที่สำคัญเรื่องราวของเช ก็ราวกับนิยายสะเทือนใจที่อ่านแล้ว วางไม่ลง

 

เช กูวารา หรือชื่อเดิม เออร์เนสโต ราฟาเอล กูวารา เด ลา เซร์นา (Ernesto Rafael Guevara de la Serna) เกิดที่ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อปี 1928 ที่เมือง โรซาริโอ (Rosario) อำเภอเล็ก ๆ ของกรุงบัวโนส ไอเรส (Buenos Aires) ประเทศอาร์เจนตินา ในครอบครัวชนชั้นกลาง เป็นบุตรของ Ernesto Guevara Lynch และ Celia de la Serna Llosa มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน และ เออร์เนสโต เป็นพี่คนโต ช่วงชีวิตวัยเด็กเติบโตท่ามกลางเรื่องราวความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมมาโดยตลอด ในช่วงวัย 2 ขวบ เขาป่วยเป็นโรคหอบหืด และกลายเป็นโรคประจำตัวที่เขาตั้งใจจะศึกษาต่อในด้านการแพทย์ เพื่อรักษามันให้ได้

 

 

ปี 1947 เออร์เนสโต เข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย คอร์โดบา ในช่วงปี 1951 เขาตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวระยะยาวกับเพื่อนชื่อ อัลแบร์โต กรานาโด (Alberto Granado) ไปทั่วอเมริกาใต้ด้วยรถมอร์เตอร์ไซด์ (บันทึกการเดินทางของเขา ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง “The Motorcycle Diaries”)

 

                                                    
 

 

ในช่วงที่เดินทางผ่านประเทศ โบลิเวีย, ชิลี, เวเนซูเอลา รวมทั้งการทำงานเป็นแพทย์อาสาที่เปรู ทำให้ เออร์เนสโต ได้เห็นภาพความยากจนของชาวบ้านที่โดน กดขี่จากนักการเมือง และนักธุรกิจ ท่ามกลางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม จนเรียนจบในปี 1953 เม็กซิโก คือสถานที่สำคัญในการพลิกชีวิตของเขาอีกครั้ง ในช่วงเดือนกรกฎาคมของปี 1955 เมื่อได้พบ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Casto) นักปฎิวัติหนุ่มชาวคิวบา เป็นครั้งแรก ซึ่งในขณะนั้น ฟิเดล คาสโตร ลี้ภัยทางการเมือง ข้อหากบฎโค่นล้มอำนาจรัฐบาลคิวบา ต่อมา คาสโตร เริ่มรวบรวมสมัครพรรคพวกแอบฝึกกองกำลังติดอาวุธ เพื่อเตรียมกลับไปปฏิวัติประเทศคิวบาอีกครั้ง เน้นการรบแบบสงครามกองโจรเป็นหลัก ซึ่ง เออร์เนสโต เข้าร่วมทำหน้าที่เป็นหน่วยแพทย์ โดยมีชื่อสมาชิกว่า “เช” (เป็นคำเรียกแทน เพื่อนสนิท เพื่อนตาย เป็นภาษาอาร์เจนตินา หรือ อาจใช้เป็นคำทักทายกัน ทำนองเดียวกับ Hey ก็ได้เช่นกัน ส่วนเหตุที่ เออร์เนสโต ได้รับชื่อ “เช” นี้ ก็เพราะตัวเขาเองมักทักทายเพื่อน ๆ ในกลุ่มว่า Hey เสมอ ๆ) และได้แต่งงานกับ Hilda หญิงสาวชาวเปรูที่เม็กซิโก เขาก็ได้ลูกสาวคนแรกชื่อ Hildita ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1956

 

                             

 

วันที่ 25 พฤศจิกายน 1956 กลุ่มคณะปฏิวัติรวมทั้งสิ้น 82 คน ออกเดินทางด้วยเรือยนตร์ขนาดเล็ก ชื่อ Granma จากเมือง Tuxpan ประเทศเม็กซิโก มุ่งหน้าสู่ประเทศคิวบา ท่ามกลางคืนเดือนมืด แรมเรืออยู่ในทะเลราวเจ็ดคืน จึงขึ้นฝั่งที่คิวบาได้เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1956 และเพราะโดนคลื่นลมพัดพา ลูกเรือหลายคนเมาคลื่น รวมทั้งขึ้นฝั่งผิดเป้าหมายที่วางแผนไว้ ทำให้ถูกโจมตีโดยกองทัพของประธานาธิบดีบาติสตา จนแตกพ่ายที่เทือกเขาในเขตเมือง Sierra Maestra เหลือกำลังพลเพียง 12 คน และหนึ่งในนั้นก็คือ Che Guevara (เช กูวารา) ในช่วงของปฏิบัติการรบด้วยวิธีแบบกองโจร จากการฝึกฝนที่ดีและมีไหวพริบปฏิพาน ได้ทำให้ “เช” เปลี่ยนตัวเองจากแพทย์ กลายมาเป็นนักรบ ปลายปี 1956 ได้ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการ กองกำลังทหารปฏิวัติช่วงที่สอง (Comandante der Rebellenarmee) ซึ่งเป็นหนึ่ง จากทั้งหมด 9 ช่วง ในการปฏิวัติครั้งนั้น วันที่ 22 พฤษภาคม 1956 “เช” แยกทางกับ Hilda แล้วแต่งงานใหม่ เมื่อวันที่ 2 มิถุนยน 1956 กับหญิงชาวคิวบา Aleida March ซึ่งทำงานเป็นหน่วยส่งเอกสาร ให้กับคณะปฏิวัติ ซึ่งได้รู้จักกันในระหว่างการสู้รบที่คิวบา มีบุตรด้วยกัน 4 คน

 

 

 

หลังจากต่อสู้แบบกองโจรได้ราวสองปี ในที่สุด วันที่ 1 มกราคม 1959 ก็ยึดอำนาจจากประธานาธิบดีบาติสตาได้อย่างเบ็ดเสร็จ “เช” ได้รับสัญชาติเป็นชาวคิวบา มีตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหลายตำแหน่งในรัฐบาลใหม่ของคิวบา ทำงานหามรุ่งหามค่ำ วันละ 18 ชั่วโมง วางแผน ศึกษา เรียนรู้ ทั้งวันทั้งคืนเท่าที่จะทำได้ ดำเนินการตามแผนเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัด ช่วยทำให้เศรษฐกิจที่เคยล้มเหลวของคิวบากระเตื้องขึ้น รวมทั้งช่วยหยุดความขาดแคลนทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้จนถึงทุกวันนี้

 

   

 

ในเดือนตุลาคม ปี 1965 คาสโต ได้รับจดหมายลาจาก “เช” ใจความว่า เขาขอสละตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด รวมทั้งสัญชาติคิวบา เพื่อกลับไปต่อสู้กับลัทธิจักรวรรดินิยมอีกครั้ง “ผมไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้ภรรยาและลูก ๆ ของผม แต่ผมก็ไม่เสียใจ กลับรู้สึกมีความสุขที่มันเป็นไปอย่างนี้” (จดหมายลาถึงคาสโตร) หนึ่งในหลายเหตุผลที่ “เช” ตัดสินใจเช่นนั้น ก็คือ ความไม่สมหวังในการสร้างคิวบา เขาชิงชังความเห็นแก่ตัวที่โซเวียต และประเทศยุโรปตะวันออกในยุค ครุสชอพ มอบให้แก่ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย “เช” พร้อมเพื่อน ๆ อีกจำนวนหนึ่ง เข้าร่วมสงครามปฏิวัติที่ คองโก ในทวีปแอฟริกา ในปี 1965 แต่ก็ล้มเหลว จากนั้นปี 1966 เขาจึงเดินทางเข้าไปเข้าร่วมกลุ่มกบฏโบลิเวีย แต่กองกำลังปฏิวัติโดนตีแตกกระจาย หัวหน้ากลุ่มถูกฆ่าตาย เดือนตุลาคม 1967 “เช” และพวกที่เหลือเพียง 14 คน โดนยิงบาดเจ็บ และถูกจับที่ La Higuera เขตพื้นที่เล็ก ในเทือกเขา Cordillera โดยกองกำลังทหารของรัฐบาลโบลิเวีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก CIA ของสหรัฐอเมริกา ถูกสอบปากคำในฐานะเชลยศึก และไม่มีการพิพากษาใด ๆ ในชั้นศาล “เช” ถูกสั่งฆ่าด้วยการยิงเป้า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1967 เวลา 13.10 น. จบชีวิตนักปฏิวัติที่มุ่งมั่น ด้วยวัยเพียง 39 ปี เท่านั้น

 

                                

 

ภายหลังการถูกฆาตรกรรม ศพของ “เช” ถูกตัดมือทั้งสองข้าง เพื่อปิดช่องทางการพิสูจน์ตัวตน นำศพไปฝังในสถานที่ลับห่างจากเมือง Vallegrande ราว 30 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ในโบลิเวีย (และห่างจากซานตาครูซ ประเทศคิวบาราว 125 กิโลเมตร) แต่ในที่สุดโครงกระดูกของ “เช” ก็ถูกค้นพบเมื่อปี 1997 โดยนักวิทยาศาสตร์ในโบลิเวียเป็นผู้พิสูจน์ ว่าโครงกระดูกนั้นเป็นของ Che Guevara (เช กูวารา) จริง ปี 1958 กระดูกถูกส่งกลับไปยังเมืองซานตาครูส ประเทศคิวบา เก็บโครงกระดูกไว้ที่ Mausoleum และได้สร้างอนุเสารีย์ Ernesto Che Guevara ในรูปแบบที่ชาวคิวบาคุ้นเคย คือ มือหนึ่งถือปืน ส่วนแขนข้างซ้ายเข้าเฝือก เป็นตัวแทนแห่งวีรบุรุษนักปฏิวัติ ที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชนชั้นล่างของสังคม จากการกดขี่ข่มเหงของนายทุนใน ลัทธิจักวรรดินิยม และมีพิพิธภัณฑ์ Che Guevara แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติชีวิต และการต่อสู้ของ “เช” เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วย

 

                                                              

 

แนวคิดสังคมนิยม ของ “เช” มีความหมายมากกว่าการพัฒนาทางวัตถุ หรือมุ่งเน้นแต่เรื่องยกระดับการครองชีพ “นักรบกองโจร คือ คนที่เสมือนผู้นำทาง เขาจะต้องช่วยคนจนเสมอ เขาจะต้องมีความรู้พิเศษทางเทคนิค มีวัฒนธรรมและศีลธรรมสูง มีความอดทนยิ่งต่อความทุกข์ทรมาน และความยากลำบาก และมีความสำนึกทางการเมืองสูงด้วย” Che Guevara (เช กูวารา) ผู้เชื่อมั่นในวิธีการต่อสู้ด้วยสงครามกองโจร เคยกล่าวไว้

นั่นคือ สังคมในอุดมคติของ “เช” เป็นฝันไกลที่มนุษย์ยังไปไม่ถึง มันไม่เคยสำคัญเลยว่าเขาจะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ลงมือทำอย่างจริงจัง เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตใจที่ดีงาม อยากช่วยปลดปล่อยชนชั้นกรรมาชีพผู้ถูกกดขี่ ไม่เคยได้รับความเป็นธรรม และคงเพราะ Che Guevara (เช กูวารา) ไม่ยึดติดกับตำแหน่งใหญ่โตในคิวบา เขาจึงกลายเป็นตำนาน ในจิตใจคนหนุ่มสาวทั่วโลก แม้เวลาจะผ่านมานานถึง 30 กว่าปีแล้วก็ตาม

 

 

 

********************************

 

 

 

 

มติศาล รธน. 5-4 รับคำร้อง พธม.-ปชป. ยื่นระงับแก้ ม. 68 สั่ง312สส. และ สว.  แจงภายใน 15วัน

 

 

ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ปลุกอำนาจนิติบัญญัติ-บริหาร อารยะขัดขืน คำวินิจฉัยศาล รธน.
« เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2013, 02:12:37 pm »
 
"อุกฤษ มงคลนาวิน"
ปลุกอำนาจนิติบัญญัติ-บริหาร อารยะขัดขืน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ



ในอดีต "อุกฤษ มงคลนาวิน" ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เคยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เคยเป็นประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ สวมหมวกทั้งประมุขนิติบัญญัติ และประมุขผู้ชี้ขาดกฎหมาย-ปัญหาที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ


ในปัจจุบัน เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติขัดแย้งกับฝ่ายตุลาการ เจาะจงที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะ ในเกมอำนาจที่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน





"อุกฤษ" จึงร่อนจดหมายเปิดผนึก 4 ข้อ แนะนำให้มีการลดอำนาจ-ปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ เขาเปิดอาณาจักร "Navin Court" ย่านเพลินจิต ไขรหัสสาระของจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ"



และเขายังแนะนำให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารอารยะขัดขืน ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่ากรณีใด ๆ







- ทำไมถึงมีจดหมายเปิดผนึก 4 ข้อปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญในตอนนี้

ที่จริงเราคิดกันมาก่อนนานแล้ว เพราะมีหลายกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายบางมาตราขัดรัฐธรรมนูญ เช่น พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 ใช้บังคับไม่ได้ ทั้งที่กฎหมายดังกล่าวมีการบังคับใช้มานาน ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปแก้ไขกฎหมายเกินกว่า 100 ฉบับ ซึ่งการแก้ไขกฎหมายแต่ละฉบับไม่ใช่เรื่องง่าย และทำให้ขณะนั้นการทำงานต่าง ๆหยุดชะงักลง เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ทั้งที่ตัดสินด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 มันเฉียดฉิวมาก

กรณีสำคัญอย่างนี้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 216 บอกว่า องค์ประชุม 9 คน ต้องมี 5 คน ถือว่าครบองค์ประชุม แต่คะแนนเสียงใช้เสียงข้างมากธรรมดา เช่น องค์ประชุม5 คน ใช้คะแนนเสียง 3 ต่อ 2 ได้ อย่างนี้มันไม่ถูก จึงคิดว่ามี 2 แนวทางที่จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญรอบคอบมากขึ้น

1.องค์คณะ 9 คน จะต้องมีคะแนนเสียงเป็นเสียงข้างมากในการวินิจฉัยเด็ดขาด 7 ต่อ 2 หรือ 8 ต่อ 1

2.แก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะองค์ประกอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็น 15 คน มีองค์คณะในการประชุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และการวินิจฉัยต้องใช้เสียงข้างมากเด็ดขาดไม่ต่ำกว่า 10 เสียงซึ่งตุลาการที่เพิ่มมา 6 คน ก็ให้ผ่านกระบวนการรัฐสภาในการคัดเลือก

เพื่อเป็นการยึดโยงประชาชน และไม่ควรมีวาระนานเกินไป 4 ปี หรือมีสิทธิ์อีก 1 วาระ ไม่เกิน 8 ปี ส่วนที่ตุลาการบางท่านบอกว่า เหมือนคนดูมาไล่กรรมการ แต่ถ้ายกตัวอย่างในสมัยก่อน การแข่งฟุตบอล คนดูเชื่อกรรมการ ต่อให้คนเห็นว่าลูกนี้ไม่สมควรได้ลูกโทษก็ตาม เพราะกรรมการตัดสินแล้วก็แล้วไป คนดูก็ไม่ว่าอะไร ตอนหลังพฤติการณ์มันหนักขึ้น ๆ เพราะการตัดสินมันผิดพลาดมาก

หลายครั้งกลายเป็นว่ากรรมการกับไลน์แมนลงมาเล่นด้วย เล่นทีไร อีกทีมหนึ่งก็แพ้ทุกที ผลคืออะไร คนดูทนไม่ได้ใช่ไหม เหตุการณ์เช่นนี้กำลังเกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญของไทย มันพิสูจน์ได้โดยคำวินิจฉัยของศาลเอง

การที่สมาชิกรัฐสภาเคลื่อนไหวไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นสิทธิ์ที่เขาทำได้ เพราะเขาเป็นองค์กรนิติบัญญัติ เป็น 1 ใน 3 อำนาจสำคัญของบ้านเมือง ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลพิเศษ ไม่ใช่อยู่ในองค์กรสำคัญของบ้านเมือง ดังนั้น ทำซ้ำซากเขาไม่ยอมรับ ถ้าต่อไปใช้คำว่าอารยะขัดขืน ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ฟังคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้ชี้แจง จะเรียกว่าอารยะขัดขืนได้ไหม ให้ไปลองคิดกันดู







- เมื่อรัฐธรรมนูญระบุว่าคำวินิจฉัยของศาลผูกพันทุกองค์กร แล้วอารยะขัดขืนจะใช้ช่องทางไหน

ก็ใช้ช่องทางเหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง หรือตอนที่ฉีกบัตรเลือกตั้ง มันเป็นช่องทางที่เป็นพฤติการณ์เรียกว่าขัดขืน เพราะคำวินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เขาก็มีสิทธิ์ไม่รับฟัง ก็ให้สังคมเป็นผู้วินิจฉัยว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดถูก เพราะเหตุว่ามันไม่มีศาลอื่นที่จะพิจารณาเรื่องนี้ได้อีกแล้ว ไม่มีศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา แต่ศาลรัฐธรรมนูญมีศาลเดียว

เมื่อมันหมดทาง ก็มีนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ที่จะหาทางแก้ไขยับยั้ง ทางสุดท้ายคือประชาชนที่จะรับหรือไม่รับอันนี้ เพราะระบอบประชาธิปไตยถือประชาชนเป็นใหญ่



- เมื่อเห็นว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมานอกเลนแบบนี้ แล้วสุดท้ายศาลกลับตัดสินยุบพรรคเพื่อไทยอีกรอบ จะอารยะขัดขืนอย่างไร

ก็เขาไม่รับ ถามจริงเถอะ ถ้าตัดสินอย่างนี้ ใครเป็นคนบังคับคดีได้ (เน้นเสียง) ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจไปสั่งตำรวจ ไปสั่งใครให้จัดการ ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติต่างหากที่เขามีอำนาจ ระหว่างช่วงนั้น เขาก็แก้ไขรัฐธรรมนูญซะ ไม่ฟังไอ้มาตรา 68 เพราะมันไม่มีอำนาจอยู่แล้ว ถ้าเขาบอกว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญล่ะ แล้วแก้ไขเพิ่มจำนวนตุลาการ แก้ไขเรื่ององค์ประกอบ แก้ไขเรื่องการลงคะแนน ถ้าขัดขวางอีกก็เจอประชาชน เขาเรียกว่าศาลประชาชน นั่นล่ะคือกรรมการสูงสุดในการตัดสิน



- สรุปว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้ยุบพรรค แต่ก็ไม่มีกระบวนการมาบังคับให้ต้องทำตาม

(สวนทันที) ถูกต้อง ถูกต้อง ให้ยุบพรรค คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยุบ เขาก็ไม่รับ กกต.จะกล้าไหม ประชาชนจะยุบ กกต.เสียเอง หรือฝ่ายนิติบัญญัติแก้กฎหมายยุบ กกต.เสียเอง นอกจากนั้น ฝ่ายบริหารก็ให้ระงับการจ่ายค่าตอบแทน จ่ายเงินเดือน อยู่ได้ไหม ถ้าเขาจะตอบโต้จริง ๆ แล้วใครจะไปฟ้องล่ะ งบประมาณก็อยู่ที่ฝ่ายบริหาร ถ้าสังคมเอาด้วย ประชาชนเอาด้วย เขาก็ทำได้ แต่ที่ประชาชนเขาไม่ทำ เพราะเห็นว่าเกินไป






- ถ้าอารยะขัดขืนอย่างนี้ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการจะออกนอกเลน ล้ำเส้นกันหมด

ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่อยู่ในอำนาจตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลพิเศษ ไม่ใช่ตุลาการศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลการเมือง มันผิดกัน



- ทำไมบ่อยครั้งข้อเสนอของอาจารย์ถูกวิจารณ์ว่าเป็นข้อเสนอที่ย้อนยุค ล้าหลัง

ความเห็นของคนแตกต่างกัน แล้วคนที่ให้ความเห็นนั้นเคยออกความเห็นอะไรที่ว่าทันสมัยบ้าง ใครที่ว่าย้อนยุคจะย้อนยังไง ในเมื่ออะไรที่ไม่ได้ผลมันก็ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แล้วถ้าล้ำยุคจะต้องมีตุลาการ สัก 30 คนเหรอถึงไม่ย้อนยุค จะพูดจะอะไรให้ศึกษาเสียก่อนว่าย้อนยุคคืออะไร แล้วการที่วันดีคืนดี ผู้ที่วิจารณ์แบบนี้ไปเสนออะไรที่มัน...ไม่เกิดประโยชน์ แล้วไม่เป็นประชาธิปไตย ท่านเคยทำไหม เช่นเคยเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีพระราชทาน มาตรา 7 มันยิ่งกว่าย้อนยุค นี่มันเผด็จการ ถูกไหม



- แต่ในอดีตที่มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 15 คน ตอนคดีซุกหุ้นภาค 1 ก็ถูกเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการตัดสินผิดพลาดเหมือนกัน และเสียงข้างมากก็ชนะกัน 8 ต่อ 7 ห่างกันเพียงเสียงเดียว

คดีซุกหุ้นเราก็ต้องเคารพเขา มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เราไม่ได้พูดถึงตัวบุคคล
แต่การที่ไปวินิจฉัยเอานายกฯคนหนึ่งออกจากตำแหน่ง ตีความกฎหมายอะไรก็ไม่ได้ ไปเอาพจนานุกรมมาตัดสิน มันเลวร้ายกว่าการตัดสินคดีซุกหุ้น
เรื่องการซุกหุ้นมันเป็นวาทกรรม แต่เอาผิดอะไรเขาไม่ได้ เราอย่ามาพูดในเรื่องนี้เลย เอาว่าต้องแก้ไขกันดีกว่า ว่าถ้าเชื่อตัวบุคคลก็เลิกศาลรัฐธรรมนูญสิ ไปสู่ศาลยุติธรรมธรรมดาเลยก็ได้ ถ้าจะคิดอย่างนี้

อย่าไปเอาตัวบุคคลเป็นหลัก อย่างตอนนี้ที่เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ เพราะเราก้าวข้ามคนคนหนึ่งไม่พ้นเท่านั้นเอง อย่าไปกลัวเขา สองมือสองเท้าเท่ากัน มีพรรคการเมืองเท่ากัน สู้กันในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นแหละ บ้านเมืองจะเรียบร้อย



- ศาลรัฐธรรมนูญก็ก้าวข้ามคนคนหนึ่งไม่พ้น

ไม่พ้น ไม่พ้น ก็นี่ไงถึงตำหนิ อย่างน้อยการวินิจฉัยด้วยคนจำนวนมาก ก็ดีกว่าวินิจฉัยด้วยคนจำนวนน้อย น้อยเท่าไหร่ก็เป็นเผด็จการมากขึ้นเท่านั้น ถ้า 15 คน คะแนนเสียงก้ำกึ่ง 9 คน ก็คะแนนเสียงก้ำกึ่ง ก็เพิ่มไป 25 คนก็ได้ เอาผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามา



- คนที่ศาลรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองต่าง ๆ ก้าวไม่พ้นคือคุณทักษิณ ชินวัตร

ใคร ๆ ในโลกนี้ก็รู้ ถ้ายังมีชื่อทักษิณอยู่ ต่อให้เปลี่ยนชื่อยังไงก็ไม่ได้ เหมือนเห็นเงาปีศาจ ซึ่งมันแปลก ผมไม่เคยกลัวเลย ใครจะชื่ออะไรก็ตาม อยู่ที่หลักการความถูกต้อง แล้วใครเป็นอย่างไร ประชาชนจะเป็นผู้พิพากษาเอง



- ศาลรัฐธรรมนูญการันตีตลอดว่าวินิจฉัยตามพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ ทำไมถึงคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญก้าวข้ามคุณทักษิณไม่พ้น

ไม่ใช่...ที่อ้างมาว่า 15 คนก็แล้ว 9 คนก็แล้ว เป็นเพราะก้าวข้ามคนคนหนึ่งใช่ไหม แล้วเอามาเป็นข้ออ้าง เวลาเราถูกใจ ก็บอกว่าตัดสินอย่างนี้ดีแล้ว ถ้าเวลาไม่ถูกใจ ก็บอกว่าเป็นเพราะคนคนหนึ่ง เลิกพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า คนเราเกิดมาสองมือสองเท้า ไปกลัวใคร ทุกอย่างอยู่ที่กรรมดี กรรมชั่ว ถ้าเราทำดีแล้ว ไม่ต้องไปกลัวใคร แต่ถ้าทำชั่ว แม้วันนี้เรารู้สึกว่าชนะ แต่วันข้างหน้าเราต้องรับผลกรรมอยู่ดี


- เคยเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ มองตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในยุคประชาธิปไตยเต็มใบในปัจจุบันต่างกับครึ่งใบไหม

ผิดกันสิครับ จะว่าครึ่งใบอะไรก็ตาม มันเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ตุลาการรัฐธรรมนูญมาจากการโปรดเกล้าฯ มาจากการคัดเลือกมาโดยชอบธรรมเป็นที่ยอมรับ แต่จะมานับถือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปี 2550 มันยากแล้วล่ะ เพราะ คมช.ใช้อำนาจคณะปฏิวัติมาตั้งคนของตัวเอง 9 คน ซึ่งเป็นตุลาการส่วนใหญ่ ก็คือเลือกตุลาการภิวัตน์ ที่มามันก็ผิดแล้ว มันเทียบกันไม่ได้ อย่ามาเทียบกันเลย

แล้วตุลาการรัฐธรรมนูญ หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปี 2540 เขาก็ไม่มีตุลาการภิวัตน์อย่างนี้


- ที่ทำให้แตกต่าง มองว่ามีใบสั่งทางการเมือง

ไม่ทราบ จิตใจของตัวเองรู้ ใบสั่งไม่สั่ง กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา นักกฎหมายเขาอ่านกันออกว่าตัดสินยังไง การตีความกฎหมายใช้พจนานุกรมแค่นี้ก็รู้แล้ว ตัดสินมา 9 ต่อ 0 (คดีชิมไปบ่นไป) แล้วเขียนคำวินิจฉัยส่วนตนว่าไง เอางี้ ให้นักกฎหมายรุ่นเหลนไปวิเคราะห์ดู มันเป็นการละเมิดกฎหมาย ละเมิดการตีความ ละเมิดหลักกฎหมายที่เราสอนกันมา

ตั้งแต่สมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ บรรพบุรุษตุลาการไม่เคยมีปรากฏอย่างนี้ หรือจะเถียงว่าการตัดสินอย่างนี้ถูก..หา !..ไม่เคยมีตุลาการคนไหนในระบอบครึ่งใบ เต็มใบ ไม่เคยมีใครคิดแบบนี้


- ตกลงมันผิดที่ตัวตุลาการ 9 คน หรือผิดที่ตัวระบบ

มันผิดตั้งแต่ต้น องค์ประกอบที่มา อำนาจ แล้วการเลือกตัวบุคคล คนดี ๆ นะ ไม่ใช่ไม่ดี ลูกศิษย์พวกนี้เก่งทั้งนั้น อัจฉริยะไม่มีใครเกิน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ที่ทำให้คำวินิจฉัยออกมาเป็นที่ยอมรับไม่ได้ ก็ไม่เข้าใจ
 

 

 

 

*********************************************      

             

 

 

              

 

 

 

ก่อนเข้าวงการ

รำพึง จิตรหาญ เกิดที่ บ้านหนองนกเขา ตำบลไพรนกยูง อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท[1] โตที่ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นบุตรีของนายสำราญ และนางเล็ก จิตรหาญ ครอบครัวมีอาชีพรับจ้างทำไร่อ้อย เกิดในครอบครัวยากจน เป็นลูกคนที่ 5 ของบ้านในจำนวน 12 คน[2]

 

สถานภาพครอบครัวเธอจัดอยู่ในขั้นที่ยากจนมาก เธอเรียนที่โรงเรียนบ้านดอนตำลึง แต่ด้วยความที่เธอมีน้องอีก 6 คน ประกอบกับค่านิยมของแม่นั้นเห็นว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนมา เธอไม่จบแม้แต่ชั้น ป.2 ในวัยเด็กพอน้องหลับหมด เธอไปหาของขาย เก็บผัก หาดอกไม้ป่า หาบไปขายตามโรงงาน[3]

 

เส้นทางนักร้อง

 

รำพึง ชื่นชอบการร้องเพลงลูกทุ่งตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่าเธอจะอ่านหนังสือไม่ออกแต่ก็มีความจำดีเยี่ยม เธอเริ่มหัดร้องเพลงและเข้าประกวดตามงานต่าง ๆ ตั้งแต่อายุ 8 ปี โดยใช้ชื่อว่า น้ำผึ้ง ณ ไร่อ้อย[4] เธอเข้าประกวดล่ารางวัลไปทั่ว ตั้งแต่อำเภอศรีประจันต์ บางปลาม้า แล้วข้ามจังหวัดไปถึงอำเภอเสนา ผักไห่ มหาราช วิเศษชัยชาญ บ้านแพรก หนองโดน พระพุทธบาท สระบุรี และต่อมาอยู่กับวงดนตรีที่กรุงเทพฯ กับ ดวง อนุชา ตั้งแต่อายุประมาณ 10 ขวบ แต่ยังไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพก็กลับบ้านอำเภอสองพี่น้อง

 

ในปี พ.ศ. 2518 เมื่ออายุได้ 15 ปี ไวพจน์ เพชรสุพรรณ นำวงดนตรีมาแสดงที่วัดทับกระดาน เธอได้ร่วมร้องเพลงและแสดงความสามารถจนไวพจน์เห็นความสามารถ เกิดความเมตตา จึงรับเป็นบุตรบุญธรรมและพาไปอยู่กรุงเทพฯ เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นหางเครื่องและนักร้องพลาง ๆ ก่อนที่ไวพจน์ จะแต่งเพลงและอัดแผ่นเสียงชุดแรกให้ ชื่อเพลง แก้วรอพี่ เพลงแต่งแก้กับเพลง "แก้วจ๋า" โดยใช้ชื่อในการร้องเพลงว่า น้ำผึ้ง เมืองสุพรรณ ซึ่งจากการอยู่ในวงดนตรีไวพจน์ เพชรสุพรรณ ทำให้เธอสนิทสนมกับธีระพล แสนสุข ทำให้ต้องแยกออกจากวงดนตรีไวพจน์ เพชรสุพรรณ มาเริ่มงานกับศรเพชร ศรสุพรรณ โดยทำงานเป็นทั้งหางเครื่องและนักร้องในวง และย้ายมาอยู่กับขวัญชัย เพชรร้อยเอ็ด

 

ความสำเร็จและรางวัล

 

ในปี พ.ศ. 2519 ครูเพลงลูกทุ่งชื่อดัง มนต์ เมืองเหนือ รับเป็นลูกศิษย์ และเปลี่ยนชื่อจากน้ำผึ้ง เมืองสุพรรณเป็น "พุ่มพวง ดวงจันทร์" จากการตั้งชื่อโดย มนต์ เมืองเหนือ และได้บันทึกเสียงจากการแต่งของก้อง กาจกำแหง ร้องแก้ขวัญชัย เพลงนั้นคือ "รักไม่อันตรายและรำพึง" และตั้งวงดนตรีเป็นของตนเอง โดยการสนับสนุนของคารม คมคาย นักจัดรายการวิทยุ มนต์ เมืองเหนือแต่ไม่ประสบความสำเร็จก็มาสังกัดบริษัทเสกสรรเทป-แผ่นเสียงผลงานของพุ่มพวง ดวงจันทร์เริ่มประสบความสำเร็จในเวลาต่อมาหลังจากได้รับการสนับสนุนจากประจวบ จำปาทองและปรีชา อัศวฤกษ์นันท์ให้ตั้งวงร่วมกับเสรี รุ่งสว่าง ในชื่อวง เสรี-พุ่มพวง จากจุดนี้ก็ได้รับความสำเร็จขึ้น

 

พ.ศ. 2521 พุ่มพวงได้รับรางวัลพระราชทานเสาอากาศทองคำพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี จากเพลง “อกสาวเหนือสะอื้น” นอกจากนี้ ยังได้เป็นผู้ร้องเพลง "ส้มตำ" พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี

 

พุ่มพวง ดวงจันทร์ เข้ามาอยู่สังกัดอโซน่า โปรโมชั่น ในปี พ.ศ. 2525 ผลงานในระหว่างปี 2525-2535 ของเธอมีมากมายอย่างเช่น จะให้รอ พ.ศ.ไหน (มิ.ย. 2525) สาวนาสั่งแฟน (2526) นัดพบหน้าอำเภอ (2526) ทิ้งนาลืมทุ่ง (2527) คนดังลืมหลังควาย (2528) อื้อฮื้อ ! หล่อจัง (2528) ห่างหน่อย – ถอยนิด (2529) ชั่วเจ็ดที-ดีเจ็ดหน (2529) เรื่องของสัตว์โลก (2529) และ คิดถึงน้องบ้างนะ (2530) ซึ่งสามชุดหลังเป็นชุดที่ออกหลังที่พุ่มพวงออกจากค่ายอโซน่า โปรโมชั่นแล้ว

 

ต่อมาย้ายมาอยู่กับพีดี โปรโมชั่น และ ซีบีเอส เร็คคอร์ด (ประเทศไทย) และอาจารย์ไพจิตร ศุภวารีได้เปลี่ยนภาพลักษณ์พุ่มดวงให้เข้ากระแสนิยมของเพลงสตริงในยุคนั้น แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับของนักฟังเพลงลูกทุ่ง จึงได้ย้ายไปทำงานร่วมกับท็อปไลน์มิวสิค มีผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมมากมาย ผลงานที่ได้รับความนิยมอย่างเช่นชุด ตั๊กแตนผูกโบว์, กล่อม และ ทีเด็ดพุ่มพวง ผลงานกับค่ายท็อปไลน์มิวสิคอื่น ๆ เช่น หนูไม่รู้, หนูไม่เอา, พี่ไปดู หนูไปด้วย และนำผลงานเก่ามามิกซ์รวมกัน เช่น พุ่มพวงหลาย พ.ศ. (ตลับทอง และตลับเพชร), ขอให้รวย, น้ำผึ้งเดือนห้า, ซูเปอร์ฮิต 1 และ 2 จากนั้นเธอเริ่มรับจ้างทำงานให้กับอาร์เอส โปรโมชั่น เมโทรเทปและแผ่นเสียง และแฟนตาซี ไฮคลาส สำหรับผลงานกับค่ายอาร์เอส เช่น ลูกทุ่งท็อปฮิตมาตรฐาน เป็นผลงานอัลบั้มที่เธอนำเพลงดังของศิลปินลูกทุ่งดังในอดีตมาร้องใหม่ นอกจากนี้ยังมีค่ายเมโทรฯ ที่ได้ลิขสิทธิ์งานเพลงชุด "ส่วนเกิน" อีก 1 ชุด[5]

 

พุ่มพวง ดวงจันทร์ กับผลงานแสดงภาพยนตร์

 

พุ่มพวงเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2526 และแสดงหนังเรื่องแรก สงครามเพลง สร้างโดยฉลอง ภักดีวิจิตร และอีกหลายเรื่อง ในช่วงที่แสดงภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักนักเพลง ได้พบกับ (ไกรสร แสงอนันต์) ผลงานการแสดงของเธอในฐานะนางเอก อย่างเช่น สงครามเพลง, รอยไม้เรียว, ผ่าโลกบันเทิง, นักร้อง นักเลง, นางสาวกะทิสด, มนต์รักนักเพลง, ลูกสาวคนใหม่, อีแต๋น ไอเลิฟยู, หลงเสียงนาง, จงอางผงาด, ขอโทษทีที่รัก, คุณนาย ป.4, อาจารย์เด๋อเจอพุ่มพวง, สาวนาสั่งแฟน, เสน่ห์นักร้อง, นางสาวยี่ส่าย (ภาพยนตร์โทรทัศน์) เป็นต้น[5]

 

ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2532 พุ่มพวง ดวงจันทร์ ได้รับรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีอีกครั้ง ในสาขารางวัลขับร้องเพลงดีเด่น กับเพลง "สยามเมืองยิ้ม" ประพันธ์โดยครูลพ บุรีรัตน์ ในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่ง ภาค 2[4]

 

ลาลับ

 

13 มีนาคม พ.ศ. 2535 มีข่าวปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า พุ่มพวงทะเลาะกับสามี และป่วยเป็นโรคไตขั้นรุนแรง จนต้องเข้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่ไม่สามารถเบิกเงินจากธนาคารเพื่อมารักษาตัวเองได้ (ซึ่งมีอยู่ 6 ล้านบาท) สมุดบัญชีอยู่กับไกรสร (สามี) ที่เชียงใหม่ เธอจึงตัดสินใจสั่งอายัดเงินทั้งหมด ต่อมา 20 มีนาคม เธอเดินทางจากเชียงใหม่ เข้ารักษาตัวเองที่โรงพยาบาลตากสิน จันทบุรี และย้ายไปที่โรงพยาบาลศิริราช แพทย์ตรวจพบว่าเธอป่วยด้วยโรคเอสแอลอีหรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง อาการขั้นรุนแรง ลุกลามถึงไต ทางด้านไกรสรออกมายอมรับว่ามีปัญหาครอบครัวจริง ต่อมา 3 เมษายน แพทย์เจ้าของไข้เปิดเผยว่าพุ่มพวงอาการดีขึ้น ทางด้านญาติของพุ่มพวงมีความเห็นว่าควรรักษาด้วยไสยศาสตร์ เนื่องจากเชื่อว่าถูกปองร้ายด้วยไสยศาสตร์ด้วยวิธีการคุณไสย ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2535 เดินทางออกจากโรงพยาบาลศิริราชเพื่อไปรักษาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ ไปจังหวัดพิษณุโลกโดยเดินทางด้วยรถตู้ แต่หลังจากกราบไหว้พระพุทธชินราช เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ก็เกิดอาการช็อกและหมดสติ ญาตินำส่งโรงพยาบาลพุทธชินราช กระทั่งถึงแก่กรรมอย่างสงบเมื่อเวลา 20.55 น.

 

ได้สวดอภิธรรมศพที่วัดมกุฏกษัตริยาราม พิธีพระราชทานเพลิงศพของพุ่มพวง ดวงจันทร์ จัดที่วัดทับกระดาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. พ.ศ. 2535 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธี นอกจากนี้ยังมีการสร้างหุ่นพุ่มพวง ตั้งอยู่ในศาลาริมสระน้ำ วัดทับกระดาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีการจัดงานรำลึกถึงพุ่มพวงทุกปี ช่วง 13-15 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของเธอ

 

ชีวิตส่วนตัว

 

แฟนคนแรกของพุ่มพวงคือ ธีระพล แสนสุข ระหว่างที่พุ่มพวง ดวงจันทร์ เทใจทุ่มกับงานอย่างเต็มที่ ธีระพลเริ่มปันใจให้กับสลักจิต ดวงจันทร์ จึงทำให้ความรักของทั้งคู่จบลง แต่ด้านธุรกิจยังคงร่วมงานกันอยู่ แต่ในปี 2530 ธีระพล แสนสุข ก็ถูกน้องชายพุ่มพวง ดวงจันทร์ ยิงตาย

 

ในปี พ.ศ. 2527 พุ่มพวงจดทะเบียนสมรสกับนายไกรสร ลีละเมฆินทร์ อดีตพระเอกภาพยนตร์ ที่ใช้ชื่อในวงการว่า ไกรสร แสงอนันต์ ต่อมาพุ่มพวงฝึกหัดเขียนหนังสือจนสามารถเขียนชื่อตัวเองได้ เพื่อประโยชน์ทางนิติกรรมต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2530 มีบุตรชายชื่อ สันติภาพ (ต่อมาเปลี่ยนชือเป็น สรภพ) หรือ "เพชร" หรือ "บ่อยบ๊อย" ลีละเมฆินทร์[2] ซึ่งก็เป็นนักร้องลูกทุ่ง นอกจากนี้ยังมี จันทร์จวง ดวงจันทร์ ดวงใจ ดวงจันทร์ และสลักจิต ดวงจันทร์ น้องสาวพุ่มพวงก็เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งเช่นกัน[6]

 

สิ่งสืบเนื่องและการรำลึกถึง

อัลบั้มเพลง

 

เดือนมิถุนายน 2535 หลังจากที่พุ่มพวงเสียชีวิต ค่ายท็อปไลน์และค่ายอโซน่า ก็นำเอาเพลงชุดต่างๆ ของพุ่มพวงออกวางจำหน่ายอีกครั้ง ท็อปไลน์ได้มีการทำปกขึ้นมาใหม่อีก คือ คิดถึงพุ่มพวง, ส้มตำ, คอนเสิร์ต โลกดนตรี โดยชุด ส้มตำ จัดสร้างขึ้นโดยคณะกรรมการจัดงานพระราชทาน เพลิงศพฯ มีคำบรรยายเกียรติประวัติพุ่มพวง และเพลงอย่าง ส้มตำ, กล่อม, ฉลองวันเศร้า, รักคุด, แล้วจะทนเพื่ออะไร, ของขวัญที่ฉันคืนเธอ, หัวใจทศกัณฐ์, เขานอนบ้านใน, หนูไม่รู้, แฟนพุ่มพวง เป็นต้น[5]

 

ผลงานอัลบั้มเพลงที่วางจำหน่ายเพื่อระลึกถึงพุ่มพวงเช่น คิดถึงพุ่มพวงและโลกของผึ้ง และยังมีเทปที่ทำเพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตอย่างเช่น แหล่ประวัติพุ่มพวง ดวงจันทร์ โดยไวพจน์ เพชรสุพรรณ หนึ่งในดวงใจผลงานของยุ้ย โดยยุ้ย ญาติเยอะ (จริยา ปรีดากูล) เหลือแต่ดวงจันทร์ ที่ครูลพ บุรีรัตน์แต่งให้พุ่มพวง

 

งานเพลงของศิลปินที่นำเพลงของพุ่มพวงมาขับร้องใหม่โดยเฉพาะนักร้องปัจจุบัน มีความแตกต่างกันด้วยจังหวะและระยะเวลาที่ต่างกันไป แกรมมีโกลด์นำผลงานของพุ่มพวงโดยเฉพาะทีประพันธ์โดยลพ บุรีรัตน์ ออกมาอยู่เรื่อยๆ มียอดขายประสบความสำเร็จอย่างดี มีผลงานออกมาอย่าง พุ่มพวง ในดวงใจ ชุดที่ 1 – 4 โดย ใหม่ เจริญปุระ , อัลบั้ม เพชร สรภพ - เพลงของแม่ ชุดที่ 1 (ชุดเดียว) กับเพลงเปิดตัว "โลกของ ผึ้ง" โดยดัดแปลงเนื้อร้องบางส่วนให้เหมาะสมกับการถ่ายทอดบทเพลง[7] อัลบั้ม ดวงจันทร์ ... กลางดวงใจ พุ่มพวง ดวงจันทร์ โดยมีศิลปินนักร้องลูกทุ่งสาวนำเพลงมาทำใหม่ ได้แก่ สุนารี ราชสีมา (เขานอนบ้านใน, นอนฟังเครื่องไฟ, ฉันเปล่านา เขามาเอง), คัฑลียา มารศรี (สาวนาสั่งแฟน, อายแสงนีออน, หัวใจทศกัณฐ์), ฝน ธนสุนทร (สุดแค้นแสนรัก, คิดถีงบ้างเน้อ, ขอให้โสดทีเถอะ), แมงปอ ชลธิชา (รักคุด, เงินน่ะมีไหม, อื้อฮือหล่อจัง) , หลิว อาจารียา (กระแซะ, หนูไม่รู้, ผู้ชายในฝัน), เอิร์น เดอะสตาร์ (พี่ไปดู หนูไปด้วย, นัดพบหน้าอำเภอ, โลกของผึ้ง), ต่าย อรทัย (แก้วรอพี่, นักร้องบ้านนอก, คืนนี้เมื่อปีกลาย) และตั๊กแตน ชลดา (ดาวเรืองดาวโรย, ตั๊กแตนผูกโบว์, อนิจจาทิงเจอร์) นอกจากนี้ทรูแฟนเทเชีย มีผลงานชุด 7 สาวสะบัดโชว์ ก็มีเพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ คือ ผู้ชายในฝัน, อื้อฮือหล่อจัง อยู่ในอัลบั้มนี้

 

ภาพยนตร์และละคร

 

ในปี พ.ศ. 2535 มีภาพยนตร์รำลึกถึงพุ่มพวง ดวงจันทร์กับเรื่อง บันทึกรักพุ่มพวง กำกับโดยดอกฟ้า ได้พุ่มพวง แจ่มจันทร์ แสดงเป็นพุ่มพวง ดวงจันทร์ โดยเป็นภาพยนตร์ที่เล่าชีวิตส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ[8] ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 บริษัท เจเอสแอลจำกัดได้ทำละครโทรทัศน์เรื่อง ราชินีลูกทุ่งพุ่มพวง ดวงจันทร์ ออกอากาศทางช่อง 7 ดัดแปลงจากชีวิตจริง ของพุ่มพวง ดวงจันทร์นำแสดงโดย รชนีกร พันธุ์มณี วรวุฒิ นิยมทรัพย์ ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ [9] โดยต้อม รัชนีกรได้รับการเข้าชื่อเพื่อชิงรางวัลโทรทัศน์ทองคำในฐานะดารานำฝ่ายหญิงดีเด่น

 

ในปี พ.ศ. 2554 สหมงคลฟิล์ม ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง พุ่มพวง โดยนำเค้าโครงจากชีวิตจริงของพุ่มพวง ดวงจันทร์และหนังสือเรื่อง "ดวงจันทร์ที่จากไป" ของ บินหลา สันกาลาคีรี กำกับโดย บัณฑิต ทองดี นำแสดงโดย เปาวลี พรพิมล แสดงเป็นพุ่มพวง ดวงจันทร์ ร่วมด้วย ณัฐวุฒิ สกิดใจ, วิทยา เจตะภัย, บุญโทน คนหนุ่ม

 

สื่อสิงพิมพ์

 

ส่วนสื่อสิงพิมพ์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ เคยนำเสนอแฟชั่นหน้าคู่กลาง ราวปี 2538 เดือนมิถุนายน กับแนวความคิด “ชีวิตพุ่มพวง ดวงจันทร์” ใช้ “งานรำลึกพุ่มพวง ดวงจันทร์” มาเป็นฉากหลังของแฟชั่น มีนางแบบคือ ยุ้ย ญาติเยอะ ที่มีหน้าตาละม้ายพุ่มพวงและยังถือเป็นเงาเสียงของพุ่มพวงในสมัยประกวดคอนเสิร์ตคอนเทสต์ โดยจำลองชีวิตของพุ่มพวงตั้งแต่การออกจากโรงเรียนเพื่อทำงาน การเป็นสาวไร่อ้อย จนถึงนักร้อง โดยมีการใช้ภาพจริงประกอบ[10]

 

หุ่นพุ่มพวง

 

สำหรับหุ่นเหมือนพุ่มพวง ดวงจันทร์ ปัจจุบันมีอยู่ 7 หุ่น อยู่ที่วัดทับกระดาน 6 หุ่น ได้แก่ หุ่นที่ 1 ตั้งอยู่บริเวณสระกลางน้ำ แต่งกายชุดสีดำ เป็นหุ่นอภินิหาริย์ที่สร้างขึ้นหลังพระราชทานเพลิงศพ หุ่นที่ 2 อยู่ในตู้กระจก ยุ้ย ญาติเยอะ เป็นผู้สร้างไว้บูชาครูเพลงพุ่มพวง หุ่นที่ 3 สร้างโดยนายณรงค์ รอดเจริญ อดีตบรรณาธิการ เป็นหุ่นแก้บน ทำด้วยขี้ผึ้งแข็ง หุ่นที่ 4 เป็นสีชมพู สร้างขึ้นจากแฟนเพลง ที่เป็นหุ่นปลดนี้ รุ่นนางพญาเสือดาว หุ่นที่ 5 อยู่ในชุดเสวนาธรรม สร้างโดยญาติและกรรมการวัด หุ่นที่ 6 เป็นหุ่นสีทอง สร้างขึ้นโดยใหม่ เจริญปุระ สร้างขึ้นเพื่อบูชาครูเพลง[11] หุ่นพุ่มพวงที่วัดทับกระดานนั้น ยังมีชื่อเสียงเรื่องมีผู้นิยมมาขอหวยอย่างมากมาย[12] ส่วนหุ่นเหมือนพุ่มพวงตัวที่เจ็ดนั้น เป็นหุ่นชุดเสือดาว สร้างโดยพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุซโซต์ เพื่อจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์สาขากรุงเทพ ชั้น 6 และ 7 สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ โดยพิพิธภัณฑ์มีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ธันวาคม 2553 หุ่นเหมือนพุ่มพวงตัวนี้เป็นตัวแรกที่ผู้สร้างส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ และเป็นหุ่นตัวแรกที่ไม่ได้ตั้ง ณ วัดทับกระดาน[ต้องการอ้างอิง]

 

วันที่ 15 ส.ค.2552 กระทรวงวัฒนธรรม โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคัดเลือกปริยศิลปิน และปรมศิลปิน มีมติประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติ นายสุรพล สมบัติเจริญ และ พุ่มพวง ดวงจันทร์ หรือรำพึง จิตรหาญ เป็น "ปริยศิลปิน" ศิลปินอันเป็นที่รักยิ่งของประชาชน โดยวันที่16 ส.ค. ซึ่งตรงกับวันเสียชีวิตของนายสุรพล สวช.จะมีพิธีมอบรางวัลยกย่องอย่างเป็นทางการให้แก่ครอบครัวสมบัติเจริญ ที่ศูนย์การค้าอินเดีย เอ็มโพเรียม กรุงเทพฯ หรือ ATM พาหุรัดเดิม ส่วนครอบครัวของพุ่มพวง ดวงจันทร์นั้น สวช.จะจัดพิธีมอบรางวัลยกย่องอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 ส.ค.2552

 

กรณีพิพาทหลังเสียชีวิต

 

14 มิถุนายน พ.ศ. 2535 นางเล็ก มารดาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ก่อนเสียชีวิตไม่นานว่า พุ่มพวงได้เล่าเหตุการณ์และความรู้สึกบีบคั้นโดยเฉพาะเรื่องในครอบครัวลงในเทปตลับหนึ่ง ต่อมาเทปถูกคัดลอกเพื่อออกจำหน่ายในชื่อ บันทึกลับพุ่มพวง ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงไกรสร แสงอนันต์ ไกรสรยื่นฟ้องศาลและศาลได้ระงับการจำหน่าย

 

ไกรสรและญาติของพุ่มพวงเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก มีการกล่าวหากันไปมาทั้งสองฝ่าย มีข้อมูลระบุว่า ไกรสรกลับไปคืนดีกับอดีตภรรยา ส่วนอีกฝ่ายหาว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะทางฝ่ายญาติพุ่มพวงต้องการได้ส่วนแบ่งมรดกทั้งหมด 80 ล้านบาท ต่อมานางเล็กยื่นขอเป็นผู้จัดการมรดกทั้งหมด แต่ต่อมาไกรสรยื่นคำร้องต่อศาลคัดค้าน และต่อมานายสำราญ (พ่อของพุ่มพวงซึ่งหย่าจากนางเล็กแล้ว) คัดค้านอดีตภรรยาเนื่องจาก นางเล็ก อ่านเขียนไม่ออก แต่ต่อมาถอนคำร้อง และศาลได้สั่งให้ไกรสรและนางเล็กเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน โดยทรัพย์สมบัติแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่ากัน ส่วนแรกเป็นของไกรสร อีกส่วนเป็นกองกลาง ซึ่งมีเจ้าของ 4 คนคือ นายสำราญ นางเล็ก ไกรสร และลูกชาย สันติภาพ ทุกคนจะได้รับเท่ากันในส่วนนี้ แต่หากพบว่าสมบัติใดพบหลังการแบ่งแล้ว จะยกให้สันติภาพเพียงผู้เดียว[2]

 

2 มิถุนายน 2552 นายสรภพ ลูกชายพุ่มพวงอุปสมบทให้พุ่มพวง ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก มี นางสุพรรณี สุประการ มารดาบุญธรรม และนางบุญ สุประการ ผู้เป็นยาย ร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีอุปสมบท โดยในงานมีการตั้งโต๊ะรับบริจาคเงินสมทบทุนสร้างหุ่นขี้ผึ้ง “พุ่มพวง ดวงจันทร์” หุ่นที่ 7 โดยประชาชนที่บริจาคเงิน 100 บาท จะได้รับ แผ่นซีดีเพลงที่ นายสรภพ ขับร้องไว้ในชื่ออัลบั้ม “บทเพลงเพื่อแม่ผึ้ง” และมีเพลงที่พุ่มพวงร้องสดเป็นครั้งสุดท้าย[13] ทั้งนี้สรภพเกิดเรื่องขัดแย้งกับบิดาและญาติฝ่ายพุ่มพวง โดยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552 พระสรภพ พบกับนายไกรสรและญาติพี่น้องของพุ่มพวง ที่วัดทับกระดาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และเกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรง ในกรณีการจัดสร้างหุ่นขี้ผึ้งพุ่มพวง[14]

 

 

 

************************************************************

 

 

 

 

 

 

 

สส.ภ.9'เชื่อทีมฆ่าอยู่กทม. 'สันติภาพ'หน้าที่แค่สัปเหร่อ

 
 
 
12 มิ.ย.56 มีรายงานข่าวจากชุดสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ให้ข้อมูลว่า การสังหารนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังนั้น อาจลงมือสังหารมาจากกรุงเทพฯ ด้วยวิธีการรัดคอ โดยมั่นใจว่าทีมสังหารนั้นไม่มีคนในพื้นที่ร่วมด้วย อาจเป็นคนละทีมกัน โดยหลังจากที่สังหารแล้ว ได้นำศพลงมาทางภาคใต้

“จากการสืบสวนสอบสวนทราบว่า ระหว่างทางลงใต้ผู้ร่วมทีมสังหารอีก 1 คนที่เดินทางพร้อมกับนายสันติภาพ ได้แยกตัวระหว่างทางที่จ.สุราษฎร์ธานี และเดินทางกลับกรุงเทพฯ จากนั้นนายสันติภาพนำศพนายเอกยุทธ ลงมาพัทลุงเพียงลำพัง ก่อนที่นายสันติภาพ จะประสานเพื่อนคือนายชวลิต ให้มาช่วยกันนำศพไปฝัง”
 


 

 

 

++  ถ้าจะฆ่าชิงทรัพย์ทำไมต้องไปเอากล้องวงจรปิดที่บ้านคนตาย ทั้งๆที่งานนี้ไม่ต้องเข้าไปบ้านก็ได้
+++ ทำไมต้องไปฝั่งที่พัทลุง แล้วให้พ่อตัวเองแท้ๆไปมีส่วนร่วม ถ้าจะชิ่งทรัพย์จริงๆ ไม่ต้องเหนื่อยขับรถไปไกล เพราะถ้ายิ่งไกล ยิ่งมีหลัฐานเพียบ
++++ แล้วทำไมเสร็จงานแล้ว ถึงขับรถร่อไปร่อนมาอยู่ได้ ผิดวิ่งสัย ฆ่าชิงทรัพย์ เสร็จงานต้องทิ้งรถหนี เวลาๅสองวันน่าจะไปได้ไกล

 

 

**********************************************

 

 

guest

Post : 2013-06-08 19:44:05.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สิ่งที่ผู้หญิงปากกับใจไม่ตรงกัน

 

 

เรื่องน่ารู้ สิ่งที่ผู้หญิงปากกับใจไม่ตรงกัน

 

 

เรื่องน่ารู้ สิ่งที่ผู้หญิงปากกับใจไม่ตรงกัน 

 

 

 

 

ผู้หญิงเข้าใจยาก บอกอย่าง ทำอีกอย่าง พอเราทำในสิ่งที่บอก ก็โกรธ ก็งอน … สารพัด

สะกิดมีประโยคที่ถ้าคุณผู้ชายได้ยินแล้ว ต้องแปลความหมายให้ถูก และทำในสิ่งที่เธอต้องการ และวคุณก็จะเป็นชายในดวงใจเธอ

 

บอกมาเถอะ ฉันรับได้ : จริงๆแล้ว ไม่อยากรู้หรอก อยากรู้ในสิ่งที่คุณชมเธอต่างหาก เช่น ถ้าคุณบอกเธอว่าอ้วน เธอจะโกรธมาก เพราะอย่างนั้น คุณควรจะตอบออกไปว่า คุณใส่ชุดนี้ดูดีนะ เข้ากับคุณจัง หรือไม่งั้นคุณก็บอกว่า คุณสวยมากเลยนะวันนี้

 

ไม่เป็นไร : ไม่เป็นไรนี่ก็เป็นคำพูดที่อยากให้คุณสนใจเธอสักนิด ไม่ต้องพูดอะไรให้เธอรู้สึกดีก็ได้ แค่ส่งยิ้ม ให้กำลังใจ แค่นี้ก็พอแล้ว

 

ฉันชอบกีฬาที่คุณเล่นนะ : ความจริงไม่ได้ชอบเท่าไหร่นักหรอก แค่อยากหาเรื่องคุยกับคุณ เท่านั้นเอง

 

ไปเที่ยวกับเพื่อนเหรอ…ได้สิจ้ะ : พูดต่อในใจว่า ทำไมไม่เอาเราไปด้วยนะ

 

นั่นแฟนเก่าคุณนี่ ไปทักเค้าหน่อยสิ : ความจริงไม่ค่อยอยากให้ทักเท่าไหร่นักหรอก ตามมารยาทหน่ะ

 

ไปเที่ยวกับเพื่อนผู้หญิงมาเหรอ เป็นไงมั่งหล่ะ สนุกไหม : ความจริงในใจเดือดเป็นไฟ ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรออกมาเธอไม่ได้ยินทั้งนั้น

 

อีกเยอะค่ะ ^-^ ง่ายๆ คุณผู้ชายคอยสังเกตดูเองนะคะ ว่าขณะพูดเธอเป็นยังไง น้ำเสียงโกรธ น้ำเสียงดีใจ เสียใจ …

 

 

 

*****************************

 

 

 โคตรโกง...หลักฐานคลิปชัดล้าน %_สื่อ
ไปตายที่ไหนกันหมด?..

..

ตัวอย่าง........

.....มาตรฐาน...ความหนาของถังดับเพลิง..2.00--2.50 มิลฯ


.....มาตรฐาน กทม หนาเพียง..1.00 มิลฯ



.....มาตรฐาน...ความหนาตะเข็บรอยต่อกลางถัง...1.5 ซม.


.....มาตรฐาน กทม หนาเพียง....0.80 ซม.



เเล้วมัน..จะไม่ระเบิดได้อย่างไร...สื่อก็ตายห่าตาบอดกันหมดแล้วหรือ..?
เรื่องชัดๆไม่สนใจ..แต่เรื่องข้าวไม่มีอะไร..ก็จะเอาเป็นเอาตายให้ได้..

.

เชิญชมคลิบเด็ดๆนี้ได้เลย....ครับท่านทั้งหลาย..

 

 

 

 
 [IMG]
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
*************************************************
 
 
 
 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

             

 

 

 

           หากเหนื่อยนัก ก็พักเถิด...

 

 

 

 

 

 

                           รถเบรคเเตก...

 

 

 

 

รถยนต์ทุกรุ่นในปัจจุบัน ใช้น้ำมันเบรกเป็นตัวถ่ายทอดแรงดันระหว่างการกดของเท้าไปยังผ้าเบรก เสมือนเป็นระบบไฮดรอลิกส์ชนิดหนึ่ง ดังนั้น จึงอาจมีการรั่วซึมขึ้นได้จากการรั่วของลูกยางตัวใดตัวหนึ่งหรือท่อน้ำมันเบรกรั่ว การถ่ายทอดแรงดันก็จะสูญเสียลงไป

ระบบเบรกมักแบ่งการทำงานออกเป็น 2 วงจร อาจเป็นแบบล้อคู่หน้าและล้อคู่หลัง หรือเป็นแบบไขว้ล้อหน้าซ้าย-ล้อหลังขวา และล้อหน้าขวา-ล้อหลังซ้าย เผื่อว่าวงจรใดวงจรหนึ่งชำรุด เพื่อให้ระบบยังมีประสิทธิภาพการทำงานหลงเหลืออยู่บ้าง ดังนั้น เมื่อเบรกแตกหรือน้ำมันเบรกเกิดการรั่ว ส่วนใหญ่มักหลงเหลือประสิทธิภาพการทำงานอยู่หลายสิบเปอร์เซ็นต์ หรืออีกไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งในอีกวงจร

สิ่งสำคัญตั้งสติให้มั่นคง เมื่อเหยียบแป้นเบรกลงไปแล้วลึกต่ำกว่าปกติ ต้องเหยียบซ้ำแรงๆ และถี่ๆ เพื่อใช้แรงดันในวงจรที่เหลือยู่ ผ้าเบรกจะได้สร้างแรงเสียดทานขึ้นมาบ้าง พร้อมกับการลดเกียร์ต่ำครั้งละ 1 เกียร์ จนกว่าจะถึงเกียร์ต่ำสุด แล้วค่อยใช้เบรกมือช่วย โดยการกดปุ่มล็อกค้างไว้ให้สุด เพื่อไม่ให้เบรกจนล้อล็อก ดึงขึ้นแล้วปล่อยสลับกันไป เพื่อลดความเร็ว

 

  

   ทำอย่างไร เมื่อยางระเบิดขณะขับรถและรถตกน้ำ?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กรณีที่ 1 เมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถยางระเบิดในขณะขับรถ มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้

1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
2. ถอนคันเร่งออก
3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง
4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะว่า จะทำให้รถหมุน
5. ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลักเพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ ให้ขาดจากเพลา
6. ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
7. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ
8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ

ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิด คือ ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิดล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้าย รถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อน แล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกที สลับกันไปมา และในทำนอง ตรงกันข้าม หากระเบิดด้านขวาอาการก็จะ กลับเป็นตรงกันข้ามอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือ หากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วสูงมากๆ พอยางระเบิด ขึ้นมารถก็จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆจึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแ รงที่จะเกิดขึ้น ในขณะขับรถ จึงไม่ควรขับรถเร็ว ( ความเร็วทีถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง)

 

 

กรณีที่ 2 เมื่อรถตกน้ำ

ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำ ลำคลองใดๆ ก็ตาม รถจะไม่ตกลงไปใน น้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำ แต่จะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึง พื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้

ควรตั้งสติให้ดี และ ปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคน รวมทั้งผู้โดยสารด้วย
2. อย่าออกแรงใดๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ
4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน
5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดัน! ในรถและนอกรถให้เท่ากันมิฉะนั้นท่านจะเปิด ประตูรถไม่ออก เพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้
6. เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุด แล้วท่านก็ออกจากห้องโดยสารของ รถได้
7. จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ ำขึ้นมาก็ได้ ในกรณีนี้หาก น้ำลึกมากๆอาจจะมองไม่เห็นว่า ทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมดไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำ เพราะอาจจะว่าย ไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ กรณีเช่นนี้ ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้! นตามธรรมชาติ หรือ ลองเป่าปากดูว่า ฟองอากาศลอยไปในทิศทางใด ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป ก็จะไม่มี อาการ หลงน้ำ นอกจากนั้น ก่อนออกจากรถ หากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบ เด็กๆ นั้น ออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน ดังนั้นหากท่านปฏิบัติ ตามวิธีการเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ชีวิตของท่าน ปลอดภัยได้ ในยามคับขัน

 

 

 *******************************

 

 

 

 

                              "

 

 

 

....คงจะไม่ สู้ต่อ ขอยอมเเพ้

 

ใช่อ่อนเเอ ทว่าใจ ไปไม่ถึง

 

สุดชีวิต ทุ่มเเรงไป ไม่เคยดึง

 

เสมือนหนึ่ง ลอยเคว้งคว้าง อย่างเลื่อนลอย

 

 

 

....ตั้งความฝัน เเม่พ่อลูก ผูกร้อยรัด

 

โซ่ทองมัด ครอบครัวสุข ทุกข์เสื่อมถอย

 

เเต่สุดท้าย ฝันที่หวัง ตั้งตาคอย

 

เลื่อนหลุดลอย ยากเกินเเก้ เเพ้ยับเยิน....

 

 

 

**************************

 

 

                           

   

            สวดภาณยักษ์

 

 

                

 

 

 



พิธีสวดภาณยักษ์ เริ่มต้นจากการบูชาขันครู ในขันพลาสติกหลากสีจำนวนหลายร้อยใบประกอบไปด้วย ผ้ายันต์ ขดด้าย ข้าวเปลือก ดินสอพอง และพระพิมพ์ เหมือนกันทุกใบ วางรอผู้เข้าร่วมพิธีมาบูชาเอาคนละขัน ราคา ๙๙ บาท (ภาพ ๑) ต่อจากนั้นก็ผ่านเข้าไปบูชาพระนพเคราะห์ประจำวันเกิดด้วยเงินตามกำลังของแต่ละวัน (เช่น วันอาทิตย์ กำลัง ๖ ก็ใช้เงิน ๖ บาท) หรือถ้าจะบูชาให้ครบทุกดวงก็ใช้เงิน ๑๐๘ บาท และจะได้รับการเชิญชวนให้ร่วมประดับต้นโพธิ์ทองด้วยธนบัตร ถ้าติดถึง ๑๐๐ บาทขึ้นไปจะได้รับพระวัตถุมงคลหนึ่งองค์


พระสงฆ์ผู้เป็นเจ้าพิธีกล่าวว่า สวดภาณยักษ์เป็น “พุทธโอสถ” ที่จะช่วยขจัดปัดเป่าอัปมงคลออกไปจากร่างกาย ทำนองเดียวกับการทำบุญสวดบ้านเมื่อมีเรื่องร้าย แต่ต่างกันที่สวดภาณยักษ์เป็นการชักชวนคนจำนวนมากมาร่วมทำในคราวเดียวกัน

การสวดภาณยักษ์ที่วัดปรินายก ย่านสะพานผ่านฟ้า กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๗-๘ สิงหาคม ๒๕๔๗เตรียมการรองรับผู้เข้าร่วมไว้ราว ๕๐๐ คน อาณาบริเวณประกอบพิธีกรรมกำหนดโดยเสาและแนวชายคาเต็นท์ที่กางลงครอบลานซีเมนต์หน้าพระอุโบสถ ใต้หลังคาใช้เส้นด้ายสายสิญจน์โยงสานกันเป็นข่ายตาห่างสำหรับผู้เข้าร่วมพิธีให้ผูกยึดผ้ายันต์และโยงเส้นด้ายลงมาพันรอบกระหม่อมตัวเองในตอนทำพิธีสวด


การรวบรวมคนดำเนินมาเป็นเวลาชั่วโมงเศษจนภายในพิธีมีคนเข้ามานั่งกันแน่นขนัด แต่พิธีที่ทุกคนรอคอยยังไม่เริ่ม โฆษกของงานประกาศหาลูกผู้ชายใจกล้าสองคน ได้เด็กหนุ่มวัยรุ่นร่างผอมบางกับอีกคนเป็นชายวัยกลางคนค่อนข้างเจ้าเนื้อ ทั้งสองถูกพาเข้าไปคุกเข่าอยู่หน้าพระหนุ่มที่แขวนสร้อยประคำเส้นโต พระสงฆ์บริกรรมคาถาและบอกอะไรกับผู้อาสาทั้งสอง แล้วสั่งให้ถอดเสื้อนอนราบไปบนพื้นยกมือพนมกุมสายสร้อยที่พระให้ไว้บนอก พระสงฆ์รูปเดิมใช้ปลายดาบลิดดอกบัวโปรยไปตามร่าง แล้วใช้ดาบเล่มเดียวกันนั้นฟันลงกลางท้องสองทีรวด (ภาพ ๓) เสียงเหล็กกระทบเนื้อดังเหมือนเสียงทุบ และไม่มีแผล แสดงการฟันคนทั้งสองเสร็จแล้วพระก็กลับไปนั่งบนอาสนะ ผู้ร่วมพิธีลุกกรูกันไปต่อแถวยาวเหยียดขอบูชาเทียนชัยและสร้อยคอ ชุดละ ๑๐๐ บาท



หลายคนคงสงสัยว่าอาสาสมัครทั้งสองคน (รวมทั้งคนที่ “ออกอาการ” ในตอนสวด) เป็นหน้าม้าหรือไม่ วุฒิชัย สร้อยรักษ์ เด็กหนุ่มอาสาสมัครคนแรกบอกว่า เขาเป็นเด็กช่างกล มีเรื่องกับเพื่อนต่างสถาบันบ่อย อยากมีของดีคุ้มกันตัวจึงอาสาออกมา ได้ผ่านพิธีกรรมนี้แล้วเขาไม่ต้องกลัวคู่อริที่จะมาตีรันฟันแทงกันอีก ส่วนชายวัยกลางคนร่างท้วมชื่อ รัตนชัย สัตนมณีแสง เล่าว่าเขาชอบเรื่องทำนองนี้ ถ้ารู้ว่ามีการจัดที่ไหนเขาจะเข้าร่วมด้วยเสมอ เช่นเดียวกับคนที่มาร่วมพิธีส่วนใหญ่ ที่มีความเชื่อว่าใครเข้าร่วมพิธีสวดภาณยักษ์ครบ ๙ ครั้งจะเป็นมงคลกับชีวิต 



การสวดภาณยักษ์ไม่ได้มีจัดกันบ่อย ๆ (แต่กัมปนาท สกุลไพร โฆษกของงาน แอบกระซิบหลังไมค์ว่า บางวัดที่จัดอย่างพร่ำเพรื่อเพื่อหาเงินโดยเฉพาะก็มีอยู่เหมือนกัน) “ตั้งแต่สำนักงานเราย้ายมาอยู่ที่นี่สิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เคยมีการจัดสวดภาณยักษ์ที่วัดปรินายกเลยสักครั้ง” หัวหน้ากองบรรณาธิการ สารคดี บอกกับน้อง ๆ ในกองฯ ที่มาทีหลัง



ได้เวลาเริ่มพิธีกรรมพระสงฆ์ที่ยกย่องกันว่าศักดิ์สิทธิ์ขมังเวทย์จำนวนสี่รูปนั่งบนอาสนะประจำทิศทั้งสี่ อีกสี่รูป รวมกันอยู่ด้านหน้าพิธี ท่องบทสวดและผสมเสียงใส่กัน ฟังคล้ายเสียงประกอบหนังสยองขวัญ ลี้ลับ น่าขนลุก และออกจะน่ากลัวสำหรับคนขวัญอ่อน (ภาพ ๕) หลังการสวดดำเนินไปสักพักก็ถึงช่วงสำคัญ พระสงฆ์ที่นั่งประจำทิศทั้งสี่เริ่มประพรมน้ำมนต์ ผู้ร่วมพิธีบางคน (ที่ว่า-มีของอยู่ในตัว) จะออกอาการแปลก ๆ บางคนร้องไห้โฮ บ้างสั่นเหมือนเจ้าเข้า และผู้หญิงบางคนก็ออกท่าทางร่ายรำ คนเหล่านี้จะได้รับการช่วยเหลือจากพระ (ภาพ ๖) คนที่เคยเข้าร่วมสวดภาณยักษ์มาหลาย ๆ ครั้งให้ข้อสังเกตว่า ใครที่ออกอาการก็มักจะเป็นทุกครั้งที่เข้าร่วมพิธี ทองสุข ผ่องแผ้ว พูดถึงสุนีย์ ผู้เป็นลูกสาวของนางว่า เคยไปร่วมสวดภาณยักษ์ราวห้าครั้ง เธอจะสั่นเหมือนร่างทรงทุกครั้ง นางคิดไปว่าอาจเพราะสิ่งชั่วร้ายในตัวลูกยังถูกขับไล่ออกไปไม่หมด แต่เชื่อว่าพิธีสวดภาณยักษ์ที่วัดปรินายกในวันนี้ (๗ สิงหาคม ๒๕๔๗) พระที่มีอาคมแข็งกล้าได้ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วช้าอาเพศออกไปหมดสิ้นแล้ว
 

 

********************************

 

 

 

ภาพบรรยากาศงานเสื้อแดงไล่อภิสิทธิ์ที่ลำพูนมาฝากคร๊าาาาา

 

(จาก พันธ์ทิพ ดอทคอม)

 




 

 

เสื้อแดงจากพื้นที่จังหวัดลำพูน เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือกว่า 500 คน
ได้มีการเขียนป้ายโจมตีอภิสิทธิ์ พร้อมทั้งเคลื่อนกำลัง มายังสะพานฝั่งของสวนอาหารครัวสวนไผ่
ซึ่งเป็นจุดตั้งเวทีผ่าความจริง ท่ามกลางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคุมฝูงชน กว่า 100 นาย ในสกัดกั้น
และมีการนำแผงเหล็กมากั้นโดยรอบ ซึ่งทางกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงประชิดเข้าใกล้แผงเหล็กมากขึ้น
 

แล้วไปทำอะไรใครไว้ละ
เขาถึงขับไล่อย่างนั้น

วลาพวกคุณละเมิด ช่วงชิงสิทธิเสรีภาพไปจากคนอื่น ทำไมพวกคุณไม่คำนึงถึงหลักประชาธิปไตย?

