Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2013-12-19 19:35:49.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  อำนาจเเห่งความงาม

 

 

 

 

 

 

                                    วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2556 เป็นวันแรม 8 ค่ำ เดือน 1

 

 

        ปฏิทินวันพระ 2556 ร่วมทำบุญให้จิตใจผ่องใส

 

 

 

 

 

 

     มุทุลักขณชาดก อำนาจเเห่งความงาม

 

 

 

 

                              

 

 
 

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภสภาวะธรรมที่ทำให้คนเศร้าหมอง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีตนหนึ่งได้อภิญญา บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ป่าหิมพานต์ วันหนึ่งได้เดินทางเข้าไปพำนักในสวนหลวง ในเมืองพารณสี รุ่งเช้าครองผ้าเปลือกไม้ ห่มหนังเสือ เกล้าผมทรงบริขาร เที่ยวภิกขาจารไปถึงประตูพระราชวัง พระราชาทรงเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้เข้าไปฉันในพระราชวัง และนิมนต์ให้อยู่ในสวนหลวง ฤาษีรับคำนิมนต์อยู่เป็นเวลา ๑๖ ปี

 

อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปปราบกบฎแถบชายแดน จึงมอบหน้าที่ถวายภัตตาหารแก่พระมเหสีนามว่ามุทุลักขณา ฤาษีมักเข้าพระราชวังตามเวลาที่ตนพอใจเป็นประจำ วันหนึ่งพระนางได้เตรียมอาหารเสร็จแล้ว เข้าใจว่าฤาษีจะมาช้าจึงเอนพระกายรอที่ท้องพระโรง ขณะนั้น ฤาษีได้เหาะมาถึงพอดี พระนางเมื่อได้ยินเสียงเปลือกไม้ก็รีบเสด็จลุกขึ้น ทำให้ผ้าที่ทรงอยู่ซึ่งเป็นผ้าเนื้อเกลี้ยงหลุดลง เป็นเวลาที่พระฤาษีเหาะเข้าทางช่องพระแกลพอดีทำให้เห็นรูปกายของพระนาง อำนาจแห่งความงามเป็นเหตุให้กิเลสภายในฤาษีกำเริบขึ้น ทันใดนั้น ฌานของท่านเสื่อมลงทันที หลังจากรับอาหารแล้วท่านบริโภคไม่ได้ เดินลงจากปราสาทเข้าไปสวนหลวงนอนซมไม่แตะอาหารปล่อยให้ร่างกายซูบผอมถึง ๗ วัน

 

ในวันที่ ๗ พระราชาเสด็จกลับมาถึงเมืองทำประทักษิณพระนครแล้ว เสด็จตรงไปหาฤาษีทันที เห็นอาการเช่นนั้นแล้วทรงตกพระทัยจึงตรัสถามถึงสาเหตุ ฤาษีได้ตอบว่าเป็นเพราะมีจิตกำหนัดในพระนางมุทุลักขณาเป็นเหตุ พระองค์ทรงยินดีถวายพระนางให้แก่ฤาษี ก่อนถึงเวลาได้สัญญาลับกับพระนางมุทุลักขณาว่า ขอให้พระนางพยายามรักษาตนด้วยกำลัง พระนางได้บอกฤาษีว่าต้องมีเรือนหลังหนึ่ง ฤาษีขอพระราชทานจากพระราชา พระองค์มอบเรือนวัจจกุฏี(ส้วม)ให้หลังหนึ่ง พระนางไม่เข้าไปด้วยความสกปรก ดาบสจึงไปนำตะกร้ามาจากพระราชสำนักมาโกยสิ่งสกปรกและขยะไปทิ้ง พระนางให้ดาบสทำความสะอาดห้องแล้วไปนำเตียงมาและเก้าอี้มาทีละอย่าง และใช้ตักน้ำให้เต็มตุ่ม

 

เมื่อกำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยกัน พระเทวีจับสีข้างดาบสฉุดให้ก้มลงตรงหน้าพลางตรัสว่า
     " ท่านไม่รู้ตัวว่าเป็นสมณะหรือพราหมณ์เลยหรือ "

 

ดาบสกลับได้สติคืนมาในเวลานั้นเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านไม่รู้ตัวเอาเสียเลย เพราะอำนาจกิเลส จึงนำพระเทวีไปถวายพระราชาแล้วกล่าวคาถาว่า 


     " ครั้งก่อน เรายังไม่ได้ประสบพระนางมุทุลักขณา ความปรารถนามีอยู่อย่างเดียว
       ครั้นได้พบพระนาง ผู้มีเนตรแวววาวเข้าแล้ว ความปรารถนาช่วยให้เกิดความต้องการขึ้นหลายอย่าง "

 

ฤาษี ได้อำลาพระราชากลับเข้าป่าหิมวันตะด้วยการบำเพ็ญฌานใหม่ เหาะขึ้นสู่อากาศทันที ไม่หวนกลับมาถิ่นของมนุษย์อีกเลย


 

 

 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
 
อำนาจแห่งความงามกิเลสตัณหาทำให้คนตาบอด

 

 

 

* เรื่องที่ ๖ ในอิตถีวรรค หน้า ๑๔๖-๑๕๖ พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๒

ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม

 

 พระมหาสุนทร สุนฺทรธมฺโม น.ธ.เอก , ป.ธ.๙. เจ้าคณะอำเภอทัพทัน. เจ้าอาวาสวัดสาลวนาราม. ตำบลหนองจอก อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*********************************

 

 

 

 

 

 

 

 

ประธานรัฐสภา เงินประจำตำแหน่ง+เงินเพิ่ม - 64,000+50,000 = 114,000 บาท
ประธานวุฒิสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร - 63,000+45,500  = 108,500 บาท
รองประธานรัฐสภา - 63,000+45,000  =108,505 บาท
รองประธานวุฒิสภา และรองประธานสภาผู้แทนราษฏร - 63,000+42,500 = 105,500 บาท
ผู้นำฝ่ายค้านในสภา - 63,000+45,500 = 108,500 บาท
ประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร - 63,000+42,500 = 105,500 บาท
สมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร - 63,000+41,000 = 104,000 บาท

ถ้าท่านเป็น ส.ส. 4 ปี ท่านมีรายได้รวม 4,992,000 บาท อ่านว่า สี่ล้านเก้าแสนเก้าหมื่นสองพันบาท

อันนี้ยังไม่รวมที่เป็นคระกรรมาธิการอีกนะ

ถ้าท่านเป็น ส.ว. 6 ปี ท่านมีรายได้รวม 7,488,000 บาท อ่านว่า เจ็ดล้านสี่แสนแปดหมื่นแปดพันบาท

 

แล้วเวลาทำงานในสภาชอบมาทะเลาะกัน

เฮอะๆๆๆๆขืดเว้นวรรคก็อดอยากปากแห้งตายกันพอดี

smiley

 

 

ศาลอุทธรณ์ตัดสินนปช.เผาเซ็นเตอร์วัน เข้าข่ายก่อการร้าย

 

 

(24 ธ.ค.) ศาลอุทธรณ์ อ่านคำพิพากษาคดีวางเพลิงเซ็นเตอร์วัน ให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายให้ห้างเซ็นเตอร์วันกว่า 122,790,000 บาท ตามคำพิพากษาชั้นต้น จากเหตุการณ์ นปช.บุกขโมยทรัพย์สินและวางเพลิงเผาทรัพย์ แต่แก้อุทธรณ์จากพฤติการณ์ของนปช.จากจลาจล เป็นการก่อการร้าย

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2556 ศาลอุทธรณ์ ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีความแพ่ง ที่บริษัท พีเพิล พลาซ่า หรือ ห้างสรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัทแอกซ่า ประกันภัย จำกัด ให้จ่ายค่าเสียหาย 122,790,000 บาท กรณีถูกวางเพลิงเผาทรัพย์และขโมยทรัพย์สินระหว่างการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง (นปช.) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553 โดยสรุปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ได้พิจารณาพยานและหลักฐาน จากข้อมูลดังนี้

 

 

                         

 

 

หลังเกิดเพลิงไหม้ได้มีรถดับเพลิงพยายามเข้าไปดับไฟแต่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมขัดขวาง พบลูกธนูที่พันด้วยผ้าตกอยู่บริเวณชั้นล่างของอาคารศูนย์การค้า และพบร่องรอยกระสุนปืนเป็นรูอยู่หลายรูบริเวณเสาด้านหน้าอาคาร

ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าการวางเพลิงเกิดจากฝีมือของกลุ่มวัยรุ่นคึกคะนอง รถจักรยานยนต์รับจ้าง และคนขับรถซาเล้งซื้อของเก่า ที่มีเจตนาลักทรัพย์ และเมื่อพิจารณาโดยสรุปจากพยานหลักฐานเกี่ยวกับการวางเพลิงแล้ว พบว่า การวางเพลิงเกิดจากการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. บางส่วนที่ต้องการใช้ความรุนแรงและ/หรือต้องการข่มขู่ เพื่อผลทางการเมือง ด้วยการทำให้รัฐบาลและประชาชนหวาดกลัว ซึ่งการกระทำของกลุ่ม นปช. ที่วางเพลิงนั้น เข้านิยาม "การกระทำการก่อการร้าย"

 

 

 

"พบลูกธนูที่พันด้วยผ้าตกอยู่บริเวณชั้นล่างของอาคารศูนย์การค้า...

และพบร่องรอยกระสุนปืนเป็นรูอยู่หลายรูบริเวณเสาด้านหน้าอาคาร....

เนี่ยนะ หลักฐานและบทสรุป???...

"ถุ๊ยยยส์...ถุ๊ยยยส์...ถุ๊ยยยส์!!!"...

 

 

"ผิดกับคดีคนเสื้อแดง ที่ถูกยิงด้วยอาวูธปืนความเร็วสูง แถมบางศพ ยังพบลูกกระสุนปืนขนาดปืน .223 ...

ฝังอยู่ด้วยซ้ำ แต่ "เปาพุงปลิ้น (บางตัว)" มันยังบอกว่า ไม่สามารถระบุ ผู้ที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้...

สมเป็น "ตอแหลแลนด์-ดินแดนแห่งอำมาตยาครองเมือง" ซะจริงๆ!!!"...

 

 

 

 

 

 

 


 

ทอม "จะจับไหมคะ"
นายก "ไม่จับ ไม่ได้ผิดอะไร ตามสบาย
ทอม "ขอเดินคุยกับนายกฯ หน่อย" "มาทำอะไร
นายก "ทำไมเหรอคะ มาทำงานคะ"

ทอม "มาทำอะไร มาเที่ยวหรือไง จะกลับกรุงเทพฯ ไหม"...
น.ส.ยิ่งลักษณ์ "ทำไมคะ"
ทอม "ถามไม่ได้เหรอ อยากรู้"
นายก "มาตรวจราชการอีก 2 วันก็กลับเข้ากรุงเทพฯ"
"มีอะไรจะคุยกันไหม เป็นคนที่นี่เหรอ"
สาวทอม "ไม่มีอะไร เป็นคนกรุงเทพฯ แต่มาทำงานที่นี่"

 

นายก ขอจับมือขอจับมือหน่อยค่ะ
ทอม "ไม่เป็นไร คุณอย่ามาจับ"
นายกฯ ตอบกลับว่า "โอเคคะ ไม่จับก็ไม่จับ

 

 

 

                

 

 

 

 

 ******************************

 

 

 

 

                                         ฉันหายเเล้ว..

 

 

 

                                  

 

 

 

 

 

....ซัดเข้ามา โถมใส่ ยังไหวอยู่

 

ยังพร้อมสู้ ไม่หลบลี้ หนีไปไหน

 

เด่นสง่า ประจัญหน้า ไม่ว่าใคร

 

หนักเเค่ไหน เรื่องจะถอย คอยเลยคุณ

 

 

 

....ใจดวงนี้ ยังคงเเกร่ง เเรงไม่ตก

 

สะท้านทก มืดสลัว จนหัวหมุน

 

สะบัดหน้า คว้าใจเเตก เเหลกเป็นจุล

 

ปัดเปื้อนฝุ่น หัวใจนี้ ดีเหมือนเดิม........

 

 

 

************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

การให้กระเช้าที่ประกอบด้วยอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ เป็นหนึ่งในตัวเลือกของขวัญปีใหม่ยอดนิยม โดยเฉพาะการมอบให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้านายที่นับถือ เพื่อแสดงความเคารพและระลึกถึง ยิ่งพิถีพิถันเลือกแต่ของที่ดีต่อสุขภาพจัดลงในกระเช้า ก็จะยิ่งเป็นการแสดงความใส่ใจและปรารถนาดีที่มีให้แก่ผู้รับ มาดูกันค่ะว่ากระเช้าสุขภาพที่ดี ควรมีและไม่ควรมีอะไรบ้าง

 

ของควรเลี่ยงสำหรับกระเช้า

 

• สุรา มีการห้ามนำสุรามาใส่ในกระเช้าของขวัญอยู่แล้ว การมอบกระเช้าที่มีสุราตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางกระเช้านั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่ปรารถนาดีต่อผู้รับ เพราะสุราที่หยิบยื่นให้นั้น จะส่งผลให้ผู้รับเสี่ยงต่อโรคภัยต่างๆ เช่น ตับแข็ง ไขมันพอกตับ ความดันโลหิตสูง อ้วนลงพุง ตับอ่อนอักเสบ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ ฯลฯ กระเช้าเหล่านี้จึงจัดได้ว่าเป็น กระเช้าอัปมงคล!

 

• ผลไม้กระป๋อง ด้วยกรรมวิธีการผลิตต่างๆ มักส่งผลให้ผลไม้กระป๋องสูญเสียวิตามินอย่าง วิตามินซี วิตามินบีไป ไม่ได้คุณค่าอาหารเท่ากับผลไม้สดๆ และผลไม้กระป๋องส่วนใหญ่จะอุดมไปด้วยน้ำเชื่อม เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุงได้หากรับประทานเป็นประจำ การให้ผลไม้กระป๋องจึงแสดงถึงความไม่ใส่ใจที่ผู้ให้มีต่อผู้รับ

 

• คุ้กกี้ ช็อกโกแล็ต ขนมกรุบกรอบ นอกจากจะเป็นแหล่งของน้ำตาลแล้ว ขนมหวานที่บรรจุหีบห่อทั้งหลายยังเป็นแหล่งของไขมันทรานส์ ไขมันที่อันตรายต่อสุขภาพที่สุด พบว่าไขมันทรานส์เพิ่มระดับของคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในเลือด การให้คุ้กกี้หรือขนมกรุบกรอบจึงไม่ต่างกับการประสงค์ร้ายต่อสุขภาพหัวใจผู้รับ

 

• ครีมเทียม หรือ กาแฟ 3 in 1 ครีมเทียมเป็นชื่อสมมติ ความเป็นจริงแล้วผงสีขาวๆที่คุณกำลังใส่เข้าไปในกาแฟ คือน้ำมันปาล์มที่ผ่านกรรมวิธีปลอมตัวให้รสชาติเหมือนครีม ด้วยการใส่สารเคมีต่างๆเข้าไป การให้ครีมเทียมจึงเป็นการแสดงถึงความไม่จริงใจที่ผู้ให้มีต่อผู้รับ

 

 

ของควรเลือกสำหรับกระเช้า

 

• จากขวดสุรา ควรเปลี่ยนเป็น ขวดน้ำมันมะกอก หรือ 100% Extra-virgin olive oil ซึ่งเป็นน้ำมันที่ประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ดีต่อสุขภาพ สามารถนำมาทำน้ำสลัด หรือประกอบอาหารแบบใช้ไฟอ่อนๆได้ ที่สำคัญคือ รูปทรงสีสันของขวดนั้น ดูหรูหราสง่างามไม่แพ้ขวดสุราเลยทีเดียว

 

• จากผลไม้กระป๋อง ควรเปลี่ยนเป็นผักผลไม้สดๆ ซึ่งมีสีสันที่สวยงาม บ่งถึงความตั้งใจจริงที่มีให้กับผู้รับ

 

• จากขนมที่ไร้ประโยชน์ ควรเปลี่ยนเป็นขนมที่ดีต่อสุขภาพ เช่น กระเจี๊ยบมอญอบกรอบ บร็อคโคลี่อบแห้ง งาดำอัดแท่งหวานน้อย ลูกเดือยกล้อง ถั่วเปลือกแข็ง(อัลมอนด์ วอลนัท)อบไม่ปรุงรส ดาร์คช็อคโกแล็ต (มี %cocoa มากกว่า 70%) จะเป็นการสร้างความประหลาดใจและประทับใจให้กับผู้ที่ได้รับกระเช้า

 

• เปลี่ยนครีมเทียมและกาแฟสำเร็จรูป มาเป็นใบชา เช่น ชาเขียว หรือ ชาอู่หลง ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านมะเร็ง เปรียบได้กับการอวยพรให้ผู้รับสุขภาพดี สดใส ไร้มะเร็ง

 

 

ระวังตัวลวง

 

หลายครั้งที่กระเช้าซึ่งถูกจัดหมวดหมู่อยู่ในกระเช้าสุขภาพ แต่จริงๆแล้วมีผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพง แต่ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพเทียบเท่าราคามาปะปน เช่น รังนก ซุปไก่สกัด น้ำผลไม้แบบกล่องสำเร็จรูป ผลไม้ตากแห้งรสหวาน ส่งผลให้กระเช้าเหล่านี้มีราคาสูงเกินความจำเป็น และไม่ใช่ตัวเลือกที่ชาญฉลาด

 

หลังจากจัดกระเช้าปีใหม่เพื่อสุขภาพที่กิ๊บเก๋ในแบบของคุณได้แล้ว อย่าลืมที่จะเขียนการ์ดอวยพรปีใหม่ด้วยลายมือตัวเอง แม้ลายมือจะหวัดแค่ไหน แต่รับรองได้ว่าคนรับจะประทับใจยิ่งกว่าการ์ดสำเร็จรูปที่พิมพ์มาแน่นอน

 

 

พญ. ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง)

Twitter, Instagram: @thidakarn

 

 

 

 

 

 

 

 

 

********************************************

 

 

 

 

 

 
 

 

 

 

 

 

เปลี่ยนไปใช้นามสกุลฝ่ายหม่อมแม่

"กฤดากร" 

.ผลสะท้อน จะแรงขึ้นกว่าใช้สกุลเดิมหรือเปล่านะ

 

 

ที่แท้กลัวยอดขายตก ตามรายงานข่าว...
......................

ขณะเดียวกัน ช่วงเช้าวันที่ 20 ธ.ค. มีรายงานข่าวว่า
นายสันติ ภิรมย์ภักดี ผู้บริหารใหญ่ได้ร่วมประชุมกับพนักงานในเครือบุญรอดฯ

 

มีช่วงหนึ่งกล่าวถึงข่าวการส่งจดหมายเตือนถึงนายจุตินันท์ บิดาของน.ส.จิตภัสร์
โดยนายสันติระบุว่าเป็นการส่งจดหมายเตือนไปจริงตามข่าวที่ปรากฏ
โดยเฉพาะหลังจากน.ส.จิตภัสร์ไปให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพี ตอนหนึ่งว่า
คนไทยขาดความเข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยเฉพาะในชนบท
ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัท

 

ดังนั้น ในฐานะซีอีโอจึงต้องออกมาปกป้องบริษัท
เพราะมีคนบางส่วนนำไปตีความผิดๆ หรือสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ขณะที่จุดยืนของบุญรอดฯ และสิงห์ คอร์เปอเรชั่น
สำนึกในบุญคุณของประชาชนทั่วประเทศที่ให้การอุดหนุนผลิตภัณฑ์
บริษัทเติบโตขึ้นมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงในชนบทให้การสนับสนุน
..........


อ่านเพิ่มเติม ลิ้งข่าวสด click
 "จุตินันท์" ขอโทษแทนตั๊น บุตรสาว กรณีพูดพาดพิงคนชนบท - เผยให้เปลี่ยน "นามสกุล" แล้ว

 

 

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

 

 

บังกลาเทศส่งทหารครึ่งแสนดูแลศึกเลือกตั้ง หลังประท้วงรุนแรงตายแล้วนับร้อย

 

 

 

 บังกลาเทศส่งทหารครึ่งแสนดูแลศึกเลือกตั้ง หลังประท้วงรุนแรงตายแล้วนับร้อย 

   

 เอเอฟพี - ทางการบังกลาเทศเผยเมื่อวันศุกร์ (20) ว่า ในสัปดาห์หน้าจะส่งกำลังทหารหลายหมื่นนายเข้าระงับเหตุความรุนแรง ก่อนศึกเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 กรกฎาคม ท่ามกลางเหตุประท้วงต่อต้านรุนแรง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วนับร้อยศพ

 

 


       คณะกรรมการการเลือกตั้งของบังกลาเทศ บอกว่า แม้กองกำลังด้านความมั่นคงได้กระจายกำลังไปตามจุดที่มีปัญหาหลักๆ อยู่ก่อนแล้ว แต่ก็จะมีการเสริมกำลังทหารเข้าไปอีกทั่วประเทศ และจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคมเป็นต้นไป
       
       “เจ้าหน้าที่ทหารจะถูกส่งเข้าประจำการทั่วประเทศระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม ถึงวันที่ 9 มกราคม” คาซี ราคีบุดดิน อาห์หมัด ประธานคณะกรรมการเลือกตั้งบอกกับผู้สื่อข่าว อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เจาะจงถึงจำนวนทหารที่ถูกส่งเข้าประจำการ แต่สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าน่าจะมากถึงราวๆ 50,000 นาย
       
       ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศแห่งนี้ หลังจากพรรคฝ่ายค้าน และพรรคพันธมิตรประกาศคว่ำบาตรศึกเลือกตั้งทั่วไป แต่รัฐบาลยืนยันว่าจะเดินหน้าจัดการเลือกตั้งตามกำหนด
       
       บังกลาเทศ เนชันแนลลิสต์ ปาร์ตี (บีเอ็นพี) และพันธมิตร ประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้ง หลังจากนายกรัฐมนตรีซีค ฮาซีนา ปฏิเสธข้อเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้รัฐบาลรักษาการที่มีความเป็นกลางเข้ามาดูแลการเลือกตั้ง ด้วยพรรคบีเอ็นพี เชื่อว่าเลือกตั้งที่ดูแลโดยรัฐบาลของนางฮาซินา จะมีการโกงอย่างกว้างขวาง
       
       ศึกเลือกตั้งครั้งก่อนๆ ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ดำเนินการโดยรัฐบาลรักษาการที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเพื่อให้มีความเป็นอิสระ และยุติธรรม แต่รัฐบาลของนางฮาซินา ยกเลิกขั้นตอนดังกล่าวในปี 2011 โดยอ้างว่า มันไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และอาจเปิดทางสำหรับรัฐประหาร
       
       นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม พันธมิตรฝ่ายค้านจัดชุมนุมมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในความพยายามโค่นล้มนางฮาซินา และกดดันให้เธอยอมรับข้อเรียกร้อง ในนั้นมีทั้งการนัดหยุดงาน ขวางกั้นท้องถนนทั่วประเทศ ปิดสำนักงาน และโรงเรียน ก่อความโกลาหลด้านการสัญจรระหว่างเมือง ปาระเบิดใส่รถบัส และทำรถไฟตกราง ท่ามกลางเหตุรุนแรงรายวัน จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
       
       พรรคสันนิบาตอวามี (Awami League) ของนางฮาซินา ปิดประตูสำหรับการประนีประนอมใดๆ กับพรรคบีเอ็นพีแล้ว ตามหลังการเจรจาระหว่าง 2 พรรคที่มีสหประชาชนเป็นคนกลาง 3 รอบเมื่อสัปดาหห์ที่แล้ว ลงเอยโดยไม่ได้ข้อเห็นพ้องใดๆ ฉุดประเทศเข้าสู่วิกฤตครั้งเลวร้ายสุดในรอบหลายทศวรรษ

 

 

 

 

 

 

 

เดินทางไปทำงานที่บังกลาเทศสองอาทิตย์ ได้พบได้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยได้สำผัสที่เมืองไทย แล้วคุณจะรักเมืองไทยมากกว่าเดิม vote ติดต่อทีมงาน

 

 

ผมไม่ค่อยได้เขียนบันทึกการเดินทางแบบนี้ ผมเคยไปทำงานที่เวียดนาม ผมรู้สึกแย่กับการจราจรที่นั่น แต่เพียงถ้าไม่ได้มาที่บังกลาเทศจะไม่รู้ว่ามีสุดๆกว่าเวียดนามเยอะ ก้าวแรกที่ผมออกจากสนามบิน คนมารอรับผู้โดยสารก็ไม่มากซึ่งน่าจะปกติ
แต่ผิดถนัดครับ พอออกมารอรถมารับ และมองตรงไปมียืนเกาะลูกกรงด้านนอก ราวๆไม่ต่ำกว่าสามถึงสี่ร้อยคนผมกะด้วยสายตานะครับ โอ้ เขามาดูอะไรกันนี่ พอรถออกจากสนามบิน วิ่งไปเรื่อยฝนตกครับ ท่วมครับน้ำท่วม ปกติบ้านเรามีท่อระบายน้ำริมฟุตบาท ที่นี่ผมว่าผมไม่เห็นนะ พยายามดูแล้ว แล้วจะระบายอย่างไรครับ

 


เท่านั่นยังไม่พอ ถนนที่นี่ไม่ต้องตีเส้นจราจร ไม่จำเป็น ไอ้ที่แทรกกันตรงไฟแดงหรือวิ่งว้ายแล้วมาหักเข้าขวา ที่นี่ต่างคนต่างจะไปไม่รู้ซ้ายหรือขวาเต็มไปหมด
ไม่สนใจว่าให้คันนี้คันนั้นไปก่อน ค่อยๆต่างคนต่างไป ไม่มีครับข้าต้องได้ก่อน
ที่นี้ถ้าบนถนนมีแต่รถยนต์ก็น่าจะพอไปกันได้ นี่ทั้งสามล้อถีบ ทั้งตุ๊กตุ๊ก ต่างก็มั่วผสมโรงเข้าไป

 


ยังครับยังไม่หมด เมื่อรถติด คนก็ลงเดินซิครับ แต่ไม่ได้เดินข้างถนนนะครับ
เดินมันเต็มถนนนั่นแหละ เวลาข้ามถนนที่นี่ต่างกับบ้านเรา บางครั้งรถจอดให้สำหรับบ้านเรา แต่ที่นี่ต้องวัดดวง ชนหรือไม่ชนขับอัดเข้าไปเต็มที่ ไม่มีเบรค จนบางครั้งผมต้องร้องตกใจเพราะอยู่เมืองไทยมาก็ไม่เคยเจอวิ่งใส่คนข้ามถนนขนาดนี้ เล้วเวลาเปิดแตร ที่เวียดนามเขาเปิดเื่พื่อให้รู้ กดสั้นๆ แต่ที่นี่กดกันแบบว่าไม่รู้มันจะกดทำไม รถติดก็กด รถไม่ติดก็กด กดแต่ละที่กดยาวๆ ยาวจนรำคาญ กะว่าคราวหน้าถ้ามาอีกจะเอา เอียปลั๊กมาด้วย ตอนนี้เรามาถึงระยะเวลาการเดินทางบ้าง จากโรงแรมที่พักไปโรงงานบ้าง ระยะทาง 42 กิโลเมตร ออกนอกเมืองนะครับ ถนนสองเลนสวน เพื่อนๆลองเดาเล่นดูนะว่าใช้เวลาเท่าไหร่
ถ้าสนใจผมจะมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ ตอนนี้ขอตัวเก็บขอกลับเมืองไทยก่อนนะครับ

 

 

 

 

 

จากคุณ : m_tawan

 

 

 

 

*********************************************

 

 

 

 

               

 

      

 

 

 

 

"ผมไม่ได้บ้า" สุเทพ ลั่น มีเลือกตั้ง 2 กพ. จะปิดทุกจังหวัด ทั่วประเทศ

 
              หยุดกูที !!!
 
 


                           [Image: YcN9PC.jpg]

 
 
 
 
ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อเวลา 18.56 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูร​ณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ขึ้นเวทีปราศรัย โดยกล่าวขอบคุณผู้ชุมนุมที่มาร่วมชุมนุม ได้แสดงออกว่ารักประเทศไทยอย่างสุดหัวใจ วันนี้ได้ขจัดความกลัว เหลือไว้แต่ความรักชาติรักแผ่นดินซึ่งอยู่เหนือความกลัว ที่ผ่านมาคนปรามาสว่านัดให้ตายคนก็ไม่มากกว่าวันที่ 9 ธ.ค. แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่าคนมาเยอะกว่า ไม่ว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.รส. จะรายงานว่ามาเพียง 1.5 แสนคน หรือรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะทำตัวเลขให้สื่อต่างประเทศและผู้นำต่างประเทศก็ตามใจ เพราะภาพที่ปรากฎวันนี้หลอกฝรั่งตาน้ำข้าวได้ แต่หลอกคนไทยทั้งประเทศไม่ได้อีก ซึ่งตนจะรอดูสื่อเมืองไทยว่าจะรายงานเหตุการณ์วันนี้เป็นอย่างไร จะได้เห็นว่าสื่อเมืองไทยใจเป็นไทหรือเป็นทาส

ทั้งนี้ การออกมาวันนี้มากันทั้งแผ่นดิน ทุกจังหวัด ทุกภาคของประเทศ ด้วยหัวใจที่รักชาติรักแผ่นดิน และเพื่อขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการ วันนี้จะต้องเป็นวันที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นวันที่พลเมืองดีลุกขึ้นมา​ต่อสู้มากที่สุดในโลก ยึดหลักสันติ สงบ มือเปล่าไม่มีอาวุธ แบบอหิงสาจริงๆ โลกจะต้องยกย่องพี่น้องชาวไทยวันนี้ตลอดไป ลูกหลานชาวไทยในวันข้างหน้าจะได้เรียนรู้ว่า ได้มีคนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อแผ่นดิน เป็นเสรีชน ซึ่งเราออกมาชุมนุมวันนี้มากที่สุดเพื่อที่จะยืนยันเจตนารมณ์ว่าต้องการเปลี่ยนแปลงป​ระเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ใช่แบบอื่น และยืนยันว่าต้องการปฏิรูปประเทศไทยก่อนเลือกตั้ง

“ถ้ารัฐบาลนี้และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยังดึงดันที่จะให้มีการเลือกตั้งต่อไป แสดงว่าเขาท้าทายประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จะต้องเห็นดีกัน แล้วไม่ต้องมากล่าวหาว่าเราต่อต้านการเลือกตั้ง เราไม่ได้ต่อต้านการเลือกตั้ง แต่เราต้องการการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่มีการซื้อเสียง ไม่ให้พวกอัปรีย์เข้ามาเป็นใหญ่ในบ้านเมืองอีกต่อไป” นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ถ้าเราต้องการปฏิรูปประเทศไทยเสียก่อน เราจึงต้องทำให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ถ้ายังดึงดัน ระบอบทักษิณอย่าเดินถนนออกมาพบประชาชนอีกเลย เพราะว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์หน้าด้าน ไม่ยอมลาออกโดยดี ทั้งที่ไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมาย และทางการเมือง แต่กลับมามีข้ออ้าง ออกมาพูดว่าพวกเราไม่มีเหตุผล น.ส.ยิ่งลักษณ์นั่นแหละที่ไม่มีเหตุผล และยังทำลายระบอบประชาธิปไตย ซึ่งความเลวร้ายเกิดขึ้นตั้งแต่ ทักษิณ มายึดครองประเทศนี้ มีครอบครัวเป็นนายกฯ มา 3 คน และนอมินีอีก 1 คนทำประเทศชิบหายทั้งสิ้น

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ควรไปส่องกระจกดูว่า ประชาธิปไตยในประเทศไหนบ้างทุจริตเลือกตั้ง พอถูกจับได้ก็หน้าด้านเปลี่ยนพรรคการเมือง ซึ่งตนแนะนำว่าให้ไปดูกำพืดคนในตระกูลเสียก่อน และที่กล่าวหาว่าไม่เคารพกฎหมาย แล้วทำไมไม่เคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทำไปไปว่าประชาชนคนดีๆ ที่ไปดูถูกเขา ถ้ารู้ว่าเป็นผู้วิเศษออกมาพูดก็จะยอมรับ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชั่วและโกงแผ่นดินจึงไม่ยอมรับ แล้วไม่ต้องอ้างว่าสิ่งที่พวกเราทำไม่ถูกกฎหมาย เพราะรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นทรราช จึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะออกมาขับไล่ และที่ออกมาด่าประชาชน จึงย้ำว่าไม่มีข้อต่อรอง ให้รู้ว่าคนที่โกง ไม่เคารพประชาธิปไตย ไม่ฟังเสียงประชาชน ยังอยู่ต่อไปก็ให้มันรู้ไป

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ตนขอยกย่องหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของพี่น้องประชาชนทั้งหลาย ซึ่งธรรมะต้องชนะอธรรมเสมอ และขอยืนหยัดว่าจะต่อสู้ต่อไป และไม่ต้องถามว่าจะจบลงเมื่อไหร่ จนกว่าคนพวกนี้จะหมดอำนาจ และเข้ามาจัดการประเทศด้วยมือประชาชน เรายืนยันชัดเจนว่าต้องการปฏิรูปการเลือกตั้ง เพราะเราไม่ต้องการกติกาแบบเดิมแล้วได้คนชั่วเข้ามาเป็นรัฐบาลแบบเดิม เข้ามาโกงกินแบบเดิม และเพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์หน้าด้านกอดเก้าอี้ เราจึงออกแรงมาขับไล่ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ มวลมหาประชาชนออกมาแสดงมติหลายล้านคน มากกว่าวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา ถ้ามันยังไม่ออก วันนี้เราปิดกรุงเทพฯ เพียงครึ่งวัน คราวหน้าเราจะปิดกรุงเทพฯ ทั้งวัน และเอาวันทำงาน ไม่ใช่วันเสาร์ อาทิตย์ ถ้าปิดกรุงเทพฯ วันเดียวมันอยู่ได้ เราก็จะปิดกรุงเทพฯ มัน 7 วัน

พี่น้องไม่อยากให้เสียหาย ไม่อยากให้เดือดร้อน เรามาชุมนุมครึ่งวัน นึกว่าข้าราชการ ตำรวจ ทหารจะมีสติกดดันรัฐบาลบ้าง แต่ก็ยังไม่เห็นใจประชาชน วันนี้ประชาชนเอาชีวิตเป็นเดิมพัน อยากถามว่าหัวใจข้าราชการอยู่ตรงไหน สู้กันมาจนจะสิ้นปีอยู่แล้ว ทำทุกอย่างสันติ สงบ ถ้าข้าราชการยังดูดายอย่าโทษประชาชนก็แล้วกัน เพราะต้องทำโดยวิธีประชาชน ถ้ายังดึงดันอยากจะรับใช้ระบอบทักษิณต่อไป จะให้ประชาชนไม่ต้องยกมือไหว้ เป่านกหวีดใส่เหมือนกัน เพราะพวกคุณนอนฟูกอยู่ที่บ้าน กินอาหารดี ประชาชนสู้เพื่อชาติ นอนกลางดิน กินกลางถนน แต่พวกเขาทำ ต่อไปนี้ข้อเรียกร้องของประชาชนจะเข้มข้นขึ้น ถ้าในเวลาที่จำกัดข้าราชการยังจงรักภักดีกับระบอบทักษิณ ตนจะนำประชาชนปฏิวัติประชาชนสมบูรณ์แบบ


“ขอประกาศเป็นสัจจะวาจา ว่าประชาชนหลายล้านคนเหล่านี้ ที่ลุกขึ้นมาทั้งประเทศ จะไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว สู้ให้มันตายไปทั้งหมดทั้งประเทศ ดีกว่าอยู่เป็นขี้ข้า” นายสุเทพ กล่าว

เราจะให้เวลาข้าราชการระยะหนึ่ง ถ้าเราทำทุกอย่างแล้วยังไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ แล้วยังสมัครใจรับใช้ระบอบทักษิณต่อไป เราจะทำปฏิวัติด้วยอำนาจของรัฐธรรมนูญ อาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ถ้าไม่ให้ดีๆ จะชิงคืน และจะได้เห็นกันไม่ช้านี้ คนอื่นยังสุขสบายกันอยู่ ส่วนเรามากินข้าวกลางถนน สู้เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน และสู้เพื่อลูกมันด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายสุเทพ ได้ก้มลงกราบบนพื้นของเวทีราชดำเนิน พร้อมกล่างขอบคุณหัวใจของประชาชนที่ออกมาร่วมต่อสู้ในวันนี้ นอกจากนี้ นายสุเทพยังกล่าวอีกว่า ในคืนนี้ให้มวลชนรวมตัวไปนอนกันที่สถานที่รับสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง แต่จะไม่เข้าไปข้างใน หากมีการย้ายสถานที่เลือกตั้งก็จะตามไป แล้วถ้าวันที่ 2 ก.พ. น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่ออก จะไม่มีการเลือกตั้ง เพราะจะปิดทั้งเมือง และทุกจังหวัด

 

 

 

 

***************************

 

 

 

 

      ความมหัศจรรย์ของการสวดมนต์

 

 
 
 


อาตมา (สมเด็จโต) ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเอง

ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร
...
ในสมัยนั้น…เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูติผีวิญญาณ
ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น

อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง


อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใด ก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา
อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้


เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์


มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ


เขาเล่าให้อาตมาฟังว่า เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่
กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่


นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตาถึง 7 วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ
ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย


วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้
อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้ผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้

อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า


พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
 

จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ


นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า..


ข้าแต่ท่านอาจารย์ ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่า.. การสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่าน หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูติผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าของรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการ ที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น


อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ อาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป..อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก จะขึ้นมา จึงได้จุดเทียนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ


ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้..ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักนักอยู่ อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้นก็อันตรธานหายไป


นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้


ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน


ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุ
ว่า อานิสงส์ของการสวดมานต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยีงนัก


จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต
อานิสงส์การสวดมนต์แผ่เมตตามหาบุญ
 
รูปภาพ : ความมหัศจรรย์ของการสวดมนต์อาตมา (สมเด็จโต) ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเองในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมรในสมัยนั้น…เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูติผีวิญญาณตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้นอาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิธัมมัง สะระณัง คัจฉามิสังฆัง สะระณัง คัจฉามิซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอาตมาไปที่แห่งหนตำบลใด ก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมาอาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำเขาเล่าให้อาตมาฟังว่า เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตาถึง 7 วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลยวันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้ผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิธัมมัง สะระณัง คัจฉามิสังฆัง สะระณัง คัจฉามิจนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกตินายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า..ข้าแต่ท่านอาจารย์ ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่า.. การสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่าน หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูติผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าของรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการ ที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้นอาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ อาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป..อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก จะขึ้นมา จึงได้จุดเทียนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้..ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักนักอยู่ อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้นก็อันตรธานหายไปนายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอนท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า อานิสงส์ของการสวดมานต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยีงนักจากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโตอานิสงส์การสวดมนต์แผ่เมตตามหาบุญ

                                 

            
 

 

 

 

 

 

 

*******************************

 

 

 

 

 

 

 

 

    

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

*************************

 

 

 

 

 Image

                 ชุมชนชาวมุสลิม

 

 

 

 

 

 

ชาวมุสลิม หรือที่เรียกกันว่า แขก มีหลักฐานว่าได้เดินทางเข้ามาตั้งแต่สมัยต้นอยุธยา โดยมาจากดินแดนอาระเบียและเปอร์เซีย ทั้งนี้ชาวมุสลิมจะมีบทบาททั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และด้านการปกครอง


      ชาวมุสลิมในอยุธยามี 2 นิกายด้วยกัน คือ นิกายชีอะห์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอิหร่านและเชื้อสาย ส่วนนิกายสุหนี่ จะเป็นเชื้อสายจากอาหรับ อินโดนีเซีย มลายู และปัตตานี


      ชุมชนมุสลิมส่วนใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของพระนคร นอกเกาะเมือง มีสุเหร่าแขกที่ปากคลองคูจาม มีพระจุฬาราชมนตรี เป็นเจ้ากรมท่าขวา ผู้ควบคุมดูแลชาวมุสลิม

Image
มัวร์

           มัวร์ หรือ แขกมัวร์ เป็นคำที่ใช้เรียกชาวมุสลิมโดยรวมที่มาจากเปอร์เซีย อาหรับ อาณาจักรออตโตมาน และอินเดีย


           ในสมัยพระนารายณ์มีพวกมัวร์อยู่กว่า 3,000 คน ในพระนครนั้นมีถนนบ้านแขก ซึ่งเป็นอิฐที่ดีสายหนึ่งของอยุธยา มีอาคารอิฐสองฟากฝั่ง พวกมัวร์ฟั่นเชือกขายแก่พวกเรือกำปั่นและสำเภา ทั้งฟั่นชุดจุดบุหรี่ด้วยเปลือกมะพร้าวขายด้วย ส่วนเชิงสะพานชีกุนตะวันตกเป็นตลาดชีกุน มีพวกแขกนั่งร้านขายกำไลมือกำไลเท้า ปิ่นปักผม แหวนต่าง ๆ และเครื่องประดับที่ทำด้วยทองเหลือง


           ในด้านการค้า มัวร์เป็นพ่อค้าที่นำสินค้าจากโลกมุสลิมมายังอยุธยา เช่น น้ำกุหลาบ พรมเปอร์เซีย อัญมณี เครื่องทอง ม้าอาหรับ ส่วนสินค้าออกจากอยุธยา เช่น พริกไทย กำยาน การบูร สำหรับสินค้าราคาดีที่ราชสำนักอยุธยาส่งขายยังอินเดียและเบงกอล คือ ช้าง ในปีหนึ่ง ๆ นั้น มีการส่งออกช้างที่เชื่องแล้วถึง 300 – 400 เชือก



เปอร์เซีย
Image
          

เปอร์เซีย หรือ แขกมะหง่ล หรือ แขกเจ้าเซ็น เป็นชื่อที่ใช้เรียกชาวอิหร่านและเชื้อสาย เชื่อว่าได้เดินเรือค้าขายกับสยามและดินแดนในแถบนี้มาตั้งแต่ก่อนการสถาปนาอยุธยา พร้อมกับนำศาสนาและวัฒนธรรมแบบโลกมุสลิมมาสู่สยาม


           ชาวเปอร์เซียในอยุธยาโดยทั่วไป คือ ชาวอินโด – อิหร่าน เพราะพ่อค้าชาวอิหร่านเริ่มเข้าไปตั้งชุมชนอยู่ตามเมืองท่าในอินเดียก่อน ชาวอิหร่านจำนวนมากได้แต่งงานกับสตรีพื้นเมืองอินเดีย ทำให้ลูกหลานมีเลือดผสมที่เรียกว่า กลุ่มชาติพันธุ์อินโด – อิหร่าน คนเหล่านี้ได้ขยายชุมชนและสถานีการค้าไปสู่ตอนใต้ของพม่า อยุธยา มลายู เรื่อยไปจนถึงเมืองจีน


           แต่เดิมชุมชนชาวเปอร์เซียตั้งอยู่นอกเกาะพระนครศรีอยุธยา ต่อมาในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ผู้นำชุมชนเชื่อ เฉกอะหมัด ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมมหาดไทย จึงได้รับพระราชทานที่ดินในเขตกำแพงพระนครให้ตั้งศาสนสถานและบ้านพักอาศัย ลูกหลานของเฉกอะหมัดได้มีบทบาทและอิทธิพลทางการเมืองการปกครองและการค้าสืบต่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์


           ในสมัยพระนารายณ์ มีการจ้างทหารเปอร์เซียจากอินเดียมาเป็นทหารรักษาพระองค์ถึง 200 คน


           ศิลปวัฒนธรรมเปอร์เซียในอยุธยามีปรากฏอยู่ในงานหลายแขนง เช่น การสร้างซุ้มประตูโค้งแหลมตามอย่างศิลปะโมกุลที่วังนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี และที่วัดกุฎีดาว เป็นต้น ศิลปะการลงยาราชาวดี ซึ่งเป็นเทคนิคของช่างมุสลิม และมีปรากฏในวรรณกรรมไทย เช่น นิทานอิหร่านราชธรรม ตลอดทั้งคำที่ใช้ในภาษาไทย เช่น ภาษี มาจากคำ บักซี , กุหลาบ มาจาก กุลาบ , องุ่น มาจาก อังงุล ฯลฯ

 

มลายู – ชวา – ปัตตานี


Image            ในสมัยอยุธยาตอนต้น มีหลักฐานว่ามีการนำทาสชายหญิงจากมะละกาเข้ามาขาย และซื้อคนชวามาเป็นทาส นอกจากนี้ยังมีการกวาดต้อนชาวมลายูและปัตตานีเข้ามายังอยุธยา เมื่อมีการทำสงครามปราบหัวเมืองมลายู


           ชุมชนมลายูอยู่ใกล้กับบ้านโปรตุเกส ส่วนแขกตานีหรือปัตตานี ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบคลองตะเคียน ริมวัดลอดช่อง พวกแขกตานีทอผ้าไหมผ้าด้าย เป็นผ้าพื้นผ้าม่วงเกลี้ยงม่วงดอกขาย ทั้งยังมีพ่อค้าแขกมลายู – ชวา – ตานี นำสินค้าจากถิ่นตนเองเข้ามาขายยังอยุธยาโดยจอดเรือค้าที่ปากคลองคูจาม มีสินค้า เช่น หมาก หวาย และของทะเล

           ในคราวกบฏมักกะสันตอนปลายสมัยพระนารายณ์ ชาวมลายูได้ถูกระดมกำลังถึง 300 คนให้เข้าร่วม แต่เมื่อชาวมลายูรู้ว่าจะต้องทำการกบฏจึงพากันถอนตัว ดังนั้น ในเหตุการณ์คราวนี้ หมู่บ้านชาวมลายูที่อยู่ติดกับหมู่บ้านแขกมักกะสัน จึงรอดพ้นจากการถูกปราบปรามทำลาย

 


Imageมักกะสัน


           แขกมักกะสัน เป็นกลุ่มชนจากเมืองมากัสซาร์ เกาะซีลีเบส ประเทศอินโดนีเซีย มีชุมชนอยู่ใต้หมู่บ้านมลายู


           ในปลายสมัยพระนารายณ์ พ.ศ. 2229 ชาวมักกะสันได้เป็นกลุ่มนำทำการกบฏเพื่อต่อต้านพระนารายณ์ ออกญาวิชาเยนทร์ และศาสนาคริสต์ โดยมีขุนนางไทยกลุ่มหนึ่งหนุนหลัง เพื่อจะยกพระอนุชาของพระนารายณ์ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน แต่ข่าวการกบฏรั่วไหลเสียก่อน ทหารฝ่ายอยุธยา จำนวน 1,500 คน ภายใต้การนำของออกญาวิชาเยนทร์ ได้ทำการปราบกบฏแขกมักกะสันที่มีกว่า 100 คน ทั้งเผาทำลายหมู่บ้านมักกะสันทิ้งอย่างราบคาบ


           กบฏชาวมักกะสัน ซึ่งมีเพียงกริชเป็นอาวุธ ได้รับการกล่าวขานถึงโดยชาวฝรั่งเศสว่าเป็นพวกใจกล้าบ้าบิ่น ดุร้าย ไม่กลัวความตาย พร้อมที่จะสู้จนตัวตาย เหตุการณ์ครั้งนี้นับศพมักกะสันได้ 42 ศพ (ไม่รวมที่ยังจม หรือ ลอยไปตามน้ำ) จับเป็นได้ 33 คน และแต่ละคนถูกแทงเสียจนนับไม่ถ้วน

 

Image
 
  Image


จาม


           แขกจาม เป็นผู้อพยพมาจากอาณาจักรจามปา ซึ่งอยู่ในเขตเวียดนาม ตอนกลาง – ใต้ เป็นชุมชนมุสลิมซึ่งปรากฏในแผนที่สมัยพระนารายณ์ว่าตั้งอยู่ในกำแพงพระนคร


           ชาวจามมีบทบาทในฐานะเป็นทหารอาสาคือ กรมอาสาจาม มีพระราชวังสันเป็นเจ้ากรม กรมนี้ยังมีสืบเนื่องมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ถึงแม้ว่าอาณาจักรจามปาจะล่มสลายไปแล้ว โดยถูกเวียดนามครอบครองเมื่อตอนปลายสมัยอยุธยา


           ในอยุธยา ชาวจามมีอาชีพสานเสื่อลานไตขาย ส่วนชาวจามแถววัดแก้วฟ้าและวัดลอดช่องนั้น ทอผ้าส่งขายตลาดป่าผ้าเขียว

 

 

               Image

 

 

 

 

แบ่งเขตการปกครอง เป็น 6 หมู่บ้าน
ประกอบด้วยหมู่บ้าน หมู่1 บ้านปากคลองวัดแจ้ง , หมู่1 บ้านท้ายคู , หมู่2 บ้านดิน , หมู่6 บ้านใต้วัดโคก , หมู่6 บ้านวัดทำใหม่ , หมู่10 บ้านหนองบัว

จำนวนประชากรใน ตำบลคลองตะเคียน
  จำนวนหลังคาเรือน : 546 หลังคาเรือน    
  จำนวนประชากร : 2,990 คน   จำนวนผู้สูงอายุ : 243 คน
  จำนวนเด็กแรกเกิด ถึง 6 ปี : 18 คน   จำนวนผู้สูงอายุ ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง : 142 คน
  จำนวนสตรีตั้งครรภ์ : 17 คน   จำนวนผู้สูงอายุ ที่ช่วยตนเองไม่ได้ : 9 คน
  จำนวนสตรีอายุ 35 ปี ขึ้นไป :  -  คน   จำนวนผู้พิการ : 45 คน

 

 

 

 

 

                   

 

 

 

 

 

 

*******************************

 

 

มวลมหาประชาชนสีลมนี่ ไม่เชื่อใช้ดินสอแหลมๆนับเลยครับ นับได้จริงๆ

 

 

 

นับดีๆใจเย็นๆ จะได้น้อยกว่าที่ผมนับ
ที่ผมนับนะ ผมนับเผื่อ(ให้มากกว่า)ไว้เยอะ ถือว่าหยวนๆกันไป
 

 

 

 

 

 
 

 

 

 

 

                           

ดูถูกคนจน คนชนบท แต่สุดท้ายก็ต้องมายกมือไหว้ขอคะแนนกับคนจน กับแม่ค้าขายของข้างถนน

 

 

 

                         

 

 

 

 

 

*******************************

 

 

 

 
 
 
 
 

guest

Post : 2013-12-15 20:30:12.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ทำไมต้องใส่ชุดดำไปงานศพ

 


 

 

                      ทำไมต้องใส่ชุดดำไปงานศพ

 

 

 

 

 

 

ดูเหมือนแฟชั่นสมัยนี้จะไม่ 'ถือ' เรื่องสีของเสื้อผ้ากันแล้วคนสมัยนี้จึงสามารถสวมชุดดำไปในงานต่าง ๆ ได้ แม้ในงานรื่นเริงก็ตาม  ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผู้หลักผู้ใหญ่เห็นเข้าคงตำหนิและให้ไปเปลี่ยนชุดใหม่ เพราะสีดำใช้กับงานศพ

คนสวมชุดดำคือคนไว้ทุกข์แสดงความเศร้าโศกอาลัยผู้จากไปคนที่ไปงานศพก็สวมชุดดำเพื่อแสดงความเคารพแก่ผู้เสียชีวิต

เมื่อสืบเสาะเรื่องการสวมชุดดำไปงานศพหรือไว้ทุกข์ของคนไทยจะเห็นว่าไม่ได้เป็นประเพณีของไทยแต่ดั้งเดิม  หนังสือประเพณีเนื่องในการเกิดและประเพณีเนื่องในการตาย ของเสถียร  โกเศศ 

กล่าวไว้ว่าคนไทยนุ่งทั้งสีขาวสีดำ และสีอื่น ๆ  ไปงานศพเพิ่งจะนิยมเฉพาะสีดำในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามนี่เอง

 

ต้นเหตุของการแต่งดำที่แท้จริงนั้นน่าจะเป็นความเชื่อที่เกิดจากความกลัวที่มีอยู่ในตัวมนุษย์มานานแล้ว  เพียงแต่มนุษย์แต่ละชาติแต่ละเผ่าพันธุ์และแต่ละยุคมีวิธีจัดการกับความกลัวนี้อย่างไร ความกลัวที่ว่าคือ กลัวภูตผีวิญญาณของคนตายจะกลับมาและหาร่างอยู่

 

พิธีศพของฝรั่งที่มีการจุดเทียนไว้รอบร่างผู้ตาย เพราะเชื่อว่าแสงเทียนจะทำให้วิญญาณตกใจไม่กล้าเข้าร่าง ด้วยเชื่อว่าในโลกของภูตผีวิญญาณนั้นไม่มีแสง มีแต่ความมืดมิดตลอดกาล เมื่อภูตผีเจอแสงเข้าจึงกลัว ดังนั้นเมื่อเข้าร่างคนตายไม่ได้ก็อาจจะเข้าร่างคนเป็นก็ได้ !