พอตัวเองถูกละเมิดบ้าง ทำเป็นยกประชาธิปไตยขึ้นเป็นเกราะกำบัง

พวกคุณฝักใฝ่แนวคิดอนุรักษ์นิยม ชมชอบเผด็จการ คุณก็ไปยึดหลักของคุณนู่น ไม่ต้องมาใช้ประโยชน์จากสิ่งที่คุณไม่ชอบ

 
 
ผู้ต้องหาฆ่าคนตาย โดนชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์บ่อยไป ขนาดเขาฆ่าแค่คนสองคน

ไอ้นี่ 100 ศพ น่าจะสำนึกไว้บ้างนะว่ามีคนอยากจะเช็คบิลมากขนาดไหน?....
 
 
 
 
 
*****************************************

 

 

 

guest

Post : 2013-06-04 21:48:44.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  กูขอสาปเเช่ง

 

 

                                         ทองคำอันน่ากลัว

ยังมีนักพรตผู้หนึ่งวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากป่า พอดีถูกคนสองคนซื่งเป็นสหายสนิทกันอย่างยิ่ง
พบเห็นเข้า คนทั้งสองจึงเอ่ยถามนักพรตรูปนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาหลบหนีสิ่งใดมา
นักพรตตอบว่า "ข้าพเจ้าบังเอิญขุดเจอทองคำฝังอยู่ที่โคนต้นไม้ในป่า เป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!"
เมื่อคนทั้งสองได้ยินก็ตื่นเต้นสุดระงับ แอบกระซิบกระซาบต่อกันว่า


"คนผู้นี้ช่างโง่เขลาปัญญาอ่อนเสียจริง ขุดเจอทองนับเป็นโชคแท้ๆ แต่กลับกลัวจนตัวสั่น"
จากนั้นจึงตะล่อมถามนักพรตต่อไปว่า "ท่านขุดเจอทอง ณ ที่ใด สามารถบอกพวกเราได้หรือไม่?"
นักพรตจึงตอบว่า
"ของที่อันตรายเช่นนี้พวกท่านไม่กลัวหรืออย่างไร ไม่ทราบหรือว่าทองคำพวกนั้นมันสามารถกินคนได้!"

คนทั้งสองจึงรีบเอ่ยว่า "พวกเราไม่กลัวหรอก ท่านรีบบอกมาเถิดว่าทองคำอยู่ที่ใด?"
สุดท้ายนักพรตจึงบอกว่า "ทองคำอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นริมสุดทางทิศตะวันตกของป่า"
เมื่อได้ยินดังนั้นคนทั้งสองก็รีบผละจากนักพรตมุ่งหน้าไปยังจุดที่พบทองคำทันที ระหว่างนั้น
สหายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "นักพรตรูปนั้นทึ่มจริงๆ ทองคำที่ทุกผู้ทุกคนต่างเฝ้าใฝ่ฝันถึง
มากองอยู่ตรงหน้า กลับวิ่งหนีไปเสียได้" ซึ่งสหายอีกผู้หนึ่งก็พยักเพยิดเห็นด้วย

จากนั้นทั้งสองจึงปรึกษากันว่าจะนำทองคำกลับไปได้อย่างไร สหายผู้หนึ่งจึงเสนอว่า "หากขนทองคำ
กลับไปในตอนฟ้าสว่างเห็นจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ เราควรขนไปตอนฟ้ามืดจะดีกว่า
เดี๋ยวข้าจะเฝ้าทองคำอยู่ที่นี้ ส่วนท่านเดินทางเข้าเมืองไปเสาะหา
อาหารและน้ำดื่มมารับประทานร่วมกัน เมื่อรับประทานเรียบร้อยรอให้ค่ำมืด ค่อยลงมือขนทองคำ"

ดังนั้นสหายผู้หนึ่งจึงเดินทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปหาข้าวปลาอาหาร ส่วนสหายอีกผู้หนึ่ง
ที่อยู่เฝ้าทองคำก็ขบคิดวางแผนว่า "หากทองคำทั้งหมดตกเป็นของข้าเพียงผู้เดียว
ก็คงจะดีไม่น้อย เช่นนี้ดีกว่า หากเพื่อนของข้ากลับมาก็ใช้ท่อนไม้ทุบตีมันให้ตาย เท่านี้
ก็ไม่ต้องแบ่งส่วนแบ่งทองคำให้กับผู้ใด" ส่วนสหายที่เดินทางเข้าเมืองก็ครุ่นคิดว่า
"ข้าจะเข้าเมืองไปรับประทานอาหารให้อิ่มเสียก่อน จากนั้นนำยาพิษใส่ในอาหารกลับไป
ให้สหายข้า เท่านี้ทองคำก็จะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว"

ชายที่เดินทางเข้าเมืองดำเนินการตามแผนเรียบร้อย จากนั้นนำอาหารกลับมายังชายป่า
ที่ซ่อนทองคำ แต่ยังไม่ทันระวังตัว เขากลับถูกสหายรักใช้ท่อนไม้
ฟาดจากทางด้านหลัง จนเสียชีวิตทันที จากนั้นมือสังหารจึงแก้ห่อข้าวที่เพื่อนผู้ล่วงลับ
นำมาให้ รับประทานด้วยความหิวโหย แต่ไม่ทันไรก็ต้องล้มลงดิ้นทุรนทุราย
เนื่องเพราะได้รับพิษที่อยู่ในอาหาร ในชั่ววินาทีก่อนที่ชายผู้ถูกพิษจะสิ้นใจ
เขาพลันนึกถึงคำที่นักพรตได้เตือนเอาไว้ จึงได้แต่รำพึงว่า"จริงดั่งคำที่นักพรตว่าไว้
ทองคำนั้นน่ากลัวยิ่ง เพราะมันสามารถ
กลืนกินมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความโลภอย่างเรา" จากนั้นจึงลาโลกไปในลักษณะนั้น
 

 

**********************************

 

 

** ไขความลับ..การสร้างลูกอัจฉริยะ

ง่ายๆ...เพียงแต่คาดไม่ถึงเท่านั้นเอง **

1/10

 

ทำความเข้าใจกันเสียใหม่หากจะบอกว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพแตกต่างกันมาแต่กำเนิด เพราะแท้จริงแล้วเด็กทุกคนเริ่มต้นมาเท่าๆกัน เพียงแต่ผู้ปกครองต้องเลี้ยงดูเสริมสร้างศักยภาพอย่างถูกวิธี

 

  

 

 

 

 

2/10
เรื่องจริงที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจยังไม่ทราบก็คือ เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับหนึ่งแสนล้านเซลล์สมอง (neuron) เท่าๆ กัน แต่เพราะการเลี้ยงดูและโภชนาการ จึงทำให้เด็กแต่ละคนเติบโตมามีศักยภาพที่แตกต่างกัน

โดยสมองประกอบด้วยเซลล์สมองที่มีใยประสาทประสานกันเป็นร่างแห เพื่อใช้ในการติดต่อและส่งสัญญานประสาทที่เดินทางรวดเร็วถึง 100 เมตรต่อวินาที หรือประมาณ 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ดังนั้นทุกครั้งที่เด็กได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ เซลล์สมองจะเชื่อมต่อสร้างเป็นเครือข่ายใยประสาท ทำให้เกิดการคิดรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญให้เด็กๆ พร้อมเรียนรู้เรื่องราวที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

3/10

จากการศึกษาพบว่าศักยภาพสมองของลูกน้อยอาจถูกใช้เพียงแค่ 1% เท่านั้น เนื่องจากการพัฒนาด้านการเรียนรู้ของเด็กไม่ได้ถูกกระตุ้นให้ใช้งานสมองทั้งสองซีกโดยปกติ สมองซีกซ้ายทำงานเกี่ยวกับตรรกะ ภาษา ความเป็นเหตุเป็นผล ตัวเลข การวิเคราะห์

ส่วนสมองซีกขวาทำงานเกี่ยวกับด้านศิลปะ ดนตรี จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ แต่หากเด็กไม่ได้ถูกกระตุ้นให้ฝึกใช้สมองทั้งสองซีกพร้อมๆ กัน จะทำให้การใช้งานเซลล์สมองไม่เต็มประสิทธิภาพ

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพสมองของลูกน้อยให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยการกระตุ้นการใช้สมองทั้งสองซีก เพื่อให้สมองซีกซ้ายและซีกขวาเกิดการเชื่อมโยงกันจนนำไปสู่การเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัด

 

 

 

 

4/10

 

นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชกรรม หัวหน้าหน่วยพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวว่า เด็กเกิดมามีเซลล์สมองแสนล้านเซลล์เท่ากัน และในช่วง 3 ปี หรือประมาณ 1,365 วันแรก สมองของลูกน้อยจะเจริญเติบโตและเพิ่มน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็วถึงประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากเด็กๆ ไม่ได้รับการกระตุ้นทางสมอง ร่างกายก็จะค่อยๆ กำจัดเซลล์สมองที่ไม่ได้ใช้งานออกไป ทำให้เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่ต่างกัน 

 

 

 

 

 

 

 

 ***********************************

 

 

 

ตำนานวังหน้า - กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท

 

 

พญาเสือ

"อันกรุงรัตนอังวะครั้งนี้ฤา.............จักพ้นเนื้อมืออย่าสงสัย
พม่าจะมาเป็นข้าไท......................จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา


แม้นสมดังจิตไม่ผิดหมาย..............จะเสี่ยงทายตามบุพเพวาสนา
จะได้ชูกู้ยกนัครา..........................สมดังปรารถนาทุกสิ่งอัน


ถ้าเสร็จการอังวะลงตราบใด............จะพาใจเป็นสุขเกษมสันต์
อ้ายชาติพม่ามันอาธรรม์.................เที่ยวล้างขอบขัณฑ์ทุกพารา


แต่ก่อนก็มิให้มีความสุข..................รบรุกฆ่าฟันเสียหนักหนา
แต่บ้านร้างเมืองเซทั้งวัดวา..............ยับเยินเป็นป่าทุกตำบล...."

 

 

             

                                พระบวรราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

 

 

 สมเด็จพระบวรเจ้ามหาสุรสิงหนาทพระองค์ทรงปรารถนาพุทธภูมิตามที่กล่าวมาแล้วตลอดชีวิตของพระองค์ต้องออกรบตลอดทั้งหมด 24 ครั้ง ไม่มีคำว่าแพ้ พระองค์ทรงรบด้วยปัญญามิทรงใช้แต่กำลังอย่างเดียว อย่างศึกสงครามเก้าทัพ ทั้ง ๆ ที่มีกำลังพลน้อยกว่าแต่ด้วยปัญญาและความเด็ดขาดจึงทำให้พระองค์ชนะศึกมาได้ พระองค์ทรงเรียนอาคมและทรงชอบเคียวหว่านจนลิ้นดำ จนได้ชื่อว่า เจ้าฟ้าลิ้นกาฬ (ลิ้นดำ)

 

เวลาที่พระองค์ทรงเรียกทหารพระสุรเสียงดังกังวาลเหมือนดั่งเสียงของราชสีห์ จึงเป็นที่มาของชื่อพระองค์ คือมหาสุรสิงหนาท ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านนั้นพูดอย่างชาวบ้าน ว่า พระองค์ท่านเกิดมาเพื่อรบ หรือเกิดมาพร้อมกับดาบ แม่ทัพพม่าที่เป็นคู่รบให้สมัญญานามว่าพระยาเสือ ตรงกับพระนามที่ได้รับการอุปราชาภิเษก นับว่าท่านเป็นนักรบโดยแท้

 

ถึงแม้ตลอดชีวิตของพระองค์จะทำศึกมาตลอด แต่เรื่องพระพุทธศาสนาพระองค์ก็ไม่เคยทิ้ง ทรงสร้างและบูรณะวัดชนะสงคราม และทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ มาจากเชียงใหม่ลงมาไว้ที่กรุงเทพฯ พระองค์ทรงปฏิบัติพระกรรมฐานมิได้ขาด ทรงเป็นลูกศิษย์พระครูโลกอุดร และทรงสร้างพระกรุวังหน้าพิมพ์รูปเหมือนพระครูโลกอุดรและพิมพ์ต่าง ๆ

 

มีคำกล่าวกันมาแต่ก่อนว่า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสร้างพระราชมณเฑียรและสถานที่ต่างๆในพระราชวังบวรฯ ทรงทำโดยปราณีตบรรจงทุกๆอย่าง ด้วยตั้งพระราชหฤทัยว่า เมื่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชสิ้นพระชนมายุขัยสวรรคต ถึงเวลาพระองค์ทรงครอบครองราชสมบัติ จะเสด็จประทับอยู่พระราชวังบวรฯตามแบบอย่างสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่เสด็จลงมาอยู่วังหลวง เป็นคำเล่ากันมาดังนี้ แต่พระราชประวัติมิได้เป็นไปตามธรรมดาอายุขัย กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จดำรงพระยศมาได้ ๒๑ พรรษา ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๓๔๕ มีพระอาการประชวรเป็นนิ่วในเวลาเมื่อเสด็จเป็นจอมพลไปรบพม่าที่มาตีเมืองเชียงใหม่ เสด็จขึ้นไปถึงกลางทางประชวรลงในเดือน ๓ ต้องประทับอยู่ที่เมืองเถิน ให้กรมพระราชวังหลังเสด็จขึ้นไปบัญชาการรบแทนพระองค์

เมื่อมีชัยชนะข้าศึกสงครามเสด็จกลับลงมาถึงกรุงเทพฯ พระอาการค่อยทุเลาขึ้นคราวหนึ่ง ครั้นถึงเดือน ๘ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๔๖ พระโรคกลับกำเริบอีก คราวนี้พระอาการมีแต่ทรงอยู่กับทรุดลงโดยลำดับมา จนถึงเดือน ๑๒ ประชวรหนัก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปช่วยรักษาพยาบาล(๑) มาจนถึงวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ เพลาเที่ยงคืน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคตในพระที่นั่งบุรพาภิมุข คำนวนพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ครั้นรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จไปพระราชทานน้ำสรงพระศพพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์ ทรงเครื่องพระศพตามพระเกียรติยศเสร็จแล้ว เชิญลงพระลองประกอบด้วยพระโกศไม้สิบสองหุ้มทองคำ(๒) ซึ่งโปรดฯให้สร้างขึ้นใหม่ แห่ไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พร้อมด้วยเครื่องประดับตามสมควรแก่พระเกียรติยศพระมหาอุปราช แล้วโปรดฯให้มีหมายประกาศให้คนโกนหัวไว้ทุกข์ทั่วพระราชอาณาจักร(๓)

ตรงนี้จะต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกรมพระราชวังบวรฯทรงพระประชวรจะสวรรคต ด้วยเกี่ยวข้องเนื่องกับตำนานวังหน้าในชั้นหลังต่อมา เรื่องราวเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นมีปรากฏอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดาร และพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับทั้งในเรื่องนิพพานวังหน้า พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรพระราชธิดากรมพระราชวังบวรฯ ซึ่งนักองค์อีเป็นเจ้าจอมมารดาได้ทรงนิพนธ์ไว้ พิมพ์แล้วทั้ง ๓ เรื่อง พิเคราะห์เนื้อเรื่องที่ยุติต้องกัน ได้ความดังนี้


เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสังเกตเห็นอาการที่ทรงพระประชวร มีแต่ทรงอยูกับทรุดลงเป็นอันดับมา จนพระสิริรูปซูบผอมทุพพลภาพ ทรงรำคาญด้วยทุกขเวทนาที่มีในอาการพระโรค วันหนึ่งจึงทรงอธิษฐานเสี่ยงทายพระสุธารสว่า ถ้าหากพระโรคที่ประชวรจะหายไซร้ ขอให้เสวยพระสุธารสนั้นให้ได้โดยสะดวก พอเสวยพระสุธารสเข้าไปก็มีอาการทรงพระอาเจียน พระสุธารสไหลกลับออกมาหมด แต่นั้นกรมพระราชวังบวรฯก็ปลงพระราชหฤทัยว่าคงจะสวรรคต มิได้เอาพระทัยใส่ที่จะเสวยพระโอสถรักษาพระองค์ และทรงสั่งเสียพระราชโอรสธิดา ข้าราชการในวังหน้า ตามพระอัธยาศัยให้ทราบทั่วกันว่า พระองค์คงจะเสด็จสวรรคตในไม่ช้าแล้ว

อยู่มาในกาลวันหนึ่ง ทรงระลึกถึงวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ซึ่งไฟไหม้เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๔๔ ทรงสถาปนาใหม่การยังค้างอยู่ จึงดำรัสสั่งให้เชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลื่ยง เสด็จออกมายังวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ว่าจะทรงนมัสการพระพุทธรูป ครั้นเสด็จถึงหน้าพระประธานในพระอุโบสถ ดำรัสเรียกพระแสง ว่าจะจบพระหัตถ์อุทิศถวายให้ทำเป็นราวเทียน ครั้นพนักงานถวายพระแสงเข้าไป ทรงเรียกเทียนมาจุดเรียบเรียงติดเข้าที่พระแสงทำเป็นพุทธบูชาครู่หนึ่ง ขณะนั้นพออาการพระโรคเกิดทุกขเวทนาเสียดแทงขึ้นเป็นสาหัส ก็ทรงปรารภจะเอาพระแสงแทงพระองค์ถวายเป็นพุทธบูชา พระองค์เจ้าลำดวนลูกเธอองค์ใหญ่ที่ตามเสด็จไปด้วยเข้าแย่งพระแสงเสียไปจากพระหัตถ์ กรมพระราชวังบวรฯทรงโทมนัสทอดพระองค์ลง ทรงกันแสงแช่งด่าพระองค์เจ้าลำดวนต่างๆ ในที่สุดเจ้านายและข้าราชการที่ไปตามเสด็จ ต้องช่วยกันปล้ำปลุกเชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลี่ยงกลับคืนเข้าพระราชวังบวรฯ

ต่อนั่นมาในไม่ช้าอีกวันหนึ่ง กรมพระราชวังบวรฯมีรับสั่งว่า พระราชมณเฑียรสถานได้ทรงสร้างไว้ใหญ่โตมากมายเป็นของปราณีตบรรจง ประชวรมาช้านานไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นให้รอบคอบ จะใคร่ทอดพระเนตรให้สบายพระราชหฤทัย จึงโปรดฯให้เชิญพระองค์ขึ้นทรงพระเสลี่ยงบรรทมพิงพระเขนย เชิญเสด็จไปรอบพระราชมณเฑียร กระแสรับสั่งของกรมพระราชวังบวรฯเมื่อเสด็จประพาสพระราชมณเฑียรครั้งนี้เล่ากันมาเป็นหลายอย่าง บางคนเล่าว่ากรมพระราชวังบวรฯทรงบ่นว่า "ของนี้อุตส่าห์ทำขึ้นด้วยความคิดและเรี่ยวแรงเป็นนักหนา หวังว่าจะได้อยู่ชมให้สบายนานๆ ก็ครั้งนี้จะไม่ได้อยู่แล้ว จะได้เห็นวันนี้เป็นที่สุด ต่อนี้ไปก็จะเป็นของท่านผู้อื่น" เล่ากันแต่สังเขปเท่านี้ก็มี เล่ากันอีกอย่างหนึ่งยิ่งไปกว่านี้ว่า กรมพระราชวังบวรฯรับสั่งบ่นว่า "ของใหญ่ของโตดีดีของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุนให้แรง ก็สร้างขึ้นด้วยกำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นานไปใครมิใช่ลูกกู ถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง ขอให้ผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข" ตามพระหฤทัยที่โทมนัส เล่ากันอย่างหลังนี้โดยมาก(๔)

ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า กรมพระราชวังบวรฯประชวรครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมพระประชวร เมื่อแรกเสด็จกลับลงมาจากเมืองเถินครั้ง ๑ ต่อมาเมื่อทรงทราบว่าพระอาการมาก จะเสด็จขึ้นไปรักษาพยาบาล ครั้งหลังนี้พวกข้าราชการวังหลวงจะขึ้นไปตั้งกองรักษาพระองค์ พวกวังหน้ามากีดกันห้ามปราม ไม่ยอมให้พวกวังหลวงเข้าไปตั้งกองล้อมวงลงได้ เจ้าพระยารัตนาพิพิธที่สมุหนายกต้องเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จขึ้นไปเป็นประธานจัดตั้งกองล้อมวง เจ้าพระยารัตนาพิพิธกับเจ้าพระยายมราช เดินตามเสด็จไปสองข้างพระเสลี่ยง พวกวังหน้ายำเกรงพระบารมีจึงยอมให้ตั้งกองล้อมวง

เรื่องตั้งกองล้อมวงที่ปรากฏตรงนี้ บางทีท่านผู้อ่านจะมีความสงสัยว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวรกรมพระราชวังบวรฯถึง ๒ ครั้ง ครั้งก่อนก็เป็นการเรียบร้อย เหตุใดจึงมาเกิดการเกี่ยงแย่งเรื่องล้อมวงขึ้นต่อครั้งหลัง ข้อนี้อธิบายว่าที่จริงการที่วังหลวงเสด็จขึ้นไปวังหน้านั้น โดยปกติย่อมมีเนืองๆ เหมือนดังเช่นเสด็จในงานพระราชพิธีโสกันต์ลูกเธอวังหน้าเป็นต้น แต่การเสด็จโดยปกติจัดเหมือนอย่างเสด็จวังเจ้านายต่างกรม ไม่มีจุกช่องล้อมวงเป็นการพิเศษอย่างใด แต่ครั้งหลังนั้น เพราะจะเสด็จขึ้นไปรักษาพยาบาลกรมพระราชวังบวรฯซึ่งประชวรหนักจวนสวรรคต จะประทับอยู่เร็วหรือช้าหรือจนถึงแรมค้างคืนวันก็เป็นได้ เป็นการผิดปกติ จึงต้องจัดการจุกช่องล้อมวงรักษาพระองค์ให้มั่นคงกวดขัน ฝ่ายข้างพวกวังหน้าถือว่าพวกวังหลวงเข้าไปทำละลาบละล้วงในรั้ววังลบหลู่เจ้านายของตน จึงพากันขัดแข็งเกะกะ เพราะพวกข้าราชการวังหลวงกับวังหน้ามีทิฐิถือเป็นต่างพวกต่างฝ่ายกันอยู่แล้ว

และในครั้งนั้นยังมีเหตุอื่นอีก ซึ่งทำให้พวกวังหน้ากระด้างกระเดื่อง เนื่องมาแต่ครั้งรบพม่าที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๔๐ คราวนั้นโปรดฯให้กรมพระราชวังบวรฯเสด็จเป็นจอมพล เจ้านายไปตามเสด็จมีกรมพระราชวังหลัง เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ และกรมขุนสุนทรภูเบนทร์(๕) กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต ๒ พระองค์นี้เป็นลูกเธอชั้นผู้ใหญ่ของกรมพระราชวังบวรฯ พึ่งจะออกทำสงครามในครั้งนั้น กรมพระราชวังบวรฯเสด็จขึ้นไปถึงเมืองเถิน ทรงจัดกองทัพที่จะยกไปรบพม่าที่มาตั้งล้อมเมืองเชียงใหม่เป็น ๔ ทัพ ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงหริรักษ์ กับพระยายมราชคุมกองทัพวังหลวงยกไปทัพ ๑ ให้กรมขุนสุนทรภูเบนทร์กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัตคุมกองทัพวังหน้ายกไปทัพ ๑ ให้เจ้าอนุอุปราชซึ่งยกกองทัพเมืองเวียงจันทน์มาช่วยยกไปทัพ ๑ แล้วให้กรมพระราชวังหลังยกไปเป็นทัพหนุนอีกทัพ ๑ การสงครามครั้งนั้นต่างทัพต่างทำการรบพุ่งประชันกัน มีชัยชนะตีกองทัพพม่ายับเยิน จนจับได้อุบากองนายทัพพม่าคน ๑

ต่อมาถึงปีจอ พ.ศ. ๒๓๔๕ พม่ายกกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่อีก จึงโปรดฯให้กรมพระราชวังบวรฯเสด็จเป็นจอมพล และจัดกองทัพให้เหมือนครั้งก่อน เว้นแต่กรมพระราชวังหลังไม่ได้เสด็จขึ้นไปในชั้นแรก กรมพระราชวังบวรฯเสด็จขึ้นไปถึงเมืองเถิน ไปประชวรในคราวที่จะสวรรคตนี้ กองทัพเจ้าอนุเวียงจันทน์ก็ยกมาไม่ทันกำหนด กรมพระราชวังบวรฯจึงทรงจัดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์กับพระยายมราชคุมกองทัพวังหลวงยกขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ทางเมืองลี้ทัพ ๑ ให้กรมขุนสุนทรภูเบนทร์กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัตและพระเสน่หาภูธร ชื่อทองอิน ภายหลังได้เป็นพระยากลาโหมราชเสนา เป็นคนซึ่งกรมพระราชวังบวรฯทรงพระเมตตาเหมือนอย่างพระราชบุตรบุญธรรม คุมกองทัพวังหน้าขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ทางเมืองนครลำปางอีกทัพ ๑

ข้างฝ่ายกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทราบข่าวกรมพระราชวังบวรฯประชวร โปรดฯให้กรมพระราชวังหลังเสด็จตามขึ้นไป กรมพระราชวังบวรฯจึงให้กรมพระราชวังหลังคุมกองทัพหนุนขึ้นไปอีกทัพหนึ่ง กองทัพที่ยกขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ครั้งนี้ ทัพหลวงที่ไปทางเมืองลี้ไปเข้าใจผิดถอยลงมาเสียคราวหนึ่ง จนทัพวังหน้าตีได้เมืองลำพูนจึงยกตามขึ้นไปตั้งประชิดค่ายพม่าที่ล้อมเมืองเชียงใหม่ ครั้นกรมพระราชวังหลังเสด็จขึ้นไปถึง มีรับสั่งให้กองทัพยกเข้าระดมตีค่ายพม่าพร้อมกัน กองทัพวังหน้าก็ตีได้ค่ายพม่าก่อน ต่อพวกวังหน้าชนะแล้วทัพวังหลวงจึงตีค่ายได้

กรมพระราชวังบวรฯทรงขัดเคืองกองทัพวังหลวง ดำรัสบริภาษติเตียนต่างๆแล้วปรับโทษให้ขึ้นไปตีเมืองเชียงแสนแก้ตัว ด้วยกันกับกองทัพเจ้าอนุเวียงจันทน์ซึ่งยกมาไม่ทันรบพม่าที่เมืองเชียงใหม่ การสงครามคราวนี้จึงเป็นเหตุให้พวกวังหน้าที่เป็นตัวสำคัญ คือพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต และพระยากลาโหมทองอิน ซึ่งเป็นพวกรุ่นหนุ่มไปมีชื่อเสียงมาในคราวนี้ เกิดดูหมิ่นพวกวังหลวงว่าในการรบพุ่งทำศึกสงครามสู้พวกวังหน้าไม่ได้ ข้างพวกวังหลวงเมื่อเห็นพวกวังหน้าดูหมิ่นก็ต้องขัดเคือง จึงเลยเป็นเหตุให้ไม่ปรองดองกันในเวลาเมื่อจะตั้งกองล้อมวงเตรียมรับเสด็จ

 

แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปถึงพระราชวังบวรฯ ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จพระอนุชาธิราชประชวรมาก ก็ทรงพระอาลัยและทรงพระกันแสงรำพรรณต่างๆ พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรเฝ้าอยู่ในที่นั้น ได้ทรงพรรณนาไว้ในกลอนเรื่องนิพพานวังหน้าเป็นน่าจับใจ จึงคัดมาลงไว้ต่อไปนี้

"พระปิตุลาปรีชาเฉลียวแหลม
ขยายแย้มสั่งให้ห้อยมณฑาหอม
พระโองการร่ำว่านิจาจอม
ถนอมขวัญตรัสโอ้พระอนุชา

ว่าพ่อผู้กู้ภพทั้งเมืองพึ่ง
จงข้ามถึงพ้นโอฆสงสาร์
ดำรงจิตคิดทางพระอนัตตา
อนาคตนำสัตว์เสวยรมย์

ครั้งทรงสดับโอวาทประสาทสอน
ค่อยเผยผ่อนเคลื่อนคล้อยอารมณ์สม
แต่หนักหน่วงห่วงหลังยังเกรงกรม
ประนมหัตถ์ร่ำว่าฝ่าละออง

บุญน้อยมิได้รองยุคลคืน
ยิ่งทรงสะอื้นโศกสั่งกันทั้งสอง
จึงทูลฝากพระนิเวศน์ที่เคยครอง
ประสิทธิ์ปองมอบไว้ใต้ธุลี

ฝากหน่อขัตติยานุชาด้วย
จงเชิญช่วยโอบอ้อมถนอมศรี
แต่พื้นพงษ์จะพึ่งพระบารมี
จงปรานีนัดดาอย่าราคิน

เหมือนเห็นแก่นุชหมายถวายมอบ
จะนึกตอบแต่บุญการุญถวิล
ก็จะงามฝ่ายุคลไม่มลทิน
ก็เชิญผินนึกน้องเมื่อยามยัง

อนึ่งหน่อวรนาถผู้สืบสนอง
โปรดให้ครองพระนิเวศน์เหมือนปางหลัง
อย่าบำราศให้นิราแรมวัง
ก็รับสั่งอวยเออพระโองการ

จึงตรัสปลอบพระบัณฑูรอาดูรด้วย
ว่าจะช่วยเอาธุระแสนสงสาร
เป็นห่วงไปไยพ่อให้ทรมาน
จะอุ้มหลานจูงลูกไม่ลืมคำ

อันเยาวยอดสืบสายโลหิตพ่อ
พี่ตั้งต่อสุจริตอุปถัมภ์
ครั้นทรงสดับแน่นึกสำเนาคำ
ก็คลายร่ำทุกข์ถ้อยบรรเทาทน"

เนื้อความตามที่ปรากฏในกลอนของพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร ก็ตรงกับคำที่เล่ากันมา ว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นไปเยี่ยมประชวร กรมพระราชวังบวรฯกราบทูลฝากพระโอรสธิดา แล้วกราบทูลขอให้ได้อยู่อาศัยในวังหน้าต่อไป บางทีความข้อหลังนี้เองจะเป็นเหตุให้พระองค์เจ้าลำดวน และพระองค์เจ้าอินทปัตเข้าพระทัยไปว่า พระราชบิดาได้ทูลขอให้ลูกเธอได้ครองวังหน้า อย่างรับมรดกกันในสกุลคนสามัญ ไม่รู้สึกว่าเป็นพระราชวังสำหรับพระมหาอุปราช ครั้นเมื่อกรมพระราชวังบวรฯเสด็จสวรรคตแล้ว ไม่ได้เข้าไปครองวังหน้าดังปรารถนา จึงโกรธแค้นคบคิดกันช่องสุมหากำลังจะก่อการกำเริบ

ในชั้นแรกมีความปรากฏทราบถึงพระกรรณแต่ว่า พระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต เกลี้ยกล่อมหาคนดีมีวิชาอยู่คง ไปลองวิชากันที่ในวังในเวลากลางคืนเนืองๆ บางทีลองวิชาพลาดพลั้งถึงผู้คนล้มตายก็เอาศพซ่อนฝังไว้ในวังนั้น เพื่อจะปิดความมิให้ผู้อื่นได้รู้

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยังทรงแคลงพระทัยอยู่ ให้แต่งข้าหลวงปลอมไปเข้าเป็นสมัครพรรคพวกของพระองค์เจ้าทั้งสองนั้น ก้ได้ความสมจริงดังำที่กล่าว จึงโปรดฯให้จับมาชำระ ได้ความว่าคบคิดกับพระยากลาโหมทองอินด้วย ครั้นจับพระยากลาโหมกับพรรคพวกที่เข้ากันมาชำระ จึงให้การรับเป็นสัตย์ว่าคบคิดกันจะทำร้ายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อวันเสด็จพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯ

และทำนองถ้อยคำซึ่งกรมพระราชวังบวรฯได้ตรัสว่าประการใดเมื่อเวลาทรงพระประชวร ก็เห็นจะปรากฏขึ้นในเวลาชำระกันนี้ จึงเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงน้อยพระทัยในสมเด็จพระอนุชาธิราช ว่าเพราะผู้ใหญ่พูดจาให้ท้ายเช่นนั้นเด็กจึงกำเริบ แต่แรกดำรัสว่าจะไม่ทำพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯ

แต่ครั้นคลายพระพิโรธลงก็โปรดฯให้ทำพระเมรุใหญ่ตามเยี่ยงอย่างพระเมรุพระมหาอุปราชครั้งกรุงเก่า แต่ดำรัสให้เชิญพระบรมสารีริกธาตุออกสมโภชที่พระเมรุเป็นพุทธบูชาเสียก่อน ไม่ให้เสียพระวาจาที่ว่าจะไม่ทำพระเมรุกรมพระราชวังบวรฯ
ครั้นพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรฯแล้ว จึงโปรดฯให้เชิญพระอัฐิไปประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งวายุสถานอมเรศ อันเป็นพระวิมานกลางในหมู่มหามณเฑียรในพระราชวังบวรฯ จึงเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิแต่นั้นมา ส่วนการพระเมรุแต่นั้นก็เลยเป็นประเพณี เวลามีงานพระเมรุท้องสนามหลวงจึงเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกสมโภชก่อนงานพระศพ สืบมาจนรัชกาลหลังๆ 

 

 

 

************************************* 

 

 

 

 

5/10

ดังนั้น ในช่วง 3 ปีแรก จึงถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดที่ คุณพ่อคุณแม่จะต้องพยายามสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับลูกให้มากที่สุด เพื่อการพัฒนาสมองของลูกให้เต็มศักยภาพและต่อเนื่อง โดยจำเป็นต้องส่งเสริมการกระตุ้นให้ลูกได้ฝึกใช้งานสมองทั้งสองซีก ด้วยการส่งเสริมให้ลูกเล่นหรือทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อคงสมองส่วนที่ทำงานเอาไว้ อาทิ การต่อบล็อกไม้ การต่อภาพจิ๊กซอว์ เพื่อฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ ในขณะที่การวาดภาพระบายสี การปั้นดินน้ำมัน หรือการร้องเพลงจะช่วยส่งเสริมด้านจินตนาการ เป็นต้น

 

 

 

 

6/10

ปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งเทคนิคที่ได้รับความนิยมที่เรียกว่า ‘Mind Maps’ หรือ แผนผังความคิดซึ่งเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสมองทั้งสองซีกอย่างสมดุล ที่สำคัญเทคนิค Mind Maps นี้ ยังมีส่วนช่วยให้แสนล้านเซลล์สมองของเด็กสามารถพัฒนาได้ก้าวหน้าเร็วขึ้น

 

 

 

7/10

Mind Maps หรือแผนผังความคิด คือ เทคนิคที่ช่วยจัดระบบความคิด โดยเชื่อมต่อทั้งส่วนตรรกะและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมทั่วโลก หากคุณพ่อคุณแม่เลือกใช้เทคนิค Mind Maps มาเป็นเครื่องมือในการสอนลูกน้อย จะเป็นการช่วยกระตุ้นให้ลูกได้ฝึกใช้งานสมองทั้งสองซีก ส่งเสริมการเรียนรู้ จดจำ และวิเคราะห์ สามารถต่อยอดสู่การเรียนรู้ไร้ขีดจำกัด

นอกจากนี้ การจดโน้ต และการใช้แผนผังความคิดแนวเดียวกับ Mind Maps ถูกพบในชิ้นงาน และบันทึกของอัจฉริยะบุคคลระดับโลก ได้แก่ ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และวินสตัน เชอร์ชิล เป็นต้น

 

 

 

 

 

 

8/10

นอกจากนี้ โภชนาการก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสมอง การที่ลูกได้รับโภชนาการที่ดีและเหมาะสมกับวัยจะส่งผลต่อระบบการทำงานของสมองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นการกระตุ้นให้เซลล์สมองเกิดการเชื่อมต่อ สร้างเครือข่ายใยประสาทให้มากขึ้น โดยสารอาหารสำคัญซึ่งช่วยในการพัฒนาสมอง ได้แก่ DHA (ดีเอชเอ) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ และเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง พบได้ในน้ำนมแม่ ซึ่ง DHA ในน้ำนมแม่มาจากสารอาหารที่คุณแม่รับประทานเข้าไป คุณแม่ที่ให้นมบุตรจึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มี DHA สูง อย่างเช่น ปลาทะเลน้ำลึก และควรเน้นให้ลูกได้รับนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน หลังจากนั้นอาจต้องเสริมเพิ่มเรื่องของอาหารเสริมเข้ามานพ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม

 

9/10

ดังนั้น สมองของลูกน้อยจะเจริญเติบโต พัฒนา และเชื่อมต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น

จะต้องได้รับการส่งเสริมที่เหมาะสม ทั้งด้านโภชนาการและการเลี้ยงดู รวมถึงการฝึกคิดอย่าง

เป็นระบบหรือจัดสรรกระบวนการคิดที่กระตุ้นให้ได้ใช้สมองทั้งสองซีกอยู่เป็นประจำ เพื่อนำไป

สู่การสร้างอัจฉริยภาพของลูกน้อย

 

 

 

 

10/10

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก

http://www.babiesgenius.com/contents/aboutus.html

 

 

 

 

 

************************************************

 

guest

Post : 2013-05-31 22:39:05.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เลือดท่วมเทียนอ้นเหมิน

 

 

 

        เลือดท่วมเทียนอันเหมิน

 

 

 

 

 

 

>>เหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน


 

 

การชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เป็นเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินระหว่างวันที่ 15 เมษายน - 4 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ซึ่งนำไปสู่การนองเลือด นักศึกษาชาวจีนร่วมชุมนุมกันในครั้งนั้นเพื่อต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์จีน เรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ มีผู้เข้าร่วมถึงหลักแสน ตัวเลขผู้เสียชีวิตไม่ได้มีการบันทึกไว้ โดยมีข่าวลือกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณสองพันห้าร้อยคน บาดเจ็บ 7,000-10,000 คน แต่การประท้วงนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ผู้นำจีนในขณะนั้น

มีนายเติ้งเสี่ยวผิงเป็นผู้นำ นายหลี่เผิงเป็นนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คือนายจ้าวจือหยาง ซึ่งได้ทำการเจรจากับนักศึกษาที่ชุมนุมประท้วง แต่นักศึกษายืนกรานให้รัฐบาลลาออกหรือเปลี่ยนแปลงการปกครอง นายเติ้งเสี่ยวผิงและนายหลี่เผิงไม่ยอมตามคำเรียกร้องเพราะเชื่อว่ามีชาติตะวันตกมาอยู่เบื้องหลังเพื่อล้มล้างพรรคคอมมิวนิสต์

ภาพรถถังออกมาปราบนักศึกษาจีนที่เรียกร้องประชาธิปไตย

Tiananmen_tank1.jpg
 
 

เป็นภาพประวัติศาสตร์หนึ่งในหลายๆภาพของเหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัส เทียนอันเหมิน เมื่อมีชายนิรนามออกไปยืนขวางขบวนรถถังที่กำลังมุ่งหน้า ไปบดขยี้กลุ่มผู้ชุมนุม

 

เทียนอันเหมินสีเลือด.....เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นเกิดในเดือนพฤษภาคม ปี 2532 โดยนักศึกษาและประชาชนได้ชุมนุมเรียกร้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบคอมมิวนิสต์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย

 

 
จัตุรัสเทียนอันเหมิน.........จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก 
 
 

ผู้นำสูงสุดของจีนในขณะนั้นคือ คนโตตัวเล็ก เติ้งเสี่ยวผิง เจ้าของวาทะอันลือลั่น.....จะเป็นแมวขาวหรือแมวดำไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้เป็นพอ.....ซึ่งหมายถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจของเติ้ง จากแบบคอมมูนหรือคอมมิวนิสต์มาเป็นทุนนิยม แต่ก็คงการปกครองแบบคอมมิวนิสต์อย่างเหนียวแน่น

 

ภาพนักศึกษาประท้วง

 

ขณะนั้น เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คือ นายจ้าวจือหยาง นายกรัฐมนตรีคือ นายหลี่เผิง ได้ทำการเจรจากับนักศึกษาให้ทำการยุติการชุมนุมประท้วง อย่างสันติวิธี แต่นักศึกษาก็ยืนกรานให้คณะรัฐบาลลาออกหรือทำการเปลี่ยนการปกครอง และดูเหมือนว่า เลขาฯจ้าว จะมีความเห็นใจนักศึกษามากกว่านายกฯหลี่เผิง

 

เลขาฯ จ้าวจือหยาง

 

ภาพ....นายกฯหลี่เผิง

 

รถถังพร้อมทหาร ขณะเตรียมการบดขยี้ผู้ชุมนุม

 

เหตุการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น เพราะมีผู้เข้าร่วมประท้วงหลายแสนคน เติ้งเสี่ยวผิงและนายหลี่เผิงแข็งกร้าวไม่ยอมตามคำเรียกร้อง เพราะเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีฝ่ายตะวันตกโดยเฉพาะซีไอเอ เข้ามายุยงส่งเสริม เพื่อล้มล้างพรรคคอมมิวนิสต์ จึงได้มีคำสั่งปลด นายจ้าวจือหยาง ออกจากตำแหน่ง พร้อมกักบริเวณภายในบ้านพัก จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่นานมานี้

 

สัญญลักษณ์ประชาธิปไตยที่กลุ่มผู้ชุมนุมหล่อขึ้น คล้ายกับอนุสาวรีย์เทพีแห่งเสรีภาพของอเมริกา

 

 

ภาพประธานเหมาเจ๋อตง ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน แขวนอยู่บริเวณจตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นมีนักศึกษาเอาสีไปป้ายภาพ ทำให้ต้องเปลี่ยนภาพใหม่

 

 

การชุมนุมประท้วงและการเจรจากับรัฐบาล ยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความห่วงใยของนานาประเทศว่า รัฐบาลชองเติ้งเสี่ยวผิง จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร

 

 
ในขณะที่ความตึงเครียด ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินดำเนินต่อไปท่ามกลางความห่วงใยของนานาประเทศ อีกด้านหนึ่งที่ฝรั่งเศส แฟนเทนนิสทั่วโลกก็กำลังตื่นเต้นกับการแข่งขันเทนนิสคอร์ตดินแกรนสแลมแรกของปี ลุ้นว่าใครจะครองถ้วยตำแหน่งแชมป์ชายเดี่ยวของปีนี้

 

การชุมนุมประท้วงดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด ล่วงเลยเข้าต้นเดือนมิถุนายน 2532......และแล้วเหตุการณ์โลกตะลึงก็เกิดขึ้น เมื่อมีภาพข่าวที่เล็ดลอดออกแพร่ไปทั่วโลก ในเย็นของวันนั้น เป็นภาพแสงไฟจากลูกปืนพุ่งเข้ากลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมเสียงปืนเป็นระยะๆ ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นทันที ผู้ชุมนุมต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดกันอลหม่าน เมื่อมีขบวนรถถังพุ่งเข้าไป

 

 
ทหารและรถถังกราดยิงผู้ชุมนุมเป็นระยะๆ เพื่อจะสลายการประท้วงที่ยืดเยื้อเป็นแรมเดือนให้สิ้นซาก มีการต่อสู้เกิดขึ้นระหว่างทหารและผู้ชุมนุม มีการจุดไฟเผารถถัง ลากตัวทหารออกมาทำร้ายเผาทั้งเป็น น่าเวทนายิ่ง สูญเสียเลือดเนื้อกันทั้งสองฝ่าย

 

 
หวังตัน แกนนำ นักศึกษาคนหนึ่ง ถูกจำคุกหลายปี ก่อนได้รับการปล่อยตัว แต่ต้องถูกเนรเทศไปอยู่ต่างประเทศ จนปัจจุบันนี้

 

 
 
หวังตัน
ล้มตาย

 

 
อเมริกากล่าวโจมตีรัฐบาลจีนของเติ้งเสี่ยวผิงว่า ป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรม พร้อมเรียกร้องให้นานาประเทศเลิกติดต่อค้าขาย ทางด้านกลุ่มอียูก้มีมาตรการห้ามค้าขายด้านอาวุธกับจีนภายใต้การกดดันจากอเมริกา จนกระทั่งปัจจุบัน จีนกล่าวโต้ตอบว่าเป็นเรื่องภายในอันละเอียดอ่อน ชาติอื่นไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยว

 

ประท้วง

 

 

In 1989, Michael Chang became the first American since 1955 to win the French Open. Here, he plays a shot during the 1997 event before retiring from professional tennis in 2003.

 

ต่อมาไม่กี่วัน เฟรนช์โอเพ่น ก็ได้คู่ชิงชายเดี่ยว

คู่ชิงคือ ไมเคิล ชาง ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน กับ สเตฟาน เอดเบิร์ก จากสวีเดน

การแข่งขันต้องสู้กันถึง 5 เซต และเซตสุดท้าย ไมเคิล ชาง ก็เอาชนะไปได้หวุดหวิด

กลายเป็นนักเทนนิสในประวัติศาสตร์ที่ครองถ้วยเฟรนช์โอเพ่นที่อายุน้อยที่สุด

และครองตำแหน่งมือสองของโลกหลายปี

พิธีมอบถ้วย ผู้ชมถามถึงเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมิน ไมเคิล ชาง ก็กล่าวเสียใจที่เกิดการนองเลือดขึ้น

 

ประชาธิปไตยที่ได้มา บางครั้งต้องเเลกมาด้วย เลือด น้ำตา เเละชีวิตของนักสู้ที่ไร้ซึ่งเหรียญกล้าหาญที่จะไว้ประดับให้ชาวโลกได้รับรู้ สิ่งที่เขาเหล่านั้นต้องการสูงสุดก็คืออิสรภาพเเละความยุติธรรม...............

 

 

          เพลงเเดนตาราง

 

 

 

 

 

 

********************************

 

 

'ชวน' เตือนรัฐบาลเดินนโยบายดับไฟใต้ผิดพลาดวอนรัฐบาลดูแลภาคใต้บ้าง คนใต้เสียภาษีให้รัฐสูงสุด...

 

Pic_348862

 

 

"ชวน หลีกภัย"สอน"รัฐบาล"อย่าเอาน้ำมันไปราดกองไฟ เชื่อเหตุรัฐเดินนโยบายผิดพลาด วอน ให้ดูแลพี่น้องคนภาคใต้ เชื่อปัญหาไม่รู้จะจบเมื่อไหร่

เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ศาลาประชาคม อ.สะเดา จ.สงขลา นายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ และประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์พร้อมด้วย นายสมโมท สหกโร ผู้อำนวยสำนักงาน กศน.นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต สส.สงขลา ร่วมงานวันเปิดโลกเรียนรู้ผู้สูงอายุในสังคมพาหุวัฒนธรรม

นายชวน กล่าวว่า วอนรัฐบาลดูแลภาคใต้บ้าง คนใต้เสียภาษีให้รัฐสูงสุด รองจากกรุงเทพมหานคร และภาคกลาง และอัตราการจัดเก็บภาษีศุลกากรการส่งออกมากที่สุดในทุกภาค แต่ปัญหาเรื่องการพัฒนาภูมิภาคเขตนี้ กลับไม่ได้รับการเหลียวแล เช่นถนนหลักสู่ภาคใต้ เรื่องการศึกษา เรื่องยางพาราตกต่ำ เรื่องพัฒนาประเทศที่ล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศมาเลเซีย มีการโยนกันไปโยนกันมาระหว่างรัฐบาลชุดที่แล้ว เรื่องสถานการณ์ในสามจังหวัดที่เกิดความรุนแรงเป็นแบบทวีคูณ ซึ่งมีพ่อแม่พี่น้องชาวมุสลิม และชาวไทยพุทธ เสียชีวิตมากมาย พระสงฆ์ โต๊ะอิหม่าม ครู ทหารตำรวจ รองผู้ว่าฯ พยาบาล เสียชีวิตแทบทุกสาขาอาชีพแล้ว ยกเว้นหมอ และนายแพทย์ที่ยังไม่เสียชีวิต ทุกคนอยู่ด้วยความหวาดระแวง คนไทยหวาดระแงคนมุสลิม คนมุสลิมหวาดระแวงคนไทยพุทธ และไม่รู้ว่าปัญหาจะจบเมื่อไหร่ เพราะนโนบายที่เดินผิดพลาดของรัฐ ทั้งที่ไฟใกล้มอดแล้วแต่เอาน้ำมันไปราดกองไฟ

ผู้สื่อขาวรายงานว่า ในช่วงท้าย นายชวน ยังได้กล่าวถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ว่าปัจจุบัน"ป๋าเปรม"อายุ 90 ปีแล้วยังแข็งแรง เพราะการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ไม่กินหวานไม่กินเค็ม เพราะถ้ากินเค็มมากโรคไตจะถามหา และทานหวานมากน้ำตาลในเลือดขึ้นสูง กลายเป็นโรคเบาหวาน ควรออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรง และสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งทุกคนจะต้องถึงวัยผู้สูงอายุ อยู่อย่างไรให้สังคมโลกปัจจุบันที่มีแต่ความเร่งรีบ หันมาบริโภคพืชผักที่ปลอดสารพิษ ใครมีเนื้อที่ว่างมีเวลาควรปลูกผักไว้กินเองดีกว่า.

 

 

 

ข้อมูลคนใต้เสียภาษีสูงสุดเอามาจากไหนนายชวน ตอแหลเสียละมากกว่า

 

 

จังหวัดที่จ่ายภาษีอากรสูงสุดและต่ำสุด 5 อันดับแรก ในปีงบประมาณ 2553

 

 

 

 

 

********************************************

 

 

                                                        กลิ่นตัว

 

รู้ไปโม้ด
โดย...น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สรุปได้ว่ากลิ่นตัวส่วนใหญ่ของคนเราเกิดขึ้นจากบริเวณที่มักขับเหงื่อออกมามากที่สุด คือที่อับชื้น ได้แก่ รักแร้ ซอกขา ซอกนิ้วเท้า ข้อพับต่างๆ แต่ด้วยเป็นจุดอับ เวลาเหงื่อออกจึงระเหยออกไปได้ยาก ทำให้เกิดการหมักหมมเป็น กลิ่นเหม็น กลิ่นตัวของคนจะแรงขึ้นเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นเนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ นอกจากนี้อาหารบางชนิด เช่น ไขมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ สะตอ กระเทียม หอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ตลอดจนยาบางชนิด ก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน เช่น การใช้ยารักษาสิวที่มีสารเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) ผสมอยู่เป็นประจำ รวมถึงโรคประจำตัว ทั้งท้องผูก ตับอักเสบ ไต เบาหวาน พยาธิในระบบทางเดินอาหาร และมะเร็ง ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัว



วิธีกำจัดกลิ่นตัว เริ่มจากปรับพฤติกรรมกำจัดกลิ่น 1.รักษาความสะอาด อาบน้ำให้สะอาด สวมเสื้อผ้าสะอาด โดยเลือกเนื้อผ้าที่ใช้เส้นใยจากธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ระบายเหงื่อได้ดี 2.ผ่อนคลายความเครียด บางครั้งความเครียดก็มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน เพราะร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลินออกมา 3.ทำดี ท็อกซ์ การสะสมสารพิษในร่างกายก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัว ปัญหานี้ช่วยได้ด้วยการทำดีท็อกซ์ 4.ไม่ควรขัดผิวบ่อยๆ เพราะจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์กับร่างกายถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นตัวง่าย ดังนั้น ขัดผิว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ



การลดปัญหากลิ่นตัวด้วยอาหาร 1.กินอาหารหลากหลาย กินโปรตีนจำพวกธัญพืชต่างๆ ผักสดทั้งใบเขียวและใบเหลือง ผลไม้สด โดยเฉพาะแก้วมังกรวันละ 1 จานเล็กจะช่วยได้ดี หรือน้ำคั้นสดจากผักและผลไม้ รวมทั้งกินอาหารที่มีธาตุสังกะสีหรือแมกนีเซียม เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต และอาหารทะเล 2.เลี่ยงการกินอาหารที่มีกลิ่นแรง และเครื่องเทศต่างๆ รวมถึงเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 3.เลี่ยงอาหารก่อพิษจำพวกเนื้อสัตว์ใหญ่ ทั้งหมู เนื้อ ไก่ ไข่ ตับ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง เพราะจะทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังขับไขมันออกมามาก โดยเฉพาะใต้วงแขน และที่สำคัญจะก่อให้เกิดสารตกค้างในลำไส้ ทำให้เหงื่อมีกลิ่นเฉพาะตัว



การใช้สมุนไพรระงับกลิ่น 1.ใบพลู นำใบพลูมาขยี้แล้วทารักแร้หลังอาบน้ำ เพราะใบพลูมีสรรพคุณฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้หลายชนิด 2.ใบฝรั่ง ใช้ได้ทั้งระงับกลิ่นปากและกลิ่นตัว นำใบฝรั่งประมาณ 10 ใบ มาโขลกให้ละเอียดแล้วทารักแร้ ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วอาบน้ำให้สะอาด 3.มะนาว ใช้มะนาวผ่าซีกทาบริเวณรักแร้ขณะอาบน้ำแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 4.มะขามเปียก คั้นน้ำมะขามเปียกปริมาณพอเหมาะ จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำมะขามแทนสบู่ตอนอาบน้ำ มะขามเปียกจะช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการหมักหมม



การใช้สารพัดสารขจัดกลิ่น 1.สารส้ม ใช้สารส้มถูทาที่รักแร้หลังจากอาบน้ำทุกครั้ง โดยทาขณะที่รักแร้ยังเปียกอยู่ 2.สารส้มและพิมเสน นำสารส้มสะตุผสมพิมเสนอย่างละเท่าๆ กัน บดให้ละเอียดแล้วผสมแป้งฝุ่นหรือดินสอพอง หยดน้ำลงไปนิดหน่อยทาที่รักแร้ปล่อยให้แห้ง 3.ปูนแดง ใช้ปูนแดงผสมน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ เพื่อใช้ความเป็นด่างของปูนแดงช่วยปรับภาวะกรดในร่างกายที่ขับแบคทีเรียออกมาบนผิวหนัง (อย่าใช้ปูนแดงปริมาณมากเกินไปเพราะจะทำให้กัดผิวได้) 4.สารสกัดจากสะระแหน่ หยดน้ำมันที่สกัดจากสะระแหน่ 2-3 หยดใส่ลงในน้ำอาบ สะระแหน่มีคุณสมบัติเป็นยาดับกลิ่นตามธรรมชาติอยู่แล้ว



และยังมีวิตามินต้านกลิ่นกาย 1.วิตามินบี 1 ปริมาณ 50 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งไปในระยะหนึ่งก่อน เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นแล้วให้ลดลงเหลือปริมาณ 20-30 มิลลิกรัม วันละครั้งติดต่อกันประมาณหนึ่งปี ทั้งนี้ เพื่อควบคุมอาการ 2.วิตามินบีคอมเพล็กซ์ 25,000 I.U. หนึ่งวันต่อสัปดาห์ 3.วิตามินซี เพื่อผ่อนคลายความเครียดอันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นกาย นอกจากนี้ควรกินวิตามินบี 6 แมกนีเซียมและสังกะสีในปริมาณที่พอเหมาะร่วมด้วย
 

 

 

 **********************************************

 

 

 

 

  

 

 

 

นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียค้นพบซากแมมมอธที่ยังมีเลือดและเนื้อเยื่อที่สมบูรณ์ ซึ่งเชื่อว่าจะมีอายุเก่าแก่ราว 10,000 - 15,000 ปีก่อน ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มคิดจะสานฝันการโคลนนิ่งสัตว์สมัยจูราสิก พาร์คให้กลับมามีชิวตอีกครั้งในโลกปัจจุบัน

 

โดยระหว่างที่กำลังเจาะก้อนน้ำแข็งใต้ท้องของเจ้าแมมมอธก็มีเลือดจำนวนหนึ่งไหลออกมา ซึ่งแสดงว่าเลือดของแมมมอธไม่แข็งตัว แม้อุณภูมิจะต่ำถึง-17 องศา

 

นายเซเมียน กริกอรีฟ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แมนมอธ ของมหาวิทยาลัยนอร์ธ-อีสต์เทิร์น เฟเดอรอล (North Eastern FederalUniversity) ระบุว่าพวกเขาได้เอาเลือดตัวอย่างที่เก็บได้ไปไว้ในตู้เย็นของพิพิธภัณฑ์แล้วแต่ทางศูนย์ยังต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

 

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าตัวอย่างเลือดที่เก็บได้มาน่าจะมีสารที่มีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้เจ้าแมมมอธตัวนี้ทนความหนาวได้

 

ทั้งนี้ความพยายามที่จะโคลนแมมมอธนั้นมีมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 แล้ว โดยใช้ตัวอย่างจากเนื้อเยื่อที่สมบูรณ์น้อยกว่านี้การค้นพบเลือดที่ยังคงอยู่ในสภาพที่เป็นของเหลวจะช่วยให้โอกาสในการฟื้นฟูแมมมอธที่เคยสูญพันธุ์ให้กลับคืนมาบนโลกมีความเป็นไปได้มากขึ้น

 

 

****************************************

 

 

                            ถวิล เปลี่ยนศรี

 

 
ตอนคุณมา คุณมาอย่างไง ข้าราชการส่วนมากถ้าได้เจริญเติบโตมาตามครรลอง ก็จะไม่ชีเรียสเรื่องตำแหน่ง นั่งอยู่ที่ไหนก็ทำงานในตำแหน่งนั้นได้เสมอ และสามารถทำได้ดีด้วยในทุกตำแหน่ง

นายถวิล เปลี่ยนศรี คุณเป็นข้าราชการแท้จริงหรืออิงเจ้านาย การขึ้นมาในตำแหน่งเลขา สมช.ของคุณ คุณก็ให้นายคุณเตะโด่ง เลขฯ พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา ไปนั่งเป็นที่ปรึกษานายกฯเหมือนกันกับคุณ คุณไม่รู้สึกถึงความช้ำในใจของอดีตนายคุณเลย คุณบอกคุณคิดแค่เป็นบุญคุณนายใหญ่นักการเมืองของ คุณที่ทำให้คุณได้เป็นเลขาสมใจคุณ(คนใต้นี่รักและบูชาช่วยเหลือคนบ้านเดียวกันดีนะ)

แต่ พล.ท.สุรพล เขาเป็นลูกผู้ชายเขารู้วิถีของข้าราชการประจำ เขาเลยไม่ออกมาร้องโวยวายฟ้องศาลเหมือนคุณ แต่พอคุณโดนเข้ากับตัวเอง
อัยยะรับไม่ได้เลย รับไม่ได้เลย มันรังแกกัน อย่างที่สังคมรู้กัน

อนาคตหลังเกษียรคงได้ เป็นเลขาพรรค ปชป.นะ ลูกพี่คุณอีกคนก็สุดยอดนะสอนการวางแผนมาดีจริงๆ (คนคาบไปร์น่ะ)

 

 

 

 

 

  

 

**************************************

 

 

 

 

 

                                                   

 

 

 

  

 

 

 

 

ขณะนี้ไม่แน่ใจว่าบ้านเราได้ย่างเข้า สู่หน้าฝนหรือยังแต่ที่รู้ๆ คือเดี๋ยวมีฝน เดี๋ยวอากาศร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมีผลต่อการใช้รถแน่นอน “ร.ย.ส.ท.” (ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย) มีเรื่องพื้นฐานของรถที่ต้องทำเมื่อขับรถเจอ “น้ำฝน” การดูแล ระบบต่างๆ ของรถและเครื่องยนต์ให้มีสภาพสมบูรณ์ เพราะรถเสียกลางฝน ย่อมลำบากและยุ่งยากกว่าตอนฝนไม่ตก สิ่งที่ต้องดูแลไม่ว่าจะเป็น

 

1. ระบบการปัดน้ำฝน


น้ำฉีดกระจกควรเติมให้เต็ม ถ้ารูหัวฉีดน้ำตันให้ใช้เข็มขนาดเล็กแหย่สวนทางเข้าไป ยางใบปัดน้ำฝน ควรหมั่นตรวจดูว่ายางหมดสภาพการใช้งานหรือยัง บางคันยางนี้อยู่ได้ถึง 1-2 ปีหรือกว่านั้น แต่โดยเฉลี่ยทุก 1 ปีควรเปลี่ยนใหม่ การทนขับรถกระจกมัวๆท่ามกลางสายฝน เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

 

2. ยางล้อรถสำคัญมาก


ความลึกของร่องยางหรือความสูงของดอกยาง มีผลต่อประสิทธิภาพของการรีดน้ำของยาง ยางที่ยังถูกรีดขึ้นมาจาหน้ายางแทรกตัวอยู่ หรือสะบัดออกด้านข้างทั้งสองของแก้มยาง ร่องยางหรือดอกยาง ควรเหลือไม่ต่ำกว่า 1.5-2 มิลลิเมตร

 

3. อย่าวางใจสภาพถนน


เมื่อขับรถผ่านเส้นทางที่มีฝน มีน้ำขังควรลดความเร็วลงจับพวงมาลัยในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ตำแหน่งที่ดีที่สุดของการจับมือซ้ายอยู่ที่ 9 นาฬิกา และมือขวา 3 นาฬิกา ถนนเมืองไทยมีทั้งแอ่งน้ำและการระบายน้ำที่ไม่ดีคละกันอยู่บ่อยๆ นอกจากอาการเหินน้ำแล้วก็ต้องทราบไว้ว่าช่วงที่ฝนเริ่มตกใหม่ๆ จะลื่นที่สุดเมื่อตัดสินใจลุยฝ่าในแอ่งน้ำ ควรชะลอความเร็วลงและใช้เกียร์ต่ำ วิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอจนกว่าจะพ้นน้ำ ไม่ควรเบรกขณะรถอยู่ในน้ำ เพราะอาจทำให้รถปัดได้ ส่วนการขับรถบนถนนลื่น อย่าเหยียบเบรกแรงครั้งเดียว เพราะจะทำให้รถเสียหลัก ควรค่อยๆ ย้ำเบรกอย่างนิ่มนวล เพิ่มระยะทางและใช้เวลาในการเบรกนานขึ้น เมื่อพ้นน้ำแล้ว ย้ำเบรกหลายๆครั้ง ให้เกิดความร้อนเพื่อให้ผ้าเบรกแห้งเร็วขึ้น

 

4. ใช้ไฟอย่างถูกต้อง เมื่อฝนตกหนัก


ถ้าฝนตกหนักควรเปิดไฟหน้าแบบต่ำ เพราะถ้าเปิดไฟสูง สายฝนจะสะท้อนกลับมายังผู้ขับมากจนมองเส้นทางข้างหน้ายาก ไม่ควรเปิดไฟหรี่ เพราะการเปิดไฟหน้าแบบต่ำ แทบไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลย ไดชาร์จ(อัลเตอร์เนเตอร์) แทบไม่ได้ทำงานหนักขึ้นหลอดไฟหน้าจะอายุสั้นลงก็ไม่ใช่ปัญหา หลอดละร้อยสองร้อยบาทเท่านั้น เมื่อจะเปลี่ยนเลน ให้เปิดไฟเลี้ยวเตือนผู้อื่นล่วงหน้าตาม ขับรถลุยฝนใช้ความเร็วต่ำกว่า อย่าชะล่าใจควรจับพวงมาลัย 2 มือในตำแหน่งที่แนะนำไว้ข้างต้น พร้อมจะลดความร็วลงได้อย่างรวดเร็ว ระวังอาการเหินน้ำของยางไว้ทุกวินาที

 

5. ไม่มีเอบีเอส เบรกอย่างไร


ถ้ารถไม่มีระบบเบรก เอบีเอส การเบรกแรงๆ บนถนนลื่น ล้อมีโอกาสล็อกได้ง่าย ล้อที่ล็อกจะขาดการบังคับควบคุมทิศทางจากพวงมาลัยหรือทำให้รถปัดเป๋จนถึง ขั้นหมุนคว้างได้ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ากระแทกแป้นเบรกแรงๆ หากจำเป็นและรู้สึกว่าล้อล็อกแล้ว ควรละเบรกเล็กน้อยเพื่อให้ล้อคลายการล็อก ส่วนการขับรถที่มีเอบีเอสก็อย่าชะล่าใจ เพราะถึงเอบีเอสจะป้องกันล้อล็อก แต่นั่นก็แสดงว่าเป็นการเบรกที่รุนแรงเกินไปนั่นเอง

 


ขอบคุณข้อมูลจาก ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

ที่มาข้อมูลและภาพ toyotabuzz.com

 

 

*******************************

guest

Post : 2013-05-27 22:53:14.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เด็กอนุบาลต่อยกันตาย

 

 

     ตร.แจ้งข้อกล่าวหาเด็กคู่กรณีเด็กอนุบาลเพิ่มเติม

                                           วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2556 เวลา 17:28 น. (เดลินิวส์)
 
 
 
 


วันนี้ ( 29 พ.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.พล.ต.ต.ชัชชรินทร์ สว่างวงศ์ ผบก.ภ.จ.สุพรรณบุรี กล่าวว่า ความคืบหน้าคดี ด.ช.นนท์ นักเรียนอนุบาลโรงเรียนวัดวังกุ่ม ต.โพธิ์พระยา อ.เมืองสุพรรณบุรี มีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุพรรณบุรี ได้แจ้งข้อกล่าวหาคู่กรณี ไปแล้ว 2 ราย ประกอบด้วย ด.ช.มอส อายุ 11 ปี และ ด.ช.บิว อายุ 7 ปี ในข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส” ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างรองผลพิมพ์มือและรอการแสดงผลของสถานพินิจ เพื่อเตรียมส่งให้อัยการฟ้อง


พล.ต.ต.ชัชชรินทร์ สว่างวงศ์ ผบก.ภ.จ.สุพรรณบุรี กล่าวอีกว่าล่าสุด ด.ช.นนท์ ได้เสียชีวิต ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อคู่กรณีให้มารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ที่สำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี ในวันที่ 30 พ.ค.56 เวลา 14.00 น. ต่อหน้าสหวิชาชีพ ในข้อหา “มิได้เจตนาฆ่า แต่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บถึงแก่ความตาย” ส่วนบทลงโทษ สำหรับ ด.ช.บิว อายุต่ำกว่า 10 ปี กฎหมายยกเว้นไม่ต้องรับโทษ แต่ ด.ช.มอส อายุ เกิน 10 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี ทำความผิด แต่รับโทษแต่ขึ้นอยู่กับกระบวนการของศาลจะพิจารนาลงโทษ อย่างไรก็ตามต้องรวบรวบรวมพยานและหลักฐานมาประกอบกับผลชันสูตรของแพทย์ด้วย สำหรับบรรยากาศที่โรงเรียนวัดวังกุ่ม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เกิดเหตุ บรรยากาศภายในห้องเรียนของ ด.ช.นนท์ มีเพื่อน ๆ มาเรียนตามปกติ โดยมีครูประจำชั้น ดูแลอย่างใกล้ชิด

 

ส่วนบรรยากาศที่บ้านเลขที่ 48/6 หมู่ 4 ต.โพธิ์พระยา อ.เมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนางเล็ก ย่า ของ ด.ช.นนท์ มีเพียงนางเล็ก และนางสุดารัตน์ สามทอง อายุ 36 ปีป้า ของ ด.ช.นนท์ ทั้งสองได้แต่นั่งดูภาพถ่ายของหลานชายด้วยน้ำตานองหน้า นางเล็ก ย่าของ ด.ช.นนท์ กล่าวว่า เมื่อวานยังไปเยี่ยมดูอาการของหลายชาย แต่พอกลับมาถึงบ้านเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้รับแจ้งว่า ด.ช.นนท์หลานชายเสียชีวิตแล้ว รู้สึกช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคิดไม่ถึงว่า หลานชายจะจากไปเร็วแบบนี้

 

ขณะนี้คนในครอบครัวเสียใจมากยังทำใจไม่ได้ ตอนแรกได้รับแจ้งว่าจะนำศพหลานชายมาบำเพ็ญกุศลที่บ้าน จ.สุพรรณบุรี แต่มาทราบอีกทีว่าทางแม่และยาย ด.ช.นนท์ นำศพไปบำเพ็ญกุศลที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ กทม. ตนต้องไปร่วมงานศพหลานชายที่ กทม.