 

ด้วยความกลัวว่าวิญญาณจะเข้าสิงเอาขณะเผลอ  คนเป็นจึงต้องทำตัวให้ต่างไปจากเดิม  ด้วยการทาสีร่างกายหรือแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายแปลก ๆ  บางชุมชน ญาติผู้ตายที่ใกล้ชิดที่สุดจะเอาเสื้อผ้าของผู้ตายมาสวมอยู่หลายอาทิตย์หรืออาจจะหลายเดือนผู้ชายทางภาคอีสานของบ้านเราที่กลัวโรคไหลตายใช้วิธีทาเล็บด้วยสีแดงให้เหล่าภูตผีเข้าใจว่าเป็นผู้หญิงจะได้ไม่เอาตัวไป

 

ผ้าสีดำที่มักเห็นหญิงม่ายฝรั่งแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนคลุมหน้าในงานศพนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ กลัววิญญาณสามีจะจำได้  โดยเธอจะคลุมหน้าและแต่งดำไว้ทุกข์อยู่ ๑ ปีเต็ม

 

แต่ทำไมต้องสีดำ ?

 

นักโบราณคดีฝรั่งสันนิษฐานว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของผิว เพราะคนผิวขาวยุคแรกทาตัวด้วยสีดำในงานศพเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างคนกับวิญญาณ  ทำนองเดียวกันคนแอฟริกันผิวดำบางเผ่าที่ทาตัวด้วยสีขาวให้ตรงข้ามกับสีผิวธรรมชาติที่มีอยู่ เป็นการเลี่ยงไม่ให้วิญญาณเห็นและเข้าสิง  แม้ในศตวรรษนี้ก็ยังคงพอเห็นการปฏิบัติเช่นนี้ของคนผิวดำ ส่วนคนผิวขาวเปลี่ยนจากการทาสีตามตัวมาเป็นสวมเสื้อผ้าสีดำแทน

 

แนวคิดเรื่องชุดดำของคนไทยน่าจะมาจากทางตะวันตกนี้ด้วย  เพราะงานศพสมัยก่อนของคนไทยค่อนข้างจะครื้นเครงของเสื้อผ้าที่สวมก็ไม่ได้เคร่งครัดเจาะจงว่าจะเป็นขาวล้วนดำล้วนทั้งยังมีมหรสพการละเล่นยามค่ำคืนอีก เป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมประเพณีที่ฝรั่งเห็นเข้าเมื่อไรเป็นงงเมื่อนั้น



“ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”

 

 

                 

 

 

 

 

 

 ***********************

 

 

 

       กปปส.ส่อ รอเก้อ'ทูตมหาอำนาจ-อาเซียน'เมินคำเชิญเยี่ยมม็อบ

 

 

[Image: 600.jpg]

 
 
 
 
 
สถานทูตสหรัฐฯ–ฝรั่งเศส-อังกฤษ-จีนและอีกหลายชาติในอาเซียน มีแนวโน้มไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมสังเกตการณ์ชุมนุม ของกลุ่ม กปปส.เย็นวันนี้ ส่วนใหญ่อ้างติดภารกิจ ขณะที่โฆษก กปปส. รับมีทูตรับคำเชิญแล้ว แต่ไม่เกิน 5 ประเทศ

จากกรณีที่กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที​่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ประกาศว่าจะเชิญเอกอัครราชทูต ทูตานุทูตและเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศในประเทศไทย มาเยี่ยมชมและรับทราบมุมมองของการเคลื่อนไหวของ กปปส.ในเวลา 18.00 น. วันนี้ (18 ธ.ค.) นั้น

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้สอบถามไปยังสถานเอกอัครราชทูตต่างๆ ในประเทศไทย อาทิ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย แจ้งว่า ทางเอกอัครราชทูต ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสถานทูต ได้มีการติดต่อพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนถึงสถานการณ์การเมืองไทย ทั้งกับฝ่ายรัฐบาลไทย และกลุ่มผู้ประท้วงคัดค้านรัฐบาลเป็นระยะๆ อยู่แล้ว

โดยรัฐบาลสหรัฐฯ มีจุดยืนในการเคารพการตัดสินใจของประชาชนไทย และสนับสนุนให้มีการหาทางออกโดยสันติวิธีอยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน นายมาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ได้ตอบคำถามผ่านทางทวิตเตอร์ @KentBKK ว่า ทางสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ น่าจะไม่ส่งผู้แทนไปตามคำเชิญของ กปปส. เช่นเดียวกับแหล่งข่าวจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทยก็ยืนยันเช่นกันว่า จะไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมการเยี่ยมชมดังกล่าว

ขณะที่สถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย กล่าวกับ "ไทยรัฐออนไลน์" ว่า ทางสถานทูตได้รับหนังสือจากกลุ่มกปปส.แล้วเรียบร้อย และจะไม่ส่งตัวแทนเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ รวมถึงเชื่อว่าสถานทูตประเทศอื่นๆ ก็คงไม่ตอบรับเช่นกัน

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถามไปยังสถานเอกอัครราชทูตของประเทศในกลุ่มอาเซียน พบว่า ทางเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียติดภารกิจอยู่ที่ จ.พิษณุโลก ไม่สามารถมาร่วมได้เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ทูตคนอื่นๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตลาวและสิงคโปร์แจ้งว่าไม่ทราบเรื่องนี้

ขณะที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวถึงกระแสตอบรับ สถานเอกอัครราชทูตต่างๆ ที่จะเดินทางมาดูพื้นที่การชุมนุมช่วงเย็นนี้ตามคำเชิญ ล่าสุด มีสถานทูตตอบรับไม่มาก ไม่เกิน 5 ประเทศ

โดย: ไทยรัฐออนไลน์

18 ธันวาคม 2556, 15:56 น.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

ศาล รธน.มติ 6:3 ไม่รับคำร้อง'สุเทพ-อภิสิทธิ์'ล้มล้างปกครอง

 

 

 

 

 

 

 

ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 6:3  ไม่รับคำร้อง"สุเทพ-อภิสิทธิ์"ล้มล้างปกครอง ชี้ประชาชนชุมนุมใช้เสรีภาพสงบปราศจากอาวุธ เหตุไม่ไว้วางใจรัฐบาล

 

ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง  ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย กรณีที่ นายกิตติ อธินันท์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ  นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ กระทำการเพื่อล้มล้างการปกครอง ระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องจากได้จัดให้มีการชุมนุมปิดเส้นทางการจราจรบนถนนราชดำเนิน จากแยกสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และในภายหลังมีการบุกยึดสถานที่ราชการต่างๆ

 

โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การชุมนุมของประชาชน ตามคำร้องเป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุม โดยสงบ และปราศจากอาวุธ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง โดยมีเหตุผลมาจากความไว้วางใจ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ของรัฐบาล อันถือเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และเป็นเพียงการเรียกร้องและแสดงพลังด้วยการสนับสนุนของประชาชนเป็นจำนวนมาก

 

 

ที่มา : http://news.voicetv.co.th/democracycrisis/91506.html

         18 ธันวาคม 2556 เวลา 18:04 น.

 

 

 

 
 
            เเต่ศาลอาญากลับเห็นต่าง
 
 
  
 
 
 
 
 
 
 
 
ศาลอาญาไม่ถอนหมายจับข้อหากบฏตามที่สุเทพร้องขอ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าสุเทพไม่ผิดมาตรา 68 นั้น ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงจากการไต่สวน คำวินัจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีผลผูกพันธ์ศาลอาญา
 
 
 
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าสุเทพไม่ผิดมาตรา 68 นั้น ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงจากการไต่สวน ศาล รธน สั่งยุบ ศาลอาญาซะเลย บังอาจมาวินิจฉัยขัดกับศาล รธน ได้งัย!!
 
 
ถ้าใครใคร่จะบุกรุกสถานที่ราชการ ทำได้ครับ เพราะเป็นการบุกแบบสันติ
ข้าวของ notebook ที่กระทรวงการคลังหาย เป็นการหายเพื่อสันติและอหิงสา
ตำรวจที่ได้รับเบ็ดเจ็บ ก็ถือว่าซวย ที่ไม่รู้จักหลบ กระสุนอหิงสา
ถ้าใคร่จะปิดล้อม บังคับ ขืนใจใคร เป่านกหวีด ล้วนทำได้ทั้ง
เพราะล้วนเป็นการกระทำตามสิทธิในรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น
(เอ...แล้วมาตรา 68 มันเขียนกันไว้ทำไม..)
 
 
 
 
 
  
 
 
 
 
 
 
 
 
*************************************
 
 
 
 
 
 
 

 

        การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว

 



    

                        


 

 

 

ความขัดแย้งภายในครอบครอบครัว เป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อใดก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
จำเป็นที่จะต้องแก้ไขด้วยการพูดจาตกลงกันให้รู้เรื่อง ชีวิตครอบครัวที่จะมีความสุขนั้นสมาชิกต้องรู้จักวิธี
โต้เถียงกันและแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาในทางที่สร้างสรรค์

ต่อไปนี้ เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

1. แสดงความรู้สึกและอารมณ์ที่แท้จริงออกมาอย่างตรงไปตรงมา เช่น เมื่อรู้สึกโกรธ ก็ควร
จะพูดออกมาว่า “โกรธ” ดีกว่าที่จะใช้อารมณ์พูดถากถางเสียดสีหรือเปรียบเปรยอีกฝ่าย

2. เมื่อจะพูดกับอีกฝ่ายถึงปัญหาข้อขัดแย้ง ต้องมีความพร้อมทางร่างกาย อย่างน้อยที่สุดต้อง
ไม่รู้สึกหิว หรือเหนื่อย

3. พูดถึงเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นปัญหา ไม่ใช่ตีตราบุคลิกภาพของอีกฝ่าย เช่น พูดว่า “ฉันไม่
ชอบที่คุณทำอย่างนี้” แทน “คุณนี่แย่มากที่ทำอย่างนี้” เป็นต้น

4. ให้โอกาสอีกฝ่ายชี้แจงเหตุผล จงฟังสิ่งที่อีกฝ่ายชี้แจงอย่างตั้งใจ อย่ารีบด่วนตัดสิน
ความผิด เพราะการมีอคติจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้

5. ย้ำเรื่องราวให้เข้าใจตรงกัน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเข้าใจความหมายของคำพูดตรงกัน
เมื่อพูดต้องสังเกตท่าทีและความรู้สึกของอีกฝ่าย เพื่อการปรับท่าทีให้เหมาะสม

6. ฝ่ายที่ถูกโกรธจะต้องจับประเด็นปัญหาให้ได้ ว่าถูกโกรธเรื่องอะไร หาปัญหาที่แท้จริง
ค้นหาได้จากการถามอย่างนุ่มนวล ไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตกเป็นจำเลย แต่ให้บอกถึงสิ่งที่ต้องการจริงๆ

7. พูดเฉพาะเรื่องปัญหาปัจจุบัน ไม่ควรนำเรื่องเก่าที่ค้างฝังใจมาพูดปนกับปัญหาที่ต้องการ
แก้ไข ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งพูด ควรยับยั้งด้วยการพูดตัดบทว่า คงต้องแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ก่อน เรื่องเก่านั้นเอาไว้
พูดทีหลัง

8. เตรียมพร้อมเสมอที่จะประนีประนอม การประนีประนอมต้องมีความตั้งใจจริงที่จะพบกัน
ครึ่งทาง การยอมอีกฝ่ายไปเสียทุกอย่างหรือ “ยอมประนีประนอม” แต่รู้สึกตลอดเวลาว่า “จริงๆแล้ว ฉันเป็น
ฝ่ายถูก” เหล่านี้มิใช่การประนีประนอมที่แท้จริง

9. ขอให้เรื่องจบลงด้วยดี ทุกครั้งที่ขัดแย้งหรือโต้เถียงกัน ขอให้เรื่องจบลงด้วยดี ด้วยการ
เจรจากันให้เข้าใจ ทั้งสองฝ่ายอย่าปล่อยทิ้งค้างไว้ ให้เป็นเรื่องบาดหมางกันทีหลัง

10. จงตั้งใจมั่นที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุข ครอบครัวที่สมาชิกตั้งใจมั่น และขวนขวายทุก
วิถีทางที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุข ถือเป็นจุดร่วมพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

การแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัว ควรมุ่งประเด็นว่า “ทำอย่างไร พวกเราจึงจะสามารถ
แก้ปัญหานี้ได้” มากกว่า “ใครคือคนที่ก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งควรถูกตำหนิมากที่สุด?”

.
สมพร อินทร์แก้ว. รวมบทความสุขภาพจิตครอบครัว. มปท. 2537, หน้า 17 – 18.

 



*******************************

 

 

 

 

                ประวัติความเป็นมาของวันพระ

 
 
 
 
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2556 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน อ้ัาย.........
 

 

วันพระ
 
 วันพระทำใจให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน
 

 

ความเป็นมาของวันพระ

 
     ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยพุทธกาลที่ผ่านมาได้มีเหล่านักบวชนอกศาสนาประชุมแสดงคำสอนตามความเชื่อของตนทุกวัน 8 ค่ำ 14 ค่ำ และ 15 ค่ำเป็นปกติ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารพระราชาแห่งแคว้นมคธ ทราบจึงเกิดความคิดว่าคณะสงฆ์ใน
พระพุทธศาสนาน่าจะได้กระทำเช่นนั้นบ้าง เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาของเหล่าพุทธศาสนิกชน เฉกเช่นที่นักบวชนอกศาสนานั้นได้รับ จึงกราบทูลขอพุทธานุญาตจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระเจ้าพิมพิสารกราบทูลแล้ว พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตตามนั้น การประชุมกันของเหล่าสงฆ์ตามพุทธานุญาตได้มีวิวัฒนาการขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่การมาประชุมแล้วนั่งนิ่ง เริ่มแสดงธรรม ต่อมาทรงอนุญาตให้สวดปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นการทบทวนข้อปฏิบัติที่เป็นวินัยของสงฆ์ในพระพุทธศาสนาพร้อมกับการแสดงอาบัติ

 

 

 

 
 
 
 
วันพระ วันธรรมสวนะ หรือวันอุโบสถ

 

วันพระหรือวันอุโบสถ

 

 

 

      กำหนดโดยถือการเปลี่ยนแปลงของพระจันทร์ จากเดือนเต็มดวงจนถึงเดือนมืดและกลับเป็นเดือนเต็มดวงอีกครั้ง โดยคืนพระจันทร์เต็มดวงเรียก ขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์ค่อยๆ ดับ นับ แรม 1 ค่ำ 2 ค่ำ ตามลำดับ ถึง 15 ค่ำ เป็นวันพระจันทร์ดับพอดี จากนั้นเริ่มนับขึ้นจากวันขึ้น 1 ค่ำ 2 ค่ำ จนถึงขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งหนึ่ง เป็นอันครบรอบ 1 เดือน

ความสำคัญของวันพระ 

      จากพุทธานุญาตให้มีตัวแทนสงฆ์รูปหนึ่งสวดทบทวนสิกขาบท ที่ทรงบัญญัติไว้เป็นระเบียบปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกและเพื่อความบริสุทธิ์ในเพศสมณะที่ต้องบริบูรณ์ด้วย ศีล สมาธิ(Meditation) และปัญญา อันเป็นทางหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงตามเส้นทางของพระพุทธศาสนา โดยมีภิกษุผู้สวดทบทวน เมื่อสวดถึงข้อใดแล้วมีภิกษุรูปใดรูปใดรูปหนึ่งประพฤติผิดข้อบังคับนั้น จะเปิดเผยท่ามกลางที่ประชุม หรือที่เรียกว่าแสดงอาบัติ ซึ่งถือปฏิบัติเช่นนี้สืบต่อๆ กันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ก่อให้เกิดผลดังนี้ คือ
 
      1. เกิดความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคณะสงฆ์ ด้วยระเบียบปฏิบัติที่หมั่นทบทวนและเตือนตนด้วยการแสดงการยอมรับในสิ่งที่ตนละเมิด เพื่อแก้ไขต่อไป ในข้อนี้มีปรากฏการณ์เด่นชัดเมื่อครั้งพุทธกาล คือเมื่อครั้งพระภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะเบาะแว้งแตกความสามัคคีกันภายหลังเมื่อกลับมีความสามัคคีใหม่ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ประชุมทำอุโบสถสวดพระปาฏิโมกข์เป็นกรณีพิเศษ ที่เรียกว่า วันสามัคคีอุโบสถ
 
      2.  การหมั่นทบทวนอย่างสม่ำเสมอ ทำให้พระธรรมคำสอนไม่คลาดเคลื่อน เลือนหายและทำให้หมู่คณะจรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้  วันอุโบสถนั้น นอกเหนือจากเป็นวันสำคัญของทางคณะสงฆ์ดังกล่าวแล้ว ยังเป็นวันประชุมฟังธรรมของเหล่าพุทธศาสนิกชนตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันนี้
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ในวันพระพุทธศาสนิกชนควรไปวัดเพื่อทำบุญ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ และฟังธรรม 
 
 
     ในส่วนของพุทธศาสนิกชนนั้น การละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาผ่านการแสดงออกเป็นรูปธรรมด้วยการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ก็จริง แต่ในชีวิตประจำวันแล้วโลกภายนอกสำหรับคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนเต็มไปด้วยข้อจำกัดในการกระทำความดีเหล่านั้นให้สมบูรณ์ ดังนั้น วันอุโบสถ จึงเป็นเป็นการปรารภเหตุที่จะให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้มีโอกาสหันกลับมาทบทวนการทำดีดังกล่าว โดยการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนามากขึ้นเป็นพิเศษ  

พิธีรักษาอุโบสถ 

     อุโบสถ แปลอย่างตรงตัวว่า “การเข้าจำ” ถือเป็นอุบายหรือกลวิธีสำหรับขัดเกลากิเลสอย่างหยาบให้เบาบางลง ไม่ให้ทับถมพอกพูนมากขึ้นและเป็นทางนำไปสู่ความสงบระงับอันเป็นความสุขสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นพุทธศาสนิกชนจึงนิยมประพฤติปฏิบัติกัน อุโบสถเป็นชื่อของกุศลกรรมอันสำคัญอย่างหนึ่งในพุทธศาสนามี 2 อย่างคือ
 
      1. ปกติอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันตามปกติธรรมดาในเฉพาะวันและคืนหนึ่งในวันพระ คือ วันขึ้น – แรม 8 ค่ำ 14 หรือ 15 ค่ำ
 
      2. ปฏิชาครอุโบสถ คืออุโบสถที่รับรักษาเป็นพิเศษกว่าปกติ คือ รักษาคราวละ 3 วัน จัดเป็นวันรับวันหนึ่ง วันส่งวันหนึ่ง เช่น รักษาอุโบสถในวัน 8 ค่ำ ก็รับตั้งแต่วัน 7 ค่ำ 8 ค่ำ รักษา และ 9 ค่ำ เป็นวันส่ง เป็นต้น
 

     โดยเนื้อแท้ การรักษาอุโบสถ ก็คือ การสมาทานรักษาศีล 8 อย่างเคร่งครัดเป็นเอกัชฌสมาทานมั่นคงอยู่ด้วยความผูกใจตลอดกาลของอุโบสถที่ตนสมาทานนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดประโยชน์สำคัญดังกล่าวแล้ว  

 

 

 
 
วันพระเข้าวัดถือศีลฟังธรรม เป็นวัฒนธรรมชาวพุทธ
 
  วันพระต้องละนิวรณ์ มารักษาอุโบสถศีลกันเถอะ 

 

ข้อพึงปฏิบัติในเวลารักษาอุโบสถ 

     ในวันพระสาธุชนจะไปวัดทำบุญที่วัดใกล้บ้าน มีการถวายภัตตาหารพระ รักษาศีลและเจริญภาวนา ทำความสะอาดวัด นิมนต์พระเทศน์ให้ฟัง เพราะถ้าไม่มีการสอนธรรมะแล้ว ความรู้ที่แท้จริงก็จะเลือนหายไป เนื่องจากสังคมทุกวันนี้ คนเชื่อ คิด ทำ ต่างๆ นาๆ จนมักไปทำความชั่วหรือดำเนินชีวิตที่ไม่ถูกต้อง และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้กิจกรรมในวันอุโบสถเอื้อต่อการรักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ด้วยดี พุทธศาสนิกชนจึงควรถือปฏิบัติคือ เมื่อถึงวันพระ ต้องละนิวรณ์ นิวรณ์ แปลว่า เครื่องกั้นใช้หมายถึงธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้น หรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิตใจ  
 
นิวรณ์ มี 5 อย่างคือ
 
 
1. กามฉันท์ ความพอใจติดใจอยู่ในสิ่งที่ชอบใจ คือติดความสุขในกาม 
2. พยาบาท ความคิดร้ายผู้อื่น คือมีความโกรธอาฆาตอยู่ 
3. ถีนมิทธะ ความหดหู่ ท้อแท้ และเคลิบเคลิ้ม เศร้าซึม 
4. อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน อึดอัด กลัดกลุ้ม วิตกกังวล และรำคาญใจ 
5. วิจิกิจฉา ความลังเลใจ ตัดสินใจไม่ได้ ความสงสัยกังวล
 
      ดังนั้นในวันพระ พุทธศาสนิกชนผู้ใคร่ในธรรม ควรไปวัดเพื่อทำบุญ ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา และควรที่จะสมาทานรักษาอุโบสถศีลด้วย นอกจากนี้ในวันพระ เราก็ไม่ควรกระทำบาปใดๆ ทั้งสิ้น เพราะการทำผิดศีล 5 ในวันพระถือว่าเป็นบาปอย่างยิ่ง  
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
*****************
 
 
 
 
  
           นายกลาออกเถิด
 
 
 
 

 

        http://www.matichon.co.th/gallery/fullimages/2008/11/1227754809.jpg

 

 

 

"เจ้าดวงเดือน" ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ จี้นายกฯลาออก เสียสละเพื่อบ้านเมือง ชี้ต้นเหตุปัญหาอยู่ที่ "ทักษิณ" แนะควรหยุดได้แล้ว ...

 

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ จ.เชียงใหม่ มีรายงานว่า เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองว่า ตนคิดว่าวินาทีนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ควรจะทบทวนตัวเองได้แล้ว ว่า เหตุใดมีผู้คนออกมาขับไล่มากมายขนาดนี้ ควรเสียสละตนเอง เพื่อไม่ให้คนไทยมีความบาดหมางซึ่งกันและกันมากไปกว่านี้ เพราะทุกชีวิตคนไทยมีค่า และอยากให้ประเทศสงบ

 

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ นายกฯ ควรลาออกไปได้แล้ว เพียงแค่ยุบสภานั้นไม่เพียงพอ ในฐานะคนเชียงใหม่และก็คุ้นเคยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาก่อน ก็อยากเห็นบ้านเมืองสงบ นำไปสู่การทำให้เมืองไทยมีคุณค่า การที่จะอยู่ในสังคมร่วมกัน ระรานกัน ด่ากันอย่างนี้ มันไม่น่าอยู่เหมือนก่อนแล้ว ทั้งนี้คนไทยควรมองไปที่ต้นเหตุของความขัดแย้ง นั่นคือ ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียว และตัวเค้าก็ควรจะหยุดได้แล้ว.

 

 

 

 

 โดย คุณไท payai 197...

 

 

" ดั้งเดิมพวกเขาก็เป็นเพื่อน ๆ เรา เป็นญาติ ๆ เรานี่แหละ...

 แต่พวกเราเอง..ได้ยกย่องสถาปนาให้พวกเขาให้ขึ้นมาเป็นเจ้า...

เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ...

 

โดยทางล้านนา ต้นตระกูล ณ เชียงใหม่, ณ ลำพูน, ณ ลำปาง และ เชื้อเจ็ดตน ฯลฯ

มาจากพรานป่า ชื่อ หนานทิพย์ช้าง ชาว ต.ปงยางคก อ.ห้างฉัตร เมืองลำปาง

ซึ่งตรงกับยุคปลายรัชสมัยของพระเจ้าท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา..

ขณะนั้นพม่ายึดครองนครลำปาง หนานทิพย์ช้าง..พรานป่าผู้กล้าหาญก็ได้เป็นผู้นำชาวบ้านลุกขึ้นต่อสู้ขับไล่พม่า

จนสามารถยึดเมืองลำปางกลับคืนมาได้...

 

นี่คือ รากเหง้าความเป็นเจ้าทางล้านนา..ในยุคสมัยของราชวงศ์ทิพย์จักร หรือ ทิพยจักราธิวงศ์..

ในยุคก่อนหน้านั้น เป็นยุคสมัยราชวงศ์โยนก (เชียงแสน)โดยมีพ่อขุนเม็งรายผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ เชียงราย

ผู้เป็นพระสหายกับพ่อขุนงำเมืองแห่งเมืองพะเยา และพ่อขุนรามคำแหง แห่งเมืองสุโขทัย เป็นกษัตริย์องค์หนึ่งที่เก่งกาจ

แต่กษัตริย์องค์ต่อๆ มาอ่อนแอจึงทำให้ราชอาณาจักรล้านนาได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า..และสูญสิ้นราชวงศ์โยนก(เชียงแสน)ไปซึ่งพอหมดสิ้นยุคราชวงศ์โยนก พม่าก็ได้ยึดครองล้านนากว่า 200 ปี

 

ต่อมาก็เป็นยุคของราชวงศ์ทิพยจักราธิวงศ์ ครองราชอาณาล้านนาในเวลาต่อมา..

จนที่สุดล้านนาก็ถูกผนวกเข้ากับสยามประเทศในยุคของรัชการที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี

เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี่เอง..."

 

 

 

           

 

 

       

               ถิ่นเดิมชาวไทย

 

 

 

                                

 

 

 

 โดย
nachart@yahoo.com



อยากทราบประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่เคยเรียนมาในยุคก่อนว่าคนไทยเราได้อพยพมาจากแถบเทือกเขาอัลไตในประเทศจีนนั้น ทราบว่าขณะนี้มีนักประวัติศาสตร์ยุคใหม่อ้างว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากขาดหลักฐานอ้างอิงที่ถูกต้อง ขอทราบรายละเอียดด้วยครับ

ไท

ตอบ ไท


หนังสือ "โบราณคดีเบื้องต้น" โดย รศ.ปรีชา กาญจนาคม คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สรุปสมมติฐาน 6 ข้อเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไทย ดังนี้

 

1.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันตกและเอเชียกลาง

สมมติฐานนี้อิงอยู่กับทฤษฎีความเชื่อที่ว่าแหล่งอารยธรรมของโลกตะวันออกมีจุดดั้งเดิมอยู่ที่บริเวณเอเชียกลางใกล้ทะเลสาบแคสเปียน ก่อนที่จะแพร่กระจายออกไปในทิศทางต่างๆ แต่จากการขุดค้นพบโครงกระดูกคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ใกล้กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี พ.ศ.2470 และการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีของจีน ทำให้สมมติฐานข้อนี้ไม่เป็นที่ยอมรับอีกต่อไป

2.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่บริเวณตอนเหนือและบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวน

สมมติฐานนี้อิงอยู่กับประวัติศาสตร์จีนสมัยราชวงศ์ฮั่นที่มีบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรในบริเวณนี้ว่าชื่ออาณาจักรต้ามุง อาณาจักรลุง อาณาจักรปา และอาณาจักรอ้ายลาว เป็นอาณาจักรของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทย สมมติฐานนี้ยังสัมพันธ์กับทฤษฎีที่ว่าอาณาจักรน่านเจ้าเป็นของคนไทย โดยพวกอ้ายลาวได้สถาปนาขึ้นภายหลังที่หนีการรุกรานของจีนลงมาจากทางเหนือ ต่อมาอาณาจักรน่านเจ้าถูกรุกรานจากพวกมองโกลและได้อพยพผู้คนลงมาสู่ทางใต้ในบริเวณแหลมอินโดจีนจนเกิดเป็นรัฐต่างๆ ขึ้นในเวลาต่อมา

สมมติฐานนี้ถูกคัดค้านเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าทางด้านชาติพันธุ์วิทยาและภาษาศาสตร์ พบว่ากลุ่มคนที่พูดภาษาไทยเป็นพวกที่ประกอบการกสิกรรมเพาะปลูกพืชเมืองร้อน เช่น ปลูกข้าวเจ้าเป็นหลัก ถิ่นเดิมของคนที่พูดภาษาไทยจึงน่าจะอยู่ในเขตร้อนชุ่มชื้นมากกว่า

และการสำรวจหลักฐานข้อมูลจากจดหมายเหตุจีนทั้งหมด ยังพบว่า ไม่เคยมีคนที่พูดภาษาไทยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนมาก่อน ไม่มีแม้แต่การอพยพผู้คนทั้งชนชาติเพื่อหนีการครอบงำของชนชาติจีน และยังได้พบอีกว่าภาษาของคนส่วนใหญ่ของอาณาจักรน่านเจ้าไม่ใช่ภาษาไทย ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของคนน่านเจ้าส่วนมากก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับพวกกลุ่มคนไทย

3.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่บริเวณมณฑลยูนนาน และทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

สมมติฐานนี้อิงอยู่กับทฤษฎีของการจัดกลุ่มภาษาไทย-กะได-อินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทย โดยนำมาศึกษาค้นคว้าร่วมกับแนวคิดของนักมานุษยวิทยา และเชื่อว่ากลุ่มคนที่พูดภาษาไทยมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มในเขตร้อนชุ่มชื้น นอกจากนั้นยังเชื่อว่ากลุ่มคนที่พูดภาษาไทยจะต้องอพยพเคลื่อนย้ายจากทิศใต้ไปทิศเหนือ อย่างไรก็ตาม สมมติฐานนี้ก็ไม่มีหลักฐานข้อมูลใดๆ ที่สนับสนุนอย่างชัดเจน

 

4.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนกลางของจีน และที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโห กับแม่น้ำแยงซีเกียง

เป็นสมมติฐานว่าด้วยถิ่นกำเนิดชนชาติไทยที่เก่าแก่ที่สุด หลักฐานข้อมูลทางภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์ พบว่าในบริเวณนี้เป็นอู่อารยธรรมของจีนมานาน และมีกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณดังกล่าวก่อนที่จะอพยพเข้ามาอยู่ที่น่านเจ้า แต่ในขณะเดียวกันพวกจีนยังคงอยู่ที่ราบสูงตอนบนของลุ่มแม่น้ำฮวงโห

สมมติฐานนี้ถูกล้มล้างไประยะหนึ่ง จนเมื่อ แชมเบอร์เลน นักภาษาศาสตร์ ศึกษาศัพท์สัตววิทยาในภาษาไทยดั้งเดิม เชื่อว่า ถิ่นเดิมชนชาติไทยน่าจะอยู่บริเวณชายทะเลเหนือปากแม่น้ำแยงซีเกียง หรือลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงตอนล่าง การศึกษาค้นคว้านั้นยังได้สนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับศัพท์ของกล้าข้าวประเภทต่างๆ ในภาษาไทยที่สะท้อนว่ากลุ่มคนที่พูดภาษาไทยอาจเป็นคนกลุ่มแรกที่รู้จักการเพาะปลูกข้าวนาลุ่ม สอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีที่ว่า บริเวณที่ราบลุ่มของแม่น้ำแยงซีเกียงตอนล่าง มีการทำนาลุ่มมาแล้วตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และอาจเป็นแห่งแรกของโลกด้วยก็ได้

5.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่บริเวณตอนใต้ของจีน กับบริเวณตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง และบริเวณรอยต่อตอนเหนือของเวียดนาม

เป็นสมมติฐานที่น่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากที่สุด โดยมีหลักฐานข้อมูลหลายสาขาสนับสนุน เช่น ทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทย พบว่ากลุ่มคนพวกนี้เลือกที่จะอาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบหุบเขาหรือเชิงเขา ปลูกข้าวนาลุ่ม หรือพืชเมืองร้อน เป็นพวกที่อพยพมาจากบริเวณที่ราบลุ่มในเขตร้อนชุ่มชื้นมากกว่าที่จะมาจากทางตอนเหนือ ดังนั้น พวกนี้จึงอาจมีถิ่นเดิมอยู่ในมณฑลกวางสีและมณฑลกวางตุ้ง

ด้านภาษาศาสตร์ นักภาษาศาสตร์รวมทั้งแชมเบอร์เลนกล่าวว่าบริเวณทางตอนใต้ของจีนเป็นถิ่นกำเนิดของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทย หลักฐานข้อมูลทางพงศาวดารและประวัติศาสตร์เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยน่าจะอยู่ที่บริเวณตอนใต้ของจีน การแพร่ขยายของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยน่าจะเริ่มขึ้นหลังคริสต์ศตวรรษที่ 8 ต่อจากนั้นมาก็เริ่มปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับคนไทยมากขึ้นตามลำดับ และเป็นการอพยพในแนวทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก

6.ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่บริเวณประเทศไทย

สมมติฐานล่าสุดอิงอยู่กับหลักฐานทางโบราณคดีและมานุษยวิทยากายภาพ โดยศึกษาเปรียบเทียบโครงกระดูกคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ขุดค้นพบที่บ้านเก่า จ.กาญจนบุรี กับคนไทยปัจจุบัน พบว่าลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นแนวความคิดของ ศ.น.พ.สุด แสงวิเชียร สมมติฐานนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเพราะไม่อาจพิสูจน์ได้ชัดเจนถึงภาษาและวัฒนธรรม และผลการขุดค้นทางโบราณคดีเกี่ยวกับชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อไม่นานนี้ ปรากฏว่าขัดแย้งกับสมมติฐานข้างต้น เพราะชุมชนเหล่านั้นไม่ใช่กลุ่มคนที่พูดภาษาไทย

สมมติฐานทั้ง 6 ข้อ มีเพียงสมมติฐานข้อที่ 3-6 เท่านั้นที่ยังมีคุณค่าทางวิชาการที่น่าศึกษาค้นคว้าต่อไป เพราะสมมติฐานเหล่านั้นอิงอยู่กับหลักฐานข้อมูลทั้งทางภาษาศาสตร์ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และมานุษยวิทยา โดยสมมติฐานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด น่าจะเป็นสมมติฐานข้อที่ 5

 

 

 

 

 

 

 

****************************

 

 

 

นวดกดจุดบนใบหน้า ทางเลือกแก้นอนไม่หลับในผู้สูงอายุ

 

 


                                 

 

 

 

 

 การนอนหลับ ถือเป็นปัญหาสำคัญในผู้สูงอายุที่ต้องตระหนัก เพราะการนอนหลับที่ดีหรือการนอนที่มีคุณภาพ จะช่วยให้ตื่นมาอย่างสดชื่น มีสุขภาพแข็งแรง หากการนอนนั้นไม่มีคุณภาพ ผู้สูงอายุจะรู้สึกวิงเวียน ไม่สดชื่น และไม่กระปรี้กระเปร่า ซึ่งหากเป็นเรื้อรัง จะส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย อาจมีอาการเบื่ออาหาร ทานอาหารไม่อร่อย และสุดท้ายอาจกระทบต่อความสมดุลของร่างกาย

การนวดกดจุดบนใบหน้า มิใช่เพียงให้ผู้ป่วยนอนหลับได้เท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้ผ่อนคลาย และปรับสมดุลของอวัยวะต่างๆ ในร่ายกาย เนื่องจากบริเวณใบหน้ามีจุดที่เป็นตัวแทนอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เป็นที่ตั้งของต่อมไพเนียล (Pineal gland) ตัวสร้างฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ที่ช่วยให้นอนหลับสบาย นอกจากนี้ยังมีต่อมพิทูอิทารี (Pituitary Gland) กระตุ้นให้มีการหลั่งสาร endorphin ทำให้ผู้ป่วยคลายเครียดและหลับสบาย


 

บริเวณใต้ตาเป็นตัวแทนของไต การกดนวดบริเวณนี้จะช่วยปรับสมดุลการทำงานของไต ที่ขับของเสียออกจากร่างกาย ต่ำลงมา คือ บริเวณโหนกแก้ม เป็นที่อยู่ของลำไส้ใหญ่ ยอดปลายจมูก คือ กระเพาะอาหาร บริเวณมุมปากเป็นที่อยู่ของปอด

นอกจากนี้ บริเวณใบหน้ายังมีผิวหนังปกคลุม และป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย มีรูขุมขนเป็นตัวระบายเหงื่อและสารพิษต่างๆ มีระบบไหลเวียนโลหิต และระบบน้ำเหลืองด้วย ดังนั้น การนวดกดจุดบนใบหน้าจึงเป็นการปรับสมดุลของอวัยวะต่างๆ และเป็นการดีท็อกซ์หรือขับของเสียออกทางผิวหนังด้วยในเวลาเดียวกัน ช่วยทำให้ผิวพรรณดูผ่องใส หรือทำให้ร่างกายของเรามีความงามจากภายนอกด้วย


 

ไม่เพียงเท่านั้น การนวดกดจุดบนใบหน้ายังช่วยแก้ปัญหาโรคไมเกรน โรคกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง โดยสามารถช่วยผู้ป่วยอัมพฤกษ์ที่มีกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าอ่อนแรง ฟื้นคืนสู่สภาพปกติเร็วขึ้น จากผลการวิจัยนวดกดจุดบนใบหน้าในผู้สูงอายุที่มีปัญหานอนไม่หลับสรุปว่า ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนดีขึ้น หลับสบาย ตื่นมาสดชื่น นอกจากนี้ ภายหลังการนวดยังเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณว่า ขาวผ่อง มีนวลใยกว่าเดิม เป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับผู้สูงอายุในด้านจิตใจ ซึ่งขั้นตอนในการนวดกดจุดบริเวณใบหน้ามีขั้นตอนดังต่อไปนี้


 

ขั้นตอนที่ 1: ล้างเครื่องสำอางและแป้งด้วยสบู่เหลวอย่างอ่อน ที่ไม่ระคายเคือง โดยใช้สบู่แต้ม 5 จุด คือ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง จมูก และคาง (เว้นรอบดวงตา) ล้างแบบนวดวนให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด โดยใช้ผ้าเช็ดหรือฟองน้ำสำหรับทำความสะอาด

 

ขั้นตอนที่ 2: แต้มครีมนวดหน้า 5 จุด คือ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง จมูก และคาง (เว้นรอบดวงตา) นวดวนให้ทั่ว เริ่มบริเวณแรกตรงหน้าผาก โดยใช้นิ้วหัวแม่มือนวดวนแล้วลากเป็นแนวยาวจรดขมับทั้งสองข้าง ซึ่งมีเส้นเลือดแดงใหญ่ เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบนใบหน้า และหลีกเลี่ยงการขยี้บริเวณเส้นเลือดแถวขมับเพื่อป้องกันการอักเสบ

 

จุดต่อมา คือ บริเวณใต้ตา ใกล้สันจมูก และบริเวณปีกจมูก ให้นวดลากเป็นแนวยาวจรดยังขมับทั้งสองข้าง แล้วนวดบริเวณแก้มลากยกขึ้นไปถึงขมับ จากนั้นจึงนวดใต้จมูกหรือเหนือริมฝีปากด้วยสันนิ้วก้อย นวดใต้คางโดยใช้หัวแม่มือ และอีกสี่นิ้วบีบเข้าหากันเบาๆ หลังจากนั้นจึงใช้มือทั้งสองลูบโกยคางขึ้น ใช้สี่นิ้วกดนวดขากรรไกรทั้งสองข้าง

 

ขั้นตอนที่ 3: กดนวดต่อมน้ำเหลืองหลังหู หน้าหู และติ่งหู ใบหู แต่ไม่แยงนิ้วในรูหู เมื่อครบรอบจึงกลับไปนวดคลึงดวงตาหรือระหว่างคิ้ว จุดที่เป็นจุดของ Pineal gland เพื่อกระตุ้นการหลั่ง Melatonin สุดท้ายจึงวนไปกดต่อมน้ำเหลืองหลังหู หน้าหู และติ่งหู ใบหูอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนระบบน้ำเหลืองบนใบหน้า

ขั้นตอนสุดท้าย: ล้างครีมนวดหน้าออกให้สะอาดด้วยสบู่อีกครั้ง

 

ผศ.ดร.ลดาวัลย์ อุ่นประเสริฐพงศ์ นิชโรจน์
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
e-mail :ladawal.unp@mahidol.ac.th

 

 

 

*****************************

 

 

 

 

ความแตกสุดอนาถ! มือยุทธศาสตร์ม็อบห้าล้าน ฝากความหวังลมแล้งๆ ไว้กับ "ตำรวจเก๊นอกราชการ" ที่เคยโดนไล่ออกจากราชการไปแล้ว

 

 

 


 

 

วันที่ 15 ธันวาคม 2556 (go6TV) ตะลึงแผนผังยุทธศาสตร์  ม็อบกบฏสุเทพ รั่ว! คนทั่วไปคิดว่า คนคิดยุทธศาสตร์ต้องเป็นเนติบริกรระดับชาติ แต่ผิดคาดเมื่อ "กบฏเทือก" ฝากอนาคตการก่อรัฐประหารไว้กับ "ตำรวจเก๊" คนเก่าที่เคยหลอกลวงม็อบขึ้นเวทีพันธมิตรสวนลุม  เขียนผังสภาประชาชน ระบุชัดตั้งแต่หลักการ ถึงการคัดสรรหาสมาชิกสภาประชาชน

ทีมงานม็อบกบฏสุเทพ ได้แอบส่งเอกสารจำนวน 2 หน้าให้กับทีมงาน ฝากช่วยแฉความจริง ว่าม็อบกบฏสุเทพลวงโลกนั้น ไม่ได้มี "บุคคลสำคัญ" หรือ "เนติบริกร" คนดังระดับประเทศคนไหนมาเป็นที่ปรึกษา  จนทำให้มวลชนมีความมั่นอกมั่นใจว่า ภายใต้การนำของ "กำนันสุเทพ" นั้นจะต้องนำชัยชนะมายังกลุ่มมวลชนในไม่ช้า

แต่ภายในกองทัพมวลมหาประชาชนอันแสนยิ่งใหญ่นั้น ใครจะรู้ว่า คลังมันสมองห่วยๆ ที่คอยคิดและวางแผนงานให้กับ "ม็อบกบฏสุเทพ" นั้นจะกลายเป็น อดีตนายตำรวจนอกราชการ (ที่โดนไล่ออกจากราชการ และมีประวัติเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช นครสวรรค์)

เอกสารที่ทีมงานม็อบกบฏสุเทพ ได้ส่งให้ 2 แผ่นนั้น แผ่นแรก เป็นแผนผังกลยุทธ์ การล้มล้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีการอ้างกฏหมายให้ดูน่าเชื่อถือ ว่าการที่สภาฯ และนายกรัฐมนตรีปฏิเสธคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญนั้น มีผลให้รัฐบาลเป็นโมฆะ  และเมื่อรัฐบาลเป็นโมฆะแล้วก็จะเกิดสูญญากาศทางการเมือง ไม่สามารถจัดเลือกตั้งได้
 



จากแนวคิดดังกล่าวในกระดาษแผ่นแรกนี้ เป็นที่มาของคำปราศรัยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณบนเวทีม็อบเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาตรงเป๊ะ

ถัดจากนั้น ในกระดาษแผ่นที่ 2 ได้มีการลำดับขั้นตอนการตั้งสภาประชาชน ว่ามีการจัดสรรสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญอย่างไร  ปรากฏว่าทั้งวิธีการ และตัวเลขในกระดาษดังกล่าวนั้น ตรงกับข้อความที่นายสุเทพ ประกาศบนเวทีเสวนาเมื่อวันก่อน ว่าสภาประชาชนนั้นจะมีจำนวน 400 คน โดยแบ่งเป็นการสรรหาจากวิชาชีพกลุ่มต่างๆ และการคัดเลือกโดยนายสุเทพ

ซึ่งหากดูจากกระดาษแผ่นที่ 2 จะเห็นว่า การสรรหา วิชาชีพนั้น กลายเป็นว่ามีการกำหนดล็อคสเป็คไว้เรียบร้อยว่าจะมาจากกลุ่มวิชาชีพใดบ้าง ซึ่งแบ่งได้เพียงแค่ 3 กลุ่ม 22 วิชาชีพเท่านั้น ข้อความนี้ตรงกับที่นายสุเทพ ได้เคยปราศรัยบนเวทีว่าเราจะเลือกทั้งจากอาชีพปกติ อาชีพหลัก จำเป็นและอาชีพพิเศษ    ซึ่งคำพูดนายสุเทพ กับข้อความบนกระดาษนั้น ตรงกันอย่างน่าอัศจรรย์

 

 

และในเอกสารตอนท้ายดังกล่าว ยังระบุชัดว่าหาก กกต.จัดให้มีการรับสมัครผู้สมัครเมื่อไหร่ สามารถฟ้องตำรวจจับกุม กกต.ได้ทันที และลงลายมือชื่อไว้ว่า ผู้เขียนแผนดังกล่าวคือ พ.ต.ท. สุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์

จากการตรวจสอบย้อนหลัง จะพบว่า นายตำรวจดังกล่าวถูกให้ออกจากราชการ เมื่อครั้งเป็น พ.ต.ต. ไม่ได้เป็น พ.ต.ท.ดังแอบอ้าง และไทยรัฐ ได้เคยลงข่าวยืนยันแล้วว่า นายตำรวจท่านนี้ถูกไล่ออกจากราชการไปแล้ว
 


จึงเป็นที่น่าขบขันว่า  มวลมหาประชาชนนับล้านที่หวังเปลี่ยนแปลงประเทศไทยโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณนั้น ทำตามแผนกลยุทธ์ ของอดีตนายตำรวจที่โดนไล่ออก  แต่เขียนหลักกฏหมายหลอกลวงม็อบให้หลงเชื่อได้ขนาดนี้โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
 

 

งานนี้เลย25  เมื่อไรมวลชนหายหมด  เพราะกลุ่มมวลชนที่มา มีสามกลุ่ม  กลุ่มแม่บ้านที่เกณฑ์มา  กลุ่มนี้ต้องกลับก่อนปีใหม่เพราะลูกๆๆญาติ จะกลับไปเยี่ยมและทำบุยกันที่บ้านเกิด  คนกลุ่มนี้อยู่ได้แค่ไม่เกิน 25 เท่านั้น   กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มมวลชนจัดจ้าง  เอามาเป็น การ์ด  ต่างๆๆทำทำงานใต้ดิน  พวกนี้  เป้าหมายการคือก่อความปั่นป่วน  ต้องนี้ตำรวจกำลังเร่งเช็ครายชื่อ ดำเนินการจับกุมก่อน25  ตามหมายศาลเดิมที่หนีกันมา 

 

 กลุ่มสุดท้าย  กลุ่มกระแส  พวกนี้กลุ่มใหญ่ แต่เป้นม๊อบที่เขาเรียกว่ามีการศึกษาหรือผู้ดี  ม๊อบกลุ่มนี้  ไม่ทน มาเพื่อถ่ายรูปไม่ตกเทรน  ม๊อบกลุ่มนี้เปราะบาง  เอาแน่นไม่ได้  หลัง25 ม๊อบกลุ่มนี้ไปเที่ยวหมด  เหลือแค่คนกลุ่มเล้กๆๆพวกคนจร ที่เป็นคนเรร่อน  สนามหลวงกับคลองหลอดอยู่ เพราะมาม๊อบกินฟรี อยุ่ฟรี  มีกิจกรรม  พวกนี้เป้นกลุ่มหลักหน้าเวที เพราะไม่ได้ไปไหน   ดังนั้นม๊อบเลยต้องรีบปิดเกมส์  แถมนับวันคนยิ่งหาย เพราะม๊อบกลุ่มที่สาม เบื่อง่าย เริ่มได้รับผลกระทบจากการเมือง ในการทำมาหากินแล้ว  นี่คือเหตุผลของการรวมเวที  เวลาที่คนเยอะที่สุดของม๊อบผ่านไปแล้ว

 

         หมอ ประเวศ กล่าวว่า... 

 

การชุมนุมม๊อบนกหวัด "เหมือนคนกำลังข่มขืนลูกตัวเอง แล้วมีคนออกมาประท้วงขับไล่

อยู่ๆ ก็มีคนออกมาบอกอย่าประท้วงต้องสามัคคี
คนๆ นั้นก็ข่มขืนลูกต่อไป...!!!
 
ดังนั้น มันต้องแก้ที่ต้นเหตุ
ถ้าแก้เหตุไม่ได้ความสามัคคีมันก็ไม่เกิด
ความสามัคคีจะเกิดต้องมีความจริง ความถูกต้อง
 
ถ้าเรียกร้องให้หยุดประท้วงก็เข้าล็อกเขา
อ้างว่า เพื่อความสงบ เขาก็ข่มขืนลูกต่อไป
 
คนที่เรียกร้องความสามัคคีเต็มไปหมดตอนนี้
พลาดเป้ากลายเป็นเหยื่อทำให้เขาทำอย่างเก่าต่อไป"
นพ.ประเวศ ระบุ...!!!

 

 

ยามเมื่อ"เสื้อแดง"เรียกร้องประชาธิปไตย หมอประเวศ กล่าวห้ามปรามไว้ว่า...!!!
 
เมืองไทยกำลังจะหลุดเข้าไปสู่มิคสัญญีกลียุค
เพราะเกิดความแตกแยกกันอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ปัญหาบ้านเมืองก็แก้ไขไม่ได้ ผู้คนก็ขัดแย้งกันมากขึ้น
 
ถึงขั้นเรียกร้องให้ปลดประธานองคมนตรี
พระเดินขบวนขู่จะปิดล้อมสภาและเคลื่อนไหวคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ
 
นอกจากนี้ยังมีคนบอกว่าประเทศมหาอำนาจบางประเทศ
มีบริษัทรับจ้างโค่นล้มรัฐบาลต่างชาติ รวมถึงฆาตกรรมผู้นำด้วย
 
ถ้าใครจ้างเงินเยอะๆมันก็ทำ
ถ้ามันมาทำกับประเทศของเรามันจะยุ่งยากอีกทวีคูณ
สิ่งเหล่านี้เป็นสภาพโกลาหลที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา
 
ทั้งนี้สังคมจะต้องช่วยกันสร้างความถูกต้อง
ไม่เช่นนั้นจะไปสู่มิคสัญญีกลียุคนองเลือดได้
ขอให้"เสื้อแดง"เลิกชุมนุมประท้วงเสีย บ้านเมืองจึงสงบราบคาบได้...

 

 

            ตั๊ก บงกช โพสต์แรง มีรัฐบาลไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ทำให้ประเทศดีขึ้น ลั่น เบื่อเสื้อแดงเต็มทน บอกในเมื่อคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงมากกว่า คนเสื้อแดงควรที่จะหายไปจากประเทศไทย

           เรียกได้ว่าร้อนแรงสุด ๆ สำหรับประเด็นทางการเมืองในช่วงนี้ ที่แม้แต่ศิลปิน ดารา คนดังจำนวนมากก็ยังออกมาแสดงจุดยืนทางการเมือง ทั้งการร่วมชุมนุมทางการเมือง และเผยความคิดเห็นผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างคุณแม่ลูกอ่อน ตั๊ก บงกช ที่ล่าสุด (15 ธันวาคม 2556) ก็ได้โพสต์อินสตาแกรม แสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างดุเดือด ดังนี้

           "มีรัฐบาลไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัฐบาลที่มีอยู่ไม่ทำให้ประเทศดีขึ้น ทำไมคนไทยไม่อยากเลือกตั้ง สำหรับฉัน ฉันว่ามันก็ได้แต่พวกแย่ ๆ เหมือนเดิม เราไม่อยากได้รัฐบาลเดิม เราอยากได้คนที่คนส่วนมากต้องการ และเบื่อคำว่าเสื้อแดงเต็มทน ในเมื่อคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงมากกว่า คนที่เป็นเสื้อแดงก็ควรที่จะหายไปจากประเทศไทย เพราะต้องหัดยอมรับบ้างว่า เราไม่ต้องการพวกที่ไม่รักในหลวง และอย่าตอแหลว่ารัก เพราะการกระทำมันไม่ใช่ ไม่เคยมีคนไทยออกมาเยอะขนาดนี้ ในเมื่อมีแล้ว หัดยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงบ้าง เลิกพูดให้เรายอมซะที เพราะพวกกูยอมมาตลอด และไม่ใช่แค่เรื่องว่าในหลวง เรื่องกู้เงินอีก..."

            งานนี้ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับสาวตั๊ก บงกช กันอย่างคับคั่ง

 

 

 

 

 

 

guest

Post : 2013-12-08 22:53:15.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  พระมาลัยโปรดสัตว์

 

                 พระมาลัย

 

 

 

      พระมาลัยเป็นเรื่องที่พระภิกษุชาวสิงหลแต่งขึ้น
     เมื่อประมาณ  พ.ศ. ๙๐๐ เศษ กล่าวถึง พระอรหันต์
   องค์หนึ่งซึ่งมากด้วย  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  กมลจิตสงบจากกิเลส
        ที่มีนามว่าพระมาลัยเทวเถระ

       * เรามีกรรมเป็นของตน *
               เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด 
                     มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด
                       *กรรมดีก็ตาม  กรรมชั่วก็ตาม   เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น*


 

 

 

 









 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วรรณกรรมเรื่องพระมาลัย ซึ่งปรากฏในประเทศไทยยังมีความเป็นมาที่ไม่แน่นอน โดยมีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะได้เค้าโครงเรื่องมาจากเรื่อง “มาลัยวัตถุ” ที่ปราชญ์ชาวลังกาแต่งไว้เป็นภาษาบาลี ผู้แต่งน่าจะเป็นพระภิกษุ ในรัชสมัยของพระเจ้าปรักกมพาหุ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเรื่องพระมาลัยนี้ถูกแต่งขึ้นในลังกา เพราะไม่ปรากฏคัมภีร์นี้เลยในลังกา แต่เค้าโครงเรื่องจูลคัลละในคัมภีร์สหัสสปกรณ์ของลังกา ซึ่งแต่งเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ได้กลายมาเป็นเค้าโครงของเรื่อง มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ ของพม่า จึงมีข้อสันนิษฐานแย้งอีกว่า น่าจะได้เค้าโครงเรื่องมาจากเรื่อง “มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ” ซึ่งถูกแต่งขึ้นในประเทศพม่า โดยภิกษุชาวพม่า ระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ได้แพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย ๒ ทางด้วยกันคือ ทางล้านนาไทย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ ทางสุโขทัยประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐

 

แต่ก็มีข้อสังเกตว่า ไม่ปรากฏหลักฐานต้นฉบับคัมภีร์มาเลยยเทวัตเถรวัตถุในประเทศพม่าเลย จากข้อมูลตรงนี้จึงสันนิษฐานได้ว่า เรื่องพระมาลัยที่แต่งขึ้นในประเทศพม่านั้น อาจจะเป็นผลงานทางวรรณกรรมสั้นๆ ที่เรียนว่า “พระสูตร” จึงมีการใช้คำว่า พระมาลัยสูตร เป็นลำดับต่อมา ดังที่ เปลื้อง ณ นคร ได้กล่าวไว้ว่า “พระมาลัยสูตร นี้นับว่าเป็นเรื่องที่มีสิริมงคลเช่นเดียวกับเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก....” จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จึงไม่สามารถที่จะสรุปประวัติความเป็นมาของวรรณกรรมเรื่องนี้ได้

 

ความแพร่หลายของเรื่อง
   เรื่องพระมาลัยนี้มีแพร่หลายในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยปรากฏเป็นวรรณกรรมบ้าง เป็นบทสวดบ้าง ที่เป็นวรรณกรรมนั้น คือ พระมาลัยคำหลวง เป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศฯ จารไว้ในสมุดข่อยเป็นอักษรไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย และอีกเรื่อง คือ ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งพระธรรมราชาลิไทยได้ทรงระบุไว้ในคาถานมัสการบานแผนกว่า “ในปาเลยยกะก็มีบ้าง” เข้าใจว่า คำว่า ปาเลยยกะ นั้น อาจหมายถึง พระมาเลยยกะหรือเรื่องพระมาลัยนั่นเอง ส่วนที่เป็นบทสวดนั้นจะถูกจารไว้ในสมุดข่อยบ้าง ในใบลานบ้าง ด้วยตัวอักษรของแต่ละท้องถิ่น เป็นอักษรไทยบ้าง อักษรธรรมบ้าง ภาษาที่ใช้ในการจารเป็นภาษาโบราณ และอักขรวิธี ก็เป็นแบบโบราณ เช่น ในภาคใต้มีการจารไว้ในสมุดข่อยด้วยอักษรขอมหรืออักษรไทย ที่เรียกว่า “บุด” และได้มีผู้ปริวรรตเป็นอักษรไทย แล้วเรียกว่า “พระมาลัยคำกาพย์” ในภาคอีสานมีการจารด้วยอักษรธรรมไว้ในใบลานแล้วเรียกว่า “มาไลยหมื่น มาไลยแสน” ส่วนทางภาคเหนือก็มีการจารไว้ในใบลานเช่นเดียวกันกับทางภาคอีสาน แต่เรียนว่า “ฏีกาพระมาลัย”

 


   เรื่องพระมาลัยนั้นนอกจากจะมีความแพร่หลายในประเทศไทยดังกล่าวแล้ว ยังมีเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศใกล้เคียงที่นับถือพระพุทธศาสนา เช่น พม่า ลาว และเขมร อีกด้วย ชื่อที่ใช้เรียกก็มีความคล้ายกัน คือ ในประเทศพม่า เรียวง่า “เซียงมาเลเบี้ยว” แปลว่า กาพย์พระมาลัย (เซียง แปลว่า พระ, มาเล แปลว่า มาลัย, เบี้ยว แปลว่า กาพย์) ในประเทศลาว เรียกว่า “มาลัยหมื่น มาลัยแสน” เช่นเดียวกับทางภาคอีสานของไทย และประเทศเขมรใช้ชื่อภาษาบาลีตามต้นฉบับตัวเขียนว่า “มาเลยฺยเทวตฺเถรวตฺถุ” เนื้อหาของพระมาลัยในแต่ละประเทศที่กล่าวมานั้นเป็นไปในทำนองเดียวกัน

 


   สำนวนต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น  จะแตกต่างกันเพียงชื่อที่ใช้เรียก การใช้ถ้อยคำภาษาและรูปแบบของคำประพันธ์เท่านั้น แต่เค้าโครงของเรื่องยังเหมือนเดิม คือ กล่าวถึง นรก สวรรค์  บาป บุญ คุณ โทษ และพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ เพื่อเป็นสื่อให้ผู้ฟัง หรือผู้อ่านได้เข้าใจถึงกรรมดี กรรมชั่ว ผลของกรรม การทำบุญ ทำทาน อานิสงส์ของการทำบุญ ทำทาน และการปฏิบัติเพื่อให้ได้เกิดในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตอิทธิพลของเรื่อง

 


   เรื่องพระมาลัยมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อความเชื่อของคนไทยในเรื่อง นรก สวรรค์ บาป บุญ คุณ โทษ คือเชื่อว่า เมื่อทำบาปก็จะได้รับผลตอบแทนที่ไม่ดีคือตกนรก ส่วนเมื่อทำบุญ ทำทานอันเป็นความดีก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีคือได้ขึ้นสวรรค์ เป็นต้น เช่นเดียวกับเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง แต่เรื่องพระมาลัยสามารถเข้าถึงชาวบ้านได้มากกว่า เพราะเรื่องพระมาลัยมีการนำมาสวดในงานพิธีต่างๆ เช่น พิธีแต่งงานตอนเจ้าบ่าวไปนอนเฝ้าหอ และใช้สวดหน้าศพ   นอกจากความเชื่อในเรื่องดังกล่าวแล้ว เรื่องพระมาลัยยังมีอิทธิพลต่อคนไทยในเรื่อง พระศรีอาริย์ หรือพระศรี-อาริยเมตไตรยเป็นอย่างมากอีกด้วย

 

ความจริงแล้วเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระศรีอาริย์นั้น ได้มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกก่อนหน้าที่จะมีเรื่องพระมาลัยเกิดขึ้น คือ ปรากฎอยู่ในจักกวัตติสูตร หมวดทีฆนิกาย ปาฏิกวรรคว่า “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ....” แต่ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวถึงเกณฑ์ในการทำบุญต่าง ๆ ที่ปรากฎในเรื่องพระมาลัยนั้นคงจะเกิดจากความคิดหรือจินตนาการของผู้ประพันธ์เอง เพ่ะที่จะเบี่ยงเบนความคิดเดิมที่มุ่งทำบุญเพื่อให้ถึงพระนิพพานมาเป็นการมุ่งทำบุญเพื่อให้ได้เกิดในยุคพระศรีอาริย์ แล้วจึงเข้าถึงพระนิพพานในภายหลัง ดังนั้น คนทั้งหลายจึงนิยมทำบุญกุศลตามที่เรื่องพระมาลัยได้กำหนดไว้ เช่น การฟังเทศน์มหาชาติอันประกอบด้วยคาถา ๑,๐๐๐ ให้จบภายในหนึ่งวัน การฟังเทศน์มหาชาติจึงเป็นประหนึ่งว่า เรือที่นำคนที่ต้องการไปเกิดในยุคของพระศรีอาริย์ให้ถึงฝั่ง และถือเป็นประเพณีอันสำคัญอีกด้วย

 


เพราะอิทธิพลดังกล่าวมาจึงเป็นเหตุให้นิยมสร้างเป็นหนังสือไว้ตามวัดต่าง ๆ เพื่ออุทิศผลบุญให้แก่ญาติที่ล่วงลับไป และด้วยเชื่อที่ว่าการสร้างหนังสือพระมาลัย หรือสมุดพระมาลัย ก็เหมือนกับได้สร้างพระธรรมไว้ในพระพุทธศาสนาด้วย จะได้รับกุศลผลบุญเป็นอย่างมาก อนึ่งในหนังสือพระมาลัยทุกเล่มจะจารพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ไว้ต้อนต้นของหนังสือด้วย ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะเรียกหนังสือพระมาลัยว่า “คัมภีร์พระมาลัย”   

 

 

 

 

ประติมากรรมและจิตรกรรม "พระมาลัย" ที่เห็นกันทั่วไปในปางโปรดสวรรค์ เป็นคติความเชื่อมาจากเรื่องที่พระภิกษุชาวสิงหลแต่งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 900 เศษ กล่าวถึงพระอรหันต์องค์หนึ่งซึ่งมากด้วยศีล สมาธิ ปัญญา กมลจิตสงบจากกิเลส ที่มีนามว่า "พระมาลัยเทวเถระ"



พระมาลัยเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มาก เคยไปโปรดสัตว์ในนรก และเทศน์สั่งสอนคนทั่วไปให้ปฏิบัติดีเพื่อหลีกเลี่ยงนรก วันหนึ่งพระมาลัยรับดอกบัวจากชายยากจนไปบูชาพระเจดีย์จุฬามณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้สนทนากับพระอินทร์ และได้ถามพระอินทร์ถึงเรื่องการประกอบกรรมดี การบำเพ็ญกุศลต่างๆ



การสนทนานั้นมี พระศรีอาริยะ ร่วมสนทนาและไต่ถามความเป็นไปของโลกมนุษย์ พระศรีอาริยะได้เทศนาว่า พระองค์จะเสด็จมาประพาส ศาสนาของพระพุทธองค์สิ้นสุด 5,000 ปีแล้ว ผู้จะเกิดในศาสนานี้ได้ต้องทำบุญฟังเทศน์มหาชาติ 1,000 จบ ได้ทั้ง 13 กัณฑ์ เป็นต้น เมื่อหมดศาสนาของพระองค์จะเกิดกลียุค อายุคนทั้งโลกจะสั้นมากเพียง 5-10 ปีเท่านั้น ครั้นผ่านกลียุคจะเกิดความอุดมสมบูรณ์ทั่วไป ในระยะนี้เองที่พระศรีอาริยะจะมาโปรดให้ทุกคนทำความดี

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 




พระมาลัยนำสารดังกล่าวและเรื่องราวจากที่เคยเดินทางไปโปรดสัตว์มาเล่าให้ทุกคนฟัง โดยแบ่งออกเป็น 4 ภาค คือ 1.ภาคท่องนรก 2.ภาคท่องแดนมนุษย์ 3.ภาคท่องแดนสวรรค์ และ 4.ภาคท่องแดนศาสนาพระศรีอาริย์



สำหรับปางพระมาลัยโปรดสวรรค์ กล่าวกันว่า สร้างขึ้นตามคติเรื่องมาลัยสูตร อันเป็นพระสูตรนอกพระไตรปิฎก สันนิษฐานว่าแต่งขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศพม่า เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 16-18



มีเรื่องราวกล่าวถึงพระมาลัยเทวเถระ ชาวลังกาทวีป เป็นผู้ทรงฤทธิ์ มักไปโปรดสัตว์ในนรกและสวรรค์ ครั้งหนึ่งเหาะไปไหว้พระเจดีย์จุฬามณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้พบสนทนาธรรมกับพระอินทร์และพระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์
 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 




จากนั้นได้นำเทวโองการจากพระศรีอาริยเมตไตรยมาแจ้งแก่มนุษย์ถึงวิธีจะบังเกิดในศาสนกาลของพระองค์ อันเป็นยุคที่เต็มไปด้วยความสุขสมบูรณ์ต่างๆ ด้วยเหตุที่พระมาลัยเป็นผู้ปลดเปลื้องสัตว์ให้พ้นจากนรกไปสู่สวรรค์และนำทางไปสู่โลกอุดมคติในภายภาคหน้า พระมาลัยจึงได้รับความนิยมนับถืออย่างมากมายแต่โบราณกาล



ลักษณะพระมาลัยโปรดสวรรค์ สร้างขึ้นเป็นรูปพระภิกษุ (ไม่มีเกตุมาลาและรัศมี) นั่งขัดสมาธิราบ ครองจีวรห่มเฉียง เปิดบ่าขวา ปิดบ่าซ้าย มีแถบสังฆาฏิพาดเหนือบ่าซ้าย คาดผ้ารัดอก หัตถ์ขวาไพล่มาวางคว่ำบนตักข้างซ้าย หัตถ์ซ้ายชี้ไปยังด้านข้างเฉียงบน



มีลีลาอ่อนหวานแบบนาฏลักษณ์ จับเรื่องตามที่พระมาลัยเหาะไปบูชาพระเกศธาตุเจดีย์ ได้พบและสนทนาธรรมกับพระอินทร์ถึงกุศลกรรมของเหล่าเทพยาดาผู้เหาะมายังเบื้องบนอากาศเพื่อเสด็จมาสักการะพระจุฬามณี เป็นแก่นปรัชญาของเรื่องเรื่องพระมาลัยสูตร ที่มุ่งหมายแสดงกรรมดีและผลของกรรมดีเป็นสำคัญ



ประติมากรรมพระมาลัยโปรดสวรรค์ เดิมอาจสร้างขึ้นเป็นประติมากรรมชุด ประกอบด้วยประติมากรรมรูปอื่นๆ เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา อาทิ รูปพระอินทร์ พระศรีอริยเมตไตรย และพระเกศแก้วจุฬามณี



ดังประติมากรรมซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้หล่อใส่พระไว้ยังพระวิหารวัดอรุณราชวราราม ปรากฏในหมายรับสั่งรัชกาลที่ 3 ว่า หล่อรูปพระเจ้าตัดเกศ (แทนพระจุฬามณีเจดีย์) พระมาลัย พระศรีอริยเมตไตรย และพระอินทร์ ซึ่งเห็นได้ว่าหล่อเป็นประติมากรรมชุดพระมาลัยเสด็จไปนมัสการพระจุฬามณี



ทั้งนี้ ประติมากรรมพระมาลัยโปรดเกล้าฯให้หล่อขึ้น อาจมีรูปแบบเดียวกันกับพระมาลัยปางโปรดสวรรค์องค์นี้ก็เป็นได้

 

 

หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา


     หลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ได้แก่


          ๑. การไม่ทำความชั่ว 
               หลักธรรมที่พึงให้คนละเว้นจากความชั่วมีหลายประการ เช่น ศีล ๕ ทุจริต ๓ อบายมุข ๔ เป็นต้น เบญจศีลหรือศีล ๕  หมายถึง ข้อควรละเว้น ๕ ประการ มีดังนี้
               ๑. งดเว้นจากการฆ่าสัตว์
               ๒. งดเว้นจากการลักทรัพย์
               ๓. งดเว้นจากการผิดลูกเมียผู้อื่น
               ๔. งดเว้นจากการพูดปด
               ๕. งดเว้นจากการเสพสิ่งเสพติดให้โทษ

          ๒. การทำความดีให้ถึงพร้อม 
               ในทางพระพุทธศาสนา การที่คนเราละเว้นจากการทำความชั่วเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ เราจะต้องทำความดีควบคู่ไปด้วย หลักธรรมที่สอนให้เราทำความดีในพระพุทธศาสนามีหลายประการ เช่น เบญจธรรม สุจริต ๓ มงคล ๓๘ ประการ เป็นต้น
เบญจธรรม หรือ ธรรม ๕ หมายถึง ข้อควรปฏิบัติ ๕ ประการ มีดังนี้
               ๑. มีความเมตตากรุณา
               ๒. ประกอบอาชีพสุจริต
               ๓. มีความสำรวมในกาม
               ๔. พูดความจริง
               ๕. เป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
               นอกจากนี้ ยังมีหลักธรรมที่ควรปฏิบัติอื่น ๆ อีก เช่น
               -  ความกตัญญูกตเวที คือ การนึกถึงบุญคุณผู้อื่นที่มีต่อตนเอง และรู้จักตอบแทนบุญคุณนั้น
               -  ความสามัคคี คือ การร่วมแรงร่วมใจ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการทำงาน
               -  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คือ การแสดงน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ ลดความเห็นแก่ตัวของตนเอง อันจะนำไปสู่ความสงบสุขในสังคม

          ๓. การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ 
               เป็นการฝึกควบคุมจิตใจของตนให้จดจ่อแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนเกิดสมาธิในแนวทางของพระพุทธศาสนาถือว่า จิตที่มีสมาธิ คือ จิตที่มีพลัง และมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาปัญญา เพื่อให้เกิดความหลุดพ้นจากความทุกข์

 

 
 

 

 
 
 

 

 

 

 

 

 

 

******************************************

 

 

 

 

   

 

 

    “ นายกฯ..ร้องไห้ ” ... เขียนให้เอาไปคิดกัน

อย่ามั่นใจนัก ว่าจะเปลี่ยน ประเทศไทย ไปไว้ใน "ระบอบที่คนเดียวบัญชา" ได้ตาม
ที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ "แกนนำคนดี โกงที่เขาแพง" ... ประกาศบนเวทีว่าจะฟื้นฟู
ระบอบ…ก่อน พศ.2475 นั้น

ผบ.ทบ. ยื่นข้อเสนอให้เทพเทือกลี้ภัย ในระหว่างการหารือ ที่บ้าน ร.1รอ. มี ป๊อก-ประวิตร-ตู่-เทพเมือก ..

 

 

 

 

กำลัง วงศ์เทวัน + หน่วยรบพิเศษ สายยุดยายเที่ยง ที่เตรียมไว้ยึดอำนาจ ...
โดยข้ออ้าง รัฐบาลรักษาการหมดความชอบธรรมในการบริหารฯ

จะถูกยัน โดยหน่วย ทหารราชวัลลภฯ อัตรากองพลน้อย ที่ติดอาวุธประสิทธิภาพสูง ผ่านการฝึกฝน
มาอย่างดีเยี่ยมจากหน่วยรบพิเศษอันดับหนึ่ง ของหลายประเทศ และกำลังอีก ครึ่งหนึ่งของกองทัพไทย
กองทหารอาสานอกราชการ
+ ตร. 90% อาทิ ตำรวจพลร่ม, ตชด., คอมมานโดกองปราบ, นปพ.ภูธร จว.,
หน่วยปฏิบัติการพิเศษ และ ตำรวจคอมมานโด 4 หน่วย สามารถสนธิกำลัง ความคล่องตัว ประกอบด้วย

                                หน่วยอรินทราช 26 จาก บช.น.
                                หน่วยนเรศวร 261 จาก บช.ตชด.
                                หน่วยสยบไพรี จาก บช.ปส.
                                หน่วยสยบริปูสะท้าน (กองปราบปราม) จาก บช.ก.

ยังไม่นับรวม ฝ่ายพลเรือน เช่น อส.มหาดไทย และ จนท.รักษาป่า กรมป่าไม้ทั่วประเทศ
และที่ ลืมเสียมิได้

กองร้อยคีย์บอร์ดที่ ๑  กองพันรบพิเศษยุทธวิธีเทคนิคส่งทางอากาศที่ ๑
กองรบน้อย รบพิเศษคอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ตที่ ๑ กองกำลังแดงไซเบอร์

 

      

 

 

แผน ที่จะให้ ตุลาการศาล รธน. ยุบพรรคคู่แข่งซ้ำซาก โดยเฉพาะ “พรรคเพื่อไทย”
เพื่อเบนกระแส ”ไทยเฉย” นั้นอย่าหวัง เพราะ ตลก.เฮงซวย พวกนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่โดน..(ไม่บอก)..
เก็บกวาด


                      photo Clip_4_zps7aef691f.jpg

    

 

    ... สหรัฐอเมริกา กท.ต่างประเทศ แถลงการณ์เห็นชอบด้วยระบอบ ปชต.เลือกตั้ง ,
        ... จีน สนับสนุนรัฐบาลรักษาการ
        ... เยอรมัน เน้นการเจรจาในกรอบรัฐธรรมนูญเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
        ... นิวซีแลนด์ ให้ทุกฝ่ายเคารพกระบวนการประชาธิปไตยเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการเลือกตั้ง
        ... แคนาดา เรียกร้องให้ทุกฝ่าย เข้าร่วมในวิถีประชาธิปไตย ที่ชอบธรรม และยึดหลักนิติธรรม
        ... ไม่รวม อาเซียน ทุกประเทศ

 


                                           
 

ทั้งโลก ล้อมกรอบเข้ามา โดยมี มหาอำนาจระดับหนึ่ง และ มหาอำนาจเอเซีย ส่งคำเตือน
มาแล้ว ประชาคมยุโรป จ้องตาไม่กระพริบ เตรียมบอยคอต หากแข็งขืนใช้กำลังทหารยึดอำนาจ

 


                                  
 

 

จะบอกว่า นายกฯ เธออัดอั้นจนถึงที่สุด ต่อไปก็เตรียมพบกับ “นางสิงห์ร้าย” ได้เลย

เตือนมายัง ประชาชนผู้บริสุทธ์ให้เตรียมรับมือ "การก่อวินาศกรรม" นับจากนี้เพื่อสร้าง
เสริมสอดประสาน ให้ทหารออกมา โดยกลุ่มวางแผนเดียวกับที่ล้มรัฐบาลเลือกตั้ง โมเดล
คล้ายช่วง ที่มีการวางระเบิด เคาร์ดาวน์ทั่ว กทม. ในหลายปีที่ผ่านมา

 

                                   

 

 

   สุดท้าย.. หากพลาดพลั้ง ทานฤทธา “เผด็จการเทวดา” ไม่ไหว
ก็เตรียมตัวเตรียมใจ พบกับ...
มหากาพย์ “หนึ่งนครา สองรัฐถา"... รัฐบาลพลัดถิ่น นะเจ้าครับ

 

 

                                 ................................. รุ่งศิลา’ สุดซอย
                                                                 ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖

 

 

 

*************************** 

 

 

 

 

ทีมชาติไทย


 

 

ฟุตบอลทีมชาติไทยโดนทัพนักเตะจากทีมชาติฟิลิปปินส์ ทีมประเทศเพื่อนบ้าน แซงหน้าขึ้นไปรั้งเป็นอันดับที่ 1 ของภูมิภาคอาเซียนเรียบร้อยแล้ว หลังร่วงลงมาอยู่ในอันดับที่ 143 โดยทีมเบอร์หนึ่งของเอเชียยังคงเป็นทีมชาติญี่ปุ่น ต่อไปโดยมี อิหร่าน ตามมาเป็นอันดับ 2 ส่วนทีมฟุตซอลไทยตกมารั้งอันดับ3 เอเชีย

สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) มีการจัดอันดับโลกของบรรดาทีมฟุตบอลทั่วโลก ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา อันดับของทีมชาติไทย ซึ่งเพิ่งบุกไปแพ้ อิหร่าน 1-2 ในศึกเอเชี่ยนคัพ รอบคัดเลือก กลุ่ม บี ที่ เตหะราน เมื่อวันอังคารที่ 15 ตุลาคม ตกลงมาอยู่อันดับที่ 143  มี 181 คะแนนทำให้ทีมช้างศึกร่วงจากบัลลังค์เบอร์ 1 ของอาเซียนเป็นที่เรียบร้อย เมื่อถูกทีมชาติฟิลิปปินส์ ที่มี 213 คะแนน ขยับแซงไปรั้งอยู่ในอันดับ 137 ของโลก

สำหรับทีมเบอร์ 1 ของ ทวีปเอเชีย ยังเป็น ญี่ปุ่น ที่รั้งอันดับ 44 ของโลก มี 634 คะแนน โดยมี อิหร่าน(49), อุซเบกิสถาน(55), เกาหลีใต้(56) และออสเตรเลีย(57) ไล่หลังอยู่ในอันดับท๊อปไฟว์ตามลำดับ

ขณะเดียวกันอันดับของทีมฟุตซอลทีมชาติไทย โดยการจัดอันดับทางเว็บไซด์ futsalworldranking.beล่าสุดก็ร่วงจากอันดับที่ 16ลงมาอยู่ในอันดับที่ 17 ของโลก และเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย ตามหลัง อิหร่าน กับ ญี่ปุ่น ที่ทำคะแนนอยู่ในอันดับ 7 และ 9 ของโลก
- See more at: http://sports.bugaboo.tv/watch/86588/อันดับฟีฟ่า_ไทยหล่นเบอร์1อาเซียน_โดนฟิลิปปินส์แซง.html#sthash.teXvB48B.dpuf

 

 

  “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ ลั่นวางแผนเด็ดมั่นใจเจาะแนวรับนักเตะ "อิเหนา" อินโดนีเซีย วันที่ 12 ธ.ค.นี้ได้แน่นอน ส่วนเกมการเล่นใช้ระบบ 4-4-3 เหมือนเดิม ประกาศขอเก็บ 3 แต้ม เพื่อหนทางเข้ารอบต่อไปสดใส


    ความเคลื่อนไหวของนักเตะฟุตบอล “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ครั้งที่ 27 ที่มีโปรแกรมแข่งขันรอบแรก สายบี นัดที่ 2 เจอกับอินโดนีเซีย ในวันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคมนี้ เวลา 16.30 น. ที่สนามตุ๊วันนะ สเตเดี้ยม กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า โดยเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา นักเตะไทยได้มีการฝึกซ้อมตามปกติ ที่สนามอองซาน โดยเน้นการขึ้นเกมและยิงประตูเป็นหลัก โดยการซ้อมวันนี้นักเตะทุกคนลงซ้อมครบ สภาพความฟิตพร้อมสมบูรณ์ทุกตำแหน่ง


    “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่นัดแรกเราเอาชนะติมอร์ เลสเต มาได้แล้ว ความมั่นใจมีมากขึ้น ในนัดที่ 2 นี้ถือว่าเป็นเกมที่เราต้องการเก็บ 3 แต้มให้ได้แน่นอน ถึงแม้นักเตะอินโดนีเซียจะชนะกัมพูชา 1-0 มา แต่ดูฟอร์มแล้วไม่หนักใจเท่าไหร่ ดูแล้วนักเตะอินโดนีเซียมีจุดเด่นที่เกมริมเส้น 2 ข้าง และนักเตะอินโดฯ มีความสามารถเฉพาะตัวที่ดี แต่เขามีจุดอ่อนให้เห็นตรงแดนกลางกับแผงแนวรับเสมอๆ ตลอดเกม ซึ่งดูแล้วเราสามารถเจาะเกมรับของนักเตะอิเหนาได้ไม่ยากแน่นอน แม้ว่าผู้เล่นอินโดนีเซียบางคนจะโอนสัญชาติมาจากเนเธอร์แลนด์และโปรตุเกสก็ตาม แต่ไม่ได้สร้างความหวาดหวั่นให้กับเราแม้แต่นิดเดียว เป้าหมายของเราเกมนี้คือการเก็บ 3 แต้มเพื่อการันตีเข้ารอบต่อไปให้ได้


    “แผนการเล่นนัดนี้เราจะเล่นระบบ 4-3-3 เหมือนเดิมที่เราถนัด แต่จะเน้นเกมรุกมากขึ้น โดยเกมนี้จะปรับเปลี่ยนนักเตะเพียงแค่ตำแหน่งเดียว เพื่อรักษาความสมดุลส่วนใหญ่ของทีมไว้ ด้วยการปรับเอา ชาริล ชัปปุยส์ ที่มีจุดเด่นเรื่องเกมบุก จะลงสนามแทน ธนบูรณ์ เกศารัตน์ ที่นัดแรกเล่นเกมรับ ซึ่งการเจอกับนักเตะอินโดนีเซียถือเป็นนัดสำคัญ เป็นศึกหนักทุกนัดที่เจอกัน โดยเฉพาะเกมนี้มีผลต่อการเข้ารอบรองด้วย หากเราคว้าเพิ่ม 3 แต้มได้ จะมีเพิ่มเป็น 6 คะแนน โอกาสเข้ารอบมีสูง โดยเราตั้งเป้าจะเก็บชัยชนะได้หลังจากเห็นฟอร์มของนักเตะอินโดนีเซียมาแล้ว และเชื่อว่าแข้งไทยมีศักยภาพเหนือกว่า”


    “นอกจากนั้นยังได้กำชับนักเตะให้ระมัดระวังการเข้าปะทะหนักๆ เพราะเกมถัดไปจะพบกับเจ้าภาพพม่า ซึ่งหากพลาดท่าโดนใบแดงจะชวดลงสนามนัดต่อไปได้ โดยเฉพาะเกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ที่มีใบเหลืองติดตัว หากได้รับใบเหลืองเพิ่มอีก 1 ใบ จะติดโทษแบนทันที แต่นัดนี้จะไม่ดร็อปเกริกฤทธิ์แน่นอน เพราะเป็นนักเตะที่เล่นเกมรุกริมเส้นฝั่งซ้ายได้ดี” กุนซือใหญ่กล่าว

 

รอนาน 44 ปี คอยตั้งแต่ตี 4 บัตรถูกมาก


    ในส่วนของพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากชาวพม่ามากมายที่จะมาจับจองหาซื้อบัตรที่สนามวันนะ ติกคิ ที่หน้าประตู 4 บางคนมารอตั้งแต่ตี 4 ก่อนที่จะเปิดทำไอดีการ์ด ทำให้บรรยากาศในช่วงเช้าค่อนข้างชุลมุน เนื่องจากบางคนไม่ต่อแถวและเดินเข้าไปลัดคิวด้านหน้า ทำให้วุ่นวายไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ทางการพม่าได้ควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อาวุธสงครามครบมือ ก่อนที่ประชาชนจะยอมยืนรอคิวกันตามลำดับร่วม 3,000 คน ขณะที่ด้านนอกของสนามมีการนำสินค้าที่ระลึกและอุปกรณ์เชียร์ที่ตกแต่งด้วยลายธงชาติมาวางจำหน่ายเป็นจำนวนมากตั้งแต่เริ่มการแข่งขันแล้ว โดยทางพม่าได้ทำเป็นไอดีการ์ดให้ผู้ชมเข้าชมสนาม รวมทั้งมีการสแกนที่ไอดีการ์ดก่อนให้เข้าไปภายในสนามด้วย


    สำหรับบัตรเข้าชมการแข่งขันนั้น แบ่งเป็นบัตรเหมารวม 2,500 จ๊าด หรือ 3 เหรียญสหรัฐอเมริกา คิดเป็นเงินไทยถ้าเป็นชาวพม่า 75 บาท ส่วนชาวต่างชาติเกือบ 100 บาท แต่สามารถดูได้ 32 ชนิดกีฬา ยกเว้นพิธีเปิด-ปิด และฟุตบอล วันละ 2,000 ใบ เริ่มขายตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. จนถึงวันที่ 20 ธ.ค. เข้าชมการแข่งขันตั้งแต่เวลา 08.30-17.30 น. จะหมดเวลาจำหน่าย
 

 

ฟุตบอล ซีเกมส์2013 ทีมชาติไทย


 

 

ผลฟุตบอลชาย ซีเกมส์2013 ไทย ชนะ อินโดนีเซีย 4-1



ผลฟุตบอลชาย ซีเกมส์2013 นัดที่2กลุ่มB ทีมชาติไทย ชนะ อินโดนีเซีย 4 ประตูต่อ 1 โดยได้ประตูจาก ปกเกล้า อนันต์ นาทีที่1 อดิศักดิ์ ไกรษร นาทีที่18 ประวีณวัชร์ บุญยงค์(จุกโทษ) นาทีที่50 และ  ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์  นาทีที่ 80 อินโดนีเซีย ได้ 1 ประตูจาก อันดรี้ นาทีที่ 91

สำหรับรายชื่อนักเตะทีมชาติไทยที่ลงในนัดนี้มี กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ,อาทิตย์ ดาวสว่าง , ประวีณวัชร์ บุญยงค์, สกลวัชร์ สกลหล้า ,ธีราทร บุญมาทัน (กัปตันทีม), ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ , ปกเกล้า อนันต์ , ชาริล ชัปปุยส์ , เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ,ปกรณ์ เปรมภักดิ์, อดิศักดิ์ ไกรษร

แข่งสองนัดไทยเก็บ6คะแนนเต็มขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มคะแนนเท่ากับ เมียนมาร์  ส่วนโปรแกรมนัดต่อไป ไทย พบ เมียนมาร์ วันเสาร์ที่14 ธันวาคม 2556 เวลาประมาณ 19.15 น.

BUGABOO NEWS



ฟุตบอล ซีเกมส์2013 ไทย

 

- See more at: http://sports.bugaboo.tv/watch/95239/ผลฟุตบอล_ซีเกมส์2013_ไทย_4_1_อินโดนีเซีย.html#sthash.BC1soN4N.dpuf

 

 

 

 

 โดย หลวงวิจิตรวาทการ

            ประวัติซีเกมส์

กีฬาซีเกมส์ (Southeast Asian Games หรือ SEA Games)

 

เป็นการแข่งขันกีฬาของกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 11 ประเทศ โดยจัดขึ้น 2 ปีต่อ 1 ครั้ง การแข่งขันดำเนินตามกฎข้อบังคับของสมาพันธ์กีฬาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Games Federation) โดยได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee หรือ IOC) และสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (Olympic Council of Asia)แต่เดิมเรียกกีฬาซีเกมส์ว่า กีฬาแหลมทอง จนกระทั่งปี 2520 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ซีเกมส์ เหมือนในปัจจุบัน

ประวัติ

กีฬาซีเกมส์ นั้นเดิมเรียกว่า กีฬาแหลมทอง (Southeast Asian Peninsular Games) หรือ เซียปเกมส์ (SEAP Games) ครั้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) ประเทศสมาชิกในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เข้าร่วมแข่งขัน กีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 3 ณกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และได้จัดประชุมตกลงที่จะก่อตั้งองค์กรการกีฬาขึ้น

 

กีฬาแหลมทองนั้นได้รับการเสนอแนวคิดจากหลวงสุขุมนัยประดิษฐ และยังเป็นผู้ก่อตั้งองค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งก็คือ การกีฬาแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งต่อมาได้เป็นรองประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ข้อเสนอ นั้นมีอยู่ว่า การจัดการแข่งขันกีฬาจะช่วยสนับสนุนความร่วมมือ ความเข้าใจ และความสัมพันธ์ในบรรดาประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ประเทศไทย, เมียนมาร์, มาเลเซีย , ลาว, เวียดนาม และกัมพูชา (และสิงคโปร์มาร่วมในภายหลัง) ถือเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง ประเทศ เหล่านี้มีความตกลงร่วมกันที่จะจัดการแข่งขันกีฬาขึ้นแบบสองปีครั้ง และได้จัดตั้งคณะกรรมการสหพันธ์กีฬาแหลมทองขึ้น (SEAP Games Federation Committee)

 

กีฬาแหลมทองครั้งแรกจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 12 - 17 ธันวาคม พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) โดยมีเจ้าหน้าที่ และนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 527 คน จากประเทศไทย, เมียนมาร์, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม และลาว โดยมีกีฬาทั้งหมด 12 ชนิด

 

ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 8 เมื่อ พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) สมาพันธ์กีฬาแหลมทองมีมติให้รับประเทศอินโดนีเซีย

 

และฟิลิปปินส์เข้าร่วมเป็นสมาชิกแข่งขันด้วย และได้บรรจุเข้าเป็นประเทศสมาชิกแข่งขันอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) และในปีเดียวกันนั้นสมาพันธ์ฯ ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นสมาพันธ์กีฬาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Games Federation หรือ SEAGF) และเรียกการแข่งขันว่า ซีเกมส์ (Southeast Asian Games) ประเทศบรูไนนั้นได้เข้าร่วมแข่งขันในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 10 ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศติมอร์ตะวันออกเป็นประเทศล่าสุดที่เข้าร่วม การแข่งขันซีเกมส์ โดยเข้าแข่งขันครั้งแรกในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 22 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม

 

 

ครั้งที่ การแข่งขัน เจ้าภาพ(เมือง/ประเทศ) หมายเหตุ
1 กีฬาแหลมทอง 1959 (พ.ศ. 2502) กรุงเทพมหานคร ไทย  
2 กีฬาแหลมทอง 1961(พ.ศ. 2504) ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์  
3 กีฬาแหลมทอง 1965(พ.ศ. 2508) กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย  
4 กีฬาแหลมทอง 1967(พ.ศ. 2510) กรุงเทพมหานคร ไทย  
5 กีฬาแหลมทอง 1969 (พ.ศ. 2512) ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์  
6 กีฬาแหลมทอง 1971 (พ.ศ. 2514) กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย  
7 กีฬาแหลมทอง 1973 (พ.ศ. 2516) สิงคโปร์ สิงคโปร์  
8 กีฬาแหลมทอง 1975 (พ.ศ. 2518) กรุงเทพมหานคร ไทย  
9 กีฬาซีเกมส์ 1977 (พ.ศ. 2520) กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย  
10 กีฬาซีเกมส์ 1979 (พ.ศ. 2522) จาการ์ตา อินโดนีเซีย  
11 กีฬาซีเกมส์ 1981 (พ.ศ. 2524) มะนิลา ฟิลิปปินส์  
12 กีฬาซีเกมส์ 1983 (พ.ศ. 2526) สิงคโปร์ สิงคโปร์  
13 กีฬาซีเกมส์ 1985 (พ.ศ. 2528) กรุงเทพมหานคร ไทย  
14 กีฬาซีเกมส์ 1987 (พ.ศ. 2530) จาการ์ตา อินโดนีเซีย  
15 กีฬาซีเกมส์ 1989 (พ.ศ. 2532) กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย  
16 กีฬาซีเกมส์ 1991 (พ.ศ. 2534) มะนิลา ฟิลิปปินส์  
17 กีฬาซีเกมส์ 1993 (พ.ศ. 2536) สิงคโปร์ สิงคโปร์  
18 กีฬาซีเกมส์ 1995 (พ.ศ. 2538) เชียงใหม่ ไทย (ครั้งแรกที่เมืองเจ้าภาพไม่ใช่ เมืองหลวง)
19 กีฬาซีเกมส์ 1997 (พ.ศ. 2540) จาการ์ตา อินโดนีเซีย  
20 กีฬาซีเกมส์ 1999 (พ.ศ. 2542) บันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไน  
21 กีฬาซีเกมส์ 2001 (พ.ศ. 2544) กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย  
22 กีฬาซีเกมส์ 2003 (พ.ศ. 2546) ฮานอย โฮจินมินซิตี้ เวียดนาม  
23 กีฬาซีเกมส์ 2005 (พ.ศ. 2548) มะนิลา ฟิลิปปินส์ (หลายเมือง โดยมีมะนิลา เป็นศูนย์กลาง)
24 กีฬาซีเกมส์ 2007 (พ.ศ. 2550) นครราชสีมา ไทย (ในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) ประเทศสิงคโปร์ขอถอนตัวเนื่องจากสถานที่ไม่พร้อม)
25 กีฬาซีเกมส์ 2009 (พ.ศ. 2552) เวียงจันทน์ ลาว  
26 กีฬาซีเกมส์ 2011 (พ.ศ. 2554) จาการ์ตา อินโดนีเซีย

 

 

 

 **********************************

 

 

 

 

   'นิวัฒน์ธำรง'ยันมีเงินจ่ายจำนำข้าวชาวนา

 
 
 
 
 
"นิวัฒน์ธำรง" ยัน มีงบประมาณจ่ายเงินจำนำข้าวให้เกษตรกรอย่างแน่นอน เพราะได้อนุมัติงบ เพื่อดำเนินการไปแล้ว 2.7 แสนล้านบาทคาด สิ้นปีคืนเงินขายข้าวได้ 1.8 แสนล้านบาท

 

นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า มีงบประมาณจ่ายเงินจำนำข้าวให้เกษตรกรอย่างแน่นอน ซึ่งได้มีการหารือกับกระทรวงการคลัง และทาง ธ.ก.ส.แล้ว แต่ยอมรับว่าอาจมีปัญหาล่าช้าในช่วงต้นฤดู เพราะต้องจัดการข้าวเก่าในโกดังให้เรียบร้อยก่อน แต่ขณะนี้ได้ทยอยออกใบประทวนใหม่ให้เกษตรกรนำไปขึ้นเงินอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่า เกษตรกรจะได้รับเงินจากจำนำข้าวในโครงการครบทุกบาททุกสตางค์ เนื่องจากรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณดำเนินการไว้เรียบร้อยแล้ว 2.7 แสนล้านบาท แต่สิ่งที่ยังเป็นห่วงในตอนนี้ คือ การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งโครงการแทรกแซงราคา ไม่สามารถนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ทัน โดยต้องรอดูสถานการณ์ว่า หากเกษตรกรเดือดร้อนมาก ก็จะนำเรื่องไปหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ว่าจะสามารถอนุมัติงบประมาณเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรได้หรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลรักษาการมีอำนาจจำกัด

 

ทั้งนี้ ตั้งแต่ตนเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สามารถดำเนินการระบายข้าวได้แล้ว ประมาณ 3 ล้านตัน ซึ่งภายในสิ้นปีนี้จะสามารถคืนเงินกลับเข้าคลังได้รวม 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งการทำสัญญาซื้อขายข้าวทุกสัญญาที่ผ่านมา ทำด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน และข้าราชการประจำมีข้อมูลอยู่แล้ว หากหน่วยงานใดต้องการข้อมูลตรวจสอบ ก็สามารถขอข้อมูลได้ทันที พร้อมยืนยันว่า เข้ามารับแหน่งด้วยมือเปล่า ก็จะกลับไปด้วยมือเปล่า ซึ่งงานที่ต้องฝากให้รัฐบาลใหม่ดูแล คือ ปัญหาค่าครองชีพ และการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งตนมีความเป็นห่วงมาก

 


TechnoCMS

 

 

มันพูดเอาฮาป่าวเนี่ย...