 

 

ปอ. มาตรา ๗๓*
เด็ก
อายุยังไม่เกิน สิบปี กระทำการ อันกฎหมาย บัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้น ไม่ต้องรับโทษ
ให้
พนักงานสอบสวน ส่งตัวเด็ก ตาม วรรคหนึ่ง ให้ พนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม กฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองเด็ก เพื่อ ดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพ ตาม กฎหมายว่าด้วยการนั้น

 

*แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๕ แห่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๑

 

 ปอ. มาตรา ๗๔
*เด็ก อายุกว่า สิบปี แต่ยังไม่เกิน สิบห้าปี กระทำการ อันกฎหมาย บัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้น ไม่ต้องรับโทษ แต่ ให้ ศาล มีอำนาจที่จะดำเนินการ
ดังต่อไปนี้


(๑) ว่ากล่าวตักเตือน เด็กนั้น แล้วปล่อยตัวไป และถ้า ศาล เห็นสมควร จะเรียก บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือ บุคคล ที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ มาตักเตือนด้วย
ก็ได้


(๒) ถ้า ศาล เห็นว่า บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง สามารถดูแลเด็กนั้นได้ ศาล จะมีคำสั่ง ให้มอบตัวเด็กนั้นให้แก่ บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครองไป โดยวางข้อกำหนดให้ บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง ระวังเด็กนั้น ไม่ให้ก่อเหตุร้าย ตลอดเวลาที่ศาลกำหนด ซึ่ง ต้องไม่เกิน สามปี และ กำหนดจำนวนเงิน ตามที่เห็นสมควร ซึ่ง บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครองจะต้องชำระ ต่อศาล ไม่เกินครั้งละ หนึ่งหมื่นบาท ในเมื่อ เด็กนั้น ก่อเหตุร้ายขึ้น ถ้า เด็กนั้น อาศัยอยู่กับ บุคคลอื่น นอกจาก บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง และ ศาล เห็นว่า ไม่สมควรจะเรียก บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง มาวางข้อกำหนด ดังกล่าวข้างต้น ศาล จะเรียกตัว บุคคล ที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ มาสอบถามว่า จะยอมรับ ข้อกำหนดทำนองที่บัญญัติไว้ สำหรับ บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง ดังกล่าวมาข้างต้น หรือไม่ ก็ได้ ถ้า บุคคล ที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ ยอมรับข้อกำหนด เช่นว่านั้น ก็ให้ ศาล มีคำสั่ง มอบตัว เด็กให้แก่ บุคคลนั้นไป โดยวางข้อกำหนด
ดังกล่าว


(๓) ในกรณีที่ ศาล มอบตัว เด็ก ให้แก่ บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือ บุคคล ที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ ตาม (๒) ศาล จะกำหนด เงื่อนไข เพื่อคุมความประพฤติเด็กนั้น เช่นเดียวกับ ที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๕๖ ด้วยก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาล แต่งตั้ง พนักงานคุมประพฤติ หรือ พนักงานอื่นใด เพื่อคุมความประพฤติ เด็กนั้น


(๔) ถ้า เด็กนั้น ไม่มี บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง หรือ มีแต่ ศาลเห็นว่า ไม่สามารถดูแลเด็กนั้นได้ หรือถ้า เด็ก อาศัยอยู่กับบุคคลอื่น นอกจาก บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง และ บุคคลนั้น ไม่ยอมรับ ข้อกำหนด ดังกล่าวใน (๒) ศาล จะมีคำสั่งให้มอบตัวเด็กนั้น ให้อยู่กับ บุคคล หรือ องค์การ ที่ศาล เห็นสมควร เพื่อดูแลอบรม และ สั่งสอน ตามระยะเวลา ที่ศาลกำหนด ก็ได้ ในเมื่อ บุคคล หรือ องค์การนั้น ยินยอม ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ บุคคล หรือ องค์การนั้น มีอำนาจ เช่นผู้ปกครอง เฉพาะเพื่อดูแล อบรม และ สั่งสอน รวมตลอดถึง การกำหนด ที่อยู่และการจัดให้เด็ก มีงานทำ ตามสมควร หรือ ให้ดำเนินการ คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ก็ได้ หรือ


(๕) ส่งตัว เด็กนั้น ไปยัง โรงเรียน หรือ สถานฝึกและอบรม หรือ สถานที่ซึ่ง จัดตั้งขึ้น เพื่อฝึกและอบรมเด็ก ตลอดระยะเวลา ที่ศาลกำหนด แต่อย่าให้เกินกว่าที่เด็กนั้น จะมีอายุครบ
สิบแปดปี


คำสั่งของ ศาล ดังกล่าวไว้ใน (๒) (๓) (๔) และ (๕) นั้น ถ้า ในขณะใด ภายในระยะเวลา ที่ ศาลกำหนดไว้ ความปรากฏแก่ ศาล โดย ศาลรู้เอง หรือ ตามคำเสนอ ของ ผู้มีส่วนได้เสีย พนักงานอัยการ หรือ บุคคล หรือ องค์การ ที่ศาล มอบตัวเด็ก เพื่อ ดูแลอบรมและสั่งสอน หรือ เจ้าพนักงาน ว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับ คำสั่งนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ให้ ศาล มีอำนาจ เปลี่ยนแปลงแก้ไข คำสั่งนั้น หรือ มีคำสั่งใหม่ ตามอำนาจใน มาตรานี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 งานวิจัยของอาจารย์ ดร.สมบัติ ตาปัญญา แห่งภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จ.เชียงใหม่ ที่ท่านเคยสำรวจเด็กไทยใน 8จังหวัด(ทั่วทุกภาค)จำนวน 3,047 คน ปรากฏว่า...

 

** เด็กนักเรียน 40% มีปัญหาโดนเพื่อนรังแก เดือนละ 2-3 ครั้ง

 

** เด็ก เกือบ 56% โดนเพื่อนรังแกเดือนละหลายครั้ง

 

** เด็กที่อยู่ในชั้นประถม 4 จะมีปัญหาโดนรังแกบ่อยมากที่สุด จากนั้นสถิติก็จะลดลงตามระดับชั้นที่สูงขึ้น

 

** เด็กที่ถูกรังแก 1 ใน 3 มีผลเสียต่อการเรียน...

 

** นักเรียน 41.2% ระบุว่า ครูหรือผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือน้อย หรือ แทบไม่ทำอะไรเพื่อช่วยเด็กเลย

 

** ครู 89% บอกว่าเคยเห็นเด็กโดนรังแกด้วยตาตัวเอง และ

 

** ครู 25 % บอกว่าเคยเห็นเด็กโดนรังแกด้วยตาตนเองมาแล้วต่ำกว่า 10 ครั้ง !

 

ข่าวเด็กม.ปลาย ม.ต้นตบตีกันในระยะหลัง อาจเป็นเพราะเป็นนักเรียนหญิง หนังสือพิมพ์-ทีวีก็มักเล่นเป็นข่าวเด็ด แต่จากการได้พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่าน ต่างก็บ่นให้ฟังว่า ไม่ใช่เฉพาะเด็กโตหรอกนะที่ตบตีกันในโรงเรียน เด็กวัยประถม หรือ

แม้แต่เจ้าหนูอนุบาลตัวจ้อยนี่แหละที่มีเรื่องตุ้บๆ ตั้บๆ ไม่เว้นแต่ละวัน

 

หนำซ้ำบางรายถึงกับใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น ปลายดินสอ,ไม้เสียบลูกชิ้น,ก้อนหิน ฯลฯ คิดแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจ ถ้าทำได้ก็คงนั่งเฝ้าลูกตลอด 24 ชั่วโมง ทางออกของปัญหานี้ ดีที่สุดก็น่าจะ...ป้องกันไว้ก่อน

 

 

 

 

1... หากพวกเราลองย้อนอดีตสู่วัยเด็ก ก็จะจำได้ว่า เด็กๆแต่ละห้องในทุกชั้นปี มักจะมี หัวโจกประจำห้องเสมอ คุณ(โทษ)สมบัติของเขา ก็คือ ตัวโต ก้าวร้าว เกเร

ชอบรังแก (เช่น แย่งของเล่น,ทำลายข้าวของ,หรือทำร้ายร่างกาย)

 

ซึ่งหัวโจกที่ว่านี้โดยมากมักเป็นเด็กผู้ชาย ในขณะที่หัวโจกที่เป็นเด็กผู้หญิง ก็มักมีความเกเรไม่แพ้กัน ผิดแต่ว่ามักจะหนักไปในทางรังแกเพื่อนด้วยคำพูด เช่น เยาะเย้ย

ถากถาง ด่าว่าเจ็บๆแสบๆ แล้วบางครั้งก็ตามมาด้วยทำร้ายร่างกายกันดังที่เป็นข่าว

 

จริงๆแล้ว เด็กที่เราเห็นว่าก้าวร้าวเกเรนั้น ล้วนเป็นเด็กไร้เดียงสาน่าสงสาร

ที่ถูกหล่อหลอม จากการเลี้ยงดู จากสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือมีปัญหาทางด้านสุขภาพร่างกาย( เช่น เป็นสมาธิสั้น ,ปัญญาอ่อน) ซึ่งควรที่เราจะเอาใจใส่ด้วยความรักและเมตตา และควรสนับสนุนให้เด็กๆเหล่านี้ได้รับการแก้ไขและเยียวยา

 

ในบางประเทศเขาจะให้คุณครู ผู้ผ่านการอบรมด้านการบำบัดมาช่วยแก้ไขพฤติกรรมเกเรของพวกเขา เช่น ให้ได้แสดงละครโดยสวมบทบาทเป็นเด็กที่โดนเขารังแกเป็นประจำ ผลก็ คือช่วยทำให้เขาเข้าใจและเห็นใจเพื่อนๆมากขึ้น เขาจะหยุดรังแก คนอื่น ตัวเขาเองก็จะมีความสุขมากขึ้น ...

 

 

 

 

 

2... จะสังเกตว่าเด็กที่ก้าวร้าวเกเรมักจะเป็นเด็กที่อารมณ์เครียดง่าย ในขณะเดียวกันก็ทำให้เด็กคนอื่นๆก็พลอยเครียดกันไปด้วย

 

ดังนั้น การให้เด็กๆออกกำลังกาย เล่นกีฬาซึ่งเป็นหนทางคลายความเครียด แถมนำความสดชื่นแข็งแรง และความรักสามัคคีให้แกหมู่คณะอีกด้วยครับ

 

3... เปิดใจเปิดโอกาสให้ลูกได้พูดได้คุยกับเราได้ทุกเรื่อง ซึ่งควรเริ่มมาตั้งแต่ลูกยังเล็ก ตั้งแต่เริ่มหัดพูดเลยก็ยิ่งดี ข้อสำคัญคือให้ลุกได้พูดคุย ได้ออกความเห็น หรือกระทั่งได้ระบายความทุกข์ความกังวลได้อย่างอิสระ ได้อย่างสบายใจ...

 

โดยเราจะไม่รีบตัดบท...ไม่ขัดคอ ไม่ด่าว่า ตำหนิติเตียน เมื่อลูกบอกเล่าจนหมดสิ้น แล้ว หากเห็นว่าควรสั่งสอน ก็น่าจะเป็นไปในเชิงแนะนำ หรือตักเตือน เสนอวิธธีแก้ปัญหา ...แล้วก็อย่าลืมให้กำลังใจลูกด้วยนะครับ

 

สิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกๆไว้วางใจที่จะเล่าปัญหาต่างๆให้พ่อแม่ฟัง ซึ่งนั่นจึงรวมถึง เรื่องที่โดนเพื่อนรังแก ซึ่งผิดกับเด็กอีกหลายคน ที่ช่างเก็บกดจนหมักหมมปัญหาสารพัด

เพราะจากประสบการณ์ทำให้เขาไม่ไว้ใจผู้ใหญ่ และคาดไว้ก่อนว่า ...ขืนเล่าก็โดนด่า

หรือ เล่าไปก็แค่นั้น ไม่เห็นจะเอาใจใส่อะไรเรา...

 

 

 

 

 

 

4...แต่หากทั้งๆที่เราก็รู้ว่าลูกมีปัญหาโดนรังแก แต่เขาก็ยังไม่ยอมปริปากเล่าให้ฟัง ก็ขอให้คุณพ่อคุณแม่โปรดใจเย็นๆ อย่าน้อยอกน้อยใจ หรือโกรธที่ลูกเอาแต่นิ่ง

 

เราอาจต้องไปขอคำปรึกษาจากคุณครูประจำชั้นของลูก เพื่อขอความร่วมมือกับคุณครูช่วยกันแก้ปัญหาให้ลูก อย่าปล่อยให้ลูกต้องเก็บกดกับปัญหาต่างๆจนอาจกลายเป็นผู้ที่มีบุคลิกโดดเดี่ยวหรือซึมเศร้า

 

แล้วอย่าลืมโอบหลังโอบไหล่ ให้กำลังใจลูก ในขณะเดียวกันเราก็จะไม่เสริมส่งให้เขาเกลียดชังเด็กที่รังแกเขา คงไม่มีคำพูดใดที่คนเป็นลูก อยากจะฟังจากปากคุณพ่อคุณแม่เท่ากับประโยคที่ว่า เรามั่นใจว่าลูกจะทำได้ แล้วเรา(จะอยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจลูกเสมอ...

 

 

 

 

 

5...สอนหรือแนะนำลูกว่า การตอบโต้เพื่อนที่เกเร ไม่ว่าจะด้วยวาจา หรือด้วยกำลัง นั่นย่อมไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง แต่การนิ่งเฉย เดินหลบ หลีกเลี่ยง ก็เป็นวิธีระวังไว้ก่อน

แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าเกเรยังตามมาราวี ก็ให้รีบไปรายงานพฤติกรรมแย่ๆของเขาให้คุณครู

ประจำชั้น หรือได้รับทราบและช่วยแก้ไข

 

6...การรู้จักผูกมิตรกับเพื่อนๆ นอกจากจะทำให้ชีวิตในโรงเรียนมีความสุขแล้ว เหล่าเพื่อนๆยังอาจช่วยเป็นกำแพงไม่ให้เจ้าหัวโจกฝ่าด่านมารังแกได้

 

7...หากยังจำได้ หรือเคยสังเกต จะพบว่า หัวโจกจอมเกเรมักจะเลือกรังแกเพื่อนทีดูบอบบาง อ่อนแอ หรือขี้กลัว ดังนั้นการพาลูกไปเข้าคอร์สฝึก ศิลปะป้องกันตัวก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนับสนุน

 

เพราะนอกจากจะได้สุขภาพที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งแล้ว ยังเป็นหนทางป้องกันตัวที่น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก บางท่านอาเห็นว่านี่เป็นวิชาที่รุนแรงลูกจะ เจ็บตัวและยิ่งจะกลายเป็นคนก้าวร้าว แต่หากได้ลองสัมผัสและศึกษาดูดีๆก็จะพบว่า...ศิลปะป้องกันตัวอันเป็นที่นิยม เช่น มวยไทย,เทควันโด,คาราเต้,ยูโด...ฯลฯ

โดยมากจะเป็นวิชาของพวกเราชาวตะวันออก ที่มีการฝึกฝนในเรื่องของสติ สมาธิ

ความสุภาพอ่อนโยน เคารพผู้อาวุโส ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยปรัชญาและคุณธรรม...

 

 

 

 

 

8…จริงๆแล้วไม่อยากจะเขียนข้อนี้ให้กระเทือนซางใครเลย เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ที่มีท่านนักวิชาการท่านหนึ่งเสนอในห้องประชุมใหญ่ว่า ควรมีนักจิตวิทยาประจำโรงเรียนได้แล้ว !... ฟังแล้วก็น่าหนักใจ และ น่าเศร้า น่าหนักใจตรงที่ภารกิจของนักจิตวิทยาไทยทุกวันนี้หนักหนาเหลือเกินเมื่อเทียบกับจำนวนบุคลากรทางด้านนี้

 

และที่น่าเศร้าก็คือ...ทุกโรงเรียนก็มี คุณครูแนะแนวมาเป็นเวลาช้านานแล้ว...แต่ไม่ทราบว่าแต่ละท่านได้ทำหน้าที่อย่างมีศักยภาพมากน้อยเพียงใด และนักเรียนแต่ละคนมีทัศนคติต่อท่านอย่างไร ...จึงไม่เคยเห็นความสำคัญ และมีไม่น้อยที่ ไม่กล้าที่จะเข้าไปปรึกษาท่าน....จริงมั้ยล่ะครับ...ท่านคุณครูแนะแนว...?????

 

 

 

 

 

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

 

บทความโดย... ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์ ฝ่ายสื่อสารสาธารณะศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 02 6449080-81 086-7002206

 

 ****************************************************

 

 

 

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายเอกพัฒก์ วิลามาศ อายุ 37 ปี คนขับรถเทรลเลอร์คันเกิดเหตุ บอกว่า ตนขับรถเทรลเลอร์มากับเด็กรถอีก 2 คน โดยบรรทุกรถยนต์หรูมาทั้งหมดจำนวน 6 คัน ประกอบด้วย รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ 1 คัน, รถเบนท์ลีย์ 2 คัน, รถลัมบอร์กินี 1 คัน, รถเฟอร์รารี่ 1 คัน และรถบีเอ็มดับเบิลยู 1 คัน เพื่อไปส่งลูกค้าที่ จ.ศรีสะเกษ โดยออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 03.00 น. เมื่อวิ่งมาถึงจุดเกิดเหตุช่วงทางขึ้นเขากลางดงได้รับแจ้งจากรถบรรทุกที่วิ่งแซงขึ้นมาตะโกนร้องบอกว่า ไฟไหม้รถที่บรรทุก ตนจึงรีบจอดรถชิดขอบทางด้านขวาพร้อมดึงเบรกมือไว้ก่อนวิ่งลงไปดู และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันไฟได้ลุกไหม้สายลมเบรก ทำให้เบรกคลายตัว รถจึงไหลลงจากเนินพลัดตกลงไปในร่องกลางถนนดังกล่าว

นายเอกพัฒก์กล่าวอีกว่า รถยนต์ทุกคันที่บรรทุกมาได้ล็อกประตูหมด และเก็บกุญแจไว้เอง ไม่ทราบว่าเกิดเพลิงลุกไหม้ได้อย่างไร โดยไฟได้ลุกไหม้จากรถบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งบรรทุกอยู่ชั้นบนคันท้ายสุดก่อน จากนั้นไฟได้ลามไปไหม้รถเก๋งเบนท์ลีย์ที่อยู่ด้านหน้า และลุกลามลงมายังชั้นล่างทำให้ไหม้รถเสียหายทั้งหมด 4 คัน ซึ่งยังโชคดีที่รถดับเพลิงมาช่วยดับไฟไว้ได้ทัน ทำให้รถเบนท์ลีย์ สีดำ ป้ายแดง ทะเบียน บ 8888 กทม. และรถเบนซ์ สีขาว ทะเบียนป้ายเดง อ 6969 กทม. ที่บรรทุกอยู่ด้านหน้าสุดไม่ได้รับความเสียหาย
 

ทั้งนี้ รถที่เสียหายทั้ง 4 คันเป็นรถยนต์หรูราคาแพง โดยรถลัมบอร์กินีมีราคาประมาณ 40 ล้านบาท, รถเฟอร์รารี่ราคาประมาณ 30 ล้านบาท, รถเบนท์ลีย์ ราคาประมาณ 20 ล้านบาท และบีเอ็มดับเบิลยูราคาประมาณ 10 ล้านบาท รวมกว่า 100 ล้านบาท

 

 

 

 

ไม่ได้ติดแก๊สหรอกครับ เฟอรารี่ กับ แลมโบ ไม่มีที่วาง

 

ขนาดยางอะหลั่ย ยังแทบไม่พอจะวางเลยครับ

 

( ยางอะหลั่ย จะเล็กๆ และ บางๆ )

 

แต่ผมสงสัย ในกรณีนี้มากๆ ว่ามันเกิดไหม้ขึ้นได้ไง

 

สังเกตว่า รถจะไหม้ จากห้องเครื่องยนตร์ ทั้งนั้นเลย

 

เช่น เฟอรารี่ และ แลมโบ เครื่องวางหลัง ก็ไหม้จากหลัง

 

ส่วน บีเอ็ม เอ็กซ์6 ก็ไหม้จากด้านหน้าห้องเครื่อง

 

ส่วนเบนลี่ย์ น่าจะโดนไฟลามจาก บีเอ็ม ไปหน่ะครับ

 

ปกติแล้ว รถประเภท นี้จะเกิดไฟไหม้ได้ ก็คือ ขับเร็วๆ นานๆ

 

เพราะสมรรถนะ เครื่องยนตร์ที่สูง และ อาจจะเกิดความร้อนสูงมาก

 

ทำให้ สายไฟ และ ท่อยางต่างๆ ในห้องเครื่อง เกิดลุกติดไฟได้

 

( ดังนั้น ในบ้านเราจึงนิยมเปลี่ยนท่อและสาย กันมาก ตามสภาพอากาศที่ร้อน )

 

เรื่องนี้ผมว่า...มันแปลกๆ เหมือนเผาเอาประกัน ยังไงไม่รู้

 

เพราะ ปกติ การส่ง รถหรูๆ แพงๆ แบบนี้ ไม่ส่งกันเป็น ล๊อต 5-6 คัน

 

จะใช้ รถสไลด์ 1 - 1 เพราะเป็นการเซฟ กับ ตัวรถด้วยนะครับ..

 

อ้อ...แล้วอีกอย่าง รถ ก็ไม่ใช่รุ่นใหม่ แต่ทำไม ราคาถึง ประเมิน ไปแพงจัง !!!

 

ให้นำเข้ามาแบบ ฟูลอ๊อฟชั่นเลย เสียภาษีครบ

 

bmw x6 ไม่น่าเกิน 9 ล้าน

 

fer F430 ไม่น่าเกิน 19 ล้าน

 

Lambor Murcialago lp 640 ไม่น่าเกิน 26 ล้าน

 

Bentley ไม่น่าเกิน 20 ล้าน

 

รวมประมาณ 74 ล้าน ครับ

"ไอ้บอย" ครับ ....เมื่อก่อนใช้ชื่อโชว์รูมว่า ยูนิ..จุด จุด จุด

 

อยู่ถนนรัชดา ใกล้ๆ โรงแรม อโยธยา ( ชื่อเดิม )

 

ลูกน้องมัน ที่เป็น เซลล์ ชื่อ "พี"

 

ส่วนแม่ของ "ไอ้บอย" ขับ เบนซ์ CLS สีขาว ทะเบียน โฟว์2 ครับ..!!!

 

ไอ้นี่ แบ๊ค มันดี ... ทำธุรกิจ แล้ว ไม่สามารถโอนได้ พวกก็เลยมาแจก

 

"ลูกตะกั่ว" เข้าให้ที่โชว์รูม ต้องปิดหนี ไปพักใหญ่ๆ ...แต่ตอนนี้มาใหม่แล้วครับ...

 

*******************************************************

 

 

 

ถ้ำอาถรรพ์ กลืนชีวิตคนหาเหล็กไหล 3 ศพ

 

                                     ถ้ำอาถรรพ์ กลืนชีวิตคนหาเหล็กไหล 3 ศพ

 

 

ชาวบ้านเข้าไปหาเหล็กไหลในถ้ำพุง จ.มุกดาหาร หายไปทั้งคืน จนเช้าญาตินิมนต์พระช่วยดำน้ำหา พบ 2 ศพ สูญหายอีก 1 ศพ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (27 พ.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. สภ.เมืองมุกดาหาร รับแจ้งมีผู้จมน้ำเสียชีวิตภายในถ้ำพุง บริเวณหมู่ 12 บ้านนาโด่ ต.นาโสก อ.เมืองมุกดาหาร ที่เกิดเหตุหน้าปากถ้ำ พบศพนายเงิน ชาธิพา อายุ 59 ปี สภาพศพซีดเผือด ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย

 

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายเงินพร้อมเพื่อนอีก 2 ราย คือนายสงบ อันแสน อายุ 39 ปี นายธนโชติ ลินโต อายุ 48 ปี พร้อมญาติรวม 9 คน ได้เข้าไปหาสมุนไพรและพักค้างคืนที่ลานหินใกล้กับถ้ำพุง ซึ่งเชื่อว่ามีเหล็กไหล โดยในช่วงเที่ยงของวันที่ 26 พ.ค. นายเงิน นายสงบ และนายธนโชติ ได้ชักชวนกันดำน้ำเข้าไปในบริเวณถ้ำเพื่อหาเหล็กไหล จากนั้นก็หายไปทั้งคืน กระทั่งเช้า ญาติๆ เกรงว่าจะเกิดเหตุร้าย จึงไปตามคนในหมู่บ้านมาช่วย และพบพระชัยชนะ กิตติสาโร วัดภูสร้าง กำลังออกบิณฑบาตร จึงนิมนต์ให้มาช่วยเหลือ โดยพระชัยชนะ ต้องดำน้ำที่มีระดับความลึกประมาณ 2 เมตร ถึง 2 ครั้ง จึงนำร่างไร้วิญญาณของ นายเงิน และนายสงบ ซึ่งจมน้ำเสียชีวิตติดคาอยู่ในถ้ำออกมาสำเร็จ ส่วนนายธนโชติยังหาไม่พบ

 

ทั้งนี้ ถ้ำพุง เป็นถ้ำที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน ภายในถ้ำมีลานหินและโพลงขนาดใหญ่ จุคนได้ไม่ต่ำกว่า 50 คน เมื่อถึงฤดูแล้งชาวบ้านจะเข้าไปหากบหาเขียด และเมื่อถึงหน้าฝนมีน้ำท่วมขังชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปกลัวอันตราย โดยเชื่อว่าภายในถ้ำแห่งนี้มีเหล็กไหล เพราะเคยมีคนเห็น แต่ไม่มีใครกล้านำออกไปกลัวอาถรรพ์ และมีอันเป็นไปถึงแก่ชีวิต

 

 

เหล็กไหล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 

เหล็กไหล เป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนื่งในความเชื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ในมาเลเซียมีชื่อเรียกว่า บือซีรีเละ) มีมากมายหลายชนิดแต่ที่เชื่อกันแพร่หลายที่สุดนั้นจะฝังตัวอยู่ในถ้ำมีลักษณะสีดำคล้ายนิล ลนไฟให้ยืดได้ เชื่อกันว่าในการไปเอาเหล็กไหลนั้นจะต้องใช้น้ำผึ้งชโลมก้อนเหล็กไหลแล้วใช้ไฟลนเหล็กไหลถึงจะยืดออกมากินน้ำผึ้งไปพร้อมกับเล่นไฟด้วย แล้วก็ลนไฟไปกระทั่งทั้งเหล็กไหลยืดออกมาเรื่อยๆจนกระทั่งบางเท่าเส้นด้ายถึงจะตัดขาด (ทั้งนี้ในการไปตัดเหล็กไหลนั้นกล่าวกันว่าคนธรรมดานั้นไม่สามารถตัดเหล็กไหลเองได้เนื่องจากมีเทพเจ้า เจ้าป่า เจ้าเขา พญานาคหรือยักษ์รักษาอยู่และพร้อมจะเข้าทำร้ายผู้เข้าไปเอาได้ถ้าผู้นั้นไม่ใช่คนดีมีบุญหรือมีวิชาอาคมแกร่งกล้าพอ และตัวเหล็กไหลนั้นก็มีฤทธิ์ขัดขืนคนที่เข้าไปเอาได้ด้วยเช่นกล่าวว่าเคยมีคนเข้าไปตัดเหล็กไหลแล้วเอามือไปจับเหล็กไหลแล้วมีอาการคล้ายถูกฟ้าผ่าหรือถูกไฟฟ้าแรงสูงดูดเป็นต้น) เหล็กไหลที่ได้นี้กล่าวกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มากมักฝังไว้ตามตัวผู้ที่ครอบครองกล่าวกันว่าจะไม่มีอะไรที่ทำร้ายผู้ที่ครอบครองตัวเหล็กไหลได้ทั้งมีด ปืน หรือแม้กระทั่งระเบิด ดินปืนทุกชนิดไม่สามารถจุดติดได้ในอาณาเขตที่มีเหล็กไหลอยู่

ในความเชื่อนี้กล่าวอีกว่าเหล็กไหลยังแบ่งเป็นสามระดับหรือสามชนิด คือ

  • ระดับแรก ตัวเหล็กไหลเอง แวววาว เป็นส่วนที่ลนไฟให้ยืดได้ เป็นส่วนที่มีอิทฤทธิ์มากที่สุด เช่น เหล็กไหลปีกแมลงทับหรือเหล็กไหลโกฐปี เหล็กไหลเงินยวงหรือเหล็กไหลชีปะขาว เหล็กไหลเพชรดำ เหล็กไหลท้องปลาไหล
  • ระดับสอง รังเหล็กไหล มีลักษณะแวววาวรองจากตัวเหล็กไหล ไม่สามารถลนไฟให้ยืดได้ เป็นส่วนที่ห่อหุ้มตัวเหล็กไหลไว้เป็นฐานรองเหล็กไหลแข็งแน่นติดกับผนังถ้ำ เช่น โคตรเหล็กไหล แร่เกาะล้าน แร่เม็ดมะขาม เหล็กไหลทรหด
  • ระดับสาม ขี้เหล็กไหล มีลักษณะคล้ายน้ำตาเทียน ดำด้าน แข็งแต่ทุบให้แตกได้ง่าย เกิดจากการที่เหล็กไหลเคลื่อนผ่านทางนั้นแล้วเกิดขี้เหล็กไหลขึ้นมากล่าวว่าแทบไม่มีฤทธิ์ใดๆ

 

**********************

 

 

 

เข้าใจชีวิต (บทความดีๆแนะนำให้อ่าน)

POSTED BY

 

  • 149
  • Sharebar

7 เรื่องต่อไปนี้ แม้คุณจะไม่ชอบ แต่ยังไงก็จะเกิดขึ้น บางเรื่องคุณอาจจะเจอแล้ว หรือไม่ก็ต้องเจอไม่วันใดก็วันหนึ่งนี่แหละ…จะดีกว่าไหม ถ้าคุณได้รู้และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะเจอ แถมยังช่วยให้เข้าใจสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้ดียิ่งขึ้น…

 

1. เพื่อนจะเข้ามาและจากไปเสมอในชีวิตของคุณ…

สังเกตสิคนที่เคยคุย เคยเที่ยวเล่นกันในช่วงเวลาหนึ่ง พอย้ายที่เรียน

เปลี่ยนที่ทำงาน ต้องแยกกันไป ก็จะกลายเป็นเพื่อนเก่าที่ค่อยๆ ห่างไป ขณะเดียวกันเพื่อนใหม่ก็จะเข้ามาแทน มีน้อยที่จะยังติดต่อกันตลอด เช่นเดียวกับเพื่อนที่คุณสนิทในตอนนี้ ก็อาจจะหายไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจึงไม่ควรยึดติดกับใคร เพราะต่างก็ต้องมีทางเดินของตัวเอง คอยเปิดใจรับมิตรภาพใหม่ๆ ดีกว่า เพราะมีผู้คนที่น่าสนใจอีกมากให้คุณได้รู้จักในทุกๆ ที่

 

2. สิ่งต่างๆ จะไม่เป็นอย่างที่คุณอยากให้เป็นเสมอ…

คุณมักไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ดันได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการใช่ไหม? ไม่มี

ประโยชน์เลยที่จะเครียดหรือทุกข์ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ แต่วิธีที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้นๆ คุณเปลี่ยนได้นะ

 

3. หลายคนรักคุณ แต่ส่วนมากจะไม่…

ไม่ว่าคุณจะมีชื่อเสียง ชอบทำการกุศล หรือเป็นแค่คนธรรมดา ก็จะมีคนรัก

คุณแน่ๆ แต่ยังไงก็ต้องมีคนที่ไม่ชอบคุณด้วยเช่นกัน เหตุผลน่ะเยอะแยะ ไม่ว่าจะอิจฉา หรือเพียงเพราะคุณไม่เหมือนเขา ถ้าพวกเขาจะเอาแต่พูดเรื่องคุณ นั่นก็เป็นปัญหาของพวกเขานะ ไม่ต้องใส่ใจ จำไว้ว่าคุณดีในแบบของคุณและนับถือตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนชอบคุณ

 

4. ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้นอกจากตัวคุณเอง…

คนอื่นช่วยเหลือคุณก็ได้แค่ระดับหนึ่ง ชีวิตใครก็ต้องคนนั้นแหละที่ทำให้

เกิดการเปลี่ยนแปลง จงเรียนรู้ที่จะยืนด้วยสองเท้าของตัวเองโดยไม่ต้องใช้คนอื่นๆ เป็นไม้เท้าค้ำยันในชีวิต เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่กับคุณไปตลอด

5. ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้…

ไม่มีใครประสบความสำเร็จอย่างเดียวหรอก ยังไงก็ต้องล้มเหลวก่อน

นอกจากเรียนรู้จากบุคคลอื่นแล้ว ความล้มเหลวของคุณเองนี่แหละที่เป็นบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตที่จะสอนคุณใช้มันเป็นแรงผลักดันให้คุณประสบความสำเร็จ ดีกว่าจมปลักไม่ไปไหน

 

6. อาจไม่มีพรุ่งนี้…

เราไม่มีทางรู้ว่าเหตุการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น รถชน หัวใจวาย หรือแม้แต่โลกจะ

แตก มันเป็นไปได้หมด เผชิญหน้ากับมันซะ ยังไงวันหนึ่งก็ต้องเป็นวันสุดท้ายของเรา เพราะฉะนั้นในแต่ละวันทำให้ดีที่สุด ดูแลคนที่คุณแคร์ให้มาก ไม่ต้องกังวลกับเรื่องเล็กน้อย และใช้เวลาทำในสิ่งที่คุณชอบด้วย

 

7. ใครๆ ก็มีมากกว่าคุณ…

พอมองไปก็จะเห็นแต่คนที่มีอะไรมากกว่าตัวเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงิน

ตำแหน่ง หรือเพื่อน แต่รู้ไว้อย่างเพียงเพราะเขามี “มากกว่า” ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีความสุขกว่านะ อ่านประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงดู พวกเขาน่ะสนุกกับกระบวนการในการได้เงินมากกว่าตัวเงินซะอีก จงโฟกัสไปในสิ่งที่คุณรักดีกว่า เพราะมันจะตามมาด้วยความสุขที่มากกว่า

 

ชีวิตก็อย่างนี้แหละ ถ้าเข้าใจและยอมรับมัน คุณก็จะสนุกกับการใช้ชีวิต…

 

 

 

 ************************

 

 

 

            สรรพคุณ / ประโยชน์ของผักคะน้า

 

                   

 

คะน้ามีวิตามินหลายชนิด เช่น เบต้าแคโรทีน 186.92 ไมโครกรัม/100 กรัม [3] ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และยังมีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคมีความแข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีแคลเซี่ยมช่วยเสริมสร้างกระดูก

คะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้า-แคโรทีน ซึ่งร่างการจะเปล่ยนเป็นวิตามินเอที่มีผลต่อการบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณและต้านทานการติดเชื้อ คะน้าให้โฟเลตและธาตุเหล็กสูง ซึ่งสารทั้งงสองชนิดนี้จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง

- คุณค่าอาหาร

คะน้า 100กรัม ให้พลังงาน 31 กิโลเคลอรี ประกอบด้วยน้ำ 92.1 กรัม โปรตีน 2.7 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.8 กรัม เส้นใย 1.6 กรัม แคลเซียม 245 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 2,512 ไมโครกรัม วิตามินเอ 419 iu. วิตามินบี1 0.05 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.08 มิลลิกรัม ไนอะซิน 1.0 มิลลิกรัม วิตามินซี 147 มิลลิกรัม

- ข้อควรระวัง

ในผักคะนั้นในพบ สารกอยโตรเจน (goitrogen) ซึ่งบริโภคมาก ๆ จะทำให้ท้องอืดได้

 

การทานผัก ไม่ว่าจะเป็น ผักคะน้า หรือผักบุ้งก็ตาม

ถ้าทานสดๆ จะไม่ได้วิตามิน เอครับ

ท่านต้อง ผัดกับน้ำมันเท่านั้นครับ

เพราะวิตามิน เอ มันละลายเฉพาะในน้ำมันเท่านั้นไม่ละลายน้ำ

 

 

***************************

 

 

เฉลิม รู้ตัวแล้ว 3 พ่อค้าใหญ่ จ่ายเงินหนุนม็อบต่อต้านรัฐบาล

 

 

วันที่ 28 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ร่างพ.ร.บ.ปรองดองที่มีเสนอ และบรรจุเข้าที่ประชุมรัฐสภาว่า พ.ร.บ.ปรองดองที่เสนอยังไม่เป็นกฎหมาย ก็ยังมีคนออกมาระบุว่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งจะตีความได้อย่างไร อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการเมืองวันนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกทั้ง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะสามารถผ่านสภาไปได้ แล้วนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้านได้แน่นอน

 

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ส่วนกลุ่มที่ต่อต้านนั้น หากนักธุรกิจ 3 คน ประกอบด้วย ธนาคาร พ่อค้าหมูเห็ดเป็ดไก่ และคนขายของมึนเมา ไม่ให้เงินสนับสนุนก็จะไม่มีผู้ชุมนุม ซึ่งที่ผ่านมา 3 กลุ่มนี้ออกมาสนับสนุนโดยเงินจำนวนมาก แล้วรัฐบาลจะอยู่ได้อย่างไร ทั้งนี้ฝากเตือนว่าขออย่ามายุ่งเลย เพราะตนไม่ยอม และจะประจาน

 

 

มติชน

ท่านก็ดีแต่ตีปลาหน้าไซนั่นหล่ะ บอกทราบนู่นทราบนี่ หน้าแหกตั้งแต่ นายพล นะคะมวยแล้ว

ตั้งแต่มีการปล้นบ้านปลัด ท่านเหลิมออกมาพูดๆๆจนเคลิบเคลิ้ม เป้นความหวังที่จะได้จับตัวคนร้ายแล้วทุกอย่างก็เลือนหายไป

 5555 ขำกลิ้ง มีปัญญาแค่ประจาน แต่ปัญญาที่จะหยุดยั้งไม่มี ช่างเก่งเนอะsmiley

 

//////////////

 

 

 

  ฉีกใบสั่งทิ้ง…ไม่มีความผิด

 

 

  




               นาย ก. ขับมินิคูเปอร์ ป้ายทะเบียน 8888 ไปจอดในที่ห้ามจอด ตำรวจจราจรมาพบ จึงเขียนใบสั่งติดไว้หน้ารถโดยเอาที่ปัดน้ำฝนทาบไว้  เป็นเวลาเดียวกับที่นาย ก. เดินกลับมาที่รถพอดี นาย ก.เห็นใบสั่งจึงหยิบมาดู จากนั้นก็ฉีกใบสั่งทิ้งต่อหน้าตำรวจจราจรคนนั้น นาย ก. จะมีความผิดใดหรือไม่ ?

 


               ตำรวจจราจรได้ฟ้องนาย ก. ขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 369 ฐานทำให้เอกสารที่เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ได้ปิดหรือแสดงไว้ หลุดฉีกหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ   

 


               ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ใบสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจจราจร เป็นเพียงหนังสือจากบุคคลหนึ่งถึงบุคคลหนึ่ง เพื่อสั่งให้บุคคลนั้นกระทำการคือ ให้ไปรายงานตัว เมื่อจำเลยได้รับใบสั่งนั้นแล้ว ก็ถือว่าหนังสือนั้นได้สมประโยชน์ตามนั้นแล้ว และคำว่าเอกสารใดที่เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ปิดหรือแสดงไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 369 นั้น หมายถึง เอกสารที่ปิดหรือแสดงไว้ ในลักษณะทำนองประกาศหรือภาพโฆษณา หาได้หมายถึงคำสั่งหรือใบสั่งถึงบุคคลเฉพาะตัว เช่น ใบสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจจราจรที่ให้ไปรายงานตัวไม่ ฉะนั้น เมื่อนาย ก.ได้รับใบสั่งดังกล่าว แม้นาย ก.จะฉีกทำให้เสียหาย ก็หามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 369 ไม่ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1181/2506)


ปลายมีนา  บัววัฒน์ (ทนายความ)
www.fpmconsultant.com

 

 

 • รู้ไว้ใช่ว่า...อัตราค่าปรับตามกฎหมายจราจรทางบก


.....

 

 

*********************************

 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก trafficpolice.go.th , highwaypolice.org

ว่ากันด้วยเรื่องของกฎจราจร... ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถติดกว่าที่ควรจะเป็น โดยต้นเหตุหลัก ๆ อยู่ที่ผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามกฎ เรียกได้ว่าขับรถเอาแต่ใจ ชนิดจะปาดซ้าย แซงขวา ก็ทำกันตามใจชอบไม่แคร์สายตาคุณตำรวจจราจรเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าทาง บก.จร. จะออกกฎคุมเข้มแล้วก็ตาม

และเมื่อปัญหารถเยอะ บวกกับผู้ฝ่าฝืนกฎ ทำให้รถติดหนึบยิ่งเข้าไปใหญ่ ทาง บก.จร. ก็เลยขอกลับมาใช้การตั้งด่านในช่วงกลางวันอีกครั้ง หลังจากที่ประกาศยกเลิกใช้ไปเมื่อปลายปีก่อน งานนี้ผู้ขับขี่ที่ชอบลักไก่ คงร้อน ๆ หนาว ๆ กันน่าดู...

กระปุกคาร์ ขอนำข้อมูลเกี่ยวกับอัตราค่าปรับ ตาม พ.ร.บ. จราจร พ.ศ. 2552 มาให้คนใช้รถใช้ถนนได้ทราบกันว่า หากเราทำผิดกฎตามกฎหมายแล้วจะต้องเสียค่าปรับเท่าไร (เผื่อไปเจอคุณตำรวจลักไก่ จะได้ไม่ต้องควักเงินเกินค่าปรับยังไงล่ะ)

ข้อหา ฐานความผิด บทมาตรา และอัตราโทษ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง พ.ศ. 2538) และการเปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิด นั้นให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ (กรมตำรวจ) ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 และเพิ่มเติมฉบับที่ 4 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2540 ตามลำดับ

1. นำรถที่ไม่มั่นคงแข็งแรงอาจเกิดอันตรายหรือทำให้เสื่อมเสีย สุขภาพอนามัย มาใช้ในทางเดินรถ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

2. นำรถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทางเดินรถ


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

3. นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่นควัน ละอองเคมี เกินเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดมาใช้ในทางเดินรถ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 500 บาท

4. นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดเสียงเกินเกณฑ์ที่กำหนดมาใช้ ในทางเดินรถ


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 500 บาท

5. ขับรถในทางไม่เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างในเวลาที่มีแสง สว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นคน รถ หรือสิ่งกีดขวาง ในทางได้โดยชัดแจ้งภายในระยะ 150 เมตร

อัตราโทษ : 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

6. ใช้สัญญาณไฟวับวาบผิดเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

7. ขับรถบรรทุกของยื่นเกินความยาวของตัวรถในทางเดิน รถไม่ติดธงสีแดง ไว้ตอนปลายสุดให้มองเห็นได้ภายในระยะ 150 เมตร


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด :ปรับ 300 บาท

8. ขับรถบรรทุกวัตถุระเบิด หรือ วัตถุอันตรายไม่จัดให้มีป้ายแสดงถึงวัตถุ ที่บรรทุก


อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

9. ขับรถไม่จัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้คน สัตว์ หรือสิ่งของที่บรรทุก ตกหล่น รั่วไหล ส่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจาก รถอันอาจก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญ ทำให้ทางสกปรกเปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพ อนามัยแก่ประชาชนหรือก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

10. ขับรถไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หรือทำให้ปรากฏ ในทาง หรือที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ทราบ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

11. ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

12. ไม่หยุดรถหลังเส้น ให้รถหยุดเมื่อมีสัญญาณไฟแดง

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

13. ขับรถไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ปรากฏด้วยมือ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

14. ไม่หยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด หรือหยุดรถห่างจากพนักงานเจ้าหน้าที่น้อยกว่าสามเมตร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

15. ทำให้ปรากฏซึ่งสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรที่กำหนดในทางเดินรถโดยไม่มีอำนาจ


อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

16. ไม่ขับรถที่มีความเร็วช้าให้ใกล้ขอบทางด้านซ้ายในทางเดินรถที่มีสวนกันได้

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200-500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

17. ไม่ขับรถบรรทุก รถบรรทุกคนโดยสารรถจักรยานยนต์ที่มีความเร็วช้าในช่องเดินรถซ้ายสุด ในทางเดินรถที่แบ่งช่องเดินรถไว้ตั้งแต่สองช่องขึ้นไป

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท

18. เลี้ยวรถหรือเปลี่ยนช่องเดินรถโดยไม่ให้สัญญาณ

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

19. ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น

อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท

20. ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร

อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับตั้งแต่ 2,000 –10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

21. ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร


อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400 – 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

22. ขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร (เว้นแต่รถเข็นสำหรับทารก คนป่วย หรือคนพิการ)

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

23. ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นทางด้านซ้ายมือโดยไม่มีเหตุอันสมควร

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

24. ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นขณะขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง ซึ่งไม่มีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้


อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

25. ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นภายในระยะ 30 เมตร ก่อนถึงทางแยก

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

26. ขับรถออกจากที่จอดเมื่อมีรถจอดหรือสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้าโดยไม่ให้สัญญาณมือหรือแขน หรือสัญญาณไฟ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

27. กลับรถในทางเดินรถกีดขวางการจราจร

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200-500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

28. กลับรถในระยะ 100 เมตร จากเชิงสะพาน


อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

29. กลับรถที่ทางร่วมทางแยก (เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้กลับรถได้)


อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

30. หยุดรถหรือจอดรถในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรที่อธิบดีกำหนดในทางเดินรถโดยไม่มีอำนาจ


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

31. ไม่จอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

32. จอดรถไม่ขนานชิดกับขอบทางหรือไหล่ทางในระยะห่างเกินกว่า 25 เซนติเมตร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

33. หยุดรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุผลสมควร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

34. หยุดรถตรงปากทางเข้าออกของอาคาร หรือทางเดินรถ โดยไม่มีเหตุผลสมควร


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

35. จอดรถบนทางเท้า

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

36. จอดรถบนสะพานหรือในอุโมงค์

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท

37.จอดรถในทางร่วมทางแยก หรือภายในระยะ 10 เมตร จากทางร่วมทางแยก

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

38. จอดรถในเขตที่มีเครื่องหมายห้ามจอด

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

39. จอดรถภายในระยะ 15 เมตร ก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจำทางและเลยเครื่องหมายไปอีก 3 เมตร


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

40. จอดรถในลักษณะกีดขวางการจราจร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

42.ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเครื่องมือบังคับ รถ มิให้เคลื่อนย้าย


อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือ ปรับไม่เกิน 5,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

43. จอดรถในทางเดินรถหรือไหล่ทางโดยไม่เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างเพียงพอ ที่จะเห็นรถที่จอดนั้นได้ชัดแจ้งในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200 - 500บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

44.ขับรถเร็วเกินอัตรากำหนด

อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200 - 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

45. ไม่ยอมให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นผ่านไปก่อน เมื่อขับรถถึงทางร่วมทาง แยกทีหลัง

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

46.ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของผู้อื่น แล้วไม่หยุดช่วยเหลือแสดงตัว และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที


อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับตั้งแต่ 2,000 –10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

47. ขับรถแท็กซี่ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร (เว้นแต่ กรณีจะเกิดอันตรายแก่ตนหรือแก่คนโดยสาร)

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

48.ไม่เดินบนทางเท้าหรือไหล่ทางเมื่อทางนั้น มีทางเท้าหรือไหล่ทางอยู่ข้างทางเดินรถ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 200 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 100 บาท

49.เดินข้ามทางนอกทางข้าม เมื่อมีทางข้ามอยู่ภายในระยะ100 เมตร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 200 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 100 บาท

50.ขี่ จูง ไล่ ต้อน หรือปล่อยสัตว์ไปบนทาง ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร และไม่มีผู้ควบคุมเพียงพอ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

51.วาง ตั้ง ยื่น หรือ แขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร โดยไม่ได้รับอนุญาต


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

52. ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย (มิให้ใช้บังคับแก่ภิกษุสามเณร นักพรต นักบวช ผู้นับถือลัทธิศาสนาที่ใช้ผ้าโพกศรีษะตามประเพณีนิยม


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

53.โดยสารรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย (มิให้ใช้บังคับแก่ภิกษุสามเณร นักพรต นักบวช ผู้นับถือลัทธิศาสนาที่ใช้ผ้าโพกศรีษะตามประเพณีนิยม


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

54. ยินยอมให้ผู้อื่นนั่งตอนหน้าแถวเดียวกับคนขับเกิน 2 คน


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

55. เป็นผู้ขับรถโดยสารประจำทาง รถบรรทุกคนโดยสารรถโรงเรียน รถแท็กซี่ ยินยอมให้ผู้โดยสารขึ้นหรือลง รถยนต์ในขณะที่รถหยุดเพื่อรอสัญญาณไฟ หรือหยุดเพราะติดการจราจร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

56. ขับรถตามหลังรถฉุกเฉินซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ในระยะไม่ถึง 50 เมตร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

57. กระทำด้วยประการใด ๆ บนทางอันเป็นการกีดขวางของการจราจร

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

58. ฝ่าฝืนคำสั่งข้อบังคับหรือระเบียบของเจ้าพนักงานจราจรซึ่งสั่งหรือประกาศ ห้าม หยุดหรือ จอด

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท


 


ข้อหา ฐานความผิด บทมาตรา และอัตราโทษ ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง พ.ศ.2537)


1. ใช้รถไม่จดทะเบียน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

2. ใช้รถไม่เสียภาษีประจำปีภายในเขตกำหนด

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

3. ใช้รถไม่แสดงเครื่องหมายเสียภาษี

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

4. ใช้รถไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

5. ใช้รถที่มีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน

อัตราโทษ :ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

6. เปลี่ยนแปลงสีของรถผิดจากที่จดทะเบียนไว้

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

7. เปลี่ยนแปลงตัวรถหรือ ส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดจากไปที่ จดทะเบียน


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

8. ขับรถยนตร์ที่มีไว้เพื่อขายหรือเพื่อซ่อม (รถป้ายแดง) ระหว่างพระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น เวลากลางคืน) โดยไม่มีความจำเป็นและได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

9. ขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาตขับรถ

อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

10. ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับรถที่จะแสดงได้ทันที (เว้นแต่ผู้ฝึกหัดขับรถตาม)

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

11. ขับรถไม่มีสำเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถที่จะแสดงได้ทันที


อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

12. ยินยอมให้ผู้ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับรถ เข้าขับรถของตน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

13. รับจ้างรถบรรทุกคนโดยสาร โดยใช้รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร ไม่เกิน 7 คน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

14. ขับรถระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

15. ใช้เครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้สำหรับรถคันหนึ่งกับรถ อีกคันหนึ่ง

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

 

 

************************

 

 

 

 

 

 

 

 อ้าว.... พธม.ร้อง ตลก.รธน.อีกแล้วหรือครับ
จะร้องอะไรก็ร้องไปเถิด ไม่น่าแปลกอะไรอยู๋แล้ว
แต่ถ้าถึงขั้นยุบพรรคการเมืองเขาไปทั้ง 4 พรรค ตัดสิทธิอีก 5 ปี
แล้วประเทศนี้จะเป็นอย่างไร?


พวกท่านล้วนเป็นผู้ผ่านประสบการณ์มามากมาย
รองใช้วิจารณญาณดูเถิดครับ
แต่ถ้าคิดว่าประเทศนี้เป็นของท่านแล้ว จะทำอะไรก็ได้ ก็เชิญตามสบายเถิดครับ

 

 

*******************************

 

 

                                       มอเตอร์ไซค์อาฟริกา

 

 

[IMG]

[IMG]

[IMG]

[IMG]

[IMG]
 

 

 

 

[IMG]

 

             

guest

Post : 2013-05-22 22:11:22.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  หมั่นไส้นานเเล้ว

 

                  

              หมั่นไส้นานเเล้ว...

 

 

                

 

 

 

 

....ไปเลยไป หวดอยู่ได้ หลังลายหมด

 

ตีเอวคด เเอ่นโย้หน้า บ้าเเล้วหรือ?

 

เฆี่ยนอยู่ได้ ชอบโชว์อวด หวดด้วยมือ

 

เห็นไม่ถือ เลยได้ใจ ไล่ตีเพลิน

 

 

 

....นี่เเหนะสม น้ำหน้า ทีข้าบ้าง

 

เป็นตัวอย่าง ดูจะจะ กระเด็นเหิน

 

เอาให้เเข้ง ขาหลุด สะดุดเดิน

 

ชอบโชว์เกิน จะได้จำ ทำไม่ดี....

 

 

 

*****************************************

 

 

   วิธีการ ขายสินค้า ผ่านเว็บ ทำการตลาดออนไลน์

 

(โดยคุณ beauty cosme' )


1. อยากเปิดร้านขายของบนเว็บ ทำยังไง? จำเป็นไหมต้องทำเว็บเองเป็น
หรือต้องจ้างคนเขียนเว็บ?


จริง ๆ แล้ว การขายของผ่านอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้ง่ายกว่าในสมัยก่อนมากครับ
ยิ่งเดี๋ยวนี้ Technology และการแข่งขันที่สูงขึ้น ก็ยิ่งสร้างโอกาสให้คุณสามารถมีร้านค้าออนไลน์ได้ง่าย
ๆ เลยทีเดียว ฉนั้น เรื่องของการเปิดร้านขายของนั้น ผมว่า คุณไม่น่าซีเรียสนักหรอกครับ
เทียบกับสมัยก่อนแล้ว การทำเว็บขายของ ถ้าเขียนโปรแกรมไม่เป็น ต้องจ้างคนทำอย่างเดียวเลย

ถ้าถามว่า จำเป็นไหม ต้องทำเว็บเป็น หรือต้องจ้างคนมาเขียนเว็บ?

ผมขอตอบดังนี้ครับ >> หากคุณยังไม่ได้ทำธุรกิจค้าขายสินค้าออนไลน์ที่เป็นรูปแบบเต็มตัวอย่าง amazon.com ผมคิดว่าในตอนเริ่มแรกนั้น คุณไม่น่าจะจำเป็นต้องจ้างคนเขียนเว็บ ยกเว้นแต่ว่า คุณมีความสามารถในการทำเว็บเองได้ สามารถเขียนโปรแกรมเว็บได้ด้วยตัวเอง ที่สำคัญ ออกแบบเว็บให้สวยได้ด้วยตัวเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณอยากจะทำเองก็ได้ครับไม่มีปัญหาอะไร (ดีซะอีกด้วย เพราะสามารถปรับแต่งให้เป็นไปในแบบที่คุณต้องการได้ โดยเฉพาะคนที่มีหัวทางด้านการออกแบบก็ยิ่งไปได้สวยเลย)

แต่สำหรับคนที่ทำเว็บไม่เป็น แต่อยากขายของ ซึ่งคุณเองก็ยังไม่รู้เลยว่า ทำไปแล้วจะประสบความสำเร็จสักแค่ไหน ในแรกเริ่มต้น ผมแนะนำว่า ให้ลองหาเว็บสำเร็จรูปดี ๆ ซักเว็บ แล้วลงสินค้าที่คุณต้องการขายดู

สาเหตุที่ผมแนะนำแบบนี้ เพราะผมเอง เคยมีประสบการณ์ในการทำเว็บขายของด้วยตัวเองมาก่อน
และผมรู้เลยว่า ถ้าจะทำระบบให้สมบูรณ์แบบนั้น ค่อนข้างใช้เวลานานเลยทีเดียว กินเวลาเป็นเดือน
(โดยเฉพาะคนที่มีงานประจำทำอยู่แล้ว) กว่าจะเสร็จ ก็เหนื่อยเอาการทีเดียว ซึ่งพอผมทำเว็บเสร็จ
เริ่มขายของผ่านเน็ตจริง ๆ ผมก็พบว่า จุดสำคัญของการขายสินค้าผ่านเน็ตนั้น ไม่ได้อยู่ที่เว็บสวย
ดีไซนด์ดีเพียงอย่างเดียว แต่จุดสำคัญของการขายสินค้าผ่านเน็ตคือ ?สินค้า?
และ ?ลูกค้า? ครับ

การสมัครเพื่อลงโฆษณาขายสินค้าในเว็บร้านค้าสำเร็จรูป อาจจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากบ้าง แต่ว่า ยังไงซะก็ง่ายกว่านั่งเขียนเว็บด้วยตัวเองเป็นร้อยเท่าเลยจริง ๆ (อันนี้ผมฟันธงเลย)
เพราะถ้าเราทำให้สมบูรณ์จริง ๆ ก็ต้องทำระบบบันทึกข้อมูลสินค้า ข้อมูลตรวจเช็กการสั่งซื้อ ข้อมูลลูกค้า.. ฯลฯ เยอะแยะมากมาย คิด ๆ แล้ว ไม่คุ้มแรงเลยจริง ๆ แต่ถ้ามองว่า จะไปจ้างคนเขียนเว็บให้มีระบบต่าง ๆ เหล่านี้ ผมประเมินคร่าว ๆ เลยว่า น่าจะไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท

นอกจากนี้เว็บร้านค้าสำเร็จรูปบางแห่ง จะทำรูปแบบเว็บของตนเป็นแบบ shopping mall online โดยจะรวบรวมสินค้าจากร้านค้าต่าง ๆ มารวมเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้คนที่สนใจในสินค้าหมวดนั้น ๆ ได้เข้าไปเลือกหาซื้อสินค้าที่ตนต้องการได้ ก็จะทำให้เว็บร้านค้าของคุณ มีโอกาสที่ลูกค้าจะแวะเข้าไปหา โดยที่คุณไม่ต้องไปโฆษณาโปรโมทที่ไหนเลยก็มี ทำให้นอกจากคุณจะมีเว็บร้านค้าของคุณแบบง่าย ๆ แล้ว คุณอาจจะมีลูกค้ารอซื้อสินค้าของคุณอยู่เลยก็ได้

เว็บร้านค้าออนไลน์ตอนนี้ มีหลายเจ้ามากเลยครับ สุดแท้แต่คุณจะเลือก หากคุณสนใจจะเปรียบเทียบว่าจะใช้เว็บร้านค้าออนไลน์เจ้าไหนดี? ผมแนะนำให้คุณลองเข้า www.google.com แล้วพิมพ์ว่า ? ฟรี ร้านค้าออนไลน์ ? หรือ ? เว็บสำเร็จรูป ? หรือ ?เปิด ร้านค้า ออนไลน์ ? เดี๋ยวก็มีขึ้นมาให้คุณเลือกเพียบเลยครับ ซึ่งเว็บร้านค้าออนไลน์เหล่านี้ จะมีข้อจำกัดอะไรบ้าง ก็ควรอ่านดูให้เรียบร้อย ลองเช็กดูหลาย ๆ เจ้าก่อน ค่อยตัดสินใจอีกทีก็ไม่สายครับ
เว็บร้านค้าออนไลน์แต่ละเจ้า จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หากคุณได้ลองใช้แล้ว ก็จะรู้ถึงข้อจำกัดต่าง ๆ เหล่านี้

สิ่งสำคัญที่อยากให้จำไว้ก็คือ ความสำเร็จจากการขายของออนไลน์ บางครั้งไม่ใช่ที่เว็บนั้น
ทำขึ้นมาสวยงาม เป็นของเราเอง แต่จุดสำคัญของการขายนั้น นอกจากความสวยงาม ก็คือ
?ตลาด หรือ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา?
และ ?สินค้า? ที่คุณขายนั่นเอง
เพราะว่า เว็บสวย? แต่สินค้าไม่โดนใจตลาด หรือ มีเว็บ แต่ไม่มีคนเข้ามาซื้อ ก็เรียกว่า
ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดีครับ

โฟกัสให้ถูกจุดนะครับ

การที่ผมบอกว่า อยู่ที่ ?สินค้า? และ ?ลูกค้า? นั่นก็เพราะว่า ถ้าเราเปิดร้านขายของ แต่โปรโมทเว็บให้กับกลุ่มลูกค้าผิดประเภท เว็บคุณก็อาจจะขายอะไรไม่ได้เลยก็ได้ หรือแม้แต่ตัวสินค้าเองก็ตาม ถ้าสินค้าที่เรานำมาขายนั้น เราอาจจะคิดว่าคนอื่นน่าจะชอบ น่าจะขายได้ แต่พอขายจริง ๆ แล้ว กลับขายไม่ดีอย่างที่คิด ในขณะที่บางคนก็คิดว่า ต้องขายเฉพาะ สินค้า Entertainment หรือ ?สินค้าเถื่อน? เช่น VCD MP3 เท่านั้น ถึงจะขายผ่านเน็ตได้ สิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิดถนัดครับ สินค้าที่ขายผ่านเน็ตนั้น มีมากมายที่ขายได้จริง (เช่น สินค้า Fashion , Books ฯลฯ ) ขอเพียงแค่คุณโปรโมทให้ถูกกลุ่มเป้าหมายแค่นั้น คุณก็สามารถขายสินค้าของคุณได้อย่างแน่นอน
หรืออยากขายสินค้าจำพวกเครื่องสำอางแบบ beauty cosme' ของเราก็ยินดีครับ


2. มีเว็บขายสินค้าแล้ว จะทำยังไงให้คนเข้ามาในเว็บร้านค้าของเรา?

หลายครั้งเลยทีเดียว ที่ผมเห็นคนที่เปิดร้านขายสินค้าออนไลน์ พอเปิดขึ้นมาแล้ว ก็งง ๆ ไม่รู้จำทำยังไงต่อไป??? ? นั่นสิ? ทำยังไงล่ะ? ผมเองก็เคยมีคำถามนั้นเหมือนกัน นั่งเขียนเว็บเป็นเดือน ๆ กว่าจะถ่ายภาพสินค้าเสร็จ กว่าจะเอาภาพสินค้ามาแต่ง กว่าจะเอาภาพขึ้นเว็บ กว่าจะเขียนรายละเอียดสินค้า ฯลฯ เหนื่อยมาก พอทำเว็บเสร็จ แสนจะดีใจ? แต่ก็แค่นั้นครับ พอเปิดเว็บได้แล้ว ก็ต้องมานั่งคิดต่อว่า จะทำไงต่อดีล่ะ? ใครจะเข้ามาดูเว็บผม? หรือว่า google จะเข้ามาหาเว็บผมเองรึ? หรือว่าลูกค้า search จาก google จนมาเจอเรารึ? ตอนนั้น ผมก็คิดได้ตื้น ๆ แค่นั้นจริง ๆ ครับ จากนั้นก็คิดเยอะขึ้นมาอีกนิด? อืม.. ผมน่าจะลองไปโพสตามเว็บดัง ๆ อย่าง sanook หรือ pantip? ซึ่งมีคนเข้ามาที่เว็บเยอะแยะ น่าจะมีคนเห็นข้อความเราแล้วก็เข้ามาดูเว็บเราบ้าง?

ผมเชื่อเลยว่า ต้องมีหลายคนทีเดียวที่คิดแบบนี้? แต่ที่แน่ ๆ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เปิดเว็บไว้เฉย ๆ คงไม่มีคนรู้จักเว็บเราเป็นแน่ ฉนั้น หากคุณคิดจะขายของบนเน็ต คุณก็ต้องรู้จักวิธีการโปรโมตเว็บครับ

ในส่วนนี้ ผมเลยอยากจะอธิบายหลักการโปรโมตเว็บ ที่ผมและอีกหลาย ๆ ร้านค้าออนไลน์ เคยใช้กันมา ให้ลองใช้ดูครับ ได้แก่

1.ลองไปลงโฆษณาตามเว็บที่ให้คุณประกาศซื้อ - ขายสินค้าได้
ซึงเว็บเหล่านี้ จะแยกหมวดสินค้าเอาไว้ เพื่อให้คนที่ต้องการสินค้าในหมวดนั้น
ๆ ได้เข้ามาเลือกหาสินค้าที่ต้องการ แล้วก็ทำให้มีโอกาสที่จะมาเจอประกาศโฆษณาขายสินค้าของคุณเองก็ได้
โดยเว็บประกาศขายสินค้าในปัจจุบันนี้ มีมากมายจริง ๆ หากคุณอยากรู้จักว่า มีที่ไหนบ้าง?
ก็ลองเข้า google แล้วพิม์ ?ประกาศ ซื้อ ขาย สินค้า? หรืออะไรประมาณนี้
เดี๋ยวก็ขึ้นมาเพียบเลยครับ แนะนำให้เลือกเว็บที่ดัง ๆ หน่อย จะมีคนเห็นโฆษณาของคุณเยอะขึ้นครับ
เช่น www.pantipmarket.com,
http://classified.sanook.com,
http://market.mthai.com,

ฯลฯ การโฆษณานี้ ไม่จำเป็นต้องลงอยู่เพียงที่เดียว การลงหลาย ๆ ที่จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้ลูกค้า
เข้ามาในเว็บร้านค้าของคุณมากขึ้น ลองดูนะครับ


2.ลองหาเว็บที่ขายของลักษณะเดียวกัน แล้ว ?ขอแลก Link? กับเว็บร้านค้าต่าง
ๆ เหล่านั้นดูครับ การแลกเปลี่ยน Link นั้น เราควรจะแลกกับเว็บร้านค้าที่ขายแบบจริง
ๆ จัง ๆ มีการทำตลาดดี ๆ ซึ่งแน่นอน ก็เป็นเหมือนร้านค้าต่างพึ่งพากัน ลูกค้าของร้านนี้
อาจจะเป็นลูกค้าในอนาคตของเราก็ได้ หรือไม่ก็ เขาอาจจะแนะนำให้คนอื่นแวะเข้ามาหาซื้อสินค้าในเว็บของคุณในอนาคตก็ได้


3.หากคุณมั่นใจว่า สินค้าของคุณ เป็นที่ต้องการของคนอื่น ๆ แน่นอน สามารถขายได้
มีกำไร ผมอยากแนะให้คุณ ซื้อ ?ตำแหน่งโฆษณาพิเศษ? ในเว็บประกาศดัง
ๆ ครับ ทั้งนี้ ให้คุณลองคำนวณดูว่า ค่าใช้จ่ายที่เสียไปแล้วนั้น หากเป็นรายได้กลับคืนมา
จะได้คุ้มกับที่เสียไปไหม? บางครั้ง เราอาจจะคิดว่า ค่าโฆษณาดูแพง แล้วไม่อยากลงทุนในจุดนี้
แต่ผมอยากให้มองกลับกันครับ ให้นึกว่า การจ่ายเงินตรงนี้ ถือเป็นการลงทุนอย่างนึง
ผมเชื่อ และเคยพบเห็นมาหลายครั้งแล้วว่า ร้านค้าต่าง ๆ ที่เสียเงินโฆษณานั้น
เขาขายได้มากขึ้นจริง ๆ และรายได้ที่ได้นั้น มากกว่าค่าใช้จ่ายที่เสียไป ถือเป็นการลงทุนที่คุ้ม
เพราะลูกค้าจะแวะมาเข้าร้านมากขึ้น และลูกค้าเหล่านี้ อาจจะไม่ได้ซื้อกับเราแค่ครั้งเดียว
แต่ในอนาคต เขาอาจจะแวะกลับมาซื้อสินค้าในร้านคุณอีกก็ได้


4.ในระยะยาวแล้ว หากคุณอยากให้เว็บของคุณมีคนเข้ามาเรื่อย ๆ และมากขึ้น นอกจากการโฆษณาฟรี
หรือโฆษณาพิเศษแบบเสียเงิน อีกทางหนึ่งของการโฆษณาที่ได้ผลคือ การทำให้เว็บของคุณ
ติดอันดับอยู่ใน Search Engine ดัง ๆ อย่าง Google เพราะจะทำให้คนค้นหาสินค้าของคุณแล้วเจอง่าย
ๆ และเพิ่มโอกาสทางการขายของคุณให้มากขึ้นอีกด้วย การทำเว็บให้ติดอันดับใน google
นั้น หลาย ๆ ท่านมักเรียกวิธีนี้ว่า ?การทำ SEO?
หรือ ?Search Engine Optimization?
โดยขั้นตอนและวิธีการทำ SEO นั้น คุณสามารถหาอ่านบทความต่าง ๆ อย่างคร่าว ๆ ได้ทางเน็ตครับ
เข้า google แล้วพิมพ์ ?การทำ SEO? หรืออะไรประมาณนี้ เดี๋ยวก็ขึ้นมาให้คุณได้ศึกษาคร่าว
ๆ เพียบเลยครับ เอาไว้มีเวลา ผมจะมาเขียนบทความการทำ SEO กับการขายของผ่านเน็ตอีกทีครับ
ที่กล่าวมา 4 ข้อข้างต้นนั้น เป็นวิธีทั่ว ๆ ไปที่ใช้กัน และค่อนข้างได้ผลทีเดียว
ความสำเร็จ อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในวัน หรือ 2 วัน อาจจะกินเวลามากกว่านั้น แต่เชื่อเถอะว่า
ถ้าคุณทำ โอกาสสำเร็จก็มีไปกว่าครึ่งแล้วครับ

จะทำเว็บให้เป็นที่รู้จักนั้น เราต้องไม่ขี้เกียจครับ เจียดเวลาซักนิด โปรโมทมาก
ๆ หน่อย เพื่อยอดขายที่ดีในอนาคตครับ

อย่าง beauty cosme' ของเราลองหาใน google ดูนะครับ
เราเป็นเจ้า "ขายส่งเครื่องสำอางเกาหลี" "ขายส่งbergamo" ฯลฯ ก็จะติดอันดับต้นๆใน google ครับ


3. คนเข้ามาในเว็บเราแล้ว แต่ไม่ยักกะซื้อสินค้าแฮะ?
เพราะอะไรหนอ?

นี่ก็เป็นอีก 1 ในหลาย ๆ ปัญหาที่คนขายของผ่านเน็ตมักพบเจอ
การที่ลูกค้าเข้ามาในเว็บแล้วไม่ซื้อสินค้านั้น เกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่อไปนี้

?ร้านค้าดูไม่น่าเชื่อถือ
?สินค้าดูไม่น่าสนใจ
ร้านค้าดูไม่น่าเชื่อถือนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเลย
เช่น

1.เว็บร้านค้าดูไม่สวย การจัดวางหน้าเว็บดูมั่วไปหมดจนไม่อยากจะดูหน้าถัดไป


2.เว็บนั้นไม่มีการ update อะไรเลย เคยเข้ามาเมื่อ 3 เดือนก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น
ทำให้ไม่แน่ใจว่า เว็บนี้ยังมีตัวตนอยู่ หรือว่าเว็บร้าง


3.ไม่มีคำแนะนำ อธิบาย วิธีการใด ๆ เลย เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
ก็ไม่รู้ว่าจะถามใครได้? ถึงแม้ว่าเราจะเตรียม email ให้เขาติดต่อก็ตาม? แต่เชื่อเถอะว่า
การสอบถามทาง email นั้น บางครั้งก็ไม่ได้ดึงดูดใจให้คนคลิกเพื่อพิมพ์ไปสอบถามซักเท่าไหร่นักหรอก


4.ความไม่น่าเชื่อถือของร้านนั้น นอกจากที่กล่าวมา อาจจะเกิดขึ้นได้กับกรณีที่ลูกค้าเก่าที่ไม่ประทับใจในสินค้าหรือบริการ
นำไปโพสด่าว่าในเว็บบอร์ดต่าง ๆ ซึ่งเชื่อเถอะว่า เดี๋ยวนี้ คนซื้อสินค้าบางคน
เขาก็ search ข้อมูลร้านของคุณก่อนจะสั่งซื้อสินค้า โดยเอาชื่อร้านไป search
ใน google ดูว่า ประวัติร้านนี้เป็นไงมั่ง? เคยมีใครโดนร้านค้านี้หลอกหรือไม่?
ที่พูดมาเช่นนี้ เพราะผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่า ถ้าเราต้องการขายสินค้าใด ๆ ก็ตาม
การบริการต้องมาเป็นอันดับแรก ถ้าบริการดี ลูกค้าก็จะไปพูดบอกต่อ แต่ถ้าบริการแย่
แม้เพียงครั้งเดียว ก็อาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์แย่ ๆ ตามมาภายหลังได้

 

วิธีการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้านั้น สามารถทำได้ดังต่อไปนี้



1.ปรับเปลี่ยนร้านให้ดูเป็นระเบียบ จัดวางสินค้าในตำแหน่งที่ดี หมั่นปรับเปลี่ยนหน้าร้านสม่ำเสมอ


2.การเขียนบทความ หรือข่าวสาร ให้ลูกค้าได้อ่านบ้าง โดยข่าวสารนั้น อาจจะเป็นข่าวสารดี
ๆ เกี่ยวกับวิธีการเลือกซื้อสินค้าที่คุณขาย หรือวิธีการใช้สินค้าอย่างถูกวิธี
ฯลฯ ซึ่งบางครั้งข่าวสารเหล่านี้ก็ทำให้ร้านค้าของคุณดูน่าเชื่อถือมากขึ้น


3.ควรมีระบบเว็บบอร์ด ที่มีการพูดคุยโต้ตอบกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ (อย่าปล่อยให้เว็บบอร์ดร้าง
หรือไม่มีข้อความใด ๆ เลย เพราะลูกค้าอาจจะคิดว่าเว็บนี้ไม่ดี เพราะไม่มีใครมาพูดคุยอะไรในเว็บบอร์ดซักคน)
เชื่อผมเถอะว่า ส่วนใหญ่ลูกค้าที่เข้ามา ก็อยากจะเห็นว่าเว็บของคุณ เคยมีคนมาซื้อสินค้า
และได้สินค้าจริง ๆ ซึ่งเว็บบอร์ดนี้ บางครั้งจะช่วยให้ร้านของคุณดูน่าเชื่อถือขึ้นมากทีเดียว
โดยเฉพาะถ้ามีลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าไปแล้ว และมาพูดชมสินค้า หรือบริการของร้านคุณในเว็บบอร์ด
ก็จะทำให้ลูกค้าใหม่ที่เข้ามาที่ร้านของคุณ แล้วมาเจอกระทู้นี้ เกิดความเชื่อมั่นในร้านค้าของคุณมากขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว


4.มีช่องทางให้ลูกค้าติดต่อสอบถามให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น e-mail, เบอร์มือถือ,
โทรศัพท์, แฟกซ์, เว็บบอร์ด?



สินค้าดูไม่น่าสนใจ การที่สินค้าดูไม่น่าสนใจนั้น เกิดจากสาเหตุเช่น



1.รูปถ่ายสินค้า (Product Photo) ไม่ชัดเจนเพียงพอ.. ภาพถ่ายของสินค้านี่สำคัญเลยครับ
หากคุณขายของผ่านเน็ต คนซื้อสามารถสัมผัสได้เพียงแค่ ?ภาพ? และ ?เสียง?
ของสินค้าเท่านั้น ถ้าภาพสินค้าดูหม่น ๆ มืด ๆ ก็อาจจะทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่า
สินค้านั้นดูไม่มีราคาเลย

2.ไม่อธิบายรายละเอียดสินค้าให้เพียงพอ? บางครั้งคนเห็นสินค้าแต่รูป แต่ไม่รู้ว่าสินค้านี้
มีข้อดีอะไรบ้างที่จะทำให้เขาตัดสินใจซื้อ เขาก็อาจจะไม่สนใจสินค้าเลย


วิธีการเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้า สามารถทำได้ดังนี้ครับ

1.ให้ความสำคัญกับภาพสินค้าซักหน่อย หาองค์ประกอบดี ๆ มาวางถ่ายคู่กับสินค้า
หรือตกแต่งภาพซักนิดก่อนนำภาพสินค้ามาลง เพียงเท่านี้ ก็ทำให้สินค้าของคุณดูน่าสนใจขึ้นมากเลยทีเดียว

2.เขียนคำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าให้เพียงพอครับ ทางที่ดี คุณควรจะมีการเปรียบเทียบคุณสมบัติของสินค้า
หรือมีวิธีการแนะนำสินค้าอย่างละเอียด ให้ลูกค้าได้อ่านทำความเข้าใจ เป็นการประกอบการตัดสินใจซื้อที่ดีครับ


3.ถ้าเป็นไปได้ เปิดช่องให้ลูกค้าได้วิจารณ์เกี่ยวกับสินค้าครับ เพราะคำวิจารณ์สินค้าดี
ๆ ก็ช่วยให้สินค้าดูน่าเชื่อถือ และช่วยในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้มีมากขึ้น


4.มีโปรโมชั่นบ้างครับ เช่น ซื้อ 2 แถม 1 หรือ สะสมแต้มเพื่อซื้อสินค้าในราคาลดลงในอนาคต
หรือ ประมูลสินค้า? โปรโมชั่นดี ๆ จะดึงดูดใจให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้ามากขึ้น

5.นำเสนอภาพสินค้าที่ต้องการขาย หรือสินค้าจูงใจให้เด่น ๆ ครับ สินค้านี้ควรจะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปสนใจ
และสะดุดตาเมื่อพบเห็น โดยสอดแทรกภาพสินค้าอื่น ๆ หรือมี link ที่ทำให้คนเข้าไปเห็นภาพสินค้าอื่น
ๆ ด้วย ก็จะทำให้สินค้าอื่น ๆ ได้รับการพบเห็นมากขึ้นด้วย
ลองปรับเปลี่ยนตามคำแนะนำข้างต้นดูนะครับ เชื่อผมเถอะว่า ช่วยให้ร้านค้าของคุณขายดีขึ้นแน่นอน

เราอยากให้ขายดีกันทุกๆคนเลยนะครับ

 

4. การขายสินค้าออนไลน์ มีปัญหาอะไรบ้าง?



ปัญหาในการขายสินค้าออนไลน์นั้นมีมากมาย แล้วแต่คนที่พบเจอ แต่หลัก ๆ แล้ว เท่าที่พบส่วนใหญ่ก็คือ

1.ลูกค้าสั่งแล้ว ไม่จ่ายเงิน - มีหลายร้านค้าเลยทีเดียว ที่เพิ่งเปิดร้าน
แล้วต้องการสร้างเครดิตร้านตัวเองให้ดี ๆ ก็เลยรีบส่งสินค้าให้ลูกค้า (ทั้ง ๆ
ที่ลูกค้ายังไม่ได้โอนเงินมาให้เลย) มีจริง ๆ ครับ ร้านที่ทำแบบนี้ และลูกค้าที่สั่งแล้วไม่ยอมโอนเงินมาให้?
ถ้าคุณเพิ่งเปิดร้าน อย่าไว้ใจลูกค้าเกินไปครับ ควรแน่ใจเสียก่อนว่าเขาโอนเงินมาให้แล้ว
ค่อยส่งของให้ดีกว่าครับ


2.ส่งของผิด - ไม่ว่าจะเป็นส่งไม่ตรงตามที่ลูกค้าต้องการ หรือส่งผิดสถานที่
ปัญหาแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ แม้ว่าเราจะคิดว่าเป็นปัญหาเล็ก ๆ ก็ตาม แต่บางครั้งพอเกิดขึ้น
นอกจากเสียเครดิตจากลูกค้าแล้ว การตามสินค้าคืนนั้น ก็ลำบาก เสียเวลา และอาจจะทำให้กำไรหายไปเลยก็มี
ฉนั้น ก่อนจะส่งของ ควรยืนยันกับลูกค้าให้แน่นอน ว่าเขาสั่งสินค้านั้น ๆ มาแน่แล้ว
และสถาที่ส่งสินค้า คือที่นั่น ที่นี่ เพื่อความแน่ใจก่อนส่งสินค้า และที่สำคัญ
เก็บหลักฐานการส่งสินค้า (เช่นใบเสร็จ EMS) ไว้ให้ดีครับ จนกว่าว่า สินค้าจะไปถึงมือลูกค้าแน่แล้วจริง
ๆ เพราะไม่แน่ว่า ถ้ามีปัญหาสินค้าถูกตีคืนกลับมา คุณก็ยังเอาใบเสร็จไปขอรับของคืนได้


3.ลูกค้าส่งของกลับ บอกว่าตำหนิ และขอเปลี่ยน - เจอบ่อยครับ คุณควรจะตรวจสอบสภาพสินค้าก่อนส่งนะครับ
ให้แน่ใจว่าไม่มีตำหนิ แล้วก็บรรจุในบรรจุภัณฑ์กันกระแทกเสียหายให้ดีที่สุด จะได้แน่ใจว่าปัญหามาจากการขนส่ง
หรือลูกค้าทำเอง

4.อย่าพยายามขายสินค้าแบบเก็บเงินปลายทางครับ - เจอบ่อยเช่นกัน ลูกค้าหัวใส
ขอดูสินค้าก่อนจ่ายเงิน พอเปิดมาเห็นสินค้าไม่ถูกใจ ไม่เอาซะอย่างนั้น อันนี้เราก็แบกภาระค่าขนส่งไปเต็ม
ๆ อย่าประมาทครับ เราควรมีภาพถ่ายสินค้าที่ชัดเจน ให้ลูกค้าได้เห็นมากพอที่จะตัดสินใจซื้อจะดีกว่าครับ
จริง ๆ แล้วปัญหายังมีอีกมากมาย แล้วแต่ชนิดของสินค้า และความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ฉนั้น สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ เราควรมีกฎระเบียบในการขายที่ชัดเจนให้ลูกค้าทราบขั้นตอนการซื้อ
และมีการตรวจสอบการสั่งซื้อให้แน่ชัดตั้งแต่ตอนสั่งซื้อไปจนถึงส่งของ รวมถึงการตรวจเช็กสภาพสินค้าก่อนส่ง
เพราะข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายที่น่าเหนื่อยใจตามมากมากมายก็ได้ครับ

 

5 กลยุทธ์นี้น่าจะทำให้ประสบความสำเร็จทางการตลาดออนไลน์ในปีนี้

 

1.ผู้ชื่นชอบต้องทันสมัย
ผู้ชื่นชอบในที่นี้มิได้หมายถึงเฉพาะผู้ชื่นชอบหรือ Like ในเฟซบุ๊คเท่านั้น แต่รวมไปถึงผู้ติดตามในทวิตเตอร์ อีเมล์สมาชิกหรือลูกค้า หรือแม้กระทั้งหมายเลขโทรศัพท์ก็ตาม โดยจะต้องปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย เช่น ต้องไม่มีการส่งข้อความแล้วตีกลับ หรือติดต่อไม่ได้
จะต้องกระตุ้นให้ผู้ชื่นชอบที่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับแบรนด์ให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่นการสร้างกิจกรรม เกมร่วมรับรางวัล เป็นต้น ยิ่งกระตุ้นให้ผู้ชื่นชอบมีส่วนร่วมมากเท่าไร จะสามารถเข้าใจพฤติกรรมของพวกเขาได้มากขึ้นเท่านั้น เช่น การเรียนรู้พฤติกรรมจากการคลิกอ่านบทความผ่านอีเมล์ หรือการตอบกลับด้วยข้อความสั้น SMS เป็นต้น
ผลลัพธ์ที่ได้คือจะสื่อสารกับผู้ชื่นชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างโอกาสการขายและเพิ่มจำนวนผู้ชื่นชอบได้มากยิ่งขึ้น


2.เน้นที่ลูกค้าปัจจุบันมากกว่า

การได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ก็มีความสำคัญ แต่ต้นทุนหรือความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาลูกค้าปัจจุบันให้คงความเป็นลูกค้าต่อไปแล้ว "การรักษาลูกค้าปัจจุบันย่อมดีกว่า" จะต้องเน้นกลยุทธ์ในการดึงลูกค้าปัจจุบันให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ การตลาดออนไลน์ถือว่าเป็นการตลาดที่ต้นทุนไม่สูงและสามารถเข้าถึงลูกค้าปัจจุบันของคุณได้เป็นอย่างดี อาจจะใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อสนทนากับลูกค้าเหล่านี้ เพื่อจะได้ใจลูกค้าและสร้างความประทับใจได้ในที่สุด ...สุดท้าย ก็อาจจะได้ลูกค้าเป็นตัวแทนหรือ แบรนด์แอมบาสเตอร์ของก็ได้

 

3.นำเสนอให้แตกต่างกับลูกค้าที่ต่างกัน

ผู้บริโภคทุกคนต้องการการนำเสนอที่เป็นตรงใจและเป็นตัวของเขาเองมากกว่า การสร้างกลุ่มเป้าหมายย่อยด้วยการสื่อสารแบบส่วนบุคคล (Personalization) จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้บริโภค การสนทนาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยแอพพลิเคชั่น Social CRM จะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะเข้าใจผู้บริโภคได้มากขึ้น หรือการสื่อสารกับผู้บริโภคด้วยแอพพลิเคชั่นการตลาดอีเมล์ที่สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้บริโภคได้และส่งแคมเปญอีเมล์ใหม่จากพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นต้น



4.สร้างโปรไฟล์ของผู้ชื่นชอบ

ต้องให้ความสำคัญกับโปรไฟล์หรือข้อมูลเชิงลึกของผู้ชื่นชอบของคุณมากขึ้น ข้อมูลโปรไฟล์เหล่านี้จะช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยอาจเพิ่มคำถามเชิงลึกหลังจากที่ผู้ชื่นชอบหรือสมาชิกลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์

อีกกลยุทธ์ที่ได้รับนิยมมากขึ้นคือการดึงโปรไฟล์จากเว็บไซต์สังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Twitter หรือ G+ ในการลงทะเบียนหรือเข้าสู่ระบบในเว็บไซต์ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกของสมาชิก โดยที่ไม่ต้องถาม เพราะสามารถได้ข้อมูลของผู้ชื่นชอบทันทีจากเว็บไซต์สังคมออนไลน์เหล่านั้น
ผู้บริโภคยินดีที่จะให้ข้อมูลเชิงลึก หากเขาได้รับประโยชน์หรือบริการที่ดีมากยิ่งขึ้น


5.โมบายโมบายและโมบาย

โมบาย ทั้งสมาร์ทโฟนและแทบเล็ต จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการตลาดออนไลน์ของปี 2556 และอนาคต ดังนั้นจะต้องเตรียมกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ผ่านโมบายไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่เป็นโมบายไซต์? หรือโมบายแอพพลิเคชั่นรวมไปถึงกิจกรรมออนไลน์ที่เคยผ่านคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปมาสู่โมบาย อาทิการสั่งซื้อออนไลน์การชำระเงินออนไลน์หรือธุรกรรมต่างๆ

เพียงแค่ 5 กลยุทธ์นี้ ก็สามารถประสบความสำเร็จอย่างงามในการตลาดออนไลน์ของปีนี้แน่นอน

ลองไปทำดูกันนะครับ


 

 

***************************************

 

 

 

 

 

 

'เอาเงินมาจ้างเป็นคอมฯ'

 มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา

 

เช้าวันอังคาร เป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี จะมีประชาชนที่เดือดร้อนกลุ่มต่างๆ เดินทางมาร้องทุกข์อยู่เป็นประจำ และอังคารที่ผ่านมา ตัวแทน "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" (ผรท.) จากภาคอีสาน ยกขบวนมาพบกับ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความชัดเจนในแนวทางการช่วยเหลือ ผรท.ตามคำสั่งนายกฯ ยิ่งลักษณ์

 

การเคลื่อนไหวของ ผรท. กลายเป็นปัญหาเรียกร้องไม่รู้จบ อันต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว เพราะมี "แกนนำ ผรท." หลายคนร่ำรวยจากการเป็น "นายหน้า" หากินกับหัก "หัวคิว" อดีตสหายที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว

 

แกนนำพวกนี้ จะอ้างเรื่องคำสั่งที่ 66/2523 ว่า กองทัพจะดำเนินการช่วยเหลือ "ผู้กลับใจเข้ามอบตัว" ทั้งที่ พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ฯ ได้ยกเลิกไปแล้ว บังเอิญว่า รัฐบาลชุดก่อนได้ช่วยเหลือไปเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้เกิด "ลัทธิเอาอย่าง" ก่อกระแสแห่ขอเงินรัฐบาลอย่างกว้างขวาง

 

ขณะนี้ ปรากฏการณ์ "เอาเงินมาจ้างเป็นคอมมิวนิสต์" แพร่ระบาดไปในพื้นที่ "สีแดงเก่า" ซึ่งเคยเป็นเขตการสู้รบของทหารปลดแอกฯ กับทหารรัฐบาล เนื่องจากแกนนำไปปูดข่าวว่า รัฐบาลจะช่วยเหลือ ผรท.รุ่นตกค้าง โดยไม่จำกัดเฉพาะผู้ที่เคยเข้าป่าเท่านั้น

 

จึงมีชาวบ้านที่อยากได้เงินแสน พากันกำเงินสดๆ คนละ 1-2 พันบาท มาสมัครเป็นสมาชิก ผรท. ซึ่งแกนนำบางกลุ่ม จะบรรจุให้เป็น "สหาย" ในทันที มีทั้งชื่อจัดตั้ง และชื่อเขตงาน แถมเอกสารชุดหนึ่งให้ไปท่องจำไว้ เวลาที่ กอ.รมน.เรียกไปสอบ จะได้ตอบถูกว่า อยู่เขตงานไหน? มีหน้าที่อะไร?

 

วันก่อน นักข่าวสายทหาร "คม ชัด ลึก" ไปคุยกับ พล.ต.คณิต อุทิตสาร ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานการปฏิบัติที่ 4 กอ.รมน. จึงทราบว่า รัฐบาลสุรยุทธ์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ช่วยเหลือ ผรท.ทั่วประเทศไปแล้ว 9,181 ราย โดยจ่ายเงินให้รายละ 225,000 บาท เป็นงบประมาณ 1,961 ล้านบาท

 

เมื่อนายกฯ ยิ่งลักษณ์ มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ชุดตกค้าง โดยล่าสุด ที่ประชุมได้มีการอนุมัติการช่วยเหลือเงินค่าประกอบอาชีพให้กับ "ผรท.กลุ่มที่ 1" ที่ผ่านการพิจารณาอุทธรณ์ คัดกรอง จำนวน 1,175 ราย ให้การช่วยเหลือรายละ 225,000 บาท รวมเป็นเงินงบประมาณช่วยเหลือทั้งสิ้น 264,375,000 บาท

 

รายชื่อ ผรท.พันกว่าราย เป็นกลุ่มที่คณะกรรมการช่วยเหลือ ผรท.ในรัฐบาลอภิสิทธิ์เห็นชอบแล้ว แต่ยังจ่ายเงินให้ไม่ทัน เพราะยุบสภาไปเสียก่อน

 

ส่วนแนวทางการช่วยเหลือ "ผรท.กลุ่มที่ 2" ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตกค้าง และตกสำรวจที่มีคุณสมบัติและเงื่อนไขในการช่วยเหลือตามมติที่ประชุมคณะ กรรมการ ครั้งที่ 2/2555 โดยช่วยเหลือเป็นเงินรายละ 225,000 บาท

 

ผรท.กลุ่มที่ 2 มีจำนวน 6,059 คน ต้องมีการคัดกรองภายใน 60 วัน นับตั้งแต่ 4 มีนาคม 2556 ให้เรียบร้อยภายในวันที่ 2 พฤษภาคม 2556

 

พล.ต.คณิต อุทิตสาร บอกว่า กลุ่มที่มีปัญหามากที่สุดคือ "ผรท.กลุ่มที่ 3" เพราะมีการเคลื่อนไหว และปลุกระดมให้ข้อมูลแก่ประชาชนแบบผิดๆ ทำให้มีตัวเลข ผรท.ตกค้างสูงถึง 1.3 แสนคน โดยบางกลุ่มเรียกร้องเงินช่วยเหลือถึง 650,000 บาทต่อคน

 

เดิมที คณะกรรมการช่วยเหลือ ผรท. ได้กำหนดคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือจะต้องเกิดไม่เกินปี 2509 ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือมาก่อน มีรายได้ไม่เกินปีละ 60,000 บาท และจะต้องเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรค และกองกำลังติดอาวุธ ส่วนพวกมวลชนหรือแนวร่วมในหมู่บ้าน จะไม่ได้รับสิทธินี้

 

พวกแกนนำ "นายหน้า ผรท." ก็พยายามจะแก้ไขกฎระเบียบ โดยขยายอายุไปถึงปี 2528 และไม่จำกัดเฉพาะกองกำลังติดอาวุธในป่าเขา บรรดาชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่สีแดง ล้วนมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือหมด

 

แต่คณะกรรมการชุดรองนายกฯ เฉลิม ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องเงื่อนไขใหม่ จึงมอบหมายให้ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นผู้รับผิดชอบในการเจรจากับแกนนำ ผรท.กลุ่มต่างๆ

 

จะว่าไปแล้ว แนวทางการช่วยเหลือดังกล่าวข้างต้นถือว่า ถูกต้องและชอบธรรมแล้ว เพราะรายชื่อสมาชิก ผรท.ประมาณแสนกว่าคนนั้น พูดกันตรงไปตรงมา มันมี "สหายตัวจริง" ไม่ถึง 10%

 

ที่สำคัญ "เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น" บางคนมีส่วนสนับสนุนให้เกิดขบวนการล่ารายชื่อ ผรท.ตัวปลอมเต็มบ้านเต็มเมือง ฝากให้ กอ.รมน.ส่วนกลาง ช่วยกำจัด "เหลือบในเครื่องแบบ" เหล่านี้ด้วย

 

ขอให้การช่วยเหลือ ผรท. จบสิ้นในรัฐบาลชุดนี้ มิเช่นนั้น การต้มตุ๋นชาวบ้าน "เอาเงินมาจ้างเป็นคอมมิวนิสต์" ก็ไม่มีวันจบ

...........

(หมายเหตุ : 'เอาเงินมาจ้างเป็นคอมฯ' : มนุษย์สองหน้า โดยแคน สาริกา)

 

 

 

“มาร์ค” ช่างกล้า ยกหลัก อริยสัจสี่ แนะรบ.

กระทู้ข่าว


 


 

“มาร์ค” ยกหลัก อริยสัจสี่ แนะรบ.ใช้หาทางออกให้ประเทศ งง ส.ส.เพื่อไทย ภูมิใจ มีตัวเงินตัวทอง ร่วมเสนอกม.ปรองดอง ห่วง มหาดไทยถลุงงบ สานเสวนา หาคำตอบให้รบ. ชี้ ถ้าผลไม่ถูกใจถูกฉีกอีกแน่นอน ซัด พวกจ้องดิสเครดิตศาล ยัน รธน.50 เปิดช่อง “ทักษิณ” อุทธรณ์ได้หากมีข้อมูลใหม่
 


นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การปรองดองแห่งชาติ ฉบับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ นั้น ตนอยากให้ย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่ร.ต.อ.เฉลิม เคยให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบ ซึ่งวันนั้นมีตัวเงินตัวทองเดินผ่านวงสัมภาษณ์ และร.ต.อ.เฉลิม บอกว่า ขนาดตัวเงินตัวทองยังเห็นด้วย จึงไม่แปลกที่ตัวเงินตัวทองจะไปร่วมอยู่ในการยื่นร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯ ด้วย

 

โดยทางกลุ่มส.ส.ที่ไปยื่นก็รู้สึกภูมิอกภูมิใจบอกว่า แม้แต่ตัวเงินตัวทองยังปรองดองด้วย ถ้าคิดเช่นนั้นตนก็คงยอมแพ้ ทั้งนี้ยืนยันว่า แม้จะมีการตัดมาตรา 5ออกไป ก็ยังคงเป็นกฎหมายการเงินอยู่ดี เพราะในมาตรา 4 กำหนดเรื่องสิทธิในการเรียกร้องทรัพย์สินคืนจากรัฐ ซึ่งต้องดูต่อไป เพราะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของประธานสภาฯ หากเห็นว่า เป็นกฎหมายการเงิน ก็ต้องส่งให้นายกฯ เซ็นรับรอง แต่หากมีการยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับกฎหมายการเงิน ถ้ากระบวนการไม่ชอบก็จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เราสามารถนำหลักธรรม อริยสัจสี่ยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม ดูกันด้วยเหตุ ด้วยผล แก้ปัญหาจากต้นเหตุ มาหาทางออกให้กับประเทศได้

http://www.dailynews.co.th/politics/206731



โอว์ คราวก่อนเป็นหมอดู คราวนี้เป็นผู้ทรงศีล

************************************

 

 

 

 

 พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ) หรือในนาม พุทธทาสภิกขุ

 

 

       

 

 ***********************************************

 

 

                          คำสาปมรณะ

 

 

 

Curse of Tippecanoe หรือที่รู้จักกันในชื่อ คำสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือจะอีกมากมายหลายชื่อ เช่น
 


  • คำ สาปของเทคุมเซ่ (Tecumseh's curse) เนื่อง จากเป็นคำสาปที่หัวหน้าเผ่าเผ่าชอว์นี ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ (Tecumseh) ได้ทำการสาปแช่ง คนขาวที่มาบุกรุก แย่งชิง ฆ่าฟัน ชาวอินเดียแดง ซึ่งเป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน ของพวกเขาไปด้วยความเหี้ยมโหด
  • คำสาป ปีที่ลงท้ายด้วยศูนย์ ( zero-year curse ) เนื่องจาก คำสาปนี้จะส่งผลต่อ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับเลือกตั้งมาในปีที่ลงท้ายด้วยศูนย์ จะต้องมีอันเป็นไปในระหว่างดำรงณ์ตำแหน่ง จริงจะกล่าวถึงต่อไป
  • คำ สาปยี่สิบปี ( The twenty-year curse ) เนื่องจาก ทุกๆยี่สิบปี ที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องมีอันเป็นไป

 

 

 

 

รูป ซ้าย รูปหัวหน้าเผ่าชอว์นี ( Shawnee ) ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ที่ได้ทำการสาปแช่งให้ประธานาธิบดีสหรัฐจงมีอันเป็นไป


รูปขวา เป็นอนุสรณ์สถานบริเวณในพื้นสนามรบที่ เทคุมเซ่ ถูกยิงตาย ในการรบในสงครามที่เรียกว่า Thames War ในแคนนาดาเหนือ มีข่าวลือว่า เขาถูกยิงตายโดยปืนไรเฟิล ของ พันเอกริชาร์ด เมนเตอร์ จอห์นสัน ( Col. Richard Mentor Johnson ) ในขณะนั้น และด้วยผลงานนี้ส่งผลทำให้ จอห์นสัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 9 ส่วนศพของ เทคุมเซ่ ได้มีการขุดขึ้นมา เพื่อนำไปฝังใหม่โดยสถานที่นั้นถือเป็นความลับสูงสุดของชนเผ่าชอว์นี

ซึ่ง คำสาปนี้ได้ส่งผลให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอันเป็นไปตั้งแต่ปี 1840 เรื่อยมาจนถึงปี 1960 เป็นเวลากว่า 120 ปี นำมาซึ่งความหวาดกลัวให้แก่ผู้นำประเทศที่เป็นมหาอำนาจของโลกนี้ แต่คำสาปนี้ก็เริ่มเสื่อมคลายอำนาจลง ในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ( Ronald Reagan ) ที่ได้รับการเลือกตั้งมาในปี 1980 ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ถูกลอบยิงในเดือนมีนาคม 1981 ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้ คาดว่านั้นเป็นเหตุให้คำสาปเสื่อมลง

 

ผู้เริ่มเปิดเผย ความลับแห่งคำสาปทมิฬ



First widely คำสาปนี้ถูกเปิดประเด็น และได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือ ริปลีย์ เชื่อหรือไม่ ( Ripley's Believe It or Not ) ในปี 1931 โดยมีจุดเริ่มต้นคำสาปมาจาก ประธานาธิปดี วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ที่ได้รับเลือกตั้งมาในปี 1840 และเสียชีวิตลงในปี 1841 และคำสาปนี้ก็แสดงให้เห็นถึง ว่ามันเป็นจริงเรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง

 

จุด เริ่มต้น แห่งความแค้น สุดสยอง และคำสาป

Began of Curse จุดกำเนิดของคำสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นี้เกิดขึ้นเมื่อสงครามปีค.ศ.1811 ( 1811 Bettle ) ระหว่างกองกำลังของรัฐบาล กับชาวอินเดียแดง เนื่องจาก นโยบายของ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ที่ขณะนั้นดำรงณ์ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอินเดียน่า เข้ามายึดครองพื้นที่ดินทำกินของชนเผ่าอินเดียแดงโดยมิชอบธรรม โดยการกลวิธีเพียงนำเหล้าวิสกี้ ( Whiskey ) ไปมอมเมาเท่านั้นเพื่อให้บรรดาหัวหน้าเผ่านำที่ดินมาแลก และเข้ายึดครองดินแดนศักดิ์ของบรรพชนของชนเผ่าชอว์นี ซึ่งนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่ หัวหน้าเผ่าชอว์นี ( Shawnee ) ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ซึ่งเป็นเผ่าอินเดียแดงที่ยิ่งใหญ่ และเข้มแข็งที่สุด

 

ภาพการเจรจาระหว่าง หัวหน้าเทคุมเซ่ กับ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สันแต่ผลการเจรจาล้มเหลว

ภาพ การเจรจาระหว่าง หัวหน้าเทคุมเซ่ กับ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน แต่ผลการเจรจาล้มเหลว

 

แต่ ละการเจรจาระหว่าง เทคุมเซ่ กับ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ล้มเหลวเมื่อ แฮรร์สัน ปฏิเสธคืนดินแดนให้ ทำให้เกิดการสู้รบกันในปี 1811 แต่ไหนเลย หอก ธนู จะสู้ ปืนได้ ปีเดียวกันนั้นเอง กองทัพแฮรร์สันได้เข้าโจมตีที่มั่นสุดท้ายของชนเผ่าชอว์นี บริเวณแม่น้ำ Tippecanoe จนแตกพ่ายแพ้อย่างย่อยยับลง เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ผู้ที่จิตใจมีแต่ ความโกรษแค้นอาฆาต ได้ทำพิธีสาปแช่ง วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน และประธานาธิปดีสหรัฐฯ ทุกคนที่มีที่มาเหมือนดังเช่น วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน จงมีอันเป็นไปทุกคน ตราบนานเท่านาน
 

ตาราง เหล่าประธานาธิปดีที่ คาดว่าพบกับ คำสาป สุด สยอง ที่ต่างมีอันเป็นไปต่างๆนานา
 
 

 

 

 

 



รูป ได้รับการเลือกตั้งในปี ชื่อประธานาธิบดี เหตุของการเสียชีวิต วันที่เสียชีวิต
1840 วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน
(William Henry Harrison)
โรคปอดบวม 4 เมษายน 1841
1860  อับบราฮัม ลินคอร์น        ถูกลอบสังหาร 15 เมษายน 1865
1880 เจมส์ เอ. การ์ฟิลด์
( James A. Garfield )
ถูกลอบสังหาร 19 กันยายน 1881
1900 วิลเลียม แม็กคินลีย์
( William McKinley )
ถูกลอบสังหาร 14 กันยายน 1901
1920 วอร์เรน จี. ฮาร์ดิงก์
( Warren G. Harding )
หัวใจล้มเหลว หรือ
ถูกลอบวางยา พิษ
2 สิงหาคม 1923
1940 แฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์
( Franklin D. Roosevelt )
เส้นเลือดในสมองแตก 12 เมษายน 1945
1960 จอห์น เอฟ. เคนเนดี้
( John F. Kennedy )
ถูกลอบสังหาร 22 พฤศจิกายน 1963
1980 โรนัลด์ เรแกน
( Ronald Reagan)
ถูกลอบสังหาร
ได้รับบาดเจ็บ
สาหัญแต่รอด ชีวิต
5 มิถุนายน 2004
2000 จอร์จ ดับเบิลยู. บุช
( George W. Bush )
เคยถูกลอบสังหาร ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่

 

 

***********************************************

 

สมัยก่อนโคลัมบัส

นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานว่ามนุษย์มาถึงทวีปอเมริกาครั้งแรกเมื่อ 40,000 ถึง 14,000 ปีก่อนในยุคน้ำแข็ง เพราะระดับน้ำทะเลลดลงทำให้ช่องแคบแบริ่งตื้นเขิน ทำให้ชาวเอเชียอพยพเข้ามากลายเป็นชาวอินเดียนพื้นเมืองต่างๆทั้งทวีปอเมริกาในปัจจุบัน

ผิดกลับอเมริกากลาง ในอเมริกาเหนือชาวพื้นเมืองไม่ได้สร้างอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นอัซเทคหรืออินคา แต่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนล่าสัตว์ (Hunter-gatherers) หรือบางพวกก็ตั้งถิ่นฐานทำเกษตรกรรม อารยธรรมเกษตรกรรมในอเมริกาเหนือที่พัฒนามากที่สุดคือวัฒนธรรมมิสซิสซิปปี (Mississipian Culture) ในประมาณค.ศ. 1000 ถึง ค.ศ. 1400 มักจะสร้างมูลดินขึ้นมาเพื่ออยู่อาศัยและพิธีกรรมศาสนา จึงเรียกว่า พวกสร้างมูลดิน (Mound-builders) ชุมชนที่ใหญ่ที่สุดของวัฒนธรรมมิสซิสซิปปี คือคาโฮเกีย (Cahokia) ในรัฐอิลลินอยส์

แม้โคลัมบัสจะพบทวีปอเมริกาในค.ศ. 1492 แต่ก็วนเวียนอยู่ในหมู่เกาะแคริบเบียนเท่านั้น ในค.ศ. 1513ควน ปองเซ เด เลออง (Juan Ponce de Léon) นักสำรวจชาวสเปนมาฟลอริดาเพื่อค้นหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัย (Fountain of Youth) สเปนเป็นชาติแรกที่ตั้งอาณานิคมในอเมริกา แต่แค่ผิวชายฝั่ง ไม่เข้าไปลึกมาก ในค.ศ. 1540เดอ โคโรนาโด (Francisco Vásquez de Coronado) ชาวสเปนสำรวจทะเลทรายทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ พบแกรนด์แคนยอน

ส่วนอังกฤษนั้นตั้งอาณานิคมแรกคือเจมส์ทาวน์ (Jamestown) ในค.ศ. 1607 ตั้งชื่อตามพระนามพระเจ้าเจมส์ที่ 1 โดยบริษัทลอนดอนเวอร์จิเนีย (London Virginia Company) ซึ่งจะพัฒนากลายเป็นรัฐเวอร์จิเนีย ในปีแรกๆฤดูหนาวนั้นหนาวเหน็บผู้คนล้มตายเพราะขาดอาหาร แต่ด้วยความช่วยเหลือของชาวพื้นเมือง ทำให้อาณานิคมยังอยู่รอด และได้ยาสูบ (tobacco) เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ ปลูกเป็นไร่ขนาดใหญ่ (Plantation) มีการนำทาสผิวดำจากแอฟริกามาใช้

ในอังกฤษเกิดสงครามกลางเมืองอังกฤษและการกดขี่ศาสนา ทำให้พวกนิกายต่างๆหลบหนีมาอเมริกาเพื่อตั้งรกราก พวกพิลกริม (Pilgrim) นั่งเรือเมย์ฟลาวเวอร์ (Mayflower) มาตั้งอาณานิคมพลิมัธ ประกาศ Mayflower Compact เพื่อปกครองตนเอง พวกกลุ่มเพียวริตัน ได้รับการกดขี่ในอังกฤษหนีมาตั้งอาณานิคมอ่าวแมสซาชูเซตต์ (Massachusette Bay) เพื่อสร้างดินแดนในอุดมคติของนิกายพิวริตัน ในค.ศ. 1675 ชาวอาณานิคมทำสงครามกับชาวพื้นเมืองอย่างดุเดือดในสงครามพระเจ้าฟิลิป (King Philip's War) ทำให้ชาวพื้นเมืองและชาวอาณานิคมล้มตายมากมาย อาณานิคมพลีมัธและแมสซาชูเซตรวมกันในค.ศ. 1691 รวมเรียกว่า อังกฤษใหม่ (New England)

guest

Post : 2013-05-19 21:28:52.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สมน้ำหน้า

 

 

 

 

 

                                 สมน้ำหน้า...

 

 

 

 

 

 

 

                   พระอาทิตย์ทรงกลด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 
 
 
ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด

 

ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด (อังกฤษ: Sun halo) มีลักษณะเป็นภาพสะท้อนพระอาทิตย์หลายๆ ดวงซ้อนกัน มีขนาดโตกว่าปกติ มีรัศมีสีรุ้งโดยรอบ ดวงที่อยู่ตรงกลางมีความสดใสมากที่สุด

 

สาเหตุการเกิด

 

ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด เกิดขึ้นจากบรรยากาศของโลกในชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) ซึ่งเป็นบรรยากาศชั้นล่างสุด และเป็นที่อยู่ของกลุ่มเมฆจำนวนมาก มีอากาศเย็นจัดตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น จนทำให้ละอองน้ำในอากาศ ณ เวลานั้นๆ แข็งตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งอนุภาคเล็กๆ จำนวนมหาศาลลอยอยู่บนท้องฟ้า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และส่องแสงทำมุมกับเกล็ดน้ำแข็งได้อย่างเหมาะสม จะเกิดการหักเหและการสะท้อนของแสง ทำให้เกิดเป็นแถบสีรุ้ง (spectrum) คล้ายการเกิดรุ้งกินน้ำหลังฝนตกขึ้น

 

ส่วนแสงสีที่ตามองเห็นนั้น จะขึ้นกับการทำมุมของแสงอาทิตย์และเกล็ดน้ำแข็ง แต่โดยทั่วไปเรามักจะเห็นเป็นแสงสีเหลืองอ่อนๆ มากที่สุด ถ้าเกิดจากการสะท้อนของแสงจะปรากฏเป็นสีเขียว แต่ถ้าเกิดจากการหักเหของแสงจะเป็นสีแดงเพลิงในตอนกลาง และเป็นสีน้ำเงินปนแดงตามขอบนอก

 

ขนาดของพระอาทิตย์ทรงกลดจะมีขนาดแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนมากจะมีขนาดเฉลี่ย 30 องศา โดยการลากเส้นตรง 2 เส้น มาบรรจบกันที่ดวงตาผู้มอง ได้แก่ เส้นตรงที่ลากจากกึ่งกลางของปรากฏการณ์มาที่ตาผู้มอง และเส้นตรงที่ลากจากขอบของปรากฏการณ์มาที่ดวงตาผู้มอง

 

บางครั้งเกล็ดน้ำแข็งของละอองไอน้ำเหล่านี้ จะทำหน้าที่หักเหทางเดินของแสงอาทิตย์ และก่อให้เกิดภาพขยายขึ้น เช่นเดียวกับที่กระจกหรือเลนส์นูนทำให้เกิดภาพขยาย

 

 

 ความถี่ในการเกิด

 

อาทิตย์ทรงกลด

 

ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดไม่สามารถคาดการณ์การเกิดล่วงหน้าได้ แต่ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย พบได้มากในปีที่มีฝนหลงฤดู จึงทำให้มีความชื้นในอากาศมากตามไปด้วย จะเกิดมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งมีความชื้นจากฝนมาก เวลาที่เหมาะสมได้แก่ ช่วงก่อน 10 โมงเช้าจนถึงเที่ยงเศษๆ ซึ่งเกล็ดน้ำแข็งยังไม่ละลาย แต่เมื่อเลยเที่ยงวันไปแล้ว โอกาสที่จะเกิดพระอาทิตย์ทรงกลดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเกล็ดน้ำแข็งจะได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์มากจนละลายหมดไป ในวันที่เกิดพระอาทิตย์ทรงกลดจะเป็นวันที่อากาศไม่ร้อนจัด ไม่มีฝนตกปุบปับอย่างแน่นอน เว้นแต่จะมีลมพายุพัดเมฆฝนจากที่อื่นมา

ความเชื่อของคนไทย

คนไทยนับถือดวงอาทิตย์เป็นเทวดาเบื้องบนองค์หนึ่ง สังเกตจากการเรียกนำหน้าว่า “พระ” ส่วนกลดก็ถือเป็นของสูงสำหรับพระ เช่น กลดของพระธุดงค์ ปรากฏการณ์นี้จึงเปรียบได้กับกลดของพระที่กำลังถูกล้อมรอบไว้ด้วยแสงของดวงอาทิตย์ไว้นั่นเอง จึงถือเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เป็น “มหิธานุภาพ” ของดวงอาทิตย์ มีความหมายในทางที่ดี มีมงคลแก่ทุกคนบนโลก

ในวันที่เกิดพระอาทิตย์ทรงกลดจะเป็นวันที่อากาศไม่ ร้อนจัด ไม่มีฝนตกปุบปับอย่างแน่นอน เว้นแต่จะมีลมพายุพัดเมฆฝนจากที่อื่นมา จึงสามารถจัดกิจกรรมหรือประเพณีในวันที่มีพระอาทิตย์ทรงกลดได้ดี

 

 

******************************************

 

 

 

 

 รูปภาพ : ทำไมการแกว่งแขน กับการว่ายน้ำ จึงป้องกันโรคร้ายได้มากมาย
เราเคยนำเสนอเรื่องการแกว่งแขนรักษาโรคภัยได้มาแล้ว เพราะอะไร วันนี้มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์จาก Dr. Kimberly Kaye มาบอกเล่าให้เข้าใจพร้อมกับประโยชน์ของการว่ายน้ำ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลกับการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองในร่างกาย ส่งผลให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายมีสมดุล ป้องกันโรคร้ายได้อย่างคาดไม่ถึง
บทความของ Dr. Kimberly Kaye แปลโดย Wellness 2012
คำว่าระบบน้ำเหลืองนั้นหมายรวมถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง นับเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด ชำระล้างของร่างกาย อันจำเป็นต่อ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เยียวยาความเจ็บป่วย
เพราะระบบน้ำเหลืองมีหน้าที่ขนถ่ายของเสีย พิษที่สะสมในร่างกาย เศษของเซลล์ที่ตายแล้ว ออกไปกำจัดยังอวัยวะที่รับผิดชอบและขับออกไปจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาว แอนตี้บอดี้ ของระบบภูมคุ้มกัน ตลอดระยะทางของท่อน้ำเหลืองจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่เป็นระยะๆเพื่อช่วยกรองสารเเปลกปลอม เชื้อโรคที่มีอันตราย
ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบน้ำเหลือง โดยตับมีหน้าที่สร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก และตับก็อาศัยน้ำเหลืองนี่เองขนส่งสารอาหารที่ย่อยแล้วจากตับและลำไส้เล็กไปส่งต่อให้กับเซลล์และอวัยวะต่างๆ ม้ามเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ที่สุดของระบบน้ำเหลือง มีหน้าที่กรองและกำจัดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ และเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ใครก็ตามที่ผ่าตัดเอาม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัสออกไป จะติดเชื้อได้ง่ายขาดภูมิต้านทาน
หากการไหลเวียนของน้ำเหลืองติดขัด จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม อักเสบ บริเวณที่น้ำเหลืองไหลเวียนและสังเกตได้ชัดเจนได้แก่ ลำคอ หลังใบหู ท้ายทอย หน้าอก รักแร้ใต้หัวไหล่ ท้องแขน หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ บริเวณขาหนีบ
เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั๊มเหมือนระบบเลือดที่มีหัวใจเป็นปั๊ม ดังนั้นการกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้นจึงต้องพึ่งพิงการออกกำลังกาย และการหายใจให้ลึกๆ เป็นหลัก เพื่อเขย่ากระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองด้วยการขยับกล้ามเนื้อ และกระบังลม
การเต้นกระโดดบน trampoline ดูจะเป็นวิธีการที่กระตุ้นน้ำเหลืองได้่ทั่วร่างกาย หากเต้นไม่ได้ก็อาจใช้วิธีกัวซา (Gua Sha) การนวดด้วยน้ำมัน การนวดแผนไทย
ใครก็ตามที่มักมีอาการ ผิวซีด ซูบซีด หลงๆลืมๆ ติดเชื้อบ่อยๆ เป็นหวัดเจ็บคอเสมอๆ เริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่มมากขึ้น ให้สงสัยระบบน้ำเหลืองติดขัด ไหลเวียนไม่ดี ทั้งนี้็็ก็เข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะของเสีย ขยะมีพิษตกค้างสะสมนั่นเอง
อย่าละเลยอาการน้ำเหลืองติดขัด โดยไม่ได้รักษาเพราะ นานวันเข้าพิษร้ายอาจทำให้ล้มหมอนนอนเสื่อด้วยโรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง
ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมารณรงค์ให้ออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนโดยอ้างว่าลดพุงได้อีกด้วย หลายคนแปลกใจว่าเกี่ยวกันตรงไหน? ทั้งที่การแกว่งแขน (แบบตำราแพทย์แผนจีนที่ใช้กันมานับพันปี) บางคนถึงกับหัวเราะเยาะว่าเว่อร์เกิ้น
ใต้หัวไหล่ที่เรียกว่ารักแร้นั้นคือชุมทางของต่อมน้ำเหลืองเบ้อเริ่ม
บริเวณขาหนีบนั่นก็ชุมทางของต่อมน้ำเหลืองขนาดใหญ่
การขยับหัวไหล่และรักแร้ของการแกว่งแขนก็ดี
การว่ายน้ำที่ขยับทั้งหัวไหล่และขาหนีบก็ดี
ล้วนแล้วแต่เป็นการออกกำลังให้ต่อมน้ำเหลืองขยับเพิ่มการไหลเวียนน้ำเหลืองจึงไม่ใช่ของเล่นๆธรรมดาๆ
เครดิต: เรียบเรียงจาก บทความที่เเปลเรียบเรียงโดย Wellness 2012  เขียนโดย Dr. Kimberly Kaye Castaneda
ภาพ: ขอบคุณภาพ จาก women.thaiza.com และ ภาพจาก อินเตอร์เน็ต โดยนำมารวมกันเป็นภาพเดียว พร้อมคำบรรยาย
*********** **************** **************
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

 

 

 ทำไมการแกว่งแขน กับการว่ายน้ำ จึงป้องกันโรคร้ายได้มากมาย
เราเคยนำเสนอเรื่องการแกว่งแขนรักษาโรคภัยได้มาแล้ว เพราะอะไร วันนี้มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์จาก Dr. Kimberly Kaye มาบอกเล่าให้เข้าใจพร้อมกับประโยชน์ของการว่ายน้ำ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลกับกา...รไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองในร่างกาย ส่งผลให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายมีสมดุล ป้องกันโรคร้ายได้อย่างคาดไม่ถึง

บทความของ Dr. Kimberly Kaye แปลโดย Wellness 2012
คำว่าระบบน้ำเหลืองนั้นหมายรวมถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง นับเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด ชำระล้างของร่างกาย อันจำเป็นต่อ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เยียวยาความเจ็บป่วย

เพราะระบบน้ำเหลืองมีหน้าที่ขนถ่ายของเสีย พิษที่สะสมในร่างกาย เศษของเซลล์ที่ตายแล้ว ออกไปกำจัดยังอวัยวะที่รับผิดชอบและขับออกไปจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาว แอนตี้บอดี้ ของระบบภูมคุ้มกัน ตลอดระยะทางของท่อน้ำเหลืองจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่เป็นระยะๆเพื่อช่วยกรองสารเเปลกปลอม เชื้อโรคที่มีอันตราย

ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบน้ำเหลือง โดยตับมีหน้าที่สร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก และตับก็อาศัยน้ำเหลืองนี่เองขนส่งสารอาหารที่ย่อยแล้วจากตับและลำไส้เล็กไปส่งต่อให้กับเซลล์และอวัยวะต่างๆ ม้ามเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ที่สุดของระบบน้ำเหลือง มีหน้าที่กรองและกำจัดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ และเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ใครก็ตามที่ผ่าตัดเอาม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัสออกไป จะติดเชื้อได้ง่ายขาดภูมิต้านทาน

หากการไหลเวียนของน้ำเหลืองติดขัด จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม อักเสบ บริเวณที่น้ำเหลืองไหลเวียนและสังเกตได้ชัดเจนได้แก่ ลำคอ หลังใบหู ท้ายทอย หน้าอก รักแร้ใต้หัวไหล่ ท้องแขน หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ บริเวณขาหนีบ

เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั๊มเหมือนระบบเลือดที่มีหัวใจเป็นปั๊ม ดังนั้นการกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้นจึงต้องพึ่งพิงการออกกำลังกาย และการหายใจให้ลึกๆ เป็นหลัก เพื่อเขย่ากระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองด้วยการขยับกล้ามเนื้อ และกระบังลม

การเต้นกระโดดบน trampoline ดูจะเป็นวิธีการที่กระตุ้นน้ำเหลืองได้่ทั่วร่างกาย หากเต้นไม่ได้ก็อาจใช้วิธีกัวซา (Gua Sha) การนวดด้วยน้ำมัน การนวดแผนไทย

ใครก็ตามที่มักมีอาการ ผิวซีด ซูบซีด หลงๆลืมๆ ติดเชื้อบ่อยๆ เป็นหวัดเจ็บคอเสมอๆ เริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่มมากขึ้น ให้สงสัยระบบน้ำเหลืองติดขัด ไหลเวียนไม่ดี ทั้งนี้็็ก็เข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะของเสีย ขยะมีพิษตกค้างสะสมนั่นเอง

อย่าละเลยอาการน้ำเหลืองติดขัด โดยไม่ได้รักษาเพราะ นานวันเข้าพิษร้ายอาจทำให้ล้มหมอนนอนเสื่อด้วยโรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง

ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมารณรงค์ให้ออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนโดยอ้างว่าลดพุงได้อีกด้วย หลายคนแปลกใจว่าเกี่ยวกันตรงไหน? ทั้งที่การแกว่งแขน (แบบตำราแพทย์แผนจีนที่ใช้กันมานับพันปี) บางคนถึงกับหัวเราะเยาะว่าเว่อร์เกิ้น

ใต้หัวไหล่ที่เรียกว่ารักแร้นั้นคือชุมทางของต่อมน้ำเหลืองเบ้อเริ่ม
บริเวณขาหนีบนั่นก็ชุมทางของต่อมน้ำเหลืองขนาดใหญ่

การขยับหัวไหล่และรักแร้ของการแกว่งแขนก็ดี
การว่ายน้ำที่ขยับทั้งหัวไหล่และขาหนีบก็ดี

ล้วนแล้วแต่เป็นการออกกำลังให้ต่อมน้ำเหลืองขยับเพิ่มการไหลเวียนน้ำเหลืองจึงไม่ใช่ของเล่นๆธรรมดาๆ


เครดิต: เรียบเรียงจาก บทความที่เเปลเรียบเรียงโดย Wellness 2012 เขียนโดย Dr. Kimberly Kaye Castaneda
ภาพ: ขอบคุณภาพ จาก women.thaiza.com และ ภาพจาก อินเตอร์เน็ต โดยนำมารวมกันเป็นภาพเดียว พร้อมคำบรรยาย

 

 


*********** **************** **************

 

 

 

'ชูชาติ' ซัด 'แม้ว แหลกลางกรุง สไกป์หลอกเสื้อแดง...ทุกเรื่อง!

 
 
 
นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว Chuchart Srisaeng จับผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี สไกป์ มาที่เวที ครบรอบ 3 ปี สลายม็อบเสื้อแดง ที่ระบุว่า ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ยังไม่มีความเป็นธรรม ศาลไม่มีอิสระ หรือช่วยกันรักษาประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

โดย นายชูชาติ หยิบเหตุผลที่ทักษิณ พูดกลางเวทีเสื้อแดง มาอธิบายหักล้างอย่างละเอียดยิบ ดังนี้

....เมื่อคืนวันที่ 19 พฤษภาคม 2556 ทักษิณได้สไกป์เข้ามาคุยกับคนเสื้อแดงซึ่งมารำลึกถึงความหลังในการยึดสี่แยกราชประสงค์ไว้เป็นดินแดนอิสระครบรอบ 3 ปี มีสาระสำคัญบางตอน.....
....อยากกลับบ้านมาก แต่ถ้าบ้านเมืองได้ประชาธิปไตย มีความเป็นธรรม ไม่กลับก็ได้ ถ้าไม่ได้ก็สู้กันต่อไป ขอพี่น้องอย่าทิ้งผม พรรคเพื่อไทย เราต้องสามัคคีกัน วันหนึ่งจะมาร่วมกันทำงานใหญ่สักครั้งถ้าจำเป็น เพื่อช่วยกันรักษาประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ประชาธิปไตยที่มีความเป็นธรรม ประชาธิปไตยที่องค์กรอิสระที่เป็นอิสระ ขอให้องค์กรอิสระมีจิตใจมีอิสระเสียที ถ้าศาลไม่มีอิสระ ยอมหักวิชาที่เรียนมา บางคนเป็นอาจารย์สอนอย่างปฏิบัติอย่าง อยากเห็นบ้านเมืองกลับไปสู่ความยุติธรรม

....ถ้าสรุปคำกล่าวของทักษิณดังกล่าวก็เห็นได้ว่า ตามความคิดของทักษิณนั้น
......ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย
......ประเทศไทยไม่มีความเป็นธรรม
......ศาลเป็นองค์กรอิสระ
......ศาลไม่มีอิสระ
......ต้องช่วยกันรักษาประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

......ที่ว่าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ก็สงสัยว่าไม่เป็นประชาธิปไตยตรงไหน อย่างไร รัฐธรรมนูญปี 2550 ถ้าเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 แทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ สิทธิเสรีภาพของประชาชน กับการมีส่วนร่วมของประชาชน มีบทบัญญัติให้สิทธิและคุ้มครองประชาชนดีกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 แต่ที่ทักษิณว่าไม่เป็นประชาธิปไตยอาจเป็นเพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 มีบทบัญญัติให้รัฐบาลถูกตรวจสอบจากฝ่ายค้าน องค์กรอิสระและประชาชนได้มากกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540
 
ถ้าทักษิณยังจำได้ว่า หลังจากพรรคพลังประชาชนชนชนะการการเลือกตั้งและนายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2551 ทักษิณเดินทางกลับมากราบพระแม่ธรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิ และได้เข้าสู้คดีที่ดินรัชดาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในขณะนั้นทักษิณไม่เคยพูดว่า ประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย บริวารทั้งหลายก็ไม่เคยมีใครพูดว่าประเทศไทยไม่เป็นประซาธิปไตย แต่เมื่อบริวารไม่สามารถวิ่งเต้นให้สินบนองค์คณะผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีดังกล่าวได้ ทักษิณจึงหลอกศาลขออนุญาตไปร่วมพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิค 2008 ที่ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพจัดการแช่งขันแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
 
หลังจากศาลมีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีและต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วนั่นแหละ กลุ่มคนเสื้อแดงที่ทักษิณให้การสนับสนุนจึงมีนวกรรมหลอกประชาชนให้มาชุมนุมอ้างว่า เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย และกดดันให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจากนายกรัฐมนตรีหรือยุบสภาเพื่อเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ คำกล่าวของทักษิณที่ว่าประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย หากมีก็ไม่ใช่เป็นเพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 แต่เป็นเพราะการกระทำของรัฐบาลปัจจุบันที่ทักษิณเป็นผู้ตั้งขึ้นมานั่นแหละ ที่ชัดเจนที่สุดก็คือการมีกองกำลังคนเสื้อแดงไว้คอยกดดัน ข่มขู่ รังควาน ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ซึ่งไม่มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยของประเทศใดในโลกนี้กระทำกัน

ที่มา:http://www.naewna.com/politic/52514

 

"รัฐธรรมนูญปี 2550 ถ้าเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 แทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย" ???????????
ปี 40 สว เลือกตั้งทั้งหมด
ปี 50 สว เลือกตั้งครึ่งหนึ่ง แต่งตั้งครึ่งหนึ่ง


ทางที่ดีถ้านายชูชาติ ศรีแสงมั่นใจว่ารธน.ฉบับนี้เป็นประชาธิปไตยๆพอๆกับฉบับก่อน ก็ควรตอบคำถามให้ได้ว่าไปสนับสนุนให้มหารฉีกรธน.ฉบับเดิมทำไม เพราะเมื่อเขียนใหม่ก็ไม่ได้ให้สิทธิประชาชนเพิ่มขึ้น (ความจริงต้องบอกว่าน้อยลงเสียด้วยซ้ำ)

อีกอย่าง หากจะอ้างว่ารธน.ฉบับนี้เป็นประชาธิปไตยพอ แล้วทำไมจำนวนสว. และที่มาขององค์กรอิสระ ถึงได้จำกัดให้ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการสรรหา ถ้าตอบได้ถึงค่อยไปว่าทักษิณ

 

ผมเรียนอีกครั้งครับว่า

ไม่ใช่เฉพาะคนไทยส่วนใหญ่ที่เชื่อทักษิณ
คนอีกหลายประเทศในโลกใบนี้ก็เชื่อครับ
ทุกวันนี้ยังมีคำเชิญให้อดีตนายกฯทักษิณไปพูดให้คนในประเทศเขาฟัง หลายรัฐบาลให้เกียรติทักษิณมากพอควร
ยังไม่นับเพื่อนฝูงระดับชนชั้นนำของโลก ที่มีทั้งปธน นายกฯ เจ้าชาย ฯลฯ

มีเครดิตน่าเชื่อถือมากกว่าอดีตนายกฯชายคนนึงที่ดีแต่พูดไหมครับ

 

********************************************

 

 

 

'ขวัญชัย'แฉ'แม้ว'บ่น นปช.-พท.บางส่วนไม่อยากให้กลับบ้าน

 
 
 

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

วันนี้ 21 พ.ค.56 นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร เปิดเผยถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สไกป์มายังเวทีชุมนุมนปช.ที่แยกราชประสงค์ และย้ำถึงพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ของนายวรชัย เหมะ ส.ส.เพื่อไทย หลายครั้งนั้น โดยตนเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงอยากวัดใจแกนนำคนเสื้อแดงว่า จะมีใครออกมาพูดอะไรบ้าง ส่วนตัวนั้น ไม่เห็นด้วยที่จะนิรโทษกรรมประชาชนก่อน เพราะต้องเอา "ขุน" กลับมา ไม่ใช่ "เบี้ย"


นายขวัญชัย กล่าวต่อว่า เหตุที่แกนนำนปช. และส.ส.เพื่อไทยบางส่วน ไม่สนับสนุนร่างพรบ.ปรองดอง ของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้นิรโทษกรรมทุกกลุ่มรวมแกนนำ เนื่องจากไม่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาไทย เพราะหากพ.ต.ท.ทักษิณกลับมา ก็จะมาจัดระเบียบอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งจะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เสียผลประโยชน์ " ท่านทักษิณ บ่นกับผมเสมอ ว่าพวกนั้น ไม่อยากให้ท่านกลับ "


นายขวัญชัย กล่าวต่ออีกว่า ส่วนงานวันที่ 24 พฤษภาคมนี้ ที่จะชูธงพา พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านนั้น นายขวัญชัย แฉว่า มีส.ส.อุดรธานี มาขอเงิน ร.ต.อ.เฉลิม เพื่อจะช่วยขนคนมาร่วมงาน แต่ตนเองบอกกับ ร.ต.อ.เฉลิมว่า ไม่ต้องให้ เดี๋ยวจะจัดการเอง เพราะพวกนั้นไม่มีมวลชนจริง มีแต่มาหลอกต้ม ทั้งนี้ ยอมรับว่า ร.ต.อ.เฉลิมอาจยังไม่มั่นใจว่า จะมีมวลชนมาร่วมเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนตัวขอยืนยันว่า "อย่างต่ำ 5 หมื่นคนแน่นอน".....................

 

 

 

ตอแหลแล้วครับคุณขวัญชัย

ที่ประชาชนไม่อยากให้นิรโทษแกนนำ ไม่ใช่เพราะไม่ต้องการให้ทักษิณกลับบ้าน

แต่ทนไม่ได้ที่คนสั่งฆ่าประชาชน จะได้รับส่วนบุญไปด้วยตะหาก

คนอย่างขวัญชัย สะติสะตัง ควรจะมีมากกว่านี้

 

'ขวัญชัย'แฉ'แม้ว'บ่น นปช.-พท.บางส่วนไม่อยากให้กลับบ้าน

 

ทัีกษิณหมายถึงใคร ยังไม่รู้ตัวอีก

ใช่...ถ้ากลับมาแล้วจะเอาเหตุผลอะไรมาหาเงินได้อีกล่ะ ก็จบเห่น่ะสิ

 

 

***************************************

 

 

 

 

 

 

 

[IMG]

 

 

สาวเสี่ยงคุก 10 ปีปรับ 1ล้าน พกสเปรย์..ป้องกันตัว

สาวๆ หลายคนที่พกสเปรย์พริกไทย หรือสเปรย์อื่นใดที่มีจุดประสงค์เพื่อใช้ป้องกันตัว
ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ เนื่องจากอุปกรณ์ป้องกันตัวชนิดนี้ถือเป็นวัตถุอันตราย
ใครมีไว้ในครอบครองถือว่า ผิดกฎหมาย มีโทษสูงสุดจำคุกเป็นเวลา 10 ปี ปรับ 1 ล้านบาท
ซึ่งอัตราโทษดังกล่าวสูงกว่ามียาบ้าไว้ในครอบครอง !!

"เอิร์น" หญิงสาววัย 25 ปี พนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง มีที่พักอาศัยอยู่ในย่านสุขุมวิท
นิยมพกพาสเปรย์ป้องกันตัวไว้ติดกระเป๋าเป็นประจำ บอกว่า
ไม่รู้มาก่อนว่า การพกพาสเปรย์ป้องกันตัวติดกระเป๋าไว้จะผิดกฎหมาย
มีโทษหนักและรุนแรงกว่าการครอบครองยาเสพติดอย่างยาบ้าเสียอีก
จึงอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาข้อกฎหมายเสียใหม่ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเห็นว่า อุปกรณ์ชนิดนี้มีประโยชน์

"ทุกวันนี้เสี่ยงนะ ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูง เราตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวซวย
มีสเปรย์ป้องกันตัวไว้ก็เพื่อป้องกันตัวเอง คนร้ายคุกคามมาจะได้หยิบมาใช้ป้องกันตัวเองได้
ที่สำคัญคือมันไม่รุนแรงจนทำให้ใครเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสอย่างอุปกรณ์ชนิดอื่น
แค่เพียงทำให้แสบตาและรบกวนระบบทางเดินหายใจ เพียง 5 นาทีก็หาย
เป็นเพียงอุปกรณ์ที่ยับยั้งคนร้ายเพื่อชะลอเวลาให้เราหนีแค่นั้น" เอิร์น ให้ข้อมูล

เช่นเดียวกับ "จ๋า" พนักงานออฟฟิศสาววัย 27 ปี มีที่พักอยู่ในย่านหัวหมาก
ไม่รู้ว่าการครอบครองสเปรย์ป้องกันตัวผิดกฎหมาย ยอมรับว่า
พกติดตัวเป็นประจำเพราะไม่มั่นใจสถานการณ์ในแต่ละวันว่าจะตกเป็นเหยื่อของคนร้ายเมื่อไหร่
และคิดว่าอุปกรณ์ป้องกันตัวชนิดนี้ไม่รุนแรง อย่างมีด หรือแม้กระทั่งปืน
อยากให้มีการอนุญาตครอบครองหรือพกพาโดยไม่ผิดกฎหมาย

สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมผลิตภัณฑ์สเปรย์ป้องกันตัว
จึงมอบหมายให้ รศ.ดร.ศรีสมบัติ โชคประจักษ์ชัด อาจารย์ภาควิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
พร้อมคณะซึ่งประกอบด้วย รศ.ดร.ธัญธร อินศร ดร.เพชรรัตน์ ไสยสมบัติ
นายน้ำแท้ มีบุญสล้าง ศึกษาวิเคราะห์แนวทางที่เหมาะสมในการควบคุมผลิตภัณฑ์สเปรย์ป้องกันตัว

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นักวิชาการชุดนี้ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย
เจ้าหน้าที่คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) องค์กรสิทธิสตรี องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค
หน่วยงานด้านความมั่นคง มาให้ข้อมูลเพื่อพิจารณาเสนอผู้เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดเป็นนโยบายต่อไป

นายน้ำแท้ กล่าวว่า จากการศึกษาข้อมูลการใช้สเปรย์ป้องกันตัวในต่างประเทศพบว่า
มีทั้งที่กำหนดให้เป็นวัตถุผิดกฎหมาย และไม่ผิดกฎหมาย
บางประเทศเช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย และแคนาดา ห้ามมีไว้ในครอบครองทั่วไป ยกเว้นเพื่อการป้องกันตัว
ขณะที่ในสหรัฐ มีความหลากหลายตามนโยบายของแต่ละรัฐ
อย่างที่นิวยอร์ก สเปรย์ป้องกันตัวไม่เป็นสินค้าควบคุม ซื้อขายได้
ขณะที่ในไทยสเปรย์ป้องกันตัวถูกจัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4
มีคุณสมบัติขัดขวางระบบการทำงานของร่างกายเป็นการชั่วคราวเพื่อป้องกันตัวหรือทำร้ายผู้อื่น
ซึ่งตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 มาตรา 43 วรรคหนึ่ง ห้ามผลิต นำเข้า หรือมีไว้ในครอบครอง
หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ด้านตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้
กระทรวงสาธารณสุขได้รับหนังสือจากประชาชนเสนอให้แก้ไขผ่อนปรน
กฎหมายในการควบคุมสเปรย์ป้องกันตัว โดยให้เหตุผลว่า
เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวช่วยให้ผู้หญิงพกพาเพื่อป้องกันสวัสดิภาพของตัวเองได้
เนื่องจากปัจจุบันมีปัญหาอาชญากรรมและภัยคุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ประกอบกับอุปกรณ์ชนิดนี้ปัจจุบันมีการจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย
มีการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันตัวให้ผู้หญิงพกพา
มีการโฆษณาในสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐ
เช่นตำรวจ และผู้คุมเรือนจำ ก็มีอยู่ในครอบครอง จนเกิดความลักลั่นในการปฏิบัติ
ทั้งที่มีกฎหมายห้าม แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าผิดกฎหมาย

สอดคล้องกับ พ.ต.ท.โชติวิเชียร วิเชียรโชติ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยผู้หญิง
ยอมรับว่า แต่ละปีมีผู้หญิงตกเป็นเหยื่อของคนร้าย ทั้งเรื่องทรัพย์สิน และคุกคามทางเพศไม่น้อยกว่า 2-3 หมื่นราย
ส่งผลให้มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยจำเป็นต้องหามาตรการป้องกันตัวเอง
โดยเลือกใช้สเปรย์ป้องกันตัว เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นอุปกรณ์ที่ปลอดภัยต่อตัวเองมากที่สุด
แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าผิดกฎหมายมีโทษหนักจำคุก 10 ปี ปรับ 1 ล้านบาท ซึ่งโทษดังกล่าวมากกว่าการครอบครองยาบ้า

"ผู้หญิงเขาเห็นว่าสเปรย์ป้องกันตัวน่าจะปลอดภัยที่สุด เหมาะกับพวกเขา
เพราะหากไปใช้มีดหรือปืนก็เกรงว่าคนร้ายจะแย่งชิงแล้วกลายเป็นอาวุธให้คนร้ายใช้ทำร้ายตัวเองได้ง่าย
ที่สำคัญคือปัจจุบันหาง่าย ราคาไม่แพงมาก พกพาสะดวก" พ.ต.ท.โชติวิเชียร กล่าว

พ.ต.ท.โชติวิเชียร แสดงความเห็นด้วยว่า สภาพปัญหาอาชญากรรมในปัจจุบัน
จำเป็นที่ผู้หญิงต้องมีการเตรียมการในการป้องกันตัวเอง
โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าสเปรย์ป้องกันตัวเป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่เหมาะกับผู้หญิง
แต่เมื่อกลับมาดูข้อกฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบันแล้วเห็นว่าไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
จึงอยากให้มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม โดยอาจปรับลดสเปรย์ป้องกันตัวจากวัตถุอันตรายประเภท 4
ให้เหลือเพียงแค่วัตถุควบคุม เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้ไม่มีอันตรายรุนแรง
เพียงทำให้แสบตา ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจชั่วขณะ ไม่สามารถทำให้ใครเสียชีวิตหรือบาดเจ็บรุนแรงได้

"ข้อกังวลว่าหากปล่อยให้มีการครอบครองสเปรย์ป้องกันตัวได้อาจกลายเป็นช่องทางให้คนร้ายใช้เป็นอาวุธได้นั้น
ผมเชื่อว่าคนร้ายเขาไม่สนใจเรื่องอาวุธหรือกฎหมายหรอก เขาพร้อมจะก่อเหตุทุกเมื่อที่มีโอกาส
อาวุธใดๆ เขาก็ใช้ได้ ขนาดปืนที่นำมาใช้เขาก็ไม่ใช้ปืนเถื่อน
ที่สำคัญสเปรย์ป้องกันตัวประสิทธิภาพก่อเหตุน้อยคนร้ายเขาไม่นิยมใช้หรอก
เพราะเขาใช้มีด หรือปืนจะเอื้ออำนวยต่อการก่อเหตุได้มากกว่า" พ.ต.ท.โชติวิเชียร แสดงความเห็น

ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ จะถูกนักวิชาการชุดนี้ประมวลและ
เสนอต่อผู้มีอำนาจในสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาพิจารณาเพื่อกำหนดเป็นนโยบายต่อไป
หลังจากนี้จะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนทั่วไปอีกหลายครั้ง
แต่ในห้วงเวลาการศึกษาและยังไม่มีการแก้กฎหมาย
บุคคลที่มีสเปรย์ป้องกันตัวไว้ในครอบครองพึงระวัง
เพราะหากถูกจับกุม จะมีโทษหนักถึงจำคุก 10 ปี ปรับ 1 ล้านบาท

อันตรายจาก...สเปรย์พริกไทย

"สเปรย์พริกไทย" รู้จักในชื่อ OC spray
ซึ่งมาจาก “Oleoresin Capsicum” (น้ำมันจำพวกพริก) เป็นสารทำให้ระคายเคือง น้ำตาไหล เจ็บปวด
หรือตาบอดชั่วคราว ใช้เพื่อควบคุมการจลาจลฝูงชน และการป้องกันตัวเอง
ซึ่งการออกฤทธิ์ของสเปรย์พริกไทย ทำให้เกิดการอักเสบทันที ตาจะปิดลง
น้ำหูน้ำตาไหล หายใจลำบาก และไอ ระยะเวลาของผลที่ได้เกิดขึ้นกับความเข้มข้นของสเปรย์
แต่จะกินเวลาเฉลี่ย 30 นาที ถึง 45 นาที ในรายที่แพ้จะกินเวลานานเป็นชั่วโมง

สเปรย์พริกไทย เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่ได้รับความนิยมเพื่อการป้องกันตัวของผู้หญิงมาเป็นเวลานาน
เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่หยุดคนร้ายและมีระยะเวลาเพียงพอในการหนีเอาตัวรอด
ส่วนคนร้ายที่จะนำสเปรย์พริกไทย มาใช้จู่โจมผู้อื่นนั้นยาก เนื่องจากผู้ฉีดจะต้องหนีไปอีกทาง
หากจะวิ่งไล่ฉีดผู้อื่น คนร้ายก็จะโดนสเปรย์พริกไทยไปด้วย !!

 

พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 มาตรา 43 วรรคหนึ่ง ห้ามผลิต นำเข้า หรือมีไว้ในครอบครอง
หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 43 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 4
เมื่อรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบได้ประกาศระบุวัตถุใดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ให้ผู้ผลิต
ผู้นำเข้า หรือผู้มีไว้ในครอบครองปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ และ
ให้นำมาตรา 41 มาใช้บังคับโดย อนุโลม

สํานักควบคุมเครื่องสําอางและวัตถุอันตราย
วัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ห้ามผลิตนําเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครอง)
สารเคมีที่มีเหตุผลการห้ามใช้อื่นๆเช่น

สารเคมีที่ห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์ที่นํามาใช้เพื่อ
ขัดขวางระบบการทํางานของร่างกายเป็นการชั่วคราว

7 เมษายน พ.ศ. 2535-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
รัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี

ที่มีกูรูกฎหมายอำมาตย์ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรี

......พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
ให้ไว้ ณ วันที่๒๙ มีนาคม พ.ศ. 2535......เป็นปีที่ 47 ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ......นายอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี....

 

*******************************************

 

guest

Post : 2013-05-17 19:56:26.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  พ่อขุนผาเมือง

 

 

 

                                     

 

            เหนื่อยนักรักทรยศ...  

 

 

 

                               

 

 

 

....ขอหลบอยู่ ตรงนี้ ที่อ่อนล้า

 

เบี่ยงสายตา เลี่ยงต่ำลู่ ดูไม่เห็น

 

ปาดน้ำใส ไหลรินเเยก เเตกกระเซ็น

 

ใจสั่นเต้น รู้ว่าพ่าย อายเหลือเกิน

 

 

 

....สมน้ำหน้า ทุ่มเทให้ ไม่มีเผื่อ

 

ยาพิษเจือ หวานเยินยอ ป้อสรรเสริญ

 

เเต่สุดท้าย ปล่อยเดียวดาย ให้เผชิญ

 

เขี่ยทิ้งเมิน เป็นเศษใจ ไร้ราคา.......

 

 

 

**********************************

 

 

 

                                                   พ่อขุนผาเมือง

 

ความรักระหว่างหญิงและชายที่ไม่ว่าจะสูงศักดิ์หรือต่ำต้อยเพียงใดก็ไม่สามารถหลีกพ้นจาก ความเป็น “คน” ที่มีความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ที่ต้องมีทั้งความทุกข์และความสุขควบคู่กันไป

 

ถ้ารักนั้นมีความสมหวังดั่งที่ใจปรารถนา สิ่งที่ติดตามมาย่อมเป็นความแสนสุข หอมหวานปาน “น้ำผึ้ง” แต่ในทางตรงกันข้าม หากรักนั้นผิดหวังชิงชังริษยาความรักจะแสนขมระทมเศร้าทุกข์ทรมานปาน “ยาพิษ”

 

สำหรับความรักของ “เจ้านายผู้สูงศักดิ์” ที่ใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับราชสำนักในรูปแบบต่าง ๆ นั้น ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ในการขึ้นครองราชย์ เป็นการ “พลิกฟ้าเปลี่ยนแผ่นดิน” สามารถ “พลิกโฉม” ประวัติศาสตร์ได้อย่างน่าพิศวง

 

ความรุนแรงแห่งอานุภาพความรักนั้น ได้ก่อให้เกิดความหึงหวง ทวงสิทธิความรัก พร้อมทำร้ายและทำลายทุกชีวิตที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่เกิดทั้งสิ้นทั้งปวงนี้หนีไม่พ้น “ด้วยแรงแห่งรัก” ทั้งนั้น

 

“ความพิศวาส” จากความรักที่แสนสุขนั้น สามารถแปรเปลี่ยนจนเกิดผลร้ายกลายเป็น “พิษสวาท” ที่สร้างทุกข์ทำร้ายหลายชีวิตให้พินาศไปอย่างน่าเสียดายยิ่งนัก

 

..........................................................................................................