 

ซึ่งการทำสัญญาซื้อขายข้าวทุกสัญญาที่ผ่านมา ทำด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน และข้าราชการประจำมีข้อมูลอยู่แล้ว หากหน่วยงานใดต้องการข้อมูลตรวจสอบ ก็สามารถขอข้อมูลได้ทันที พร้อมยืนยันว่า เข้ามารับแหน่งด้วยมือเปล่า ก็จะกลับไปด้วยมือเปล่า ซึ่งงานที่ต้องฝากให้รัฐบาลใหม่ดูแล คือ ปัญหาค่าครองชีพ และการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งตนมีความเป็นห่วงมาก

 

พอเค้าถามหาสัญญา มันบอกเป็นความลับ

พอเค้าถามราคา มันก็บอกเป็นความลับ

พอเค้าถามว่า...ฯลฯ  มันก็บอกเป็นความลับ

แล้วให้เค้าไปตรวจสอบอะไรรึ....

 

 

 

 

นายกฯ แถลงเชิญทุกฝ่ายร่วมเวทีปฏิรูปประเทศ 15 ธ.ค.นี้

 
 

เชียงใหม่ 12 ธ.ค.-"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี แถลงพร้อมหารือทุกฝ่าย เพื่อปฏิรูปประเทศให้เป็นรูปธรรม ทำคู่ขนานไปกับการเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 โดยมอบหมาย "ธงทอง" ปลัดสำนักนายกฯ เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเวทีประชุมหารือวันอาทิตย์ที่ 15 ธ.ค.นี้ ที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์

เมื่อเวลา 14.30 น.วันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งและการชุมนุมทางการเมืองต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง เป็นเหตุให้ทุกฝ่ายมีความกังวลใจและห่วงใยในอนาคตของบ้านเมืองร่วมกันนั้น รัฐบาลเองในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดิน ได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพร้อมที่จะเปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็น หรือร่วมเวทีหารือเพื่อแสวงหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย จากการติดตามข่าวสารที่ปรากฏต่อสาธารณชน เป็นที่เห็นได้ชัดว่ามีความพยายามขององค์กรต่างๆ ที่จะเปิดพื้นที่หรือเวทีสำหรับการพูดคุยตามแนวทางสันติวิธี เพื่อให้ได้แนวทางการปฏิรูปประเทศไทยในวันข้างหน้า

เมื่อได้มีการตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แล้ว ควรจะได้มีการหารือร่วมกันระหว่างทุกฝ่ายบนพื้นฐานของสันติวิธีคู่ขนานกันไป โดยควรมีการแสวงหาข้อตกลงร่วมกันว่า ในอนาคตหลังจากการเลือกตั้งแล้วจะมีแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยที่เป็นรูปธรรมอย่างไร เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืน รัฐบาลได้พิจารณาความเห็นดังกล่าว ประกอบกับข้อมูลข่าวสารและข้อเสนอที่หลายฝ่ายในสังคมไทยกำลังช่วยกันระดมความคิดเพื่อให้เราสามารถก้าวเดินต่อไปได้

รัฐบาลยินดีที่จะอำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดเวทีดังกล่าว โดยได้มอบหมายให้นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รับไปดำเนินการเบื้องต้นเพื่อเชิญชวนภาคส่วนต่างๆ ที่เป็นตัวแทนของพรรคการเมือง ภาคเอกชนและภาคธุรกิจ ภาคราชการ สถาบันการศึกษา ภาคสังคม ภาคประชาชน ทุกกลุ่มการเมืององค์กรต่างๆ และนักกฎหมาย นักวิชาการที่มีความหลากหลาย รวมถึงสื่อมวลชนเข้ามาร่วมหารือทางออกตามแนวทางที่เป็นไปได้ ทั้งนี้ ขอเชิญประชุมหารือร่วมกันในวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2556 เวลา 9.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

รัฐบาลหวังว่าหลังจากการประชุมร่วมหารือกันในลักษณะที่เปิดใจกว้างเช่นนี้ เชื่อว่าจะมีข้อเสนอที่ชัดเจนเพื่อให้ทุกฝ่ายในสังคมไทยได้มองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาประเทศในอนาคตต่อไป.-สำนักข่าวไทย
 

 

                         

 

 

 

 

 

 

*************************

 

 

 

 

ไทย-ลาว ถือฤกษ์ดี 11-12-13 เปิดสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4

 

 

                              


 

สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ
 
สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ
 


 

 

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก ชมรมท่องเที่ยวอำเภอเชียงของ

          ลาว-เชียงราย เตรียมพร้อม ถือฤกษ์ดี วันที่ 11 เดือน 12 ปี 2013 ทำพิธีเปิดสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ โดยสมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ เป็นองค์ประธาน

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (11 ธันวาคม 2556) จะมีพิธีเปิดโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ที่จังหวัดเชียงราย อย่างเป็นทางการ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานพิธีเปิด ร่วมกับ ฯพณฯ บุนยัง วอละจิต รองประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

          ทั้งนี้ บริเวณโดยรอบนั้นมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวความเป็นมาของโครงการก่อสร้างสะพาน ขณะที่ในตัวเมืองเชียงของก็ได้มีการติดธงชาติลาวและธงตราประจำพระองค์สมเด็จพระเทพฯ ไว้โดยรอบ

          โดย นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวเชิญชวนผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนหน่วยงานทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ร่วมเฝ้ารับเสด็จ เวลา 08.00 น. และร่วมพิธีเปิดในเวลา 10.00 น. จากนั้นเฝ้าส่งเสด็จ ในเวลา 13.30 น. ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยพร้อมเพรียงกัน

          สำหรับสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งของประเทศไทย ลาว และจีนตอนใต้เข้าด้วยกัน ภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ใช้วงเงินค่าก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 1,570 ล้านบาท

          ล่าสุด เวลาประมาณ 10.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานร่วมพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 เชียงของ-ห้วยทราย ร่วมกับนายบุนยัง วอละจิต รองประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมกับทอดพระเนตรนิทรรศการข้ามพรมแดน มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลรายงาน




 

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว
 



 

สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ
 
สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ

สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ
 
สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ
 


 

สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ
 
สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ
 



 

 

สื่อนอกรายงานเส้นทางใหม่ ปลุกไทยเป็นฮับจีน-อาเซียน

 

 

 

 

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ไฟแนนเชียลไทม์สรายงานว่า ในขณะที่คลื่นมหาชนยังคงชุมนุมประท้วงทางการเมืองกันในกรุงเทพฯ จนกระทั่งเศรษฐกิจไทยที่มีอาการสั่นคลอนอยู่แล้ว ถึงกับทรุดฮวบลงนั้น อีกด้านหนึ่งก็มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศอีกขั้น เพื่อที่จะก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจทางการค้าของภูมิภาค
 
โดยในวันเดียวกันนี้ เป็นวันแรกที่ขบวนรถบรรทุกจะได้ใช้เส้นทางสะพานข้ามแม่น้ำโขง ที่เชื่อมเส้นทางขนส่งสินค้าระหว่างจีนกับอาเซียน ผ่านลาว ช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนที่สูงถึงกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้สูงขึ้นไปอีก
 
ทั้งนี้มูลค่าการค้าดังกล่าว มาจากการรวบรวมของศูนย์ข้อมูลเศรษฐกิจ "วินด์ อินฟอร์เมชั่น" ของจีน ซึ่งระบุด้วยว่า มูลค่าการค้าดังกล่าว สูงกว่ามูลค่าการค้าเมื่อปี 2545 ถึงกว่า 6 เท่าตัว ส่วนสะพานข้ามโขงแห่งนี้ คือสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 ที่รัฐบาลไทย-จีน ร่วมกันออกทุนดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ด้วยงบประมาณทั้งสิ้นเกือบ 50 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1,500 ล้านบาท ระยะทางทั้งสิ้นไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร
 
สะพานแห่งนี้จะช่วยสานก่อเส้นทางสายไหมเส้นใหม่ จากมณฑลยูนนานของจีน ล่องใต้ผ่านลาวลงไปถึงมาเลเซียและที่เลยไกลออกไป ขณะเดียวกัน ธุรกิจการค้าในจังหวัดเชียงรายอันเป็นจุดต่อเชื่อมสะพานฝั่งไทยจะได้รับอานิสงค์เบื้องต้น ในฐานะประตูเส้นทางการค้าใหม่
 
นายพัฒนา สิทธิสมบัติ นักธุรกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า สะพานแห่งนี้ยังช่วยประทับตราจังหวัดลงในแผนที่สากล และเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้เศรษฐกิจของจังหวัด มีช่องทางขยายตัวได้มากขึ้นไปอีก นอกเหนือจากที่ได้ขยายตัวมากถึง 4 เท่าตัวภายในระยะ 8 ปีที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลไทยด้วย

 

 

 

*************************************************

 

 

 

 

                                               รูปภาพ

 

 

 

 

 
สุพจน์ อุตรศักดิ์ ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร กับคนมีความรู้ระดับนี้ ไม่ใช่แค่อธิการคนนี้เท่านั้น คนที่เชื่อว่าเป็นกูรู การตลาด อย่างนาย(นาง)เสรี ยังพูดอย่างนี้เหมือนกัน ทำให้นึกถึงอาฟริกาใต้ที่คนหยิบมือเป็นเจ้าของทรัพยากรส่วนใหญ่ของประเทศ มีฬ
โอกาสมากกว่าคนส่วนใหญ่ รู้สึกหวงแหนหากจะต้องกลายเป็นเสียงส่วนน้อย จึงทำทุกวิถีทางที่จะเอาเปรียบคนสาวนมาก กระทั่งการละเมิดสิทธิคนอื่น ขนาดเอาชีวิตก็ยังมี
ไม่ทราบว่าท่านคิดได้นานรึยัง ทำไมตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่เอาหลักการนี้ใส่เข้าไปเสียละครับ จะได้ไม่ต้องมาฉีกรัฐธรรมนูญที่ตนเองมีส่วนร่วมสร้างมากับมือ แล้วถ้าท่านสอนเด็กตกลงกันแล้วว่าเกรด A คะแนนที่ 80 ขึ้นไป พอถึงปลายเทอมบอกว่ามันวัดความเก่งไม่ได้ ต้อง เปลี่ยนเป็น 95 ขึ้นไปเท่านั้นจึงจะถือว่าเก่ง ท่านว่าเด็กเขาจะเชื่อท่านและยอมท่านไหมครับ ตอบปัญหาง่ายให้ได้ก่อน
 
 
Fina ValcaNo ผมตอบให้ท่านได้เลย ทำไมนำหลักการนี้ไปใช้ในต่างประเทศแล้วได้นักการเมืองดีๆ ตอบ เพราะว่าเค้ายอมรับไง ไม่ว่าผลเลือกตั้งจะได้คนตามที่คนหวังไว้หรือไม่ ผลก็คือเค้ายอมรับไงครับท่าน จากการเลือกตั้ง ที่เสียงประชาชนทั้งประเทศตัดสิน ประชาชนคนไทยก็มีความคิดนะครับ แยกออกอันไหนดีไม่ดี ใช้ว่าเงินจะซื้อเสียงได้คนทั้งประเทศ บางคนซื้อได้แต่ผมเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศซื้อเสียงไม่ได้ครับ เค้าชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรก็เป็นสิทธิ์ของเค้า ทางออกของประเทศคืออะไร ก็การเลือกตั้งไงคัรบแล้วก็ต้องยอมรับ

 

 

 
Nick Chanisorn อยากเรียนถามด้วยว่าท่าน อ.สมบัติ คิดว่าตัวเองควรจะมีกี่เสียง?
 

 

 

รูปภาพของ หนุ่มตัวร้าย คุณนายน่ารัก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                  สุเทพ ปราศรัย อ่อนลงเยอะ
 
 
 
หลังจากไม่มีใครยอมมารายงานตัว
ขนาดขอให้เสื้อแดงไปร่วมชุมนุมกับพวกเขา
และบอกพยายามติดต่อ ผบ ทบ และ ผบ สูงสุด ขอเข้าพบ
แต่ยังติดต่อไม่ได้

สุเทพบอกได้ติดต่อกับ ผบตร และ ผบเหล่าทัพต่างๆมาแล้ว
เพื่อขอเข้าพบ ทุกคนบอกยินดี

แต่ล่าสุด ผบ เหล่าทัพทุกเหล่าทัพ ได้ตกลงส่งตัวแทนมาพบสุเทพ
เพื่อรับฟัง ตัวจริงไม่มา

แวว หายนะ ของม๊อบ มวลเหล่ามหาโจร กำลังมาถึงแล้ว
หาก ตำรวจ ทหาร ยังยืน และนิ่ง ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของโจร

วันพรุ่งนี้ สุเทพบอกจะไปพบผบ ตร ผบเหล่าทัพ
ด้วยตัวเองและทีมงาน 40 คน


คอยดูว่า ทหาร ตำรวจ จะยืนตรงไม่สุงสิง ไม่สังฆกรรมกับโจร
อย่างที่ว่าไหม


ประเทศจะมีทหารของชาติประชาชนจริงๆ และยังรักษาวินัย
และจะทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และนายกรัฐมนตรีไหม


และจะคอยดูกึ๋นของระบบยุติธรรมไทยว่าจะยังมีความศักดิ์สิทธิ์ไหม


ล่าสุด ทนายนกเขาหล้งจากทราบว่า ผบ ตร ไม่ยอมให้พบ
ได้ประกาศให้ผู้ชุมนุม 10.00 น ให้บุกเข้ารื้อและไล่ตำรวจออกจากทำเนียบ

พรุ่งนี้น่าจะเป็นวันเผด็จศึกพวกกบฎเสียที

 

 

 

 

 

ที่มาของภาพยิ้มทั้งน้ำตา ของ นายกปู ที่โดนเละ แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม



Image has been scaled down 28% (599x392). Click this bar to view original image (826x540). Click image to open in new window.
[Image: image-CDCD_52A82B28.jpg]



 

 

 

ดูกันให้ชัดๆวินาทีหลังจากที่เจ๊ปูว์ร้องไห้ผ่านสื่อเเล้วเกิดอะไรขึ้น ที่มา : http://youtu.be/WMeXEFriO_4

หลังจากนั้นก็ได้เกิดกระแส ดราม่าอย่างหนักหน่วงบนโลกไซเบอร์...โอ้วแม่จ้าว เจ๊ปูว์แกได้รับรางวัลตุ๊กตาทองแน่ๆ ไหนว่าร้องไห้ไง ลับหลังไปกลับยิ้มแป้นเลย....แต่แล้วก็..

ถามจากพรรคพวกเพื่อนนักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังบอกว่า คนถามท่านนายกฯ คำถามนี้คือ พี่ดัท ASTV รีบไปขอโทษนายกฯ โดยพูดไล่หลังท่านนายกฯ ไปว่า " ท่านนายกฯ โกรธไหมค่ะ" ท่านนายกฯ หันมายิ้มทั้งน้ำตาเหมือนบอกว่า "ไม่โกรธ"


ที่มา
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=...=1&theater

 

 

 

 

***********************************

 




 

 

    

 

 

 

     ประเทศพม่ากับการเป็นเจ้าภาพ ซีเกมส์ ครั้ง ที่ 27

 

 

 


 

 

 

เป็นอีกหนึ่งมหกรรมกีฬาของชาวอาเซียน ที่ 2 ปี มีครั้งหนึ่ง สำหรับกีฬาซีเกมส์ ครั้งนี้ เวียนมาถึงครั้งที่ 27 แล้วสำหรับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2013 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 11-22 ธ.ค.2556 ซึ่งทางสหพันธ์กีฬาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กำหนดให้พม่าเป็นเจ้าภาพ หลังจากว่างเว้นมายาวนานถึง 44 ปี
โดยกำหนดจัดขึ้นที่เนปีดอ เมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศพม่า พร้อมด้วยอีก 2 เมือง คือ ย่างกุ้งและมัณฑะเลย์  ซึ่งตอนนี้มี 11 ประเทศเข้าแข่งขัน ได้แก่ ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ลาว, พม่า, กัมพูชา, บรูไน, ติมอร์ตะวันออก



ในนสมัยที่ยังเป็นกีฬาแหลมทอง พม่า เคยเป็นเจ้าภาพมาแล้วสองครั้ง ในปี 1961(2504) กับ 1969(2512) ซึ่งทั้งสองสมัยพม่าเป็นเจ้าเหรียญทอง และในปี 2013(2556) พม่าได้กลับมาเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ และเป็นที่น่าจับตามองอีกเช่นกันว่า พม่าคงอยากจะเป็นเจ้าเหรียญทองอีกครั้ง ถึงขนาดตัดกีฬาสากลบางชนิดและกีฬาที่พม่าเชื่อแน่ว่าไม่น่าจะได้เหรียญทองออก พร้อมเพิ่มกีฬาพื้นบ้านเข้าไปอีกเพียบ



ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ครั้งนี้ สรุปลงตัวมาแล้วว่า มีการชิงชัยทั้งหมด 33 ชนิดกีฬารวมทั้งหมด 460 เหรียญทอง แบ่งเป็นกลุ่ม 1 กีฬาบังคับมี 2 ชนิด คือ ว่ายน้ำ และกรีฑา กลุ่ม 2 กีฬาสากลที่มีในเอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิก 23 ชนิด ได้แก่  บิลเลียด-สนุกเกอร์, เรือแคนู, เรือกรรเชียง, จักรยาน, ขี่ม้า, ฟุตบอล-ฟุตซอล, ตะกร้อ, บาสเกตบอล, เทเบิลเทนนิส, เรือใบ-วินด์เซิร์ฟ, แบดมินตัน, ยิงปืน, มวยปล้ำ, ยิงธนู, เทควันโด, มวยสากล, วอลเลย์บอล, ยกน้ำหนัก, วูซู, ยูโด, กอล์ฟ, ฮอกกี้, คาราเตโด และกลุ่ม 3 กีฬาพื้นบ้าน 8 ชนิดกีฬา ได้แก่ คือ มวย, เรือยาวประเพณี, ปันจักสีลัต, เปตอง, เคมโป, โววีนัม, เพาะกาย, หมากรุกสากล ส่วนชินลอน กีฬาประจำชาติพม่า จัดรวมอยู่ในเซปักตะกร้อ



และแน่นอนประเทศอาเซียน อย่างเช่น  มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ก็ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะสิงคโปร์ ที่ส่งหนังสือไปต่อว่าต่อขานโดยตรงเลยทีเดียว ไม่เว้นแต่ประเทศไทย ที่ขอส่งจดหมายร้องเรียนไปยังประเทศพม่าด้วยเช่นกัน


 
งานนี้ ต้องติดตามดูต่อไปว่า กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่พม่า เป็นเจ้าภาพ จะออกมาในรูปแบบไหน โดยเฉพาะโอกาสที่ไทยจะเป็นเจ้าเหรียญทอง ดูแนวโน้มแล้วเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ




 

ประเทศพม่ากับการเป็นเจ้า

 

 


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
เฟซบุ๊ก Welcome to Xxvii SEA Games 2013 Nay Pyi Taw, Myanmar

          เปิดประตูประเทศอีกครั้ง สำหรับประเทศพม่าที่ขอโชว์ศักยภาพต้อนรับประชาคมอาเซียน...ด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ณ กรุงเนปิดอว์ ในระหว่างวันที่ 11-22 ธันวาคม 2556 ที่จะถึงนี้ หลังจากที่เว้นวรรคการเป็นเจ้าภาพมานานถึง 44 ปีเลยทีเดียว...

          แต่ทั้งนี้ ยังไม่ทันจะเริ่มโค้งแรกในการเตรียมตัวการแข่งขันใด ๆ บรรดาประเทศเพื่อนพ้องก็อดหวั่นใจไม่ได้ เพราะล่าสุดมติที่ประชุมซีเกมส์ ระบุมาแล้วว่า กีฬาที่จะต้องชิงชัยกันนั้น มีทั้งหมด 33 ชนิด 459 เหรียญทอง โดยประเทศพม่าได้ทำการตัดกีฬาสากลอย่างเช่น เทนนิส, เทเบิลเทนนิส, แบดมินตัน, ยิมนาสติก และฮอกกี้ แถมยังเพิ่มกีฬาพื้นบ้าน และกีฬาที่ไม่ได้อยู่ในธรรมนูญซีเกมส์หลายชนิดยัดเยียดในการแข่งขันครั้งนี้ เหลือกีฬาสากลเพียง 17 ชนิดเท่านั้น และแน่นอนประเทศอาเซียน อย่างเช่น  มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ก็ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะสิงคโปร์ ที่ส่งหนังสือไปต่อว่าต่อขานโดยตรงเลยทีเดียว ไม่เว้นแต่ประเทศไทย ที่ขอส่งจดหมายร้องเรียนไปยังประเทศพม่าด้วยเช่นกัน

          สำหรับกีฬาที่โดนผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า นั่นก็คือ กีฬาเทนนิส ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมที่พูดได้ว่าไม่มีซีเกมส์ครั้งไหนไม่จัดการแข่งเทนนิสเลยสักครั้ง ส่วนประเทศไทยนั้น ก็ออกปากกร้าวว่าจะขอแชมป์เทนนิสซีเกมส์ 2013 ให้ได้ แต่เจ้าภาพกลับบอกว่า ยังไม่พร้อมเรื่องสนามเทนนิส แถมยังไม่มีความรู้เทคนิคเกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้ งานนี้ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ในฐานะนายกลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ถึงกับปรี๊ดแตก วิ่งวุ่นให้ทางพม่าทบทวนให้เอากีฬาเทนนิสมาบรรจุในการแข่งขันซีเกมส์ให้ได้

          ขณะที่ประเทศเวียดนามกลับเห็นด้วยในการใส่กีฬาพื้นบ้านเข้าไปซะอย่างนั้น โดยระบุว่า ในเมื่อเราจะเป็นประชาคมอาเซียน เหล่าสมาชิกอาเซียนก็ควรจะแข่งขันกีฬาพื้นบ้านเป็นหลักมากกว่า
 
          ส่วนกีฬาอาเซียนนั้น เจ้าภาพได้บรรจุดไว้ 8 ชนิด คือ เพาะกาย, เรือประเพณี, หมากรุกสากล, ปันจักสีลัต, โววีนั่ม, เปตอง, มวยไทย และโชรินจิ-เคมโป เอ้า! จะเข้าทางประเทศไหนบ้างก็คงต้องลุ้นกันต่อไป สำหรับกีฬาที่ชื่อไม่คุ้นหู อาทิ โววีนั่ม เป็นศิลปะการป้องกันตัวของประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นการผสมผสานกีฬาหลายชนิด ทั้งเทควันโด มวยไทย มวยจีน วูซู แม้แต่การรำกระบอง เป็นกีฬาที่สามารถใช้มือและศอกได้ เตะหน้าได้ แต่ต้องใส่นวม และห้ามเตะต่อยขา, กีฬา ปันจักสีลัต เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เท้าเปล่า เน้นลีลาสวยงามเพื่อให้ได้คะแนน และ โชรินจิ-เคมโป เรียกสั้น ๆ ว่า เคมโป  เป็นศิลปะการต่อสู้ประเภทหนึ่งของญี่ปุ่น มีรากฐานจากมวยจีน เทควันโด ยูโด และคาราเต้ 

          ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่ากีฬาพื้นบ้านจะเน้นศิลปะการต่อสู้จำนวนมาก แน่นอนต้องส่งผลดีต่อประเทศเจ้าภาพที่จะมีโอกาสโกยเหรียญทองเข้าประเทศ นอกจากนี้ ประเทศที่ได้ประโยชน์อีกต่อหนึ่งก็คือ เวียดนาม และอินโดนีเซีย

          ส่วนประเทศไทยนั้น คงก็ต้องทำใจยอมรับ เพราะไทยนั้นเป็นตัวเต็งทั้งเทนนิส และยิมนาสติก แต่กลับไม่ได้ลงแข่งในศึกครั้งนี้ แถมยังต้องมาฟิตซ้อมแข่งกีฬาพื้นบ้านอีก... ศึกซีเกมส์ครั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด ไม่ใช่ความเก่งของนักกีฬา แต่เป็นเรื่องกติกามากกว่า เพราะไม่รู้ว่าพม่าจะยึดกติกาสากล ให้เป็นกติกาพื้นบ้านหรือเปล่า...
 

 

 
 
 
 
 
 
******************************
 
 
 
 
 
 
Published on Dec 9, 2013

รักษาการนายกฯตอบคำถามที่ถามว่า "เคยถามผู้ชุมนุมบ้างไหมว่ามีเหตุผลอะไรมา­ไล่ตระกูลชินวัตรออกจากประเทศไทย"

 
 
 
 
 
 
 
 
    
 
 
   
 

 

เห็นทวิตเตอร์สิริโซค บอกว่า ปชป. มีมติลาออกทั้งพรรค  ผมก็ว่าดีครับ พรรคการเมืองพรรคนี้ไม่ได้ยืนอยู่บนเส้นทางประชาธิปไตย ก็ไม่ควรอยู่ในสภาอีกต่อไป

 

สมัยที่นายชวนเป็นรัฐบาล และเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น พรรคความหวังใหม่ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั้นก็เคยลาออกทั้งพรรค โดยไม่มี สส.ฝ่ายค้านในสภา แต่รัฐบาลนายชวนก็ไม่ได้ยุบสภา และเป็นรัฐบาลต่อจนครบเทอม ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร

 

รัฐธรรมนูญปี 2550 การลาออกและบอยคอตเลือกตั้งจะไม่ทำให้รัฐสภาถึงทางตัน เพราะในกฎหมายเลือกตั้งนั้น แม้จะมีบทบัญญัติว่า หากเขตใดมี คนสมัคร สส.คนเดียวต้องได้คะแนน 20% ไม่อย่างนั้นต้องเลือกตั้งใหม่ในเขตนั้น และหาเลือกตั้งครั้งที่ 3 ก็มีคนเดียวให้ผู้สมัครคนั้นได้เป็น สส.เลย หรือเขตใดไม่มีผู้สมัคร ก็ให้ กกต.ประกาศรับสมัครใหม่ จนกว่าจะได้ตัว สส.

 

ดังนั้นในทางกฎหมาย จึงไม่มีทางตันกับการบอยคอตเลือกตั้งใน รธน.ปี 2550

 

ก็เป็นเรื่องที่พรรคเล็กๆ ก็จะได้เกิดต่อไปละครับ อาจมีความวุ่นวายจากการก่อกวนของ ปชป. ประขาขนก็ต้องอดทน

 

เพราะหากเราไม่ยึดถือกติกา บ้านเมืองก็ไม่มีทางออก เพราะหากฝ่ายอำมาตย์ได้อำนาจด้วยวิธีนี้ ล้มรัฐบาลได้ด้วยวิธีนี้คนอีกฝั่งก็ไม่ยอมแน่นอน และคนเหล่านี้เป็นเสียงส่วนใหญ่ ดังนั้น ประเทศไทยก็เกิดทางตันและเข้าสู่สงครามกลางเมืองแน่นอน

ดังนั้น นายกฯปูและรัฐบาลต้องไม่หวั่นไหวกับเกมกดดันนี้ ต้อง "สงบนิ่ง" ไม่อ่อนตาม ปล่อยให้เกมนี้มันด้วนไป หากทหารจะทำรัฐประหาร ประชาชนก็จะสู้ จนถึงที่สุด ดังนั้นการยืนหยัดต่อไปเรื่อยๆ ไม่สนใจแรงบีบ สถานการณ์มันก็ไม่มีอะไร

ก็แค่พรรคฝ่ายค้านพรรคใหญ่ลาออกหมดสภา แต่ระบบก็ยังมีพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ และไม่ถึงทางตัน

 

 

 


Pavin Chachavalpongpun


ไม่ต้องการชี้นำอะไรนะครับ แต่ผมได้กลิ่นตุๆ ว่า มันจะเกิดการนองเลือดเร็วๆ นี้...


พรรคประชาธิปัตย์ลาออกยกทีม กลไกประชาธิปไตยต้องสะดุด กติกาทางกฏหมายใช้ไม่ได้กับหัวหน้าม๊อบ... ที่สำคัญ พระราชดำรัสที่ให้สามัคคีก็หมดมนต์ขลัง...


 ...ตอนนี้การเมืองเป็นเกียร์ว่าง ใครเหยียบเครื่องก่อนถึงก่อน... ใครอยู่กรุงเทพฯ โปรดระวังตัวด้วยครับ ด้วยความปรารถนาดีจริงๆ 

 

 

 

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ 

 

การที่สส.ปชป.ลาออกทั้งพรรค ตาม "สัญญาณ" ที่ได้รับมา ก็เพื่อบีบให้นายกฯยิ่งลักษณ์ยุบสภา แล้วก็บอยคอยเลือกตั้ง มุ่งสร้างสูญญากาศทางการเมืองให้จงได้ เมื่อไม่มีสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็จะเหลือแต่วุฒิสภา ซึ่งตามบทบัญญัติ รธน. จะถือว่า วุฒิสภาทั้งหมดเป็นรัฐสภา จนกว่าจะมีการเลือกตั้งสภาผู้แทนชุดใหม่ (แต่ก็จะไม่มีเลือกตั้ง)


แต่เมื่อปชป.ลาออก แถมบอยคอยเลือกตั้ง ปปช.เงื้อดาบฟันนายกฯยิ่งลักษณ์และครม.ทั้งคณะในคดีต่าง ๆ ที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีสภาผู้แทน ไม่มีรัฐบาล มีแต่วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภา ก็กลายเป็นความชอบธรรมที่วุฒิสภาจะอ้าง ม.7 เสนอให้ตั้งนายกฯ "คนกลาง" และรัฐบาลใหม่ที่ไม่เป็นไปตามรธน.50 เอง


คราวนี้ พวกเผด็จการถึงกับลงทุน "ฉีก" รธน.50 ของตัวเอง แปรรูปเป็นเผด็จการเต็มรูป เพื่อขจัดตระกูลชินวัตร พรรคเพื่อไทย และจัดการกับคนเสื้อแดงทั่วประเทศ ในคราวเดียว โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านจากนานาประเทศที่สนับสนุนนายกฯยิ่งลักษณ์!!!


นายกฯยิ่งลักษณ์ต้องไม่ยุบสภา ไม่ลาออก เราจะไม่เป็นฝ่ายยุบสภา แล้วเปิดเงื่อนไขให้พวกเผด็จการใช้เป็นข้ออ้างอย่างเด็ดขาด! ถ้าพวกนั้นอยากได้เผด็จการเต็มรูป ก็ต้องให้พวกนั้นลงมือยุบเลิกทั้งสภาและครม. ด้วยตัวเองโดยใช้ ปปช. ตุลาการ หรือทหาร! อยากได้ก็ต้องทำเอง เราจะไม่ใส่พานให้!

 

 

 

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล



ถ้า ปชป เอง, กองทัพ และราชสำนัก ต้องการเสี่ยงเห็นสังคมไทยพุ่งสู่ทิศทางกลียุค ซึ่งจะนำความหายนะมาให้ทุกฝ่าย

 ก็เชิญเดินหน้าหรือสนับสนุนสิ่งที่ กปปส และบัดนี้ ปชป กำลังทำไปให้สุดเลย

แต่สิ่งที่พวกนี้ทำ เป็นความเพ้อฝัน หวังจะเปลี่ยนโครงสร้าง และดุลย์อำนาจอย่างพลิกคว่ำจากเดิมโดยทันที ซึ่งไม่มีทางทำสำเร็จ ...


พวกคุณต้องเลือกเอาว่าจะก้าวสู่เหวของความหายนะ หรือจะหาทางช่วยกันรั้ง ดึงการเมืองให้กลับสู่ทิศทางปกติ แล้วจะต่อสู้ ช่วงชิงที่มั่นการเมือง ก็ทำกันไปแบบปกติ

 

 

 

 

 

 

*******************************

 

 

guest

Post : 2013-12-03 18:27:43.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สิ้นเเล้ว เนลสัน เเมนเดลา...

 

 

เนลสัน แมนเดลา อดีตผู้นำแอฟริกาใต้ ถึงแก่อสัญกรรม


 

เนลสัน แมนเดลา อดีตผู้นำแอฟริกาใต้ ถึงแก่อสัญกรรม
 



เศร้า!แมนเดลาอดีตผู้นำแอฟริกาใต้ถึงแก่อสัญกรรม (ไอเอ็นเอ็น)
ภาพประกอบจาก RODGER BOSCH / AFP
 
            เนลสัน แมนเดลา ฮีโร่แห่งแอฟริกันชน นักสู้ผู้ต่อต้านการเหยียดผิว ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ ด้วยวัย 95 ปี หลังจากต่อสู้กับปัญหาสุขภาพมาอย่างยาวนาน

            เป็นข่าวเศร้าไปทั่วโลก ในช่วงเวลา 04.45 น. วันที่ 6 ธันวาคม 2556 ตามเวลาประเทศไทย หลังจากมีรายงานออกมาจากปากของ จาค็อบ ซูมา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ว่า "เนลสัน แมนเดลา" อดีตสุดยอดผู้นำ นักสู้ผู้ต่อต้านการเหยียดผิวแห่งแอฟริกันชน ถึงแก่อสัญกรรมลงอย่างสงบแล้วด้วยวัย 95 ปี หลังจากที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่รุมเร้ามาอย่างยาวนาน

            โดยทาง จาค็อบ ซูมา ผู้นำแอฟริกาใต้คนปัจจุบัน เผยว่า "เนลสัน ได้หลับพักผ่อนสบายแล้ว ส่วนลูก ๆ ท่านนั้นเสียใจเป็นอย่างมาก ที่สูญเสียคุณพ่อไป รวมทั้งประชาชนก็เสียใจเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เนลสัน ได้ทำสิ่งที่โลกต้องจารึกไว้อย่างยิ่งใหญ่ เชื่อว่าโลกจะจดจำคนอย่าง เนลสัน ไปอีกนานแสนนาน"

            ทั้งนี้ ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ สั่งให้ลดธงลงครึ่งเสา เพื่อแสดงความไว้อาลัย

            ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้แถลงการณ์ แสดงความเสียใจกับการจากไปของยอดผู้นำ วัย 95 ปี เช่นกัน

            สำหรับ เนลสัน แมนเดลา เกิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ในช่วงปี ค.ศ. 1994-1999 เป็นที่รู้จักกันทั้งในและนอกประเทศในฐานะที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านนโยบายแยกคนต่างผิวออกจากกันในแอฟริกาใต้ จากที่แรกเริ่มเป็นผู้เคลื่อนไหวในทางสันติ ได้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา เขาถูกจำคุกเป็นเวลาทั้งสิ้น 27 ปี โดยตอนหลังกลายมาเป็นกรณีตัวอย่างของความอยุติธรรมของนโยบายแยกคนต่างผิว ซึ่งต่อมาได้รับการปล่อยตัวในปี 1990

            เนลสัน แมนเดลา เป็นที่ยกย่องอย่างสูงภายในประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ชาวแอฟริกันจะขนานนามสมาชิกชายอาวุโสของตระกูลมันเดลาอย่างให้เกียรติว่า "มาดิบา" ซึ่งยอดผู้นำแอฟริกาใต้ ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากกว่า 250 รางวัลตลอดช่วงเวลา 4 ทศวรรษ รางวัลที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 1993

 
 

เนลสัน แมนเดลา

เนลสัน แมนเดลา

 



ขอขอบคุณภาพประกอบจาก DANIEL JANIN MICHEL CLEMENT, JAVIER SORIANO, FATI MOALUSI, DEBBIE YAZBEK / MANDELA FOUNDATION / AFP

          หากจะเอ่ยถึงนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ในทศวรรษนี้ คงจะไม่มีใครปฏิเสธชื่อของ เนลสัน แมนเดลา อย่างแน่นอน เพราะหากปราศจากบุคคลผู้นี้แล้ว โลกของเราก็คงจะยังมีการเหยียดสีผิว..ใช่แล้วล่ะ เขาเป็นรัฐบุรุษของโลก ผู้อุทิศตนต่อสู้เพื่อล้มล้างลัทธิเหยียดผิว และผลักดันให้เกิดสันติภาพทั่วโลก

          และจากข่าวการจากไปของ เนลสัน แมนเดลา ในช่วงที่ผ่านมานี้ ก็พลอยทำให้ประชาชนโดยเฉพาะในแอฟริกาใต้ต่างเศร้าโศกกับข่าวดังกล่าว จนทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับบุคคลผู้นี้ และเขาได้สร้างวีรกรรมอะไรให้กับโลกเราบ้าง วันนี้จึงขอนำเสนอเรื่องราวประวัติชีวิตและการต่อสู้ของ เนลสัน แมนเดลา

          โดย เนลสัน แมนเดลา เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ในครอบครัวชาวเทมบู ซึ่งพูดภาษาโซซา ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางฟากตะวันออกของแหลมเคปของแอฟริกาใต้ เดิมมีชื่อว่า มาดิบา ต่อมาครูในโรงเรียนได้ตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้เขาว่า แมนเดลา

          ต่อมาพ่อของเขาซึ่งเป็นที่ปรึกษาของตระกูลผู้ปกครองชาวเทมบู ได้เสียชีวิตขณะที่เขามีอายุได้ 9 ขวบ เขาจึงได้รับการชุบเลี้ยงจากรักษาการผู้สำเร็จราชการเมืองเทมบู จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2484 เมื่อมีอายุ 23 ปี เนลสัน แมนเดลา ได้หนีจากการถูกจัดให้แต่งงานแบบคลุมถุงชน หลบไปอยู่ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ก่อนจะเข้าเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยวิทส์วอเทอแรนด์ ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นชาวแอฟริกัน และที่นี่ทำให้เขาได้พบเจอผู้คนจากทุกเชื้อชาติ ได้รับความคิดแบบเสรีนิยม และความคิดต่อสู้เพื่อชาวแอฟริกัน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเหยียดผิว การถูกกระทำแบบสองมาตรฐาน ซึ่งผลักดันให้เขากลายเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง

          โดยในปี พ.ศ. 2486 เขาได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคสภาแห่งชาติแอฟริกัน หรือเอเอ็นซี และต่อมาได้ร่วมก่อตั้งสันนิบาตยุวชนเอเอ็นซี อีกทั้งเขาได้ร่วมกับเพื่อน โอลิเวอร์ แทมโบ ก่อตั้งสำนักงานกฎหมายในเมืองโจฮันเนสเบิร์กในปี พ.ศ. 2495 รณรงค์ต่อต้านระบอบปกครองที่เหยียดผิวของพรรคคนผิวขาว ที่กดขี่ชาวผิวดำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ จนทำให้ในปีพ.ศ. 2499 แมนเดลาถูกแจ้งข้อหากบฏพร้อมกับนักเคลื่อนไหวอีก 155 คน แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องเขาหลังสอบสวนอยู่นาน 4 ปี

          ต่อมาได้มีการออกกฎหมาย Pass Laws ฉบับใหม่ซึ่งจำกัดเขตอยู่อาศัยและทำมาหากินของคนผิวดำ ทำให้กระแสต่อต้านการเหยียดผิวได้ขยายตัวไปทั่วแอฟริกาใต้ ขณะที่พรรคเอเอ็นซีก็ถูกประกาศให้เป็นกลุ่มเถื่อนในปี พ.ศ. 2503 ทำให้ เนลสัน แมนเดลาต้องหลบลงใต้ดิน อย่างไรก็ดี กระแสการต่อต้านลัทธิเหยียดผิวได้รุนแรงขึ้นจนถึงที่สุดเมื่อตำรวจได้สังหารหมู่ชาวผิวดำ 69 คนในเมืองชาร์ปวิลล์ในปีเดียวกัน


 

เนลสัน แมนเดลา
 



          เนลสัน แมนเดลา ซึ่งขณะนั้นเป็นรองประธานเอเอ็นซี ได้เปิดปฏิบัติการวินาศกรรมทางเศรษฐกิจจนกระทั่งถูกจับในที่สุด และเขาถูกแจ้งข้อหาก่อวินาศกรรม และพยายามโค่นล้มรัฐบาลด้วยวิธีการรุนแรง โดยระหว่างการพิจารณาคดีที่เมืองริโวเนีย แมนเดลาได้ประกาศความเชื่อของเขาในเรื่องประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเท่าเทียมว่า

          "ผมเชิดชูอุดมคติเรื่องสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพ ที่ซึ่งคนทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ และได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน นี่คือสังคมอุดมคติที่ผมปรารถนาจะไปให้ถึง เป็นอุดมคติที่ผมพร้อมจะอุทิศชีวิตให้"

          อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2507 เขาถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตบนเกาะร็อบเบนเป็นเวลา 18 ปี ก่อนถูกย้ายมายังเรือนจำโพลส์มัวร์บนแผ่นดินใหญ่ในปี พ.ศ. 2525 ซึ่งขณะที่เขาถูกจองจำอยู่นั้น พวกเยาวชนตามเมืองต่าง ๆ ของชนผิวดำยังคงต่อสู้กับการปกครองโดยคนผิวขาวส่วนน้อยต่อไป จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก

          ขณะที่ทางฝั่งของ โอลิเวอร์ แทมโบ สหายของแมนเดลา ผู้ลี้ภัยในต่างประเทศ เขาได้เริ่มรณรงค์ในระดับสากล เรียกร้องให้ปล่อยตัวมิตรร่วมอุดมการณ์ในปี พ.ศ. 2523  โดยมีการจัดคอนเสิร์ตที่สนามกีฬาเวมบลีย์ในกรุงลอนดอนในปี 2531 ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 72,000 คน อีกหลายล้านทั่วโลกรับชมทางโทรทัศน์ และร่วมร้องเพลงเพื่อให้ปลดปล่อยเนลสัน แมนเดลา

          โดยกระแสเรียกร้องนี้ ทำให้บรรดาผู้นำโลกเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อระบอบเหยียดผิวของแอฟริกาใต้ ซึ่งได้เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 แล้ว จนในที่สุด ประธานาธิบดี เอฟ ดับเบิลยู เดอ เคลิร์ก ก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันจากทั่วโลกได้ และเลิกสั่งแบนพรรคเอเอ็นซีในปี พ.ศ. 2533 พร้อมกับปล่อยตัว เนลสัน แมนเดลา

          ในปี พ.ศ. 2536 เนลสัน แมนเดลา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และต่อมาชาวแอฟริกาใต้ทุกผิวสีได้ออกเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก ทำให้ เนลสัน แมนเดลาได้รับเสียงโหวตท่วมท้นให้เป็นประธานาธิบดีในวันที่ 10 พฤษภาคม 2537 ซึ่งเขาได้ปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการเหยียดสีผิวหรือชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ และได้รับความยกย่องจากนานาชาติสำหรับการอุทิศตนเพื่อการประสานไมตรีทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542 เขาได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง และได้เป็นรัฐบุรุษอาวุโส ซึ่งเขายังคงอุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับเรื่องสิทธิมนุษยชนและให้ความรู้เรื่องการติดต่อของโรคเอดส์จนกระทั่งอายุ 85 ปี ก่อนจะขอเกษียณเนื่องจากปัญหาสุขภาพ

          และถึงแม้ว่า ณ วันนี้ เนลสัน แมนเดลา จะถึงแก่อสัญกรรมแล้ว หลังจากป่วยด้วยโรคปอดและเกิดอาการแทรกซ้อนเรื้อรังมาอย่างอย่างนาน กระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่เขาก็ยังคงเป็นรัฐบุรุษของโลก และนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในหัวใจของคนทั่วโลกตลอดกาล


 

เนลสัน แมนเดลา

เนลสัน แมนเดลา

 

MANDELA
 


 



ขอขอบคุณภาพประกอบจาก LEON NEAL / DEBBIE YAZBEK / MANDELA FOUNDATION / AFP

            ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ชื่อของนายเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้ ถูกกล่าวถึงบ่อยขึ้น หาใช่เพราะมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่เกิดขึ้นโดยตัวท่านเอง หากแต่เป็นข่าวอัพเดทอาการป่วยด้วยภาวะปอดติดเชื้อ ที่ดูเหมือนจะค่อย ๆ ทรุดลงในทุกครั้งที่ได้ยิน จนล่าสุดแพทย์ได้ให้ความเห็นว่าอาการเข้าสู่ภาวะวิกฤติแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ชาวแอฟริกาใต้รวมถึงผู้คนทั่วโลกไม่อยากจะได้ยินเลยแม้แต่น้อย

            ในฐานะที่ท่านคือผู้ทำคุณประโยชน์อย่างสูงแก่สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ด้วยการอุทิศตนเพื่อล้มล้างการเหยียดผิว และมอบประชาธิปไตยที่แท้จริงสู่ผู้คนโดยไม่เกี่ยงว่าจะผิวขาวหรือดำ ถ้อยคำดี ๆ ของบุรุษท่านนี้ ที่น่าคิดและน่ายึดเป็นหลักในการใช้ชีวิตมาฝากให้ได้อ่านกัน


 

เนลสัน แมนเดลา
 



 

No one is born hating another person because of the color of his skin, or his background, or his religion. People must learn to hate, and if they can learn to hate, they can be taught to love, for love comes more naturally to the human heart than its opposite.