 

 รักที่เสียสละพ่อขุนผาเมือง

 

พ่อขุนผาเมืองเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่ง ที่เสียสละในการสร้างชาติ ที่ทรงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรวบรวมชนเผ่าไทให้มีความเข้มแข็ง จนสามารถสร้างอาณาจักรชาติไทยและต่อสู้

 

จนเป็นอิสระพ้นอำนาจจากการปกครองของชนชาติขอมไปได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของพ่อขุนผาเมือง ที่ต้องเสียสละจากการครองอำนาจโดยชอบธรรมแห่งตนและเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อชาติอันเป็นที่รักมากกว่าความรักระหว่างหญิงกับชายของพระองค์กับพระมเหสีอันถือเป็น ’อำนาจรักที่ยิ่งใหญ่“ เหนือกว่าความรักใด ๆ ที่มีในหญิงกับชายโดยทั่วไป พูดง่าย ๆ ก็คือพ่อขุนผาเมืองรักชาติ มากกว่าการรักหญิง รักอำนาจ รักวาสนา รักราชสมบัติ

 

จากศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 2 (จารึกวัดศรีชุม) ได้เล่าว่าพ่อขุนศรีนาวนำถมที่ครองเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัย มีโอรสและธิดา 2 พระองค์คือ พ่อขุนผาเมืองและนางเสือง ภายหลังพ่อขุนศรีนาวนำถมได้ยกนางเสืองให้อภิเษกกับพ่อขุนบางกลางหาว ผู้ครองเมืองบางยาง สำหรับพ่อขุนผาเมืองนั้นครองเมืองราดและเมืองลุ่ม พระองค์ทรงอภิเษกกับพระนางสิงขรมหาเทวี พระราชธิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ขอมที่ครองกรุงยโสธรนครธม โดยทรงมอบ “พระขรรค์ชัยศรี” และตั้งพระนามให้พ่อขุนผาเมืองว่า ’กมรเต็งอัญผาเมือง“ ด้วยอาณาจักรขอมต้องการขยายอำนาจมายังดินแดนสุวรรณภูมิ ด้วยการสร้างสัมพันธ์แบบเกี่ยวดองเป็นพระญาติต่อกัน เพราะขณะนั้นอาณาจักรขอมได้มีสงครามกับอาณาจักรจัมปาหลายครั้ง จึงต้องสร้างไมตรีกับอาณาจักรใกล้เคียงเพื่อป้องกันการทำสงครามจากด้านอื่น

 

พ่อขุนศรีนาวนำถมได้ปกครองเมืองแบบระบบเมืองคู่ ถือครองเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัย เรียกว่า นครสองอัน ทรงมีอำนาจและครองเมืองศรีสัชนาลัยแบบไม่มั่นคงเพียงใดนัก

 

ดังนั้นการครองเมืองสุโขทัยที่อยู่ทางตอนใต้จึงเป็นการครองเมืองแบบไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร ด้วยเหตุนี้เมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมสิ้นพระชนม์ ขอมสบาดโขลญลำพง ที่เป็นผู้ดูแลเทวสถานทางศาสนา จึงได้นำกำลังพลที่แอบเตรียมไว้เข้ายึดกรุงสุโขทัยไว้ได้หากพิจารณาเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งเป็นคนของอาณาจักรขอมที่ส่งมาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเทวสถานทางศาสนาพร้อมกำลังคนจำนวนมากโดยอ้างว่าเป็นคนของศาสนาพราหมณ์ แต่อาจจะมีภารกิจที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือเป็น ไส้ศึกสายลับ คอยสืบข่าวความเคลื่อนไหวของชนเผ่าไท และดูแลพระธิดาที่มาเป็นพระมเหสีขุนผาเมืองหรืออาจจะเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของขอมในสุโขทัย แล้วเตรียมกำลังผู้คนในทางลับเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมแย่งชิงอำนาจ จึงสามารถระดมกำลังพลได้รวดเร็วในการเข้ายึดอำนาจกรุงสุโขทัย

 

พ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางหาว จึงได้ร่วมมือกันวางแผนนำกำลังชนชาวไท เข้าชิงอำนาจยึดสุโขทัยกลับมาได้ หลังจากนั้นพ่อขุนผาเมืองจึงได้มอบกรุงสุโขทัยให้ พ่อขุนบางกลางหาว ผู้ซึ่งเป็นพระสหายสนิทและเป็นน้องเขยของพระองค์ เพราะนางเสืองน้องสาวเป็นพระมเหสี (พ่อขุนผาเมืองทรงมีฐานะเกี่ยวพันเป็น “ลุง” ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช) โดยได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัย แล้วอัญเชิญให้ครองกรุง ขึ้นครองราชย์เป็น ’ปฐมบรมกษัตริย์“ ต้นราชวงศ์พระร่วง ทรงพระนามว่า ’ศรีอินทราทิตย์“

 

หากพิจารณาถึงเหตุที่ขุนผาเมืองเสียสละไม่ยอมครองกรุงสุโขทัย แม้ว่าจะทรงมีสิทธิโดยชอบธรรมและเป็นรัชทายาทผู้สืบสายโลหิตโดยตรง ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะพระองค์ทรงต้องการให้ชนเผ่าไทหลุดพ้นจากอำนาจขอมและพระองค์มีพระมเหสีเป็นพระราชธิดากษัตริย์ขอมผู้มีพระราชอำนาจยิ่งใหญ่ต้องผูกพันเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมีพระโอรสหรือพระธิดาจะต้องสืบสายเลือด 2 ชาติและหนีไม่พ้นอิทธิพลขอมตลอดไป พระองค์ทรงต้องการให้พ่อขุนบางกลางหาวกับนางเสืองให้กำเนิดผู้สืบสายเลือดไทยเพื่อเป็นผู้นำชนเผ่าไท ไม่ต้องการทายาทที่มีสายเลือดชาติอื่นเข้ามาปะปน

 

นับแต่นั้นมาเรื่องของพ่อขุนผาเมืองก็สูญหายไปจากประวัติศาสตร์ชาติไทย ไม่มีการกล่าวถึงอีกเลยแต่ก็มีตำนานเล่าต่อมาอีกว่า พระองค์ได้ปลีกตัวหนีออกจากเมืองเพื่อออกบวชแสวงบุญหายไปทางตอนเหนือ ส่วนพระนางสิงขรมหาเทวีนั้นทรงผิดหวังเสียใจในความรัก จึงได้เผาบ้านเผาเรือนด้วยความโกรธแค้นและได้ออกติดตามหาพ่อขุนผาเมือง แล้วหายสาบสูญไป แต่บางตำนานได้เล่าว่าพระนางสิงขรมหาเทวี เศร้าเสียใจจึงไปกระโดดน้ำสิ้นพระชนม์ที่แม่น้ำแห่งหนึ่ง

 

เมื่อได้พิจารณาถึงความเสียสละของพ่อขุนผาเมืองที่เป็นจุดสำคัญในความสำเร็จของการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยของกลุ่มชนชาติเสือไท จากการรวบรวมของกลุ่มชนชาติเสือไท จนมีความเข้มแข็งมีอำนาจอิสระพ้นจากอิทธิพลของขอมมาได้ ต้องยอมรับในการเสียสละที่พ่อขุนผาเมืองได้กระทำในการก่อตั้งชาติไทนั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีจิตใจสูงส่งมุ่งมั่นเฉลียวฉลาดและมองการณ์ไกล มุ่งเรื่องใหญ่ไปข้างหน้า เพราะตามปกติวิสัยของมนุษย์ย่อมอยากได้มาซึ่งอำนาจราชศักดิ์ การได้ครองราชย์ที่เป็นสิทธิที่ตนเองพึงมีพึงได้นั้น แต่ไม่ยอมรับกลับเสียสละจากการครองเมือง ขยายอาณาเขตเพื่ออำนาจแห่งตนและแม้จะมีพระมเหสีที่มาจากอาณาจักรขอมที่ยิ่งใหญ่ ที่ถือเป็นตัวจักรที่สนับสนุนให้ ’มีอำนาจ“ แต่พระองค์กลับทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ชนชาติไทในสมัยนั้นพ้นจากอำนาจขอมทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นที่น่าเสียดายที่คนไทยในปัจจุบันหลายคนไม่รู้จักชื่อท่านและวีรกรรมของท่าน ’พ่อขุนผาเมือง...กษัตริย์ไทยผู้ยิ่งใหญ่“ ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้เสียสละเพื่อชาติไทยในอดีต.......................

 

 

ดวงฤดี พรมสุนทร · มหิดล
ผู้หญิงคนนั้น (พระนางสิงขร) อยู่ที่บ้านเราอยู่ที่หล่มสัก ใกล้กลับเมืองเก่าที่นางสิงขรอยู่ และที่นางกระโดดน้ำตาย มีคนมาทำศาลไว้...........

ทุกคนยกย่องพ่อขุนผาเมือง แต่นางเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร พระเจ้าชัยวรมันยกนางให้พ่อขุนผาเมือง แต่พ่อขุนผาเมืองก้อยังมีหญิงอื่น พ่อขุนผาเมืองยกเมืองให้เพือน และมอบพระขรรค์ชัยศรีให้เพือน ซึ่งเป็นของที่พระเจ้าชัยวรมันยกให้ นางจึงเสียใจมาก นางไม่เหลือใคร เพราะพระเจ้าชัยวรมันสิ้นพระชนม์ นางจึงเผาบ้านเผาเมือง ร้องหายเสียใจ และตัดสิ้นใจกระโดดน้ำตาย ที่ท่าน้ำ ที่เมืองนครเดิด......(เมืองนครเดิด ตั้งอยู่ที่หมู่ ๑๐ บ้านดงเมือง ตำบลลานบ่า อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์)

  

 

                                 ขุนหลวงทรงปลา..

 

                                       

 

พระเจ้าท้ายสระหรือสมเด็จพระภูมินทราธิราช ทรงมีพระนามเดิมคือ เจ้าฟ้าเพชร เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าเสือ แต่ไม่ปรากฏพระนามของพระราชมารดาเป็นพระองค์ใด ขึ้นครองราชย์ภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าเสือ โดยมีเจ้าฟ้าพร พระอนุชาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

สำหรับพระนามพระเจ้าท้ายสระนั้น เป็นเพราะทรงประทับอยู่พระที่นั่งบรรยงก์รัตพาสน์ที่ตั้งอยู่ข้างสระน้ำท้ายพระบรมมหาราชวัง นอกจากนี้ยังมีพระนามว่า ขุนหลวงทรงปลา เพราะทรงโปรดเสวยปลาตะเพียนมาก ถึงกับออกกฎหมายห้ามราษฎรจับหรือรับประทานปลาตะเพียน หากผู้ใดฝ่าผืนต้องถูกปรับเป็นเงิน 5 ตำลึงหรือ 20 บาท และพระองค์ทรงโปรดการตกเบ็ด ทอดแห แทงฉมวก กั้นเฝือก ดักลอบ ดักไซ พระองค์ทรงครองราชย์เมื่อปี พ.ศ.2251 เสด็จสวรรคตด้วยพระโรคมะเร็งที่พระชิวหาและพระศอ พ.ศ.2275 เสวยราชย์เป็นระยะเวลา 24 ปี

ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีการขุดคลองที่เป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญ คือ “คลองมหาไชย” และ “คลองเกร็ดน้อย” และยังมีความเจริญในด้านการค้ากับต่างชาติอย่างสูง โดยเฉพาะการขายข้าวกับจีนในสมัยราชวงศ์ชิงและยังขายให้กับฮอลันดาในชวา รวมทั้งขายให้อังกฤษในอินเดีย

สำหรับในด้านการศาสนาได้ทรงแข่งกันสร้างวัดระหว่างพระองค์กับพระอนุชา คือวัดมเหยงค์และวัดกุฎีดาว และยังมีเคลื่อนย้ายพระนอนองค์ใหญ่ของวัดป่าโมก เพื่อให้พ้นจากการถูกน้ำเซาะตลิ่ง นอกจากนี้ยังได้พระราชทานท้องพระโรงแก่สมเด็จพระสังฆราชแตงโม (ทอง) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระองค์ โดยการส่งเรือจากอยุธยาไปเพชรบุรี แล้วไปสร้างที่วัดใหญ่สุวรรณาราม จึงทำให้ยังคงเหลือพระราชวังท้องพระโรงที่แสดงถึงศิลปกรรมชั้นสูงแบบอยุธยาที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลายของพม่าในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2

สำหรับชีวิตส่วนพระองค์นั้น ทรงมีพระอัครมเหสีคือ กรมหลวงประชานุรักษ์หรือกรมหลวงราชานุรักษ์ หรือมีพระนามเดิมว่า เจ้าท้าวหรือเจ้าฟ้าทองสุก มีพระราชบุตรและพระราชธิดา 5 พระองค์ คือ

1.เจ้าฟ้านเรนทร กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์
2.เจ้าฟ้าหญิงเทพ
3.เจ้าฟ้าหญิงปทุม
4.เจ้าฟ้าอภัย
5.เจ้าฟ้าปรเมศร์

 

ในปลายรัชสมัยของพระองค์ ได้เกิดศึกสายเลือดมีการแย่งชิงราชสมบัติกันอย่างรุนแรง ใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี ระหว่างฝ่ายพระราชโอรส 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าอภัยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์ กับฝ่ายพระอนุชา คือ เจ้าฟ้าพรซึ่งต่อมาคือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศในรัชสมัยต่อมา ทำให้เกิดการเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันอย่างน่าเสียดาย ทั้งยังเกิดการสูญเสียกำลังคนและทหารฝีมือดี รวมทั้งข้าราชการชั้นสูงที่เก่งในการบริหารชาติไปเป็นจำนวนมาก โดยมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากพระเจ้าท้ายสระทรงเกิดเปลี่ยนพระทัยที่จะมอบราชสมบัติให้กับพระอนุชา คือเจ้าฟ้าพร ผู้ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา โดยจะทรงมอบราชสมบัติให้กับพระราชโอรสองค์ใหญ่ คือเจ้าฟ้านเรนทร กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ซึ่งมีเจ้าฟ้าอภัยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 กับองค์ที่ 3 ตามลำดับ แต่เจ้าฟ้านเรนทรไม่ทรงเห็นชอบด้วยเนื่องจากเจ้าฟ้าพรพระอนุชา ซึ่งเป็นพระมหาอุปราชยังคงมีพระชนม์อยู่และทรงดำรงตำแหน่งที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล สมควรที่จะได้รับมอบราชสมบัติสืบต่อมา ตามข้อตกลงเดิมระหว่างพี่น้องสองพระองค์ที่เคยมีมา และเป็นธรรมเนียมราชประเพณีโบราณที่ต้องถวายราชสมบัติแก่พระอนุชา ก่อนที่จะเป็นพระราชโอรส ซึ่งพระเจ้าท้ายสระไม่พอพระทัยและไม่ยินยอมตามที่เจ้าฟ้านเรนทรได้ทรงทูลถึงเหตุที่ควรจะเป็นไปตามความถูกต้อง ดังนั้น เจ้าฟ้านเรนทรจึงตัดสินพระทัยออกผนวช พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจึงมอบราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสองค์ที่ 2 เพื่อสืบสายราชวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ที่จะขึ้นครองราชย์องค์ต่อไป

 

ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้เจ้าฟ้าพร พระอนุชาของพระองค์ในฐานะพระมหาอุปราชไม่ทรงพอพระทัยและไม่ยินยอม โดยทรงยืนยันว่าหากพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจะทรงประสงค์ให้พระราชโอรสของพระองค์สืบราชสมบัติต่อไป ทรงเห็นสมควรที่จะให้ “เจ้าฟ้านเรนทร”

 

พระราชโอรสองค์ใหญ่ที่ทรงผนวชอยู่เท่านั้น ที่พระองค์จะทรงเต็มพระทัยและสนับสนุนให้ทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อไป แต่ในท้ายสุดแล้ว ฝ่ายเจ้าฟ้านเรนทรไม่เห็นด้วยและไม่ทรงยินยอมตามนั้น จึงไม่ทรงลาผนวช นั่นหมายความว่า เจ้าฟ้านเรนทร กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ไม่ยอมเป็นกษัตริย์และไม่ยอมลาผนวช

 

ในเวลาต่อมาพระเจ้าท้ายสระทรงพระประชวรหนัก และยังไม่สามารถหาข้อประนีประนอมการสืบราชสมบัติระหว่างพระเจ้าอา (วังหน้า) กับ พระเจ้าหลาน (วังหลวง) ดังนั้น “เจ้าฟ้าอภัย” กับเจ้าฟ้าปรเมศร์และขุนนางฝ่ายวังหลวงที่เกรงกลัวจะสูญเสียอำนาจ จึงได้จัดเตรียมกองทัพตั้งค่ายไว้หน้าวังเพื่อเตรียมพร้อมกองทัพไว้รบกับเจ้าฟ้าพร (พระอนุชา) กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เรื่องราวเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ทำให้วังหน้าทรงไม่พอพระทัยเป็นอันมาก จนกลายเป็นต้นเหตุแห่งศึกกลางเมืองท้ายสระ ที่เป็นศึกสายเลือด รบราฆ่ากันจนเป็นเหตุให้แม่ทัพ นายทหาร ล้มตายจากการสู้รบในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก โดยในที่สุดฝ่ายพระเจ้าอาเป็นฝ่ายรบชนะได้ขึ้นครองราชย์สมบัติสืบมา มีพระนามว่าพระเจ้าบรมโกศ และได้นำเจ้าฟ้าอภัยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์ ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามโบราณราชประเพณี



สำหรับเจ้าฟ้านเรนทร พระราชโอรสองค์ใหญ่ที่ไม่ทรงยินยอมลาผนวชเพื่อเป็นกษัตริย์และดำรงเพศบรรพชิตตลอดมานั้น ได้ทรงสถาปนาให้เป็นกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ (เจ้าพระฯ) นับว่าทั้ง 2 พระองค์ระหว่างพระเจ้าอากับพระเจ้าหลานพระองค์นี้ ทรงรักใคร่ โปรดปราน เมตตาซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก ทั้งนี้พระเจ้าหลานหรือเจ้าพระฯ องค์นี้ได้เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) และผู้สมคบต้องถูกราชอาญาต้องโทษประหารชีวิต จากการลอบทำร้ายเจ้าฟ้านเรนทรหรือเจ้าพระอุ พระองค์นี้ เพราะถูกฟันจนพระจีวรฉลองพระองค์ฉีกขาด เพราะเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ไม่วางพระทัยเกรงว่าจะแย่งราชสมบัติ

 

เมื่อได้พิเคราะห์ถึงเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าท้ายสระนั้น จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงมีพระอุปนิสัยที่ทรงโปรดการแข่งขันและความท้าทาย ด้วยพระราชบิดาคือพระเจ้าเสือก็ทรงมีพระอุปนิสัยที่คล้ายคลึงกัน ในความชอบการต่อสู้ เพราะทรงเป็นกษัตริย์นักสู้ ตั้งแต่ทรงพระราชสมภพเมื่อทรงเป็นเจ้าฟ้าเพชร ก็ทรงแข่งขันและท้าทายในเรื่องต่าง ๆ กับเจ้าฟ้าพรกับพระอนุชาตลอดเวลา ทรงโปรดการตกปลาด้วยวิธีการหลายอย่าง ซึ่งก็ถือเป็นการท้าทายแข่งขันในอีกรูปแบบหนึ่ง แม้แต่การทรงสร้างวัดก็แข่งขันท้าทายกันกับพระอนุชา และในปลายรัชสมัยก็ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ยินยอมให้พระอนุชาสืบราชสมบัติ จนกลายเป็นศึกสายเลือดหรือความท้าทายอีกครั้งในชีวิตของพระองค์ ที่อยากจะให้พระราชโอรสได้สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ จึงถือได้ว่าตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์เป็นการใช้ชีวิตที่อยู่บนการแข่งขันและการท้าทายในชัยชนะของคู่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นความรักในการทรงโปรดเกี่ยวกับเรื่องปลา ความรักในสายพระโลหิตจากพระอนุชามาเป็นพระราชโอรส ซึ่งกลายเป็นเรื่องท้าทายที่เปลี่ยนแปลงความคิดจนเกิดเป็นศึกสายเลือด

 

นับได้ว่าตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ของพระเจ้าท้ายสระนั้น ทรงใช้ความเป็นกษัตริย์นักสู้ ท้าทายต่อความยากลำบาก จนเกิดสิ่งที่ดีในรัชสมัยของพระองค์หลาย ๆ ประการ ทั้งในด้านการค้า การปกครอง การศาสนา แม้กระทั่งความรักในสายพระโลหิตที่กลายเป็นรักที่ท้าทายของพระเจ้าท้ายสระ.

 

 

*********************************************************

 

    

        ขายขี้หน้าชะมัดเลย

 

 

เป็นถึงสมาชิกเทศบาล จัดไปดูงานต่างประเทศ

ซื้อตั๋วเครื่องบินไว้วันที่13 นี่ปาเข้าไปวันที่17แล้ว

วีซ่าไม่ผ่าน งบซื้อตั๋วเครื่องบิน ก็งบของเทศบาล

แล้วถ้าวีซ่าไม่ผ่าน เงินค่าตั๋วจ่ายไปแล้ว แล้วใคร

รับผิดชอบ ที่สำคัญไปกันเป็นคณะใหญ่ ยกโขยง

ไปกันทั้งครอบครัว ของทั้งคณะสมาชิกเทศบาลนั่นแหละ

งานนี้ใช้งบทิ้งๆขว้างๆกันนะ หรืองบนั่นมันไม่ใช่เงินพวกท่าน

แต่ก็สมน้ำหน้านะ วางแผนไปเที่ยวต่างประเทศกันซะอย่างดี

ใช้การไปดูงานบังหน้า แต่กรรมที่วีซ่าไม่ผ่าน เลยอดกันเป็นแถว

 

 

ปัญหาอยู่ที่การไปครั้งนี้ไปเป็นกลุ่มแต่ดันไปขอวีซ่าเข้าอังกฤษ ที่เขามีมาตรฐานบัญชีเงินฝากที่สูง แต่ในกลุ่มนั้นมีหลายคนมีบัญชีเงินฝากไม่ถึง ทางสถานฑูตเขาขอหลักฐานเพิ่มเติม เห็นว่าเวลานี้ผ่านแล้วนะ

โครงการนี้ทางจังหวัดมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยไปกันหลายเทศบาลและ อบต โดยใช้วิธีให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์รับหน้าที่ในการทำโครงการจัดอบรมสัมมนา แต่ไม่อบรมทำตารางหลอกเพื่อตบตา สตง. คนทำโครงการมือไม่ถึง แทนที่จะทำไปลงที่อิตาลี เพราะวีซ่าของอิตาลีของ่ายที่สุดแล้วใช้สิทธิเชงเก้น เข้าอังกฤษได้เลยไม่ต้องไปขอซ้ำ

 

(ป.ล ไม่ใช่เทศบาลบางพลีนะ..อย่าเข้าใจผิด!!......)

 

**************************************

 

 

 

 

การสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ พ.ศ. 2553

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 

การสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งรัฐบาลได้ส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธสงคราม และรถหุ้มเกราะ เข้าปิดล้อมพื้นที่การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณแยกราชประสงค์ ระหว่างการชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ทั้งสิ้น 56 ศพ[1] ในบรรดาผู้เสียชีวิตมีชาวต่างประเทศรวมอยู่สองศพและเจ้าหน้าที่กู้ชีพอีกสองศพ[2] ได้รับบาดเจ็บ 480 คน[3] และจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน กลุ่มผู้ชุมนุมยังสูญหายอีกกว่า 51 คน[4] หลังแกนนำผู้ชุมนุมเข้ามอบตัวกับตำรวจเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ได้เกิดเหตุเผาอาคารหลายแห่งทั่วประเทศ รวมทั้ง เซ็นทรัลเวิลด์[5] สื่อต่างประเทศบางแห่ง ขนานนามการสลายการชุมนุมดังกล่าวว่า "สมรภูมิกรุงเทพมหานคร"[6][7] สื่อไทยบางแห่ง ขนานนามเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "พฤษภาอำมหิต"[8]

 

พื้นที่แยกราชประสงค์ถูกล้อมด้วยรถหุ้มเกราะและพลแม่นปืนเป็นเวลาหลายวัน ก่อนหน้าวันที่ 13 พฤษภาคม[9] เย็นวันที่ 13 พฤษภาคม พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) ผู้สนับสนุนการรักษาความปลอดภัยแก่กลุ่มผู้ชุมนุม ถูกพลแม่นปืนยิงที่ศีรษะระหว่างให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าวต่างประเทศ รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มอีก 17 จังหวัดทั่วประเทศ ฝ่ายกองทัพอ้างว่าพลเรือนที่ถูกฆ่าทั้งหมดเป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายหรือไม่ก็เป็นผู้ก่อการร้ายติดอาวุธ และเน้นว่าบางคนถูกฆ่าโดยผู้ก่อการร้ายที่แต่งกายในชุดทหาร[10] ทางกองทัพได้ประกาศ "เขตยิงกระสุนจริง" และศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินก็ห้ามเจ้าหน้าที่แพทย์มิให้เข้าไปในเขตดังกล่าว[2][11][12][13] วันที่ 16 พฤษภาคม แกนนำ นปช. กล่าวว่า พวกตนพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลทันที่ที่ทหารถูกถอนกลับไป แต่รัฐบาลเกรงว่าการถอนทหารจะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการนำคนเติมเข้าไปในที่ชุมนุม จึงได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้[14] รถหุ้มเกราะนำการสลายการชุมนุมครั้งสุดท้ายในตอนเช้าของวันที่ 19 พฤษภาคม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 ศพ[15] มีรายงานว่าทหารได้ยิงเจ้าหน้าที่แพทย์ซึ่งเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ถูกยิง[15] แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมมอบตัวกับตำรวจและประกาศสลายการชุมนุม ในวันเดียวกัน ได้เกิดเหตุการเผาอาคารหลายแห่งทั่วประเทศ รัฐบาลจึงประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน และทหารได้รับคำสั่งให้ยิงทุกคนที่ก่อความไม่สงบ[15]

 

เนื้อหา

[ซ่อน]

เบื้องหลัง

การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2552 หลังได้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ และหลังจากการตัดสินคดียึดทรัพย์ของทักษิณ ชินวัตรให้ตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จึงได้ประกาศจัดการชุมนุมในกรุงเทพมหานครนับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม เป็นต้นไป การชุมนุมดังกล่าวมีเป้าหมายเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่

 

ลำดับเหตุการณ์

 

ทหารกำลังมองไปยังสวนลุมพินี ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มคนเสื้อแดง

 

 

13 พฤษภาคม

 

พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) ถูกกระสุนปืนความเร็วสูงยิงเข้าที่กะโหลกศีรษะระหว่างให้สัมภาษณ์แก่เดอะนิวยอร์กไทมส์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส [16][17] เจ้าหน้าที่นำตัวส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว หลังจาก พล.ต.ขัตติยะ ถูกยิง ก็มีเสียงปืนยิงต่อสู้ และเสียงระเบิดเกิดขึ้น ภายในพื้นที่ปิดล้อมของกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย นอกจากนี้ ยังมีการตัดไฟฟ้า บริเวณสวนลุมพินี และแยกศาลาแดง[18]

 

บริเวณแยกสวนลุมพินี ผู้ชุมนุมได้นำกรวยออกเพื่อเส้นทางสัญจร พร้อมทั้งขวางและผลักดันเจ้าหน้าที่ทหารไม่ให้ออกมาจากสวนลุมพินี หลังจากนั้นไม่นาน มีเสียงปืนดังติดต่อกันหลายนัด ขณะที่เจ้าหน้าที่ยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุม มีผู้บาดเจ็บ 20 ราย[19] หลังจากที่เจ้าหน้าที่เข้าปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม บริเวณแยกศาลาแดง ประตู 2 สวนลุมพินี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการรื้อแผงจราจร ขว้างปาก้อนอิฐและสิ่งของ จำนวนหลายสิบราย ในจำนวนนี้ชาติชาย ชาเหลา ผู้ชุมนุม เสียชีวิต[20]

 

14 พฤษภาคม

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจเคลื่อนเข้าไปปิดล้อมและพยายามตัดขาดกลุ่มผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อประกาศว่าอภิสิทธิ์ได้เริ่มสงครามกลางเมือง เนื่องจากเกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเกิดความแตกแยกในกองกำลังความมั่นคง สถานทูตอเมริกันและอังกฤษปิดด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย[21] ราว 13.30 น. มีการปะทะกันระหว่างทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณหน้าสนามมวยเวทีลุมพินี ทั้งสองฝ่ายมีการยิงปืน ประทัดยักษ์และพลุตะไลตอบโต้กัน[22] มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย จากการปะทะกันบริเวณหน้าสวนลุมไนท์บาซาร์[23] เมื่อเวลา 15.20 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ย้ายไปปักหลักบริเวณแยกประตูน้ำ ถนนราชปรารภทั้งสองฝั่ง และบริเวณสถานีรถไฟฟ้าราชปรารภ[24]

 

ซากรถบรรทุกที่ถูกเผาทำลายกีดขวางถนนพระราม 4

 

 

เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งประจำการบริเวณแยกบ่อนไก่ ถนนพระรามที่ 4 ได้รุกคืบเข้าควบคุมพื้นที่อีกครั้งด้วยการกลับมาวางแนวลวดหนาม หลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามานำออกไปก่อนหน้านี้ ฝ่ายทหารใช้ทั้งกระสุนและแก๊สน้ำตาเข้าช่วยยึดคืนพื้นที่[25] ต่อมา เวลา 18.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเสียชีวิต 1 ราย จากการปะทะกับกองกำลังทหารบริเวณแยกบ่อนไก่ กระสุนเข้าที่ท้ายทอย[26] สถานทูตแคนาดาถูกปิดไปเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น.[27]

 

ในเวลาใกล้เคียงกัน เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นหน้าเวทีคนเสื้อแดง โดยเกิดเสียงคล้ายปืนดังขึ้น และมีระเบิดควันขว้างลงมาหลังเวที ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 15 คน[28] เวลา 18.40 น. เจ้าหน้าที่ทหารเคลื่อนรถหุ้มเกราะเข้าไปยังแยกศาลาแดง พร้อมกันนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าต่อต้านด้วยการขว้างขวด ระเบิดขวด และระเบิดควันเข้าใส่ เจ้าหน้าที่ทหารเตือนว่าจะนับหนึ่งถึงสามแล้วจะยิงทันที เสร็จแล้วเสียงปืนจากกองกำลังทหารที่ซุ่มอยู่บนรางรถไฟฟ้าก็ดังขึ้นทันที[29]

 

เวลา 21.00 น. บริเวณถนนสาทร ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ทหารตั้งแนวป้องกันปิดถนน ไม่ให้ประชาชนผ่านเข้าไปยังถนนพระรามที่ 4 ตามประกาศของ ศอฉ. โดยเจ้าหน้าที่ทหารยิงกระสุนใส่ประชาชนที่ขับรถไปตามเส้นทางถนนสาทร ช่วงบริเวณแยกไฟแดงซอยสาทร 6 หน้าโรงแรมเอฟเวอร์กรีน จนได้รับบาดเจ็บไป 1 ราย โดยถูกยิงเข้าบริเวณตาตุ่มข้อเท้าด้านขวาเจ้าหน้าที่ศูนย์เอราวัณ ช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลตากสิน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ทหารยังใช้ปืนยิงขู่ประชาชน ที่ขับรถเข้ามาตามถนนสาทร มุ่งหน้าถนนพระรามที่ 4 อีกด้วย[30]

 

เพชรพงษ์ กำจรกิจการ ผู้อำนวยการศูนย์เอราวัณ เปิดเผยว่าตัวเลขเมื่อเวลา 22.00 น. มีผู้เสียชีวิต 7 ศพ และได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 101 คน ส่วนมากถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่ศีรษะ ปาก และช่วงท้อง[31] ต่อมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีผู้บาดเจ็บ 125 คน และเสียชีวิต 10 ศพ[32] ส่วนตามข้อมูลของเดอะเทเลกราฟนั้น ได้รายงานว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ศพ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 157 คน[33]

 

15 พฤษภาคม

 

แนวป้องกันยางรถยนต์ของผู้ชุมนุม ที่เกิดขึ้นตามจุดปะทะต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร

 

 

เมื่อเวลา 00.30 น. เกิดเหตุรถตู้โตโยต้าคอมมิวเตอร์ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฮค 8561 กรุงเทพมหานคร ขับมาบนถนนราชปรารภ มุ่งหน้าไปทางดินแดงด้วยความเร็วสูง เมื่อวิ่งมาถึงบริเวณสถานีแอร์พอร์ตเรลลิงก์มักกะสัน ทหารประจำด่านตรวจส่งสัญญาณให้หยุดรถ แต่รถตู้คันดังกล่าวไม่ยอมหยุด เจ้าหน้าที่ใช้ปืนยิงยางรถ แต่รถยังคงไม่หยุดวิ่ง ทหารจึงตัดสินใจระดมยิงด้วยกระสุนจนรถพรุนไปทั้งคัน ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสามราย รวมทั้งคนขับและเด็กชายวัย 10 ปี เจ้าหน้าที่ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลพญาไท 1[34] ต่อมา เวลาประมาณ 9.00 น. ได้เกิดเหตุจ่าทหารอากาศนายหนึ่งเสียชีวิตจากการถูกฝ่ายเดียวกันยิง (friendly fire) [35]

 

เจ้าหน้าที่ทหารประกาศจัดตั้ง "เขตยิงกระสุนจริง" ในหลายพื้นที่ใกล้กับกลุ่มผู้ชุมนุม และกลุ่มผู้ชุมนุมที่เข้าไปในเขตเหล่านี้จะถูกยิงทันทีที่พบ มีรายงานว่ากลุ่มผู้ชุมนุมขาดแคลนน้ำและอาหารจากการปิดกั้นของเจ้าหน้าที่ทหาร และอาจชุมนุมต่อไปได้อีกเพียงไม่กี่วัน หลังกลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าปล้นร้านค้าใกล้เคียง[36]

 

เวลา 24.00 น. ศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร รายงานรายชื่อผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ทหารกระชับพื้นที่การชุมนุม ของกลุ่มคนเสื้อแดง ตั้งแต่วันที่ 14-15 พฤษภาคม ว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 24 ศพ และบาดเจ็บ 187 คน[37]

 

16 พฤษภาคม

 

ผู้สื่อข่าวในบริเวณใกล้เคียงกับที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ทหารนั้นจำต้องยุติการออกอากาศสดด้วยเกรงว่าจะถูกพลแม่นปืนฝ่ายทหารในพื้นที่ยิง รัฐบาลกระตุ้นให้ผู้ชุมนุมเด็กและผู้สูงอายุออกจากพื้นที่ชุมนุมเมื่อช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น ทำให้เกิดความกลัวว่าจะมีการสลายการชุมนุมตามมา แกนนำ นปช. เริ่มบอกกลุ่มผู้ชุมนุมว่าสื่อต่างประเทศ เช่น ซีเอ็นเอ็น บีบีซี รอยเตอร์ และอื่น ๆ ไม่สามารถเชื่อถือได้ เนื่องจากสำนักข่าวเหล่านี้มีอคติ ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงจากผู้สนับสนุนชาวต่างประเทศ[38] วันเดียวกัน พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ซึ่งถูกยิงเข้าที่ศีรษะเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม เสียชีวิต[39]

 

เวลา 23.00 น. ศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร รายงานจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต จากเหตุการณ์กระชับพื้นที่การชุมนุม ระหว่างวันที่ 14-16 พฤษภาคม สรุปล่าสุดเวลา 22.00 น. ว่ามีผู้เสียชีวิต 31 ศพ บาดเจ็บ 230 คน รวม 261 คน รับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล 83 ราย ในจำนวนนี้ต้องรักษาตัวในห้องไอซียู 12 ราย[40]

 

17 พฤษภาคม

 

เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. มีผู้ขับรถกระบะโตโยต้า วีโก้ คือ จ่าอากาศเอก พงศ์ชลิต มาจากซอยคอนแวนต์เข้าไปยังถนนสีลม ระหว่างนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด และเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้นระหว่างผู้ที่อยู่ในรถกับทหารซึ่งคุมพื้นที่อยู่ริมถนน จนรถกระบะเสียหลักพุ่งชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จอดอยู่บริเวณข้างทาง ช่วงหน้าธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ จากนั้น ได้นำผู้บาดเจ็บสองรายส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน จ่าอากาศเอก พงศ์ชลิต ทิพยานนทการ ถูกยิงที่ศีรษะและเสียชีวิตในเวลาต่อมา และเรืออากาศตรีอภิชาติ ช้งย้ง อายุ 26 ปี ได้รับบาดเจ็บ คาดว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิด[41]

 

เมื่อเวลา 08.30 น. ศูนย์การแพทย์ฉุกเฉิน กรุงเทพมหานคร หรือ ศูนย์เอราวัณ เปิดเผยจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะกัน ระหว่างวันที่ 14-17 พฤษภาคม ว่า ขณะนี้มีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว จำนวน 252 ราย เสียชีวิต 35 ศพ และล่าสุด พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ก็เสียชีวิต เพิ่มอีก 1 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นชาวต่างชาติ มีจำนวน 6 ราย ประกอบด้วย ชาวแคนาดา ชาวโปแลนด์ ชาวพม่า ชาวไลบีเรีย ชาวอิตาลี และนิวซีแลนด์ ประเทศละ 1 ราย[42]

 

เฮลิคอปเตอร์ทหารได้โปรยใบปลิวเหนือค่ายที่ชุมนุมหลักของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยกระตุ้นให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ กลุ่มคนเสื้อแดงตอบโต้โดยการยิงพลุตะไลใส่เฮลิคอปเตอร์ ค่ายผู้ชุมนุมถูกล้อมอย่างสมบูรณ์ และรัฐบาลประกาศเส้นตายให้สลายการชุมนุมก่อนเวลา 15.00 น. การปะทะกันยังคงดำเนินต่อไป โดยทหารยิงใส่การเคลื่อนไหวใด ๆ บริเวณแนวป้องกันของกลุ่มผู้ชุมนุมของกระสุนจริง เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้ยุทธวิธีถึงตายเช่นเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงยิงประทัดใส่ทหาร และมีการประยุกต์ใช้ด้ามไม้กวาดเพื่อยิงประทัดไฟอย่างรวดเร็ว

 

18 พฤษภาคม

 

การปะทะกันอย่างประปรายดำเนินต่อไปในวันที่ 18 พฤษภาคม แต่การปะทะกันเหล่านี้มีความรุนแรงน้อยกว่าการเผชิญหน้าครั้งก่อน ๆ มาก[43] จำนวนผู้มีเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 39 ศพ ขณะที่การปะทะกันยังดำเนินต่อ เป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าเจ้าหน้าที่ทหารจะสลายการชุมนุม เนื่องจากกำลังพลและรถหุ้มเกราะมารวมตัวอยู่โดยรอบบริเวณที่ชุมนุม และกระตุ้นให้ประชาชนและกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ พร้อมทั้งประกาศว่ากำลังจะดำเนินปฏิบัติการทางทหารในอีกไม่ช้า[44] หลังจากนั้นไม่นาน ทหารพร้อมด้วยรถหุ้มเกราะบุกเข้าไปผ่านสิ่งกีดขวางหลักของกลุ่มผู้ชุมนุม คนเสื้อแดงถูกยิงสองรายในช่วงแรกของปฏิบัติการ ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงอื่น ๆ จุดน้ำมันก๊าดใส่สิ่งกีดขวางเพื่อขัดขวางการรุกคืบของเจ้าหน้าที่และปิดบังทัศนียภาพ[45]

 

ศูนย์บริหารการแพทย์ฉุกเฉิน กรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) แจ้งยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ทหารกดดันกลุ่ม นปช. วันที่ 14-18 พฤษภาคม สิ้นสุดเวลา 18.00 น. เพิ่มเป็น 43 ราย บาดเจ็บรวม 365 ราย นักข่าวต่างชาติรายล่าสุดที่เสียชีวิต ชื่อโปเลนกี ฟาดิโอ ชาวอิตาลี[ต้องการอ้างอิง]

 

19 พฤษภาคม : สลายการชุมนุม

 

เจ้าหน้าที่ทหารกำลังยืนประทับอาวุธปืนเอ็ม-16 โดยหันปากกระบอกพร้อมเล็ง จากรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ลงไปยังบริเวณหน้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ขณะเป็นที่พักพิงชั่วคราวของผู้ชุมนุม ในช่วงเย็นวันที่ 19 พฤษภาคม

 

 

ในวันที่ 19 พฤษภาคม กองทัพได้เริ่มการโจมตีเต็มรูปแบบ โดยใช้รถหุ้มเกราะและฝ่าสิ่งกีดขวางของกลุ่มคนเสื้อแดง ทหารได้รับบาดเจ็บจากระเบิดสาหัสสองนาย ซึ่งอาจเป็นเอ็ม 79 ผู้นำการประท้วงยอมมอบตัวต่อตำรวจ ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่โห่ไล่ผู้นำการชุมนุมหลังมีการยุติการชุมนุมและไม่ยอมมอบตัวต่อทางการเหมือนกับแกนนำ การปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับกองทัพยังคงดำเนินต่อไปในหลายส่วนของกรุงเทพมหานคร ได้เกิดเหตุการณ์เผาตลาดหลักทรัพย์ ธนาคาร ศูนย์การค้าอย่างน้อยสองแห่ง (รวมทั้งเซ็นทรัลเวิลด์) สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และสิ่งกีดขวางถูกตั้งขึ้นเพื่อกีดขวางเจ้าหน้าที่ทหาร[46][47]

 

เอพีรายงานว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 39 ศพ บาดเจ็บกว่า 300 ราย ในช่วงการปะทะที่ดำเนินมา 7 วัน ทางรัฐบาลปฏิเสธข้อเสนอล่าสุดของกลุ่มเสื้อแดงที่ขอเจรจา โดยยืนกรานว่า ผู้ชุมนุมต้องสลายตัวก่อน[48]

 

เมื่อเวลา 11.10 น. หลังเจ้าหน้าที่สามารถยึดพื้นที่โดยรอบสวนลุมพินีไว้ได้ จากการเข้าตรวจที่เกิดเหตุโดยรอบ ได้พบศพผู้เสียชีวิต 2 ศพ เป็นชาย อยู่ที่ด้านหลังแนวบังเกอร์ ถนนราชดำริ ในสภาพที่ถูกยิงเข้าบริเวณศีรษะ คาดว่าเป็นการ์ด นปช. หลังแนวรั้วกั้นที่เจ้าหน้าที่ทหารได้ทะลวงเข้ามาสำเร็จแล้ว อยู่ตรงกันข้ามกับตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาฯ[49]

 

เวลา 18.00 น. ศูนย์เอราวัณรายงานยอดผู้บาดเจ็บ เฉพาะวันที่ 19 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. พบว่ามีผู้บาดเจ็บ 58 ราย เสียชีวิต 6 ศพ มีชาวต่างชาติได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เป็นชาวแคนาดา 1 ราย ไม่ทราบสัญชาติ 1 ราย[50]

 

ประกาศยุติการชุมนุม

 

เวลา 13.20 น. มติแกนนำ นปช. ตัดสินใจประกาศยุติการชุมนุม พร้อมทั้งยอมเข้ามอบตัว กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

โดยในเวลาดังกล่าว แกนนำ นปช. คนสำคัญคือ จตุพร พรหมพันธุ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย เป็นต้น ต่างขึ้นบนเวทีแยกราชประสงค์ จากนั้นจตุพร เริ่มกล่าวเป็นคนแรกว่า "ชีวิตของพวกผมเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่นี่เป็นชีวิตของคนอื่น พวกผมรอด แต่พี่น้องต้องตาย ถ้าเขาขยับมาถึงเวที ผมรู้ว่า พี่น้องพร้อมพลีชีพ ไม่รู้กี่ชีวิต เราร่วมทุกข์ร่วมสุขมายาวนานที่สุด และก็รู้กันว่า อีกไม่รู้กี่ชีวิตที่ต้องตาย ถ้าศอฉ.บุกมาถึงที่นี่ พี่น้องก็ยอมพลีชีพกันทุกคน ผมยอมไม่ได้ ฉะนั้น วันนี้ไม่ใช่ยอมจำนน แต่ไม่ต้องการให้พี่น้องเราต้องเสียชีวิตอีกแล้ว ทนความตายของพี่น้องไม่ได้อีกต่อไป พวกผมเพื่อนๆ จะเดินทางไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมรู้ว่าพี่น้องขมขื่น ทุกคนที่ขึ้นมาที่นี่ เราไม่รู้จะพูดกับพี่น้องกันอย่างไร เพราะหัวใจพี่น้องเลยความตายกันมาทุกคน วันนี้ เราหยุดความตาย แต่ยังไม่หยุดการต่อสู้ เพราะตอนนี้ยังตายอยู่เรื่อยๆ เรามาช่วยหยุดความตาย หัวใจการต่อสู้ไม่เคยหมด เราไม่ได้ทรยศ กว่าจะมาถึงเวที ไม่รู้อีกกี่ร้อยชีวิต เรามาหยุดความตายกันเถิด" ณัฐวุฒิ กล่าวว่า "เราขอยุติเวทีการชุมนุมแต่เพียงเท่านี้ แต่การต่อสู้ยังไม่ยุติ การต่อสู้ยังต้องเดินหน้าไปตามกระบวนการประชาธิปไตยต่อไป เราไม่อาจต้านทานความอำมหิตนี้ได้อีก ขอให้พี่น้องเดินออกไปทางสนามศุภชลาศัย การ์ดจะดูแลให้พี่น้องเดินทางกลับด้วยความสงบ และปลอดภัย"[51]

 

สำหรับแกนนำที่เข้ามอบตัวกับตำรวจทันที ตามลำดับประกอบด้วย ขวัญชัย ไพรพนา ตามด้วยจตุพร ซึ่งก้มลงกราบที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายใน สตช. และคนสุดท้าย คือ ณัฐวุฒิ โดยก่อนเข้ามอบตัว ณัฐวุฒิ กล่าวผ่านเครื่องขยายเสียง หน้า สตช.อีกครั้งว่า "ขอให้พี่น้องเสื้อแดงเดินทางกลับบ้าน ส่วนจุดยืนยังเหมือนเดิม ไม่ต้องห่วงว่าแกนนำทุกคนจะสูญสิ้นอิสรภาพ เนื่องจากความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นความผิดเพียงเล็กน้อย ขอให้วางใจ ถ้าเสร็จภารกิจนี้ และได้รับความไว้วางใจจากมวลชนเหมือนเดิม จะกลับมาเป็นแกนนำเหมือนเดิม แต่ถ้ามวลชนไม่ไว้ใจอีกแล้ว ก็จะกลับมาเป็นคนเสื้อแดง ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยเหมือนเดิม[52]

 

ต่อมาเวลา 23.00 น. มีรายงานเพิ่มเติม โดยได้รับการยืนยันจากพระภิกษุภายในวัดปทุมวนาราม ว่ามีผู้เสียชีวิตในวัด ขณะที่นายแพทย์ปิยะลาภ วสุวัต แพทย์กองอุบัติเหตุโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวว่า ได้รับการติดต่อมาแล้วว่า มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ บาดเจ็บ 7 คน แต่ต้องรอถึงวันรุ่งขึ้น ทีมแพทย์จึงจะเข้าไปได้[53]

 

ปฏิกิริยาของแกนนำ หลังยุติการชุมนุม

 

ปรากฏหลังจากนั้นว่า แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม ได้รับการรับรองที่ดีกว่าผู้ต้องหาโดยทั่วไปเป็นอย่างมาก[54]และไม่มีการใส่กุญแจมือ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นทันที ถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ[55] โดยเฉพาะการจัดให้แกนนำได้แถลงข่าวและตำรวจจับมือกับแกนนำ[56] ภายหลังมีการย้ายสถานที่ควบคุมตัว โดยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พุทธศักราช 2548 อนึ่ง ปรากฏว่า อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, พายัพ ปั้นเกตุ และสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำส่วนหนึ่ง หลบหนีการควบคุมตัวไปจากที่ชุมนุมแยกราชประสงค์

 

การชุมนุมภายหลังการสลายการชุมนุม

 

การชุมนุมย่อยบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม กลุ่มคนเสื้อแดงทยอยตั้งเวทีปราศรัยย่อยหลายแห่ง เพื่อรวบรวมกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งผู้อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดแต่ไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมที่เวทีใหญ่แยกราชประสงค์ได้ เนื่องจากมีกำลังทหารปิดล้อมทุกทิศทาง และเพื่อป้องกันมิให้ออกไปตั้งแนวปะทะกับฝ่ายทหาร โดยจุดแรก ที่บริเวณย่านคลองเตย บริเวณใต้ทางด่วนพระราม ชุมชนบ่อนไก่, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หน้าศูนย์การค้าเซ็นเตอร์วัน, สามเหลี่ยมดินแดง, มูลนิธิบ้านเลขที่ 111 นางเลิ้ง, ที่ทำการพรรคเพื่อไทย[57] และมหาวิทยาลัยรามคำแหง[58]

 

จากนั้น สมยศ พฤกษาเกษมสุข สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ สุรชัย แซ่ด่าน ประกาศว่าจะชุมนุมที่จังหวัดราชบุรี ในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553[59] และจะเข้าสู่กรุงเทพฯ ในวันที่ 24 มิถุนายน ปีเดียวกัน[60]

 

ผลที่ตามมา

 

อาคารส่วนของห้างฯ ZEN ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ที่พังถล่มลงมา

 

 

หลังแกนนำ นปช. บนเวทียุติการชุมนุม มีกลุ่มบุคคลบุกเข้าทำลายทรัพย์สิน และลอบวางเพลิงอาคารหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร ด้านเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ยังถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงอาวุธปืนสกัดไม่ให้เข้าดับเพลิงได้

 

เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อเวลา 14.25 น. มีกลุ่มคนเสื้อแดงบุกเข้าทุบกระจกที่ชั้น 1 ของอาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่งศูนย์การค้าเซน แล้วลอบเข้าไปวางเพลิงภายใน จนทำให้มีกลุ่มควัน และเปลวไฟพวยพุ่งออกมา ต่อมา มีการลอบวางเพลิงโรงภาพยนตร์สยามอีกแห่งหนึ่งเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าสกัดเพลิงได้ เพลิงได้ลุกไหม้เป็นเวลาหลายชั่วโมง นอกจากนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงยังมีการบุกเข้าทำลาย อาคารมาลีนนท์ ย่านถนนพระรามที่ 4 ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ส่งผลให้เกิดเพลิงลุกไหม้ป้ายชื่ออาคาร และชั้นล่างของตัวอาคาร ได้รับความเสียหาย โดยในระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าทำการจุดไฟเผาอาคาร ซึ่งภายหลังศาลได้มีคำสั่งยกฟ้องกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกจับกุมในข้อหาวางเพลิงเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ

 

หลังจากนั้น เกิดเหตุลอบวางเพลิงอีกหลายแห่ง เช่น ธนาคารออมสิน บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง และถนนวิภาวดีรังสิต, ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น ใกล้สำนักงาน ป.ป.ส. และสาขาหัวมุมวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ส่งผลให้เพลิงลุกลามไปยังร้านหนังสือดอกหญ้า ซึ่งเป็นชั้นบนของอาคาร รวมทั้งศูนย์การค้าเซ็นเตอร์วัน นอกจากนี้ ยังมีผู้ขว้างถังดับเพลิงเข้าใส่ ห้างสรรพสินค้าแพลตตินั่ม ประตูน้ำแต่ไม่มีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นในบริเวณนี้ โดยเหตุเพลิงไหม้ทุกแห่ง รถดับเพลิงไม่สามารถเข้าควบคุมเพลิงได้ เป็นเวลาหลายชั่วโมงเช่นกัน[61]

 

ควันไฟจากเหตุเพลิงไหม้เซ็นทรัลเวิลด์

 

 

รายการสถานที่ซึ่งเสียหายจากเหตุการณ์วางเพลิงมีดังนี้[62] [63]

  • โรงหนังสยามสแควร์
  • โรงแรมเซ็นทารา ราชประสงค์
  • อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  • อาคารมหาทุนพลาซ่า
  • อาคารมาลีนนท์ อาคารเอ 1 อาคารเอ 2
  • ธ.กรุงเทพ สาขาพระราม 4
  • การไฟฟ้านครหลวง คลองเตย
  • ธนาคารกรุงไทย สาขาอโศก
  • ธนาคารกรุงเทพ สาขาอโศก
  • ธนาคารออมสิน สาขา ดินแดน
  • บ่อนไก่
  • ธนาคารกรุงเทพ สาขา ดินแดง
  • อาคารข้างสำนักงาน ป.ป.ส.
  • ธนาคารกรุงเทพ สาขาอนุสาวรีย์ชัยฯ
  • ห้างเซ็น และ เซ็นทรัลเวิลด์
  • ธนาคารกรุงเทพ สาขา สุขุมวิท ซอย 83
  • ธนาคารกสิกรไทย สาขา งามดูพลี
  • ธนาคารกรุงเทพ สาขาสาธุประดิษฐ์
  • ธนาคารกรุงเทพ
  • ธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานเหลือง
  • อดีตธนาคารนครหลวงไทย สาขา ดินแดง
  • อดีตธนาคารนครหลวงไทย สาขาตลาดปีนัง
  • ธนาคารกรุงเทพ สาขา คลองเตย
  • ห้างเซ็นเตอร์วัน อนุสาวรีย์ชัยฯ
  • ร้านก๋วยเตี๋ยวพระนคร อนุสาวรีย์ชัยฯ
  • ร้านทอง พหลโยธิน ซอย 1
  • เซเว่น อีเลฟเว่น หน้า ป.ป.ส.
  • ธนาคารกรุงเทพ สาขา หัวลำโพง
  • โลตัสเอ็กซ์เพรส พระราม 4
  • ป้อมตำรวจพระราม 3
  • ธนาคารกรุงไทย สาขา ตรงข้ามโรงเรียนมาแตร์เดอี สุขุมวิท
  • ธนาคารกสิกรไทย สาขาอนุสาวรีย์ชัยฯ
  • ศูนย์การค้าวัตสัน สาขาอนุสาวรีชัยฯ
  • ร้านดอกหญ้า อนุสาวรีย์
  • เซเว่น อีเลฟเว่น อนุสาวรีย์ ที่ ซอยรางน้ำ
  • ห้างบิ๊กซี ราชดำริ
  • โรงแรมแกรนด์ไดมอน พันทิพย์
  •  

ผู้เสียชีวิต

 

ในเหตุการณ์นี้มีประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 53 ศพ ในจำนวนนี้ เป็นชายไทยไม่ทราบชื่อ 4 ศพ เป็นหญิงไทยไม่ทราบชื่อ 1 ศพ ระบุชื่อได้ จำนวน 47 ศพ ทหารเสียชีวิต 9 นาย ตำรวจ 2 นาย[64] และชาวต่างประเทศเสียชีวิต 2 ราย[65][66] ทหารเสียชีวิต ได้แก่ จ่าอากาศเอกพงศ์ชลิต ทิพยานนทการ ถูกกระสุนปืน และสิบเอกอนุสิทธิ์ จันทร์แสนคอ : ถูกระเบิดเอ็ม 79 [67] นอกจากนี้ยังมีชาวต่างประเทศสองศพ คือ โปเลนกี ฟาดิโอ ซึ่งเป็นช่างภาพข่าวชาวอิตาลี และออง ลวิน ชาวพม่า ทั้งสองถูกกระสุนปืน พลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ยิงด้วยกระสุนหลายนัด เสียชีวิต 10 เมษายน 2553

 

รายงานของกรรมการสิทธิมนุษยชนและอนุกรรมการที่ตรวจสอบไปแล้ว

 

 

กรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ตรวจสอบเหตุการณ์ชุมนุมของนปช. และการสลายม็อบระหว่างวันที่ 12 มีนาคม-19 พฤษภาคม 2553 ใน 9 กรณี[ต้องการอ้างอิง]

 

กรณีที่ 1 การสั่งการของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ การปฏิบัติหน้าที่และผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่มีผลสืบเนื่องมาจาก นปช.ปลุกระดมมวลชนชุมนุมเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาหรือลาออก บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมเป็นต้นมา

 

กสม.สอบพยานบุคคลเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 28 รายนปช. 54 ราย ผู้ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมแต่อยู่ในเหตุการณ์26 ราย รวมทั้งพยานเอกสาร เช่น ข้อเท็จจริงจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ข้อสรุปว่า ผู้ชุมนุมกระทำเกินกว่าการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และแม้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ แต่ในวันที่ 10 เมษายน การที่รัฐบาลขอคืนพื้นที่ ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากลุ่ม นปช.ต่อต้านและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ ทั้งยังมีกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธปะปนอยู่กับผู้ชุมนุมถือว่าเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนที่มีอาวุธและมีลักษณะเป็นกระบวนการที่พร้อมใช้อาวุธและความรุนแรงได้ตลอดเวลา ดังนั้น การชุมนุมดังกล่าวจึงมิใช่การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ

 

กสม.ยังระบุอีกว่า ในส่วนของรัฐบาล การขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนทั่วไป รัฐบาลทำไปตามมาตรการที่ได้ประกาศไว้ก่อนจริง เป็นการกระทำจากเบาไปหาหนัก จึงเป็นการกระทำภายใต้กฎหมายที่ให้อำนาจไว้

 

กรณีที่ 2 เหตุการณ์กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากระเบิดเอ็ม 79 บริเวณแยกศาลาแดงเมื่อวันที่22 เมษายน 2553 กสม.สอบถามจากพยานบุคคลที่อยู่ในที่เกิดเหตุ21 คน และพยานเอกสาร สรุปว่าการชุมนุมของนปช.เป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ มีการใช้ความรุนแรง

 

กรณีที่ 3 เหตุการณ์กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 คณะกรรมการเห็นว่าทหารเสียชีวิตจากอาวุธปืนและประชาชน รวมถึงทหารจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนทั่วไปและทหารที่เสียชีวิต แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าฝ่ายใดเป็นผู้กระทำ

 

กรณีที่ 4 เหตุการณ์กรณีการชุมนุมของกลุ่มนปช.บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาดไทย และการบุกเข้าไปตรวจค้นโรงพยาบาลจุฬาฯเมื่อวันที่ 29 เมษายน เข้าข่ายบุกรุก และเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ ละเมิดสิทธิผู้อื่น ทำลายทรัพย์สินของโรงพยาบาล

 

กรณีที่ 5 เหตุการณ์กรณีการสั่งการของรัฐบาลการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม รวมทั้งเหตุการณ์ต่อเนื่อง เช่น การเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และอาคารต่างๆ กสม.สรุปว่า นปช.ชุมนุมไม่สงบและมีอาวุธปืน มีกลุ่มบุคคลติดอาวุธแฝงตัวอยู่ในกลุ่มม็อบ ส่งผลต่อความมั่นคงภายในประเทศ ส่วนมาตรการกระชับพื้นที่สี่แยกราชประสงค์และบริเวณโดยรอบตั้งแต่วันที่ 13-19 พฤษภาคม 2553 ตามประกาศของ ศอฉ.นั้น กสม.เห็นว่า ผลที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งย่อมเป็นไปได้ว่ามาจากการกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหาร รัฐบาลจึงมีหน้าที่รับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียหาย และต้องสืบสวนหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ

 

กรณีที่ 6 การเสียชีวิต 6 ศพและการกระทำในรูปแบบอื่นๆ ในวัดปทุมวนารามระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม กสม.อ้างว่าการรวบรวมหลักฐานในชั้นนี้ ไม่มีพยานยืนยันว่าใคร ฝ่ายใดเป็นผู้ยิงทั้ง 6 ศพ และผู้เสียชีวิตบางรายได้ความว่าเป็นการเสียชีวิตนอกวัดบางศพไม่รู้ว่าเสียชีวิตบริเวณใด แต่ทั้งหมดได้ถูกเคลื่อนย้ายมาไว้ในวัด กรณีที่เกิดขึ้นรัฐบาลไม่อาจปฏิเสธการเยียวยาชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น และควรสืบสวนหาข้อเท็จจริงและหาผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม

 

กรณีที่ 7 เหตุการณ์กรณีนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเมื่อวันที่ 7เมษายน 2553 และระงับการออกอากาศสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล ตลอดจนการระงับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสถานีวิทยุชุมชน กสม.เห็นว่านายกฯกระทำที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายและเป็นการจำเป็นเหมาะสมในสถานการณ์ความรุนแรงและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

 

กรณีที่ 8 เหตุการณ์กรณีชุมนุมและการเคลื่อนขบวนของกลุ่ม นปช.ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม-20 พฤษภาคม ทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวมถึง นปช.เจาะเลือดของผู้ชุมนุมและนำไปเทที่พรรคประชาธิปัตย์และทำเนียบรัฐบาล นั้นถือว่าละเมิดสิทธิของผู้อื่น

 

กรณีที่ 9 การเสียชีวิตและบาดเจ็บของสื่อมวลชนเกิดขึ้นจากการยิงปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มบุคคลผู้ติดอาวุธแฝงในกลุ่มผู้ชุมนุม แม้ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผู้ใดเป็นผู้ยิง และกลุ่มที่ติดอาวุธแฝงเป็นใคร ดังนั้น รัฐบาลจึงมีหน้าที่เยียวยาช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

 

 

 

***********************************************

 

 

'น้ำมะพร้าว'  ฟื้นพลังเร่งด่วน

 

 


รู้ประโยชน์หลากหลายของน้ำมะพร้าว เปรียบเป็นเครื่องดื่มเสริมพลังจากธรรมชาติ



อากาศ ร้อนจัดอย่างนี้ ใครที่ต้องตากแดดหรือทำงานกลางแจ้ง คงสูญเสียเหงื่อกันมากและรู้สึกอ่อนเพลียจากสภาพอากาศด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้หลายคนมักนึกถึงเครื่องดื่มเกลือแร่ที่จะช่วยชดเชยน้ำ เกลือแร่ และพลังงานให้กับร่างกาย เพื่อเรียกคืนความกระปรี้กระเปร่า สดชื่น และทำงานต่อได้อย่างไม่รู้สึกเพลีย

 

สำหรับ ผู้ที่รักสุขภาพแล้ว คงอยากหาเครื่องดื่มที่คัดสรรมาจากธรรมชาติ แทนเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีทั้งการแต่งเติมสีและกลิ่น เต็มไปด้วยสารเคมี ผู้เขียนขอแนะนำให้ลองหันมามอง "สปอร์ต ดริ้งค์" (sport drink) หรือ "เอนเนอจี้ ดริ้งค์" (energy drink) เครื่องดื่มเสริมพลังจากธรรมชาติอย่าง "น้ำมะพร้าว" ที่แสนจะหาทานได้ง่ายในบ้านเรากันดีกว่า

 

มาดูกันเลยว่า น้ำมะพร้าวนั้นมีสารอาหารอะไร และให้ประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างไรบ้าง...

 

มะพร้าวถือเป็นพืชที่ปลอดสารพิษชนิดหนึ่ง เนื่องจากเกษตรกรมีการใช้สารเคมีในการปลูกมะพร้าวน้อยมาก ใน ส่วนของน้ำมะพร้าวอ่อนนั้น มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะประกอบไปด้วย แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี บี2 บี5 และบี6 กรดโฟลิก กรดอะมิโน และฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง แถมมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย

 

น้ำมะพร้าวยังมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง แถมการดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น

 

ฮอร์โมน เอสโตรเจนในน้ำมะพร้าว ยังช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ชะลอริ้วรอยก่อนวัย และยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย จึงช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส

 

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึง จัดเป็นเครื่องดื่มเติมพลังหลังจากเสียเหงื่อ เสียน้ำ เสียเกลือแร่ ยิ่งในประเทศไต้หวันและจีน นิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

 

นอก จากนั้น น้ำมะพร้าวอ่อน ตามตำราแพทย์แผนไทยใช้เป็นยา มีสรรพคุณช่วยลดอาการไข้สูง ปวดหัวตัวร้อน ให้บรรเทาลงได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นยาบำรุงกำลังคนไข้ให้มีเรี่ยวแรงดีขึ้น

 

วิธี การดื่มน้ำมะพร้าวให้ได้ประโยชน์สูงสุด ต้องดื่มทันทีเมื่อเปิดลูกแล้ว ไม่ควรทิ้งไว้นาน โดยเฉพาะในอุณหภูมิห้อง เพราะในน้ำมะพร้าวมีน้ำตาลและแร่ธาตุที่เป็นปัจจัยในการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ได้ดี หากเปิดลูกแล้วทิ้งไว้ อาจทำให้น้ำมะพร้าวนั้นเปรี้ยว และเสื่อมเสียจากจุลินทรีย์ได้

 

อ่าน มาถึงตรงนี้แล้ว คุณผู้อ่านที่รักสุขภาพทั้งหลายคงจะเห็นคุณประโยชน์ของน้ำมะพร้าวที่แสนจะ มากมายขนาดนี้กันแล้ว สูญเสียเหงื่อ และเพลียแดดครั้งต่อไป อย่าลืมนึกถึง สปอร์ต ดริ้งค์ จากธรรมชาตินี้กันนะ

 

 

**************************************

 

 

** ป.ป.ช.เสนอให้รัฐบาลพิณา

โครงการน้ำส่อทุจริต?..

หัดพิณาตัวเองซะบ้าง...

เน่ายิ่งกว่าน้ำขนาดไหน...มาดูกัน **

 

 

 

17 พ.ค.56 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม

การทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป.ป.ช. แถลงว่าที่ประชุมป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์เห็นชอบข้อเสนอแนวทางและมาตรการป้องกันการทุจริตโครงการลงทุนระบบบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย 3.5 แสนล้านบาท ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทราบด้วย ทั้งนี้ การเสนอแนวทางดังกล่าวไม่ได้กล่าวหารัฐบาลทุจริต แต่คณะอนุกรรมการเห็นว่า เป็นกรณีใช้งบประมาณจำนวนมาก และหลายจุดเสี่ยงต่อการทุจริต

 

 

 

 

 

 

คดี ปรส.ไปถึงไหนแล้ว

 

 

 

 

 

คดีฮั้วประมูลโรงพักเริ่มหรือยัง

ก่อนหน้านี้ทำไม ป.ป.ช.ไม่ออกมาเตือน

...ผูกขาดเจ้าเดียว...ส่อทุจริต

 

 

 

 

 

 

เรื่องต่้อไปนี้ไปถึงไหนแล้ว

 

- เรื่องกล่าวหานักการเมืองสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ร่วมกับข้าราชการระดับสูงใน

กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างตามแผนปฏิบัติการไทยเข้ม

แข็ง ที่ สธ.ได้รับงบประมาณ 11,515 ล้านบาท

 

- เรื่องถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

กรณีขอให้บริษัทเอกชนที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือส่ง

เอสเอ็มเอส ไปยังผู้ใช้บริการ ทุกเครือข่าย 3 ล้านเลขหมาย

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2551 อันมีลักษณะเข้าข่ายรับทรัพย์สินมูล

ค่าเกิน 3 พันบาท

 

เรื่องกล่าวหานายอภิสิทธิ์ รับทรัพย์สินเป็นผ้าขาวม้า หมอนหนุนศีรษะ เหล็กไหล และแหวนทองคำ ซึ่งมีมูลค่าเกินกว่า 3 พันบาท 

เรื่องกล่าวหานายอภิรักษ์ โกษะโยธิน สมัยดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. กับพวกทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างโครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ หรือรถด่วนบีอาร์ทีของกทม. 

 

คดีคอร์รัปชั่นที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช.มีมาก เหมือนดินพอกหางหมูโดยมีคดีที่นับตั้งตั้งแต่ปี 46 จำนวน 4,975 คดี

- ปี 50 จำนวน 11,578

- ปี 51 มีจำนวน 5650คดี (แบ่งให้คณะกรรมการปราบปราม

การทุจริตภาครัฐ ป.ป.ท.5900 คดี)

- ปี 52 จำนวน 6,400 คดี

- ปี55 จำนวน 7,121 คดี

 

คำนวณแล้วมีคดีเฉลี่ยสะสม 294 คดีต่อปี

 

 

นอกจากนี้ยังมีภาระในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก โดยขณะนี้พบว่ามีการตรวจสอบ

ไปแล้ว 35,334 บัญชี อยู่ระหว่างตรวจ 35,757 บัญชี

 

ทั้งนี้หากไม่มีแนวทางการจัดการใหม่อย่างไรคงไม่ชนะ และ

ยังอาจกลายเป็นวิกฤติศรัทธาในตัว ป.ป.ช.รวมไปถึงองค์กร

อิสระอื่นๆ  

 

 

***********************

 

guest

Post : 2013-05-15 20:13:27.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เปอร์เซีย

 

 

 

 

   สัมพันธ์“ไทย-อิหร่าน” 400 กว่าปี...มีดีให้สัมผัสที่อยุธยา

 

 

อิหร่าน”(หรือชื่อทางการว่า “สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน”) เป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำแห่งตะวันออกกลางที่ในอดีตครองความยิ่งใหญ่ในภูมิภาค และรู้จักกันดีในฐานะอาณาจักร “เปอร์เซีย

ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าเปอร์เซียกับสยามประเทศน่าจะมีสัมพันธ์ทำการค้ากันมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย โดยจากข้อความบางตอนในศิลาจารึกหลักที่ 1 ที่มีคำว่า “ตลาดปสาน” ซึ่งนักปราชญ์ด้านโบราณคดีและภาษาศาสตร์ให้ความเห็นว่ามาจากคำว่า “บอซัร” หรือ “บาซาร์” ที่แปลว่า “ตลาด” และคำว่า “เหรียญ” ที่ไทยและเขมรใช้เรียกเงินตรานั้นก็มาจากคำว่า “เรียล” ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซีย

นอกจากนี้ หลักฐานทางโบราณวัตถุต่างๆ ที่ขุดพบ บ่งบอกว่าพ่อค้าชาวเปอร์เซียเคยติดต่อค้าขายกับอาณาจักรจามปาและลังกาสุกะ ตลอดทั้งหมู่เกาะในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

 อย่างไรก็ดีจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีข้อมูลชัดเจนได้ระบุวล่า อาณาจักรเปอร์เซียมีความสัมพันธ์กับสยามประเทศมากว่า 400 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2133 – 2148) เมื่อเรือสำเภาบรรทุกสินค้าของ เฉกอะหมัด กูมี และน้องชายคือ มะหะหมัด ซาอิด ได้เข้ามาเทียบท่าที่ป้อมเพชร ตำบลท้ายคู โดยในจดหมายเหตุประถมวงศ์สกุลบุนนาค ระบุว่า “เข้ามาตั้งห้างค้าขายอยู่ในกรุงศรีอยุธยาสยามประเทศ เมี่อจุลศักราช 964 ปีขาล จัตวาศก” ซึ่งตรงกับพ.ศ. 2145 ขณะที่ความสัมพันธ์ทางการทูตของไทยกับอิหร่านนั้นได้รับการสถาปนาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498

อนึ่งการผูกสัมพันธ์กับเปอร์เซียนั้น ชาวเปอร์เซียได้เข้ามาอาศัยขยายชุมชนและมีบทบาททางการค้า-การเมืองในกรุงศรีอยุธยามากขึ้น บางคนดำรงตำแหน่งขุนนางระดับสูง และได้เป็นเจ้าเมืองสำคัญหลายเมืองพร้อมกันนั้น วัฒนธรรมเปอร์เซียก็มีอิทธิพลต่อคนไทยไม่น้อย โดยเฉพาะในราชสำนักของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เช่น วัฒนธรรมการแต่งกาย อาทิ ฉลองพระองค์ครุยของพระมหากษัตริย์ หรือเสื้อครุยของขุนนางในราชสำนักอยุธยา, “ลอมพอก” หรือหมวกยอดแหลมสูง และฉลองพระบาทเชิงงอน เป็นรูปแบบที่มีหลักฐานแน่ชัดว่านำเข้ามาโดยชาวเปอร์เซีย และยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพระมหากษัตริย์ไทย

 และด้วยความสัมพันธ์อันยาวนานของ 2 ประเทศ ทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจึงกำหนดจัดงาน“อยุธยามรดกโลก เทศกาลความสัมพันธ์อยุธยา-เปอร์เซีย” ขึ้นที่ลานหน้าหอศิลป์แห่งชาติหรือศาลากลางหลังเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 22 - 24 มิถุนายน ศกนี้ ตั้งแต่เวลา 11.00 - 22.00 น.

งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อย้อนรำลึกถึงความสัมพันธ์อันยาวนานและแน่นแฟ้นที่มีต่อกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์วัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ ในการจัดการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมต่างๆ นำคณะนักดนตรี นักแสดงที่มีชื่อเสียง ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญสาธิตงานหัตถกรรมจากประเทศอิหร่านราว 50 คนมาร่วมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมทั้งการออกร้านจำหน่ายสินค้าและของที่ระลึกที่ขึ้นชื่อ อาหารหลากประเภท การจัดแสดงเครื่องแต่งกายของชนเผ่าต่างๆ นิทรรศการประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว ฯลฯ

นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้รายละเอียดว่า “ภายในงานจะผสมผสานบรรยากาศของอยุธยาและเปอร์เซียอย่างกลมกลืน โดยมีการแสดงต่างๆ มากมายที่เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของทั้งสองชาติ จัดให้แสดงสลับกันไปในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่นักท่องเที่ยวและผู้มาร่วมงาน

“ไฮไลท์ของงานมีทั้งการแสดงแสง เสียง และสื่อผสม ชุด “เฉกอะหมัด ราษฎร์รัฐสัตย์ซื่อถือความภักดี” ที่นำเสนอเรื่องราวของเฉกอะหมัด กุมมี หรือออกญาบวรราชนายก ผู้เป็นต้นตระกูล “บุนนาค” ที่มีเกียรติประวัติในการสร้างคุณประโยชน์และรับใช้บ้านเมืองตั้งแต่สมัยอยุธยาสืบต่อมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน การแสดงดนตรีพื้นเมือง และการแสดงทางวัฒนธรรมประจำชาติของอิหร่าน พร้อมทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรมของอยุธยา เช่น การละเล่น กลองยาว ศิลปะการต่อสู้โดยสำนักดาบวังหน้า แม่ไม้มวยไทย การแสดงหุ่นสาย โดยคณะหุ่นสายเสมาที่ได้รับรางวัลจากเทศกาลหุ่นโลกที่สาธารณรัฐเช็กถึง 2 ปีซ้อน

“นอกจากนี้ยังมีการสาธิตงานศิลปหัตถกรรม เช่น การทอพรม การแกะสลักงานไม้-งานหิน การวาดภาพจิตรกรรมแบบอิหร่าน ส่วนของอยุธยามีการสาธิตการสักยันต์ การตีดาบ การร้อยมาลัย และการสานปลาตะเพียน เป็นต้น พร้อมทั้งบูธฉายภาพยนตร์ของอิหร่าน เช่น ‘7 โฉมหน้าแห่งอารยธรรมอิหร่าน’ เป็นสารคดีย้อนยุคสู่อดีตเมื่อหลายพันปีก่อน และ ‘อิหร่านวันนี้’ รวมถึงการออกร้านจำหน่ายสินค้า ของประดับตกแต่ง ของที่ระลึก อาหารเครื่องดื่มนานาชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองชนชาติ”
 

 

มุศฏอฟา นัจญาริยอน ซอเดะห์

ด้าน มุศฏอฟา นัจญาริยอน ซอเดะห์ ที่ปรึกษาฝ่ายวัฒนธรรม และผู้อำนวยการ ศูนย์วัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ กล่าวว่า

“เราได้คัดสรรคณะศิลปิน นักแสดง และผู้เชี่ยวชาญการแสดงศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงของอิหร่านมาร่วมงานนี้เป็นพิเศษเพื่อให้งานนี้มีคุณค่าและสมบูรณ์แบบในทุกด้าน โดยเตรียมการแสดงที่ ไม่เคยจัดมาก่อนในประเทศไทย เช่น “ซาราคส์” (Sarakhs) ที่เป็นการแสดงเต้นรำแบบพื้นบ้าน “ซูร์คาเนฮ์” (Zurkhaneh) กีฬาพื้นเมืองที่เป็นการออกกำลังกายตามประเพณีดั้งเดิม มีการให้จังหวะด้วยการตีกลองและขับร้องบทกวีประกอบการใช้ศิลปะมวยปล้ำ พร้อมทั้งมีอุปกรณ์หลายประเภท เช่น ไม้ โล่ สายเหล็กร้อย กระบองขนาดต่างๆ เพื่อฝึกร่างกายให้แข็งแรงอดทน เป็นนักต่อสู้ที่ดีเช่นเดียวกับนักรบผู้มีชื่อเสียงของเปอร์เซียในอดีต”

ในส่วนของดนตรีพื้นเมือง จะนำมาแสดง 2 วงที่มีชื่อเสียงจากการประกวดในต่างประเทศ ได้แก่ “ซะห์รอ” (Sahra) เน้นการตีกลองแบบต่างๆ และ “บอมดาด มัชชาด” (Bamdad Mashad) เป็นวงเครื่องสายผสม เครื่องดนตรีของเปอร์เซีย เช่น “ไน” (Nay) หรือขลุ่ย “ทาร์” (Tar) มีลักษณะคล้ายพิณ “ซันตูร์” (Santur) ให้เสียงคล้ายขิม และกลอง “ทอมบัค” (Tombak) เป็นต้น บทเพลงที่ร้องประพันธ์โดยศิลปินแห่งชาติของอิหร่านมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงให้ความเมตตาแก่มนุษย์ โดยประทานธรรมชาติและทรัพยากรต่างๆ

 

ลวดลายวิจิตรในพรมเปอร์เซียที่มีชื่อก้องโลก

 

สำหรับงานศิลปหัตถกรรมที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ พรมเปอร์เซีย ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในโลก และมีประวัติอันยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 การทอพรมด้วยมือเป็นหัตถกรรมพื้นบ้านที่ทำกันอย่างแพร่หลาย มีกรรมวิธีในการทอแตกต่างกันไปและมีลักษณะเฉพาะตัวในแต่ละพื้นที่ โดยถือเป็นสัญลักษณ์และภูมิปัญญาด้านศิลปะของชาวเปอร์เซีย เครื่องปั้นและเครื่องเคลือบดินเผา งานแกะสลักไม้ การฝังลวดลายลงในเนื้อไม้ การประดิษฐ์ลวดลายลงบนภาชนะโลหะ การทำภาพดุนนูนบนทองเหลือง นอกจากนี้ยังมีงานหล่อโลหะขึ้นสายลายเส้นโดยใช้ลวดเงินเป็นส่วนประกอบ ที่เรียกว่า “ฟิลิครี” (Filigree)

 

เชโลกะบาบ

 

ส่วนภาพจิตรกรรมของศิลปินชาวอิหร่านก็มีความประณีตงดงามมาก ซึ่งงานศิลปหัตถกรรมดังกล่าวจะมีทั้งการสาธิต การจัดแสดง และออกร้าน หนึ่งในอาหารยอดนิยมของอิหร่านที่จะมีให้ลิ้มรสในงานนี้ คือ “เชโลกะบาบ” (Jhelo Kabab) เป็นข้าวบัสมาติที่รับประทานกับเนื้อแกะย่างปรุงรสคลุกเคล้ากับเครื่องเทศ สินค้าขึ้นชื่อที่นำมาจำหน่ายได้แก่ คาเวียร์ ซึ่งเป็นผลิตผลจากปลาสเตอร์เจียน 3 ชนิด คือ เบลูกา อสิตรา และเชฟโรกา ทางชายฝั่งทะเลตอนใต้ของทะเลแคสเปียน อินทผาลัม ลูกเกด อัลมอนด์ พิสตาชิโอ ส่วนชาของอิหร่านมีความพิเศษด้วยการอบกลิ่นหอมของสมุนไพรและเครื่องเทศ

“อยุธยากับเปอร์เซียไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์ทางการทูตหรือการค้าเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการถ่ายทอดและหล่อหลอมทางศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี ฯลฯ

 

 

 

 

 เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 
เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด)
จุฬาราชมนตรี
เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) .jpg

 
ชื่ออื่น เชค-อะหมัด หรือ ชัยคอะหมัด[1]
เชื้อชาติ เปอร์เซีย
สมัย สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม-สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ข้อมูลส่วนตัว
เกิด พ.ศ. 2086, ธงชาติของอิหร่าน ตำบลปาอิเนะชาฮาร เมืองกุม ประเทศอิหร่าน
เสียชีวิต พ.ศ. 2174, ธงชาติของไทย พระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย
คู่สมรส ท่านเชย
ข้อมูลอื่น จุฬาราชมนตรีคนแรกในสมัยอยุธยา
หมวดหมู่:จุฬาราชมนตรี

เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) เป็นมุสลิมชีอะหฺอิษนาอะชะรียะหฺ (สิบสองอิมาม) เกิดเมื่อ พ.ศ. 2086 ณ ตำบลปาอีเนะชาฮาร ในเมืองกุม ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของศาสนาอิสลามตั้งอยู่บนที่ราบต่ำทางตอนเหนือของเตหะราน ในประเทศอิหร่าน[2]

 

ในยุคสมัยที่ท่านเฉกอะหมัดเดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยานั้น เป็นยุคที่โปรตุเกสเรืองอำนาจทางทะเลในแถบมหาสมุทรอินเดีย ทำให้พ่อค้าชาวพื้นเมืองต้องใช้เส้นทางขนส่งสินค้าทางบกเป็นช่วงๆ เส้นทางที่เป็นไปได้ในการเดินทางจากอิหร่านเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น คือเดินเท้าจากเมืองแอสตะราบาดเข้าสู่แคว้นคุชราตในอินเดียตะวันตก จากนั้น เดินเท้าตัดข้ามประเทศอินเดียมายังฝั่งตะวันออกทางด้านโจฬมณฑล จากนั้นลงเรือข้ามอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันมายังเมืองตะนาวศรีหรือเมืองมะริด แล้วจึงเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา

ปลายแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เฉกอะหมัดและบริวารได้เข้ามายังกรุงศรีอยุธยา ตั้งบ้านเรือนและห้างร้านค้าขาย อยู่ที่ตำบลท่ากายี ท่านค้าขายจนกระทั่งมีฐานะเป็นเศรษฐีใหญ่ในกรุงศรีอยุธยา ท่านสมรสกับท่านเชย มีบุตร 2 คนและธิดา 1 คน

 ปฐมจุฬาราชมนตรี

ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ท่านเฉกอะหมัดได้ช่วยปรับปรุงราชการกรมท่า จนได้ผลดี จึงโปรดเกล้าฯให้เป็นพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐีเจ้ากรมท่าขวาและ จุฬาราชมนตรี นับได้ว่าท่านเป็นปฐมจุฬาราชมนตรีและเป็นผู้นำพาศาสนาอิสลามนิกายชีอะหฺอิษนาอะชะรียะหฺ มาสู่ประเทศไทย ต่อมาท่านเฉกอะหมัดพร้อมด้วยมิตรสหาย ร่วมใจกันปราบปรามชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่ง ที่ก่อการจลาจล และจะยึดพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็น เจ้าพระยาเฉกอะหมัด รัตนาธิบดี สมุหนายกอัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ

 สายสกุล

ในปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้า ฯ ให้ท่านเฉกอะหมัดซึ่งมีอายุ 87 ปี เป็นเจ้าพระยาบวรราชนายกจางวางกรมมหาดไทย ท่านได้ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. 2174 รวมอายุ 88 ปี ท่านเฉกอะหมัดนี้ท่านเป็นต้นสกุลของไทยมุสลิมหลายนามสกุลและสกุลบุนนาค เป็นต้นสกุลของเจ้าพระยาหลายท่านในระยะเวลาต่อมา อาทิ เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) เจ้าพระยาชำนาญภักดี (สมบุญ) เจ้าพระยาเพชรพิไชย (ใจ) และมีบรรดาศักดิ์เป็นสมเด็จเจ้าพระยาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ถึง 3 ท่าน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) รวมทั้งเป็นต้นสกุลของสายสกุลที่มีความสำคัญต่อการปกครองประเทศตลอดมา สถานที่ฝังศพของท่านเฉกอะหมัด ตั้งอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

ที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนในวิถีชีวิตของชาวเปอร์เซียที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ทั้งยังเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์มาอย่างยาวนาน โดยร่วมช่วยรักษาราชบัลลังก์และสร้างความรุ่งเรืองให้แผ่นดินไทยด้วย” ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าว

 

 

**************************************************

 

 

[IMG]
 

 

 

 

“มาร์ค” ลุ้น 16 พ.ค.ศาลรธน.รับเรื่องหนีทหารไว้พิจารณาหรือไม่ ตุลาการฯหวั่นมีปัญหาอยากให้องค์คณะอยู่ครบค่อยพิจารณา ชี้เป็นเรื่องสำคัญ


แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเปิดเผยว่า ในวันที่ 16 พ.ค. จะมีการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเบื้องต้นจะมีการพิจารณาในประเด็นคำร้อง ของ ส.ส. 138 คนที่ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ศาลวินิจฉัยสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 106(5) ประกอบมาตรา 102 (6) หรือไม่ เนื่องจากกระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งปลดร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากนายทหารกองหนุนนั้น ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ที่ประชุมเห็นว่า เป็นประเด็นที่สำคัญประกอบกับในการประชุมครั้งนั้นมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เข้าประชุม 8 คน จึงเกรงว่าหากเสียงการลงมติออกมาเท่ากันแล้วจะทำให้เกิดปัญหาได้ อีกทั้งการลงมติของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ทำหน้าที่ประธานฯ นั้นสามารถลงคะแนนเสียงได้เพียงครั้งเดียว เนื่องจากวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้กำหนดไว้ว่า หากเสียงตุลาการฯออกมาเท่ากันแล้วผู้ที่ทำหน้าที่ประธานสามารถลงคะแนนเพื่อ ตัดสินได้ ซึ่งไม่เหมือนกับองค์กรอื่น เช่น กกต. ดังนั้น มีตุลาการฯ บางคนได้เสนอว่า ควรที่จะให้องค์คณะอยู่ครบทั้ง 9 คน หรือไม่ก็ควรที่จะเป็นเลขคี่ น่าจะดีกว่าเป็นเลขคู่ จะได้ไม่เป็นปัญหาเวลาในการลงมติ จึงทำให้การประชุมเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่ได้ข้อยุติ ว่าจะมีมติรับกรณีของนายอภิสิทธิ์ ไว้พิจารณาหรือไม่ และเลื่อนการพิจารณาออกไปในสัปดาห์นี้แทน


สำหรับการประชุมในวันที่ 16 พ.ค.นั้นจะมีวาระพิจารณาคำร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ศาลวินิจฉัยการทำ หน้าที่ของประธานรัฐสภา และสมาชิกรัฐสภา รวม 312 คน ที่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และ 237 ว่า เป็นการตัดสิทธิ์ประชาชนในการร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 หรือไม่ ซึ่งในวันที่ 15 พ.ค.นั้นจะครบ 15 วัน ตามที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อนุญาตตามคำขอของ ส.ว. ทั้ง 46 ที่ขอขยายเวลาชี้แจงข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นคำร้องของนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ซึ่งเจ้าหน้าที่น่าจะรายงานความคืบหน้าให้กับคณะตุลาการฯได้ทราบ ส่วนจะพิจารณาได้เลยหรือไม่ก็เป็นดุลยพินิจของคณะตุลาการฯ


อีกทั้งทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็จะต้องรายงานความคืบหน้ากรณีพล.อ.สม เจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา ได้ส่งสำเนาคำร้องจำนวน 312 คนมาแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและได้ทำหนังสือนำส่งไปให้สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร และสำนักเลขาธิการวุฒิสภาแล้ว กรณีของพล.อ.สมเจตน์ นั้นยังไม่ทราบว่าทั้ง 2 สำนักงานฯ ได้รับหนังสือจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญหรือยัง.

 
 

..............

บทพิสูจน์ ความเที่ยงธรรม อีกบทหนึ่ง ของตลก.รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ว่า ถ้าตัดสินไม่ตรงใจแล้วมาตะแ
บง หรอกนะ แต่เรื่องนี้มันชัดๆอยู่ ถ้ารับไว้มาร์คเสร็จแน่นอน แต่ถ้าไม่รับไว้มาร์คก็รอด แต่ตลก.รัฐธรรมนูญอาจไม่รอด เพราะเท่ากับ ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแฉต่อสังคม ให้ได้รับรู้เช่นกันครับ

ยกคำร้องไปเลย เรื่องจะได้จบเสียที

ไม่รับพิจารณา เพราะหมดอายุความ

น่าจะออกไปทาง ไม่รับก่อน
แล้วค่อยออกมาออกแถลงการณ์ว่าเวลามีน้อย...เลยหละหลวมไป...

หนีทหารไม่ปรากฏในพจณานุกรม
ไม่รับเรื่อง

ก็พูดออกมาแล้ว ว่าอยากให้อยู่ครบ จึงจะพิจารณา
ฉนั้น พอถึงวัน ก็บอกว่า บางคนติดภารกิจต่างประเทศ

แค่นี้ ก็ลากยาวได้เเล้ว....

 

***********************************


 

guest

Post : 2013-05-13 18:53:30.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เทือกเขาอัลไต

 

            ให้ไม่ได้....

 

 

               

 

 

 

 

....ไม่เอาค่ะ พูดอะไร? ไม่อายหรือ?

 

เดินตามตื้อ อ้อนเบอร์โทร โถสงสาร

 

บอกให้รู้ จีบอย่างนี้ มีรำคาญ

 

เดี๋ยวทางบ้าน ว่าเอา เราก็ตาย

 

 

 

....ให้โตกว่า นี้หน่อย ค่อยมาเฝ้า

 

เหมือนดั่งเงา ตามทุกที่ ไม่หนีหาย

 

เเต่ตอนนี้ เเม้นใครเห็น เป็นต้องอาย

 

ถูกผู้ชาย อ้อนขอเบอร์ เบลอเลยเรา....

 

 

 

 

 

 

*******************************************

 

 

 

 

 

 

 
 
 
 
 
               ทายนิสัยจากการอ่านหนังสือ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ทายนิสัยจากการอ่านหนังสือ

 

 

 

เชื่อว่าหลายคนบนโลกนี้คงไม่เคยมีใครที่ไม่เคยอ่านหนังสือ และเคยสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างบางไหม หรืออาจจะเข้าไปร้านหนังสือแต่ละคนจะมีการเปิดหนังสืออ่านไม่เหมือนกันเลย ไม่เชื่อลองดู! แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือการเลือกอ่านหนังสือแต่ละคน สามารถบอกความเป็นตัวตนของคนคนนั้นได้

 

เปิดผ่านๆอ่านคร่าวๆ เป็นคนที่มีอุปนิสัยที่เป็นคนวู่วามใจร้อน เวลาจะทำงานใดๆ มักจะไม่สนใจนรายละเอียดถี่ถ้วนนัก แต่จะสนใจเรื่องที่เป็นหลักใหญ่ๆ มากกว่า ไม่ชอบการวางแผนล่วงหน้าจะทำทุกอย่างเมื่ออยากทำ และทำตามใจตัวเองจึงมักมีเรื่องให้ผิดหวังอยู่เรื่อย จากความไม่รอบคอบของตัวเอง

 

เปิดอ่านแต่เรื่องที่สนใจ เป็นคนที่มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวมากไม่ค่อยนึกถึงจิตใจคนอื่น แต่ะทำไปเพราะความไม่รู้เรื่องมากกว่า แต่อีกด้านนั้น เป็นคนใจดี ใจกว้าง ชอบช่วยเหลือคนอื่นแต่มักจะไม่มีคนกล้าทำความรู้จักสักเท่าไรเพราะเป็นคนที่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์สักเท่าไร

 

อ่านทุกเรื่องอ่านทุกหน้า ลักษณะนิสับยเป็นคนใจกว้างสามารถยอมรับความคิดใหม่ๆ ได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นความคิดเด็กหรือผู้ใหญ่ เป็นคนใฝ่รู้ เมื่อสนใจเรื่องใดก็จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรู้จักกับเรื่องนั้นอย่างจริงจัง มักได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง

 

ชอบออกเสียงเวลาอ่านหนังสือ ลักษณะนิสัยคนประเภทนี้ คือ เป็นคนจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อทุกคนไม่ใช่คนที่มีพิษกับใคร เป็นคนเปิดเผย ไว้ใจได้ รักสงบ ชอบชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ใช่คนที่มีภูมิอะไรมากนักแต่ก็มีความน่านับถืออยู่ในตัวเอง

 

ชอบขีดเส้นข้อความในหนังสือ บ่งบอกถึงอุปนิสิย เป็นคนช่างจด ช่างจำและค่อนข้างยึดมั่นถือมั่นอีกด้วย สิ่งไหนที่เป็นของตนก็มักจะไม่ยอมให้ครมาครอบครองง่ายๆ นอกจากนี้ยังเป็นคนทำงานได้ดีเพราะเวลาจะทำอะไรจะลงมือทำอย่างจริงจังเสมอ ไม่ชอบเสียเวลากับกับเรื่องไร้สาระ

 

พับขอบหนังสือ เป็นคนค่อนข้างมีนิสัยไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่จะเป้นคนที่ทำอะไรแล้วก็จะหมกมุ่น และทำจริงจัง จนกระทั่งทำสำเร็จ จะไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้างนักแลดูคล้ายกับคนเห็นแก่ตัวแต่เพราะว่าเป็นคนพูดไม่เก่งมากกว่า และถ้ามีคนมาขอความช่วยเหลือก็จะเอื้อเฟื้อเป็นอย่างดี

 

 

.....................................................................................................................


 

 

 

 

              ประวัติศาสตร์ชาติไทย

 

 



เชื้อชาติไทยเป็นเชื้อชาติที่สำคัญยิ่งใหญ่มาแต่โบราณและมีความเจริญรุ่งเรืองมานานรุ่นเดียวกับชาติอื่น ๆ เช่น

 

ชาติบาบิโลน นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ ผู้ทำการค้นคว้าทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกัน และจีน ได้ศึกษา

 

จากประวัติศาสตร์และวรรณคดีของจีน ลงความเห็นว่า หมู่ชนชาติเชื้อไทยนั้นได้ตั้งถิ่นฐานเป็นอาณาจักร

 

ถาวรในดินแดนทางภาคใต้ของจีนปัจจุบันมานานก่อนคนเชื้อชาติจีนจะเข้ามาในดินแดนที่เป็นอาณาเขต

 

ของจีนในปัจจุบันนี้

 

 

แหล่งกำเนิดของชนเชื้อชาติไทย


แหล่งกำเนิดของชนเชื้อชาติไทย มีข้อสันนิษฐานเชื่อกันมาว่า


( 1)
แหล่งกำเนิดของคนเชื้อชาติไทยเดิมนั้นอยู่แถบภูเขาอัลไตแล้วอพยพมาอยู่ในดินแดนของจีนใน

 

ปัจจุบันก่อนคนเชื้อชาติจีน

 

กล่าวกันว่าชนชาติโบราณที่อยู่ตามเทือกเขาอัลไตทางด้านนี้มีพวกโลโละ กะเหรี่ยง แม้ว เย้า มอญ เขมร

 

ซึ่งเป็นพวกพเนจรเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ และบ้างก็ตั้งหลักแหล่งทำการเกษตรบ้างแล้ว ซึ่งชนชาติเหล่านี้มีชน

 

ชาติไทยอยู่ด้วย ถิ่นที่ว่าเป็นแหล่งกำเนิดเดิมของไทยคือตอนเหนือของแม่น้ำเออทิส ระหว่างแม่น้ำเอนนิส

 

ไซและแม่น้ำอิลีเรื่องชนชาติไทยอพยพกันลงมาจากภูเขาอัลไตนั้นมีผู้คัดค้านมากมาย ชนชาติไทยในถิ่น

 

เดิมนั้นยังไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด


ทราบกันว่าแต่ก่อนนี้มีอาณาจักรของคนไทย เราเรียกตนเองว่า อ้ายลาว” (แปลว่าคนใหญ่ คำว่า

 

อ้ายแปลว่าใหญ่ ส่วน ลาวแปลว่าคน) ต่อมาจึงใช้คำว่าไท สันนิษฐานว่าใช้คำว่าไท นี้มานานแต่

 

หลังอ้ายลาว นอกจากอ้ายลาวแล้วเรายังมีชื่อเรียกกันหลายอย่าง เช่น มุง ลุง ปาตามหลักฐานกล่าวว่า

 

ถิ่นฐานของไทยอยู่ระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำยั่งจื้อ หรือแยงซีไท หรืออ้ายลาวอยู่ในระหว่างแม่น้ำ

 

สองสายนี้ ปรากฏในจดหมายเหตุจีนเรียกชื่อไทยครั้งแรกว่า ต้ามุงหรือ มุงใหญ่คือ ชาติอ้ายลาว

 

ไทยเรียกตนเองว่าอ้ายลาว แปลว่า คนใหญ่ จีนเขียนจดหมายเหตุไว้ว่า ชนชาติอ้ายลาวเป็นเจ้าของถิ่น

 

มาก่อนจีน ซึ่งเป็นระยะสองพันปีก่อนคริสต์กาล จีนได้มาพบไทย มุง ลุง ปา ปัง ปละลาว บนฝั่งซ้ายของ

 

แม่น้ำยั่งจื้อ ครอบครองเสฉวนตะวันตกไปจนเกือบจดทะเล 3,881 ปีหลังจากจดหมายเหตุฉบับนี้ คือ ในปี

 

ค.ศ.1901 หมอดอดจ์เดินทางไปในในดินแดนนี้ยังได้พบคนไทยที่เรียนตนเองว่า ลุง และ ปา แต่จีนเรียกว่า

 

ลุงเชนแปลว่าประชาชนชาวลุง และพวก ปาเรียกว่า ปายี่แปลว่าคนป่าเถื่อนพวกไทยมุงที่

 

เรียกตนเองว่าอ้ายลาวนั้นเป็นพวกเก่าแก่โบราณกว่า พวกบาบิโลน อัสสิเรีย และอียิปต์ในหนังสือแสดง

 

พงศาวดารสยาม พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่าชนชาติไทยเป็น

 

ชาติใหญ่ชาติหนึ่งในเอเชียฝ่ายตะวันออกมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล แม้ในทุกวันนี้นอกจากนามสยามประเทศ

 

นี้ ยังมีชนชาติไทยตั้งภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอื่นอีกเป็นอันมาก ที่อยู่ในดินแดนประเทศจีนก็หลายมณฑล

 

ทั้งในแดนตังเกี๋ย แดนพม่า ตลอดจนมณฑลอัสสัมในประเทศอินเดีย แต่คนทั้งหลายหากเรียกชื่อต่าง ๆ

 

กันไปตามถิ่นที่อยู่ เช่น เรียกชาวสยาม ลาว เฉียง ฉาน เงี้ยว ลื้อเขิน และอาหม ที่เรียกตามเค้านามเดิม

 

ก็มีบ้าง เช่น ผู้ไท ที่แท้พวกที่ได้นามต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นชนชาติไทย พูดภาษาไทยและถือตัว

 

ว่าเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น ตามเรื่องพงศาวดารเดิมที่ปรากฏมาว่า เดิมนั้นชนชาติไทยตั้งภูมิลำเนา

 

อยู่ในดินแดนทุกวันนี้ ตกเป็นอาณาเขตของจีนฝ่ายใต้ ที่เรียกว่ามณฑลฮุนหนำ มณฑลกุยจิ๋ว มณฑล

 

กวางตุ้ง มณฑลกวางใส ทั้งสี่มณฑลนี้มีบ้านเมืองและเจ้านายของตนปกครองแยกย้ายกันอยู่ในหลาย

 

อาณาเขต จีนเรียกชนชาติไทยพวกนี้ว่า ฮวนในปัจจุบัน ยังมีคนไทยอยู่ในอาณาเขตตอนใต้ของจีน

 

อีกมาก ในมณฑลไกวเจาและมณฑลกวางสีและในตะวันออกของยูนนานแม้รัฐบาลจีนในปัจจุบันได้

 

ประกาศว่า คนจีนแคะ ที่แท้เป็นคนไทย ยอมให้แยกตัวเป็นรัฐอยู่ภายใต้สาธารณรัฐประชาชนจีน



(3) คนไทยมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในประเทศไทยปัจจุบันชนชาติอ้ายลาวนั้นเป็นชนชาติไทยในแหลมทอง

 

หรือเป็นพวกเซียมมอยด์ผิวคล้ำ อพยพกลุ่มใหญ่เพื่อหาที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

 

เกือบทั้งภาค ระหว่าง 5,000 ถึง 4,000 ปีล่วงมาแล้ว พวกเซียมมอยด์ทางตะวันตกเฉียงเหนือและภาคกลาง

 

ก็อพยพตามขึ้นไปบ้างเหมือนกันแต่ไม่มากเหมือนพวกแรก ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาเขตของจีนตอนใต้

 

ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนหลัง (ตอนสามก๊ก) ชนชาติไทยในจีนเสื่อมลง มีฐานะเป็นเพียงรัฐหนึ่งในหกรัฐ

 

ของจีน จึงอพยพกลับลงมาทางใต้อีกครั้งหนึ่ง และอยู่กับพวกเดียวกันในแหลมทอง

 


 

 

อัลไตเป็นเทือกเขาในเอเชียกลาง ตั้งอยู่บนบริเวณพรมแดนร่วมของประเทศรัสเซีย จีน มองโกเลีย และคาซัคสถาน และยังเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญ คือ แม่น้ำอิร์ทีช (Irtysh) แม่น้ำโอบ (Ob) และแม่น้ำเยนิไซ (Yenisei) ด้วย ส่วนปลายทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขา อยู่ที่พิกัด 52 องศาเหนือ กับระหว่าง 84 และ 90 องศาตะวันออก (ซึ่งไปจรดกลืนเขากับเทือกเขาสายัน (Sayan Mountains) ทางตะวันออก) และทอดยาวไปทางตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงพิกัด 45 องศาเหนือ 99 องศาตะวันออก แล้วค่อยๆ ลาดต่ำลง กลืนเข้ากับที่ราบสูงแห่งทะเลทรายโกบี (ข้อมูลจาก Wikipedia ไทย)

 

 

 

 

******************************************************

 


 

 

คนไทยอยู่ในพื้นที่ประเทศไทยปัจจุบันมานานกว่า 3,000 ปีแล้ว ไม่ได้อพยพมาจากภูเขาอัลไต หรืออพยพมาจากไหน มีหลักฐานทั้งก่อนประวัติศาสตร์ (คือก่อนจะมีตัวหนังสือ) โดยมีหลักฐานจากการขุดค้นหลุมศพที่บ้านปราสาท ซึ่งตั้งอยู่กลางชุมชนปัจจุบัน พบโครงกระดูกมนุษย์ ชายหญิงและถ้วยโถโอชามที่พิสูจน์แล้วมีอายุเก่าแก่ 2,500-3,000 ปี พอๆกับโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่พบที่บ้านเชียง

และหลักฐานหลังประวัติศาสตร์คือปราสาทหินพนมวันและ ปราสาทหินพิมายซึ่งมีอายุเก่าแก่พันกว่าปี มีจารึกเป็นภาษาเขมรเป็นหลักฐาน เพราะสมัยนั้น ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง ตั้งแต่ลพบุรีไปจนถึงกาญจนบุรี ล้วนตกเป็นเมืองขึ้นของ เขมรซึ่งคนไทยสมัยก่อนชอบเรียกว่า ขอมในยุคอาณาจักรชัยวรมันเรืองอำนาจ ภาคอีสานเขาเรียกว่า เขมรสูงเพราะอยู่บนที่ราบสูง

เมืองสำคัญของเขมรในภาคอีสาน ก็คือ เมืองพิมายจึงมีการสร้างปราสาทหินพิมายไว้ที่เมืองนี้ด้วยสถาปัตยกรรมเขมร จากภาพถ่ายดาวเทียมพบว่า ประตูปราสาทหินพิมายพุ่งตรงไปยัง ประตูเมืองนครธมในประเทศเขมร และมีการจารึกเรื่องราวไว้บนกำแพงประตูเป็นภาษาเขมรไว้ด้วย

แม้ในยุคสุโขทัย สมัยที่ พ่อขุนรามคำแหง เรืองอำนาจ ก็ไม่ได้รุกล้ำ เข้าไปในดินแดนนครราชสีมาซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเขมร

จนถึงยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งทรงนิยมสร้าง เมกะโปรเจกต์เหมือนรัฐบาลไทยสมัยที่แล้ว โดยสร้าง นครธมที่มีกำแพงเมืองยาวด้านละ 12 กิโลเมตร ด้วยหินและด้วยน้ำมือคนล้วนๆสร้างปราสาทตาพรหม ปราสาทพระขรรค์ อย่างยิ่งใหญ่

มีการเกณฑ์ราษฎรชายนับแสนๆคนไปสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์เหล่านี้ จนไม่เป็นอันทำมาหากิน ปล่อยให้ผู้หญิงและเด็กทำไร่ทำนาเลี้ยงหัวหน้าครอบครัว ที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานสร้างปราสาทเหล่านี้แทน ทำให้บ้านเมืองเกิดความอ่อนแอ

ในที่สุดอาณาจักรเขมรก็ล่มสลายลงในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ถูก พระเจ้าอู่ทองแห่งกรุงศรีอยุธยา ตีเอาเมืองมาเป็นเมืองขึ้นมากมาย แล้วประกาศตั้งตนเป็นอิสระ ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงรวมเอา เมืองโคราชกับ เมืองเสมาเป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า นครราชสีมาโดยมี เมืองพิมายเป็นหนึ่งในอำเภอของจังหวัดนครราชสีมาด้วย

ไปเห็นมากับตา ฟังหลักฐานมากับหู วันนี้ผมเชื่อสนิทใจว่า คนไทยไม่ได้อพยพมาจากภูเขาอัลไต แต่เกิดที่นี่ มีชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์แล้ว

ถ้าหากรัฐบาลและ คมช.อยากให้เด็กไทยรักชาติ ผมคิดว่ากระทรวงศึกษาฯจะต้องเขียนประวัติศาสตร์ไทย ที่ใช้สอนนักเรียนกันใหม่ ให้คนไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยที่แท้จริง ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่เรียนกันอยู่ทุกวันนี้.

 

 จากหลักฐานใหม่ที่อ้างอิงนี้ก็ยังไม่สามารถอธิบายหลักฐานอีกข้อทางประวัติศาสตร์ที่ว่า คนไทยใหญ่ในรัฐฉาน คนไทยลื้อในสิบสองปันนะ คนไทยอาหม ในรัฐอัสสัม เป็นเผ่าเดียวกันอย่างแน่นอนโดยพิจารณาจากความเชื่อทางศาสนา ระบบการปกครอง การปลูกสร้างบ้านเรือน วัฒนธรรมและภาษาได้

 

เมื่อก่อนนักประวัติศาสตร์ไทยเชื่อกันว่าถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวไทยนั้นอยู่ที่บริเวณเทือกเขาอัลไต ก่อนที่แรงกระตุ้นจากการแสวงหาทรัพยากรจะผลักดันให้คนไทยเราเดินทางผ่านเทือกเขาลูกแล้วลูกเล่า ข้ามแม่น้ำใหญ่สายแล้วสายเล่า อพยพเคลื่อนย้ายกันมาระลอกแล้วระลอกเล่าเป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายพันปี จนมาอยู่อาศัยลงหลักปักฐานกันยังดินแดนสุวรรณภูมิที่เราอยู่ ณ ปัจจุบัน

 

 อัลไตเป็นเทือกเขาในเอเชียกลาง ตั้งอยู่บนบริเวณพรมแดนร่วมของประเทศรัสเซีย จีน มองโกเลีย และคาซัคสถาน และยังเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญ คือ แม่น้ำอิร์ทีช (Irtysh) แม่น้ำโอบ (Ob) และแม่น้ำเยนิไซ (Yenisei) ด้วย ส่วนปลายทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขา อยู่ที่พิกัด 52 องศาเหนือ กับระหว่าง 84 และ 90 องศาตะวันออก (ซึ่งไปจรดกลืนเขากับเทือกเขาสายัน (Sayan Mountains) ทางตะวันออก) และทอดยาวไปทางตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงพิกัด 45 องศาเหนือ 99 องศาตะวันออก แล้วค่อยๆ ลาดต่ำลง กลืนเข้ากับที่ราบสูงแห่งทะเลทรายโกบี (ข้อมูลจาก Wikipedia ไทย)

  

ทางภูมิศาสตร์ ด้วยความที่เทือกเขาแห่งนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างเขตแดนของทวีปยุโรปและทวีปเอเชียทำให้ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ พันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์มีความหลากหลายมาก โดยในพื้นที่เขตอัลไตที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของมณฑลซินเกียงนั้นมีทรัพยากรทางน้ำที่ถือว่าสมบูรณ์อย่างยิ่ง โดยในเขตนี้นั้นมีแม่น้ำน้อยใหญ่ไหลผ่านกว่า 56 สาย ก่อให้เกิดทัศนียภาพอันงดงาม โดยเป็นส่วนผสมระหว่างเทือกเขาหินสูง ยอดเขาหิมะตระหง่าน กับแม่น้ำสายน้อยใหญ่และทะเลสาบสีฟ้าคราม

 

สำหรับยอดที่สูงที่สุดของเทือกเขาอัลไตนั้นก็คือ ยอดเขามิตรภาพ (โหยวอี้เฟิง; 友谊峰) ที่อยู่บนรอยต่อระหว่างชายแดนของประเทศจีนกับมองโกเลีย โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 4,374 เมตร โดยรอบประกอบไปด้วยธารน้ำแข็ง (Glacier) กว่า 374 สาย

 

 เทือกเขาอัลไต ในภาษาตุรกีโบราณคือ Altutara Alytau หรือ Altay โดยมีที่มาจากคำว่า Al ที่แปลว่า "ทองคำ" และ tau ที่แปลว่า "ภูเขา" ขณะที่ในภาษามองโกลและภาษาอุยกูร์นั้นคำกว่าอัลไต (Altai หรือ Altay) มีความหมายว่า "เทือกเขาทองคำ"* นอกจากนี้แล้วเทือกเขาแห่งนี้ ยังมีชื่อเรียกว่า เอก-ทัค (Ek-tagh) อัลไตแห่งมองโกล (Mongolian Altai) อัลไตใหญ่ (Great Altai) และอัลไตใต้ ( Southern Altai) อีกด้วย ส่วนชาวจีนที่เป็นชาวฮั่นนั้นเขาเรียกเทือกเขาอัลไตว่า อาเล่อไท่ (阿勒泰)

 

ทฤษฎีที่ว่า เดิมทีชนชาติไทนั้นอาศัยอยู่เป็นบริเวณจีนตอนใต้จนถึงภาคเหนือของไทยและได้มีการอพยพลงใต้เรื่อยๆ เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีน หรือ ทฤษฎีที่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาชนชาติไทก็อาศัยอยู่ในดินแดนที่กลายมาเป็นประเทศไทยในปัจจุบันอยู่แล้วมากกว่า

 

 

*****************************************************

 

   ลดโควต้านักเตะต่างชาติ...โง่อวดฉลาดกันเข้าไป

 

           “บังยี” สนับสนุนลดโควตานักเตะต่างชาติที่ลงดวลแข้งในศึก "โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก" และ "ยามาฮ่า ลีกวัน" จาก 7 คน เหลือ 5 คน โดยลงสนามได้ 3 บวก 1 หลังจากมีเสียงเรียกร้องมาจากหลายๆ สโมสรที่มีงบประมาณการทำทีมจำกัด อีกทั้งเพื่อไม่ให้สร้างความเสียเปรียบซึ่งกันและกัน ชี้ควรจะเริ่มตั้งแต่ฤดูกาลหน้าทันที พร้อมเตือนให้ทุกสโมสรรีบปรับท่าทีในการเซ็นสัญญากับนักเตะต่างชาติ


หลังจากที่มีกระแสข่าวจากบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด (ทีพีแอล) โดย ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานทีพีแอล ได้เสนอแนวทางที่จะปรับลดจำนวนนักเตะต่างชาติที่ลงเล่นในศึกโตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก และยามาฮ่า ลีกวัน ในปัจจุบันนี้ จาก 7 คนให้เหลือ 5 คน และสามารถลงสนามได้ 3 บวก 1 เหมือนเดิม คือในแต่ละนัดทุกทีมจะส่งนักเตะต่างชาติลงสนามได้ 3 คน บวกกับนักเตะที่มีสัญชาติเอเชียอีก 1 คน

ล่าสุด "บังยี" นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตนเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว เนื่องจากมีหลายสโมสรทั้งในโตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก และยามาฮ่า ลีกวัน ต่างเรียกร้องมาก โดยเฉพาะสโมสรที่มีงบประมาณการทำทีมค่อนข้างจำกัด และเสียบเปรียบสโมสรใหญ่ๆ ที่มีเงินหนา สามารถซื้อตัวนักเตะต่างชาติมาร่วมทีมได้เยอะ โดยความเห็นของตนควรจะเริ่มกันตั้งแต่ฤดูกาลหน้าเลย ไม่ต้องรอถึงฤดูกาล 2015

นายวรวีร์ กล่าวอีกว่า การลดจำนวนโควตานักเตะต่างชาติลง ทำให้แต่ละสโมสรลดช่องว่างไม่ให้มีความได้เปรียบเสียบเปรียบกันมากเกินไป อีกทั้งสอดคล้องกับนโยบายของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) ด้วย อย่างไรก็ตาม ตนขอฝากให้ทุกสโมสรเตรียมปรับตัวในเรื่องของการซื้อขายนักเตะต่างชาติ หรือการปรับปรุงสัญญาต่างๆ กันล่วงหน้าไว้ก่อน เพราะสมาคมฟุตบอลฯ กับทีพีแอล เห็นพ้องต้องกันว่าควรมีการปรับเปลี่ยนอย่างแน่นอน.
www.dailynews.co.th/sports/203988

 

 

โดย hangonสมาชิกประจำ

 

วงการฟุตบอลไทยมีไอ้พวกปัญญาอ่อนอย่างนี้นี่เล่า
ทีมชาติไทยถึงไม่เคยไปฟุตบอลโลก
ความไม่เอาไหนมีมากมานมนานกาเล
นัดที่ทีมไทยแข่งกับประเทศมุสลิม
ดันยอมให้เขาใช้ผู้ตัดสินเป็นมุสลิมซะอย่างงั้นแหละ
ทีมไทยถูกใบแดงบ่อยเวลาเล่นรอบคัดเลือกบอลโลก
พวกผู้เกี่ยวข้องทำส้นตีนอะไรกันอยู่เคยตั้งคำถามกันบ้างไหม

การคัดทีมชาติมักมีเด็กเส้นไม่เป็นไปตามความสามารถ
มักใช้โค้ชอังกฤษ-เยอรมันที่เป็นระบบใช้แรงปะทะสูง
ที่ไม่เหมาะกับคนเอเซีย แทนที่ใช้โค้ชกลุ่มลาติน
สมาคมฟุตบอลไม่เคยออกสื่อโทรทัศน์ที่เป็นรายการ
ส่งเสริมให้คนไทยสนใจทีมชาติไทยตัวแทนของคนทั้งประเทศ

ไอ้วิสัยทัศน์ห่วยๆแบบเผด็จการอำมาตย์นิยม
ที่ชอบออกกฎเกณฑ์มาริดรอนสิทธิเสรีภาพ
ในการทำทีมฟุตบอลอาชีพไทยมันทุเรศสิ้นดี
ฟุตบอลอาชีพไทยกำลังเติบโตไปด้วยดี
ทำไมไม่ดูประเทศที่เขาเจริญแล้วบ้าง
เขาเลิกเรื่องโควต้าต่างชาติมานานแล้ว
บางนัดนักเตะในประเทศไม่มีแม้แต่คนเดียว

จะไปอ้างทีมเล็กทีมน้อยโวยว่าทำทีมสู้ทีมใหญ่ไม่ได้
แล้วมึงก็รีบไปออกกฎสนองความไม่มีสปิริตกันอย่างนั้นหรือ
มึงมันก็เหมือนประเทศตอแหลแลนต์ที่ชอบออกกฎหมายเลือกตั้ง
ที่ไปริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้คน ที่ห้ามขายเหล้าวันเลือกตั้ง
ห้ามใช้วงดนตรี โขน หนัง การแสดง ในการหาเสียงเลือกตั้ง
ตัวมันเองยังไม่เข้าใจประชาธิปไตยเสือกไปออกกฎเกณฑ์ให้คนอื่น
มันก็ฉิบหายกันอยู่อย่างนี้แหละตอแหลแลนด์เอ๋ย

ยกตัวอย่างมวยไทยเขาเจริญก้าวหน้าต่างชาติยกย่องอยู่ดี ๆ
มีไอ้พวกโง่อวดฉลาดไปออกกติกาห้าม"จับขาไถนา"
มวยไทยเสียความเร้าใจไปเยอะ
มีหมาตัวไหนสำนึกในความผิดพลาดนี้กันบ้าง

สรุปของทุกอย่างปล่อยไปตามธรรมชาติหรือครรลองของมันซะบ้าง
อย่าได้ทำตัวเป็นผู้รู้ออกอะไรมาจำกัดโน่นนี่กันนักเลย
การปกครองที่ดีคือการปกครองที่น้อย
การออกฎมากก็คือการปกครองที่มากเกินไป
หรือการบ้าอำนาจนั่นแหละตอแหลแลนต์เอ๋ย

 

เวงกรรม เคยรู้จักคำว่า เสรีไหม แข้งต่างชาติเข้ามามากแสดงว่า คนของเรา ต้องขยันขึ้น เก่งขึ้น สักวันนักเตะต่างชาติจะหมดไปเอง

พวกนี้ชอบทำตามแรงกดดันเสียงส่วนน้อย ไม่เข้าใจพวกคุณท่านจริงๆ

 

 

**********************************************************

 

            สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ศึกนอกไม่เท่าศึกใน

 

 

    

[IMG]

 

 

โดยชื่อชั้น "คุณหญิงหน่อย-สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์"
หากลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมแทน "เก่ง-การุณ โหสกุล"
ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี
กระเด็นจากเก้าอี้ ส.ส.เขตดอนเมือง ย่อมมีความเชื่อมั่นว่าโอกาสชนะมีมากกว่าแพ้
เหตุหนึ่งเพราะ "สุดารัตน์" เป็นกระบี่มือหนึ่งในสนาม กทม.ของพรรค
มาตั้งแต่เป็นไทยรักไทย พลังประชาชน

เหตุสอง "การุณ โหสกุล" เจ้าของพื้นที่ผู้เป็นเจ้าของฐานเสียงตัวจริง
มีความใกล้ชิดให้ความเคารพ "คุณหญิงหน่อย" อยู่ไม่น้อย

เหตุต่อมา ด้วยฐานะบารมีในอดีตหากลงสมัคร "สุดารัตน์"
จะต้องเล่นแบบ "แพ้ไม่ได้" เพราะไม่เช่นนั้นเท่ากับเสียหาย ทำลายประวัติทางการเมืองตัวเอง
และเป็นที่รู้กันอยู่ว่า หากต้องการชนะจริงๆ "สุดารัตน์" พร้อมที่จะทุ่มทุกอย่าง
เพียงแต่ว่า "จะลงหรือไม่ต่างหาก" ที่เป็นประเด็นต้องหาคำตอบ

หนึ่ง จากตัว "สุดารัตน์" เองด้วยศักดิ์ศรีนักการเมืองที่เคยยืนอยู่แถวหน้า
เคียงบ่าเคียงไหล่กับ "ทักษิณ ชินวัตร" เมื่อจะกลับสู่เวที เก้าอี้ "ส.ส." ย่อมไม่ใช่เป้าหมาย
กระทั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงเล็ก หรือรัฐมนตรีช่วยยังเป็นเรื่องยากที่จะทำใจ

เมื่อเก้าอี้ "ส.ส.เขตดอนเมือง" แม้จะมั่นใจในแรงหนุนเท่าไร ยังเหลือความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการเลือกตั้งในเมืองหลวงที่ประมาท
ลีลาของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนไม่ได้
แม้มีเปอร์เซ็นต์สูงว่า "ลงแล้วชนะ" แต่ใช่ว่าจะไม่เหลือจุดหักเหที่จะทำให้ "พ่ายแพ้"
และ เพราะหาก "พ่ายแพ้" จะถึงแก่เสียหายใหญ่หลวงต่อเครดิตทั้งปวงที่สะสมมา

แม้ใจหนึ่งอาจอยากมาแสดงบทบาทในสภา แต่การตัดสินใจทำได้ไม่ง่ายนัก
แต่เหตุส่วนตัวหรือจะเท่าเหตุจากคนอื่นย่อมไม่ใช่คนอื่นที่ไหน แต่เป็นภายในพรรคเพื่อไทยเอง
ช่วงเลือกตัวผู้สมัคร "ผู้ว่าราชการ กทม." เป็นอย่างชัดเจนว่า มีแรงผลักบางประการที่ไม่ต้องการให้ "สุดารัตน์" เป็นตัวเลือก
แม้บรรดานักการเมืองท้องถิ่นอย่าง "ส.ข.-ส.ก." จะแสดงตัวออกมากดดันพรรคกันเอาเป็นเอาตาย
ทว่าในที่สุดแล้วผู้บริหารพรรคยอมหัก ไม่ยอมงอถึงขนาดกล้าที่จะเสียฐานเสียงใน กทม.
เพื่อรักษาเอกภาพการจัดการภายในพรรคไว้

ครั้งนี้ก็เช่นกันแม้ "เพื่อไทย" ต้องการชนะเพื่อรักษาเก้าอี้ไว้ และประกาศให้โลกรู้ว่า
ใน กทม.ไม่ใช่ "เพื่อไทย" จะถูกประชาชนปฏิเสธไปเสียทั้งหมด
และ "สุดารัตน์" มีชื่อชั้นที่ให้ความเชื่อมั่นว่าไม่น่าจะพลาดมากที่สุด
แต่ "คนอื่นที่โอกาสพลาดมากกว่า" ทว่า "รักษาเอกภาพการบริหารภายในพรรคไว้ได้"
อาจจะเป็นมุมที่ผู้บริหารพรรคใช้ตัดสินในมุมนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ตอกย้ำ
ความเจ็บช้ำจากการถูกคนกันเองปฏิเสธอาจบางที "สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" น่าจะเลือกถอยเสียเอง
เพราะอย่างไรก็ดีกว่าต้องมาตอบคำถามในประเด็น "ถูกปฏิเสธจากพรรคหรือไม่"

ที่มา มติชน
********************************


ผมเชื่อว่าผู้บริหารพรรคคงไม่กล้าหักหารน้ำใจแน่นอนที่จะส่ง
จตุพรมาลงและหวังแกนนำนปฃ.
จากผลการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ตามที่ผมเคยวิเคราะก่อนการเลือกตั้งไว้แล้ว
ครั้งนี้ก็เช่นกัน มนต์ขลังนปช.นับวันจะจืดจางจากใจคนเสื้อแดงลงเรื่อยๆ
เหมือนสาระวันเตี้ยลงๆ วาทะกรรมบริหารปากของณัฐวุฒิไม่ได้ช่วยให้พรรคดีขึ้นเลย
รมต.คมนาคม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เสียอีกที่ทำชื่อให้พรรคและรักษาภาพ
พรรคมีสมองทำงานเป็นให้เห็น คนเขาดูกันที่ผลงานไม่ใช่วาทะ
โชว์ฮ่วย โชว์สวยอะไรนั่นหรอก


นปช.เมื่อโดนกลุ่มไร้การเมืองกวป.ตบหน้า
หมดมนขลังไปเยอะ การต่อรองคงแผวลงเพราะพรรคคงเข็ดที่จะหวังลมๆแล้งๆอีก
หากพรรรตเพื่อไทยคิดหักพร้าด้วยเข่าอีกบอกตรงๆ
แพแตกสส.ในกทม. เหนือและอีสานบางส่วนหายแน่
ขนาดคิดว่าเต็งจ๋าเจอลีลาไร้รอยตีนปชป.ยังปิ๋วเป็นตามที่ผมเคยวิเคราะมาแล้ว
ให้มองท่าทีของสุดารัตน์การตัดสินใจครั้งนี้แล้วกันว่าจะลงหรือบาย
หากลงพรรคคงไม่สบายใจให้ได้นั่งในสภา
หากไม่ลงมีพรรคทางเลือกเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย
ที่อาจเป็นพรรคคานอำนาจพรรคเพื่อไทยในอนาคต
ซึ่งจะเป็นนิมิตดีต่อระบบการเมืองประชาธิปไตยของประเทศ
แทนพรรคปขป.ที่อาจจะสูญพันธุ์ไปจากการเมืองไทย

(จาก IF บอร์ด)

************************************************

 

 

guest

Post : 2013-05-10 20:08:41.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  วันพืชมงคล

 

 

 

วันพืชมงคล ข้างขึ้น เดือน 6 วันพืชมงคล

 

 

       
วันพืชมงคล วันพืชมงคล 2556

วันพืชมงคล ข้างขึ้น เดือน 6

วันพืชมงคล ปี 2556 นี้ ตรงกับวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2556

 

 

วันพืชมงคล

วันพืชมงคล : The Royal Ploughing Ceremony

วันพืชมงคล ข้างขึ้น เดือน 6 (แล้วแต่สำนักพระราชวังกำหนดวันอุดมฤกษ์)

 

ประวัติวันพืชมงคล

วันพืชมงคล พระราชพิธิพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีกรรม 2 พิธีที่กระทำร่วมกัน คือ

  1. พิธีพืชมงคล
  2. พิธีแรกนาขวัญ
  3.  

พิธี วันพืชมงคล แรกนาขวัญ เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ้าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัยและให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงาม



พิธีแรกนาขวัญ
วันพืชมงคล

วันพืชมงคล : เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหวานเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

วันพืชมงคล ข้างขึ้น เดือน 6 วันพืชมงคล

พิธีแรกนาขวัญ วันพืชมงคล ข้างขึ้น เดือน 6 วันพืชมงคล

 

 

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันพืชมงคล) มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กล่าวถึงพระราชพิธีแรกนาขวัญไว้ดังนี้

 

การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดินเป็นธรรมเนียมโบราณ เช่น ในเมืองจีนเมื่อสี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงไถนาเองเป็นคราวแรก ส่วนจดหมาย ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ ที่ปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ก็มีอยู่เสมอ ด้วยการนี้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินทำเองเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีความมั่นใจในการทำนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญจะได้เลี้ยงชีวิตทั่วหน้า

 

การแรกนาขวัญในกรุงเทพ นี้ มีเสมอมาตั้งแต่รัชกาลไม่ได้ยกเว้น แต่ถือเป็นตำแหน่งเจ้าพระยาพลเทพคู่กับยืนชิงช้า เจ้าพระยาพลเทพแรกนายืนชิงช้าผู้เดียว ไม่ได้ผลัดเปลี่ยน ครั้นต่อมาภายหลังเมื่อเจ้าพระยาเทพพลป่วย ก็โปรดให้พระยาประชาชีพแทนบ้าง ในครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เกือบตกเป็นธรรมเนียมว่าผู้ใดยืนชิงช้าผู้นั้นเป็นผู้แรกนาด้วย

 

ครั้นมาในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแรกนาที่ทุ่งส้มป่อยครั้งหนึ่ง ภายหลังโปรดให้มีการแรกนาที่กรุงเก่าและที่เพชรบุรี และทรงเพิ่มพิธีสงฆ์นอกเหนือจากเมื่อก่อน มีเฉพาะพิธี เมื่อทรงเพิ่มพิธีสงฆ์ในพระราชพิธีต่าง ๆ จึงได้เพิ่มในจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนี้ด้วย แต่ยกเป็นพิธีหนึ่งตากหากเรียกว่าพืชมงคล พราหมณ์ และทรงสร้างหอพระเป็นที่ไว้พระคันธารราษฏร์ เมื่อโปรดให้มีพระราชพิธีพืชมงคลขึ้น จึงได้มีนางเทพีสี่คน จัดเจ้าจอมเถ้าแก่ที่มีทุนรอนพาหนะพอจะแต่งตัวและที่เครื่องใช้ไม้สอย ติดตามไปหาบกระเช้าข้าวโปรย เมื่อวันสวดมนต์พระราชพิธีพืชมงคล ก็ให้ฟังสวดพร้อมด้วยพระยาแรกนาและให้มีการราชบัณฑิตเชิญพระเต้าเทวบิฐ ซึ่งเป็นพระเจ้าเกิดในสมัยรัชกาลนั้นประพรมที่แผ่นดินนำหน้าพระยาที่แรกนา

 

พระราชพิธีนี้ ในเวลาบ่ายวันที่จะสวดมนต์ก็มรกระบวนการแห่พระพุทธรูป ออกไปจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

 

พระราชพิธีจรดพระนังคัล (วันพืชมงคล) เริ่มแต่บ่ายวันสวดมนต์พระราชพิธีพืชมงคล มีกระบวนแห่ๆ พระเทวรูปพระอิศวร 1 พระอุมาภควดี 1 พระนารายณ์ 1 พระมหาวิฆเนศวร 1 พระพลเทพแบกไถ 1 กระบวนแห่ มีธง มีคู่แห่เครื่องสุงกลองชนะ คล้ายกันกับที่แห่พระพุทธรูป เป็นแต่ลดหย่อนลงมาบ้าง ออกจากพระบรมมหาราชวังไปทางบก เข้าโรงพิธีทุ่งสัมป่อยหน้าหลวง เวลาค่ำพระมหาราชครูพิธีทำการพระราชพิธีเหมือนอย่างพิธีทั้งปวง

 

วันรุ่งขึ้นเวลาตั้งแต่เช้า กระบวนแห่ต่าง ๆ พระยาผู้แรกนา กำหนดเกณฑ์คนเข้ากระบวนแห่ 500 กระบวน เมื่อถึงโรงพระราชพิธีเข้าจุดเทียนบูชาพระพุทธรูป แล้วตั้งจิตอธิษฐานจับผ้า 3 ผืน เมื่อจับได้ผ้าผืนใดก็นุ่งผ้าผืนนั้น นุ่งอย่างบ่าวขุนออกไปแรกนา มีราชบัญฑิตคนหนึ่ง เชิญเต้าเทวบิฐประน้ำพระพุทธมนต์ไปหน้า พราหมณ์เชิญพระพลเทพคนหนึ่งเป่าสังฆ์ 2 คน พระยาจับยามไถ พระมหาราชครูพิธียืนประตักด้านหุ้มแดงไถดะ ไปโดนรี 3 รอบ แล้วไถแปรโดยกว้าง 3 รอบ นางเทพีทั้งสี่จึงหาบกระเช้าข้าวปลูก กระเช้าทอง 2 คน กระเช้าเงิน 2 คน ออกไปให้พระยาโปรยหว่านข้าว และไถกลบอีกสามรอบ หลังจากนั้นปลดพระโคออกกินเลี้ยงของเสี่ยงทาย 7 สิ่ง คือ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่ว งา เหล้า น้ำ หญ้า ถ้าพระโคกินสื่งใดก็จะมีคำทำนาย

 

คันไถ ที่ใช้ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ วันพืชมงคล

 

วันพืชมงคล วันพืชมงคล 2556

คันไถ วันพืชมงคล ข้างขึ้น เดือน 6 วันพืชมงคล

 

วันพืชมงคล : คันไถที่ใช้ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ วันพืชมงคล น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้ในพระราชพิธีดังกล่าวตลอดมานั้นสร้างเมื่อปี พ.ศ.2539 โดยกลุ่มเกษตรกร ผู้เลี้ยงโคนมหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นคันไถที่ทำจากไม้สมอ ซึ่งชุดคันไถประกอบด้วย

 

  1. คันไถ ขนาดความสูงวัดจากพื้นถึงเศียรนาค 2.26 เมตร และความยาวจากเศียรนาคถึงปลายไถ 6.59 เมตร ทาสีแดงชาดตลอดคันไถ ที่หัวคันไถทำเป็นเศียรพญานาคลงลักปิดทอง ลวดลายประดับคันไถเป็นลายกระจังตาอ้อยลงลักปิดทองตลอดคัน ปลายไถหุ้มผ้าขาวขลิบทองสำหรับมือจับ
  2. แอกเทียมพระโค ยาว 1.55 เมตร ตรงกลางแอกประดับด้วยรูปครุฑยุดนาคหล่อด้วยทองเหลืองลงลักปิดทองอยู่บนฐานบัว ปลายแอกทั้งสองด้านแกะสลักเป็นรูปเศียรพญานาคลงลักปิดทอง ลวดลายประดับเป็นลายกระจังตาอ้อยลงลักปิดทองตลอดคัน ที่ปลายแอกแต่ละด้านมีลูกแอกทั้งสองด้านสำหรับเทียมพระโคพร้อมเชือก กระทาม
  3. ฐานรอง เป็นที่สำหรับตั้งรองรับคันไถพร้อมแอก ทำด้วยไม้เนื้อแข็งทาด้วยสีแดงชาด มีลวดลายประดับเป็นลายกระจังตาอ้อยลงลักปิดทอง ทั้งด้านหัวไถและปลายไถ
  4. ธงสามชาย เป็นธงประดับคันไถติดตั้งอยู่บนเศียรนาค ทำด้วยกระดาษและผ้าสักหลาด เขียนลวดลาย ลงลักปิดทองประดับด้วยกระจกแวว มีพู่สีขาวประดับด้านบนเป็นเครื่องสูงชนิดหนึ่งเพื่อประดับพระเกียรติ ธงสามชายมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ฐานยาว 41 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร และเสาธงยาว 72 เซนติเมตร

 

การเสี่ยงทาย วันพืชมงคล

 

วันพืชมงคล วันพืชมงคล 2556

การเสี่ยงทาย วันพืชมงคล ข้างขึ้น เดือน 6 วันพืชมงคล

 

วันพืชมงคล : ผ้านุ่งแต่งกาย ผ้านุ่งซึ่งพระยาแรกนาตั้งสัตยาธิษฐานหยิบนั้นเป็นผ้าลายมีด้วยกัน 3 ผืน คือ หกคืบ ห้าคืบ และสี่คืบ ผ้านุ่งนี้จะวางเรียงบนโตกมีผ้าคลุมเพื่อให้พระยาแรกนาขวัญหยิบ ถ้าหยิบได้ผืนใดก็จะมีคำทำนายไปตามกันคือ

 

  • ถ้าหยิบผ้าได้ 4 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะมากสักหน่อย นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่มอาจจะเสียหายบ้างได้ผลไม่เต็มที่
  • ถ้าหยิบได้ผ้า 5 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำในปีนี้จะมีปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์ และผลาหาร มังสาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี
  • ถ้าหยิบได้ผ้า 6 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอน จะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่

 

การเสี่ยงทายของกิน 7 สิ่ง ในวันพืชมงคล

 

วันพืชมงคล : ของกิน 7 สิ่งที่ตั้งเลี้ยงพระโคนั้นมี ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่วเขียว งา เหล้า น้ำ และหญ้า ถ้าพระโคกินสิ่งใดก็จะมีคำทำนายไปตามนั้นคือ

 

  • ถ้าพระโคกินข้าวหรือข้าวโพด พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหาร จะบริบูรณ์ดี
  • ถ้าพระโคกินถั่วหรืองา พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี
  • ถ้าพระโคกินน้ำหรือหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควรธัญญาหารผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์
  • ถ้าพระโคกินเหล้า พยากรณ์ว่า การคมนาคมจะสะดวกขึ้น การค้าขายกับ ต่างประเทศดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง

 

พระโคแรกนา วันพืชมงคล

วันพืชมงคล วันพืชมงคล 2556

พระโคแรกนา วันพืชมงคล ข้างขึ้น เดือน 6 วันพืชมงคล

 

วันพืชมงคล : พระโคในทางศาสนาพราหมณ์ หมายถึง เทวดาผู้ทำหน้าที่เป็นพาหนะ ของพระอิศวร เปรียบได้กับการใช้แรงงานและความเข้มแข็งและหมายถึงสัตว์เลี้ยงที่พระกฤษณะและพระพลเทพดูแลซึ่งเปรียบได้กับความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้น ในการประกอบพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ จึงได้กำหนดให้มีพระโคเพศผู้เข้าร่วมพิธีเสมอมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่1 เพื่อเป็นตัวแทนของความเข้มแข็ง และ ความอุดมสมบูรณ์

 

ในการประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันพืชมงคล) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ เป็นหน่วยงานคัดเลือกพระโค เพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันพืชมงคล) โดยศูนย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพราชบุรี สำนักเทคโนโลยีชีวภาพการผลิตปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ จะดำเนินการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม กล่าวคือ จะต้องเป็นโคที่มีลักษณะดีรูปร่างสมบูรณ์ มีความสูงไม่น้อยกว่า 150 เซนติเมตร ความยาวลำตัวไม่น้อยกว่า 120 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอก ไม่น้อยกว่า 180 เซนติเมตร โคทั้งคู่จะต้องมีสีเดียวกัน ผิวสวย ขนเป็นมัน กิริยามารยาทเรียบร้อย ฝึกง่าย สอนง่ายไม่ดุร้าย เขามีลักษณะโค้งสวยงามเท่ากัน ตาแจ่มใส หูไม่มีตำหนิ หางยาวสวยงามดี มีขวัญหน้า ขวัญทัดดอกไม้ซ้ายขวา และขวัญหลังถูกต้องตามลักษณะ ที่ดี กีบข้อเท้าแข็งแรง ถ้ามองดูด้านข้างลำตัวจะเป็นสี่เหลี่ยม

 

ความสำคัญของวันพืชมงคล

 

วันพืชมงคล : การเกษตรกรรมนับว่ามีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์อย่างมาก เพราะธัญญาหารที่บรรดาเหล่าเกษตรกรปลูกได้ในแต่ละปี ถูกนำมาใช้เป็นอาหาร ดัดแปลงเป็นอุปโภคต่าง ๆ เช่น ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค

 

วันพืชมงคล เป็นวันที่จัดขึ้นเพื่อเกี่ยวกับการเพาะปลูก เนื่องจากเห็นความสำคัญของการเมล็ดพืชพันธุ์อันเป็นปัจัจัยสำคัญต่อวิถีการผลิตแบบพึ่งพิงธรรมชาติ นอกเหนือจาการมีแผนดินที่อุดมสมบูรณ์ น้ำฝนที่มีปริมาณเพียงพอ และปัจจัยอื่น ๆ แล้ว หากได้เมล็ดพืชพันธุ์ที่ได้รับการเลือกสรร รวมทั้งเกษตรกรมีขวัญกำลังใจ มีความเชื่อมั่นในการลงทุนเพาะปลูก ทางราชการหรือผู้ปกครองตนให้การดูแลเอาใจใส่ การเกษตรของประเทศจะพัฒนามากยิ่งขิ้น
ด้วยเหตุนี้ ทุกปีทางราชการจึงจัดให้มีพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้น โดยกำหนดในเดือนพฤษภาคม ของทุกปี

 

พิธีกรรม วันพืชมงคล ในปัจจุบัน

 

วันพืชมงคล : พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปัจจุบันได้ดำเนินตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี เว้นแต่บางอย่างได้มีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับกาลสมัย อาทิ พิธีของพราหมณ์ก็มีการตัดทอนให้เหลือน้อยลง พระยาแรกนาขวัญก็ให้ตกเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพระราชพิธีทุกปี มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทูตานุฑูต และประชาชนจำนวนมากมาชมการแรกนาขวัญ

 

เมื่อเสร็จพิธี ประชาชนจะพากันแย่งเก็บเมล็ดข้าว นำไปผสมกับพันธุ์ข้าวที่ปลูกหรือเก็บไว้เป็นถุงเงินเพื่อความเป็นสิริมงคล

 

กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรกระทำในวันพืชมงคล

  1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ
  2. จัดนิทรรศการ แสดงประวัติความเป็นมา และความสำคัญของวันพืชมงคลรวมทั้งพระราชพิธีนังคัลแระนาขวัญ

หมายเหตุ วันพืชมงคลในแต่ละปีจะไม่ตรงกัน

 

วันพืชมงคล พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

วันพืชมงคล - ประจำปี 2556

กำหนดการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันพืชมงคล) ปีพุทธศักราช 2556

 

 

วันพืชมงคล วันพืชมงคล 2556

กำหนดการ วันพืชมงคล ข้างขึ้น เดือน 6 วันพืชมงคล

 

 

วันพืชมงคล - พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2556 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง บรรดาข้าราชการ รวมถึงประชาชนชาวเกษตรกรต่างทยอยเดินทางเข้าร่วมพระราชพิธี และรอเฝ้ารับเสด็จ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

 

วันพืชมงคล : โดยในปีนี้ นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่เป็นพระยาแรกนา ในวันพืชมงคล

 

  • พระโคแรกนา กรมปศุสัตว์ได้ทำการคัดเลือกพระโคเพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญประจำปีพุทธศักราช2556 จำนวน 2 คู่ คือ 
    • พระโคแรกนา 1 คู่ ได้แก่ พระโคฟ้า พระโคใส มีความสูง 171 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 230 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอก 225 เซนติเมตร อายุ 10 ปี
    • พระโคสำรอง 1 คู่ ได้แก่ พระโคมั่น พระโคคง มีความสูง 173 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 240 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอก 215 เซนติเมตร อายุ 10 ปี
  • เทพีคู่หาบทองปีนี้ ได้แก่ นางสาวสุมาลี จำเริญ นิติกรชำนาญการ กรมปศุสัตว์ และ นางสาวสุวิสาข์ เกตุอินทร์ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรปฏิบัติการ
    สำนักพัฒนาเกษตรกร กรมส่งเสริมการเกษตร
  • เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวกาญจนา มาลัยกฤษณะชลี นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ และ นางสาวพชร ลาภผล นักวิชาการประมง ปฏิบัติการ

 

 

******************************************************************

 

 

 

 

 

 

 

วันนี้ (9 พ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรมว.ศึกษาธิการ แถลงถึงกรณีที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ เตรียมสั่งยุบโรงเรียนขนาดเล็ก คุณภาพต่ำ มีนักเรียนไม่ถึง 60 คน ทั่วประเทศ ว่า ตนไม่เห็นด้วย เพราะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ที่ระบุให้รัฐจัดการศึกษาให้ทั่วถึง โดยนักเรียนที่อยู่ในสภาพลำบาก รัฐต้องจัดให้มีความทัดเทียมกัน หากยุบโรงเรียนขนาดเล็กก็ยังไม่สามารถตอบคำถามให้ชัดเจนได้ว่า จะจัดให้มีการศึกษาอย่างทั่วถึง และมีคุณภาพได้อย่างไร ในสมัยที่ตนเป็น รมว.ศึกษาธิการ ได้วางแนวทางการสร้างโรงเรียนดีประจำตำบล เพื่อให้โรงเรียนในชนบทมีคุณภาพที่ใกล้เคียงกับโรงเรียนในเมือง เพื่อรองรับการยุบโรงเรียนในอนาคต แม้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก แต่อยู่ในชุมชนที่ห่างไกล ก็ควรมีสิทธิชุมชนในการที่ดูแลเรื่องการศึกษา เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียโอกาสของนักเรียน อีกทั้งจะมีปัญหาเรื่องเด็กออกจากการเรียนกลางคัน และการห่างไกลจากผู้ปกครอง

 

นายชินวรณ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้นตนจึงเห็นว่า 1.รัฐควรสร้างโรงเรียนดีประจำตำบล จะเป็นการสร้างโอกาสที่ดีและเป็นตัวเลือกของนักเรียน ซึ่งจะดีกว่าการใช้มาตรการเชิงนโยบายอย่างเดียว 2.ต้องส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างมีคุณภาพ ซึ่งสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีการเพิ่มงบประมาณรายหัวให้ 2 เท่า ซึ่งขณะนี้โรงเรียนขนาดเล็กหลายโรงเรียนมีการพัฒนาในระดับที่น่าพอใจ และถ้ามีการยุบโรงเรียนจริง รัฐบาลก็มีทางเลือกหลายทาง เช่น การไปรวมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ หรือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือชุมชนมีส่วนร่วมในการรับส่งนักเรียน

 

“นโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว มีแนวทางการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก แต่แตกต่างจากรัฐบาลชุดนี้คือ รัฐบาลชุดนี้มองคุณภาพของนักเรียนที่โรงเรียนขนาดเล็กอย่างเดียว แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มองว่า คุณภาพนักเรียนขึ้นอยู่กับคุณภาพครู โรงเรียน และการบริหารจัดการ ในการให้ชุมชนมีส่วนร่วม ฉะนั้นการยุบโรงเรียนขนาดเล็กลงจึงไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องคุณภาพอย่างแท้จริง รัฐควรมีทางเลือกหลาย ๆ ทาง การใช้แนวทางยุบโรงเรียนที่มีเด็กต่ำกว่า 60 คน จะมีผลกระทบตามมา 4 เรื่อง คือ 1.ปัญหาที่กระทบกับนักเรียน เช่น เรื่องการเดินทาง 2.ปัญหาของผู้ปกครองมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3.ปัญหาสังคมที่เด็กต้องอยู่ไกลบ้าน และ 4.ควรให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการมากขึ้น ผมอยากเรียกร้องไปยังโรงเรียนที่มีความพร้อมและชุมชนว่า ถ้าเห็นว่า เราควรรักษาสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ก็ควรออกมาเรียกร้อง โดยผมพร้อมขับเคลื่อนในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้รัฐบาลมีมาตรการรองรับที่ชัดเจนก่อนยุบโรงเรียน ”นายชินวรณ์ กล่าว

 

 
อธิบดีดีเอสไอ เผย คดีทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวะ 5 พันล.
 
แจ้งข้อหา "ชินวรณ์" และ "นริศรา" แล้ว หลังมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดซื้อ ส่ง ป.ป.ช.สอบต่อ...
 
 
 
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวน ...
 
กรณีทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ตามโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 วงเงิน 5,300 ล้านบาท หรือ SP2 ว่า
 
ขณะนี้ การสืบสวนสอบสวนชั้นต้นได้เสร็จสิ้นแล้ว คณะทำงานได้สรุปสำนวนคดี โดยกล่าวหา นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ
 
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
 
นายเจี่ยง วงศ์สวัสดิ์สุริยะ และ นายบำรุง อร่ามเรือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันปฏิบัติจัดซื้อพัสดุครุภัณฑ์
 
โดยมีสาระสำคัญ คือ แต่งตั้งบุคคลใกล้ชิดของรัฐมนตรี เป็นคณะกรรมการในการจัดซื้อครุภัณฑ์ ให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง
 
จัดซื้อครุภัณฑ์ที่มีราคาแพงเกินจริง ไม่ได้สำรวจความต้องการของสถานศึกษา ผู้ประกอบการ หรือผู้ขายสินค้าครุภัณฑ์
 
ให้กับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) อยู่ที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐบางคนเท่านั้น
 
เป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์แก่คู่สัญญารายใดรายหนึ่ง และการตรวจรับครุภัณฑ์ไม่ตรงตามกำหนดหรือสัญญาซื้อขาย
 
โดยทาง DSI จะส่งสำนวนคดีนี้ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนและวินิจฉัยตามกฎหมาย
 
และจะทำการสืบสวนสอบสวนต่อไป โดยให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้งหมด นำหลักฐานเข้าชี้แจงแสดงความบริสุทธิ์กับพนักงานสอบสวน
 
ในวันที่ 15 พ.ย. (ปี 2555) เวลา 09.00 น.

 

                  บิลลี่ โอแกน โพสต์เชิญชวนต่อต้านยุบโรงเรียน

 
 
 
 
 
 
 
       

 

 

บิลลี่ โอแกน อดีตนักร้องและพระเอกดัง สุดทนนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็ก โพสต์ผ่านเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ของตัวเองไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ โดยเป็นภาพบิลลี่ยืนถือแผ่นกระดาษที่มีข้อความว่า "ขอเชิญทุกท่านที่ไม่เห็นด้วยกับการยุบโรงเรียนทั่วประเทศจำนวน 16000 ร่วมเป็นกำลังใจให้เด็กๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน" และ ร่วมประท้วงแบบสงบ ด้วยการถ่ายรูปตัวท่านเองพร้อมเขียนข้อความดังตัวอย่างและโพสต์ลงบนเพจของท่าน โดยมีผู้กดแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก

################################

 

ไปเอาตัวเลข 16,000 โรงเรียนมาจากไหนฟระ

มีหัวไว้คั่นหูจริง ๆ ... smileysmiley

 

 

 

 

ย้อนข่าวเก่า! รัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยรัฐมนตรีชินวรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ "เห็นด้วย ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก 7,000 แห่ง"

 

 

ข่าวเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการสภาการศึกษา (กกศ.) ว่า ที่ประชุมพิจารณายุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษาของคณะอนุกรรมการสภาการศึกษาด้านทรัพยากรและการเงินเพื่อการศึกษา มีข้อเสนอให้มีการ ยุบ เลิก หรือรวมกลุ่มสถานศึกษา (Cluster) ในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา โดยกำหนดจำนวนและที่ตั้งสถานศึกษา (Education Mapping ) และจัดทำแผนขั้นตอนการบริหารจัดการด้านการเงินและบุคลากร เพื่อรองรับการยุบ รวม เลิก หรือรวมกลุ่มสถานศึกษาที่หมดความจำเป็น หรือมีต้นทุนในการจัดการศึกษาสูง และด้อยประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
 
ซึ่งกลุ่มเป้าหมายในการยุบ เลิก รวม ก็คือ โรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 7,000 แห่ง
 

ทั้งนี้ การยุบ เลิก รวมโรงเรียนนั้น มีเป้าหมายเพื่อให้เหลือโรงเรียนในจำนวนที่เหมาะสม และเหลืองบประมาณจัดสรรให้แต่ละโรงเรียนได้มากขึ้น เพื่อจะได้นำงบประมาณเพิ่มเติมให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลน ซึ่งจะส่งผลลดความแตกต่างในคุณภาพและมาตรฐานให้น้อยลง ซึ่งบางโรงเรียนที่ควรยุบหรือเลิกปัจจุบันไม่มีเด็กนักเรียนมาเรียนแล้ว เพราะเด็กเดินทางไปเรียนในตัวเมืองแทน หรือบางโรงเรียนในชุมชนที่มีประชากรในวัยเรียนจำนวนน้อยก็ไม่คุ้มค่าที่จะเปิดดำเนินการต่อ และควรยุบ เลิก รวมกับโรงเรียนอื่น ๆ

 

 

***************************************************************

 

 

 

                             ศึกชนช้าง

 

     เเลกหมัดกันเเล้ว..

 

 

 

 

 

 

(11 พ.ค.) ที่ท้องสนามหลวง นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน ในฐานะโฆษกเครือข่ายภาคประชาชนไทย ที่ชุมนุมอยู่บริเวณท้องสนามหลวงแถลงข่าวว่าจากการที่ได้เจรจากับ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯ กทม. และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. ที่ขอให้ผู้ชุมนุมย้ายสถานที่ชุมนุมในระหว่างพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนา ขวัญ เนื่องในวันพืชมงคล วันที่ 13 พ.ค.นี้ ซึ่งได้ข้อยุติว่า ระหว่างพระราชพิธีทางกลุ่มผู้ชุมนุมจะไม่ย้ายสถานที่ชุมนุม และเมื่อผ่านพระราชพิธีไปแล้วก็จะยังคงชุมนุมต่อที่ท้องสนามหลวง แต่ระหว่างที่มีพระราชพิธี ในวันที่ 12-13 พ.ค.นี้ ทางผู้ชุมนุมฯ จะมีการจัดระเบียบ โดยปลดเต็นท์และเก็บเวทีปราศรัยให้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อความเหมาะสมอีกทั้งผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ก็เป็นเกษตรกร ดังนั้นในวันพระราชพิธีพืชมงคล ก็จะได้เข้าเฝ้าชื่นชมพระบารมี จึงถือเป็นวันมหามงคล จะได้พลังใจจากพระบารมีในการเป็นเกษตรกรต่อไป

 

เมื่อถามว่า ใช้เหตุผลใดในการเจรจาทาง กทม.จึงยอมให้ชุมนุมต่อได้ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ได้แสดงเหตุผลความจำเป็นในเสรีภาพของการชุมนุม และหากไม่ชุมนุมบริเวณนี้ ก็จะต้องชุมนุมบนพื้นผิวจราจร ซึ่งตรงนี้จะทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับผลกระทบ

 

เมื่อถามถึง การล่ารายชื่อประชาชนเพื่อยื่นต่อเลขาธิการสหประชาชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และตุลาการศาลโลก นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ลงชื่อแล้วทั้งสิ้น 1.6 ล้านคนแล้ว และจะทยอยส่งไปเรื่อยๆ เมื่อมีรายชื่อเพิ่มทุก 1 แสนรายชื่อ ซึ่งทางกลุ่มได้มีการส่งราชชื่อไปครั้งหนึ่งแล้วขณะที่มีรายชื่อประชาชน 1.5 ล้านรายชื่อ โดยการส่งรายชื่อดังกล่าวจะแสดงให้เห็นว่า ศาลโลกไม่มีอำนาจเหนืออธิปไตยของไทย และรัฐบาลไม่ได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และไม่ได้มีการสอบถามประชาชน รวมถึงรัฐสภาด้วย

 

 

 

 

 

(จากกระทู๋ของคุณ Ramplam) 

คงต้องห้ามขับไล่หรือปะทะ เพื่อได้นก 2 ตัว

-รัฐฯงดพระราชพิธี....... ขออภัยโทษ...... อธิบายด้านความปลอดภัย ที่ตรวจพื้นที่ไม่ทันและตรวจไม่ได้(อยู่ใต้พื้นสนามของม๊อบ)

-สั่งปลด ผวจ กทม ทันที

-ตั้ง ร/ก โดย มท1

 

รัฐบาลสั่งงดพระราชพิธีไม่ได้ครับ ---ถ้าทำ เข้าทางพวกมันทันที ในข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ดีไม่ดี พวกมันลากโยงโยนข้อหาใหญ่ๆให้อีก

ที่ผมบอกให้จับตาคือ --- อาจมี "คำสั่ง เคลียร์ม๊อบ" ภายในเย็นนี้ หรืออย่างช้า พรุ่งนี้เช้าครับ

ผมไม่ได้มองว่าป๋าและไอ้เอ๋อจะพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลอย่างเดียว แต่ยังบังอาจลบเหลี่ยมเสี่ยด้วย เพราะเสี่ยต้องมาเป็นประทานพิธีอีกสองวันข้างหน้า (13 พค 56)

 

***********************************************************จับตา'พญามังกร' รุกคืบ แผ่อิทธิพล มหาอำนาจทางทะเล
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556


 

 

 

 

 

 

 

 

เรื่อง : วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
(หมายเหตุ คัดบางส่วนมาจาก นิตยสารสารคดี ฉ. 269 กรกฎาคม 2550)

 


ถ่ายที่ทำเนียบท่าช้างในปี ๒๕๔๔ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๖๐ ปีขบวนการเสรีไทย
(ภาพ : บุญกิจ สุทธิญาณานนท์)

 

 

 

ทายาทท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่า ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ ๘ มีอาการทางโรคหัวใจ จึงได้เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ต่อมาในค่ำวันศุกร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันปรีดี พนมยงค์ อาการของท่านผู้หญิงได้ทรุดหนักลงโดยลำดับ กระทั่งได้ถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบ เมื่อเวลา ๐๒.๐๐ น. ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริอายุ ๙๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน

ทั้งนี้ทายาทของท่านผู้หญิง ขอขอบคุณคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ได้พยายามดูแลรักษาจนสุดความสามารถอย่างดียิ่งทุกประการ

ในการจัดพิธีศพท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ทายาทจะปฏิบัติตาม “คำสั่งถึงลูก” ที่ท่านผู้หญิงได้เขียนไว้ด้วยลายมือ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๑ ความว่า

คำสั่งถึงลูก ๆ ทุกคน
เมื่อแม่สิ้นชีวิต ขอให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
๑) นำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันที เมื่อหมอตรวจว่าหมดลมหายใจแน่แล้ว
๒) ไม่ขอรับเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น
๓) ประกาศทางวิทยุ และลงหนังสือพิมพ์เพื่อแจ้งข่าวให้ญาติมิตรทราบ
๔) ไม่มีการสวดอภิธรรม ทั้งนี้ไม่รบกวนญาติมิตรที่ต้องมาร่วมงาน
๕) มีพิธีไว้อาลัยที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ โดยนิมนต์พระที่แม่นับถือแสดงธรรมกถา (เช่นเดียวกับที่จัดให้ปาล) และทำบัตรสำหรับหนังสือที่ระลึก
๖) ไม่รบกวนญาติมิตร ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หรือเงินช่วยทำบุญ
๗) เมื่อโรงพยาบาลคืนศพมาก็ทำการฌาปนกิจอย่างเรียบง่าย
๘) ให้นำอัฐิและอังคารไปลอยที่ปากน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นสถานที่ที่แม่เกิด
๙) หากมีเงินบ้าง ก็ขอให้บริจาคเป็นทานแก่มูลนิธิต่าง ๆ ที่ทำสาธารณกุศล
๑๐) ขอให้ลูกทุกคนปฏิบัติตามที่แม่สั่งไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ต้องฟังความเห็นผู้หวังดีทั้งหลาย ลูก ๆ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งแม่จงมีความสุขความเจริญ
พูนศุข พนมยงค์

ในชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง ผ่านทั้งความสุข ความทุกข์ยาก การถูกใส่ร้ายป้ายสีต่าง ๆ นานา และมรสุมชีวิตที่โถมกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ยังยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งร้ายรอบตัวได้อย่างเด็ดเดี่ยว มีสติมั่นคง และรักษาตัวเองให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้ตลอดชีวิต หญิงผู้นั้นนาม พูนศุข พนมยงค์

พูนศุข พนมยงค์ เป็นลูกพระยา เกิดในตระกูลชนชั้นสูงในสังคม แต่งงานกับนายปรีดี พนมยงค์ ลูกชาวนา ดอกเตอร์หนุ่มจากฝรั่งเศสซึ่งภายหลังกลายมาเป็นผู้ก่อการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ เป็นภรรยารัฐมนตรี ภรรยาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ภรรยานายกรัฐมนตรี เป็นท่านผู้หญิงอายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง ๒๘ ปี สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เข้าร่วมขบวนการเสรีไทย ต่อสู้ลับ ๆ กับกองทัพญี่ปุ่น ช่วยให้ประเทศไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจ แต่ภายหลังสามีถูกใส่ร้ายว่ามีส่วนพัวพันในกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ ถูกทหารยิงปืนกลกราดเข้ามาในบ้านเมื่อเกิดรัฐประหาร ๒๔๙๐ ต่อมาถูกจองจำในข้อหากบฏ ลูกชายถูกจับติดคุก จนกระทั่งต้องหนีตามสามีลี้ภัยไปอยู่ต่างแดนด้วยความขมขื่นใจ สุดท้ายกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองไทยด้วยความสงบ ให้อภัยกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ดำรงตนเป็นแบบอย่างให้แก่ชนรุ่นหลังได้กราบไหว้ด้วยความสนิทใจ แม้กระทั่งคำสั่งเสียในวาระสุดท้ายของชีวิต

“ไม่ขอรับเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น”

พูนศุข วัย ๑๓ ปี เมื่อครั้งเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์

วัยเด็ก

“ดิฉันเริ่มเข้าโรงเรียนเมื่ออายุได้ราว ๖ ขวบ คุณพ่อได้เลือกให้ดิฉันไปเรียนโรงเรียนฝรั่ง คือ โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ย่านถนนสีลม ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นโรงเรียนฝรั่งที่โก้มากและแพง เพื่อนร่วมชั้นของดิฉันมีคุณหญิงแร่ม พรหมโมบล คุณหญิงละไม หงส์ยนต์ คุณเจริญ ชูพันธุ์ ม.ล. ต่อ กฤดากร...”

พูนศุข ณ ป้อมเพชร์ เป็นบุตรคนที่ ๓ ของคุณหญิงเพ็ง (สุวรรณศร) และพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ซึ่งเวลานั้นดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสมุทรปราการ เกิดในจวนเจ้าเมือง เมื่อวันอังคารขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน ร.ศ. ๑๓๐ เวลา ๗ นาฬิกา ๒๐ นาที ตรงกับวันที่ ๒ มกราคม ปฏิทินขณะนั้นเป็น พ.ศ. ๒๔๕๔ (ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๘๓ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศพระบรมราชโองการใช้วันที่ ๑ มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่แทนวันที่ ๑ เมษายนที่เคยใช้มาแต่เดิม ทำให้วันที่ ๒ มกราคม ร.ศ. ๑๓๐ เปลี่ยนเป็น พ.ศ. ๒๔๕๕)

พออายุได้ ๔ เดือนเศษ บิดามารดาได้ขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) ในรัชกาลที่ ๖ เพื่อขอรับพระราชทานนามบุตรี ซึ่งต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม “พูนศุข”

เมื่อ ด.ญ. พูนศุขอายุได้ ๔ ขวบ บิดาได้ย้ายเข้ากรุงเทพฯ มาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกของสยามประเทศ มีบ้านพักอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาที่คลองสาน พอย่างเข้า ๖ ขวบ ก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ซึ่งก่อตั้งโดยคณะนักบวชคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกจากประเทศฝรั่งเศส

“ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟฯ เน้นด้านภาษา อย่างข้าพเจ้าเรียนแผนกภาษาอังกฤษ การเรียนการสอนทุกวิชาในห้องเรียน แม้แต่วิชาคณิตศาสตร์ก็สอนเป็นภาษาอังกฤษ นอกห้องเรียนนักเรียนก็ต้องพูดภาษาอังกฤษกัน... โรงเรียนสอนให้ข้าพเจ้าซื่อสัตย์ มีวินัย มีมารยาทในสังคม มีวิชาความรู้ ทำให้ข้าพเจ้าทำหน้าที่ภรรยาของนักการเมืองและแม่ของลูกได้อย่างมีความอดทน เชื่อมั่นและไม่ท้อแท้”

ความสัมพันธ์ระหว่างพูนศุขกับโรงเรียนแห่งนี้ดำเนินต่อมาอีกยาวนาน ลูกสาว ๓ คน คือ สุดา ดุษฎี และวาณีก็เรียนที่นี่ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เป็นศัตรูกับสัมพันธมิตร นักบวชชาวฝรั่งเศสในเมืองไทยถูกจับกุมคุมขัง บางคนถูกขับไล่ออกนอกประเทศ นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เวลานั้นก็ได้ช่วยเหลือคณะนักบวชเหล่านี้มาโดยตลอด จนเมื่อนายปรีดีประสบภัยทางการเมืองในเวลาต่อมา บรรดานักบวชแม่ชีในโรงเรียนก็ได้ดูแลลูก ๆ ของท่านเป็นอย่างดี

ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ พูนศุข พนมยงค์ ได้รับเลือกจากสมาคมศิษย์เซนต์โยเซฟในพระบรมราชินูปถัมภ์ ให้เป็นศิษย์เซนต์โยเซฟตัวอย่าง สาขาการเมือง

ช่วงเวลาที่ศึกษาอยู่นี้ คุณพ่อคุณแม่ได้ย้ายบ้านมาอยู่ถนนสีลม พูนศุขเคยเล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่า วัยเด็กท่านมีความเป็นอยู่แบบผู้มีอันจะกิน เรียกได้ว่าเป็นคุณหนู ใช้ชีวิตค่อนข้างหรูหรา มีคนรับใช้ใกล้ชิด เพราะมีพ่อเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ บ้านที่ถนนสีลมก็ได้ช่างชาวอิตาลีออกแบบ เกิดมาจำความได้ที่บ้านก็มีส้วมชักโครกใช้แล้ว ซึ่งสยามในเวลานั้นมีส้วมชักโครกนับชิ้นได้

และในช่วงเวลานี้เธอก็ได้พบกับชายคนหนึ่งชื่อ ปรีดี พนมยงค์ เป็นลูกชาวนา พ่อชื่อนายเสียง แม่ชื่อนางลูกจันทน์ พนมยงค์ จนเมื่อเรียนจบชั้น Standard 7 ก็ได้ลาออกจากโรงเรียนมาแต่งงานกับชายผู้นี้ พูนศุขเคยเล่าให้ฟังว่า

“เป็นญาติห่าง ๆ กัน นายปรีดีแก่กว่าฉัน ๑๑ ปี พ่อของฉันและพ่อของนายปรีดีเป็นญาติกัน จึงฝากฝังบุตรชายให้มาเรียนกฎหมายในกรุงเทพฯ นายปรีดีนี่มาอยู่ที่บ้าน จึงรู้จักกันตั้งแต่ฉันอายุเก้าขวบ พอเรียนจบได้เป็นเนติบัณฑิต แล้วก็ได้ทุนไปเรียนต่อทางกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลาเจ็ดปี พอนายปรีดีกลับมาฉันอายุ ๑๖ ปี นายปรีดีกลับมาถึงเมืองไทยวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๐ กว่าจะแต่งงานก็เดือนพฤศจิกายน ๒๔๗๑ ตอนที่นายปรีดีพาพ่อจากอยุธยามาขอหมั้น ฉันยังไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ตามปรกติ... เมื่อนายปรีดีมาสู่ขอ คุณพ่อฉันก็ยอมและไม่ได้เรียกร้องอะไรนอกจากแหวนเพชรวงหนึ่ง

“สมัยนั้นดอกเตอร์มีไม่กี่คน ผู้ที่มารดน้ำในงานแต่งงานบางท่านก็อวยพรว่า จะโชคดีมีโอกาสเป็นเสนาบดีแน่นอน ตอนนั้นนายปรีดีเพิ่งได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็นรองอำมาตย์เอก หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เราแต่งงานวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๑ เราหมั้นกันก่อนประมาณหกเดือน เพราะต้องรอเรือนหอที่คุณพ่อคุณแม่สร้างให้เป็นของขวัญ ซึ่งอยู่ในบ้านป้อมเพชร์ ถนนสีลม เวลานี้โดนรื้อกลายเป็นถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ตรงหัวมุมถนนสีลมตัดกับถนนสายใหม่นั่นแหละ พอเรือนหอสร้างเสร็จเราก็แต่งงาน”

พิธีแต่งงานจัดขึ้นที่บ้านป้อมเพชร์ ฝ่ายเจ้าสาวสวมเสื้อสีชานอ้อย นุ่งซิ่นสีเดียวกัน ฝ่ายเจ้าบ่าวแต่งชุดราชปะแตน นุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน คอยรับแขกผู้ใหญ่ที่ไปร่วมงาน โดยมีเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นผู้สวมมงคลและเจิมหน้าผากร่วมกับท่านผู้หญิงยมราช (ตลับ สุขุม สกุลเดิม ณ ป้อมเพชร์) และหลวงวิจิตรวาทการได้แต่งโคลงบทหนึ่งมอบเป็นของขวัญ มีเนื้อความว่า

 

 


พูน เพิ่มเฉลิมเกียรติล้ำ ลือนาม
ศุข สบายภัยขาม คลาดพ้น
ปรี ดาอย่ารู้ทราม จิตต์เสน่ห์
ดี จักมียิ่งล้น หากรู้รักกัน

จากนั้นมาหนุ่มสาวคู่นี้ได้ครองรักร่วมกันมายืนยาวถึง ๕๔ ปี จนความตายมาพรากจาก ทั้งคู่เกิดมาเพื่อเป็นเนื้อคู่ของกันและกันโดยแท้ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาโดยตลอด และกาลเวลาได้พิสูจน์ถึงความรัก ความหนักแน่น มั่นคงของผู้เป็นภรรยา แม้ว่าฝ่ายสามีจะโดนมรสุมชีวิตกระหน่ำอย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า

ปรีดีอุ้มลลิตา พูนศุขอุ้มปาล ถ่ายพร้อมกับญาติพี่น้อง ที่หัวหิน เมษายน ๒๔๗๕

อภิวัฒน์ ๒๔๗๕

“ชะตากรรม (destiny) ของพูนศุขภายหลังสมรสแล้วนั้น จึงพลอยเป็นไปตามชะตากรรมของปรีดี ส่วนชะตากรรมของปรีดีนั้นก็ขึ้นอยู่กับผลกรรมแห่งการงานทาง ‘อภิวัฒน์’ ที่รับใช้ประเทศชาติและราษฎรไทย เพื่อที่จะก้าวหน้าไปตามแนวทางแห่งการกู้อิสรภาพของมนุษย์ให้พ้นจากการถูกเบียดเบียน และเพื่อให้ชาติไทยมีเอกราชและประชาธิปไตยสมบูรณ์”
ปรีดี พนมยงค์

ภายหลังออกเรือนมาเป็นแม่บ้าน พูนศุขได้ใช้เวลาว่างไปเรียนภาษาฝรั่งเศส และช่วยงานตรวจปรู๊ฟหนังสือในโรงพิมพ์นิติสาส์นของนายปรีดี ที่ตั้งขึ้นมาพิมพ์ตำรากฎหมายเป็นรายได้ทางหนึ่ง

“เราแต่งงานตั้งปีครึ่งถึงมีลูก ฉันมีเวลาก็ไปเรียนภาษาฝรั่งเศสต่อที่สมาคมฝรั่งเศส ถนนสาทร เพื่อนร่วมชั้นที่เรียนด้วยกันที่สมาคมฝรั่งเศสมีอยู่หลายคน เท่าที่จำได้ก็มีคุณจำกัด พลางกูร คุณกนต์ธีร์ ศุภมงคล คุณป๋วย อึ๊งภากรณ์ บางคนมาจากเทพศิรินทร์ บางคนมาจากอัสสัมชัญ”

จนกระทั่งก่อนหน้าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นายปรีดีได้บอกภรรยาว่าจะไปอยุธยา แต่ความจริงตัวเขากำลังจะเข้าร่วมก่อการครั้งสำคัญสะเทือนประวัติศาสตร์สยาม พูนศุขเล่าไว้ว่า

“ตอนนั้นอายุ ๒๐ ไม่รู้เรื่องว่าจะเกิดอะไร ก่อนหน้านี้นายปรีดีเคยมาขออนุญาตว่าจะไปบวช ฉันก็ยินดีอนุโมทนา นายปรีดีบอกว่าวันที่ ๒๓ จะไปหาบิดามารดาที่อยุธยาเพื่อขอลาบวช พอวันนั้นนายปรีดีกลับจากทำงานมาถึงบ้าน จากนั้นฉันก็นั่งรถไปส่งพร้อมลูกตัวเล็ก ๆ ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ก็ไม่ได้มีอะไรผิดสังเกต ขากลับยังแวะเยี่ยมเพื่อนที่จุฬาฯ นั่นคือเหตุการณ์วันที่ ๒๓ พอตกกลางคืน ลูกคนที่ ๒ ร้องไห้ เวลานั้นมีลูกสองคน คือลลิตาและปาล ลูกปาลส่งเสียงร้องไม่หยุด คุณพ่อคุณแม่ที่อยู่บนตึกใหญ่ท่านก็ให้คนมาถามว่าเป็นอะไร ฉันก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่ตลอดคืนใจคอไม่ดี เป็นห่วงนายปรีดีว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่

“จนเช้ารุ่งขึ้นของวันที่ ๒๔ มิถุนายน จำได้ว่าท้องฟ้ามืดครึ้มมีฝนตกปรอย ๆ ตามปรกติเราจะถ่ายรูปลูก ๆ เป็นระยะ ลูกปาลอายุครบหกเดือนจึงเอามาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ อุ้มลงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกที่ตึกใหญ่ของคุณพ่อ พอสักครู่ท่านเจ้าพระยายมราช บ้านอยู่ศาลาแดงที่เป็นดุสิตธานีเวลานี้ ท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นน้าของคุณแม่ ฉันเรียกท่านว่าคุณตา ก็มาที่บ้านป้อมเพชร์ ท่านถามว่ารู้เรื่องมั้ย เกิดเรื่องใหญ่ คนเรือของท่านที่อยู่ใกล้บางขุนพรหมมารายงานท่านว่า ที่วังบางขุนพรหมมีทหารมาจับทูลกระหม่อมชาย”

ย่ำรุ่งของวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ คณะราษฎรอันประกอบด้วยทหารและพลเรือน ๑๑๕ นาย มากกว่าครึ่งอายุน้อยกว่า ๓๐ ปี โดยมีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะราษฎร และนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำฝ่ายพลเรือน ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างสายฟ้าแลบ ด้วยการลวงทหารจากกรมกองต่าง ๆ ให้มาชุมนุมพร้อมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และถือโอกาสประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองทันที และกำลังอีกส่วนหนึ่งไปเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์มาเป็นตัวประกัน รวมถึงทูลกระหม่อมชาย หรือสมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเวลานั้นทำหน้าที่เป็นผู้รักษาพระนครแทนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เสด็จแปรพระราชฐานอยู่ที่วังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เช้าวันนั้นนายปรีดีจำเป็นต้องพูดปดกับภรรยาเพื่อรักษาความลับ เขาไม่ได้ไปอยุธยา แต่ไปลอยเรืออยู่ในคลองโอ่งอ่าง แจกแถลงการณ์ “ประกาศคณะราษฎร” ที่พิมพ์จากโรงพิมพ์นิติสาส์นของตัวเอง พูนศุขเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ฟังว่า

“มีรถทหารและทหารหลายคนมาอยู่ที่หน้าโรงพิมพ์ ฉันชักจะกลัว พอสักครู่คนที่โรงพิมพ์ก็วิ่งหน้าตื่นมาบอกว่า ทหารมาให้พิมพ์ใบปลิว จึงสั่งว่าทหารจะให้พิมพ์อะไรก็ทำให้หมด ตอนหลังจึงรู้ว่ามีการเรียงพิมพ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะทหารมาถึงก็พิมพ์เลย ตอนบ่าย คุณพ่อกับเจ้าคุณที่ไปสืบกลับมา ได้ความว่ามีหัวหน้าชื่อพระยาพหลฯ ทำการจับเจ้านาย แล้วเปลี่ยนแปลงอะไรต่ออะไร

“คืนนั้นนายปรีดีให้คนมาส่งข่าวบอกว่าตอนนี้อยู่ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม กองบัญชาการคณะราษฎร ไม่ได้กลับบ้านเลย ให้ช่วยส่งอาหารไปให้ นับแต่วันนั้นฉันก็ต้องจัดอาหารให้คนนำไปส่งนายปรีดีที่พระที่นั่งอนันต์ฯ จนกระทั่งวันที่ ๓ กรกฎาคม นายปรีดีจึงมีจดหมายมาถึงฉัน ขอโทษที่ไม่ได้เล่าความจริงให้ฟัง เพราะถ้าเล่าให้ฟังเดี๋ยวก็จะทำการไม่สำเร็จ ฉันอายุยังน้อยกลัวว่าจะไม่รักษาความลับ และอีกอย่างหนึ่งที่บ้านก็คุ้นเคยเจ้านายหลายวัง”

ข้อความตอนหนึ่งในจดหมายของปรีดีมีความว่า

“การที่ทำอะไรไปทั้งนี้ก็เพื่อเห็นแก่ชาติและราษฎรเป็นส่วนมาก เห็นว่าเกิดมาครั้งเดียว เมื่อมีโอกาสทำได้ก็ควรทำ ไม่ควรบำเพ็ญตนให้เป็นคนหนักโลก...ขอให้คิดถึงชาติและราษฎรให้มาก ๆ การทั้งหลายฉันได้เริ่มมาแต่ปารีส เมื่อมุ่งทางนี้อยู่แล้วและจะสละเกียรติยศทิ้งเสียอย่างไรได้ การเมืองก็การเมือง การส่วนตัวก็ส่วนตัว”

ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา อธิบดีศาลอุทธรณ์ขณะนั้น ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ ขณะที่ ปรีดี พนมยงค์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่า สมุดปกเหลือง ซึ่งเป็นนโยบายที่ก้าวหน้ามากในสมัยนั้น นายปรีดีได้ร่างเค้าโครงฯ แบบสหกรณ์เต็มรูปแบบ แต่ไม่ทำลายกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชน โดยให้รัฐซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมด้วยพันธบัตร มีดอกเบี้ยประจำปี เพื่อให้การใช้ที่ดินเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งยังมีนโยบายจัดเก็บภาษีมรดกและหลักการประกันสังคมในชื่อร่าง พ.ร.บ. “ว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร”

“ราษฎรที่เกิดมาย่อมจะได้รับประกันจากรัฐบาล ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งสิ้นชีพ ซึ่งในระหว่างนั้นจะเป็นเด็กหรือเจ็บป่วย หรือพิการ หรือชรา ทำงานไม่ได้ก็ดี ราษฎรจะมีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม สถานที่อยู่ ฯลฯ”

แต่แล้วได้มีกระแสต่อต้านนโยบายเศรษฐกิจก้าวหน้าฉบับนี้โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง เพราะกลัวว่าจะมีการยึดทรัพย์คนรวย และไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งเจ้าและขุนนางยังกุมอำนาจอยู่ จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๖ พระยามโนปกรณ์ฯ ได้ร่วมมือกับทหารบางกลุ่มสั่งปิดสภาผู้แทนราษฎร งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา และได้ออกพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยกล่าวหาว่านายปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์ และบีบบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศทันที พร้อมกับภรรยาที่ได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า

“การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิต ไม่อาจคาดการณ์ว่า เมื่อใดจึงจะกลับมาอยู่พร้อมหน้า... ข้าพเจ้าฝากลลิตา (อายุ ๓ ขวบ) กับ ปาล (อายุขวบเศษ) ให้อยู่ในความดูแลของคุณแม่ หัวใจของข้าพเจ้าแทบสลายด้วยความเป็นห่วงลูก ข้าพเจ้าจูบลาลูกทั้งสองที่หน้าตึกบ้านป้อมเพชร์”

หกสิบปีต่อมา พ.ร.บ. ประกันสังคมจึงเกิดขึ้นในสังคมไทย ขณะที่กฎหมายมรดกและนโยบายปฏิรูปที่ดิน ยังห่างไกลความเป็นจริง

หลายสิบปีต่อมา ปรีดี พนมยงค์ ได้ปรารภถึงเค้าโครงการเศรษฐกิจแก่ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความมุ่งมาดจะทำลายลัทธิคนมีเงิน สิ่งที่ข้าพเจ้าพึงปรารถนาก็คือ เพื่อส่งเสริมสวัสดิภาพของราษฎรเท่านั้น... ลัทธิคอมมิวนิสต์ในกรุงสยามมีอิทธิพลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะกล่าวตามความปรารถนาของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ามีจุดมุ่งไปในทางเดียวกับพรรคเลเบอร์ (พรรคกรรมกร) ในอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง”

ภาพถ่ายปรีดี-พูนศุข และลูกทั้ง ๖ คน เป็นภาพถ่ายครอบครัวภาพแรกและภาพเดียวที่อยู่กันพร้อมหน้า เพราะหลังจากนั้นครอบครัวก็เผชิญมรสุมทางการเมือง และตกอยู่ในสภาพ “บ้านแตกสาแหรกไม่ขาด”

ในห้วงสงคราม

“ตั้งแต่แต่งงานมา นายปรีดีมอบเงินเดือนให้ฉันหมดเลย เมื่อต้องการอะไรก็ให้ฉันหาให้ คือก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองมีรายได้จากโรงพิมพ์ นายปรีดีตั้งโรงพิมพ์นิติสาส์น พิมพ์ นิติสาส์น รายเดือน พิมพ์หนังสือชุด ประชุมกฎหมายไทย เพื่อเผยแพร่ มีคนสั่งจองซื้อมาก และรายได้อีกทางจากค่าสอนที่โรงเรียนกฎหมาย เวลานั้นได้ชั่วโมงละ ๑๐ บาท พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เลิกโรงพิมพ์ ยกให้เป็นโรงพิมพ์ของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมทั้งพนักงาน จึงไม่มีรายได้ทางโรงพิมพ์ต่อไปอีก พอเป็นรัฐมนตรีมีรายได้เดือนละ ๑,๕๐๐ บาทก็ให้ฉันอีก บางทีก็ลืมเงินเดือนไว้ที่โต๊ะทำงาน สมัยนั้นเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ต้องเอาไปให้ถึงบ้าน แล้วตอนหลังนายปรีดีก็ไม่รับเงินเดือนเอง ให้เลขาฯ นำเงินมาส่งให้ฉันเลย ตอนรับตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองก็มีเงินประจำตำแหน่ง แต่ไม่เคยเบิกมาใช้ จัดให้เป็นเงินสวัสดิการของมหาวิทยาลัยเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่ขาดแคลน”

๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ พันเอก พระยาพหลฯ เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติทำการยึดอำนาจจากรัฐบาล และเชิญนายปรีดีกลับประเทศ ต่อมานายปรีดีได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และเป็นผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๗

พูนศุข พนมยงค์ ในวัยเพียง ๒๘ ปี ก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านผู้หญิง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๐ กันยายน ๒๔๘๒ พร้อมกับ ละเอียด พิบูลสงคราม ภรรยาของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น

แม้ว่าจะได้เป็นท่านผู้หญิงอายุน้อยที่สุดคนหนึ่ง เป็นภรรยารัฐมนตรี ภรรยาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ภรรยานายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา แต่ตลอดชีวิตของท่านยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกประการ ไม่เคยก้าวก่ายงานราชการของสามี ทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน จ่ายกับข้าวเอง เลี้ยงลูกทั้งหกเอง ทำอาหารให้ครอบครัวเยี่ยงชาวบ้านทั่วไปไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ท่านมักพูดกับลูกหลานเสมอว่า หากใครหารูปถ่ายตอนแต่งชุดท่านผู้หญิงได้ จะให้รางวัล แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยมีใครหาพบ เพราะท่านไม่เคยแต่งชุดเหล่านี้เลย

ในปี ๒๔๘๐ สงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มตั้งเค้าขึ้นในทวีปยุโรป กองทัพเยอรมนีและอิตาลีประกาศสงครามกับฝรั่งเศสและอังกฤษ ขณะที่ในเอเชีย กองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศจีน เมฆหมอกแห่งสงครามปกคลุมไปทั่วโลก ในปี ๒๔๘๓ นายปรีดีผู้มีแนวคิดต่อต้านสงครามจึงได้เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก นิยายอิงประวัติศาสตร์สงครามยุทธหัตถีในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ โดยแก่นของเรื่องว่าด้วยสันติภาพ พูนศุขมีหน้าที่ดูแลกองถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งยกกองไปถ่ายทำที่เมืองแพร่ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีโอกาสไปฉายที่นิวยอร์ก สิงคโปร์ และกรุงเทพฯ ในปี ๒๔๘๔ ซึ่งปรีดีเคยกล่าวถึงว่า

“ชัยชนะแห่งสันติภาพนั้นมิได้มีชื่อเสียงบรรลือนามน้อยไปกว่าชัยชนะแห่งสงครามแต่อย่างใด”

แต่แล้วสงครามก็เดินทางมาถึงเมืองไทย เมื่อเช้ามืดวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐอเมริกา และได้แบ่งกำลังบุกเข้าทางภาคใต้และภาคตะวันออกของประเทศไทยหลายจุด มีการปะทะต่อสู้กับทหาร ตำรวจ และพลเรือนไทยอย่างดุเดือด ขณะที่ในกรุงเทพฯ ก็มีการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างฉุกเฉิน ซึ่งพูนศุขบันทึกไว้ว่า

“คืนนั้นเวลาประมาณสองยาม ได้มีโทรศัพท์จากวังสวนกุหลาบ เชิญนายปรีดีไปประชุมคณะรัฐมนตรี ในช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ในพระนคร ไปราชการต่างจังหวัด พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส ซึ่งรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีได้ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ขณะนั้นนายปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการประชุมคืนนั้น คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งไม่สู้ญี่ปุ่น กับอีกฝ่ายหนึ่งคือนายปรีดี ต้องการสู้เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตย...แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีกลับมาถึงที่ประชุมในตอนเช้า ได้สั่งให้ผู้ที่ต่อสู้วางอาวุธ อ้างว่าราษฎรได้ตายไปเป็นอันมากและมีมติให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทย...นายปรีดีเสียใจที่คณะรัฐมนตรียอมจำนนต่อทหารญี่ปุ่น”

หนังสือพิมพ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อญี่ปุ่นยกทัพเข้ามารุกรานประเทศไทย

การสู้รบของทั้งสองฝ่ายยุติลง กองทัพญี่ปุ่นได้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศ แปดวันต่อมา สภาผู้แทนราษฎรลงมติแต่งตั้ง ปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แทนเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ผู้ถึงแก่อสัญกรรม ทำให้นายปรีดีพ้นสถานะรัฐมนตรีซึ่งเป็นที่พอใจของฝ่ายญี่ปุ่น ต่อมาในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ปีเดียวกัน รัฐบาลได้ทำสัญญาร่วมรบกับญี่ปุ่น และในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๕ รัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ คือ ญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลีอย่างเต็มที่

นายปรีดีจึงได้รวบรวมบรรดาผู้รักชาติ ทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน ทำการต่อต้านผู้รุกรานอย่างเงียบ ๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และติดต่อกับสัมพันธมิตรนอกประเทศ คือสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เพื่อให้รู้ว่าประเทศไทยมีขบวนการใต้ดินที่ต่อสู้กับญี่ปุ่นเพื่อเอกราช ภายใต้ชื่อว่า ขบวนการเสรีไทย โดยนายปรีดีเป็นหัวหน้าเสรีไทย มีรหัสว่า “รูธ” ขบวนการเสรีไทยมีเป้าหมายสูงสุดคือทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับว่า ประชาชนชาวไทยไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม และการประกาศสงครามของรัฐบาลในวันที่ ๒๕ มกราคมนั้นเป็นโมฆะ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญและยากมาก ดังที่พูนศุขเคยให้สัมภาษณ์ว่า

“เมื่อทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตามจุดต่าง ๆ ในประเทศ ความรู้สึกของฉันก็เหมือนกับคนไทย ๑๔ ล้านคนในขณะนั้น คือเศร้าสลดที่เอกราชของชาติไทยเราถูกย่ำยี โดยปรกติแล้วฉันกับนายปรีดีพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง เรื่องเสรีไทยนายปรีดีก็ไม่ได้ปกปิดฉัน เพราะปฏิบัติการของขบวนการเสรีไทยไม่ใช่เป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง หากเป็นหน้าที่รับใช้ชาติของคนไทยทุกคน ต่างกับเมื่อครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ที่ไม่ได้บอกให้ฉันรู้เลย และฉันก็ไม่ได้ซอกแซกถามในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง”

บรรยากาศในพระนครเวลานั้น ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยทหารญี่ปุ่น เครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรมาทิ้งระเบิดสลับกับเสียงปืนต่อสู้อากาศยานของทหารญี่ปุ่นเป็นประจำ ทำเนียบท่าช้าง ถนนพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นบ้านพักผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้กลายเป็นที่ทำงานของขบวนการเสรีไทยอย่างลับ ๆ ส่วนการติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรในต่างประเทศมีเสรีไทยสายอังกฤษและสายอเมริกาเป็นตัวเชื่อม โดยบางคนลักลอบเข้ามาทางเรือดำน้ำแล้วขึ้นฝั่งแถวเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ บางคนแอบกระโดดร่มเข้ามา อย่างนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทำให้เสรีไทยในประเทศและสัมพันธมิตรนอกประเทศสามารถติดต่อกันได้ พูนศุขเล่าให้ฟังว่า

“ตอนแรกอยู่ที่ทำเนียบท่าช้าง ซึ่งรัฐบาลให้เป็นบ้านพักรับรองของนายปรีดี ผู้สำเร็จราชการฯ ตอนนั้น แต่เราไม่ได้ขุดหลุมหลบภัย ท่าช้างนี่ชั้นล่างอยู่ติดพื้นดิน แล้วก็ชั้นสอง ชั้นสาม ก็เอากระสอบทรายมากองสูงท่วมหัวที่ชั้นล่าง ทำเนียบท่าช้างอยู่ใกล้ ๆ จุดยุทธศาสตร์ เยื้องสถานีรถไฟบางกอกน้อย เครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรบินมาทิ้งระเบิดบ่อยมาก เวลานั้นลูก ๆ ก็ยังเล็ก เวลาเครื่องบินมาก็อุ้มลูกจากที่นอนมาหลบที่หลังเนินกระสอบ ก็เลยอพยพไปอยู่อยุธยาสักพักหนึ่ง พอการทิ้งระเบิดค่อยเพลาลงไป ก็กลับมาอยู่กรุงเทพฯ จ้างครูมาสอนลูกเรียนหนังสือ ปรากฏว่าพอถึงปี ๒๔๘๘ ปลายสงคราม เครื่องบินมาทิ้งระเบิดหนักขึ้นอีก ทั้งตอนกลางคืนและกลางวัน ตึกรามบ้านช่องพังจำนวนมาก ต้องวิ่งหนีกัน เด็กเล็กลูกคนอื่นมาเรียนกับลูกเราด้วยก็ไม่ปลอดภัย นายปรีดีก็ทูลเชิญสมเด็จพระพันวัสสาฯ ไปประทับที่พระราชวังบางปะอินเพื่อความปลอดภัย และเราก็อพยพตามไปถวายการรับใช้ด้วย นายปรีดีได้ติดต่อกับสัมพันธมิตร บอกให้ทราบว่าบางปะอินเป็นที่ประทับของเจ้านาย อย่ามาทิ้งระเบิด ไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ แต่บริเวณทำเนียบท่าช้างยังทิ้งระเบิดกัน นายปรีดียังอยู่ประจำที่นั่น ทิ้งระเบิดริมน้ำ เขื่อนพังทลาย แต่ตัวอาคารใหญ่ไม่เป็นอะไร พอหวอมา ชาวบ้านแถวนั้นเข้ามาหลบในบ้านเต็มไปหมด เพราะว่ามีค่ายเชลยอยู่ที่ธรรมศาสตร์ คิดว่าเครื่องบินคงไม่มาทิ้งระเบิดเชลยศึกซึ่งเป็นพวกเดียวกัน”

ในช่วงเวลานั้นพูนศุขได้ช่วยสามีติดตามสถานการณ์ข่าวสารการสู้รบในสมรภูมิต่าง ๆ ทั่วโลกจากการฟังวิทยุ ทั้งที่ทางการห้ามราษฎรฟังวิทยุของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่นายปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ มีสิทธิพิเศษใบอนุญาตถึงฟังได้ และคอยอำนวยความสะดวกแก่เสรีไทยที่มาประชุมกันที่ทำเนียบท่าช้าง บางครั้งก็ช่วยเขียนรหัสด้วยลายมือภาษาอังกฤษโดยไม่ใช้พิมพ์ดีด

“ใช้วิธีเขียนเป็นตัวหนังสือ คือฉันเขียนตัวบรรจง จึงช่วยเขียนรหัสด้วยลายมือ เป็นภาษาอังกฤษแบบตัวพิมพ์ใหญ่ก่อนที่จะนำไปเข้าเป็นโค้ดลับเพื่อเป็นการพรางหลักฐาน เพราะหากถูกจับได้ก็ไม่รู้ว่าเป็นลายมือใคร และตอนนั้นใช้พิมพ์ดีดไม่ได้ หากพวกญี่ปุ่นเขาจับได้ สมัยนั้นมันตรวจกันรู้นี่ว่าเป็นพิมพ์ดีดจากไหน บางครั้งก็เขียนคำสั่งของนายปรีดีที่จะส่งไปต่างประเทศ ส่วนฝ่ายถอดรหัสนั่นมีพวกเสรีไทยสายอังกฤษหรือสายอเมริกาเป็นคนจัดการ”

พูนศุขอธิบายให้ฟัง ทั้งยังเล่าว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งตื่นเต้นที่สุด คือวันหนึ่งนายพลโตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้เดินทางมาเมืองไทย ตามธรรมเนียมการทูต นายพลโตโจต้องมาลงนามแสดงความเคารพผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ทำเนียบท่าช้าง

“ช่วงนั้นหน้าสิ่วหน้าขวานมากที่สุดเชียว นายพลโตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ก็มาเซ็นชื่อเยี่ยมที่ทำเนียบของนายปรีดี ผู้สำเร็จราชการฯ แล้วก็เดินเข้ามาที่ศาลาริมน้ำ ซึ่งเป็นส่วนที่พวกเสรีไทยใช้เป็นที่ทำงาน โตโจคงอยากเห็นทัศนียภาพแม่น้ำเจ้าพระยา น่ากลัวเหมือนกัน แต่โชคดีที่พวกญี่ปุ่นคงไม่ระแคะระคาย”

สงครามโลกครั้งที่ ๒ ดำเนินอยู่ ๔ ปีจึงยุติลง เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๘๘ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ และฝ่ายสัมพันธมิตรได้ส่งสาส์นด่วนถึงนายปรีดีให้รีบประกาศว่า การประกาศสงครามของไทยเป็นโมฆะ ดังนั้นในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ปรีดี พนมยงค์ ได้ประกาศสันติภาพขึ้น โดยมีเนื้อหาสำคัญว่า

“ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอประกาศโดยเปิดเผยแทนประชาชนชาวไทยว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ เป็นโมฆะไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย”

จากคำประกาศสันติภาพและการมีอยู่ของขบวนการเสรีไทย ทำให้ประเทศสัมพันธมิตรยอมรับสถานะเดิมของประเทศไทยที่มีเอกราชและอธิปไตยโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องตกเป็นประเทศแพ้สงครามเหมือนญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลี

“ลึก ๆ แล้วฉันดีใจและโล่งใจยิ่งกว่าวันที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้เสียอีก การประกาศสันติภาพเท่ากับเป็นการรับรองสถานะว่าประเทศไทยยังคงดำรงเอกราชและอธิปไตย” พูนศุขกล่าวไว้เช่นนั้น

เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม ได้มีการตั้งศาลอาชญากรสงครามที่กรุงโตเกียว เพื่อไต่สวนคดีบุคคลสำคัญที่มีส่วนทำให้เกิดสงครามโลกในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก นายปรีดีเป็นคนคัดค้านไม่ยอมส่งจอมพล ป. กับพวกไปให้ศาลอาชญากรสงครามตัดสิน มิเช่นนั้นจอมพล ป. อาจถูกตัดสินประหารชีวิตหรือถูกจองจำเป็นเวลานาน ในฐานะอาชญากรสงครามคนหนึ่ง เรื่องนี้พูนศุขได้อธิบายให้ฟังว่า

“รัฐบาลได้ตั้งศาลอาชญากรสงครามขึ้นในประเทศไทย พิจารณาตัดสินคนไทยด้วยกันเอง ถ้าส่งไปเมืองนอกก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นโดนจับหลายคน หลวงวิจิตรฯ เอย ใครต่อใครเอย เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ฆ่ากันไม่ลงหรอก”

ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙

มรสุมชีวิต

“อย่ายิง อย่ายิง ! ที่นี่มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก”

ปลายปี ๒๔๘๘ นายปรีดีได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตพระนครเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม และในโอกาสนี้ได้กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถวายพระราชอำนาจคืนตามพระราชประเพณี ต่อมาพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายปรีดีเป็นรัฐบุรุษอาวุโส มีหน้าที่ปรึกษาราชการแผ่นดินสืบไป

หลังสงครามสงบลง สันติภาพกลับคืนมา แต่บ้านเมืองยังวุ่นวาย ถูกรุมเร้าทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ภาวะข้าวยากหมากแพงอันเป็นผลพวงจากสงคราม และความไม่มั่นคงทางการเมือง ฝ่ายทหารไม่พอใจรัฐบาลพลเรือนสมัยนั้นที่อำนาจทางการเมืองของตนถูกลดบทบาทลง ขณะที่พรรคการเมืองก็มีการแบ่งขั้วชัดเจน มีความขัดแย้งกันตลอดเวลา

และแล้ววันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ต้องพระแสงปืนสวรรคต พรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ได้ถือโอกาสใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหาว่านายปรีดีมีส่วนพัวพันกรณีสวรรคต ถึงกับจ้างคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง”

นายปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม และ พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ในเวลานั้นนายปรีดีและภรรยาได้เดินทางไปเยือนมิตรประเทศ ๙ ประเทศในเอเชีย ยุโรปและอเมริกาตามคำเชิญ เป็นเวลานาน ๓ เดือน

แม้ว่าเวลานั้น ปรีดี พนมยงค์ จะไม่ได้เป็นผู้นำรัฐบาลไทย แต่ในสายตาของต่างประเทศนายปรีดีกลับเป็นผู้นำที่โดดเด่นและมีบารมีมากที่สุดคนหนึ่งในเอเชีย โดยเฉพาะบทบาทหัวหน้าเสรีไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงไม่น่าแปลกใจที่ต่างประเทศจะให้การต้อนรับทั้งสองอย่างสมเกียรติ

เยือนกรุงนานกิง พฤศจิกายน ๒๔๘๙

เริ่มจากไปเยือนประเทศจีนที่กรุงนานกิง ได้รับการเลี้ยงรับรองจากประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค ต่อเครื่องบินมากรุงมะนิลา ประธานาธิบดีโรซาสแห่งฟิลิปปินส์ให้การต้อนรับ จากนั้นข้ามไปเยือนสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีทรูแมนเปิดทำเนียบขาวต้อนรับอย่างดี แล้วข้ามทะเลไปประเทศอังกฤษ มีโอกาสได้ร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกลางวันกับพระเจ้ายอร์ชที่ ๖ สมเด็จพระราชินี เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต และลอร์ดหลุยส์ เมาน์ทแบตเตน ผู้บัญชาการสูงสุดของสัมพันธมิตรในภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก ในพระราชวังบักกิงแฮม และที่กรุงปารีส ประธานาธิบดีลิออง บรัม แห่งฝรั่งเศสได้เลี้ยงรับรองที่กระทรวงต่างประเทศ

นอกจากนั้นยังมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระราชชนนีที่ประทับในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเดินทางต่อไปยังประเทศเดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์เป็นประเทศสุดท้าย ก่อนจะนั่งเครื่องบินกลับประเทศไทย มาแลนดิงลงแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณท่าเรือคลองเตย และได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามจากพี่น้องชาวไทย

ประชาชนจำนวนมากมารอรับนายปรีดี พนมยงค์ ที่ท่าเรือคลองเตย ภายหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ มกราคม ๒๔๙๐

นายปรีดีกลับมาเมืองไทยในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองตกต่ำสุดขีด ข่าวลือการทำรัฐประหารเกิดขึ้นเป็นระยะ แต่แล้ววันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ รอยด่างของประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคณะรัฐประหารนำโดย พลโท ผิน ชุณหะวัณ ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาล

ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว หลวงอดุลฯ หรือ พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการทหารบก ได้มาหานายปรีดีที่บ้านพักทำเนียบท่าช้างเพื่อแจ้งข่าวว่าจะมีการทำรัฐประหาร แต่หลวงอดุลฯ ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว จึงมิได้เฉลียวใจว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น พูนศุข พนมยงค์ ในวัย ๓๕ ปี เล่าเหตุการณ์คืนนั้นให้ผู้เขียนฟังว่า

“วันนั้นฉันไม่สบายไปถอนฟันมา ก็ไม่ได้รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน วันนั้นหลวงอดุลฯ กับหลวงธำรงฯ มารับประทานอาหารเย็น ฉันก็เข้านอนก่อนเพราะเป็นไข้ ต่อมาประมาณสองยามฉันก็สังเกตมีแสงไฟสาดเข้ามาในห้องนอน ทีหลังถึงรู้ว่าเป็นไฟจากรถถังที่จอดอยู่หน้าธรรมศาสตร์ แสงไฟจ้าเชียว แปลกใจ ก็ลุกขึ้นมา ลมพัดหนังสือพิมพ์กระจาย ไม่ใช่พัดลมน่ะ เป็นลมจากแม่น้ำ แล้วฉันก็ลงไปชั้นล่าง พบเด็กที่อยู่กับเรายืนอยู่กับตำรวจที่เป็นยามประจำบ้าน ตอนนั้นยังไม่ได้ยิง ฉันก็ถามว่าท่าน (นายปรีดี) อยู่ไหน เด็กบอกว่าท่านไปแล้ว สักครู่หนึ่งทหารก็ยิงเข้ามา เราก็เลยวิ่งมารวมอยู่ห้องนอนลูกริมแม่น้ำ

“ทหารยิงเข้ามาในบ้าน เจาะเข้ามาในห้องพระ รูขนาดนกกระจอกทำรังได้ แต่ไม่ทะลุ เราก็รวบรวมลูกมาอยู่ที่ห้องเดียวกัน แล้วก็บอกให้ลูกนอนหมอบราบไปบนเตียงนะ ฉันก็ตะโกนออกไปว่า อย่ายิง อย่ายิง ที่นี่มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก เขายิงรัว แหม รู้สึกว่าหลายสิบนัดนะ เสียงมันอาจจะสะท้อนด้วย ฉันยังมีใจเป็นธรรมนะ คิดว่าไม่ได้ยิงกราด ผลสุดท้ายเขาก็พังประตูเข้ามา ฉันก็ลงไปพบ มีคณะนายทหารที่เราไม่รู้จัก เขาบอกว่าจะมาเปลี่ยนรัฐบาล ฉันก็ว่าทำไมมาเปลี่ยนที่นี่ ทำไมไม่ไปเปลี่ยนที่สภาเล่า คณะทหารค้นทั่วบ้าน ไม่มีตัวนายปรีดีแล้วนะ ท่านลงเรือรับจ้างที่อยู่ข้าง ๆ ท่าช้างวังหน้าหลบหนีไปแล้ว

“สักตีสี่ หลวงอดุลฯ มาหาฉัน บอกว่าผมไล่พวกกบฏไปหมดแล้ว ให้ไปอยู่ที่ป้อมพระสุเมรุ ตอนนั้นยังเป็นผู้บัญชาการทหารบกอยู่นี่ ท่านก็ออกชื่อผู้ที่มายิงบ้านเรา พอเช้ามีบรรณาธิการ บางกอกโพสต์ มาสัมภาษณ์และได้นำประโยคที่ฉันถามพวกทหารตอนที่เข้ามาค้นไปลงหน้าหนึ่ง เสร็จแล้วตอนสาย ๆ ร.อ. สมบูรณ์ (พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ) เอารถถังมา เพื่อนสนิทของฉัน คุณฉลบชลัยย์ (ภรรยาคุณจำกัด พลางกูร) วิ่งออกไปยืนขวางพวกทหาร ห้ามไม่ให้เข้ามาใกล้บริเวณโรงรถเพราะเป็นมุมอับ เกรงว่าจะเอาสิ่งของต้องห้ามมาใส่ จึงให้คนในบ้านร่วมเป็นพยานการตรวจค้น ซึ่งก็ไม่มีอะไร เราไม่ได้เป็นฝ่ายก่อการกบฏ พวกเขาเป็นผู้มาทำลายเรา แล้วยังมาค้น”

วันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์นายปรีดีได้ฝากคนมาแจ้งให้ภรรยาทราบว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้อยู่กับพวกทหารเรือ”

นายปรีดีหลบไปอยู่ที่กรมสรรพาวุธ บางนา ต่อจากนั้นไม่นานด้วยความช่วยเหลือของ พล.ร.ต. ทหาร ขำหิรัญ อดีตผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ และผู้บัญชาการกรมนาวิกโยธิน นายปรีดีได้หลบภัยไปอยู่ที่กรมนาวิกโยธิน สัตหีบ มีเสรีไทยหลายคนเดินทางมาปรึกษาหารือกับนายปรีดี จนเมื่อฝ่ายรัฐประหารสืบทราบว่านายปรีดีหลบอยู่ในฐานทัพเรือ จึงมีหนังสือมาขอตัว

ปรีดีคิดว่าหากอยู่ต่อไปจะทำความเดือดร้อนให้แก่ทหารเรือ จึงตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองไทย โดยได้ติดต่อ น.อ. สแตรทฟอร์ด เดนนิส ซึ่งเคยร่วมต่อสู้ระหว่างสงคราม และเป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือของสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ เพื่อให้ช่วยติดต่อทางอังกฤษ ขอลี้ภัยทางการเมืองในสิงคโปร์ที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ และไม่นานปรีดีได้ลักลอบออกจากท่าเรือกรุงเทพฯ ไปขึ้นเรือบรรทุกน้ำมันของอังกฤษมุ่งหน้าไปสิงคโปร์

การรัฐประหารครั้งนั้นนำโดย พล.ท. ผิน ชุณหะวัณ อดีตนายทหารนอกราชการ พ.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ พ.อ. กาจ กาจสงคราม พ.อ. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.อ. ถนอม กิตติขจร พ.ท. ประภาส จารุเสถียร ฯลฯ หลังจากนั้นได้เชิญนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว ก่อนที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง


ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

“นายปรีดีได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าจัดหาลู่ทางการหลบหนีครั้งใหม่ เพราะไว้ใจและเชื่อใจข้าพเจ้าว่าจะทำสำเร็จ ข้าพเจ้าวางแผนปฏิบัติการไว้เป็นวันที่ ๖ สิงหาคม อันเป็นวันครบรอบวันตายของป้าลูกจันทน์ มารดานายปรีดี ข้าพเจ้าภาวนาให้ป้าลูกจันทน์คุ้มครองให้นายปรีดีรอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง”

เมฆหมอกแห่งเผด็จการทหารได้ปกคลุมประเทศอีกครั้งหนึ่ง คณะรัฐประหารประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ฉีกรัฐธรรมนูญปี ๒๔๘๙ ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด มีการลอบสังหาร จับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้าม คือพรรคพวกของนายปรีดีจำนวนมาก พูนศุขและลูก ๆ จำต้องหลบหนีไปอยู่ที่สัตหีบพักหนึ่ง เพราะคณะรัฐประหารใช้วิธี “จับผัวไม่ได้ก็จับเอาเมียไปขังแทน” และรัฐบาลยังได้ตัดเงินบำนาญของนายปรีดีในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโส จนรายได้ของครอบครัวจากส่วนนี้หายไปทันที

พอเหตุการณ์ผ่านไปสักระยะ พูนศุขจึงกลับมาอยู่บ้านและย้ายจากทำเนียบท่าช้างมาอยู่ที่บ้านป้อมเพชร์ ถนนสีลม พยายามใช้ชีวิตตามปรกติ จัดการให้ดุษฎีและวาณีลูกสาว ๒ คนเล็กเป็นนักเรียนประจำ และสุดาเป็นนักเรียนไปกลับที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ศุขปรีดาลูกชายคนที่ ๒ เรียนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ส่วนปาลบุตรคนโตเรียนชั้นเตรียมปริญญาปีสุดท้ายของโรงเรียนเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) ขณะที่ร้านกาแฟหน้าบ้านมีตำรวจสันติบาลเฝ้าอยู่ตลอดเวลา พอออกจากบ้านก็ถูกสะกดรอยตลอดจากบุคคลลักษณะ “ชายแปลกหน้า ใส่หมวก สวมแว่นตาดำ” จนกระทั่งวันหนึ่งท่านกับลูกปาลไปหาหมอที่คลินิกแถวบางรัก ก็มีรถตำรวจขับตามหลังมา ด้วยความอึดอัดเต็มที่ ขากลับจากหาหมอ

“ข้าพเจ้าบอกให้ปาลขับรถผ่านไปที่ถนนคอนแวนต์ แล้วเลี้ยวเข้าบ้านหลวงชาติตระการโกศล (เจียม ลิมปิชาติ) อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ซึ่งภรรยาของท่านเป็นญาติข้าพเจ้า” เพื่อที่ตำรวจจะได้มีบันทึกรายงานว่าเย็นนั้น พูนศุขไปไหนมาบ้าง

เวลานั้นนายปรีดีลี้ภัยจากสิงคโปร์ไปอยู่ฮ่องกงและข้ามไปประเทศจีน ซึ่งพูนศุขได้เล่าให้ฟังว่า

“เมืองจีนตอนนั้นยังไม่เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นยุคสมัยของเจียงไคเช็คยังมีอำนาจ อันที่จริงนายปรีดีต้องการลี้ภัยที่ประเทศเม็กซิโก แต่รองกงสุลอเมริกันที่เซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นพวกซีไอเอ ขีดฆ่าวีซ่าผ่านแดนอเมริกา ทำให้นายปรีดีไม่สามารถไปเม็กซิโกได้ รองกงสุลอเมริกันคนนี้คือนายนอร์แมน ฮันนา ต่อมาเป็นทูตประจำประเทศไทย”

ที่ประเทศจีนปรีดีรับฟังข่าวสารจากเมืองไทยเป็นระยะ และมีความคิดเสมอว่าจะกลับไปฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทยอีกครั้ง จนเมื่อพลพรรคในประเทศได้แจ้งข่าวมาว่าสถานการณ์พร้อมแล้ว จึงได้ลักลอบเข้าเมืองไทย โดยมีทหารเรือเป็นกำลังสำคัญในการสู้รบกับฝ่ายรัฐประหาร ใช้ชื่อเรียกว่า ขบวนการประชาธิปไตย

นายปรีดีได้กลับมาเยี่ยมบ้านเพียงครู่ พูนศุขแสดงการคัดค้านด้วยความห่วงใยเพราะทราบดีว่าสถานการณ์ครั้งนี้เดิมพันชีวิตของสามีสูงยิ่ง แต่นายปรีดียืนกรานที่จะกระทำการครั้งนี้ โดยวางแผนจะยึดอำนาจรัฐกลับคืนมาให้สำเร็จและฟื้นฟูประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่

เวลาสามทุ่มของวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ นายปรีดีพร้อมด้วยมิตรร่วมรบได้มุ่งหน้าจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง บุกเข้าไปปลดทหารรักษาพระบรมมหาราชวัง ใช้เวลาไม่นานก็สามารถตั้งกองบัญชาการที่นั่นได้สำเร็จ และยึดสถานีวิทยุของกรมโฆษณาการไว้ได้ มีการต่อสู้กันประปรายระหว่างสองฝ่าย

จนกระทั่งเวลา ๖.๐๐ น. ของวันรุ่งขึ้น กำลังทหารเรือบางส่วนถูกสกัดกั้น และ พล.ต. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สั่งให้ยิงปืนใหญ่ถล่มประตูพระบรมมหาราชวัง มีการต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างทหารบกกับทหารเรือตลอดแนวถนนราชปรารภ มักกะสัน ถนนเพชรบุรี นายปรีดีได้เขียนบันทึกเหตุการณ์ตอนนั้นไว้ว่า

“เมื่อเห็นว่ากำลังสนับสนุนของเราเดินทางมาไม่ทันเวลา และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัตถุที่ล้ำค่าของชาติในพระบรมมหาราชวัง ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้กองกำลังถอยร่นมาอยู่ในกองบัญชาการทหารเรือที่พระราชวังเดิม ...ระหว่างนั้น กองกำลังของฝ่ายรัฐบาลควบคุมพระนครไว้ได้ทั้งหมดแล้ว การก่อการเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ของข้าพเจ้าจึงประสบความล้มเหลว ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า ‘กบฏวังหลวง’ “

คืนนั้นคนสนิทได้พานายปรีดีหนีการไล่ล่าไปหลบซ่อนตามบ้านญาติหลายแห่ง จนในที่สุด โดยความช่วยเหลือของนายสุธี โอบอ้อม คนที่รู้จักกันมานานสามชั่วคน ก็ได้มาหลบอยู่ที่บ้านสวนฉางเกลือ ในอาณาบริเวณ ๒๐ กว่าไร่ของบริษัทเกลือไทย ฝั่งธนบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันคืออาคารสุภาคาร ริมสะพานสาทร

ช่วงชีวิตนี้พูนศุขได้บันทึกไว้ว่า

“ผู้ที่เอื้อเฟื้อสถานที่หลบซ่อนให้นายปรีดี คือ คุณอุดร รักษมณี เพื่อนรักของสุธี โอบอ้อม นายปรีดีและข้าพเจ้าไม่รู้จักกับคุณอุดร รักษมณี มาก่อนเลย คืนวันที่ ๒ ของการไปอยู่ที่บ้านสวนฉางเกลือ ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมนายปรีดี นายปรีดีปรารภว่า เกรงใจเจ้าของบ้านเหลือเกิน ไม่ทราบว่าจะอยู่ได้นานเท่าใด แต่แล้วนายปรีดีจำต้องหลบซ่อนอยู่ที่บ้านสวนฉางเกลือเป็นเวลา ๕ เดือนกว่า

“ตอนกลับจากเยี่ยมนายปรีดีที่บ้านสวนฉางเกลือ คุณอุดรนั่งเรือจ้างมาส่งข้าพเจ้าที่ท่าเรือสาทร ใกล้ฟ้าสาง รถรางบนถนนสีลมออกเดินรถแล้ว ผู้คนเริ่มออกมาทำกิจวัตรประจำวันแต่เช้ามืด ข้าพเจ้าเดินจากบางรักผ่านป่าช้ากวางตุ้ง ป่าช้าสารสิน ป่าช้าซาเวียร์ และป่าช้าคาทอลิกเพียงคนเดียว กลับมาถึงบ้านป้อมเพชร์”

หลังขบวนการประชาธิปไตยประสบความล้มเหลว รัฐบาลเผด็จการทหารได้ตีพิมพ์หมายจับรูปนายปรีดีติดประกาศไปทั่ว ทำการปราบปรามฝ่ายนายปรีดีอย่างเหี้ยมโหด มีการจับกุมคุมขัง และลอบสังหารอดีตเสรีไทย นักศึกษาธรรมศาสตร์ ทหารเรือ นักการเมืองเป็นจำนวนมาก นายปรีดีรับฟังข่าวคราวการสูญเสียมิตรสหายด้วยความเจ็บปวด โดยเฉพาะการที่ตำรวจสังหารนายทวี ตะเวทิกุล และอุ้ม ๔ อดีตรัฐมนตรีและ ส.ส. อีสาน คือ คุณทองอินทร์ ภูริพัฒน์ คุณถวิล อุดล คุณจำลอง ดาวเรือง และคุณทองเปลว ชลภูมิ ไปฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ โดยตำรวจอ้างว่าเป็นฝีมือของ “โจรจีนมลายู”

ความเจ็บปวดครั้งนี้ถึงกับทำให้นายปรีดีระบายออกมาว่า

“ฉันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป จะอยู่ไปทำไม เราทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อน...ต้องตาย”

ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากได้แต่ปลอบประโลมเตือนสติให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะความตายคือการยอมรับความพ่ายแพ้

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย วัย ๓๗ ปีของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ที่ถูกสะกดรอยทุกฝีก้าว และต้องเลี้ยงลูกทั้ง ๖ คน กลับมีสติมั่นคง จิตใจเข้มแข็ง คิดวางแผนจะช่วยสามีให้รอดปลอดภัยได้อย่างไร สุดท้ายพูนศุขเป็นคนวางแผนให้ปรีดีเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างปลอดภัย