ไม่มีใครเกลียดคนอื่นเพราะมีสีผิว พื้นเพ และศาสนาที่แตกต่างมาตั้งแต่เกิด คนทุกคนจะต้องเรียนรู้ที่จะเกลียดผู้อื่น และเมื่อคนเราสามารถเรียนรู้ที่จะเกลียดได้แล้ว ก็สามารถเรียนรู้ที่จะรักได้เหมือนกัน เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ความรักเกิดขึ้นในหัวใจของคนเราได้ง่ายกว่าความเกลียดเสียอีก



It always seems impossible until it’s done.

ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เสมอ จนกว่าจะลงมือทำจนเป็นรูปเป็นร่าง



After climbing a great hill, one only finds that there are many more hills to climb.

หลังจากพิชิตภูเขาอันยิ่งใหญ่ได้แล้ว คนเราจะค้นพบว่า ยังมีภูเขาอีกมากมายให้ปีนป่ายกันต่อไป



There is nothing like returning to a place that remains unchanged to find the ways in which you yourself have altered.

ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการกลับไปยืนที่เดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน เพื่อค้นหาคำตอบว่าเราเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง



If you want to make peace with your enemy, you have to work with your enemy. Then he becomes your partner.

ถ้าเราอยากจะสร้างสันติกับศัตรู เราจะต้องจับมือกับศัตรู แล้วศัตรูก็จะกลายเป็นหุ้นส่วนของเรา



Education is the most powerful weapon which you can use to change the world.

การศึกษาเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด ที่เราจะนำมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงโลก



If you talk to a man in a language he understands, that goes to his head. If you talk to him in his language, that goes to his heart.

หากคุณพูดกับใครสักคนด้วยภาษาที่เขาเข้าใจ คำพูดเหล่านั้นจะถูกส่งผ่านไปยังสมองของเขา แต่หากคุณพูดกับใครสักคนด้วยภาษาของเขา คำพูดเหล่านั้นจะถูกส่งผ่านไปยังหัวใจ



The brave man is not he who does not feel afraid, but he who conquers that fear.

คนกล้าหาญไม่ใช่คนที่ไม่รู้สึกเกรงกลัวอะไร แต่คือคนที่เอาชนะความกลัวที่มีได้ต่างหาก



Freedom would be meaningless without security in the home and in the streets.

เสรีภาพจะไม่มีความหมายเลย หากปราศจากความปลอดภัยในบ้านและท้องถนน



Resentment is like drinking poison and then hoping it will kill your enemies.

ความขุ่นเคือง คือการที่คุณดื่มยาพิษ แล้วหวังให้ผู้อื่นตาย



If there are dreams about a beautiful South Africa, there are also roads that lead to their goal. Two of these roads could be named Goodness and Forgiveness.

หากเรามีความฝันถึงสังคมแอฟริกาใต้อันงดงาม ก็มี 2 เส้นทางที่นำพาให้ไปถึงจุดหมายนั้นได้ และ 2 เส้นทางที่ว่านั้น ชื่อว่า "ความดี" และ "การให้อภัย"
 


 


 



            ทั้งนี้ เนลสัน แมนเดลา เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของแอฟริกาใต้ ที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากระบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยเข้าดำรงตำแหน่งระหว่าง พ.ศ. 2537-2542 ในช่วงก่อนดำรงตำแหน่งงานเป็นแกนนำในการต่อต้านการเหยียดผิว ซึ่งพยายามแบ่งแยกคนผิวสีออกจากคนผิวขาวในแอฟริกาใต้ และถูกจำคุกนานถึง 27 ปี ในข้อกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ก็ไม่เคยลดละความตั้งใจที่จะนำความเสมอภาคมาสู่ชาวผิวสีพื้นเมืองซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ และแล้วก็ทำได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการสันติภาพขึ้นอีกในหลาย ๆ ประเทศ จนได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 2536 แม้ปัจจุบันแมนเดลาจะละจากตำแหน่งประธานาธิบดีไปแล้ว ท่านก็ยังได้รับยกย่องอย่างสูงในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสของประเทศ และยังคงเป็นที่รักของประชาชนชาวแอฟริกาใต้เสมอมา
 

 

 Don't cry, Africa การแบ่งแยกที่ไม่สิ้นสุด

โดย UniGang.com © 2009 - 2110 All rights reserved.

 

ในขณะที่คราบน้ำตาคราบเก่าของชาวแอฟริกันยังไม่จางหาย หยดน้ำตาหยดใหม่ก็ไหลออกมาราวกับว่าในช่วงชีวิตนี้มันจะไม่หยุดไหล หยดหนึ่งน้ำตาที่ผมได้นำเสนอไปแล้วเป็นเรื่องของความอดอยากความหิวโหย ตามด้วยอีกหยดหนึ่งน้ำตาที่มาพร้อมกับการประทุของสงครามกลางเมืองในหลาย ประเทศ น้ำตาหยดที่สามในบทความชุด แอฟริกา อย่าร้องไห้ : Don't cry, Africa ต่อไปนี้เป็นเรื่องความโหดร้ายของมนุษย์ที่ปฏิบัติต่อกันอย่างไม่เคารพต่อ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ใช้วิธีการทุกอย่างแม้กระทั่งการออกกฎหมายที่อัปยศที่สุดมาขีดแบ่ง ความเป็นมนุษย์ ในชื่อตอนว่า การแบ่งแยกที่ไม่สิ้นสุด

          มนุษย์สำคัญตัวเองอยู่เสมอว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐที่สุด มีความสามารถอันสูงส่งกว่าบรรดาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มนุษย์ขีดเส้นแบ่งตัวเองกับสิ่งรอบตัวโดยอ้างเกณฑ์ความเหนือกว่าในฐานะสิ่ง มีชีวิตผู้ประเสริฐ คงไม่แปลกเท่าไรที่มนุษย์จะกล่าวว่าเราอยู่เหนือกว่าสัตว์ทั้งปวง แต่กระนั้นมนุษย์ก็ยังมีความหยิ่งผยองยกตัวเองเหนือกว่ามนุษย์กลุ่มอื่นๆ พร้อมกับขีดเส้นแบ่งโดยใช้เหตุผลตื้นๆเพียงเพราะว่า เขามีสีผิวที่แตกต่าง

          ผมเองได้มีโอกาสอ่านหนังสือเรื่อง Racial and Ethics Relaiton in America ซึ่งผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยที่ผมจำชื่อผู้แต่งไม่ได้ เนื้อหาภายในสะท้อนภาพความโหดร้ายชิงชังของชาวอณานิคมอเมริกันที่ขับไล่ชน พื้นเมืองดั้งเดิมออกไปจนสุดฝั่งมหาสมุทรตะวันตก พร้อมๆกับการกีดกันคนเชื้อสายอื่นทั้งแอฟริกา เอเชีย ให้อยู่ในฐานะพลเมืองชั้นสอง เรื่องนี้เองเป็นแรงบันดาลใจให้ผมพยายามศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความอยุติธรรมใน การแบ่งแยกเชื้อชาติซึ่งมีอยู่มากมายทั่วโลก

พื้นที่นี้สงวนไว้ให้ลงเล่นน้ำเฉพาะคนขาวนั้น

          ในแอฟริกาก็เช่นเดียวกันที่แม้ว่าคนพื้นเมืองดั้งเดิมจะเป็นเจ้าของพื้นที่และได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่มาก่อน แต่ด้วยคำว่า ภาระของคนผิวขาว ใน ยุคแสวงหาอาณานิคมทำให้ชนพื้นเมืองดั้งเดิมต้องกลายเป็นพลเมืองชั้นสองต้อง ยอมทำตามและตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของผู้มาใหม่ทุกประการ ภายหลังจากที่แอฟริกาใต้ได้รับเอกราชจากอังกฤษและฮอลแลนด์ชาวแอฟริกันก็ ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของคนขาวในฐานะเป็นประเทศเอกราชในเครือจักรภพอังกฤษ ด้วยเหตุที่คนขาวมีความรู้ความสามารถมากกว่าจึงใช้อำนาจที่มีกดขี่ข่มเหงคน ดำด้วยนโบบายที่ได้รับการประณามมากที่สุดนโยบายหนึ่งที่มีชื่อว่า นโยบายการแบ่งแยกสีผิว (Apartheid)

 

"Apartheid was racism made law. It was a system dictated in the minutest detail as to how and where the large black majority would live, work and die."

 

          การแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบโดยการตรากฎหมาย หลายฉบับที่มีผลในการรินรอดเสรีภาพแทบทุกด้านของคนแอฟริกาใต้ กฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า Group Areas Act มีข้อบังคับให้คนที่ไม่ใช่คนผิวขาว (Non-whites) ต้องย้ายออกไปอยู่ในดินแดนห่างไกลที่รัฐบาลคนผิวขาวได้กำหนดไว้ โดยกันพื้นที่ที่มีความเจริญและมีสิ่งสาธารณูปโภคไว้สำหรับชนผิวชาวเท่านั้น กฎหมายนี้สร้างความเดือดร้อนอย่างมากให้กับคนผิวดำเพราะต้องเดินทางไกลเพื่อ มาทำงานแลกค่าแรกต่ำในเขตของคนขาว

คนดำต้องถือ Pass Book ติดตัวไว้เสมอเมื่อเข้ามาอยู่ในเขตของคนขาว

          กฎหมายที่มีชื่อ Population Registration Ac t ได้กำหนดให้ผู้ที่อยู่อาศัยในแอฟริกาใต้ต้องมาจดทะเบียนจำแนกตามเชื้อชาติ ของตน มีสี่กลุ่มใหญ่ๆคือ กลุ่มคนขาว(White) กลุ่มคนดำ(Black) กลุ่มคนผิวสี(Coloured) และกลุ่มคนเอเชีย(Asian) กฎหมายฉบับนี้จะจำกัดและกำหนดสิทธิทางสังคม สิทธิทางการเมือง สิทธิในการได้รับบริการจากรัฐและบริการทางการแพทย์ โอกาสทางการศึกษาและสถานะในการทำธุรกิจโดยสิทธิที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับกลุ่ม เชื้อชาติที่พวกเขาสังกัดอยู่และเป็นที่แน่นอนว่าภายใต้กฎหมายฉบับนี้คนที่ ไม่ใช่คนขาว (Non-whites) ก็จะต้องเป็นผู้ที่ถูกริดรอนสิทธิต่างๆมากที่สุด

 

"Those who have no accommodation are forbidden to travel to the cities, and so the white areas are still effectively closed to blacks and black workers are still unable to bring their wives and families to live with them. Freedom of movement, at basic human right, is carefully controlled under the guise of 'orderly settlement"
--- Statement from the ANC Arusha Conference, 1-4 December 1987

 

          กฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่ผมพอจะค้นได้ก็คือ The Separate Representation of Voters Act No. 46 ที่ มีการบังคับใช้ในปี 1951 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับเพื่อจำกัดสิทธิทางการเมืองของคนผิวดำกล่าวคือ เพื่อไม่ให้คนดำได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนของตนในสภานั่นเอง  ซึ่งภายหลังได้ถูกยกเลิกนำมาซึ่งการตั้งพรรคการเมืองของคนผิวดำ เช่น The African National Congress (ANC)

          Terrorism Act No 83 of 1967 เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการป้องกันการก่อการร้ายแต่กลับถูกนำมาใช้ในการปราบ ปรามคนดำที่ไม่เห็นด้วยกับกฎ ข้อบังคับหรือคำสั่งของรัฐบาลคนผิวขาว โดยกฎหมายระบุว่าหากผู้ใดกระทำการใดๆที่อาจเชื่อได้ว่าเป็นการผ่าฝืนต่อ กฎหมายหรือคำสั่ง ผู้นั้นจะต้องถูกจับไปกักขังไว้โดยไม่มีกำหนดเวลาและโดยไม่ต้องผ่านกระบวน การยุติธรรมตามกฎหมาย (to be detained for an indefinite period without trial)

          นโยบายการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มคนผิวดำ เป็นอย่างมากและกลายเป็นชนวนเหตุของการประท้วง การต่อต้านและจราจล แต่สิ่งที่น่าสลดใจก็คือรัฐบาลคนผิวขาวตอบแทนกลุ่มผู้ประท้วงด้วยการใช้ กำลังตำรวจเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง(police brutality) มีการจับตัวกลุ่มผู้ประท้วงไปกักขังโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม มีการทรมานนักโทษตลอดจนการห้ามการรวมกลุ่มของคนผิวดำที่รูปแบบขององค์กร ต่างๆ อาทิ the African National Congress, the Black Consciousness Movement, the Azanian People's Organisation, the Pan Africanist Congress, and the United Democratic Front,

 

"South Africa now, as in past centuries, is governed by brute force not by democratic consent or 'rule of law' developed by the people. Its government has never received the consent of the people, and when it was 'given' independence by its metropolitan master, that independence was given to the colonial minority and not to the people as a whole."
--- Statement from the ANC Arusha Conference, 1-4 December 1987

 

          อ่านถึงบรรทัดนี้แล้วคงไม่ต้องสรุปอะไรมากนักถึงประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษย ชนที่เกิดขึ้นในแอฟริกาใต้ สำหรับผมแล้วนโยบายแบ่งแยกสีผิวอันแสนอัปยศนี้คงอธิบายได้ด้วยคำว่า Crimes Against Humanity เห็นจะเหมาะสมที่สุดกระมัง

 

 

 

*******************

 

 

 

 

                 พ่อครับ...ผมรักพ่อ

 



 


 




ข้อมูลจาก Forward mail
โดย  Chaiyathep Viriyanitikon  
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก glitter.kapook.com

 



            ได้รับมาจากเมลล์ อยากแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้มีโอกาสอ่าน อ่านแล้วรักพ่อ 

            พ่อของผมเป็นคนดุ เสียงดังและมักจะอารมณ์เสียกับเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ เมื่อผมยังเป็นเด็กวัยรุ่น ผมไม่เคยเข้าใจกับคำสั่งของพ่อเลย บางอย่างมันก็เป็นเรื่อง ที่ฝืนความรู้สึกของผมโดยสิ้นเชิง การไปเตะฟุตบอล แล้วกลับบ้านค่ำเหมือนเพื่อนคนอื่น ไม่ถูกต้องนักในสายตาของพ่อ ผมต้องกลับมาช่วยงานที่บ้านทุกวัน บางครั้งผมก็คิดว่าพ่อไม่เคยเข้าใจผมเลย ไม่ได้รักผมเลยแม้แต่นิดเดียว

            เดือนธันวาคมของทุกปีโรงเรียนของผมมีการจัดงานวันพ่อ โดยมากจะมีการจัดบอร์ดเกี่ยวกับในหลวง แต่ปีนี้มีอะไรที่พิเศษกว่าอาจารย์ให้พวกเราเขียนการ์ดวันพ่อ การ์ดจะต้องถูกทำขึ้นเองและให้อาจารย์ตรวจก่อนส่งทางไปรษณีย์ไปที่บ้านของแต่ละคน สำหรับผมแล้ว เรื่องการ์ดนี้ไม่ได้มีความสำคัญไปมากกว่าการได้เตะฟุตบอล หรือ ว่าเตะตะกร้อกับเพื่อนเลย มันออกจะเป็นความกระดากอายด้วยซ้ำที่จะต้องเขียนการ์ดอวยพรให้กับพ่อ

           หลายวันนั้นผมทำอะไรหลายอย่างกว่าจะได้ทำการ์ดก็เป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะส่งการ์ดสีฟ้าทำมาจากกระดาษแข็งที่เหลือมาจากจัดบอร์ดที่โรงเรียน ลายขลิบสีทองข้างๆ ผมก็ได้มาจากหมวกวันปีใหม่เก่าๆ ของน้อง ผมเขียนข้อความลงไปว่า ขอให้พ่อมีความสุขและหายป่วยจากโรคที่เป็นอยู่ ผมคิดว่าถ้าผมเป็นอาจารย์ไอ้การ์ดใบนี้คงได้คะแนนไม่เกินห้าจากเต็มสิบแน่ๆ สองวันต่อมาผมกะว่าการ์ดจะต้องถูกส่งมาถึงที่บ้าน ทุกเย็นเมื่อกลับถึงบ้านผมจะรีบไปที่ตู้ไปรษณีย์เพื่อที่จะเก็บการ์ดของผมก่อนพ่อจะได้รับมัน

            หลายวันต่อมาผมก็ไม่เห็นมีการ์ดส่งมาที่บ้านแล้วผมก็ลืมเรื่องนี้ไป

            วันหนึ่งพ่อใช้ให้ผมไปหยิบของที่โต๊ะบัญชี  เมื่อไขล็อคกุญแจและดึงลิ้นชักออกมา ผมพบการ์ดใบนั้นวางอยู่ ผมไม่รู้ว่าพ่ออ่านมันรึยัง ความรู้สึกของผมตอนนั้นคือ เจ้าการ์ดใบนี้คือสิ่งที่ไม่น่าเก็บไว้ มันไม่ได้ทำมาจากความตั้งใจของผมเลย มันน่าจะหายไป แต่ว่าผมก็ยังไม่อยากจะทิ้งมันไปเลยนำมันซ่อนไว้ในลิ้นชักข้างๆ กัน ต่อมาเมื่อผมเปิดลิ้นชักอีกครั้งก็พบการ์ดใบนี้วางอยู่เสมอ

            คราวนี้ทุกครั้งที่ผมเจอมัน ผมจะนำมันไปเก็บไว้ที่อื่นเสมอ และไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมเปิดลิ้นชักเดิมก็จะพบว่ามันอยู่ที่เดิมเสมอ ครั้งสุดท้ายที่ผมพบมัน ผมเก็บมันไว้ในที่ที่คิดว่าจะไม่เจอมันอีกเลย  และเรื่องนี้พ่อกับผมไม่เคยพูดถึงมันเลย  

            จากนั้นไม่นานพ่อก็จากไปด้วยโรคประจำตัว

            ห้องของพ่อเหมือนกับถูกปิดตาย ไม่มีธุระจำเป็นจริง ๆ หรือว่าทำความสะอาด ก็จะไม่มีคนเข้าไปในห้องนั้นเลย ผมเข้ามาเรียนต่อในที่ใหม่ มีเรื่องใหม่ให้พบให้เจอทุกวัน ความทรงจำหลายอย่างเกี่ยวกับพ่อก็จางหายไป....

            จนวันหนึ่งผมเจอปัญหาในหัวของผมมีแต่เรื่องสับสน อยากหนีปัญหาไปไกล ๆ ไม่อยากเจอแม้แต่ผู้คน ผมกลับมาที่บ้านไขกุญแจห้องพ่อแล้วเข้าไปในนั้น ที่ห้องของพ่อทุกอย่างยังเหมือนเดิม ข้าวของทุกชิ้นยังอยู่ครบเหมือนครั้งที่พ่อยังอยู่ ในห้องเงียบมากผมได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจของตัวเอง

            ผมเดินไปที่โต๊ะบัญชีที่พ่อมักจะนั่งอยู่ที่นั่นเสมอ ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าพ่อยังอยู่พ่อจะทำอย่างไร จะแนะนำผมอย่างไร แล้วจะช่วยผมแก้ปัญหาอย่างไร ทันใดนั้นผมคิดถึงเรื่องเก่า ๆ เรื่องนึงขึ้นมา ผมรีบเอากุญแจไขลิ้นชักโต๊ะบัญชีด้วยความหวังว่ามันจะยังอยู่ เมื่อเปิดลิ้นชักผมก็พบมัน การ์ดสีฟ้าขลิบทอง ยังดูโดดเด่นอยู่ลิ้นชักของพ่อ มันยังอยู่ที่เดิมเหมือนทุกครั้ง 

            ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพ่อรักผมมากขนาดไหน ทุกครั้งที่การ์ดใบนี้หายไปพ่อจะหามันแล้วนำมันมาเก็บไว้ที่เดิม ไม่ว่ามันการ์ดที่ไม่มีราคาค่างวดใดๆและแทบจะหาความสวยงามใดๆไม่ได้เลย พ่อก็เก็บมันไว้เสมอ และ สิ่งที่พ่อสอนผมด้วยการกระทำมันมากกว่าคำพูดทั้งหมด พ่อสอนให้ผมมีความรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง ให้มีความอดทนและไม่ท้อแท้กับปัญหาใดใด เหมือนพ่อเคยเจอเสมอและผ่านมาได้ทุกครั้ง

            ผมรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าปัญหาที่ผมเจอตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย กำลังใจจากการ์ดใบนั้นเหมือน จะค่อย ๆ แผ่ซ่านจากมือเข้ามาสู่หัวใจผม ในใจของผมรู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดเหมือนกับพ่ออยู่ในนั้น

            ผมวางการ์ดเก็บไว้ที่ลิ้นชักตามเดิมและออกมาจากห้องของพ่อด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง กับเมื่อตอนที่เข้ามา ก่อนประตูจะปิดลงผมบอกออกไปด้วยความรู้สึกที่พ่อก็มีให้ผมมาตลอดว่า "พ่อครับ ผมรักพ่อ"

 

 

 

 

*******************************

 

 ผลสำรวจ IQ เด็กไทย คนเหนือไอคิวเฉลี่ยสูงที่สุดในประเทศ

 

เด็กลำปาง IQ สูงกว่าเด็กกรุงเทพฯ

 

 

 

การจัดอันดับ (Ranking) รายจังหวัด
ผลการสำรวจระดับสติปัญญาเด็กนักเรียนไทย 2554

จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ย IQ > 100                                           จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ย IQ = 100
          จำนวน 18 จังหวัด (24%)                                    จำนวน 20 จังหวัด (26%)


อันดับ

จังหวัด

Mean IQ

Total N

 

อันดับ

จังหวัด

Mean IQ

Total N

1

นนทบุรี

108.91

979

 

19

เพชรบุรี

100.78

945

2

ระยอง

107.52

995

 

20

ตรัง

100.68

927

3

ลำปาง

106.62

972

 

21

สมุทรปราการ

100.41

947

4

กรุงเทพฯ

104.50

1163

 

22

น่าน

100.15

938

5

ชลบุรี

103.92

983

 

23

พระนครศรีอยุธยา

100.04

978

6

สมุทรสาคร

103.73

944

 

24

พิษณุโลก

99.80

1030

7

ตราด

103.51

916

 

25

พิจิตร

99.75

939

8

ปทุมธานี

103.34

990

 

26

ตาก

99.71

943

9

พะเยา

103.32

954

 

27

แม่ฮ่องสอน

99.70

851

10

ประจวบคีรีขันธ์

103.17

961

 

28

ชุมพร

99.68

917

11

นครปฐม

103.09

984

 

29

จันทบุรี

99.65

956

12

ราชบุรี

102.72

944

 

30

ลพบุรี

99.62

953

13

สิงห์บุรี

102.67

907

 

31

บุรีรัมย์

99.54

1000

14

ภูเก็ต

102.66

945

 

32

สุโขทัย

99.36

977

15

สมุทรสงคราม

102.48

908

 

33

เชียงราย

99.32

967

16

นครสวรรค์

102.29

996

 

34

อุทัยธานี

99.23

954

17

แพร่

101.83

959

 

35

ลำพูน

99.05

947

18

เชียงใหม่

101.35

967

 

36

ชัยนาท

98.98

919

 

 

37

ปราจีนบุรี

98.95

941

       

 

38

หนองคาย

98.93

983

                                                                                                                            

การจัดอันดับ (Ranking) รายจังหวัด
ผลการสำรวจระดับสติปัญญาเด็กนักเรียนไทย 2554 (ต่อ)

จังหวัดที่มี IQ เฉลี่ย < 100;             จำนวน 38 จังหวัด (50%)


อันดับ

จังหวัด

Mean IQ

Total N

 

อันดับ

จังหวัด

Mean IQ

Total N

39

อ่างทอง

98.83

894

 

58

สตูล

96.86

899

40

สุราษฏร์ธานี

98.74

945

 

59

ระนอง

96.53

869

41

สงขลา

98.64

975

 

60

ยะลา

96.52

949

42

สุพรรณบุรี

98.50

983

 

61

อำนาจเจริญ

96.29

928

43

นครนายก

98.42

910

 

62

ชัยภูมิ

96.16

934

44

นครศรีธรรมราช

98.03

942

 

63

ขอนแก่น

95.93

964

45

พัทลุง

97.81

936

 

64

นครราชสีมา

95.69

964

46

เพชรบูรณ์

97.67

997

 

65

นครพนม

95.57

985

47

พังงา

97.59

897

 

66

สระแก้ว

95.38

926

48

อุดรธานี

97.53

970

 

67

มหาสารคาม

95.28

999

49

ศรีสะเกษ

97.44

981

 

68

กำแพงเพชร

95.22

931

50

สุรินทร์

97.42

1057

 

69

หนองบัวลำภู

94.06

952

51

กาญจนบุรี

97.14

972

 

70

กระบี่

93.85

916

52

อุตรดิตถ์

97.13

984

 

71

กาฬสินธ์

93.78

970

53

เลย

97.08

984

 

72

สกลนคร

93.74

983

54

ยโสธร

97.08

945

 

73

อุบลราชธานี

93.51

982

55

ฉะเชิงเทรา

97.03

944

 

74

ร้อยเอ็ด

91.65

1014

56

สระบุรี

96.97

967

 

75

ปัตตานี

91.06

946

57

มุกดาหาร

96.95

928

 

76

นราธิวาส

88.07

979

 

 

 

 

 

 

 

*************************************

 

 

 

-- บิ๊กแจ๊ด อัศวิน ถูกเรียกเข้าพบ --

 

 

 [​IMG]
 

 

 

    

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

"กำนันเทือก" ประกาศเผด็จศึกรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีก -

นัดดีเดย์เผยแผน 6 ธันวาฯ

 


เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 4 ธ.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.
ปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันพรุ่งนี้ (5 ธ.ค.) เป็นวันมิ่งมหามงคลของชนชาวไทย

ขอให้ประชาชนมาพร้อมกันที่เวทีราชดำเนิน กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชฯ
ในเวลา 17.00 น. และหากประชาชนมีฉันทานุมัติ ตนจะขอเป็นผู้นำจุดเทียน
ชัยถวายพระพรและจะกล่าวคำสัตย์ปฏิญานตนแทนประชาชนชาวไทย โดย
จะเตรียมเทียนให้ประชาชนจำนวน 1 ล้านเล่ม ซึ่งในวันนี้และวันพรุ่งนี้จะขอ
พักรบไม่ด่ารัฐบาลเพราะเป็นวันมหามงคล จากนั้นในคืนวันที่ 6 ธ.ค. กปปส.
จะประกาศเผด็จศึกในการต่อสู้อย่างเด็ดขาด

 

 

 

 

 

 

        วีรบุรุษชมัยมรุเชษฐ์

 

 

1474449_546383805447573_1769880184_n.jpg


 

 

วีรบุรุษชมัยมรุเชษฐ์ ตอนที่ 1

ไอ้อ้วน..นักสู้กางเกงในตัวเดียว..เป็นข่าวดังไปทั่วโลก..คนที่ตำรวจหวาดผวามากที่สุด

น้องกบ "วีรบุรุษชมัยมุรเชษฐ์" สุดยอดนักสู้ สู้จนเหลือกางเกงในตัวเดียว เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ขึ้นเวทีนางเลิ้ง เปิดเผยเหตุการณ์ต่อสู้ที่เกิดขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม 2556 เปิดเผยความรู้สึกจากใจ ลุกขึ้นมาต่อสู้เพราะทนไม่ไหวกับรัฐบาล

..น้องกบเล่าว่าดวลกับตำรวจแบบใจถึง..ตำรวจขว้างแก๊สน้ำตามา น้องกบหยิบขว้างกลับไป..ตำรวจหมายหัวน้องกบ ระดมยิงแก๊สน้ำตา 50 ลูก สู้กันไปสู้กันมา..แถมมีการด่าท้าทายกันเป็นระยะ

"มึงกินอะไรมาว๊ะ ถึงได้ทนฉิบหาย คนอื่นเขาวิ่งหนีแก๊สน้ำตา แต่มึงกลับวิ่งเข้าใส" ตำรวจตะโกนถามข้ามกำแพงแบริเออร์ระหว่างสู้กัน

ตำรวจทั้งโกรธทั้งมัน แต่ยอมแพ้ใจห้าวหาญของน้องกบ ผมเชื่อว่าตำรวจบางส่วนประทับใจในความกล้าหาญแบบสุดๆของน้องกบ

ตำรวจที่ต่อสู้สงครามควันที่ชมัยมรุเชษฐ์ตั้งฉายาน้องกบว่า "ไอ้อ้วน"

น้องกบฉีดถังดับเพลิงเข้าใสตำรวจ ตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเข้าใส่หลายสิิบนัด นัดหนึ่งโดนเข้าที่หน้าผาก จนบาดเจ็บถูกหามส่งโรงพยาบาลพระมงกุฎ หมอให้พักรักษา 3 วัน แต่น้องกบอยู่ 3 ชั่วโมง ถอดสายน้ำเกลือหนีออกจาก รพ. มาสู้ที่สนามรบชมัยมุรเชษฐ์ต่อ

เมื่อตำรวจเห็นน้องกบวิ่งเข้าใส่ ตำรวจตะโกนบอกกัน "..เฮ้ย ไอ้อ้วนมันมาอีกแล้วโว๊ย.." "น้องกบ" หรือ "ไอ้อ้วน" นักสู้จอมทรนงแห่งชมัยมรุเชษฐ์ คนนี้แหละเขาคือคนที่

ชนะใจตำรวจ !! ชนะใจคนไทยทั้งประเทศ !!

Ranger Thai ขอสดุดีในความกล้าหาญ และขอชื่นชมหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของน้องกบไว้ ณ โอกาสนี้ครับ

3 ธันวาคม 2556 23.00 น.

----------------------------

 

วีรบุรุษชมัยมรุเชษฐ์ ตอนที่ 2

ไคลแมกซ์ "สู้ยังไงถึงเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว !!"

"วีรบุรุษชมัยมุรเชษฐ์" หรือ น้องกบ เล่าให้ฟังถึงบรรยากาศการต่อสู้สงครามแก๊สน้ำตาต่อไปอีกว่า

"..ช่วงนั้นผมโดนไปประมาณ 20 ถึง 30 ลูก พอมันโยนมาผมก็โดยนใส่กลับมันไป แล้วมันก็บอกว่าเหม็น แล้วคนอื่นเค้าไม่เหม็นมั่งรึงไง ไอ้ฉิบหาย.." (ผู้ชุมนุมปรบมือดังก้อง)

พิธีกรถามเคยมีประสบการณ์แก๊สน้ำตามาก่อนมั๊ย ? "..ไม่เคยเลย ไม่เคยมาก่อน ไม่รู้ว่ามันแสบขนาดนี้.." น้องกบตอบ

พิธีกรถามว่าทำไมถึงสู้ "..ไปหนีมันทำไม หนีมันเราก็โดนอีก สู้เลย สู้จนเหลือกางเกงในตัวเดียว !! (เสียงปรบมือดังกึกก้องอีกครั้ง)..แต่มันก็ไม่ก็ไม่หยุด.."

"มึงรักษากฎหมายของมึงยังไงอ้ะ ถ้าเขาโยนใส่มึงมั่ง มันจะเป็นยังไง..พ่อแม่มึงก็นั่งอยู่ข้างกูแหละไอ้*** !! " (เสียงปรบมือดังลั่น) ผมโมโหครับ ผมขอโทษนะครับที่พูดคำหยาบผมโมโห.."

มาถึงจุดไคลแมกซ์ที่ว่าน้องกบเค้าสู้ยังไงถึงเหลือแต่ "กางเกงในตัวเดียว"

น้องกบเล่าถึงที่มาของการต่อสู้จนเหลือกางเกงในตัวเดียวด้วยความรู้สึกสะเทือนใจว่า "..คือผมแสบครับ ผมถอดเสื้อผ้า ผมกำลังจะอาบน้ำ แล้วจะกลับบ้าน ผมเห็นยายคนหนึ่งเป็นลม เข็นรถพยาบาลไป ผมบอกไอ้*** ทำพี่น้องกู..ไปเลย..ผมหิ้วไปเลยถังดับเพลิง เอาฉีดมันเลย มันก็บอกว่ากูเหม็นกูแสบตา แล้วกูไม่แสบหรือไง ผมฉีดไป 15 ถัง.." (ผู้ชุมนุมที่เวทีน่างเลิ้งส่งเสียงเฮลั่น)

"..แล้วผมก็โดนยิงสลบ แตกครับ เย็บ 4 เข็ม ผมไปโรงพยาบาลพระมงกุฎ จะล็อคตัวผมไว้ 3 วัน หมอบอกผมต้องดูอาการนะ ผมอยู่ได้ 3 ชั่วโมง ผมถอดเข็มน้ำเกลือหนีกลับ ผมออกมาทั้งชุดพยาบาล ไอ้ตำรวจประกาศ มันมาอีกแล้ว !!.." (ผู้ชุมนุมส่งเสียงเฮลั่นอย่างยาวนาน

"..ถ้าผมวิ่งไป มันจะบอก มันมาแล้ว มันมาอีกแล้ว !!.."

"..ถ้าวันนั้น ถ้าใครอยู่วันนั้นจะได้ยินเสียงตำรวจบอกว่า ไอ้อ้วนมาแล้ว ไอ้อ้วนมาแล้ว..!!

"..พอมันขว้างมา คนอื่นหนี แต่ผมไม่หนี ผมเอาขว้างกลับไป แก๊สน้ำตามันนั่นแหละ !!.."

"..แล้วมันตะโกนถามมา ไอ้*** แล้วมึงไม่มีหน้ากงหน้ากากมั่งหรือไง.." (เสียงผู้ชุมนุมเฮลั่นเวทีนางเลิ้ง

พิธีกรถามแล้วที่เป็นแผลแตกนี่โดนอะไร ?

"..โดนสะเก็ดครับ โดนสะเก็ดแก๊สน้ำตา มันยิงรุมมาใส่ผมครับ มันบอก..เอาไอ้อ้วน เอาไอ้อ้วนคนเดียว !!.."

นี่คือเรื่องราวของ น้องกบ "วีรบุรุษชมัยมรุเชษฐ์"

นี่คือตำนานเล่าขานอย่างไม่รู้จบ ของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผู้มีเลือดนักสู้เต็มร้อย เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ และมากล้นด้วยความรักชาติ

เขาคือคนที่ร่วมต่อสู้ร่วมเรียงเคียงไหล่กับพี่น้องคนไทยหัวใจรักชาติทุกๆคน อย่างทรนงองอาจ เป็นแบบอย่างให้นักสู้คนอื่นรู้สึกฮึกเหิม กล้าหาญไปด้วย

เรารู้ดีว่าทุกสมรภูมิแก๊สน้ำตา มีคนเก่ง มีคนกล้า อยู่มากมาย แต่วันนี้เวลานี้ เราขอมอบหัวใจให้แก่นักสู้คนนี้ด้วยความนับถือยิ่ง

Ranger Thai Facebook ไปร่วมสนามรบแก๊สน้ำตามาหลายที่ เพิ่งจะเจอคนใจถึงขนาดนี้ หัวใจห้าวหาญขนาดนี้ จึงขอคารวะน้องกบมาอย่างสุดหัวใจ แล้วเราจะได้พบเขาอีกในสมรภูมิการต่อสู้เพื่อประเทศชาติของเราทุกคน

4 ธันวาคม 2556 14.49 น.

-------------------------------------

 

วีรบุรุษชมัยมรุเชษฐ์ ตอนที่ 3

หัวใจที่เด็ดเดี่ยว กับ เดิมพันอันยิ่งใหญ่

น้องกบเล่าให้ฟัง ถึงเบื้องหลังความคิดในการต่อสู้ ที่คนไทยทั้งประเทศ ฟังแล้วถึงกับสะอึก เจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง เมื่อรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วตำรวจทำเพื่อใคร ??

".. ผมทะเลาะกับมันนะ ผมไปอยู่หน้าแดนตั้งแต่วันแรก ผมถามว่า..เฮ้ยมึงเป็น***อะไรไอ้ขี้ข้า ไอ้ขี้ข้า..มันก็เดิมพันว่า มันบอกว่า ถ้ามึงแพ้กูเอาลูกพี่กูกลับมา.."

"..ผมถามว่าลูกพี่มึงอ๊ะใครว๊ะ.."

"..ทักษิณ !!.." (ผู้ชุมนุมที่เวทีนางเลิ้งโห่ร้องอย่างไม่พอใจ)

"..ผมบอกว่า..ถ้ากูชนะ มึงต้องลาออกนะ..มันบอก เออ !! " (เสียงผู้ชุมนุมปรบมือรัว)

"..ผมบอกมันกูขอดูหน้ามึงหน่อยสิ พอมันเปิดหน้ากาก ผมเอาถังดับเพลิงฉีดใส่หน้ามันเลย.." (เสียงผู้ชุมนุมเฮลั่น)

"..แล้วทีนี้มันก็ยิงผมสลบเลย !! "

พิธีกรบอกว่าในเฟซบุ๊กมีข่าวลือกันมากกว่าน้องกบตายไปแล้ว

"..ทุกคนนะครับผมยังไม่เสียชีวิต ในเฟซบุ๊กเขียนกันว่าผมเสียชีวิต ผมขอบอกเลยนะครับว่า กูตายไม่ได้ ถ้ามึงไม่ออก กูตายไม่ได้.." น้องกบประกาศความมุ่งมั่นของตน

พิธีกรบอกว่าผู้คนในเฟซบุ๊กเป็นห่วงน้องกบทุกคน ขอให้แสดงความรู้สึกกับพี่น้องหน่อย

สายตาน้องกบแข็งกร้าว น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

"..ผมจะอยู่ตรงนี้กับทุกคน เหมือนกับพ่อแม่พี่น้องผม (ยกมือไหว้) ผมขอปกป้องทุกคนด้วยชีวิตของผม..เต็มที่ผมก็สู้แค่ตาย !!

Ranger Thai ซาบซึ้งในความคิด จิตใจ ความมุ่งมั่น ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของลูกผู้ชายชื่อ "น้องกบ" คนนี้เหลือเกิน..ขอให้น้องทำสำเร็จตามปณิธานของน้องครับ

4 ธันวาคม 2556 15.55 น.

 

******************

 

 

 

                                จอมสร้างภาพ

 

ท่ามกลางบรรยากาศที่กลุ่มมวลชนโห่ร้อง ประกาศชัยชนะ หลังจากสามารถเข้าไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.56 ได้สำเร็จ ยังมีอีกหนึ่งบรรยากาศที่ก่อตัวเป็นความชุลมุนวุ่นวาย และกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างขณะนี้ สำหรับกรณี ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ที่ถูกมวลชนเป่านกหวีด ขว้างปาก้อนหิน และขวดน้ำใส่ที่ตึกไทยคู่ฟ้า
       
       เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังจากที่ "ชูวิทย์" ปรากฏตัวขึ้นบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล พร้อมเตรียมโบกธงชาติไทย แต่กลับกลายเป็นเสียงก่นด่าถึงการโผล่ออกมาเพื่อ "สร้างภาพ" หรือบ้างก็บอกว่า "ไม่ช่วยแต่ขโมยซีน" เห็นได้ชัดจากคำพูดของนางสาวอัญชะลี ไพรีรักษ์ ที่พูดผ่านเครื่องขยายเสียงว่า "อย่ามาตีกินทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่วมเหนื่อยกับประชาชน" ซึ่งจุดประเด็นความวุ่นวายกลบข่าวชัยชนะแบบงงๆ กันไปเลยทีเดียว
       
       

556000015672401.JPEG

       
       "ชัยชนะเป็นของประชาชน" ชูวิทย์ตะโกนขึ้นท่ามกลางผู้ชุมนุมจำนวนมากที่กรูเข้าไปด่าทอ และดึงให้ออกจากพื้นที่ แต่ด้วยการป้องกันตัวที่ดูเหมือนเป็นการผลักผู้ชุมนุมบางคนออกไป ทำให้กลุ่มมวลชนที่เห็นพฤติกรรมดังกล่าวไม่พอใจ เป่านกหวีดขับไล่ พร้อมกับปาขวดน้ำ และสาดน้ำใส่ตามที่เป็นข่าว
       
       ทันทีที่ข่าวแพร่สะพัดออกไป ปฏิกิริยาของคนในออนไลน์ โดยเฉพาะโลกโซเชียลฯ เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยส่วนใหญ่เห็นว่า เป็นการสร้างภาพเพื่อหวังเรียกคะแนนความนิยมให้ตัวเอง
       
       "ตัวขโมยซีน ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย พอเขาชนะ ก็เข้ามาร่วมแจมเลยนะ นายชูวิทย์"
       
       "ชูวิทย์ทำเนียน จริงๆ แอบเข้าข้างรัฐบาลทรราช แต่เนียนมากลมกลืนกับมวลชน ถ้ามีเลือกตั้งคราวหน้า หรืออะไรก็แล้วแต่ ชูวิทย์ลงรับสมัคร คนกรุงเขาไม่เอาอีกแน่ๆ (คะแนนตกเกินครึ่ง)"
       
       "เออ แล้วจะเข้าไปทำไมตอนนี้ ตอนที่เขาลำบากกันไม่เข้าไปดูแลเขา พอเขาจะสงบศึกดันทะลึ่งเข้าไป เขาไม่กระทืบตายก็บุญแล้วชู"
       
       ไม่เพียงแต่กระแส "สร้างภาพ" จากการปรากฏตัวของ "ชูวิทย์" เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการประกาศชัยชนะที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว เหตุการณ์ม็อบปะทะตำรวจหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาลเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ซึ่งมีเขาโผล่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย ก็ถูกมองว่า เป็นการสร้างภาพด้วยเช่นกัน

 

 

 
556000015672404.JPEG
       
       กระนั้น ท่ามกลางเสียงก่นด่า ยังมีเสียงให้กำลังใจ พร้อมกับชื่นชมความเป็นลูกผู้ชายตัวจริงของนักการเมืองท่านนี้กันด้วย ซึ่งทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ขอยกบางความเห็นในเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ I'm No.5 ซึ่งเป็นเพจของคุณชูวิทย์มานำเสนอให้เห็นกันอีกมุม
       
       "ขณะที่คุณว่าคนอื่นสร้างภาพ แล้วคุณเอาแต่เจ๋งหน้าคอมฯ โทรศัพท์ น่านับถือจริงๆ!!" ศกุนต์ปภา วิบูลย์ 
       
       "ในขณะที่ชูวิทย์โดนด่าว่าสร้างภาพ แต่แกนนำไม่ว่าสีอะไรเคยทำแบบนี้บ้างมั้ย ให้ประชาชนเห็นว่ามึงเสียสละเพื่อประชาชนจริงๆ เอาวะถ้าสร้างภาพแล้วลงทุนเสี่ยงตาย กูเลือก" Tumm Holytree
       
       "ผมไม่เคยเห็น ส.ส.มาทำแบบนี้นะ ปกติจะอยู่หลังประชาชน ขอคุณชูวิทย์รักษาจุดยืนของตัวเองนะครับ ไม่เสียแรงที่เลือกคุณเป็น ส.ส."Suchart Khoonnarm
       
       "ปกติชอบเข้ามาอ่านเฉยๆ บางคนก็ชมบ้าง ด่าบ้างปนกันไป โดยส่วนตัวผมว่าถึงคุณชูวิทย์จะทำเอาหน้า หรือสร้างภาพแต่อย่างน้อยก็ยังได้ทำเพื่อประชาชน ทุกอย่างมันเป็นการลงทุนคุณชูวิทย์ทำไปก็หวังให้คนเห็น ให้คนรู้ ให้ได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น แต่ที่สำคัญสุดก็คือยังได้ทำ ดีกว่า สส.หลายคนซึ่งไม่ทำอะไรเลย" Nara Kerdpunya
       
       ต่อกรณีที่เกิดขึ้น ทั้งการถูกมวลชนเป่านกหวีดขับไล่ ขว้างปาก่อนหิน และขวดน้ำใส่ เพราะมองว่า ขโมยซีน หรือการทำหน้าที่เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยระหว่างม็อบกับตำรวจจนถูกมองว่า เป็นการสร้างภาพ และนี่คือการโพสต์เปิดใจบนเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขาถึงกระแสก่นด่าในโลกออนไลน์ พร้อมกับแนบภาพการทำงานช่วยเหลือประชาชนเพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้สร้างภาพอย่างที่ใครหลายคนกล่าวหา
       

       "วันนี้ม็อบบุกเข้าทำเนียบฯ ประกาศชัยชนะ ประชาชนโห่ร้อง ผมไม่จำเป็นจะต้องตีเนียนออกหน้า เพราะทุกที่ที่ผมไป มีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าเป็นใคร จะชอบผมหรือไม่ จะด่าว่าผมอย่างไร แต่หน้าที่คือหน้าที่ นี่เป็นหลักฐานภาพถ่ายที่ผมไปมาทุกที่ เพียงแต่ผมไม่ได้เปิดเผยตัว ออกหน้าตีเนียนเหมือนคนบางคน เพราะปลอมตัวเข้าไป

       
       วันก่อนใส่แว่นกันแก๊สน้ำตา ที่ปิดจมูก ผ้าชุบน้ำคลุมหัว ไปแถว บช.น. ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นผม ยังเจอคุณกรณ์ยืนทำท่าเท่ๆ ตอน 3 ทุ่มอีกภาพเมื่อวานนี้ ที่สะพานชมัยมรุเชฐ และตอนเย็นไปห้ามทัพที่แยกการเรือน 
       
       หน้าที่ผมนั้น ไม่ได้สนับสนุนให้ใครทำร้ายประเทศไทย แต่มีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนตามหน้าที่ ผมไม่จำเป็นจะต้องไปเป็นแกนนำปราศรัยบนเวที ปรากฏตัวให้คนเขาเห็นเพื่อแสดงว่าผมเป็นพวก หรือไปเยี่ยมคนเจ็บตามโรงพยาบาล อย่างนั้นผมทำไม่เป็น
       
       หน้าที่ของผมชัดเจนตรงไปตรงมา ใครจะว่าผมอย่างไร ผมยินดีรับฟัง แต่ขอให้รู้ว่า คุณยังไม่รู้จักผมดีพอ ผมเป็นคนไทย อ่อนมาผมอ่อนกลับ แรงมาผมแรงกลับ และผมไม่จำเป็นต้องไปเลือกข้าง แต่ผมช่วยคนไทยทุกคน"
       
       ล่าสุดได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวในกรณีเดียวกันนี้อีกด้วยว่า
       
       "ผมไม่ได้อยู่บนเวที ไม่ได้เป็นแกนนำ ไม่ได้อยู่บนรถปราศรัย ไม่ได้เป็นคนสั่งการ และผมไม่จำเป็นต้องเข้าข้างใคร จริงๆไม่มีข้างด้วยซ้ำ ผมเป็นของผมแบบนี้ เพราะผมเป็นคนไทย 
       
       ผมทำหน้าที่ของผม ดูเอาด้วยตาดีกว่าครับ ระหว่างเมื่อวานนี้ที่แยกการเรือน ห้ามไม่ให้เขาตีกันระหว่างประชาชนกับตำรวจ กับวันนี้ที่ทำเนียบฯว่าเป็นยังไง? 
       
       ตรงนี้ใช่ไหมครับที่เรียกว่า "ทำเนียบรัฐบาล"? ผมก็เป็นประชาชนคนไทย ทำไมไม่มีสิทธิ์เข้า?
       
       ผมมันคนธรรมดา มีทั้งคนรัก และคนเกลียด ไม่ได้อยู่บนเวที หรือบนรถปราศรัย ถึงจะได้เห็นผมทุกวัน แต่มันไม่สำคัญหรอกครับ
       
       ผมชื่อชูวิทย์ ไปทุกที่ที่มีเรื่อง หากไม่มีเรื่อง เดี๋ยวชูวิทย์ไป สักพักก็มีเรื่อง"
       
       สุดท้ายแล้ว จะสร้างภาพหรือไม่ คงไม่มีใครตอบได้ดีไปกว่าตัวคุณชูวิทย์เอง แต่การอยู่เฉยๆ และลดบทบาทลงบ้างก็น่าจะทำให้เสียงก่นด่าจากสังคมบางกลุ่มเบาบางลงได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งบทเรียนในครั้งนี้ พอจะสอนให้รู้ว่า การปรากฎตัวแบบผิดที่ผิดเวลาในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยคราบเลือด หยาดเหงื่อของมวลมหาประชาชน มีแต่เสียกับเสีย แม้ปากจะบอกว่าออกมาช่วยเหลือประชาชนก็ตาม
       
        เรื่องโดย ทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live

 

 

 

*******************************

 

 

  

  ด่วน..! มาแล้วโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีล่าสุด

 

 

 

 

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

 

   ถึงเวลา... หน้าที่พลเมืองดี เห็น"ผัวซ้อมเมีย"ต้องรีบแจ้ง

 

 

 

                           
 

 

 

 

 

นับเป็น "ข่าวดี" ของคนทำงานเรื่องผู้หญิง เพราะเมื่อ 2 สัปดาห์ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว เรียบร้อยแล้ว โดยจะบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน หลังจากที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

"ข่าวดี" นี้ แน่นอนว่า ย่อมเป็น "ข่าวดีที่สุด" สำหรับผู้ถูกกระทำ เพราะสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือการให้ความคุ้มครองผู้ถูกกระทำโดยระวางโทษผู้กระทำจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท

เป็นการวางโทษให้เห็นอย่างรูปธรรมและชัดเจนหาก "ใคร" ก็ตามที่คิดว่า การทำร้าย "เมีย" , "ลูก" หรือคนในบ้าน เป็นเรื่องปกติ



กฎหมายฉบับนี้ยัง "ดีที่สุด" สำหรับ "เหยื่อ" ของความรุนแรง เพราะยังระบุในมาตรา 5 ด้วยว่า "ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวหรือผู้ที่พบเห็นหรือทราบการกระทำความรุนแรงในครอบครัว มีหน้าที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ การแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง เมื่อได้กระทำโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง"

นั่นหมายความชัดเจนว่า ต่อไปนี้ "เพื่อนบ้าน" หากพบการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงาน

"การที่จำเป็นต้องกำหนดให้ผู้พบเห็นมีหน้าที่ในการแจ้งความนั้น จุดประสงค์หลักเพื่อต้องการสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวไทย ให้ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที ได้รับการแก้ไขทันเวลา" นางกิ่งแก้ว อินหว่าง รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว บอกถึงประโยชน์ของกฎหมายฉบับนี้

รองผู้อำนวยการยังเล่าต่ออีกด้วยว่า ที่ผ่านมาจากการทำงานด้านผู้หญิงและได้พบเจอคดีความการทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวมานาน เห็นชัดเจนว่า หลายกรณีที่ถูกทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง เพื่อนบ้านรู้แต่ไม่กล้าที่จะไปแจ้งความเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของผัวเมียอย่าไปยุ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานความคิดของสังคมไทยที่ถูกปลูกฝังว่า เรื่องของครอบครัวไม่ควรเข้าไปยุ่ง ทำให้คนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็กไม่ได้รับการเยียวยา ต้องทนเห็นพฤติกรรมความรุนแรงเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา และเสี่ยงต่อการลอกเลียนแบบเป็นอย่างมาก


ทว่า...หากถามกันจริงๆ แล้วนางกิ่งแก้วยืนยันว่า "คนไทยยังไม่แล้งน้ำใจ" เพียงแต่ยัง "กังวล" เรื่องการฟ้องกลับข้อหาหมิ่นประมาท

"จริงๆ แล้ว เวลาที่ลงพื้นที่ไปตามชุมชนต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านรับรู้สิทธิต่างๆ หลายคนบอกว่า อยากช่วยเพื่อนบ้าน เวลาที่ถูกสามีทำร้ายร่างกาย แต่กลัวว่า ถ้าเขาคืนดีกัน เราจะกลายเป็นหมาหัวเน่า และอาจถูกฟ้องกลับได้ ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้ จึงได้กำหนดให้คุ้มครองผู้แจ้งเหตุด้วย กรณีที่ผู้แจ้งเล็งเห็นแล้วว่าเหตุการณ์การทำร้ายร่างกายอาจบานปลายเป็นอันตรายต่อผู้ถูกกระทำ เป็นไปด้วยเจตนาดี ก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดฐานแจ้งความเท็จหรือหมิ่นประมาท"


แม้กฎหมายจะเขียนว่า "เป็นหน้าที่" แต่พิจารณาแล้วจะพบว่าไม่ได้มีการระบุความผิด หากผู้พบเห็นเหตุการณ์ไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ เรื่องนี้ คนทำงานเพื่อผู้หญิง บอกว่า กฎหมายฉบับนี้มิได้มุ่งเป้าให้เกิดการลงโทษ แต่มุ่งการปลุกจิตสำนึกของคนในสังคมว่า หากพบเจอเหตุการณ์ความรุนแรงแบบนี้ คนในสังคมควรจะช่วยกันดูแล เพื่อสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยการเกื้อกูล ช่วยเหลือ และปกป้องเหตุซึ่งกันและกัน เพราะตามกฎหมายฉบับนี้ เมื่อมีการแจ้งเหตุ ผู้รับแจ้งสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ถ้าเห็นผู้หญิงถูกซ้อม ถูกลาก ก็สามารถแยกตัวได้ และสามารถพาไปรักษาพยาบาลได้ทันที ซึ่งจะช่วยให้ผู้ถูกกระทำได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที


"ดิฉันเชื่อว่า กฎหมายฉบับนี้จะช่วยให้ผู้หญิง หรือเด็ก หรือคนในบ้านจะไม่ถูกทำร้ายมากขึ้น เพราะจริงๆ แล้ว ปัญหาเหล่านี้ คนในสังคมส่วนหนึ่งก็ยังไม่รู้ว่ามี มันเป็นปัญหาหลบอยู่ใต้พรม อีกนัยหนึ่งคือ เป็นการป้องปรามพฤติกรรมของผู้กระทำด้วยว่า มีกฎหมายแล้ว น่าจะยั้งคิดได้มากขึ้น"

ความคิดเรื่องครอบครัวอย่ายุ่ง ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่หากเมื่อใดก็ตามมีการละเมิดสิทธิ์และเกิดเหตุการณ์ทำร้ายร่างกาย คนในสังคมก็มิควรอยู่นิ่งเฉย เพราะนั่นอาจหมายถึง "การช่วยชีวิต" คนคนนั้น 1 ชีวิตทีเดียว

อ้างอิง จาก มติชน
http://women.mthai.com/views_Women-Variety_11_49_9601_1.women

 

 

 สามี-ภรรยา ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายกัน อาจติดคุกได้

 

 
บ่อยครั้งที่ทางสถานีตำรวจภูธรวังน้ำคู้ ได้รับคำร้องทุกข์เกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทระหว่างสามี-ภรรยา หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่า “เรื่องผัวๆเมียๆ” หลายท่านมีความเข้าใจว่า คู่สมรสทำร้ายร่างกายกันเองได้ ไม่ต้องรับโทษอาญาใดๆ เพราะเป็นเรื่องผัวๆเมียๆ อย่างที่กล่าวมาแล้ว เป็นธรรมดาของชีวิตคู่ ต้องมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง อันนี้ไม่ขอโต้แย้งครับ แต่การทะเลาะกันถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน ไม่มีกฎหมายฉบับใดอนุญาตให้ทำได้ ซึ่งถือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก ระหว่างการทะเลาะกันระหว่างสามี-ภรรยา กับการทำร้ายร่างกาย

ก่อนอื่นต้องทราบว่า การทำร้าย คือ พฤติกรรมใช้กำลังทุกรูปแบบเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บทางกายหรือจิตใจ จะใช้อาวุธร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม

ประมวลกฎหมายอาญากำหนดโทษของคดีทำร้ายร่างกายโดยเจตนาไว้หลายระดับตามความหนักเบาของบาดแผลที่เกิดขึ้น เป็นการกระทำต่อบุคคลเฉพาะที่กำหนดไว้ หรือมีพฤติกรรมพิเศษ ดังนี้

มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ จิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยกตัวอย่างเช่น ตบหน้ามีรอยแดงๆ ชกต่อยเพียงฟกช้ำไม่มีเลือดไหล ศีรษะโน เป็นต้น


มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา 296 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ถ้าได้กระทำต่อบุคคลเฉพาะเจาะจง เช่น บุพการี เจ้าพนักงาน เป็นต้น หรือพฤติการณ์พิเศษ เช่น การวางแผนล่วงหน้า กระทำทารุณกรรม เป็นต้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตราย สาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี โดยกำหนดลักษณะบาดแผลซึ่งถือเป็นอันตรายสาหัสไว้ เช่น ตาบอด ใบหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว แท้งลูก ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือทำงานไม่ได้เกินกว่า 20 วัน เป็นต้น

ตามหลักกฎหมายเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายข้างต้นนั้น จะสังเกตเห็นว่ากฎหมายใช้คำว่า “ผู้ใด” ดังนั้นกฎหมายจึงใช้บังคับกับ “ผู้ใด” ที่ทำร้าย ผู้อื่น ซึ่งมีผลในการคุ้มครองผู้เสียหายและลงโทษผู้ใช้กำลังทำร้ายโดยไม่จำกัดเพศ สถานภาพทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของสามีภรรยา ครูอาจารย์ บิดามารดา ล้วนอาจถูกลงโทษตามหลักนี้ได้ ไม่มีข้อยกเว้นว่าผู้ที่ทำร้ายและผู้ที่ถูกทำร้ายหากเป็นสามีภรรยากันแล้ว กฎหมายจะยกเว้นให้ไม่ต้องรับโทษ ความเป็นสามีภรรยาไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิในเนื้อตัวร่างกายที่จะทำร้ายคู่สมรสของตนได้ เนื่องจากสิ่งนี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญซึ่งผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ถ้ามิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้กระทำได้

ส่วนใหญ่ที่เราเห็นว่าสามีภรรยาตกลงยอมความกันได้ที่สถานีตำรวจนั้น เป็นเพียงการด่าทอ ดูหมิ่น หรือตบตีกันไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเปรียบเทียบปรับที่สถานีตำรวจได้เท่านั้น หากว่าได้รับอันตรายถึงแก่กายหรือจิตใจ ก็ไม่อาจยอมความกันได้ จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยให้ศาลเป็นผู้ใช้ดุลพินิจพิจารณาตัดสิน

ดังนั้น ความเข้าใจผิดเรื่องสามีภรรยาสามารถตบตีทำร้ายกันได้ ครูอาจารย์โบยตีลูกศิษย์ บิดามารดาฟาดตีเด็กในปกครอง จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ผู้กระทำต้องรับโทษอาญา ไม่ว่าจะเป็นจำคุก ปรับ แล้วแต่ดุลพินิจของศาล อีกอย่างหนึ่งซึ่งพึงเตือนใจก่อนใช้กำลังทำร้ายคนอื่นด้วยว่า หญิงซึ่งเป็นภรรยาก็ไม่มีอภิสิทธิ์ในการทำร้ายร่างกายของสามีด้วย ส่วนเด็กที่ทำร้ายพ่อแม่ปู่ย่าตายายซึ่งถือเป็นบุพการี จักต้องรับโทษหนักพิเศษ เพราะสังคมไม่ส่งเสริมพฤติกรรมเช่นนี้และไม่ต้องการให้ใครถือเป็นเยี่ยง อย่างด้วย

 

 

***********************************

 

 

 

 

 

ศาลอาญาห้ามตำรวจนำหมายจับไปเผยแพร่กับผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอาจ เจอข้อหาละเมิดอำนาจศาล

 

 

  

   

 

 

 



ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 ธ.ค. นี้ ศาลได้เรียก พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์ ผกก. สน.ทุ่งสองห้อง ในฐานะพนักงานสอบสวน มาไต่สวน กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายจับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ข้อหากบฏฯ ,มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, และเป็นหัวหน้าหรือผู้มีหน้าที่สั่งการและเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก แต่ไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113,215 ประกอบมาตรา 216 ไปเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ และนำไปโปรยทางเฮลิคอปเตอร์เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ให้แก่ผู้ชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ

โดยศาลได้ไต่สวนแล้วเสร็จ จึงมีคำสั่งว่า การดำเนินการตามหมายจับของศาล เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องต้องกระทำเพียงเพื่อจับกุมบุคคลตามหมายจับโดยเคร่งครัด การนำหมายจับไปเปิดเผยต่อผู้ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมิใช่เพื่อจับกุมบุคคลตามหมายจับโดยตรง ย่อมปราศจากอำนาจที่กระทำได้ ศาลอาญา จึงออกข้อกำหนด ห้ามมิให้เจ้าพนักงานกระทำการใด ๆ อันเป็นการเผยแพร่หมายจับต่อบุคคลผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจับกุมบุคคลตามหมายจับ​โดยตรง มิฉะนั้นถือว่า เป็นการละเมิดอำนาจศาล และแจ้งคำสั่งศาลให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผ.ตร.)ทราบ

 

 

 

                     

 

 

 โอ้ว นี่ผมเพิ่งรุ้นะ อนุมัติหมายจับแล้ว แต่เผยแพร่ไม่ได้ แล้วสื่อนักข่าวจะเอาไปเผยแพร่ ถือว่ามีความผิดด้วยมั้ยเนี่ย

ทำไมนักโทษทั่วไปถึงติดประกาศจับ  อ้าวจะรู้ไดไง ใครผิด แล้วผิดอะไร แล้วควรจะทำอะไรกับคนทำผิดนี้........

 

 

 

[Image: 0politionaryword1472.jpg]

 

 

 

 

****************************

 

guest

Post : 2013-11-29 18:53:59.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ใครบอกว่างูกลัวเชือกกล้วย?

 

 

   งูไม่กลัวมะนาว และเชือกกล้วย

 


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com





 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึง น้าชาติ คุณปู่เคยเล่าให้ฟังว่าเวลาเข้าป่าให้พกมะนาวและเชือกกล้วยไปด้วย งูจะกลัวและไม่กัด จริงไหมครับ

จาก มะเส็งน้อย

ตอบ มะเส็งน้อย

จากการสอบถามสัตวแพทย์ด้านงู ได้คำตอบว่า "ไม่จริง" เป็นความเชื่อล้วนๆ เพราะความจริงแล้ว งูไม่กลัวมะนาวและเชือกกล้วยแต่อย่างใด แม้แต่ต้นมะนาวก็ยังเคยมีงูขึ้นไปเลื้อยหน้าตาเฉย สันนิษฐานว่าคนโบราณอาจจะพกมะนาวเอาไว้เป็นกระสุนขว้างปางูมากกว่า ส่วนเชือกกล้วย ยิ่งเวลาถูกน้ำก็ยิ่งเหนียว ส่วนเชือกชนิดอื่นจะยิ่งลื่น แต่ไม่เกี่ยวกับงูกลัวเชือกกล้วย

ส่วนเวลาที่ต้องเข้ารกเข้าพงหรือเดินป่า ควรแต่งกายมิดชิด รัดกุม สวมรองเท้าบู๊ตและหาไม้เคาะพื้นเพื่อทำให้เกิดการสั่นสะเทือน เมื่องูรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนก็จะเลื้อยหนีไปเองหรือปรากฏตัวให้เราเห็น เราก็เลี่ยงทางนั้นไป

จงจำไว้ว่า การส่งเสียงดังไล่งูก็ไม่เป็นผลเลยเพราะงูไม่มีหู มันจึงไม่ได้ยินเสียง! การแสดงของแขกที่เป่าขลุ่ยหรือปี่เรียกงูให้ขึ้นมาจากตะกร้านั้น ความจริงแล้ว งูมันจ้องดูขลุ่ยหรือเข่าของนักเป่าปี่ที่เคลื่อน ไหวส่ายไปมานั่นเอง

สิ่งที่ควรทำเวลาเผชิญหน้ากับงู คือ "มีสติ" ยืนนิ่งๆ ไม่ต้องวิ่งหนี ยกเว้นงูกะปะและงูเขียวหางไหม้ เพราะงู 2 ชนิดนี้ ระหว่างตาและจมูกมีร่องจับความร้อน ดังนั้น เมื่อเจองูให้ยืนนิ่งๆ เข้าไว้ งูจะไปเอง แต่ถ้างูไม่หลบ เราก็ต้องค่อยๆ ก้าวถอยออกมาให้พ้นระยะอันตราย

ในกรณีที่งูสู้คน ส่วนใหญ่มักจะเป็นการที่คนไปบุกรุกอาณา เขตของงูก่อน เช่น งูจงอางก็อาจจะชาร์ตเข้ามาหาคนเพื่อเป็นการป้องกันตัวของงู

งูส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่ไล่กัดคน ไม่เหมือนงูบางชนิดในแอฟริกา เช่น แบล็กมัมบา (Black Mamba) หรือกรีนมัมบา (Green Mamba)

นอกจากนี้ ส่วนการใช้สารเคมี เช่น กำมะถันหรือปูนขาวก็ใช้ไม่ได้ผลกับงู

สำหรับวิธีการป้องกันไม่ให้มีงูเลื้อยเข้าไปในบ้าน คือ ไม่ให้มีอาหารของงูอยู่ในบ้านและไม่ให้มีที่รกๆ เป็นที่หลบซ่อนตัว เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วให้เก็บมิดชิด ไม่อย่างนั้น แมลงจะเข้ามาตอมซึ่งแมลงเป็นอาหารของกบ เขียด อึ่งอ่าง และสัตว์อย่างกบ เขียด อึ่งอ่างก็เป็นอาหารจานโปรดของงู ดังนั้น ถ้ามีอาหารงู งูก็จะตามเข้ามา ชาวสวนชาวนาที่นอนตามพื้นบ้านก็มีโอกาสที่จะถูกงูกัดได้เพราะงูตามกบ เขียดเข้าไปในบ้านและคนก็อาจจะพลิกตัวนอนทับงูได้ จึงถูกงูกัด

นอกจากนี้ การปลูกต้น "เสลดพังพอน" ก็ไม่ได้กันงูได้ตามชื่อและความเชื่อเพราะเวลางูประจันหน้ากับพังพอนเข้าจริงๆ หากงูมีโอกาสเป็นฝ่ายทำก่อน พังพอนก็จะตกเป็นอาหารของงู แต่ถ้าพังพอนเป็นฝ่ายได้เปรียบ งูก็จะกลายเป็นอาหารของพังพอนไป

หากเด็กๆ พบเห็นงู นอกจากทำตามคำแนะนำที่บอกไว้แล้ว ให้รีบแจ้งผู้ปกครองหรือครูเพื่อให้ผู้ใหญ่แจ้งขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตำรวจ อาสาป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนที่สำนักงานเขต ให้มาช่วยจับงู
 

 

 

 

 

 

******************************

 

 

 

 

 [​IMG] 

 

 

 

 

 

 

 ศอ.รส. ภาพยันชัด ตร.ยิงยางสติ๊กผู้ชุมนุม ด้วยกระสุน ไม่ทราบขนาด เป็นตำรวจที่ใจดีที่สุดในโลกแล้วล่ะ เฮ้อ......

 

  

 

 

 

 

 

            อธิการ ม.รามฯ เผยถูกปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือจาก สตช.

 

 

                            

 
 
 
อธิการ ม.รามฯ แถลงถึงเหตุระทึกใจคนร้ายซุ่มยิง นศ.เผยติดต่อข้อความช่วยเหลือจากตำรวจตลอด แต่ถูกปฏิเสธ ส่งผลให้ นศ.เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 60 ราย
       
       วันที่ (2 ธ.ค.) ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผศ.ดร.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดเผยถึงเหตุการณ์การปิดล้อมและทำร้ายนักศึกษา ม.รามฯ คืนวันที่ 30 พ.ย.ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 1 ธ.ค.ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีนักศึกษาเสียชีวิตทั้งสิ้น 3 ราย และบาดเจ็บกว่า 60 คน ซึ่งขณะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้ตนโทรศัพท์ประสานกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติตลอดเวลา แต่กลับถูกปฏิเสธการเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
       
       ผศ.ดร.วุฒิศักดิ์ ยืนยันด้วยว่า มีคนร้ายในชุดดำใช้สไนเปอร์ยิงนักศึกษาต่อหน้าต่อตาที่วิ่งหนีเอาตัวรอด บริเวณหน้าตึกสำนักงานอธิการบดี ซึ่งเป็นการกระทำโหดร้ายทารุณ และเชื่อว่าการดำเนินการครั้งนี้ต้องมีการวางแผนและประสานงานกันเป็นอย่างดี

โดย http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000149274
 
 
 

 

" ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าราชมังฯ จะมีเสื้อแดงมาชุมนุม  แต่ท่านเอง เป็นคนมาปราศัยที่ลานพ่อขุน ก่อนหน้า 1 วัน
ทำไมไม่ห้ามเด็กราม หรือผู้ชุมนุม ว่าห้ามใช้สถานที่ราม แต่ที่นี่เหมือนท่านนั่นแหละเป็นคนชักศึกเข้าราม
ท่านต้องการอะไรคะ  ม๊อบอยู่ใกล้กัน มันต้องเกิดการปะทะแน่ๆ  ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่เค้าประกาศ และชุมนุมหลายวันแล้วที่ราชมังฯ
ท่านต้องการอะไรคะ  ท่านสามารถป้องกันได้ แต่ท่านไม่ทำ
ท่านต้องการอะไรคะ  เพียงเพราะฝ่ายตรงข้ามความคิดของท่านมีอำนาจ ท่านจึงใช้เด็กนักศึกษา หรือใครก็ตาม เป็นเครื่องมือ
ท่าน.............ต้องการอะไรคะ
ท่าน.............จะรับผิดชอบอย่างไร


ยังยืนยันคำเดิมประโยคเดิมที่เคยถามท่านอธิการค่ะ ด้วยความเคารพ........"

  

 

 

 

 

 

********************************

 

 

 

 

 

 

  วันจันทร์ ที่ 2 ธันวาคม เป็นวันแรม 15 ค่ำเดือน 12 วันนี้วันพระ...

 

 

                               

 

 

 

สัมโมทมาชาดก 

 

:: สาเหตุที่ตรัสชาดก ::

 

          .....กรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นดินแดนของพระญาติฝ่ายพระราชบิดา และกรุงเทวทหะซึ่งเป็นดินแดนของพระญาติฝ่ายพระราชมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งไหลผ่านและถือเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ชาวเมืองทั้งสองต่างอาศัยน้ำจากแม่น้ำสายนี้ทำการเกษตรกรรมเลี้ยงชีพด้วยความผาสุกตลอดมา

 

ต่อมาในฤดูแล้งครั้งหนึ่ง น้ำในแม่น้ำได้งวดลงไปมากผิดปกติ ประชาชนต่างได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นต่างฝ่ายจึงพยายามหาวิธีกักเก็บน้ำเข้านาของตนให้มากที่สุด จนเกิดการทะเลาะวิวาทด่าทอซึ่งกันและกัน แล้วเลยลามปามถากถางไปถึงราชตระกูลของฝ่ายตรงข้าม เรื่องราวจึงขยายตัวลุกลามไปจนถึงขั้นมีการจับอาวุธเข้าต่อสู้ ความขัดแย้งได้ทวีขึ้นถึงขั้นมีการกะเกณฑ์ผู้คน จนในที่สุดกษัตริย์ของทั้งสองพระนครถึงกับยกทัพมาประชิดชายแดน เตรียมพร้อมที่จะทำสงครามกัน

 

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่าเหตุร้ายกำลังจะเกิดขึ้นกับพระญาติทั้งสองฝ่าย จึงเสด็จมายังชายแดนเพื่อจะทรงระงับศึก พระพุทธองค์ทรงซักถามถึงสาเหตุที่เกิดความขัดแย้งครั้งนี้พระประญาติทั้งสองฝ่ายต่างทูลถึงสาเหตุ เมื่อพระองค์ทรงฟังแล้วจึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสเล่าชาดกดังนี้

 

 

:: เนื้อหาชาดก ::

 

          .....ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี มีพญานกกระจาบตัวหนึ่งคุมบริวารจำนวนนับพันตัว ท่องเที่ยวหากินอยู่ในป่าใหญ่ได้รับความผาสุกตลอดมา

 

อยู่มาวันหนึ่ง พรานล่านกบังเอิญมาพบนกกระจาบฝูงนี้เข้า จึงเข้าไปแอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ แล้วทำเสียงร้องเลียนแบบนกกระจาบ เมื่อนกกระจาบได้ยินจึงหลงเข้าใจผิดคิดว่า พวกของตนร้องเรียกจึงบินลงมารวมกันข้างพุ่มไม้นั้น นายพรานซึ่งคอยทีอยู่แล้วก็ทอดตาข่ายลงอย่างรวดเร็ว จับนกกระจาบไปได้อย่างสบาย

 

          หลังจากวันนั้น นายพรานก็มาทอดตาข่ายจับนกไปได้ทุกวัน พญานกนกกระจาบพยายามอย่างยิ่งที่จะคิดหาทางช่วยเหลือบริวารของตน จนกระทั่งวันหนึ่งพญานกกระจาบเรียกประชุมบริวารที่เหลือและบอกอุบายว่า

 

          “ ครั้งต่อไป ถ้าพวกเราถูกนายพรานทอดตาข่ายอีกละก็ จงตั้งสติให้ดี ให้แต่ละตัวเอาหัวสอดเข้าในช่องตายข่ายตัวละตา แล้วบินขึ้นพร้อม ๆ กัน ยกเอาตาข่ายนั้นไปพาดทิ้งไว้บนยอดไผ่ที่อยู่ไกล ๆ แล้วปลดตัวเองออกมาก็จะหนีรอดได้ ”

 

          วันต่อ ๆ มา เมื่อพรานนกนำตาข่ายมาทอดอีก นกกระจาบก็พร้อมใจกันทำตามคำแนะนำของพญานกเสมอ พรานนกจึงจับนกกระจาบไม่ได้เลย

 

          ต่อมาไม่นาน มีนกกระจาบซุ่มซ่ามตัวหนึ่งโผลงมาบนพื้นดิน แต่บังเอิญพลาดไปเหยียบเอาหัวนกกระจาบอีกตัวเข้า นกกระจาบตัวนั้นโกรธมากร้องโวยวายขึ้นมา ถึงนกกระจาบซุ่มซ่ามจะอ้อนวอนขอโทษอย่างไร นกตัวที่ถูกเหยียบหัวก็ไม่ยอมให้อภัย จนเกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้น กลายเป็นแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน ต่างพูดจากระทบกระเทียบแดกดันกันต่าง ๆ นานา

 

          พญานกกระจาบเห็นดังนั้นจึงเข้าห้ามปราม แต่นกกระจาบเหล่านั้นไม่ยอมฟัง พญานกกระจาบจึงกล่าวว่า ต่อไปความพินาศจะเกิดขึ้นแก่นกกระจาบทั้งหลายเป็นแน่ จึงพานกบริวารที่เชื่อฟังแยกฝูงออกไปหากินที่อื่น

 

          เมื่อพรานมาดักนกกระจาบอีกครั้ง นกกระจาบเหล่านั้นเมื่อไม่มีความพร้อมเพรียงเพราะมัวแต่ทะเลาะกันเอง กำลังแรงจึงไม่พอที่จะนำเอาตาข่ายขึ้นไปได้ พรานนกจึงจับนกกระจาบเหล่านั้นไปอย่างง่ายดาย

 

 

:: ประชุมชาดก ::

 

          .....เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่า สัมโมทมานชาดก จบแล้ว ทรงให้โอวาทแก่พระประยูรญาติทั้งสองฝ่ายว่า “ การทะเลาะวิวาทกันในระหว่างญาตินั้นไม่สมควรเลย เพราะการทะเลาะวิวาทเป็นมูลเหตุแห่งความพินาศสถานเดียว ” จากนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประชุมชาดกว่า

 

นกกระจาบพาล ได้มาเป็น พระเทวทัต

 

พญานกกระจาบ ได้มาเป็น พระองค์เอง

 

 

:: ข้อคิดจากชาดก ::

 

        ๑ . คนพาล มักโกรธง่าย และผูกเวร ดังนั้น เราควรป้องกันการทะเลาะวิวาทเสียแต่ต้นมือด้วยการระมัดระวังตัว มีสติ ไม่ทำสิ่งใดให้กระทบกระเทือนบุคคลอื่น การฝึกสมาธิแผ่เมตตาเป็นประจำทำให้เป็นคนโกรธได้ยาก “ ผู้ที่ฆ่าความโกรธได้ ย่อมนอนหลับเป็นสุข ”

 

        ๒ . การคบบัณฑิตย่อมทำให้ห่างไกลจากภัยพาล ดังเช่นนกกระจาบที่เชื่อฟังจ่าฝูง

 

        ๓ . เมื่อมีการทะเลาะวิวาทกัน ควรวางตัวเป็นกลาง และหาทางไกล่เกลี่ยยุติเรื่องบาดหมางนั้นเสีย

 

 

 

*****************************

 

 

 

 
 

   

 

 
                                   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
***********************
                         

          

                    เจ็บเเต่จบ

 

 

                                        

 

 

 

 

 

....ปิดฉากลง ตรงนี้ ดีที่สุด

 

ยื้อเเรงยุด ฉุดไม่ไหว ใจที่เสีย

 

ทุ่มเทไป ให้ทุกอย่าง สร้างทางเคลียร์

 

กายอ่อนเพลีย ไม่เท่าไร เเม้นใจยัง

 

 

 

....ฝันจะมี รังรักน้อย คอยพิงพัก

 

เฝ้าฟูมฟัก พ่อเเม่ลูก ผูกความหวัง

 

ละเอียดเเล้ว เเก้วร้าว ร่วงกราวพัง

 

เหลือเพียงยัง ซากหนึ่งชาย ตายทั้งเป็น......

 

 

 

***********************

 

 

 

 

 

  1. [​IMG]


    * กรุณา อ่านอย่างมีวิจารณญาณ *

    คำสาปจากหลวงธำรงค์นาวาสวัสติ์ อดีตนายกฯ ต่อพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง นี่เป็นเรื่องเล่าที่ไม่ค่อยจะแพร่หลายนัก และเป็นการอ้างว่าเรื่องราวทั้งหมดนับจากนี้ เป็นเรื่องที่ได้มาจากการบอกเล่าของอดีตนักหนังสือพิมพ์ท่านหนึ่ง ที...่บังเอิญได้อยู่ใน เหตุการณ์ระหว่างที่คณะรัฐประหาร 2490 เตรียมเข้าจับกุมหลวงธำรงค์ นาวาสวัสดิ์
    ผมไม่ยืนยันว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ และขอให้พวกเราอ่านด้วยวิจารณญาณ และกรุณาวิจารณ์ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากหลายท่านที่มีส่วนในเรื่องราวนี้ได้ถึงแก่ อสัญกรรมไปแล้วครับ


    เหตุการณ์เริ่มขึ้นในเดือน ต.ค. 2490 กลุ่มนายทหารซึ่งประกอบด้วย น.อ.กาจ เก่งระดมยิง, พ.ท.ก้าน จำนงภูมิเวท, ร.อ.ขุนปรีชารณเสฏฐ์, พ.อ.ศิลป์ รัตนพิบูลย์ชัย ได้ไปชักชวนให้ พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากหลวงธำรงค์ นาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น แต่ อ.ปรีดี ซึ่งเป็นพันธมิตรกับหลวงธำรงค์ ฯ ได้ระแคะระคายถึงเรื่องนี้และได้ วางแผนกับหลวงธำรงค์ ฯ เพื่อเข้าจับกุมคณะผู้ก่อการรัฐประหารในเช้ามืดของวันที่ 9 พ.ย. 2490

    แต่เรื่องจริงกลับเป็นเสียยิ่งกว่านิยาย .. ข่าวการเตรียมการจับกุมคณะผู้ก่อการ ฯ ก็ได้รั่ว ไปถึงกลุ่มของพล.ท.ผิน ชุณหะวัณ เช่นกัน ทางกลุ่มคณะรัฐประหารจึงต้องชิงลงมือ ก่อน โดยบุกเข้ายึดอำนาจในคืนวันที่ 7 พ.ย. 2490 ก่อนหน้าแผนของรัฐบาล 2 วัน คณะทหาร กลุ่มนึงได้ไปควบคุมตัว อ.ปรีดี แต่ อ.ปรีดีได้หลบหนีไปก่อนหน้าแล้ว ขณะที่ทหารอีกส่วนหนึ่ง ได้มุ่งหน้าไปจับกุม หลวงธำรงค์ ฯ ที่สวนอัมพร


    * ทำไมต้องเป็นสวนอัมพร ? *


    คืนวันที่ 7 พ.ย. 2490 นั้น พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ได้จัดงานราตรีการกุศล “เมตตาบันเทิง” ขึ้น ที่สวนอัมพร หลวงธำรงค์ ฯ ได้เป็นแขกรับเชิญของหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคนั้น และในคืนนั้นได้เกิด ปรากฏการณ์ พิเศษขึ้น โดยหลวงธำรงค์ ฯ และหัวหน้าพรรคการเมืองคนนั้น ผู้ซึ่งเป็นขมิ้นกับปูนอย่างถาวรได้ร่วมกันนั่งรถสามล้อถีบ คันเดียวกัน ซึ่งมี ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปไตย ซึ่งได้ย้ายเข้ามาเป็น ส.ส. พรรคการเมืองนี้ เป็นผู้ถีบรถสามล้อพาวนไปรอบสวนอัมพร

    แขกเหรื่อและนักข่าวที่มาร่วมงานต่างก็ยินดี คิดว่าทั้งสองขั้วคงจะประสานกันได้แล้ว แต่ไม่ทันจะได้เต้นรำ นายทหารเรือคนสนิทของหลวงธำรงค์ ฯ ได้เข้ามากระซิบว่า คณะรัฐประหารกำลังจะเข้ามาจับกุมตัวหลวงธำรงค์ ฯ ขอให้หลบหนีไปเสียแต่ตอนนี้ เมื่อหลวงธำรงค์ได้ทราบข่าวนี้ ท่านก็ปักใจในทันทีว่าหัวหน้าพรรคการเมืองคนนี้ ต้องมีส่วนรู้เห็น กับคณะรัฐประหาร และร่วมลวงให้ท่านมาถูกจับที่สวนอัมพรซึ่งเป็นการสะดวกสำหรับ คณะรัฐประหารเนื่องจากไม่มีกองกำลังของรัฐบาลคอย อารักขาท่าน

    ไคลแมกซ์ของเรื่องนี้อยู่ตรงช่วงเสี้ยวของนาทีก่อนที่หลวงธำรงค์ ฯ จะหลบหนีจากสวนอัมพร มีนักข่าวจากหนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ได้ยินหลวงธำรงค์ ฯ หันมากล่าวกับหัวหน้าพรรคคนน้นก่อนที่จะจากไปว่า

    “ผมเสียใจที่เราทั้งสองไม่มีโอกาสจะร่วมกันสร้างชาติให้วัฒนาต่อไปได้ และผมไม่เคยคิดว่า นักการเมืองที่ทรงเกียรติอย่างท่านจะมีเล่ห์กลมากมายอย่างนี้ ผมไม่เสียดายในตำแหน่งของผมแม้แต่น้อย แต่ผมเสียดายที่ประเทศของเราไม่มีโอกาสให้ประชาธิปไตยได้อยู่บนแผ่นดินนี้นานนัก

    และ ผมชิงชังเหลือเกินกับผู้ที่มุ่งหาประโยชน์ใส่ตัวด้วยการหักหลังและตระบัดสัตย์ที่เคยให้ไว้แก่ ประชาชน ผมขอสาปแช่งทุกคนที่มีส่วนทำให้ประชาชนและแผ่นดินนี้ต้องย้อนกลับไปสู่อำนาจศักดินาที่กดขี่และตักตวง มันผู้ใดคิดคดทรยศต่อ ประชาชนเพื่อหวังในอำนาจบารมี ผมขอให้มัน มีอันเป็นไปต้องทุกข์ทรมานด้วยสิ้นลมก่อนจะสิ้นใจ และพบกับความวิบัติจัญไรล่มสลายไปด้วยน้ำมือของประชาชนภายใน 7 ชั่วคน”

    นั่นคือบันทึกถ้อยคำสุดท้ายของหลวงธำรงค์ นาวาสวัสดิ์ ที่นักข่าวท่านนั้นบันทึกไว้ ก่อนที่หลวงธำรงค์ ฯ จะหลบหนีไปลี้ภัยที่ฮ่องกง ผมไม่ทราบว่าคำสาปแช่งของหลวงธำรงค์ ฯ ท่านจะเป็นจริงขึ้นมาหรือไม่ แต่ก็ให้น่าแปลกใจที่ในเวลาต่อมา หัวหน้าพรรคคนนั้น ได้ถึงแก่อสัญกรรมลง ในวัย 66 ปี ด้วยโรคทางเดินหายใจขัดข้อง

    ท่านต่อมาก็ได้แก่ มรว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งเชื่อกันว่าท่านมีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ”ใต้ตุ่ม” ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหาร 2490 ได้นำออกประกาศใช้หลังจากที่ ได้ทำรัฐประหารสำเร็จ ซึ่งในเวลาต่อมาท่าน มรว. เสนีย์ ปราโมช ป่วยเป็นโรคหลอดลม อักเสบเรื้อรังอยู่นานหลายปี และได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพ จนถึงแก่อสัญกรรม ในวัย 92 ปี ด้วยโรคถุงลมโป่งพอง

    ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ฟังแล้วดูเหมือนจะสอดคล้องและทำให้อดคิดไม่ได้ว่า อำนาจความเคียแค้นที่รุนแรงจนกลายเป็นคำสาปแช่งนั้น อาจจะมีอยู่จริง และยังคงดำเนินต่อไปอย่างซื่อสัตย์จนทุกวันนี้ และที่ใกล้ตัวเราที่สุดในขณะนี้ ก็ได้แก่ เรื่องอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์เองซึ่งดำเนินงานทางการเมืองผิดพลาด จนเป็นเหตุให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเกลียดชังและเบื่อหน่ายกับรัฐบาลภายใต้ การนำของพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งคดียุบพรรคที่กำลังดำเนินอยู่ถึง 2 คดีไล่เลี่ยกัน ทำให้อนาคตของพรรคประชาธิปัตย์เริ่มอยู่บนความไม่แน่นอน

    และสิ่งที่ผมอยากจะเรียนให้พวกเราจับตาดูในเรื่องนี้เป็นพิเศษก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 7 !!

    ผมจึงอดขนลุกไม่ได้กับประโยคสุดท้ายในคำสาปแช่งของหลวงธำรงค์☽

    “และพบกับความวิบัติจัญไรล่มสลายไปด้วยน้ำมือของประชาชนภายใน 7 ชั่วคน”

    รายละเอียดเกี่ยวกับการทำรัฐประหาร 2490 พวกเราสามารถย้อนกลับไปอ่านได้ที่นี่ครับ

    อ้างอิง
    https://www.rajdumnern.net/showthread.php?tid=1617
    และ https://www.rajdumnern.net/showthread.php?tid=1636
    บทความจาก
    http://nopeter.org/forum/index.php?topic=1598.0%3Bwap2
    กรุณาอ่านอย่างมีวิจารณญาณ : ...//Noah.

 

เปิดคำสั่งมหาเถรสมาคม ห้ามพระสงฆ์ยุ่งการเมือง

คำสั่งมหาเถรสมาคม

เรื่อง ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.2538

     อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มหาเถรสมาคมจึงออกคำสั่งไว้ ดังต่อไปนี้

     ข้อ 1 คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้เรียกว่า "คำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.2538"

     ข้อ 2 คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เป็นต้นไป

     ข้อ 3 ตั้งแต่วันใช้คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลิกคำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ห้ามพระสงฆ์เกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.2517

     ข้อ 4 ห้ามพระภิกษุสามเณรเข้าไปในที่ชุมนุม หรือบริเวณสภาเทศบาล หรือสภาการเมืองอื่นใด หรือในที่ชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่ากรณีใดๆ

     ข้อ 5 ห้ามพระภิกษุสามเณรทำการใดๆ อันเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือโดยตรง หรือโดยอ้อมแก่การหาเสียง เพื่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาเทศบาล หรือสภาการเมืองอื่นใด แก่บุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ

     ข้อ 6 ห้ามพระภิกษุสามเณรร่วมชุมนุมในการเรียกร้องสิทธิของบุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ

     ข้อ 7 ห้ามพระภิกษุสามเณรร่วมอภิปราย หรือบรรยายเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งจัดตั้งขึ้นทั้งในวัดหรือนอกวัด

     ข้อ 8 ให้พระสังฆาธิการตั้งแต่ชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไป ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง ชี้แจงแนะนำผู้อยู่ในปกครองของตน ให้ทราบคำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ และกวดขันอย่าให้มีการฝ่าฝืนละเมิด

     ข้อ 9 พระภิกษุสามเณรรูปใด ฝ่าฝืน ละเมิด คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้พระสังฆาธิการปกครองใกล้ชิดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของตน

     ถ้าความผิดเกิดขึ้นนอกเขตสังกัด ให้เจ้าคณะเจ้าของเขตที่ความผิดเกิดขึ้น ว่ากล่าวตักเตือน แล้วแจ้งให้พระสังฆาธิการผู้ปกครองใกล้ชิดดำเนินการ

     ข้อ 10 ให้พระสังฆาธิการผู้มีอำนาจหน้าที่ในทางปกครองทุกชั้น ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งมหาเถรสมาคมนี้โดยเคร่งครัด

     สั่ง ณ วันที่ 2 มกราคม พ.ศ.2538

 

                           (ลงพระนาม)     .............................................

(สมเด็จพระญาณสังวร)

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม

 

 

 





 

 

 


                                                                                                                

 

 

 พระไม่ควร พูด รวมถึง ยุ่งเรื่องการเมือง++



"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เธอทั้งหลายจงอย่าพูดติรัจฉานกถา ซึ่งมีหลายอย่าง คือ ...

พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอมาตย์ เรื่องกองทัพ

เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน

เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร

เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ

เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล

เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ

ข้อนั้นเพราะเหตุไร ...

เพราะถ้อยคำที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

ไม่เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น

ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ

ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพาน

ก็เมื่อเธอทั้งหลายจะพูด พึงพูดว่า

นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

ข้อนั้นเพราะเหตุไร ...

เพราะถ้อยคำนี้ประกอบด้วยประโยชน์

เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น

ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ

ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพาน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า

นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา"

 

 

 

วินัยของพระภิกษุสงฆ์ที่ประชาชนควรทราบ

 

 

 

พุทธศาสนิกฝ่ายคฤหัสถ์ควรรู้จักพระวินัยบางข้อของพระภิกษุสงฆ์ไว้ด้วย เพราะว่า พระภิกษุสงฆ์มีหน้าที่อันสำคัญที่สุด คือรักษาตัวอย่าให้มีโทษทางพระวินัย

 

จึงจะสมเป็นที่ไว้วางพระหฤทัยของพระบรมศาสดา และจะได้สมเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นนาบุญของชาวโลก ไม่บริโภคจตุปัจจัยของเขาให้เปลืองเปล่า เปรียบเหมือนอย่างพื้นนาอันปราศจากวัชพืช คือหญ้าที่เป็นโทษ ย่อมจะอำนวยให้ข้าวที่ชาวนาหว่านลงดินเจริญงอกงาม มีผลเต็มเมล็ดเต็มรวง แต่หากว่านารกไปด้วยวัชพืช ข้าวที่หว่านลงก็มีผลไม่เต็มที่

 

ข้อนี้ฉันใด พระภิกษุหรือสามเณร ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าศีลไม่ขาด ไม่มีโทษทางพระวินัย ก็เท่ากับนาที่ไม่รก พืชบุญที่หว่านลงก็ย่อมมีผลมากกำไรมาก แต่ถ้าขาดศีลมาก มีโทษทางพระวินัยมาก ก็เท่ากับนาที่รก พืชบุญที่ชาวโลกหว่านลงก็มีผลน้อย มีกำไรน้อย ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุสามเณรผู้ตระหนักในหน้าที่ของตน จึงพยายามรักษาตัวมิให้เป็นเหมือนนาที่รกด้วยวัชพืช

 

ก็ในการรักษาตัวนั้น พระภิกษุ-สามเณรบางรูปบางเวลา บางครั้งบางคราว ไม่สามารถจะให้บริสุทธิ์เท่าที่ควรได้ เพราะคฤหัสถ์ หรือบุรุษ-สตรี หรือทายก ทายิกา ผู้ไม่รู้วินัยของพระ และมีธุระเกี่ยวข้องกับพระในวาระต่างๆ เช่น ในคราวทำบุญ แต่ทำไม่ถูกต้องพระวินัย ภิกษุเกรงใจคฤหัสถ์ บางทีคฤหัสถ์เกรงใจภิกษุ จึงทำให้พระต้องอาบัติ คือต้องโทษทางพระวินัย อย่างนี้คฤหัสถ์ได้บุญก็จริง แต่ได้น้อย เพราะขณะเดียวกันนั้น พระได้บาป ต้องโทษไม่บริสุทธิ์เหมือนนาที่รกเสียแล้ว อนึ่ง บางทีบางรูปไม่รู้วินัยของตนเองดีพอ หรือบางรูปรู้วินัยดีแล้ว แต่ไม่เอื้อเฟื้อในวินัย ก็ย่อมเกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์ในทางที่ผิดๆ และคฤหัสถ์ก็ไม่รู้วินัยของพระ จึงพากันปฏิบัติผิดร่วมกัน อย่างนี้ จึงรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมแก่พุทธศาสนิกชนเลย

 

ด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะให้คฤหัสถ์ บุรุษ-สตรี ทั้งหลายช่วยกันรักษาพระภิกษุสงฆ์ให้บริสุทธิ์ เป็นนาบุญอย่างดี จะได้เพิ่มปริมาณผลแห่งพืชบุญที่บริจาคหว่านลงไป ให้มากยิ่งๆ ขึ้น จึงได้รวบรวมพระวินัยบางข้อ ที่คฤหัสถ์ทั้งบุรุษและสตรีควรทราบมาเรียงเป็นข้อๆ พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติสำหรับคฤหัสถ์ ดังต่อไปนี้ :-

 

๑. สุภาพสตรี อย่าถูกต้องภิกษุสามเณร.

 

๒. สุภาพบุรุษ หรือสุภาพสตรี ไม่ควรวานให้พระชักสื่อชายหญิงให้เป็นสามี-ภรรยากัน แม้ชั่วครั้งชั่วคราว.

 

๓.สุภาพสตรี ไม่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาไปด้วย ไม่ควรเข้าไปหาภิกษุในที่ลับตาหรือลับหู เพราะอาจจะทำให้พระถูกโจทก์ด้วยอาบัติต่างๆ หรือเป็นทางให้เกิดความเสียหายมาก.

 

๔. สุภาพบุรุษ หรือสตรี เมื่อมีศรัทธาจะถวายเงินทองแก่พระภิกษุสามเณร ต้องมอบให้แต่ไวยาวัจกร (ผู้ที่รับทำกิจของท่าน) และแจ้งให้ท่านทราบ อย่ามอบให้ในมือหรือในย่าม หรือในบาตรเป็นต้นของท่าน.

 

๕. บุรุษผู้เป็นไวยาวัจกร เมื่อรับเงินทองของพระรูปใดไว้เท่าไร ต้องจัดสิ่งของที่พระต้องการถวายพระรูปนั้น ในราคาเท่าเงินทองที่ตนรับไว้นั้น ในเวลาที่ท่านขอ ถ้าเงินทองมาก พระขอของน้อย ก็จ่ายเท่าที่ท่านต้องการ เก็บส่วนที่เหลือไว้จ่ายในคราวต่อไป.

 

๖. บุรุษ-สตรี ผู้เป็นพ่อค้า-แม่ค้า ไม่ควรขายของแก่พระภิกษุ หรือสามเณร ผู้ที่จับต้องเงิน (ธนบัตร-เหรียญบาทเป็นต้น) มาซื้อด้วยตนเอง.

 

๗. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาผ้าอาบน้ำฝนถวายพระก่อนเข้าพรรษามากกว่า ๑ เดือน แม้พระขอก็ไม่ต้องถวาย เว้นไว้แต่พระที่เป็นญาติ และพระที่ตนปวารณาไว้.

 

๘. บุรุษ-สตรี เมื่อเตรียมสิ่งของจะถวายแก่สงฆ์ (ไม่เฉพาะบุคคล) ถ้าพระแนะนำให้ถวายเฉพาะตัวท่านเอง หรือให้ถวายเฉพาะพระรูปใดๆ ก็ตามไม่ต้องถวายตามคำแนะนำนั้น

 

๙. บุรุษ-สตรี เมื่อเรียนธรรมกับพระ อย่าออกเสียงบทพระธรรมพร้อมกับพระ.