แผนการเริ่มต้นด้วยการนัดแนะกับคนไว้ใจได้ที่สวนลุมพินี โดยให้ลูกปาลขับรถออกมาจากบ้าน และขับไปจอดในบ้านพี่สาวคนหนึ่งที่ถนนสุรวงศ์ แล้วแอบออกหลังบ้านขึ้นรถสามล้อมาที่สวนลุมเพื่อหลบหนีการสะกดรอยของสันติบาล เมื่อได้ประชุมกับคนที่เกี่ยวข้องเป็นที่เข้าใจกันดีแล้ว พอตอนเย็นวันที่ ๖ สิงหาคม เรือประมงที่พูนศุขได้ยืมมาจากคุณมิ่ง เลาห์เรณู ส.ส. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้แล่นทวนน้ำมารับนายปรีดีที่ท่าเรือบ้านสวนฉางเกลือ โดยมี ร.ต. อมฤต วิสุทธิธรรม ร.น. เป็นกัปตันเรือ

“ที่เลือกเดินทางเวลานี้ ก็เพื่อให้มาถึงด่านศุลกากรด่านแรกตอนค่ำก่อนด่านปิดไม่กี่นาที ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ต้องเสี่ยงต่อการตรวจอย่างละเอียดลออ วิธีการนี้ได้ผลดี เราผ่านไปได้อย่างง่ายดาย เรือประมงลำเล็กไปถึงป้อมพระจุลฯ ซึ่งเรือตอร์ปิโดของหน่วยลาดตระเวนจอดอยู่ เพื่อตรวจตราบรรดาเรือต่าง ๆ กัปตันนำเรือประมงเข้าหาเรือตอร์ปิโดอย่างใจเย็น และนายทหารชั้นประทวน ๒ คนก็ลงมาตรวจเรือ เมื่อเขาไม่พบสิ่งใดผิดปรกติเกี่ยวกับสินค้าหนีภาษี ผู้บังคับการจึงสั่งให้ปล่อยเรือของเราผ่านไปได้ เราจึงเดินทางแล่นเลียบชายฝั่ง มุ่งเดินทางต่อไปทางใต้”

เรือประมงไปส่งนายปรีดีที่สิงคโปร์ และนายปรีดีได้หลบลงเรือทะเลไปเกาะฮ่องกง ก่อนจะขึ้นเรือเดินทางไปที่เมืองชิงเต่าบนแผ่นดินใหญ่ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๔๙๒ เพื่อขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศจีนซึ่งขณะนั้นพรรคคอมมิวนิสต์เพิ่งยึดอำนาจจากรัฐบาลเจียงไคเช็ค นายปรีดีได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชาชนจีนมีมาตราหนึ่งกำหนดไว้ว่า

“บุคคลชาวต่างประเทศผู้ที่ได้ต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมและถูกข่มเหงกลั่นแกล้งจากฝ่ายอธรรม จนไม่อาจจะพำนักอยู่ในประเทศของตนได้ ทางประเทศจีนถือว่าบุคคลผู้นั้นเป็นอาคันตุกะของประเทศ”

เรือประมงที่พานายปรีดีหนีออกนอกประเทศในปี ๒๔๙๒

“กบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร”

“ฉันไม่ได้คิดกบฏกับใคร ลูกก็ไม่เกี่ยว ไม่พัวพันกันเลย แต่เขาก็จับฉันไปทำลายจิตใจ ทำลายทุกอย่างหมด”

หลังจากปรีดีลี้ภัยไปอยู่เมืองจีน พูนศุขต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่เลี้ยงลูกทั้ง ๖ คน หารายได้มาจุนเจือครอบครัวด้วยการทำขนมเค้กขาย และติดตามข่าวสารบ้านเมืองทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด พูนศุขเคยพูดถึงลูก ๆ ว่า

“ลูกทั้ง ๖ คนเลี้ยงมาเอง แต่ก็มีพี่เลี้ยงเป็นผู้ช่วย ฉันให้นมลูกคนละประมาณ ๑ ถึง ๓ เดือน ต่อมาไม่มีน้ำนมก็ให้นมผง แล้วก็เสริมอาหารประเภทน้ำข้าว กล้วยน้ำว้า มะละกอ... ลูกฉันทั้ง ๖ คน เว้นคนโต (ลลิตา) ซึ่งสมองไม่พัฒนา ทุกคนมีการมีงานที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและต่อสังคม แค่นี้สำหรับผู้เป็นแม่ก็พอใจแล้ว”

จนกระทั่งในปี ๒๔๙๕ เกิดสงครามที่คาบสมุทรเกาหลี ระหว่างฝ่ายเกาหลีเหนือที่มีจีนและสหภาพโซเวียตสนับสนุน กับฝ่ายเกาหลีใต้ที่สนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกาและสหประชาชาติ ซึ่งในเวลานั้นกองทัพไทยได้ส่งทหารเข้าร่วมรบด้วย

ปัญญาชนหลายคนในเมืองไทยได้ร่วมกันจัดตั้ง “คณะกรรมการสันติภาพสากลแห่งประเทศไทย” เพื่อเรียกร้องสันติภาพและต่อต้านการใช้ระเบิดปรมาณู มีการล่ารายชื่อผู้ที่เห็นด้วยกับสันติภาพ แต่ก็ถูกรัฐบาลทหารกวาดจับ หาว่าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ รัฐบาลได้จับกุมนักศึกษา นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง ทนายความ อาทิ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ปาล พนมยงค์ ในข้อหายุยงให้เกิดความแตกแยกไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง ทั้งหมดถูกตั้งข้อหา “กบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “กบฏสันติภาพ” พูนศุขรำลึกความหลังให้ฟังว่า

“ตอนนั้นลูกปาลถูกเกณฑ์ทหารและอยู่ระหว่างลาป่วย ตำรวจก็มาจับตัวถึงในบ้าน ฉันพยายามทำใจเข้มแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้า พอพวกนั้นกลับไปฉันวิ่งขึ้นไปร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ ลูกปาลถูกข้อหากบฏสันติภาพ”

พูนศุขหารู้ไม่ว่า ไม่เพียงลูกชายที่ถูกพรากไป แต่อีกไม่นานตัวเองก็มีชะตากรรมเช่นเดียวกัน

“หลังจากตำรวจเอาลูกฉันไป สองวันต่อมา ฉันเป็นเถ้าแก่หมั้นคุณศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ (เสนีย์ เสาวพงศ์) ตำรวจก็มาจับในงานไปสอบสวนที่สันติบาล ตอนนั้นลูกสาวสองคนยังเล็กอยู่ เลยต้องเอามานอนที่สันติบาลด้วยสองคืน”

พูนศุข และปาล ลูกชายคนโตถูกตำรวจสันติบาลค้นบ้านและจับกุมในข้อหา “กบฏภายในและภาพนอกราชอาณาจักร” พูนศุขถูกจองจำอยู่ในกรงขัง 48 วัน เพื่อให้ยอมสารภาพว่านายปรีดีอยู่ที่ไหน

วันนั้นตำรวจนำตัวไปตรวจค้นที่บ้าน ระหว่างทางพูนศุขจึงแวะรับลูกดุษฎีและวาณีที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ และคืนนั้นต้องพาไปนอนในคุกด้วยกันเพราะที่บ้านไม่มีใครดูแล พูนศุขถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับหัวแม่มือและนิ้วทั้งสิบกดลงบนจานหมึกสีดำ พิมพ์ลายนิ้วมือในกระดาษ ราวกับเป็นผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์

“นายตำรวจที่ทำหน้าที่สอบสวนฉันคือพระพินิจชนคดี พี่เขยของ ม.ร.ว. เสนีย์ และ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เชี่ยวชาญในการสร้างพยานเท็จกรณีสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ ๘ เขาถามว่ารู้จัก พลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ ผู้บัญชาการนาวิกโยธิน ที่ตอนนั้นทางการกำลังล่าตัวอยู่ไหม คือภายหลังการทำรัฐประหารจนทำให้นายปรีดีต้องออกนอกประเทศไปนั้น สถานการณ์ตอนนั้นก็ไม่น่าวางใจ ยังมีการติดตามจับกุมผู้เกี่ยวข้อง หากจับสามีไม่ได้ก็มาจับภรรยาไปแทน ฉันจึงไปอาศัยบ้านพักคุณทหารอยู่ที่สัตหีบชั่วคราว คุณทหารต้อนรับฉันกับลูก ๆ อย่างดี เราอยู่ที่สัตหีบเกือบสามเดือน คุณทหารเป็นผู้ก่อการ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มีบุญคุณกับครอบครัวเรามาก ตอนหลังคณะรัฐประหารจะจับคุณทหาร แต่จับไม่ได้ คุณทหารหลบไปที่เมืองปราณฯ หรืออยู่ที่ไหนสักแห่งไม่แน่ชัด

“ทีนี้มีคนมาติดต่อ บอกว่าคุณทหารเข้าป่า ฉันก็ฝากข้าวของไปให้ เขียนโน้ตใส่เศษกระดาษฝากคนไป บอกว่าถ้ามีหนทางอะไรก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ พอคุณทหารถูกจับได้ ก็พบเศษกระดาษที่มีลายมือของฉัน ดังนั้นเมื่อตำรวจถาม ฉันก็ไม่ปฏิเสธ เขาถามว่านี่ใช่มั้ยลายมือฉันไหม ฉันก็รับว่าใช่ ฉันเขียนจริง ๆ ข้อหาฉันมีข้อนี้เท่านั้นเท่าที่ดูในสำนวนฟ้อง นอกนั้นถามว่านายปรีดีอยู่ที่ไหน ฉันไม่ทราบทั้งนั้น ตอบไม่ได้”

หลังจากนายปรีดีหนีออกนอกประเทศเป็นเวลา ๓ ปีกว่าแล้ว พูนศุขก็ไม่เคยได้ทราบข่าวของสามีอีกเลย ขาดการติดต่อกันโดยสิ้นเชิง

“ฉันไม่ได้คิดกบฏกับใคร ลูกก็ไม่เกี่ยว ไม่พัวพันกันเลย แต่เขาก็จับฉันไปทำลายจิตใจ ทำลายทุกอย่างหมด อิสรภาพเรื่องเล็ก จิตใจนี่เรื่องใหญ่ ถูกขังติดลูกกรงเหล็กอยู่ ถ้าเผื่อไฟไหม้เราก็ตายในนั้น และฉันเป็นคนที่กินกาแฟยาก พอคนในบ้านเอากาแฟที่บ้านชงใส่กระติกมาให้ ก็ยังเอาเข้าไม่ได้”

พูนศุขติดคุกได้ ๑๒ วัน ตำรวจก็พาไปศาลอาญาเพื่อขออำนาจฝากขังต่อ และทุก ๑๒ วันเธอก็ต้องถูกนำมาฝากขังต่อ ด้วยข้ออ้างของตำรวจว่าพยานที่รู้เห็นการกระทำของเธออยู่ต่างประเทศ มาให้การไม่ได้

“ตำรวจพาไปศาล ผู้ต้องหาหญิงคนเดียว ไม่รู้ใช้กำลังเท่าไหร่ ไปศาลแล้วพวกหนังสือพิมพ์ก็จะมาถ่ายรูป ตำรวจพยายามจะเอาฉันหลบกล้อง พอถึงศาลแล้วก็เห็นพวกผู้ต้องหาคนอื่น ๆ นั่งเป็นแถว แต่ของฉันไปนั่งเฉพาะ มีตำรวจคุม แหม ทุเรศจริง ๆ เชียว ทำกับฉันขนาดนี้

“ตอนนั้นไม่กลัวเลยนะ หลังจากติดคุกได้ ๘๔ วัน อัยการยกฟ้องฉัน ตอนนั้นมีตำรวจคนหนึ่งเป็นสารวัตร (พ.ต.ต. เสริม พัฒนกำจร) ขณะนี้ท่านเสียชีวิตไปแล้ว แหม ดีกับฉันเหลือเกิน เวลานั้นท่านเป็นนายพันตำรวจตรี ก็คุมฉันบ้างบางเวลา ท่านก็อุตส่าห์วิ่งไปหาเพื่อนที่เป็นอัยการ ไปสืบดูว่าฉันจะถูกฟ้องหรือเปล่า อุตส่าห์ไปเหน็ดเหนื่อยกันดึกดื่น ผลสุดท้ายฉันไม่ถูกฟ้อง”

เมื่อฝากขังครบ ๘๔ วัน ตำรวจก็เสนอสำนวนสอบสวนไปกรมอัยการเพื่อให้ฟ้องพูนศุขข้อหากบฏ แต่กรมอัยการพิจารณาสมควรไม่สั่งฟ้องเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ขณะที่ปาลและพวกถูกอัยการสั่งฟ้องในข้อหา “กบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร” พูนศุขเล่านาทีที่ทราบข่าวให้ฟังว่า

“พอศาลตัดสินแล้วจะเอาลูกขึ้นรถไปเรือนจำลหุโทษ ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูก ฉันก็ขึ้นรถไปด้วย นายตำรวจคนหนึ่งก็พูดขู่ว่า นี่จะเอาไปคุกแล้วนะวันนี้ ฉันก็บอกว่าคุณไม่รู้ประวัติของฉันดี คุณนึกว่าฉันกลัวคุกเหรอ คุณปู่ของฉัน คือพระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา เป็นแม่กองสร้างคุกแห่งนี้ และเป็นผู้บัญชาการคนแรกของทัณฑสถานแห่งนี้ และคุณพ่อของฉัน พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกและคนสุดท้ายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วฉันจะกลัวคุกได้อย่างไร”

พูนศุขนั่งรถมาส่งลูกชายคนโตเดินเข้าเรือนจำด้วยความสะเทือนใจ ลูกติดคุก สามีก็หายไปไม่รู้เป็นตายร้ายดีประการใด เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวครั้งแล้วครั้งเล่า บีบคั้นทั้งร่างกายและจิตใจของเธอเกินกว่าที่จะอยู่เมืองไทยซึ่งไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยได้ น้ำหนักลดฮวบฮาบลงเหลือเพียง ๔๒ กิโลกรัม ในเดือนเมษายน ๒๔๙๖ พูนศุขจึงตัดสินใจเดินทางไปหาลูกสุดาที่เรียนอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส

ในเวลานั้น พูนศุข พนมยงค์ คงไม่ทราบว่าการเดินทางครั้งนั้นเป็นการไปใช้ชีวิตในต่างแดนยาวนานถึง ๓๔ ปี

ปรีดี-พูนศุข ช่วงชีวิตที่ลี้ภัยทางการเมืองในประเทศจีน ระหว่างปี ๒๔๙๖- ๒๕๑๒

ชีวิตในต่างแดน

“ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น น้องได้ปฏิบัติเปนภรรยาที่ดียิ่ง พร้อมด้วยความอุททิศตนเสียสละทุกอย่างเพื่อพี่ และเพื่อราษฎรไทย แม้ว่าขณะนี้น้องได้รับความลำบากเนื่องจากความอยุติธรรมของศัตรูที่ปองร้าย แต่วันใดวันหนึ่งในภายหน้า คุณความดีของน้องก็จะต้องปรากฏขึ้นแก่มวลราษฎรไทย”

จดหมายจากปรีดีถึงพูนศุข เนื่องในโอกาสครบรอบ ๔๐ ปีของการสมรส

พูนศุขและลูก ๆ พำนักที่กรุงปารีสได้ไม่นาน อยู่มาวันหนึ่งเธอก็ได้รับจดหมายจากปรีดีซึ่งขาดการติดต่อนานถึง ๔ ปี ในเนื้อความจดหมายนายปรีดีแจ้งให้ภรรยาเดินทางไปประเทศสวีเดน ติดต่อสำนักผู้แทนการทูตจีน เพื่อเดินทางเข้าประเทศจีน

เวลานั้นไม่มีใครรู้ว่านายปรีดีลี้ภัยอยู่ในประเทศจีน ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ครองอำนาจ เป็นที่หวั่นกลัวของประเทศตะวันตก การเดินทางไปประเทศจีนเป็นเรื่องอันตรายและเป็นไปได้ยาก พูนศุขทราบดีว่าเพื่อความปลอดภัย การเดินทางไปเมืองจีนจึงต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด

พูนศุขพร้อมด้วยดุษฎีและวาณีเดินทางไปยังกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เพื่อพบทูตจีนผู้ได้มอบตั๋วเครื่องบินให้สามแม่ลูกเดินทางไปกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ จากที่นั่นเป็นหนทางที่จะข้ามไปสหภาพโซเวียต พอถึงกรุงมอสโก เจ้าหน้าที่สถานทูตจีนมารอรับ แล้วออกเดินทางโดยรถไฟขบวนยาวที่สุดในโลกจากยุโรปตะวันออกสู่ทวีปเอเชียเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน

พอข้ามแดนมาถึงประเทศจีน นายปรีดีมายืนรอรับที่เมืองหม่านโจ๊วหลี่ และพาครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่กรุงปักกิ่ง นับเป็นครั้งแรกที่พ่อแม่ลูกได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์รัฐประหารในปี ๒๔๙๐

ไม่นานหลังจากนั้น ประธานเหมาเจ๋อตง ผู้นำจีน ได้มีโอกาสพบกับนายปรีดี ณ กรุงปักกิ่ง ประโยคแรกที่ประธานเหมาเอ่ยขึ้นคือ

“รู้สึกยินดีที่ได้พบกับท่านปรีดี ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย ส่วนตัวผมเอง แต่เดิมมีอาชีพเพียงเป็นครูประชาบาลชั้นประถมเท่านั้น”

ระหว่างใช้ชีวิตร่วมกันที่กรุงปักกิ่งก็ได้ทราบข่าวจากวิทยุว่า ปาลถูกศาลตัดสินจำคุก ๒๐ ปี ซึ่งต่อมาได้รับการลดโทษลงเหลือ ๑๓ ปี ๔ เดือน จนเมื่อถูกขังอยู่เกือบ ๕ ปี ในปี ๒๕๐๐ ปาลกับผู้ต้องหาคดีกบฏสันติภาพก็ได้รับการพระราชทานนิรโทษกรรม เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองกึ่งพุทธกาล

ต่อมาเมื่อนายปรีดีอายุมากขึ้น ประกอบกับปัญหาสุขภาพไม่สามารถทนความหนาวจัดในกรุงปักกิ่งที่อุณหภูมิติดลบ ๑๕ องศาได้นาน ๆ ตลอดช่วงฤดูหนาว จึงได้ทำเรื่องถึงทางการจีน และได้รับอนุญาตให้ย้ายบ้านพักมาอยู่ในเมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้งทางภาคใต้ที่มีสภาพภูมิอากาศอบอุ่นกว่า

ในช่วงเวลานั้น ลูก ๆ ของพูนศุข-ปรีดีต่างก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญากันทุกคน ปาลจบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สุดาจบปริญญาโทอักษรศาสตร์ที่ฝรั่งเศส ขณะที่ศุขปรีดาจบทางด้านภาษาที่กวางโจว ดุษฎีจบทางด้านดนตรีและวาณีจบปริญญาโทอักษรศาสตร์ที่กรุงปักกิ่ง ส่วนลลิตาลูกสาวคนโตมีปัญหาด้านสมองไม่พัฒนาตั้งแต่เด็ก

จนถึงปี ๒๕๑๓ นายปรีดีจึงขออนุญาตรัฐบาลจีนย้ายครอบครัวมาอยู่ในเมืองอองโตนี ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพราะรู้สึกเกรงใจทางจีนที่ให้การดูแลอย่างดีเยี่ยมมานานแล้ว ประกอบกับการติดต่อกับประเทศไทยลำบากมาก เพราะจีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เต็มรูปแบบ แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายจากเมืองไทยจะมาเยี่ยมก็ถูกทางการเพ่งเล็งอยู่ตลอด การฟังข่าวสารจากหนังสือพิมพ์หรือวิทยุก็ไม่สะดวก และถึงเวลาที่จะต้องเลือกดำเนินชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว ถ้าอยู่ในกรุงปารีสจะสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้สะดวกกว่า พูนศุขเคยกล่าวว่า

“ฉันไม่ลืมบุญคุณรัฐบาลจีนและราษฎรจีน ฉันเป็นคนไม่ลืมบุญคุณคน ตอนที่ทางจีนเกิดอุทกภัยเมื่อหลายปีมาแล้ว ฉันก็ส่งเงินตามมีตามเกิดไปช่วยเหลือ เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ส่งไปอีก”

สนทนากับคนรุ่นใหม่ในสวนบ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส

กรุงปารีสเป็นเมืองที่นายปรีดีคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ ๔๐ กว่าปีก่อน เขาเคยมาศึกษาระดับปริญญาเอกเป็นเวลานานถึง ๘ ปี เป็นสถานที่ที่บรรดาผู้ก่อการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ เคยมาปรึกษาหารือกันเป็นประจำ เมื่อนายปรีดีอพยพครอบครัวมาอยู่ที่นี่อีกครั้งหนึ่ง เขาก็ได้มีโอกาสพบปะสนทนากับญาติสนิทมิตรสหาย ลูกศิษย์ลูกหา นักศึกษาที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอ และใช้เวลาเขียนสำนวนคดีฟ้องหมิ่นประมาทผู้ที่กล่าวหาว่าท่านพัวพันในกรณีสวรรคต ซึ่งทุกคดีที่ปรีดีเป็นโจทก์ฟ้อง ศาลตัดสินให้ชนะคดีทั้งหมด

“แต่การย้ายมาอยู่ที่ฝรั่งเศส ครอบครัวพนมยงค์ต้องประหยัดมัธยัสถ์อย่างมาก เพราะอาศัยเพียงรายได้จากบำนาญของปรีดี และค่าเช่าบ้านที่กรุงเทพฯ ซึ่งไม่มาก ดุษฎี ลูกสาวของท่านเคยเขียนไว้ว่า

“ชีวิตของคุณพ่อดำรงอยู่ด้วยเงินบำนาญเพียงเดือนละ ๔ พันกว่าบาท ทำให้ลูก ๆ ทุกคนต้องทำงานเพราะเงินเพียงเท่านี้อยู่ไม่ได้แน่ เราต้องทำงานทุกอย่าง สมาชิกในครอบครัวของเราทำกระทั่งไปทำงานในร้านอาหาร และรับจ้างทำความสะอาดตามบ้าน ทำอาหารขาย ฯลฯ”

จนถึงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ อันเป็นวันครบรอบ ๕๐ ปีแห่งการสมรสของพูนศุข-ปรีดี ซึ่งเรียกว่า “การสมรสทองคำ” ทั้งคู่ได้ฉลองสมรสโดยการบำเพ็ญกุศลสาธารณสงเคราะห์โดยส่งผ่านสภากาชาดไทยที่นายปรีดีเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในเวลานั้นเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท

พูนศุข-ปรีดี ถ่ายเมื่อปรีดีอายุครบ ๘๐ ปี วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๓ ณ บ้านพักอองโตนี

วาระสุดท้าย

“เราได้อยู่ด้วยความเข้าใจและเห็นใจซึ่งกันและกัน แม้ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองทำให้เราต้องแยกกันอยู่บางขณะ แต่ในที่สุด เราก็ได้มาอยู่ร่วมกันในบั้นปลายของชีวิต จนเธอได้จากไปตามกฎธรรมชาติ เธอเป็นคู่ชีวิตและมิตรที่ซื่อสัตย์ไม่ว่าเราจะอยู่ใกล้หรือไกลกัน เธอเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยไม่หยุดยั้ง เป็นตัวอย่างในความเป็นอยู่สมถะ เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ บำเพ็ญชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รับใช้ประเทศชาติด้วยความเสียสละและมีความกตัญญูต่อผู้มีคุณ ถึงคราวมีเคราะห์กรรมก็ไม่หวั่นไหว”

เดือนกันยายน ๒๕๒๔ พูนศุข-ปรีดีก็ต้องประสบความสะเทือนใจครั้งใหญ่ เมื่อปาลบุตรชายได้จากไปด้วยโรคมะเร็งในวัย ๕๐ ปี พูนศุขเผยความในใจว่า

“ปาลเป็นลูกชายคนโตของพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่หวังจะฝากผีฝากไข้ลูกในบั้นปลายชีวิต แต่ลูกก็ได้ด่วนจากพ่อแม่ไปก่อนตามกฎแห่งธรรมชาติ ซึ่งไม่มีอำนาจหรือสิ่งใดที่จะเหนี่ยวรั้งได้”

ก่อนจะส่งร่างของลูกสู่ตึกกายวิภาค คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถานที่บริจาคร่างกายของปาล แม่พูนศุขได้จูบลาลูกเป็นครั้งสุดท้ายและบอกลูกว่า

“ชาตินี้ลูกมีกรรมเกิดมาอาภัพและลำบาก ถ้าชาติหน้ามีขอให้ลูกมีชีวิตที่สบายกว่านี้”

บรรจุศพ ปรีดี พนมยงค์ ณ สุสาน Pere Lachaise กรุงปารีส ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๖

สองปีต่อมา ปรีดีคู่ชีวิตก็ได้ละสังขารอย่างสงบในบ้านอองโตนี ด้วยวัย ๘๓ ปี พูนศุขเล่าให้ฟังถึงช่วงเวลานั้นว่า

“อยู่ดี ๆ ก็นั่งเขียนหนังสือนั่นแหละ เขียนเสร็จแล้ว จะให้ลูกคนหนึ่งตรวจทาน ก็ให้ฉันออกไปตาม แต่ลูกไม่อยู่ออกไปทำงานก่อน ฉันก็กลับเข้ามา เห็นนายปรีดีถอดแว่น พูดอะไรสองสามคำ ฉันก็จำไม่ได้ แล้วเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้คอพับแล้วนิ่งไป ฉันก็รีบไปหยิบยาฉุกเฉินที่หมอเขาให้ไว้ แล้วก็รีบโทรศัพท์ ลูกอีกคนก็เช่าบ้านอยู่ข้าง ๆ เพราะบ้านเราเล็ก เขามีครอบครัว ให้คนไปตาม เผอิญมีหลานเรียนแพทย์จุฬาปี ๔ มาพักอยู่ที่บ้าน ก็ให้เขามาช่วยผายปอด แล้วก็โทรศัพท์เรียกแพทย์ฉุกเฉิน หมอสั่งไว้ให้เรียกรถแอมบูแลนซ์ก่อน เพราะว่าแอมบูแลนซ์ของเขามีเครื่องเคราครบ เขาก็มาปั๊มหัวใจ แต่ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว นายปรีดีไม่ได้ทรมานเลย สิ้นใจอย่างสงบ หมอประจำตัวมาทีหลังบอกว่าตายอย่างงดงาม...ร่างนอนอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ใส่หีบตั้งห้าวัน มีคนไทยจากที่ต่าง ๆ ในฝรั่งเศสและยุโรปมาเยี่ยมเคารพ ท่านเสียวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ถึงได้ลงหีบ นอนอยู่บนเตียงนอนเฉย ๆ นี่ เหมือนคนนอนหลับ เล็บ แก้ม ไม่ได้ซีดเลย ผม หนวด เล็บ ยังงอกยาวออกมาเหมือนยังมีชีวิตอยู่ เจ้าหน้าที่บอกไม่ให้เราถูกตัว แล้วมียาอะไรไม่รู้วางไว้ ทำสะอาด พอดีเดือนพฤษภาคมอากาศเย็น ความจริงถ้าเป็นโรคอื่นไม่ได้นะ เมืองฝรั่งไม่ให้ตั้งศพอยู่ที่บ้าน

“ท่านทูตมาส่วนตัว เพราะว่ารัฐบาลในขณะนั้นไม่มีความเห็น ท่านไม่พูดก็เลยไม่ทำอะไร มีเพื่อนลูกอยู่ต่างประเทศโทรศัพท์ถามว่ารัฐบาลสั่งทำมั้ย ไม่มีเลย รัฐบาลไม่สั่งอะไรเลย รัฐบาลใบ้ เห็นใจทูตนะ เราเลยขอความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว พอดีท่านปัญญาฯ กำลังอยู่ที่อังกฤษ ท่านรู้ข่าว ท่านก็โทรศัพท์มาแสดงความเสียใจ เราจึงนิมนต์ท่านมาเป็นประธานประชุมเพลิง ยังมีพระจากเมืองอังกฤษอีกสามรูปมาสวดให้ เอาผ้าไตรมาช่วย เดินทางมาเอง แล้วมีพระในฝรั่งเศสอีก ท่านปัญญาฯ เป็นประธาน ท่านก็กล่าวสดุดี มีคนไทยในฝรั่งเศสและในยุโรปไปเผากันเยอะ นักบินและเจ้าหน้าที่การบินไทยที่เผอิญไปปารีสขณะนั้น อุตส่าห์ไปเผากันหมด คนรู้จัก ไม่รู้จักนะ อุตส่าห์ไปกัน ก็เผากันเดี๋ยวนั้น เก็บกระดูกเดี๋ยวนั้น ละเอียดเชียว สั่งไว้นี่ บอกให้เป็นขี้เถ้า ไม่มีชิ้นเลย แล้วยังมีอดีตทูตฝรั่งเศสในเมืองไทย นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็ส่งพวงหรีดมาแสดงความเสียใจ”

เมื่อจัดการศพของสามีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พูนศุขจึงตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทยเป็นการถาวรในปี ๒๕๓๐ ใช้ชีวิตอย่างสงบในบ้านพักย่านถนนสวนพลู และช่วยงานสังคมเป็นระยะโดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับนายปรีดี พนมยงค์ อาทิการจัดงานเฉลิมฉลอง ๑๐๐ ปีชาตกาล รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ในปี ๒๕๔๓ พูนศุขเคยเล่าถึงชีวิตประจำวันให้ฟังว่า

“ตี ๓ ตี ๔ ก็ตื่นแล้ว เปิดวิทยุฟังข่าวบ้างหรือดูรายการโทรทัศน์บ้าง ยังไม่ถึง ๖ โมงก็ลงมาข้างล่างเตรียมอาหารเช้าสำหรับตัวเอง อ่านหนังสือพิมพ์รายวัน ฟังวิทยุ อ่านหนังสือธรรมะบ้าง แล้วเดินเล่นในบริเวณบ้าน พอตอนสาย ๆ มีญาติมิตรมาเยี่ยมเสมอ บางวันอาจมีงานเกี่ยวกับนายปรีดีที่ต้องไปร่วม หรือถ้าเป็นวันศุกร์มีตลาดนัดที่จุฬาฯ ก็จะไปจ่ายตลาดซื้อของกิน หลังอาหารกลางวันเป็นเวลาพักผ่อนก็จะไม่รับแขกจนถึงเวลาบ่าย ๔ โมง ถ้าวันไหนมีงานศพของผู้ที่รู้จักคุ้นเคยก็จะไปลาและอโหสิกรรมกันเป็นครั้งสุดท้าย เย็น ๆ เดินเล่นอีกรอบหนึ่ง ก็ถึงเวลาอาหารค่ำ รับประทานอาหารเบา ๆ หรืออาหารที่เหลือตั้งแต่กลางวันประเภทน้ำพริกมะม่วงกับปลาสลิด สลับกับสลัด ดูข่าวภาคค่ำเสร็จแล้ว ประมาณ ๓ ทุ่มก็สวดมนต์เข้านอน”

ในวัย ๙๐ ปี พูนศุขผู้มีความทรงจำแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ ได้เขียนบันทึกไว้ว่า “ข้าพเจ้าทบทวนเหตุการณ์หนหลังด้วยใจอันสงบ มิได้โกรธแค้นหรือคิดอาฆาตมาดร้ายต่อผู้ใด ขณะเดียวกัน รำลึกถึงทุกท่านที่เสี่ยงภยันตรายช่วยเหลือนายปรีดีให้พ้นภัยในครั้งกระนั้นด้วยความขอบคุณ”

วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ พูนศุข พนมยงค์ มีอาการทางโรคหัวใจทรุดหนักลง กระทั่งถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบเมื่อเวลา ๐๒.๐๐ น. (ย่ำรุ่งของวันที่ ๑๒) ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริอายุ ๙๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน

ชีวิตของพูนศุขได้อาศัยหลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ในการฝ่าฟันมรสุมชีวิตมาโดยตลอด

หลักธรรมที่ว่านี้คือ

“ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

พิธีไว้อาลัย พูนศุข พนมยงค์ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์

บรรณานุกรม :
๑๐๑ ปีปรีดี - ๙๐ ปีพูนศุข. กรุงเทพฯ : ลลิตา สุดา ศุขปรีดา ดุษฎี วาณี, ๒๕๔๕.
๗ รอบ พูนศุข พนมยงค์. กรุงเทพฯ : ลลิตา สุดา ศุขปรีดา ดุษฎี วาณี, ๒๕๓๙.
นรุตม์. หลากบทชีวิต ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๓๗.

ขอขอบคุณ :
ครอบครัวปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ดร. ปรีชา สุวรรณทัต ดร. จริย์วัฒน์ สันตะบุตร

 

 

 

พูนศุข พนมยงค์ สตรีผู้ไม่ขอรับเกียรติใด ๆ ทั้งสิ้น

 

 

 

 

 

***************************************************

 

 

 

 

[ภาพ: 37nWFx.jpg]

คำสั่ง10พค.

ศาลนัดฟังคำสั่งประกันตัว"ก่อแก้ว"พรุ่งนี้ เจ้าตัวเบิกความ ลั่นไม่ยอมขอโทษศาลรธน. ซ้ำรอย"เจ๋ง ดอกจิก" เหตุขัดกับจุดยืนทางการเมือง หวั่นมีผลต่อคดีถูกศาลรธน.ฟ้อง อ้างถูกขังทำเสียโอกาสทำหน้าที่ส.ส.ช่วยเหลือสังคมและเสียโอกาสทำหน้าที่พ่อ

วันที่ 9 พ.ค.2556 ศาลไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราว นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ(นปช.) ซึ่งเป็นจำเลยที่ 5 คดีร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งนายก่อแก้ว จำเลย ได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา ขอไต่สวนเพื่อปล่อยชั่วคราว ภายหลังจากวันที่ 2 พ.ค. ศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายก่อแก้ว เนื่องจากเห็นว่ายังไม่มีหลักฐานหนักแน่นว่า หากปล่อยตัวแล้วนายก่อแก้วจะไม่กระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวอีก

โดยวันนี้ นายก่อแก้ว ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำเพื่อไต่สวน ซึ่งนายก่อแก้ว เบิกความสรุปว่า ที่ผ่านมาศาลเห็นว่า ตนไม่ได้สำนึกในการกระทำผิด แต่จริงๆแล้ว ตนให้ความเคารพในดุลยพินิจของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งเพิกถอนประกัน ดังจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาได้ใช้สิทธิ์ยื่นคำร้องปล่อยชั่วคราวเป็นการยื่นแสดงเหตุผล​ ไม่มีเจตนาโต้แย้งดุลยพินิจของศาล และตั้งแต่วันที่ 22ธ.ค.55 -29 เม.ย.56 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับเอกสิทธิ์การเป็นส.ส. ตนได้ตระหนักถือคำสั่งศาลที่เพิกถอนการประกันตนเพียงคนเดียว ทั้งตนยังได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ให้กับจำเลยคนอื่นๆด้วย

แต่ทั้งนี้ตนไม่สามารถที่จะกล่าวคำขอโทษต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งความดำเนินคดีตนไว้ หากตนกล่าวขอโทษ เช่นเดียวกับนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอก จิก จำเลยที่ 7 ก็จะเป็นเครื่องผูกมัดว่าตนได้กระทำผิดจริง ที่ผ่านมาตนได้แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หากตนขอโทษ จะไม่สามารถมองหน้าเพื่อนสมาชิกได้ และขัดต่อจุดยืนทางการเมือง

นายก่อแก้ว เบิกความด้วยว่า ตนได้ช่วยเหลือสังคมมาโดยตลอด เป็นพ่อของลูกเล็กๆ การกักขังไว้เป็นการเสียโอกาสในการช่วยเหลือสังคม ทำหน้าที่ของ ส.ส. และทำหน้าที่พ่อได้ อีกทั้งเป็นภาระของกรมราชทัณฑ์

นายก่อแก้ว พร้อมยืนยันด้วยว่า จะปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลทุกประการ หากการเคลื่อนไหวของนปช. ขัดต่อเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวตนจะหลีกเลี่ยง จึงขอให้ศาลเมตตาปล่อยชั่วคราวด้วย

ภายหลังไต่สวน นายก่อแก้วแล้ว ศาลจึงนัดฟังคำสั่งว่าจะอนุญาตให้นายก่อแก้วปล่อยชั่วคราวหรือไม่ วันที่ 10 พ.ค. นี้ เวลา 09.00 น.

 

เมื่อ วันที่ 10 พฤษภาคม ศาลอาญา มีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราว นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. จำเลยที่ 5 ในคดีร่วมกันก่อการร้าย หลังถูกเพิกถอน เนื่องจากมีพฤติการณ์ข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นการผิดเงื่อนไขปล่อยชั่วคราว ซึ่งเมื่อวานนี้ศาลได้ไต่สวนคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง


โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายก่อแก้ว ได้เบิกความระบุว่ารู้สำนึกในการกระทำผิดต่อเงื่อนไขของศาล และ ขณะที่ถูกปล่อยชั่วคราวในสมัยเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฏร ก็ไม่เคยกระทำการใด ๆ ที่ส่งผลให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย แต่ที่ไม่สามารถขอโทษศาลรัฐธรรมนูญได้ เนื่องจากถูกศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาท และอาจจะส่งผลต่อรูปคดี ศาลเห็นว่าเหตุผลของจำเลยนั้นสามารถรับฟังได้ ประกอบกับจำเลยที่ 5 มีท่าทีที่นุ่มนวลอ่อนลง และได้ถูกคุมขังเป็นเวลา 37 วันแล้ว ซึ่งเป็นเวลานานพอสมควร จึงมีเหตุให้ปล่อยชั่วคราวอีกครั้ง และตีราคาหลักประกัน 6 แสนบาท

 

 

..เข้มแข็ง ยืนอยู่บนหลักการ -อุดมการณ์ สง่าผ่าเผย และมีศักดิ์ศรี ..
....ยืนยันใช้ความจริง ความถูกต้องตามครรลองเข้าต่อสู้ อ้างเป็นเหตุ เป็นผล
...ไม่ก้มหัว หมอบราบ กราบกรานให้กับสิ่งที่จิตใจไม่ยอมรับ เพราะคิดเชื่อว่าไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม.....แม้เพื่อขอให้ได้รับความเมตา กรุณาปราณีให้ตนเอง..
...คือแบบฉบับของลูกผู้ชายที่ชื่อก่อแก้ว พิกุลทอง

 

 

**********************************************************

 

guest

Post : 2013-05-08 20:50:39.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สงครามเเฮกเกอร์

 

 

                  ผู้พ่าย...

 

 

                

 

 

 

....ปล่อยให้ฉ้น อยู่ตรงนี้ ที่ฉันเจ็บ

 

เเผลอักเสบ เเก่นกลางใจ ใช่จะหาย

 

อาจต้องใช้ เวลา ถ้าไม่ตาย

 

รู้ว่าพ่าย เเพ้ยับ กับรักลวง

 

 

 

....สิ่งที่ทุ่ม เทให้ ไปไหนหมด?

 

คนใจคด เผื่อเลือกรัก ปักให้หวง

 

เกมส์นี้เธอ ชนะ จะไม่ทวง

 

ให้มันร่วง ไหลรินหมด หยดน้ำตา......

 

 

 

**************************************

 

 

แฉสงครามแฮกเกอร์ไทย ต้นเหตุป่วนเว็บทำเนียบ

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม 2556 เวลา 18:08 น.(เดลินิวส์)
 

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ( ปอท.) กล่าวถึงความคืบหน้า ในการตามล่า แฮกเกอร์มือฉมัง ที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลในเว็บไซต์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.) ก่อนโพสต์ข้อความหยาบคายโจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า ทางตัวแทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำเอกสารหลักฐานเข้ามาแจ้งดำเนินคดีที่ ปอท.แล้ว ซึ่งหลังรับแจ้งได้ร่วมกับ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ในการตรวจสอบหาหลักฐาน ร่องรอยของการแฮกเว็บไซ์ดังกล่าว ขณะนี้รู้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว เบื้องต้นมีเพียง 1 ราย อยู่ระหว่างการติดตามตัวมาสอบสวนอยู่ โดยแฮกเกอร์รายนี้ มีความสามารถในการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ อยู่ในระดับสูง ติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศไทย แถมเคยเข้าแฮกตามเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการและเอกชนมาแล้วมากมาย อาทิ กระทรวงวัฒนธรรม สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นต้น

 

“นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากกำชับว่า หากสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ให้สืบสวนด้วยว่า เป็นบุคคลเดียวกันกับที่เคยโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทจนเกิดความเสียหายก่อนหน้านี้หรือไม่ ทั้งนี้หากพบว่าผิดจริงจะถูกแจ้งข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 16 มีอัตราโทษจำคุก ไม่เกิน 5 ปี และปรับ ไม่เกิน 1 แสนบาท หรือ ทั้งจำ ทั้งปรับ”

 

ต่อมา พล.ต.ต.พิสิษฐ์ ได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า ขณะนี้ทาง บก.ปอท. มีหลักฐานแล้วว่าเซิร์ฟเวอร์ที่ทำการเจาะระบบข้อมูลนั้นมาจากประเทศเยอรมัน ซึ่งกำลังประสานขอข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเยอรมันอยู่ ขณะเดียวกันยังได้รับการติดต่อจากหัวหน้ากลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ ยูเอชที ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุ จะเดินทางมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน บก.ปอท. เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ในวันที่ 10 พ.ค. เวลา 10.00 น.โดยคาดว่าอาจจะเป็นคนเดียวกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี อ้างถึงเป็นชาวนครศรีธรรมราช เรียนจบมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่ง อายุ 29 ปี

 

รายงานข่าวระบุว่า การแฮกเว็บไซต์ของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เกิดจากสงครามแฮกเกอร์ 2 กลุ่ม ระหว่าง ยูเอชที กับสเต็ปแฮก ก่อนหน้านี้เคยเป็นกลุ่มเดียวกันและเกิดแตกแยก จนกระทั่งมีการแฮกเว็บไซต์ดังกล่าวและต่างฝ่ายต่างอ้างว่า อีกฝ่ายแฮกและพยายามโยนความผิดให้อีกฝ่าย ทั้งนี้กลุ่มยูเอชทีให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ตัวเอง

 

ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยถึงความคืบหน้าติดตามผู้ต้องหาที่แฮกเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ในขณะนี้ได้เบาะแสของผู้กระทำความผิดแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เนื่องจากอาจส่งผลต่อรูปคดี จึงขอเวลารวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจน โดยจะเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด เนื่องจากการกระทำดังกล่าวอุกอาจมาก และเป็นคดีอาญาการจับกุมต้องมีความรอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบต้องสิทธิผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหา



น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับวิธีการที่แฮกเกอร์ใช้ในการแฮกเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น หลังจากได้รวบรวมพยานหลักฐานทางดิจิทัล เบื้องต้นแฮกเกอร์ได้ใช้วิธีการทำ SQL Injection ที่เป็นรูปแบบของการลักลอบเข้าไปเจาะเข้าฐานข้อมูลระบบและเปลี่ยนชุดคำสั่ง เพื่อแสดงตัวเป็นเจ้าของเว็บไซต์ แล้วเมื่อดึงฐานข้อมูลจึงเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น.

 

 

                                                                         แฮกเกอร์

 

 

 

ความจำเป็นขององค์กรที่จะต้องมีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และใช้งานข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เครือข่ายขององค์กรจึงเชื่อมโยงทรัพยากร ทั้งระบบคอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูล และอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานอีกหลายอย่างเข้าในระบบ เช่น เครื่องพิมพ์

 

 

 เครือข่ายขององค์กรมีลักษณะเป็นเครือข่ายที่ใช้เฉพาะ มีการกำหนดการใช้งานในองค์กรเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลข่าวสาร เช่นเครือข่ายของธนาคาร ก็ใช้เฉพาะเจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในกรอบที่กำหนดไว้

 

 ปัจจุบันมีการเชื่อมโยงเครือข่ายขององค์กรเข้าสู่เครือข่ายสาธารณะอื่น ๆ เช่น เครือข่าย อินเทอร์เน็ต การเปิดประตูบ้านออกสู่ถนนสาธารณะย่อมเสี่ยงต่อผู้แปลกปลอมที่จะลักลอบเข้ามาในระบบ

 

 ดังนั้น ระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญภายในเครือข่าย ถ้ามีการเปิดประตูให้บุคคลภายนอกเข้าได้ หรือเปิดช่องทางไว้ ย่อมเสี่ยงต่อการรักษาความปลอดภัย เช่น นำเครือข่ายขององค์กรเชื่อมกับอินเทอร์เน็ต หรือมีช่องทางให้ใช้ติดต่อผ่านทางโมเด็มได้

 

 ถึงแม้ว่าบางระบบอาจจะวางมาตรการรักษาความปลอดภัยไว้อย่างดีแล้ว มีผู้ดูแลระบบที่เรียกว่า System Admin ระบบดังกล่าวก็ยังไม่วายที่จะมีผู้ก่อกวนที่เรียกว่า แฮกเกอร์ (Hacker)
 

 

 แฮกเกอร์ คือ ผู้ที่พยายามหาวิธีการ หรือหาช่องโหว่ของระบบ เพื่อแอบลักลอบเข้าสู่ระบบ เพื่อล้วงความลับ หรือแอบดูข้อมูลข่าวสาร บางครั้งมีการทำลายข้อมูลข่าวสาร หรือทำความเสียหายให้กับองค์กร เช่น การลบรายชื่อลูกหนี้การค้า การลบรายชื่อผู้ใช้งานในระบบ

 

 ยิ่งในปัจจุบันระบบเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ปัญหาในเรื่องอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะในเรื่องแฮกเกอร์ก็มีให้เห็นมากขึ้น ผู้ที่แอบลักลอบเข้าสู่ระบบจึงมาได้จากทั่วโลก และบางครั้งก็ยากที่จะดำเนินการใด ๆ ได้

 

 ลักษณะของการก่อกวนในระบบที่พบเห็นมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีวิธีการแตกต่างกัน เทคนิควิธีการที่ใช้ก็แตกต่างกันออกไป
 

 

 การทิ้งระเบิดจดหมาย หรือ เมล์บอม เป็นการปลอมแปลงจดหมายจากที่หนึ่ง แล้วส่งไปยังปลายทางที่เครื่องเป้าหมาย การส่งจดหมายจะส่งมาเป็นจำนวนหลายพันหลายหมื่นฉบับ เพื่อให้เครื่องที่รับจดหมายรับไม่ไหวและหยุดการทำงาน บางครั้งผู้ก่อกวนสร้างระบบจดหมายวนลูป เช่น ให้ส่งจากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่อง แล้วเครื่องที่รับส่งต่อ ๆ กัน จนในที่สุดกลับมาเครื่องเดิม ทำงานไม่รู้จบ สร้างปัญหาให้กับระบบสื่อสาร

 

 แฮกเกอร์จะอาศัยช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ (โอเอส) ปัจจุบันเกือบทุกโอเอสมีช่องโหว่ และช่องไหว่เหล่านี้ได้รับการบอกกล่าวกันในกลุ่มแฮกเกอร์ เมื่อเข้าในระบบได้ ก็อาจมีการนำโปรแกรมบางส่วนมาใช้งานเพื่อเจาะระบบเข้าสู่ส่วนที่สำคัญ ช่องโหว่เหล่านี้บางครั้งปรากฎให้เห็นเด่นชัด แม้ขณะใช้เอดิเตอร์ของระบบปฏิบัติการก็สามารถขัดจังหวะเข้าสู่ระบบปฏิบัติการในฐานะผู้ดูแลระบบได้

 

 บางครั้งเมื่อแฮกเกอร์เข้าสู่ระบบแล้วจะลบล่องรอยของตนเองออก เพื่อไม่ให้ผู้ดูแลระบบพบหลักฐานใด การติดตามแฮกเกอร์จึงทำได้ยาก บางระบบอาจไม่รู้เลยว่าเคยมีผู้แปลกปลอมเข้ามาแล้ว

 

 บางครั้งจะพบว่า แฮกเกอร์ได้วาง ม้าโทรจันเอาไว้ ม้าโทรจันคือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือสิ่งที่แฮกเกอร์นำมาแอบซ่อนไว้ในระบบเพื่อเป็นตัวคอยเปิดช่องทางให้เข้ามาใหม่ในวันหลัง หรือเป็นตัวเก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างเอาไว้ เพื่อว่าจะได้นำมาใช้ประโยชน์ในภายหลัง

 

 โดยทั่วไป ผู้ดูแลระบบจะมีการเก็บประวัติการใช้งาน เก็บข้อมูลสภาพการทำงานต่าง ๆ เพื่อใช้ในการตรวจสอบ หรือดูแลสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ แฮกเกอร์ที่ชาญฉลาดและมีความรอบรู้ในเรื่องระบบ จะหาวิธีการลบล่องรอยประวัติเหล่านี้ออก เพื่อว่าจะได้ไม่หลงเหลือล่องรอยเอาไว้

 

 การป้องกันระบบจึงต้องมีการพัฒนาขึ้น ผู้ดูแลระบบหลายคน มีการวางกับดัก มีการเก็บประวัติการใช้งานระบบไว้ต่างเครื่อง เพื่อใช้ในการติดตาม หรือเฝ้าระวัง มีการสร้างโปรแกรมป้องกันต่าง ๆ เอาไว้ แต่ที่แน่นอนก็ยังมีแฮกเกอร์บางคนฝ่าด่านต่าง ๆ เหล่านี้ได้

 

 พัฒนาการระบบป้องกันการลักลอบเข้าสู่ระบบจึงได้รับการออกแบบ อุปกรณ์ที่ใช้มีชื่อว่า ไฟร์วอล (firewall) ลักษณะของไฟล์วอลเป็นเสมือนยามเฝ้าหน้าประตูที่จะเข้าสู่ระบบ ทำการตรวจค้นทุกคนที่เข้าสู่ระบบ มีการตรวจบัตรอนุญาต จดบันทึกข้อมูลการเข้าออก ติดตามพฤติกรรมการใช้งานในระบบ รวมทั้งสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะอนุญาตให้ใช้ระบบในระดับต่าง ๆ ได้

 

 เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีข้อมูลข่าวสารที่สำคัญจึงมักต้องมีอุปกรณ์ไฟร์วอล อุปกรณ์ ไฟร์วอลเป็นอุปกรณ์ที่ยังมีราคาแพง แต่มีแนวโน้มที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีไว้ในเครือข่าย เสมือนมียามผู้แข็งขันทำหน้าที่ตรวจสอบ รวมทั้งตรวจค้นผู้ผ่านเข้าออกระบบ

 

 ด้วยปัญหาของแฮกเกอร์ หรือปัญหาของโจรผู้ร้ายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้องค์กรต้องลงทุนเพิ่มเติม ต้องพบกับความยุ่งยากและทำให้การทำงานของระบบช้าลง เพราะต้องเสียเวลาตรวจสอบการผ่านเข้าออก

 

สังคมคอมพิวเตอร์ก็ไม่แตกต่างอะไรกับสังคมเมืองในปัจจุบัน ถ้าทุกคนมีคุณธรรม ประพฤติปฏิบัติดี บ้านเรือนก็ไม่ต้องมีรั้ว ไม่ต้องมีตำรวจ สภาพความเป็นอยู่ก็คงสันติสุขดี

 

 เขียนโดย : รศ. ยืน ภู่วรวรรณ

 

 

 

 

************************************************* 

 

 

ผู้ชายพายเรือแล้วเหตุใดผู้หญิงต้องยิงเรือ

 

ศุภกร เลิศอมรมีสุข

 

 

 

หลายๆ คนคงเคยได้ยินสำนวน “ผู้ชายพายเรือ” และ “ผู้หญิงยิงเรือ” ซึ่งในปัจจุบันหมายความว่า “ผู้ชายทั่วไป” และ “ผู้หญิงทั่วไป” ปัจจุบันนี้เราพูดสำนวนทั้งสองนี้แยกกันแต่ทราบหรือไม่ว่าในอดีตสองสำนวนนี้เป็นสำนวนเดียวกันคือ “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงยิงเรือ” หรือ “ผู้ชายรายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” หลายๆ คนคงมีความสงสัยเหมือนผู้เขียนว่าเหตุใดในเมื่อผู้ชายพายเรือแล้วผู้หญิงต้องมายิงเรือ

 

จากการเรียนวิชาสัมนาภาษาไทยปัจจุบันของผู้เขียนทำให้ผู้เขียนได้คำตอบของที่มาของสำนวนดังกล่าวโดยอาจารย์ของผู้เขียนได้ให้อ่านบทความเรื่อง “ผู้ชายพายเรือ-ผู้หญิงยิงเรือ” ซึ่งเขียนโดยอาจารย์มัณฑนา เกียรติพงษ์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งท่านได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับที่มาของสำนวนนี้ไว้อย่างน่าสนใจ จึงขอสรุปความของบทความดังกล่าวมาเผยแพร่ให้ทุกๆ คนได้อ่านไว้เป็นความรู้

 

สำนวนนี้พบครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์โดยปรากฏในวรรณคดีเรื่องต่างๆ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดังนี้

 

รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

“เหวายมนุษย์องอาจประหลาดเหลือ พาผู้หญิงริงเรือมาแต่ไหน

ทำฮึกฮักข่มเหงไม่เกรงใจ เข้าหักโค้นต้นไม้ในอุทยาน”

 

ไชยเชษฐ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

“เอออะไรไม่พอที่พอทาง มึงช่างชั่วชาติประหลาดเหลือ

ไม่รู้เท่าผู้หญิงริงเรือ ซานซมงมเชื่อนางเมียงาม”

 

พระอภัยมณี ของสุนทรภู่

“เห็นผู้หญิงริงเรือที่เนื้อเหลือง อย่ายักเยื้องเกี้ยวพานะหลานขวัญ

ล้วนนางในไม่ชั่วตัวสำคัญ จะเสียสันเสียเปล่าไม่เข้าการ”

 

กลอนเสภาขุนช้างขุนแผน

“ฝ่ายข้างพวกผู้หญิงริงเรือ บ่นว่าเบื่อรบพุ่งยุ่งหนักหนา

ให้เสียวไส้ไม่ดูได้เต็มตา เวทนาแต่เจ้าพลายชุมพล”

ฯลฯ

 

ผู้ชายพายเรืออยู่เต็มไป จะดูเล่นหรือไรไฉนนี่

ช่างกระไรรั้ววังดังไม่มี อีพวกนนี้น่าเฆี่ยนให้เจียนตาย”

จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่าในอดีตเราไม่พูดว่า “ผู้

หญิงยิงเรือ” แต่เราพูด “ผู้หญิงริงเรือ” ดังนั้นจึงทำให้สรุปว่า สำนวนผู้หญิงยิงเรือนั้นไม่ได้หมายความถึงผู้หญิงคอยดักยิงเรือของผู้ชายเป็นแน่นอนแต่เป็นเรื่องของการเพี้ยนเสียงคำว่า “ริง” มาเป็น “ยิง” ในปัจจุบัน แล้วถ้าเป็นเรื่องของการเพี้ยนเสียงดังนี้แล้ว “ผู้หญิงริงเรือ” จะหมายความว่าอย่างไร

 

เรามีสำนวนไทยที่เกี่ยวกับ “เรือ” อยู่อีกสำนวนหนึ่งคือ “ลงเรือลำเดียวกัน” และสำนวนที่เกี่ยวกับการเดินทางทางเรือคือ “ล่มหัวจมท้าย” (โปรดสังเกตว่าสำนวนนี้ปัจจุบันเราก็เพี้ยนเป็น “ร่วมหัวจมท้าย” เสียแล้ว-ผู้เขียน) ซึ่งใช้เปรียบเทียบหรือสั่งสอนว่าเมื่อแต่งงานกันก็เปรียบเสมือน ลงเรือลำเดียวกันจะสุขหรือทุกข์ก็ร่วมกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งทำไม่ดีก็จพาอีกคนล่มจมตามไป เหมือนหัวเรือล่มไปแล้วท้ายเรือก็ต้องจมตามหัวเรือไปเป็นธรรมดา

 

ในเมื่อชายหญิงลงเรือลำเดียวกันแล้ว การจะพานาวาชีวิตไปถึงฝั่งใครเล่าเป็นผู้นำไปก็ต้องผู้ชายซึ่งในสังคมโบราณถือว่าเป็น “ช้างเท้าหน้า” จึงต้องทำหน้าที่ “พายเรือ” นำเรือชีวิตไปให้ตลอดรอดฝั่ง แล้วผู้หญิงล่ะจะทำหน้าที่อะไร หญิงไทยโบราณได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลสตรี เป็นแม่บ้านแม่เรือน มีหน้าที่ดูแลรักษาบ้านช่องให้ทุกคนในบ้านมีความสุข

 

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าผูหญิงมีหน้าที่ “ดูแล” บ้านเรือน มีคำศัพท์คำว่า “หลิง” ซึ่งแปลว่า ดู เล็ง (ยังไม่สามารถหาหลักฐาน ที่มาของคำว่า หลิง ที่แปลว่าดูได้ว่ามาจากภาษาใด- ผู้เขียน) จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่า “ผู้หญิงริงเรือ” มาจาก “ผู้หญิงหลิงเรือ” ซึ่งแปลว่าผู้หญิงดูเรือ นั่นเอง

 

ดังนั้นสำนวน “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” อาจารย์มัณฑนาจึงสรุปว่าเป็นการกำหนดหน้าที่ของสามีภรรยาซึ่งลงเรือลำเดียวกันว่าให้ฝ่ายชายเป็นผู้ออกแรงพายเรือ ซึ่งหมายถึงการทำมาหากินประกอบอาชีพ ส่วนฝ่ายหญิงก็มีหน้าที่เป็นผู้ดูแลเรือ หรือดูแลทุกข์สุขของครอบครัว

 

ความเห็นดังกล่าวของอาจารย์มัณฑนาข้างต้นก็ยังไม่เป็นข้อยุติถึงที่มาของสำนวน “ผู้ชายรายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” หรือ “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงยิงเรือ” แต่ที่สรุปได้ชัดเจนก็คือสำนวน “ผู้หญิงยิงเรือ” นั้นเพี้ยนมาจาก “ผู้หญิงริงเรือ” แน่นอน จึงทำให้คิดต่อไปได้ว่าถ้าเช่นนั้น ผู้ชายพายเรือจะเป็นสำนวนที่เพี้ยนมาจาก “ผู้ชายรายเรือ” ด้วยหรือไม่ เพราะสำนวนไทยมีลักษณะเป็นคำชุดคล้องจองกัน ถ้าเช่นนั้นก็เป็นที่น่าศึกษา ค้นคว้ากันต่อไปว่าแล้ว “ผู้ชายรายเรือ” นั้นแปลว่าอะไร ถ้าทราบความหมายของผู้ชายรายเรือก็น่าจะเป็นกุญแจไขไปสู่ที่มาและความหมายที่แท้จริงของ “ผู้หญิงริงเรือ” ได้

 

 

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องสำนวนไทยจึ่งขอยกตัวอย่างสำนวนที่ไม่ค่อยคุ้นหูในปัจจุบัน และสำนวนที่มักมีผู้ใช้หรือพูดกันผิดๆ ไว้ให้ได้สังเกตกัน โดยผู้เขียนนำข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากบทออกอากาศทางสถานีวิทยุการศึกษา และบทความที่อาจารย์ของผู้เขียนนำมาให้อ่านในชั้นเรียนซึ่งบางส่วนไม่ได้ระบุข้อมูลทางบรรณานุกรมไว้ ทำให้ไม่สามารถระบุการอ้างอิงในบรรณานุกรมได้ครบถ้วน

 

ได้แกงเทน้ำพริก หมายถึง ได้ใหม่ลืมเก่า

เงื้อง่าราคาแพง หมายถึง ทำอะไรไม่กล้าตัดสินใจลงไป ตีแต่วางท่าหรือทำ

ท่าว่าจะทำเท่านั้น

ไฟสุมขอน หมายถึง อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจ

ซื้อวัวหน้านา ซื้อผ้าหน้าหนาว,

ซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ หมายถึง ซื้อของไม่คำนึงถึงกาลเวลาย่อมได้ของ

แพง ทำอะไรไม่เหมาะสมกับ กาลเวลา

ย่อมได้รับความเดือดร้อน

เถรส่องบาตร หมายถึง คนที่ทำอะไรตามเขา ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

กินแกลบกินรำ หมายถึง คนโง่ เช่น ฉันไม่ใช่พวกกินแกลบกินรำอย่ามาหลอกเสียให้ยาก ปัจจุบันสำนวนนี้ดูจะตัดสั้นลงเหลือแต่เพียง “กินแกลบ” และความหมายก็ผิดเพี้ยนไปกลายเป็น อดอยาก ไม่มีจะกินกิน ไปเสีย เช่น เพิ่งต้นเดือนเงินเดือนก็หมดแล้วคงต้องกินแกลบไปทั้งเดือน

 

กงเกวียนกำเกวียน มักพูดกันเป็น กงกำกงเกวียน บางคนเขียนเป็น กงกรรมกงเกวียน เสียด้วยซ้ำ สำนวนนี้แปลว่าทำกรรมเช่นใดย่อมได้รับผลกรรมนั้นตอบสนอง มีที่มาจากล้อของเกวียนที่ประกอบด้วย กง คือ วงล้อที่อยู่ด้านนอก และ กำ คือ ซี่ล้อ เมื่อกงหมุนไปที่ใด เปรียบกับคนที่ทำกรรมอะไรไว้ ซี่ล้อหรือกำซึ่งเปรียบกับผลกรรมหรือผลแห่งการกระทำก็จะหมุนตามกงหรือการกระทำนั้นไปเสมอ

 

ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม ที่แปลว่าค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำแล้วจะสำเร็จผล ปัจจุบันมักเหลือพร้าแค่เล่มเดียว เป็นช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม

 

สองแง่สองง่าม บางคนพูดเป็น สองแง่สามง่าม ซึ่งไม่ถูก ของเดิมมีแค่สองเท่านั้น

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คนสมัยนี้แลดูจะ ”โลภ” มากขึ้นยิงปืนนัดเดียวแต่หวังกหลายตัว ขอให้จำไว้ว่าแต่เดิมยิงปืนนัดเดียวหวังได้นกเพียงหนึ่ง ถ้าโชคดีได้นกเพิ่มมาอีกตัวเป็นสองตัวก็นับว่าโชคดีแล้ว

 

ไก่เห็นนมไก่ งูเห็นตีนงู แปลว่าผู้ที่เป็นพวกเดียวกันย่อมมองเห็นเล่ห์เพทุบายหรือเข้าใจในการปฏิบัติของกันและกันได้ดี แต่ปัจจุบันเรามักพูดสำนวนนี้ ”ผิดเพี้ยน สลับกัน” เป็น “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” ความหมายก็เพี้ยนไปจากเดิมคือกลายเป็น ต่างฝ่ายต่างล่วงรู้ความรับของอีกฝ่ายไปเสีย

 

เพื่อยืนยันความถูกต้องของสำนวน “ไก่เห็นนมไก่ งูเห็นตีนงู” จึงขอยกโคลงโลกนิติ พระนิพน์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ความว่า

 

ตีนงูงูไซร้หาก เห็นกัน

นมไก่ไก่สำคัญ ไก่รู้

หมู่โจรต่อโจรหัน เห็นเล่ห์ กันนา

เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้ ต่างรู้เชิงกัน”

 

ขายผ้าเอาหน้ารอด แปลว่ายอมสละแม้ของที่จำเป็นเพื่อรักษาชื่อเสียงที่มีอยู่ คนปัจจุบันแค่ขายผ้าคงไม่หนำใจหรือคงไม่พอจะรักษาชื่อเสียงที่มีอยู่เลยต้องถึงกับ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” เลยทีเดียว มิหนำซ้ำความหมายก็ดูจะ “ผิดเพี้ยน” ไปคือหมายถึงทำสิ่งใดพอให้พ้นตัวไป

 

ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน หมายความว่า จะทำอะไรให้ใครต้องถามความพอใจของผู้ได้รับ เหมือนปลูกบ้านเรือนก็ต้องถามความพอใจของผู้อยู่อาศัย ผูกอู่ หรือผูกเปล ก็ต้องถามผู้นอนว่าพอใจหรือยัง คนในปัจจุบันคงไม่ค่อยได้นอนเปลแล้วจึงไม่ค่อยรู้จักกริยา ผูก มิหนำซ้ำยังไม่รู้ด้วยว่า อู่ แปลว่า เปล รู้จักก็แต่อู่รถ จึงหันไป “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจผู้นอน” กันเป็นแถว สงสัยคนปัจจุบันคงจะย้ายที่นอนไปนอนในอู่รถด้วย

 

ตื่นก่อนไก่, หัวไก่โห่ ปัจจุบันเรามักพูด ”ผิดเพี้ยน” โดยเอาสองสำนวนนี้มารวมกันเป็น “ตื่นแต่ไก่โห่”

 

ไม่แน่ไม่แช่แป้ง หมายถึงถ้าไม่มั่นใจย่อมไม่ลงมือกระทำ สำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการทำอาหารขนมโบราณซึ่งมีแป้ง กะทิ และน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก และการที่จะแปรรูปข้าวให้เป็นแป้งก็ต้องเอาข้าวสารมาแช่น้ำแล้วจึงนำมาโม่ให้เป็นแป้งสำหรับเป็นวัตถุดิบในการทำขนม หากแช่ข้าวสารแล้วไม่โม่ข้าวนั้นก็จะเสียไปไม่สามารถนำมาหุงได้เนื่องจากข้าวสารจะบานหมด ปัจจุบันเราก็มักพูดเพี้ยนไปเป็น “แน่เหมือนแช่แป้ง” ซึ่งไม่สื่อความหมายเอาเสียเลยว่าการแช่แป้งนี่แสดงความแน่นอนอย่างไร

 

จากตัวอย่างการใช้สำนวนผิดข้างต้นอาจจะเพราะความไม่รู้ และความไม่เข้าใจสังคมตลอดจนวัฒนธรรมโบราณ อีกทั้งสังคมปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมาก หลายๆ สิ่งก็เปลี่ยนไป เลือนหายไป คนปัจจุบันที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นสังคมวัฒนธรรมโบราณจึงดัดแปลงสำนวนที่มีมาซึ่งฟังแล้วไม่เห็นภาพ ไม่เข้าใจ ไปตามความรู้สึกส่วนตัว

 

เจตนาที่ยกเอาสำนวนต่างๆ เหล่านี้มากล่าวไม่ได้ต้องการ “จับผิด” หรือว่าไม่ควรจะคิดสำนวนใหม่ๆ ใช้ในภาษาไทย อันที่จริงการคิดสำนวนใหม่ใช้ในภาษาเป็นสิ่งที่ดีแสดงให้เห็นความงอกงามของภาษา แต่ในเมื่อเรามีสำนวนที่เป็นของเก่าใช้สื่อความกันมาก่อนอยู่แล้วก็ควรจะช่วยกันรักษาไว้เป็นมรดกทางภูมิปัญญา ไม่จะควรทำลายให้มรดกที่ได้รับสืบทอดนี้สูญหายไป

 

 

 

***************************************************

 

 

 

****==ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ด่า "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" เจ็บ==****

 

 
 
 
****==ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ด่า "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" เจ็บ==****

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ด่า "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" เจ็บ "เคยเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. น่าจะเข้าใจ"

 

นายยุทธพันธุ์ มีชัย ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงความคืบหน้าการเจราจากับ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน ที่ชุมนุมที่สนามหลวงเป็นวันที่ 3 ว่า เมื่อเวลา 20.00 น. วานนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯกทม. ได้เข้าเจรจาอีกครั้ง ว่าสนามหลวงเป็นพื้นที่ที่ไม่อนุญาตให้เข้ามาทำกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองได้ หากยังไม่ยอมย้ายออกจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ อีกทั้งในวันที่ 13 พ.ค.นี้ จะมีงานพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในวันพืชมงคล ซึ่งจะต้องใช้พื้นที่ฝั่งพระบรมหาราชวังเป็นฝั่งที่ผู้ชุมนุมปักหลักชุมนุมอยู่ ทำให้อาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดงานได้

 

นายยุทธพันธุ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ กทม.ยังเสนอสถานที่ชุมนุมที่สวนสนามชัย เขตพระนคร เพราะความปลอดภัย และรองรับคนได้จำนวนมากเช่นกันแทน ซึ่งนายไชยวัฒน์ ที่เคยเป็นถึงอดีตรองผู้ว่าฯกทม. ก็เข้าใจในหลักการทุกอย่าง แต่ก็ยืนยันจะขอใช้พื้นที่สนามหลวงปักหลักชุมนุมต่อไป โดยอ้างระบอบการปกครองประชาธิปไตย ซึ่งทางกทม.ก็เข้าใจจะให้เวลาแกนนำไปพูดคุยตกลงกันอีกครั้ง เพราะสิ่งที่ กทม.เสนอไปเชื่อว่า คนที่เคยเป็นถึงรองผู้ว่าฯกทม.น่าจะเข้าใจ และเห็นถึงความจำเป็นด้วย

 

นายยุทธพันธุ์ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนกรณีหลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตว่า กทม.เลือกปฏิบัติให้ความช่วยเหลือผู้ชุมนุมมากไปหรือไม่นั้น ยืนยันกทม.ยินดีให้ความช่วยเหลือคนทุกกลุ่ม และคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนที่มาชุมนุมทุกกลุ่ม ทุกสี ไม่มีการเลือกปฏิบัติ แต่การชุมนุมจะต้องยึดหลักความถูกต้อง และเหมาะสม หากไม่ถูกจะต้องเริ่มต้นที่การพูดคุย กทม.จึงอยากขอความร่วมมือผู้ชุมนุม การที่จะหยิบกฎหมายในมือมาบังคับใช้อยากจะให้เป็นมาตรการสุดท้าย เพราะไม่อยากเป็นการเพิ่มความกดดันท่ามกลางความขัดแย้ง จนมองว่าเป็นประเด็นทางการเมือง

 

"กทม.คงจะไม่เข้าไปเจราจาอีก เพราะวานนี้ได้พูดคุยถึงความจำเป็น และข้อเสนอไปหมดแล้ว หลังจากนี้คงต้องให้เวลาแกนนำไปทบทวนความเหมาะสม โดยที่ กทม.มีกรอบเวลาที่กำหนดอยู่ จึงขอให้เป็นหน้าที่แกนนำผู้ชุมนุมที่ตัดสินใจ"นายยุทธพันธุ์ กล่าว

 

 

กทม เล่นละครตบตาชาวบ้าน 5555 อ่านข่าวแล้วขำหวะ?? การแหกตากันเนี่ยทำกันเป็นประจำ

แหม..คนไทยเนี่ยมันโง่บัดซบกันจังนะในสายตา ของ กระบวนการณ์ กทม ที่จะมองอะไรไม่ทะลุ

แกล้งทำเป็นแอ๊คอาร์ทเอาจริงเอาจัง แต่ขนส้วมเอ่ย ขนแท๊งค์น้ำเอ่ยมาประเคนให้ ม็อบ VIPโถ...

คิดว่าประชาชนภายนอก กทม กินหญ้าซิท่า???ไอ้ละครเล่นตบตาแบบนี้ไม่ต้องเล่นหรอกนะ หาก

จะอนุญาติให้ม็อบร้อยพ่อพันแม่ อยู่สนามหลวงเป็นสิทธิ์ของ กทม ไม่มีใครว่านี่น่า..ร้อนตัวทำไม

ไม่ทราบ????

 

 

 

อย่าดัดจริตนักเลย คิดจะไล่ม็อบง่ายนิดเดียว

ทำอย่างที่เคยทำ

ส่งทหารไปกระชับพื้นที่ ติดป้ายว่าเขตใช้กระสุนจริง โปรยแก๊สน้ำตาจาก ฮ. และทำในยามวิกาล

ตามหลักสากลที่พรรคพวกท่านเคยเห่าไว้ไง

 

***********************************************************

 

 

처음 이전 ... 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>