 

๑๐. บุรุษ เมื่อนอนในที่มุง ที่บัง อันเดียวกับพระครบ ๓ คืนแล้ว ต้องเว้นเสีย ๑ คืน ต่อไปจึงนอนได้อีก.

 

๑๑. สตรี ห้ามนอนในที่มุง ที่บัง อันเดียวกับพระแม้ในคืนแรก.

 

๑๒. บุรุษ-สตรี ถ้าพระใช้ให้ขุดดินเหนียวล้วนหรือดินร่วนล้วน ไม่ควรขุด แต่ถ้าพระแสดงความประสงค์ว่าต้องการหลุมหรือคูเป็นต้น หรือว่าต้องการให้ดินสูงเท่านั้น เท่านี้เป็นต้น ก็ควรจัดการให้ตามประสงค์.

 

๑๓. บุรุษ-สตรี ถ้าพระใช้ให้ตัดต้นไม้หรือดายหญ้าที่เกิดอยู่กับดิน หรือให้รื้อถอนผักหญ้าต่างๆ ที่เกิดอยู่ในน้ำ ไม่ควรตัด-ดาย-รื้อถอน แต่ถ้าพระบอกว่า เราต้องการไม้-หญ้า-ผัก หรือว่า เราต้องการทำความสะอาดในที่ซึ่งเกะกะรุงรังด้วยต้นไม้หรือผักหญ้า ดังนี้เป็นต้น จึงทำให้.

 

๑๔. บุรุษ-สตรี นิมนต์ให้พระฉันอาหาร อย่าออกชื่อโภชนะ ๕ คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ ควรใช้กัปปิยโวหาร คือคำพูดที่สมควร เช่นพูดว่า
“ ขอนิมนต์ฉันเช้า ” หรือว่า “ ขอนิมนต์ฉันเพล ” และต้องบอกวัน เวลา สถานที่ให้ชัดเจน ทั้งบอกให้พระทราบด้วยว่า ให้ไปกันเอง หรือจะมารับ, อนึ่ง การที่นิมนต์ให้พระฉันนั้น ปรารภเรื่องอะไร ก็ควรบอกให้ทราบด้วย.

 

๑๕. บุรุษ-สตรี เมื่อเลยเวลาเพลแล้ว คือตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงวันใหม่ อย่านำอาหารไปประเคนพระ หากเป็นของที่เก็บค้างคืนได้ ไม่บูด ไม่เสีย เช่น ข้าวสาร ปลาดิบ เนื้อดิบ อาหารสำเร็จบรรจุกระป๋อง มีปลากระป๋องเป็นต้น ก็มอบไว้แก่ไวยาจักรของท่านได้.

 

๑๖. บุรุษ-สตรี ถ้าพระที่มิใช่ญาติ และตนมิได้ปวารณาไว้ ไม่เป็นไข้ ขอโภชนะอันประณีตคือข้าวสุกที่ระคนด้วยเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ควรถวาย แต่ถ้าขอไปเพื่อผู้เป็นไข้ ควรถวายโดยแท้.

 

๑๗. บุรุษ-สตรี เมื่อประเคนอาหาร หรือยาเป็นต้น ทุกอย่างที่พระจะกลืนกิน (ฉัน) ต้องประเคนให้ถูกวิธี ดังนี้
     ก. ภาชนะหรือห่อของนั้น ไม่ใหญ่หรือหนักเกินไป ยกคนเดียวได้อย่างพอดี.
     ข. เข้าอยู่ในหัตถบาสของพระ ห่างจากพระประมาณ ๑ ศอก เป็นส่วนสุดของสิ่งหรือของบุคคลผู้ประเคน.
     ค. น้อมกายถวายด้วยความเคารพ.
     ฆ. กิริยาที่ถวาย ถวายด้วยมือ หรือของที่เนื่องด้วยมือ เช่น ช้อน-ภาชนะก็ได้.
     ง. พระรับด้วยมือ หรือด้วยของที่เนื่องด้วยมือ เช่นบาตร-ผ้าก็ได้.

 

๑๘. สตรี ไม่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่เป็นเพื่อน ต้องไม่นั่ง ไม่นอน ไม่ยืน ไม่เดินในห้องกับพระ แม้จะมีสตรีหลายคนก็ไม่ได้.

 

๑๙. สตรีต้องไม่นั่ง ไม่นอนในที่แจ้งกับพระหนึ่งต่อหนึ่ง ถ้าสตรีหลายคนนั่งได้ แต่การนอนนั้นไม่ควร แม้การยืน การเดินไปกับพระหนึ่งต่อหนึ่งด้วยอาการซ่อนเร้น ก็ไม่ควร.

 

๒๐. บุรุษ-สตรี ที่มิใช่ญาติของพระ แม้จะเป็นเขย สะใภ้ หรือภรรยาเก่าของพระ (ปุราณทุติยิกา) หากมิได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิต ก็ชื่อว่ามิใช่ญาติ ถ้ามีศรัทธาจะให้พระขอปัจจัย ๔ หรือสิ่งของต่างๆ จากตนได้ ก็ต้องปวารณา คือเปิดโอกาสให้พระขอได้โดยลักษณะ ๔ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ :-
     ก. กำหนดปัจจัยหรือสิ่งของ เช่นจีวร บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง ยา หนังสือ สมุด ปากกา ฯลฯ.
     ข. กำหนดเวลา คือให้ขอได้ตลอด เท่านั้นวันเท่านั้นเดือน เท่านั้นปี ตั้งแต่วันที่เท่าไร ถึงเท่าไร.
     ค. กำหนดทั้งปัจจัย-สิ่งของ และเวลา
     ฆ. ไม่กำหนดทั้งปัจจัยสิ่งของและเวลา ถ้าจะให้ขอได้เป็นนิตย์ ต้องบอกว่า นิมนต์ขอได้ตลอดกาลเป็นนิตย์.

เมื่อปวารณาแล้ว ถ้าพระขอเกินกำหนด หรือเกิน ๔ เดือน ไม่ควรถวาย เว้นไว้แต่ตนปวารณาอีก หรือปวารณาเป็นนิตย์.

หมายเหตุ : - คำว่า ญาติ ได้แก่คนที่เกี่ยวเนื่องกัน ๗ ชั้น คือ ๑. ทวด ๒.ปู่ย่าตายาย ๓.พ่อแม่ ๔.พี่น้อง ๕.ลูก ๖.หลาน ๗.เหลน.

 

๒๑. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาของเสพติดให้โทษ เช่น สุราเมรัย ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา ถวายพระ.

 

๒๒. บุรุษ-สตรี ผู้นำสินค้าหนีภาษี ไม่ควรเดินทางร่วมกับพระ หรือไม่ควรให้เกี่ยวข้องกับพระ.

 

๒๓. สตรี ไม่ควรชวนพระเดินทางไกล แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง แม้นั่งรถ นั่งเรือไปเพียงหนึ่งต่อหนึ่งก็ไม่ควร แม้สตรีหลายคน แต่ไม่มีบุรุษผู้รู้เดียงสานั่งไปด้วย ก็ไม่ควร แม้บุรุษไปด้วย หากสตรีขับรถขับเรือเอง ก็ไม่ควร เว้นไว้แต่เรือข้ามฟาก.

 

๒๔. บุรุษ-สตรี จะถวายอาหารแก่พระผู้อยู่ในป่าอันเป็นที่เปลี่ยว ต้องแจ้งข่าวล่วงหน้าก่อน.

 

๒๕. บุรุษ-สตรี เมื่อพระรับบิณฑบาต เต็มบาตรแล้ว อย่าอาหารวางบนฝาบาตร หรืออย่าใส่ถุงให้พระหิ้ว.

 

๒๖. บุรุษ-สตรี เมื่อนิมนต์พระมาฉันในบ้าน ต้องจัดที่ฉันให้พร้อม เช่น น้ำล้างเท้า ผ้าเช็ดเท้า น้ำฉัน น้ำใช้ กระโถน ผ้า-กระดาษเช็ดมือ เช็ดปาก ช้อนส้อมและช้อนกลาง อย่าให้บกพร่อง.

 

๒๗. บุรุษ-สตรี เมื่อจัดที่ให้พระสวด หรือแสดงพระธรรมเทศนา หรือปาฐกถาธรรม ต้องจัดที่ให้พระนั่ง อย่าให้ยืน และต้องไม่ต่ำกว่าที่ของผู้นั่งฟัง

 

๒๘. บุรุษ-สตรี เมื่อฟังธรรมเทศนา หรือฟังปาฐกถาธรรม ต้องฟังด้วยกิริยาอาการเคารพ แม้ฟังพระสวดในงานมงคล หรืองานศพ เป็นต้น ก็ต้องเคารพเช่นเดียวกัน ไม่ควรนั่งคุยกันเลย จะคุยได้ในเวลาพระหยุดสวดได้อยู่.

 

๒๙. บุรุษ-สตรี จะถวายร่มแก่พระ ต้องเลือกเอาชนิดที่ไม่สลับสี เช่นร่มผ้าดำล้วน ร่มกระดาษ ร่มพลาสติค สีน้ำตาล สีดำ สีเหลืองล้วน

 

๓๐. บุรุษ-สตรี จะถวายรองเท้าแก่พระ ต้องเลือกเอาชนิดที่ไม่มีส้นสูง ไม่มีปกสัน ไม่มีปกหลังเท้า มีแต่สายรัดหลังเท้ากับสายที่คีบด้วยนิ้ว และมีสีหม่นหมอง เช่นสีน้ำตาลแก่

 

๓๑. บุรุษ-สตรี เมื่อถวายเตียง ตั่ง แก่พระสงฆ์ต้องเลือกเอาแต่ที่มีเท้าสูงไม่เกิน ๘ นิ้วพระสุคต หรือ ๙ นิ้วฟุต เว้นไว้แต่แม่แคร่ และไม่มีรูปสัตว์ร้ายที่เท้าเตียง เช่นเตียงจมูกสิงห์ หรือบัลลังก์ และเตียงนั้นต้องไม่ใหญ่ถึงนอนได้ ๒ คน ที่นอนก็ไม่ใหญ่อย่างเตียง ฟูกเตียง ฟูกตั่ง และที่นั่งที่นอนไม่ยัดนุ่นหรือสำลี

 

๓๒. บุรุษ-สตรี เมื่อจะถวายหมอนหนุนศีรษะแก่พระ ต้องให้มีขนาดหนุนได้ศีรษะเดียว ไม่ถึง ๒ ศีรษะ หมอนข้างไม่ควรถวาย

 

๓๓. สตรี ต้องไม่นั่งบนอาสนะผืนเดียวกัน บนเตียง ม้านั่งเดียวกันกับพระ แม้บนพื้นที่ไม่มีอะไรปูลาดเลย ก็ไม่ควรนั่งเสมอกับพระหรือสูงกว่าพระ ไปในรถ-เรือมีที่จำกัด จะต้องนั่งที่ม้าเดียวกับพระต้องมีบุรุษนั่งคั่นไว้เสียก่อน

 

๓๔. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาวัตถุอนามาสประเคนพระ วัตถุอนามาส คือสิ่งที่พระไม่ควรแตะต้อง มี ๖ ประเภท ดังนี้ : -
     ก. คนหญิง คนกะเทย เครื่องแต่งกายของคนเหล่านั้น แต่ที่เขาสละแล้วไม่นับ ตุ๊กตาหญิง สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย.
     ข. ทอง เงิน มุกดา มณี ไพฑูรย์ ประพาฬ ทับทิม บุษราคัม สังข์ที่ขัดแล้ว ศิลาชนิดดี เช่น หยก โมรา.
     ค. ศัสตรา อาวุธ ต่างชนิด ที่ใช้ทำร้ายชีวิตร่างกาย.
     ฆ. เครื่องดักสัตว์บก-น้ำ.
     ง. เครื่องประโคม.
     จ. ข้าวเปลือกและผลไม้อันเกิดอยู่ในที่.

 

๓๕. สตรี ไม่ควรเกลี้ยกล่อม ยั่วเย้าพระด้วยการพูดประเล้าประโลม หรือด้วยการแต่งเนื้อแต่งตัวชะเวิกชะวาก หรือล่อด้วยทรัพย์.

 

๓๖. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาของเด็กเล่น เช่น เรือน้อยๆ รถน้อยๆ ถวายพระ.

 

๓๗. บุรุษ-สตรี ไม่ควรชักชวนพระเล่นการพนัน มีแพ้ มีชนะ เช่น หมากรุก หมากแยก ฯลฯ.

 

๓๘. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเรียนดิรัจฉานวิชาจากพระและไม่ควรบอกดิรัจฉานวิชาแก่พระ ดิรัจฉานวิชา คือความรู้ในการทำเสน่ห์-ในการใช้ภูตผีปีศาจทำผู้อื่นให้ถึงความวิบัติ ในทางอวดฤทธิ์เดชต่างๆ – ในทางทำนายทายทัก บอกหวยบอกเบอร์ ในทางที่นำให้หลงงมงาย เช่น หุงเงิน หรือทองแดงให้เป็นทอง.

 

๓๙. บุรุษ-สตรี ไม่ควรใช้พระในกิจนอกพระพุทธศาสนา แต่จะขอให้ช่วยกิจพระพุทธศาสนา เช่น ให้ช่วยนิมนต์พระไปในการบำเพ็ญบุญได้อยู่.

 

๔๐. บุรุษ-สตรี ไม่ควรนำสิ่งของอันมีค่าฝากไว้กับพระ เพราะอาจเกิดอันตรายแก่พระได้ เช่น อันตรายในการเจริญสมณธรรม ถูกปล้น ถูกเป็นผู้สำนองในเมื่อของนั้นหาย.

 

๔๑. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาเนื้อสัตว์ที่ไม่นิยมเป็นอาหาร ถวายพระ เนื้อที่ไม่นิยมเป็นอาหาร คือเนื้อมนุษย์ ช้าง-ม้า-สุนัข-สีห์-เสือโคร่ง-เสือเหลือง-หมี-เสือดาว.

 

๔๒. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาเนื้อที่นิยมเป็นอาหาร แต่ยังดิบ ไม่สุกด้วยไฟ เช่นปูเค็ม กุ้งส้ม หอยเค็ม ปลาเค็ม แหนม กะปิ ลาบเนื้อดิบ ไข่ลวกไม่สุก ประเคนพระ ควรมอบไว้กับกัปปิยการก คือผู้มีหน้าที่ทำให้เป็นของควรแก่พระ

 

๔๓. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาอุทิศมังสะถวายพระ อุทิศมังสะ คือเนื้อ หรือไข่สัตว์ที่เขาฆ่า เจาะจงภิกษุสามเณร.

 

๔๔. บุรุษ-สตรี อย่าเอาพืชคาม คือผลไม้มีเมล็ดสุกบางอย่าง เช่นพริกสุก มะเขือสุก อ้อยที่ยังไม่ได้ปอก ผักบุ้ง ขมิ้น กระชาย กระเทียม หอม โหระพา กะเพรา ฯลฯ ที่พ้นจากการที่เกิดที่อยู่แล้ว แต่ยังปลูกให้งอกได้อีกถวายพระ ควรทำให้เป็นของที่ไม่อาจปลูกได้แล้ว จึงถวายพระ.

 

๔๕. บุรุษ-สตรี ไม่ควรถือเอามรดกของพระผู้มรณภาพไปแล้ว ไม่ว่าพระรูปนั้นจะเป็นพ่อ ลูก ญาติมิตร หรือก็ข้องกันโดยสถานะไรๆ ก็ตาม แม้พระได้ทำพินัยกรรมไว้ให้ถือเอาก็ไม่ได้ เพราะทางวินัยของสงฆ์มีอยู่ว่า

มรดกของพระผู้มรณะตกเป็นของสงฆ์ทั้งหมด แม้พระจะพูดไว้ด้วยคำเป็นอนาคตว่า “ ถ้าฉันตายแล้ว เธอจงเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ไป ” ดังนี้ ก็ถือเอาไม่ได้ แต่สิ่งใดที่พระมอบให้ด้วยคำเป็นปัจจุบัน “ ฉันให้สิ่งนั้น สิ่งนี้แก่เธอ ” ก็ถือเอาได้เฉพาะสิ่งที่ระบุถึง หากระบุทั้งหมดก็ถือเอาได้ทั้งหมด.

 

๔๖. บุรุษ-สตรี เมื่อจะถือเอาสิ่งของของพระด้วยวิสาสะ ต้องให้ครบองค์ ๓ คือ : -
     ก. เคยเห็นกัน เคยคบกัน เคยพูดกันไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง .
     ข. รู้ว่าถือเอาแล้ว เจ้าของจักพอใจ .
     ค. เจ้าของยังมีชีวิตอยู่ .

 

๔๗. บุรุษ-สตรี เมื่อพยาบาลพระผู้เจ็บหนัก ฉันอาหารไม่ได้ ครั้นถึงเวลาวิกาลหิวจัด หากมิได้อาหารอาจเป็นอันตราย จะต้มข้าวหรือเนื้อสัตว์ที่นิยมเป็นอาหาร (เว้นอุทิศมังสะ) ให้เหลว กรองให้หมดกาก เอาแต่น้ำข้าว น้ำเนื้อที่ใสถวายให้พระดื่มในเวลาวิกาลก็ได้.

การที่จะอ้างว่า แพทย์สั่งให้พระป่วยฉันอาหารในวิกาลได้ แล้วนำอาหารชนิดต่างๆ ไปถวายในวิกาลนั้น ไม่ควรเลย หากพระอยากฉันอาหารในวิกาลโดยไม่เอื้อเฟื้อต่อวินัยแล้ว ควรให้สึกเสียก่อนจึงจัดถวายให้รับประทาน.

 

๔๘. สตรีที่เป็นโสเภณี เป็นหม้าย เป็นสาวเทื้อ เป็นชี และกะเทย ไม่ควรไปมาหาสู่กับพระโดยไม่เป็นกิจจะลักษณะหรือผิดเวลา.

 

๔๙. บุรุษ-สตรี ไม่ควรนิมนต์พระเข้านั่งในร้านสุรา จะเป็นที่ขาย หรือที่กลั่นสุรา หรือที่ดองเมรัยก็ตาม.

บุรุษหรือสตรีก็ตาม เมื่อหวังความเจริญแก่ตน แก่วงศ์สกุลของตน และแก่พระพุทธศาสนาควรศึกษาให้มีความรู้เกี่ยวกับวินัยของพระภิกษุสงฆ์บางข้อตามที่รวบรวมไว้นี้ และปฏิบัติให้ถูกต้องก็ย่อมจะเหมาะสมแก่ความเป็นพุทธศาสนิกชน และย่อมช่วยประดับพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองแล.

 

 

 

 

 

*******************************

guest

Post : 2013-11-25 22:52:49.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ศาลพระภูมิ

 

                   

                                                 ศาลพระภูมิ

    

ศาลพระภูมิ  เป็นที่เทพารักษ์สถิต ผู้คนให้ความสำคัญ สักการะ บูชาตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ และสถานที่ต่าง ๆ  ที่เรียกว่า "ศาลพระภูมิ" มีความเชื่อกันว่า "พระภูมิ" หรือ "ภูมิเทวดา" มีหน้าที่รักษา อาณาเขตที่ดิน ที่เจ้าของได้อัญเชิญมาสิงสถิตบนศาลพระภูมิ เพื่อปกป้อง คุ้มครองเจ้าของบ้าน และบริวารให้อยู่เย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรือง

     ในทัศนะของศาสนาพุทธ ภูมมัฏฐเทวดา หรือ ภูมิเทวดา หรือ เทวดา ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกันกับมนุษย์ ก็เป็นสัตวโลก ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เหมือนกันกับมนุษย์ ที่เกิดเป็นเทวดา ก็ด้วยผลวิบากแห่งบุญ สวรรค์ชั้นนี้ จะเรียกว่า "จาตุมมหาราชิกา" หรือ "จาตุมมหาราช" มีเทวดาทั้ง 4 เป็นหัวหน้าประจำทิศทั้ง 4 ซึ่งใครก็ได้ที่บำเพ็ญบุญกุศลถึง ก็เกิดเป็นเทพ ทั้ง 4 ได้ ไม่ได้สงวนสิทธิ์หรือเป็นตำแหน่งตายตัว คือ ท้าวธตรฐ (อ่านว่า ทะ-ตะ-รด) จอมคนธรรพ์ (เทวดาที่ชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ) ครองทิศ ตะวันออก ท้าววิรูฬหก จอมกุมภัณฑ์ (ยักษ์) ครองทิศใต้  ท้าววิรูปักษ์ จอมนาค ครองทิศตะวันตก  ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสวัณ (ไทยเรียก เวสสุวรรณ) ครองทิศเหนือ

 

 

พิธีตั้งศาลพระภูมิ
พิธีตั้งศาลพระภูมิ
ศาลพระภูมิ
ศาลพระภูมิ
ศาลพระภูมิแบบจีน
ศาลพระภูมิศิลปะไทย
ศาลพระภูมิ ศิลปะจีน

   

  ตามทัศนะของพุทธศาสนา ถ้าจะให้เทวดาพวกนี้รักษา ต้องเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ เป็นคนดี (ทางศาสนา) เช่น พระภิกษุที่มีบริสุทธิ์ กลิ่นศีลจะหอมแตะจมูกเทวดาพวกนี้ แล้วเขาจะมารักษาด้วยความนับถือของเขาเอง ไม่ต้องไปเชิญมา หากเป็นคนชั่ว เทวดาจะไปไกลถึง 100 โยชน์ (เพราะเหม็นกลิ่นความทุศีล หรือไร้ศีล) หรือ ทำบุญอุทิศ ให้เทวดา เทวดารู้ซึ้งในน้ำใจของเรา เขาก็จะมารักษา หรือให้ประโยชน์บางอย่าง แก่เราตามกำลังที่เขาจะทำได้ ไม่ใช่ว่า จะบันดาลอะไรได้หมด อยู่ที่บุญ และศีลของเรา และของเทวดาเหล่านั้นด้วย   ถ้าเทียบศักยภาพระหว่างเทวดากับมนุษย์แล้ว มนุษย์จะมีศักยภาพมากกว่าเทวดา  ซึ่งพวกเราจะหลงงมงายไปหวังพึงพวกเขา เทวดาเองอยากเกิดเป็นมนุษย์มากกว่าเกิดในที่ไหน ๆ  เพราะมนุษย์มีศักยภาพ หรือ ความสามารถในการทำบุญ (และทำบาปด้วย) มากกว่าที่ไหน ๆ

 

 

ถ้ามนุษย์มีศีลบริสุทธิ์ เป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธสาวก ที่เป็นพระอริยบุคคล เทวดาไม่ว่าระดับใด ยังเคารพ มีเรื่องเ่ล่าว่า อนาถะปิณฑิกะ เศรษฐี ผู้เป็นพระสาวก อริยบุคคลระดับโสดาบัน ชอบทำบุญมาก ทำบุญจนทรัพย์สิน หมด  เทวดาที่สถิตอยู่ที่บ้านท่าน กลัวว่าท่านจะหมดเนื้อหมดตัว และกลัวตัวเอง จะไม่มีที่สถิต จึงมาบอกท่านให้เลิกทำบุญ ท่านเศรษฐี เลยขับไล่เทวดานั้นให้หนี จากบ้านของตน (ท่านเป็นเจ้าของบ้าน ไม่ใช่เทวดาเป็นเจ้าของ เทวดา เป็นผู้อาศัย สถิตอยู่) เทวดา ไม่มีที่สิงสถิต จึงไปหาท้าวสักกะ (พระอินทร์) ท้าวสักกะ ช่วยไม่ได้ ก็แนะนำให้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงให้ไปขอขมาโทษท่านเศรษฐี เทวดาจึงได้กลับไปสิงสถิตอยู่ที่บ้านเศรษฐีตามเดิม นี่คือคติทางพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าจะพึ่งเทวดาตลอด มนุษย์นี่แหละมีศักยภาพมากกว่าเทวดา

 

 

 

ศาลพระภูมิตามชนบท
การไหว้ศาลพระภูมิ
ศาลพระภูมิตามชนบท
การไหว้ศาลพระภูมิ

   

  นอกเหนือจากความเชื่อในเรื่องของศาลพระภูมิ ทิศทางในการตั้งศาล ก็มีส่วนสำคัญ ที่จะต้องตั้งให้ตรงกับลักษณะของพระภูมิ ตามที่เชื่อถือกันมา  ถ้าเป็นข้าราชการ หรือผู้มียศศักดิ์ ให้สหันหน้าไปทางทิศอุดร (ทิศเหนือ)  ถ้าเป็นเศรษฐี พ่อค้า ให้หันหน้าไปทางทิศทักษิณ (ทิศใต้)  ถ้าเป็นศาลชาวสวน ชาวนา ให้หันหน้าไปทางทิศประจิม (ปัจฉิม = ทิศตะวันตก)  ถ้าเป็นศาลพระภูมิวัด (ผิดหลักพุทธศาสนา) สาธารณสถาน ให้หันหน้าไปทางทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) ถ้าเป็นพระภูมิโรงบ่าวสาว ให้หันหน้าไปทางทิศอีสาน หรือทิศอาคเนย์

 

     ส่วนมากจะนิยมหันไปทางทิศอีสาน (อีสาณ = ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) และทิศอาคเนย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้) ที่ตั้ง ต้องตั้งทางทิศเหนือของบ้านเสมอ หากจำเป็น จึงเลื่อนมาทางทิศใต้ ระวังอย่าให้เงาบ้านทับศาล หรือเงาศาลทับบ้าน หน้าศาล ห้ามหันหน้าตรงเข้าบ้าน ไม่ควรให้หน้าศาลตรงประตู หน้าต่าง และบันไดบ้าน  เพราะอาจจะทำให้บ้านไม่มีความเจริญรุ่งเรือง ไม่อยู่เย็นเป็นสุข

 

 

    ศาลพระภูมิ กำเนิดมาจากคติวัฒนธรรมประเพณี ของชนเผ่ามองโกล ที่มีความเชื่อถือแน่นแฟ้น ในเรื่องวิญญาณ นับถือภูติผีปีศาจ ผีฟ้า และถือว่า  ในทุก ๆ  แห่ง ย่อมมีวิญญาณสิงสถิตอยู่  การแต่งงาน ก็จะต้องทำพิธีไหว้ผี หรือแม้แต่การลงเรือ ก็ต้องไหว้ แม่ย่านางเรือ
 

     ความเชื่อเหล่านี้ ได้ถ่ายทอดไปสู่ชนชาติจีน ดังจะเห็นว่า หนังสือแทบทุกเล่มของจีน จะกล่าวถึง อภินิหารของพระภูมิเป็นส่วนใหญ่ ที่มาช่วยดลบันดาล ให้ผ่านอุปสรรคทุกอย่าง

 

 

พระปักกลด
พระปักกลด
พระสงฆ์ในพุทธศาสนา ถ้าปักกลดในป่า ต้องแผ่เมตตาใหัก้บเทวดาก่อน

   

  สังคมไทยนับว่า รับเอาวัฒนธรรมอื่น ๆ   เข้ามามาก ทั้งพรามหณ์-ฮินดู และอื่่น ๆ

     ส่วนทางชาดกในพุทธศาสนา ได้เล่าเกี่ยวกับพระภูมิ ว่า  ในสมัยครั้งพระพุทธเจ้าทรงเป็นพระโพธิสัตว์ (คือผู้ที่บำเพ็ญบารมี 10 อย่าง เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า เช่น พระมหาชนก  พระเวสสันดร ฯลฯ) ได้ทรงบำเพ็ญฌาน ใต้ต้นไทย ปรากฏว่า พระภูมินามว่า "พระเจ้ากรุงพลี" ไม่พอใจ ได้แสดงอภินิหารขับไล่พระโพธิสัตว์ พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยฌาน จึงขอพื้นที่ดิน จากพระเจ้าพรุงพลีเพียง 3 ก้าว เพื่อบำเพ็ญฌานต่อไป

 

     พระเจ้ากรุงพลีเห็นว่า เป็นที่ดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงอนุญาต แต่พระโพธิสัตว์ ทรงมีบุญญาภินิหาร  ดังนั้น เมื่อทรงย่างก้าวเพียง 2 ก้าว ก็พ้นเขตพื้นแผ่นดิน ของพระเจ้ากรุงพลี พระเจ้ากรุงพลี จึงไม่มีที่ดินอยู่ ต้องอกไปอยู่นอกป่าหิมพานต์ ไม่สุขสบายเช่นที่อาศัย ของตน จึงกลับมาทูลขอพื้นที่ดินจากพระโพธิสัตว์ พระพุทธองค์ ทรงรู้แจ้งด้วยฌานว่า พระเจ้ากรุงพลี จะทำหน้าที่เป็นพระภูมิที่ดี คอยคุ้มครองมนุษย์ และสัตว์โลกทั่วไปในภาจภาคหน้า จึงคืนที่ดินให้กับ พระเจ้ากรุงพลี และทรงขอให้ตั้งอยู่ในความสุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่นอีกต่อไป

 

     จะเห็นว่า คติพุทธ มนุษย์มีศักยภาพมากกว่าเทวดา มนุษย์ที่ดีมีศีล มีบารมี (แบบพุทธ ไม่ใช่แบบไทย = บารมี  10  อย่าง คือ ทาน  ศีล  ภาวนา  เนกขัมมะ  ปัญญา  วิริยะ  ขันติ  สัจจะ  อธิษฐาน (ความตั้งใจมั่น ตั้งใจอย่างแน่วแน่ ไม่ใช่อธิษฐานของสิ่งที่ต้องการ แต่เป็นอธิษฐาน คืือ ตั่้งใจว่า จะทำบุญกุศล เช่น จะเลิก ดื่มเหล้า ฯลฯ เป็นอธิษฐานบารมี) เมตตา และอุเบกขา) เทวดายังกลัว และเคารพยำเกรง  ดังนั้น พระพุทะเจ้า จึงแนะนำพระสาวกว่า หากไปอยู่ที่ใด ให้แผ่เมตตา ขออนุญาตเทวดาก่อนเสมอ เทวดาที่ดี จะรับรู้ อนุโมทนา และคอยคุ้มครองรักษา

 

     ดังนั้น  เราชาวพุทธ  อย่าไปอ้อนวอนอะไรมากนัก เช่น อ้อนวอนหลวงพ่อโสธร  ในหลวงรัชกาลที่ 5  อะไร ตอ่มิอะไร เต็มไป  ถ้าท่านรับรู้ ท่านคงปวดหัวพิลึก อะไรนะ มนุษย์นี่ ไม่พยายามทำอะไรเอาเสียเลย มัวแต่อ้อนวอนอะไรก็ไม่รู้ ในสิ่งที่มองไม่เห็น ผิดหลัก พุทธศาสนา ที่สอนให้ทำความเพียร  อยากได้อะไร ต้องเพียรพยายามทำเอาเอง  ดังพุทธพจน์ว่า "สมบัติ จะมีได้ ด้วยการคิดเอาเท่านั้น ก็หาไม่"  ถ้าคนอ้อนวอนร่ำรวยจริง มิร่ำรวยกันไปหมดหรือ แล้วจะทำมาหากินไปทำไมกัน เหนื่อยเปล่า สู่เอาแรง มาอ้อนวอนกันมิดีกว่าหรือ  แต่ถ้าทำไป ด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อรักษาวัฒนธรรมประเพณี หรือเพื่อความสบายใจ อะไรก็แล้วแต่ ทางพุทธแนะนำว่า อย่าให้เสียหลักกรรม คือการกระทำด้วยความเพียรพยายามของตนเอง....

 

 เครดิตโดย  http://allknowledges.tripod.com/spirithouse.html

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

******************************

 

 

 

 

 ยอดผู้ชุมนุม 28 พย 56

 

    

 

 

 

 

ขอขอบคุณรัฐบาลที่ไม่ปิดกั้นการสื่อสารทางความคิด การรับชมทีวี ในยามที่สถาณการณ์ไม่เป็นประโยชน์กับรัฐบาล



จำได้ตอนปี 53 ห้องถูกปิดลง และหลังจากนั้น ก็ถูกจำกัดการตั้งกระทู้ ตั้งได้แต่ห้ามตอบ
เสรีภาพทางความคิดถูกจำกัดจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ในขณะนั้น

ตอนนี้สถานการณ์ไม่ต่างกัน เพียงแต่กลับข้างแต่เรายังมีเสรีในการแลกเปลี่ยนความคิดทางการเมืองได้
ห้องนี้ไม่ได้ถูกปิด ไม่ได้ถูกจำกัดการตอบ อาจมีบ้างเรื่องตั้งได้ไม่เกินกี่กระทู้ต่อวัน แต่เสรีภาพของพวกเรายังอยู่

เรายังโพสท์ได้ ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหน และในขณะดียวกัน เวปเสรีไทยที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล ก็ยังอยู่ตามปกติ

ยิ่งไปกว่านั้น เรายังมีเสรีในการรับชมทั้ง  Blue Sky ,ASTV และ Asia Update  โดยไม่ได้ถูกปิดเหมือนเมื่อปี 53

บอกตรงๆ ว่ารีโมท ทำงานเป็นระวิง เพราะฟังทั้งสองข้าง จะได้รู้ว่าใคร ทำอะไร ไปถึงไหน
แล้วก็ใช้วิจารณญาณของตนเองในการที่จะเชื่อ หลังจากผ่านการกั่นกลองด้วยสมองของเราเอง

ต้องขอขอบคุณรัฐบาลจริงๆ ที่ยังให้เสรีภาพกับเราในยามบ้านเมืองเป็นแบบนี้ ไม่ปิดหู ปิดตาประชาชน
ถึงแม้ว่ามันจะเป้นผลเสียกับรัฐบาล เพราะปล่อยให้คนด่า 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จริงบ้างไม่จริงบ้าง ก็ปลุกอารมณ์ให้คนคล้อยตามได้

แต่ไม่ได้หมายความว่า Asia Update ก็พูดจริง หรือถูกตลอดไปนะคะ

แต่อย่างน้อยเราจะใช้วิจารณญาณของเราตัดสินเองค่ะ โดยไม่มีใครมาปิดกั้นเรา

 

 

 

 ถึงตอนนี้นายสุเทพต้องการอะไร

 

 
 
 
เดิมสุเทพตั้งใจมาคัดค้านพรบ.นิรโทษกรรม
เมื่อปลุกระดมคนได้มาก เป้าหมายจึงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความย่ามใจ
เบื้องหลังการปลุกระดม และการเคลื่อนไหว มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นวอร์รูม
มีการใส่ร้ายป้ายสี ให้เห็นว่าระบอบทักษิณเลวร้ายเพียงใด
สส.ปชป สามัคคีกันออกมาใส่ร้ายเรื่องล้มเจ้า สอดรับและประสานเสียงอย่างมีพลัง
ทำให้กระแสเกลียดชังรัฐบาลและทักษิณขยายวงออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้การเรียกร้องจึงขยับมาถึงจุดนี้

ทุกย่างก้าวของการเคลื่อนไหว ไม่ใช่การบังเอิญ แต่มีการประสานกันของแนวร่วมโค่นล้มทักษิณและเครือข่าย
เพียงแต่บางคนยังไม่กล้าขึ้นเวทีสุเทพ

ตอนนี้เป้าหมายจริงๆ พวกเขาต้องการให้หยุดการเลือกตั้ง
มีรัฐบาลที่เลือกโดยคนดี มาบริหารประเทศ แล้วเขียนรัฐธรรมนูญกฎหมายขึ้นมาใหม่
โดยชื่อ การปฏิรูปประเทศ ทั้งนี้เพราะปล่อยให้เลือกแบบ 1 คน 1 เสียง พวกเขาไม่มีวันชนะ
การปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการลงมือครั้งที่ 3 หลังจากครั้งแรกปี2549
พวกเขาชะล่าใจ คิดว่าจะขุดรากถอนโคนพตท.ทักษิณได้ แต่ทักษิณยังเป็นอมตะ

ความคิดปฎิรูปประเทศนี้เป็นความคิดของพวกสนธิมาตั้งแต่รบ.ยิ่งลักษณ์ชนะการเลือกตั้ง​ปี54 แสดงออกผ่านม็อบเสธอ้าย
และการที่สนธิ ออกมาเรียกร้องให้ สส ปชป ลาออก เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการปฏิรูปประเทศ และพวกเขายังเคลื่อนไหวผลักดัน จนถึงวันนี้มันเข้าใกล้ความสำเร็จมากที่สุด

จะทำได้อย่างไร
เขาอยากให้ทหารปฎิวัติมากที่สุด เพราะอำนาจการเขียนรัฐธรรมนูญจะตกไปอยู่ในมืออำมาตย์อีกครั้ง
ปี 49 ยังตอกฝาโลงพตท.ทักษิณไม่แน่นพอ

แต่ถ้าทหารไม่ปฏิวัติ เขาก็หวังให้ศาลช่วยเหมือนคราวนายกสมัคร และนายกสมชาย เพื่อให้เกิดสุญญากาศ
ไม่สามารถนำกติกาข้อไหนมาใช้ได้ จนต้องขอพระราชทานนายก

ตอนนี้ ทหารยังนิ่ง ศาล ปปช ยังเป็นคลื่นใต้น้ำ
สุเทพจึงพยายามยืดลมหายใจม็อบให้อยู่นานที่สุด
ขณะเดียวกันก็ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลให้มากที่สุดด้วย


ในฝากฝั่งรัฐบาล
พยายามรักษาสภาพไม่ให้ม็อบทำลายความมั่นคง โดยการประนีประนอม
เหมือนการใส่เกียร์ว่าง

แต่ขณะเดียวกันการที่รัฐบาลขอเจรจา เป็นการรุกในท่วงท่าของการถอย
การที่นายสุเทพปฏิเสธการเจรจา รวมทั้งการยึดสถานที่ราชการ การทำผิดกฎหมาย
การทำให้สาธาณะเดือดร้อน รำคาญ รถติด ล้วนเป็นการลดความชอบธรรมของม้อบลงไปเรื่อยๆ

จากนี้ไปต้องดูว่าใครจะอึดกว่ากัน

 

 สลิ่มตัดไฟ รพ.ตำรวจจริง (หมอมายืนยั้นแล้ว)

 

 

 

 [Image: YPFSl5.jpg]

 

 

[Image: 1002299_642611332418735_1701679409_n.jpg] 

 

 

 [Image: 1146612_664680716886268_907168956_n.jpg] 

 [Image: 999631_668108976543442_1433297680_n.jpg] 

         

 

 

 

 

 

 

 

เศรษฐีพันล้าน! สงกรานต์ อิสระ ให้พนักงาน ร่วมขับไล่ระบอบทักษิณ พรุ่งนี้!

 

เสื้อแดงคนน้อยเรื่อยๆเพราะแกนนำขี้ขลาดหนีทัพ ใจไม่ถึง ส่วนมหาประชาชนสุเทพ มวลชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

กลุ่มคนรักชาติ @ถนนเพชรบุรี ซึ่งมีแกนนำหลัก คือ เจ้าของตึกชาญอิสระ คุณสงกรานต์ อิสระ
ขอเชิญชวนพี่น้องที่รักทุกท่าน ร่วมเดินทางขบวน แสดงพลังต่อต้านพรรคเพื่อไทย และระบอบทักษิณ

พรุ่งนี้ ศุกร์ที่ 29 พ.ย.2556
เวลา 11.00 น. จุดนัดพบ หน้าตึกชาญอิสระ 2
12.34 แสดงจุดยืน อ่านแถลงการณ์ และเป่านกหวีดไล่พรรคการเมืองเลว ๆ
 


[Image: QADUnx.jpg]

 

 

 

 จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ อาสาเป็นการ์ด - เทพ โพธิ์งาม ปักหลักกินนอนที่ศูนย์ราชการฯ

จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ ขันอาสาเป็นการ์ดดูแลผู้ร่วมชุมนุม - เทพ โพธิ์งาม ปักหลักกินนอนที่ศูนย์ราชการฯ


สถานการณ์การเมืองขณะนี้เรียกได้ว่ากำลังตึงเครียดอย่างหนัก โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้ร่วมกันปิดล้อมสถานที่ราชการในกรุงเทพฯ รวมถึงต่างจังหวัด ซึ่งกำลังเป็นที่ถูกจับตามองจากทั่วโลก และต้องเกาะติดสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด


ในเวลานี้ทั้งชาวบ้าน พนักงาน รวมถึงศิลปิน ดารา นักแสดงมากมายก็มิได้เพิกเฉย มีการเคลื่อนไหวแสดงจุดยืนกันแบบล้นหลาม โดยในจำนวนนี้ยังมี จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ นักแสดงคนดัง ที่ขันอาสาเป็นการ์ดเฝ้าพี่น้องผู้ร่วมชุมนุม ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นอกจากนี้ยังมี ป๋าเทพ โพธิ์งาม ก็ร่วมต่อสู้ปักหลักอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยเช่นกัน



 

Attached File(s)Thumbnail(s)
   

 

            

 

 

 

 

 

 

           ราชมังคลา 26/11/56

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

             

 

 

 

          

 

 

 

รูปภาพ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

          “เฉลิม” กร้าว เอาจริงม็อบ ยึดทำเนียบฯ-สนามบิน ให้เตรียมโลงศพรอเท่าจำนวนคน เย้ยดาวกระจายสร้างศัตรูเพิ่ม ส่งผลดีรัฐบาล ฟันธง “เทพเทือก” จบใน 2 วัน หลังละคร “ ลำยอง ” อวสาน ท้ายึดกระทรวงแรงงานจะเปิดห้องทำงานรอ</p><p>ผู้สื่อข่าวรายงานในช่วงเช้า ที่กระทรวงแรงงาน สถานที่ตั้งวอร์รูมรับมือสถานการณ์ม็อบมีเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 6 จ.อุตรดิตถ์ จำนวน 1 กองร้อย ดูแลพื้นที่ภายใน โดยจัดกำลังเฝ้าประตูทางเข้าออกทุกด้าน พร้อมนำรถควบคุมผู้ต้องหา 2 คัน และดับเพลิง 2 คัน มาจอดอยู่บริเวณด้านหน้าตึกที่ทำงานของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย</p><p>จากนั้นเวลา 14.00 น. ร.ต.อ. เฉลิม แถลงถึงสถานการณ์การชุมนุม ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส. สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ มีความผิดชัดเจน ใน 2 ข้อหา คือ <br />1.ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นกบฏในราชอาณาจักร ผิดกฎหมายอาญามาตรา 113 <br />2. ชักชวนให้ข้าราชการและประชาชนหยุดงาน และไม่จ่ายภาษี ผิดกฎหมายอาญา มาตรา117 มีโทษจำคุก 7 ปี ยังไม่รวมกับที่วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี และคนอื่น ๆ รวมทั้งตนบนเวทีการชุมนุม ซึ่งมีหลักฐานทั้งหมด ได้ให้ถอดเทปการปราศรัยเพื่อเอาผิดกับผู้ปราศรัยทุกคนรวมทั้งนักวิชาการ อาจารย์ อาทิ นายเสรี วงศ์มณฑา นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่ด่ารัฐบาลเข้าข่ายหมิ่นประมาท เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ยกเว้นนักศึกษาที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จะแค่เรียกมาตักเตือน</p><p>ร.ต.อ. เฉลิม กล่าวว่า เมื่อคืนที่ 24 พ.ย. มีผู้ชุมนุมบนถนนราชดำเนินมากถึง 2.2 แสนคน ยอมรับว่าคนมากจริง ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ ต้องชื่นชมที่ไม่ก่อเหตุรุนแรง วันก่อนนายสุเทพเปรียบเหมือนปลากัดลูกหม้อเพราะมันสู้ วันที่ 11 พ.ย. ทำตัวเหมือนได้รับชัยชนะแล้ว แต่เมื่อคืนที่ผ่านมาสัญญานบางอย่างเปลี่ยนไป นายสุเทพกลายเป็น “ ปลาดับ ” ถอดสีท่าทีเปลี่ยนท่าทีเป็นคนละฟิลว์ ตนก็ไม่รู้ว่าเป็นสัญญาณอะไร ที่รู้ความเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เพราะส่งคนไปอยู่ใกล้ ๆ และการใช้วิธีดาวกระจาย 13 เส้นทาง ได้สร้างศรัตรูกับสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ สร้างความเดือนร้อนทำการจราจรติดขัด อาจทำให้ทรัพย์สินทางราชการและคนอื่น ๆ เสียหาย ตรงนี้ถือว่าเป็นบุญกุศลของคนไทย ของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย เชื่อว่าอีกภายใน 2 วัน ม็อบจะจบหลังละครเรื่อง “ ลำยอง ” อวสาน หากยื้อต่อไปจะไม่เกิน 7 วัน และจะไม่มีอีกแล้วที่นายสุเทพ จะมานำคนชุมนุมได้มากขนาดนี้</p><p>“ นายสุเทพนำคนมามากพอแล้ว เหมือนถูกหวยรางวัลที่ 1 แม้คนเยอะแต่เงื่อนไขการชุมนุมไม่มี พ.ร.บ.สุดซอยที่มันแรง ๆ ก็จบไปแล้ว อย่าให้คนอื่นเดือดร้อน ห้ามยึดทำเนียบฯ และสนามบินเด็ดขาด ถ้ายึดสนามบินขอให้เตรียมโลงศพให้พอดีกับคนที่ไปยึด ผมไม่ได้กร้าว ไม่ได้ขู่น่ะ แต่ตั้งใจ เรื่องจะยึดทุกกระทรวงตามที่นายสุเทพขู่ รัฐบาลไม่ยอมเด็ดขาด และเชื่อว่าประชาชนไม่เอาด้วย และเชื่อว่านายสุเทพ จะไม่โง่ ถ้าอยากจะยึดกระทรวงก็ขอให้มากระทรวงแรงงาน ผมพร้อมจะเปิดทางให้ ที่นี่ห้องทำงานใหญ่โต น่าอยู่ ” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว</p><p>ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงการที่พรรค ปชป. ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 26-27 พ.ย. ว่า ตนเจอนายกฯ ตอนประชุม ครม. มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมชี้แจง 100 % ได้ให้พรรคไปดูว่ามีการยื่นถอดถอนปลดนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หากไม่มีให้ขีดเส้นใต้ไว้เลยว่าไม่มีการยื่นถอดถอน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไปฟรีคิกส์หรือด่าฟรีขอให้ประท้วงทันที โดยตนจะนั่งข้างล่างและและถ้าพาดพิงก็จะอภิปรายชี้แจง พรรคเพื่อไทยพร้อมตอบโต้ถ้าแรงมาก็แรงไป แต่แรงด้วยเนื้อหาสาระ เมื่อลงมติ เชื่อว่า ปชป. แพ้แน่นอน รัฐบาลจะอยู่ครบเทอม</p><p>ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสุเทพ ให้ผู้ชุมนุมบุกยึดสถานที่ราชการ และได้ยึดกระทรวงการคลังแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า ต้องดูว่าบุกเข้าไปในลักษณะใด เข้าไปแล้วไล่ข้าราชการออกมาหรือไม่ หากเป็นการเข้าไปพูดคุยก็ไม่เข้าข่าย แต่หากยึดทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์จะแจ้งอีกข้อหากับนายสุเทพ ฐานบุกยึดและทำลายทรัพย์สิน หากมีการตัดน้ำตัดไปจะให้นายจีระศักดิ์ สุคนธชาติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ไปคุยกับสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ.

 

 

 

“เฉลิม” กร้าว เอาจริงม็อบ ยึดทำเนียบฯ-สนามบิน ให้เตรียมโลงศพรอเท่าจำนวนคน เย้ยดาวกระจายสร้างศัตรูเพิ่ม ส่งผลดีรัฐบาล ฟันธง “เทพเทือก” จบใน 2 วัน หลังละคร “ ลำยอง ” อวสาน ท้ายึดกระทรวงแรงงานจะเปิดห้องทำงานรอ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานในช่วงเช้า ที่กระทรวงแรงงาน สถานที่ตั้งวอร์รูมรับมือสถานการณ์ม็อบมีเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 6 จ.อุตรดิตถ์ จำนวน 1 กองร้อย ดูแลพื้นที่ภายใน โดยจัดกำลังเฝ้าประตูทางเข้าออกทุกด้าน พร้อมนำรถควบคุมผู้ต้องหา 2 คัน และดับเพลิง 2 คัน มาจอดอยู่บริเวณด้านหน้าตึกที่ทำงานของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย

 

จากนั้นเวลา 14.00 น. ร.ต.อ. เฉลิม แถลงถึงสถานการณ์การชุมนุม ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส. สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ มีความผิดชัดเจน ใน 2 ข้อหา คือ 
 

1.ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นกบฏในราชอาณาจักร ผิดกฎหมายอาญามาตรา 113 


2. ชักชวนให้ข้าราชการและประชาชนหยุดงาน และไม่จ่ายภาษี ผิดกฎหมายอาญา มาตรา117 มีโทษจำคุก 7 ปี ยังไม่รวมกับที่วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี และคนอื่น ๆ รวมทั้งตนบนเวทีการชุมนุม ซึ่งมีหลักฐานทั้งหมด ได้ให้ถอดเทปการปราศรัยเพื่อเอาผิดกับผู้ปราศรัยทุกคนรวมทั้งนักวิชาการ อาจารย์ อาทิ นายเสรี วงศ์มณฑา นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่ด่ารัฐบาลเข้าข่ายหมิ่นประมาท เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ยกเว้นนักศึกษาที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จะแค่เรียกมาตักเตือน

 

ร.ต.อ. เฉลิม กล่าวว่า เมื่อคืนที่ 24 พ.ย. มีผู้ชุมนุมบนถนนราชดำเนินมากถึง 2.2 แสนคน ยอมรับว่าคนมากจริง ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ ต้องชื่นชมที่ไม่ก่อเหตุรุนแรง วันก่อนนายสุเทพเปรียบเหมือนปลากัดลูกหม้อเพราะมันสู้ วันที่ 11 พ.ย. ทำตัวเหมือนได้รับชัยชนะแล้ว แต่เมื่อคืนที่ผ่านมาสัญญานบางอย่างเปลี่ยนไป นายสุเทพกลายเป็น “ ปลาดับ ” ถอดสีท่าทีเปลี่ยนท่าทีเป็นคนละฟิลว์ ตนก็ไม่รู้ว่าเป็นสัญญาณอะไร ที่รู้ความเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เพราะส่งคนไปอยู่ใกล้ ๆ และการใช้วิธีดาวกระจาย 13 เส้นทาง ได้สร้างศรัตรูกับสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ สร้างความเดือนร้อนทำการจราจรติดขัด อาจทำให้ทรัพย์สินทางราชการและคนอื่น ๆ เสียหาย ตรงนี้ถือว่าเป็นบุญกุศลของคนไทย ของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย เชื่อว่าอีกภายใน 2 วัน ม็อบจะจบหลังละครเรื่อง “ ลำยอง ” อวสาน หากยื้อต่อไปจะไม่เกิน 7 วัน และจะไม่มีอีกแล้วที่นายสุเทพ จะมานำคนชุมนุมได้มากขนาดนี้

 

“ นายสุเทพนำคนมามากพอแล้ว เหมือนถูกหวยรางวัลที่ 1 แม้คนเยอะแต่เงื่อนไขการชุมนุมไม่มี พ.ร.บ.สุดซอยที่มันแรง ๆ ก็จบไปแล้ว อย่าให้คนอื่นเดือดร้อน ห้ามยึดทำเนียบฯ และสนามบินเด็ดขาด ถ้ายึดสนามบินขอให้เตรียมโลงศพให้พอดีกับคนที่ไปยึด ผมไม่ได้กร้าว ไม่ได้ขู่น่ะ แต่ตั้งใจ เรื่องจะยึดทุกกระทรวงตามที่นายสุเทพขู่ รัฐบาลไม่ยอมเด็ดขาด และเชื่อว่าประชาชนไม่เอาด้วย และเชื่อว่านายสุเทพ จะไม่โง่ ถ้าอยากจะยึดกระทรวงก็ขอให้มากระทรวงแรงงาน ผมพร้อมจะเปิดทางให้ ที่นี่ห้องทำงานใหญ่โต น่าอยู่ ” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

 

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงการที่พรรค ปชป. ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 26-27 พ.ย. ว่า ตนเจอนายกฯ ตอนประชุม ครม. มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมชี้แจง 100 % ได้ให้พรรคไปดูว่ามีการยื่นถอดถอนปลดนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หากไม่มีให้ขีดเส้นใต้ไว้เลยว่าไม่มีการยื่นถอดถอน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไปฟรีคิกส์หรือด่าฟรีขอให้ประท้วงทันที โดยตนจะนั่งข้างล่างและและถ้าพาดพิงก็จะอภิปรายชี้แจง พรรคเพื่อไทยพร้อมตอบโต้ถ้าแรงมาก็แรงไป แต่แรงด้วยเนื้อหาสาระ เมื่อลงมติ เชื่อว่า ปชป. แพ้แน่นอน รัฐบาลจะอยู่ครบเทอม

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสุเทพ ให้ผู้ชุมนุมบุกยึดสถานที่ราชการ และได้ยึดกระทรวงการคลังแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า ต้องดูว่าบุกเข้าไปในลักษณะใด เข้าไปแล้วไล่ข้าราชการออกมาหรือไม่ หากเป็นการเข้าไปพูดคุยก็ไม่เข้าข่าย แต่หากยึดทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์จะแจ้งอีกข้อหากับนายสุเทพ ฐานบุกยึดและทำลายทรัพย์สิน หากมีการตัดน้ำตัดไปจะให้นายจีระศักดิ์ สุคนธชาติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ไปคุยกับสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ.

 

 

 

"อภิสิทธิ์"ส่งข้อความห้ามส.ส.ปชป.ทุกคนทำผิดกฎหมาย เผย"สุเทพ"เดินเลยธงต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ,ส.ส.ปชป.

 

 

 

แหล่งข่าวจาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา(25พ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่งข้อความถึงส.ส.ของพรรคทุกคน โดยแจ้งว่าห้ามส.ส.ทุกคนทำผิดกฎหมาย

 

แหล่งข่าว ยังกล่าวถึงแนวทางการเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณด้วยว่า นายสุเทพไม่ได้ปรึกษาหารือแกนนำในพรรค โดยระยะหลังมานี้ นายสุเทพไม่ได้เรียกประชุมคณะทำงานเวทีแล้ว แต่ได้คุยกับแกนนำม็อบเวทีอื่นๆ เป็นหลัก โดยเมื่อคืนวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา นายสุเทพก็หารือกับนายสมศักดิ์ โกศัยสุข อดีตแกนนำพันธมิตรฯ เป็นเวลานาน

 

ทั้งนี้ ยอมรับว่าเวลานี้กระแสในพรรคไม่สบายใจต่อแนวทางดังกล่าว เพราะนายสุเทพเดินเลยธงต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไปไกลมาก แต่หัวหน้าและผู้ใหญ่ในพรรคยังไม่ได้เรียกประชุมเพื่อกำหนดท่าทีของพรรคที่มีส.ส.ของพรรคไปร่วมเคลื่อนไหว

 

 

 

 

              

 

 

 

 วันนี้ดิฉันขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติมถึงสถานการณ์การชุมนุมในวันนี้ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการยกระดับการชุมนุมที่ก่อนหน้านี้เป็นการชุมนุมโดยสงบ และรัฐบาลก็เคารพต่อเสรีภาพและการแสดงออกในการชุมนุมของทุกกลุ่มที่มีความหลากหลาย แต่ก็ไม่ละเลยที่จะบังคับใช้กฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของประเทศ เพื่อคุ้มครองความสะดวกและความปลอดภัยของประชาชน ในการใช้ที่สาธารณะ ตลอดจนการติดต่อราชการ

แต่ปรากฏว่าสถานการณ์ในวันนี้ มีกลุ่มผู้ชุมนุมได้กระจายการชุมนุม โดยใช้กำลังคนกดดัน ปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กระทรวงการต่างประเทศ และกรมประชาสัมพันธ์ โดยใช้กำลังบุกทำลายประตูรั้ว เข้าไปในสถานที่ราชการ มีการตัดกระแสไฟฟ้าและน้ำประปา เพื่อมิให้ปฏิบัติราชการได้ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นสถานการณ์อันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและสถานที่ราชการในการให้บริการประชาชน

รัฐบาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องบังคับใช้กฎหมาย เพื่อรักษาไว้ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะการรักษาทรัพย์สินของราชการ การดำรงชีวิตโดยปกติสุข รวมทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ความสงบเรียบร้อยและประโยชน์ส่วนรวม ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ในการบังคับใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร / จังหวัดนนทบุรี / จังหวัดสมุทรปราการ เฉพาะอำเภอบางพลี / จังหวัดปทุมธานี เฉพาะอำเภอลาดหลุมแก้ว

แม้รัฐบาลจะได้บังคับใช้กฎหมายดังกล่าว แต่ดิฉันขอยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่ใช้ความรุนแรงกับพี่น้องประชาชนโดยเด็ดขาด โดยจะดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอน ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากลในการบังคับใช้กฎหมาย และขอให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติราชการทุกฝ่ายร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ เพื่ออำนวยความสะดวกและให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง และขอให้กำลังใจในการปฏิบัติราชการให้ลุล่วงไปด้วยดี ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าให้การสนับสนุนการชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และอย่าหลงเชื่อข่าวลือต่างๆ โดย ให้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการเพื่อรักษากฎหมาย และให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว โดยขอเรียกร้องให้ฝ่ายที่เห็นต่าง ใช้กระบวนการของรัฐสภาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งถือเป็นกลไกภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพ “หลักนิติรัฐ” ทั้งนี้รัฐบาลยังคงยืนยันเจตนารมณ์ ในการหารือและรับฟังความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ของทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความสงบสุข สมานฉันท์ของคนในชาติ

นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
25 พ.ย 2556

 

 

 

 

     [Image: attachment.php?aid=16924] 

 

 

 

 

       

 

 

 

 

 

****************************  

guest

Post : 2013-11-21 20:28:42.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  หมาพูดได้

 

 

 

 

 

         ปฏิทินวันพระ 2556 ร่วมทำบุญให้จิตใจผ่องใส

 

 

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2556 เป็นวันแรม 8 ค่ำ เดือน 12  วันนี้วันพระ.......

 

 

                             

 

                 ค่าจ้างเรือ

 

 

 

 

                           

 

 

 

   ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภคนแจวเรือประจำท่าคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

 

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤๅษี บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์เป็นเวลาช้านาน คิดอยากจะโปรดญาติโยม จึงเข้าไปเที่ยวภิกขาจารในเมืองพาราณสี พระราชาทรงเลื่อมใสแล้วนิมนต์ให้จำพรรษาในสวนหลวงเพื่อถวายทาน พระราชาจะเสด็จไปฟังธรรมวันละครั้ง ฤๅษีมักจะให้โอวาทเป็นประจำว่า "มหาบพิตร พระราชาไม่ควรมีอคติ ๔ อย่าง เป็นผู้ไม่ประมาทสมบูรณ์ด้วยขันติ มีเมตตากรุณา ครองราชย์โดยธรรม ที่สำคัญพระองค์อย่างทรงโกรธเป็นอันขาด ไม่ว่าในที่ไหนๆ จะเป็นในบ้านในป่าหรือที่ลุ่มที่ดอนก็ตาม ถ้าทำได้พระองค์จะเป็นที่รักของทวยราษฎร์ตลอดไป" พระราชาทรงเลื่อมใสยิ่ง จึงถวายหมู่บ้านชั้นดีที่เก็บเงินส่วยภาษีได้ปีละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะให้ ๑ ตำบล แต่ฤๅษีไม่รับเพราะถือเป็นกิเลส จนเวลาผ่านไปได้ ๑๒ ปี

 

          ต่อมาวันหนึ่ง ฤๅษีคิดจะเดินทางไปโปรดญาติโยมที่อื่นบ้างจึงไม่ได้เข้าเฝ้าทูลลาพระราชา เพียงบอกให้คนเฝ้าสวนหลวงไปกราบทูลให้ทรงทราบ แล้วก็ออกเดินทางไปถึงฝั่งแม่น้ำคงคา ที่ท่าเรือมีคนแจวเรือไปส่งคนข้ามฟากแล้ว่ค่อยคิดเงินค่าจ้างเอาตามใจชอบ เมื่อลูกค้าไม่ให้ก็มักจะมีเรื่องทะเลาะชกต่อยและขู่เอาเงินค่าจ้างจากผู้โดยสารอยู่เป็นประจำ

 

          ฤๅษีเมื่อไปถึงท่าเรือแล้วก็ขอใช้บริการเรือจ้างของนายอาวาริย์ปิตานั้น เขาถามขึ้นด้วยอาการเกียจคร้านว่า "ท่านจะให้ค่าจ้างเรือผมเท่าไรละ?" "โยม..อาตมาจะให้ของดีทำให้ร่ำรวยทรัพย์แก่ท่าน" ฤๅษีตอบเขาฟังแบบงง ๆ ว่าจะได้อะไรกันแน่ จึงพาฤๅษีข้ามฟากไป พอถึงฝั่งที่หมายแล้ จึงพูดขึ้นอีกว่า "ท่านจ่ายค่าจ้างด้วยครับ" ฤๅษีจึงบอกของดีเป็นธรรมโอวาทว่า "โยม..ขอค่าจ้างกับคนที่ยังไม่ข้าไปฝั่งโน้นก่อนสิ เพราะจิตใจของคนที่ข้ามฟากแล้วกับคนที่ยังไม่ได้ข้ามต่างกัน โยม.. ขอท่านจงอย่าโกรธนะ ไม่ว่าในที่ไหนๆ ทั้งในบ้าน ในป่า ความร่ำรวยในทรัพย์ก็จะมีแก่โยม นี่แหละของดีนะโยม"


          เขาถามว่า "สมณะ นี่หรือคือค่าจ้างเรือที่ท่านให้ผม"
          ฤๅษี "ใช่ละ โยม"
          คนแจวเรือ "ไม่ได้ ต้องเป็นเงินสิ"


          ฤๅษี "โยม..นอกจากโอวาทนี้แล้ว อาตมาไม่มีอย่างอื่น" เขาโกรธมากพร้อมกับตวาดว่า "เมื่อไม่มีเงินแล้ว ลงเรือผมมาทำไม" ผลักฤๅษีให้ล้มลงแล้วนั่งทับอกตบปากท่านหนึ่งดี ขณะนั้นภรรยาของเขาซึ่งกำลังท้องแก่ได้ถืออาหารมาส่งเขา จำฤๅษีนั้นได้จึงร้องห้ามบอกสามีว่า "พี่.. ฤๅษีนี่ประจำอยู่ราชสำนักนะพี่อย่าตีท่านนะ" เขากำลังอยู่ในอารมณ์โกรธจึงลุกขึ้นตบภรรยาโดยแรง ถาดข้าวแตกกระจาย ภรรยาล้มลงกระแทกพื้นดินทำให้ลูกทะลักออกมาทันที


          ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นต่างมายืนมุงดูและช่วยกันจับมัดเขาไว้เพราะนึกว่าเป็นโจรฆ่าคนตาย นำไปถวายพระราชา เขาถูกวินิจฉัยให้จำคุกตลอดชีวิต

 

         พระพุทธองค์เมื่อตรัสอดีตนิทานจบแล้วได้ตรัสให้โอวาทภิกษุว่า "ภิกษุทั้งหลาย ผู้จะให้โอวาทควรให้แก่คนที่เหมาะสมไม่ควรให้แก่คนที่ไม่เหมาะสม ดังฤๅษีให้โอวาทแก่พระราชาได้ หมู่บ้านชั้นดี แต่ให้โอวาทแก่คนแจวเรือจ้างกลับถูกตบปาก ฉะนั้น

 

 

                                                               

 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : จะกล่าวสอนใครควรดูความเหมาะสม เพราะคนพาลย่อมไม่ยินดีในธรรมเป็นพาลทุกเมื่อ

 

 

ที่มา : หนังสือนิทานชาดก โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม

นักธรรมเอก เปรียญธรรม 9 ประโยค

เจ้าคณะอำเภอทัพทัน เจ้าอาวาสวัดสาลวนาราม ต.หนองจอก

อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี

 

 

 

 

 

*********************************

 

 

 

 

 

                  

 

 

 

พื้นที่ทั้งหมด แค่ 43500 ตรม  ดังนั้น เต็มทั้งเส้นนี้ 50000 คน ก็เต็มแล้วน้องเอ้ย

 

ชมภาพมุมสูงม็อบราชดำเนินเต็มพื้นที่ แกนนำยันเกินล้านแล้ว(ชมวิดีโอคลิป)
       

       แผนที่แสดงพื้นที่การชุมนุมอย่างคร่าวๆ
       


 
ชมภาพมุมสูงม็อบราชดำเนินเต็มพื้นที่ แกนนำยันเกินล้านแล้ว(ชมวิดีโอคลิป)
       

       

       

       

       

       

       

       

       
       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       
       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

 

 

    
   
   
   
   


 

 

                              

 

 

 

 

                   สภาพอากาศเปลี่ยนวิถีแห่งประวัติศาสตร์

 

  

 

                                      

 

 

 

บันทึกทางประวัติศาสตร์มีเรื่องราวที่น่าทึ่งหลายเรื่องซึ่งสภาพอากาศส่งผลอย่างมากต​่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพายุพัดกระหน่ำ


ในปี 1588 กษัตริย์ฟิลิปแห่งสเปนส่งกองเรืออาร์มาดาไปรุกรานอังกฤษ. แต่สิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามแผนเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย.


เมื่อกองเรือสเปนเข้าสู่ช่องแคบอังกฤษ กองเรืออังกฤษจึงออกมาต้าน. เรือของอังกฤษที่คล่องตัวกว่าเข้าต่อสู้กับพวกสเปน แต่สร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยให้กับเรือของสเปน. จากนั้น กองเรืออาร์มาดาจึงทอดสมอใกล้เมืองกาเลส์โดยมีคำสั่งให้รับกองทหารเพื่อเข้าโจมตีอัง​กฤษตามแผนที่วางไว้.


ในช่วงเวลานั้นภายใต้ความมืด พวกอังกฤษจุดไฟเผาเรือของตนบางลำและปล่อยให้ลอยตรงเข้าไปหาเรือของพวกสเปนที่ทอดสมออ​ยู่โดยที่มีลมและกระแสน้ำช่วยพัดไป. เรือสเปนหลายลำต้องตัดสมอของตนเพื่อหนีเรือไฟอังกฤษ. การตัดสมอของเรือสเปนปรากฏว่าเป็นความหายนะสำหรับพวกเขาในเวลาต่อมา.


หลังจากเหตุการณ์นั้นที่เมืองกาเลส์ กองเรือของทั้งสองฝ่ายก็มุ่งหน้าไปที่ทะเลเหนือแล่นเรือไปตามกระแสลม. พอถึงตอนนั้น ดินปืนของกองเรืออังกฤษหมด ดังนั้น พวกเขาจึงถอยทัพกลับไปที่ชายฝั่งอังกฤษ. โดยที่มีลมพัดต้านกองเรือสเปนและมีกองเรืออังกฤษอยู่ระหว่างพวกเขากับประเทศสเปน พวกสเปนจึงถูกบังคับให้แล่นเรือไปทางเหนืออ้อมสกอตแลนด์ จากนั้นไปทางใต้จนพ้นไอร์แลนด์และเพื่อในที่สุดจะกลับไปถึงสเปน.


ในเวลานั้น อาหารและน้ำของกองเรือสเปนจวนจะหมด และเรือที่ได้รับความเสียหายมีทหารที่ได้รับบาดเจ็บหลายคน รวมทั้งบางคนที่ป่วยด้วยโรคลักปิดลักเปิด. ฉะนั้น ทั้งกองเรือจึงมีการปันส่วนอาหาร ซึ่งทำให้ลูกเรืออ่อนแอลงไปอีก.
หลังจากที่กองเรืออ้อมสกอตแลนด์ พายุอันรุนแรงแห่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้พัดเรือหลายลำเข้าหาชายฝั่งไอร์แลนด์. ในกรณีเช่นนี้ ปกติแล้วลูกเรือจะทอดสมอและรอให้กระแสลมพัดไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ. แต่เนื่องจากเรือหลายลำได้ตัดสมอไปแล้วก่อนหน้านี้ตอนที่หนีเรือไฟ เรือสเปน 26 ลำจึงอับปางใกล้ชายฝั่งของไอร์แลนด์โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 5,000 ถึง 6,000 คน.


ตอนที่กองเรืออาร์มาดากลับมาถึงสเปนมีผู้เสียชีวิตไปเกือบ 20,000 คน. สาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและการสูญเสียเรือจำนวนมากก็คือสภาพอากาศ. ดูเหมือนชาวดัตช์จะคิดเช่นนี้. ต่อมาชาวดัตช์จัดทำเหรียญเพื่อฉลองการพ่ายแพ้ของกองเรืออาร์มาดาแห่งสเปน. ในเหรียญนั้นพวกเขาได้จารึกถ้อยคำที่แสดงถึงความเชื่อของคนทั่วไปที่ว่าพระเจ้าเป็นผ​ู้บันดาลภัยธรรมชาติดังนี้: “พระยะโฮวาทรงเป่าและพวกเขาก็กระจัดกระจายไป.”ฝนทำให้พ่ายแพ้

 

 

                              

 

 

อีกเหตุการณ์สำคัญของโลกที่สภาพอากาศได้ส่งผลกระทบอย่างมาก คือสมรภูมิวอเตอร์ลูในปี 1815. ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในสมรภูมิวอเตอร์ลูซึ่งอยู่ไกลประมาณ 21 กิโลเมตรทางใต้ของกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม มีมากกว่า 70,000 คนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บภายในไม่กี่ชั่วโมง. ดุ๊กแห่งเวลลิงตันชาวอังกฤษเลือกสนามรบและยึดพื้นที่สูง. แม้กองทัพฝรั่งเศสของนะโปเลียนจะมีทหารมากกว่าเวลลิงตัน นะโปเลียนต้องเอาชนะข้าศึกให้ได้ก่อนเวลากลางคืน เพราะเวลลิงตันจะได้รับกำลังเสริมจากกองทัพปรัสเซียในคืนนั้น. อย่างไรก็ดี สภาพอากาศส่งผลกระทบอย่างมากอีกครั้งหนึ่ง.


มีฝนตกหนักมากในคืนก่อนการสู้รบ. ทหารส่วนมากจำได้ว่าคืนนั้นเป็นคืนที่ลำบากที่สุดในชีวิตของพวกเขา. แม้เมื่อบางคนกางเต็นท์ขนาดเล็ก ทหารคนหนึ่งก็ยังคร่ำครวญว่าที่นอนในเต็นท์นั้นเปียกโชกราวกับอยู่ก้นทะเลสาบ. พื้นดินซึ่งเฉอะแฉะเนื่องจากฝนก็กลายเป็นหล่มโคลน. นะโปเลียนต้องการเริ่มโจมตีแต่เช้าเพราะอยากเอาชนะเวลลิงตันให้ได้. อย่างไรก็ตาม กว่าเขาจะเริ่มการโจมตีเวลาก็ล่วงเลยมาอีกหลายชั่วโมง.


เหตุผลหลักที่ล่าช้าคือสภาพของพื้นดิน ซึ่งต้องรอให้แห้งบ้างก่อนจะสู้รบกันได้. โคลนยังทำให้ปืนใหญ่ที่นะโปเลียนชอบใช้มีประสิทธิภาพลดลง. ประการแรก พิสัยการยิงลดลง เนื่องจากการเคลื่อนย้ายปืนใหญ่หนักๆในโคลนทำได้ยาก. ประการที่สอง กระสุนปืนใหญ่ถูกออกแบบมาให้กระดอนพื้นและสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นให้แก่กองทัพของ​เวลลิงตัน. อย่างไรก็ดี วันนั้นกระสุนปืนใหญ่ไม่กระดอน เพราะพื้นซึ่งเปียกแฉะดูดซับพลังงานส่วนใหญ่ไว้. นั่นกลายเป็นความหายนะสำหรับนะโปเลียนและกองทัพของเขา. ด้วยเหตุนี้ กองทัพของนะโปเลียนจึงพ่ายแพ้เนื่องจากสภาพอากาศ และเขาก็ถูกเนรเทศ.
ในทั้งสองเหตุการณ์ที่กล่าวมา ดูเหมือนว่าสภาพอากาศเป็นตัวกำหนดว่าเหตุการณ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์จะมีผลออกมาเช​่นไร. ต่อมา เหตุการณ์เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญให้จักรวรรดิอังกฤษขึ้นมามีอำนาจ.

 

 

                                

 

 

และ นี้คือเรื่องจริงจากประวัติศาสตร์.........!!!!!????
คำว่าคะมิกะเซะ(กามิกาเซ-คามิคาเซ)มาจากคำสองคำต่อกัน คือ
kami หมายถึง พระเจ้า (god) และ kaze หมายถึงลม (wind)
รวมกันมีความหมายว่าลมแห่งสวรรค์ หรือ divine wind ในภาษาอังกฤษ

และยังหมายถึง ชื่อพายุไต้ฝุ่นทื่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1824
พายุลูกนี้ทำให้กองทัพเรือของจีนจำนวน 4,500 ลำ
ในสมัยของจักรพรรดิจีนกุบไลข่าน ทื่จะเข้าโจมตียึดญี่ปุ่น

โดยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง...

ชาวญื่ปุ่นเป็นหนี้บุญคุณพายุไต้ฝุ่นลูกนี้เป็นอย่างมากจึงได้ตั้งชื่อว่า "คะมิกะเซะ"
แปลว่า "พายุเทพเจ้า" และเป็นทื่มาของชื่อกองบิน "คะมิกะเซะ"
ในกองทัพอากาศญื่ปุ่นในสงครามโลกครั้งทื่ 2
 

 

 

 

              

 

 

 

 

 

 

***********************************

 

 

 

                   หมาพูดได้

 

 

 

                       

 

 

 

 

 

 imate Dog Tease (74 ล้านวิว)

เป็นคลิปวิดีโอสัตว์เลี้ยงที่ฮิตฮอตกันสุด ๆ เมื่อเจ้าหมาตัวหนึ่งขยับปากพูดได้อย่างที่ไม่ต้องใช้โปรแกรมอะไรช่วย เหมือนจะพูดคุยกับเจ้าของรู้เรื่อง สุดท้ายเจ้าของก็เลยหยิบมาใส่เสียงพากย์เข้าไปเสียเลย ทำเหมือนว่าเจ้าหมาตัวนี้กำลังถูกเจ้าของแกล้งให้สติแตกเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ผลที่ออกมาก็คือ เนียนมาก ๆ ฮาและน่ารักน่าชังสุด ๆ

 

 

 

 

 

 

 

*********************************************

 

 

 

 

 

   

 

              ไม่จิตสัมผัส ก็โดน ‘ผีอำ‘ ได้

 

 

 

 
ไม่จิตสัมผัส ก็โดน ‘ผีอำ‘ ได้

 

 

 

หลายคนอาจเคยได้ยินคนเล่าว่าโดนหรือบางคนก็อาจเคยโดนผีอำมาแล้วหลายครั้งประสบการณ์แบบนี้ชาวต่างชาติเคยประสบกันบ้างไหม อาการเหมือนกันหรือเปล่า

 

การโดนผีอำ เป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวไม่น้อยสำหรับคนที่เคยประสบมาแล้วสำหรับคนไทยแล้ว เรามีความเชื่อว่าช่วงที่เราหลับไม่สนิทหรือกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น เรียกว่า ภวังค์เมื่อมีวิญญาณดวงอื่นมาปลุกวิญญาณเราให้ตื่นขึ้นวิญญาณของเราก็เข้าสู่ภพภูมิของโลกวิญญาณ จึงทำให้รู้สึกหมดแรง ขยับร่างกายไม่ได้รู้สึกเหมือนมีคนมากดร่างกาย หรือนั่งทับหน้าอกไว้ บางคนได้ยินเสียงหรือเห็นเงาดำ

 

อาการแบบนี้ชาวตะวันตกก็เคยเจอเหมือนกันกับเรา ซึ่งอาการที่ว่านี้ เขามีความเชื่อว่าเกิดจากแม่มดแก่ที่เรียกกันว่า "จินน์" "แมร์" ในคำว่า "ไนท์แมร์" ที่แปลว่าฝันร้าย หรือ "โอลด์แฮก" ซึ่ง "โอลด์แฮก" จริงๆหมายถึงแม่มดแก่ๆเท่านั้นในบางประเทศอาจเป็นแม่มดที่คอยจับเด็กที่เข้าใกล้บึงหรือแม่น้ำส่วนในนิทานสลาวิกหมายถึง แม่มดกินคน "บาบายากา"

 

แต่ในนิทานของอังกฤษอเมริกาเหนือ และเปอร์เซีย "โอลด์แฮก" จะนั่งอยู่บนอกของคนที่นอนอยู่เพื่อที่จะส่งกระแสจิตให้คนๆนั้นฝันร้าย และเมื่อคนนั้นตื่นขึ้นจากฝันก็จะหายใจไม่ค่อยออก ไม่สามารถขยับตัวได้ ฉะนั้นเมื่อมีใครโดนผีดำ เขาจะเรียกอาการนี้ว่า "โอลด์แฮกซินโดรม"

 

"โอลด์แฮกซินโดรม" หรือ อาการ "ผีอำ" นี้ทางการแพทย์เรียกว่า "Sleep Paralysis" ส่วนใหญ่อาการนี้จะเกิดขึ้นกับคนที่พักผ่อนน้อย นอนไม่เป็นเวลา หรือนอนหลับไม่สนิทติดต่อกันหลายวัน โดยนอกจากจะไม่สามารถจะขยับร่างกายได้ก็ยังไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้ แต่ยังลืมตามองเห็นสิ่งต่างๆได้ได้ยินเสียงหรือได้กลิ่นได้ เป็นเวลาตั้งแต่ครึ่งนาทีไปจนถึง 10 นาที

 

อาการดังกล่าวเหล่านี้จริงๆแล้วเกิดจากสารที่หลั่งออกมาในขณะที่เราหลับ เพื่อให้เราไม่พูดหรือเคลื่อนไหวร่างกายไปตามที่เราฝัน แต่เมื่อสารนี้ยังไม่หยุดหลั่งหลังจากที่เราตื่นแล้ว ก็จะทำให้เกิดอาการ "ผีอำ" ขึ้นมา ส่วนการที่มีคนบอกว่าเห็นเงาดำ เห็นวิญญาณ รู้สึกตัวลอยขึ้นมา ได้ยินเสียงหรือได้กลิ่นนั้น เป็นเพียงอาการหลอนที่เกิดขึ้นพร้อมกับอาการ "ผีอำ" เท่านั้น

 

 

            ระวังเกิดอาการผีอำขณะเคลิ้มหลับ

 

 

ผีอำ นอนหลับ
 


 

 

 

ระวังเกิดอาการผีอำขณะเคลิ้มหลับ (ไทยรัฐ)



          ผีอำ (sleep paralysis) เป็นอาการของจิตใจแบบหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในขณะกำลังเคลิ้มหลับหรือใกล้ตื่นนอน ในขณะนั้นสภาพจิตใจเริ่มรู้ต้วขึ้นบ้างแต่ยังไม่รู้ตัวเต็มที่ อาจรับรู้ทางหูหรือทางตาได้บ้าง แต่อาจแปลเสียงหรือภาพไปในทางน่ากลัว...

          ซึ่งอาจสัมพันธ์กับความฝันที่เกิดขึ้นก่อน อาจเห็นภาพผี ได้ยินเสียงร้องหรือรู้สึกเหมือนมีคนมาจับขา มาฉุดขา ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นตอนนั้น ร่างกายจะไม่สามารถเคลื่อนไหวตามคำสั่งสมองได้ ทำให้รู้สึกตกใจกลัวเพราะเคลื่อนไหวหนีหรือต่อสู้ไม่ได้ รู้สึกอึดอัด บางทีเหมือนมีอะไรมาทับหน้าอกไว้ เพราะเคลื่อนที่ไม่ได้นี่เอง ความรู้สึกเหมือนถูกผีหลอกนี้เองทำให้คนทั่วไปเรียกว่า "ผีอำ"

          อาการหมดแรงอย่างสมบูรณ์หรือเพียงบางส่วน ทำให้มีลักษณะเหมือนเป็นอัมพาตทั้งตัว ขยับแขนขาไม่ได้ ลืมตาไม่ได้ พูดไม่ได้ หรือหายใจลึก ๆ ไม่ได้ ในขณะที่รู้สึกว่าตนเองตื่นอยู่ มักจะมีการเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงหลอน หรือฝันร้ายร่วมด้วย ทำให้ตกใจกลัวมากขึ้น คนที่เกิดผีอำมักจะรู้สึกถึงสภาพหมดแรงที่เกิดขึ้นได้ดี ทั้งที่อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น เพราะกำลังจะหลับหรือกำลังจะตื่น และมักจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีเมื่อตื่นขึ้น

          ผู้ที่เกิดผีอำครั้งแรกมักจะตกใจกลัวมาก จนรู้สึกเสมือนว่า ตนเองกำลังจะตาย โดยเฉพาะถ้าเห็นภาพหลอนหรือได้ยินเสียงหลอนที่คุกคามชีวิตของตนด้วย เมื่อตกใจตื่นขึ้นในอีกไม่กี่นาทีต่อมา จึงอาจร้องเอะอะโวยวาย ร้องไห้ หอบเหนื่อย หน้าซีด ตัวสั่น หรือแสดงอาการตกใจกลัวอื่น ๆ

          ผู้ที่เกิดผีอำมาแล้วหลาย ๆ ครั้งจะไม่ค่อยตกใจกลัว เพราะรู้ว่าอาการดังกล่าวไม่มีอันตรายอะไร และมักเป็นอยู่ชั่วครู่เดียว ไม่เกิน 10 นาที

          สาเหตุของอาการผีอำที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังจะหลับ มักจะเกิดจากโรคลมหลับ (narcolepsy) และโรคผีอำตามกรรมพันธุ์ (familial sleep paralysis) อาการผีอำที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังจะตื่น อาจจะเกิดจากโรคลมหลับ หรืออาจจะเกิดในคนที่อดนอนหรือนอนไม่พอมาหลายวัน หรือเข้านอนผิดเวลาได้

          อาการผีอำมักเกิดทันทีเมื่อหมดช่วงการหลับแบบตากระตุก จะเป็นอยู่ไม่กี่นาที แล้วค่อย ๆ หายหรือหายทันที เมื่อถูกเรียก ถูกสัมผัส ถูกปลุก โดยใครก็ได้ ผู้ที่เป็นผีอำจะรู้สึกว่าตนนั้นตื่นอยู่ แต่ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทั้งที่ตนได้พยายามขยับเขยื้อนแล้ว พยายามตะโกนเรียกให้คนช่วยแล้ว แต่ไม่มีคนได้ยิน เพราะไม่มีเสียงออกมา และเมื่อตื่นขึ้นจะจำเหตุการณ์และเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นได้

          อาการที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่าผีอำนั้น แท้ที่จริงคือ ล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า โดยเฉพาะหลังจากทำงานหรือดูหนังสือ แม้กระทั่งดูโทรทัศน์ เมื่อเรานอนด้วยความล้า ก็เกิดการประสานกันระหว่างสารเคมีกับสภาพชีวเคมีของร่างกาย เกิดอาการทั้งกดทั้งค้าง ทำให้เราขยับเขยื้อนไม่ไหว

          ในขณะนั้นเราตื่นอยู่ สมองเราก็ทำงานได้ แต่ร่างกายเรา ขยับเขยื้อนไม่ไหว เหมือนมีคนมาคุมเราอยู่ มาจับเราอยู่ มาตรึงเราอยู่ เราเลยเกิดเชื่อมโยงว่ามีผีมาจับตัวเรา ในที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ผีสางที่ไหน ที่แท้คือความไม่สัมพันธ์กันระหว่างสมองกับร่างกายของเรา ซึ่งเป็นอาการชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นเอง

          อาการผีอำเกิดจากการที่กล้ามเนื้อของร่างกาย เข้าสู่ภาวะการหลับที่เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) แต่สมองส่วนที่เป็นจิตสำนึกยังตื่นอยู่ อาการผีอำเป็นอาการที่ร่างกายกับจิตสำนึกหลับไม่พร้อมกัน หรือ ตื่นขึ้นมาไม่พร้อมกัน

          ผีอำเป็นสภาวะที่คล้าย ๆ กับการฝัน เพราะขณะที่ถูกผีอำคนคนนั้นจะอยู่ในสภาวะที่ขยับตัวไม่ได้ ในภาวะหลับแบบตากระตุก (REM sleep) จะมีการฝัน กล้ามเนื้อต่าง ๆ จะผ่อนคลายหมด ขยับตัวไม่ได้ ยกเว้นต้องตื่น คำว่าตื่น หมายถึงต้องมีการเขย่าตัวรุนแรง แล้วในช่วงเวลานั้นถ้ามีสิ่งเร้าอะไรที่มาทำให้ไม่สบาย เช่น อาจจะมีหมอนข้างมาวางอยู่บนตัวหรือขา หรืออาจจะนอนในท่าที่ไม่สบายนัก ก็จะมีการแปลภาวะนั้นเป็นความไม่สบาย แล้วบางทีก็ไปผูกเรื่องกับความฝัน ทำให้อยากจะออกจากสถานการณ์นั้น แต่ว่าทำไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อมันคลายไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นในภาวะอย่างนั้น ก็จะเป็นสภาวะที่รู้สึกเหมือนกับว่าใครมากดทับ เป็นสภาวะที่หลีกหนีไปไม่ได้ แต่สักพักหนึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง

          อาการอึดอัดหายใจไม่ออก ขยับตัวก็ไม่ได้แม้เพียงปลายนิ้ว เหมือนกับร่างกายถูกตรึงด้วยอำนาจลึกลับที่ถาโถมสู่ร่างกายอย่างน่าสะพรึงกลัว บางคนถึงกับอยากตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่บริเวณนั้น แต่ทำไม่ได้ ได้แต่นอนตัวแข็งอยู่บนเตียงด้วยหัวใจเต้นตูมตาม

          ผู้ที่ถูกผีอำส่วนใหญ่จะนอนอยู่บนเตียง มีเป็นส่วนน้อยที่จะโดนอำในท่านั่งหลับบนเก้าอี้ หรือท่าที่ไม่น่าจะสบายนัก และมักจะเกิดกับคนที่นอนหงายมากที่สุด ระยะเวลานานตั้งแต่ 2-3 วินาที จนถึง 10 นาที โดยจะหายไปเอง หรือไม่ก็ผู้ที่ถูกผีอำพยายามเอาชนะอาการเอง หรือมีคนมาช่วยสะกิดปลุกให้ตื่นขึ้น

          โดยมีอาการหลอนทางประสาทสัมผัสเกิดร่วม ได้แก่ หลอนว่าตัวลอยหรือบินได้ หรือเหมือนกำลังออกจากร่าง หมุนเคว้ง หลอนทางสัมผัสกาย เช่น มีใครมากดทับหน้าอก หรือมีใครมาสัมผัสตัว หรือดึงตัวเอาไว้กับเตียง บางทีก็รู้สึกว่าผ้าคลุมเตียงเคลื่อนไหว บางคนก็โดนเขย่าตัว หรือมีความเจ็บปวดเกิดขึ้น

          หลอนทางการได้ยิน เช่น ได้ยินเสียงย่างเท้า เสียงเคาะประตู เสียงหายใจ เสียงคุย เสียงกระซิบ เสียงฮัม เสียงหึหึ หลอนทางการมองเห็น เช่น เห็นหมอกควัน หรือ ความมืดคลึ้ม เห็นร่างคน สัตว์ หรืออสูรกาย บางทีก็มีการโต้ตอบทั้งทางกายหรือวาจากับสิ่งที่เห็นนั้น อย่างเป็นเรื่องเป็นราว หลอนทางการได้กลิ่น เช่น ได้กลิ่นเครื่องหอม กลิ่นสาบ

          โดยทั่วไปมักจะเกี่ยวข้องกับการนอน และสัมพันธ์กับสถานการณ์ ในชีวิตประจำวัน เช่น สถานการณ์ที่ทำให้เขากังวล ตื่นเต้น พูดได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะถูกผีอำได้ ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตใจอะไรหรอก เป็นเพียงตะกอนความคิดที่เกิดจากชีวิตประจำวัน บางคนหาทางออกไม่ได้ ก็ไปออกในช่วงที่นอน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นเริ่มมีภาวะความเครียด แล้วเดี๋ยวร่างกายก็ปรับสมดุลได้เอง ไม่มีที่นอนแล้วผีอำทุกวัน ไม่ถือเป็นโรค ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วมันจะหายเอง

          รายที่เป็นมาก แสดงว่ามีปัญหามาก แล้วมักจะเก็บไปฝัน ซึ่งบางคนอาจจะมาในแง่ฝันร้าย ถ้าฝันร้ายแล้วหลับสนิท ก็จะเล่นไปในฝัน แต่ถ้าตื่นขึ้นมานิดนึงก็จะรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้ ครึ่งหลับครึ่งตื่น กำลังเคลิ้ม เหมือนจริง เป็นสภาวะของผีอำ

          การรักษาผีอำไม่มีอันตราย ในคนปกติก็เกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องการการรักษาใด ๆ ทั้งสิ้นเมื่อรู้สึกว่าโดนผีอำอยู่ ให้รีบตั้งสติทันที อย่าตกใจ การออกจากผีอำจะได้ผลดีที่สุดเมื่อรีบทำตั้งแต่มันเกิด พยายามขยับกล้ามเนื้อตา กล้ามเนื้อนิ้ว อะไรที่เล็ก ๆ ก่อน เพราะหากขยับได้ มันจะทำให้เราหลุดออกทันที ถ้านาน ๆ เป็นครั้ง หรือเกิดจากการอดนอน นอนไม่พอ หรือนอนผิดเวลา ไม่ต้องรักษา นอกจากนอนพักผ่อนให้พอ และอย่านอนผิดเวลาเท่านั้น

          ถ้าเป็นบ่อยหรือเป็นมาก กลัวมาก หรือไม่สามารถหลับให้พอได้เอง การใช้ยาที่ลดการหลับแบบตากระตุก เช่น ยาอิมิพรามีน (imipramine เม็ดละ 25 มิลลิกรัม) 1-2 เม็ดก่อนนอน จะช่วยให้หลับแบบตาไม่กระตุกเพิ่มขึ้น ทำให้อาการผีอำและอาการหลอน ซึ่งเกิดในการหลับแบบตากระตุก ลดลง และทำให้อาการผีอำดีขึ้น หรือหายไปได้

          ผ่อนคลายความเครียดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง ไม่ทำอะไรที่มันตื่นเต้น เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกมส์ ก่อนนอนอาจจะอาบน้ำอุ่น หรือดื่มนมอุ่น ๆ โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง จะทำให้หลับสบายขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีสะกดจิตเข้าช่วยโดยการโปรแกรมจิตใหม่ก็จะช่วยได้

          กรณีที่มีอาการมาก ๆ อาจใช้ยาคลายเครียด หรือยาต้านเศร้า ซึ่งจะทำให้หลับสนิทขึ้นโดยไม่ฝันมากนัก คือคนที่ผีอำจะฝันปนอยู่ด้วย เราก็ทำความฝันนั้นให้น้อยลง อาการผีอำก็จะลดลงเหมือนกัน หลักง่าย ๆ เวลาโดนผีอำให้นอนเฉย ๆ สักพักอาการจะหายไปเอง


 

 

 

 

 

 

                        

 

 

 

 

 

 ********************************

 

 

 

 

 

 
 

 

 

 

 

 


เวทีนางเลิ้ง
.......................

เทพ ประชุมการ์ด .......

 

 

 

 

 

 

รถทัวร์ขนคนจากภูเก็ตมุ่งหน้าเติมม็อบราชดำเนิน


คว่ำที่สุราษฎร์ เบื้องต้นยังไม่มีผู้เสียชีวิต


แต่ป้ายที่เตรียมไปด่ารัฐบาลเสียหายหมด

 

 

18.16น.กลุ่มผู้ชุมนุมคปท.หยุดขบวนที่แยกนางเลิ้ง ต่อเนื่องแยกพาณิชย์ประชิดแท่งแบรริเออร์เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์

 

0103.jpg

 

 โดย #PNC pic.twitter.com/8DILJDoIH1

 

 

น่าจะชิงยึดพี้นที่ไม่ให้ตำรวจเข้าไปใช้สนามม้านางเลิ้งหรือเปล่าครับ

เพราะปักหลักตรงทางเข้าสนามม้าพอดี เพราะตอนพันธมิตรยึดทำเนียบ

ตำรวจก็ไปใช้สนามม้านางเลิ้งเป็นฐานปฏิบัติการ

 

แล้วเตรียมพื้นที่ให้ทางราชดำเนินได้ใช้ ยาวจนจรดสะพานมัฆวาน


 

 

จุดตรงนี้มันใกล้ทำเนียบมากกว่า มัฆวานเยอะ  แค่มีคลองกั้น กับประตูแคบๆ

 

ฝ่ายตำรวจตั้งแบร์ริเออร์ก็ได้แค่พื้นที่เล็กๆ ได้แต่ตั้งรับ บุกไม่ได้

 

สะพานมัฆวาน เหมาะสำหรับอยู่ยาว 

 

มาตั้งถนนพิษณุโลก ก็เพื่อจ่อคอหอย เตรียมกดดันรัฐบาล

 

อีกอย่าง ถ้า 24 คนมาเยอะ ก็จะได้ไหลลงมาตามราชดำเนิน ถึงมัฆวานได้เอง

 

ลุงจำลอง เค้าสอบเสธ อันดับหนึ่งของรุ่นนะครับ ขอบอก

 


 

 

แนวทางของพันธมิตรมันถูกปฎิเสธโดยสิ้นเชิง ดูจากคนเลือกที่จะก้าวไปกับม๊อบราชดำเนินมากกว่า

 

ผมสงสัยว่ามีฮิดเด้นอะเจนด้าอะไร ในเมื่อทุกอย่างกำลังไปได้ตามแนวทางของปชช.ที่ไม่ต้องการความรุนแรง

แต่นี่พยามให้เกิดการปะทะอยู่เรื่อย  รู้ก็รู้ว่าตรงนี้เขานัดรวมพลของกลุ่มนักศึกษามหาลัย เขาไม่ได้ต้องการมารวมกลุ่มกับคปท.หรือพันธมิตร

ดูยังไงก็เหมือนพยามจะขอเอี่ยว เพราะรู้ว่ากลุ่มนี้มาเยอะแน่ หรือเพราะรู้ว่าจะมาเลยมาขวางทางไว้ก่อน ดูจากฟีลของลิ้มหลังๆออกแนวเกลียดปชป.มากกว่าทักกี้

 

คนไม่ได้มากก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ย้ายมาตั้งเวทีตรงนี้ ดูจากแนวปิดการจราจร เดือดร้อนไปหมดแบบนี้เข้าทางตรีนรัดทะบานเลย

 

ผมรู้แนวของคปท.กับพันธมิตร มาทางอยากจะฮาร์ดคอร์อยากให้ปะทะ อยากให้มีเรื่องสร้างแรดกดดัน อยากให้จบเร็วๆ  

แต่ผมว่า หยุดเถอะครับคนเขาไม่เอา เขามากันขนาดนี้โดยไม่ต้องมีพันธมิตร ไม่หนุนก็อย่าทำให้มันล่มเลย กลับที่ตั้งเถอะครับ


 

 

 

 

 

พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ศอ.รส. 
เปิดเผยว่า การข่าวประเมินว่าจะมีผู้ชุมนุมสูงสุด
ประมาณ 70,000 คน กลุ่มผู้ชุมนุมมีแนวโน้มใน
การเคลื่อนไหวในลักษณะดาวกระจายไป ยังสถานที่
สำคัญต่าง ๆ หลายแห่ง ในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.นี้ 

ศอ.รส. มีการจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว จำนวน 40 นายต่อ 1 ชุด 
ในทุกพื้นที่ เพื่อเตรียมพร้อมประจำจุดที่คาดว่า 
กลุ่มผู้ชุมนุมจะไปเคลื่อนไหวปิดกั้นสถานที่ หรือ ดาวกระจาย 
สำหรับการชุมนุมของ กลุ่ม นปช. ทาง ศอ.รส. ได้ประสานกับแกนนำ 
แกนนำแจ้งว่าจะนัดชุมนุมที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน 
วันที่ 24 พ.ย. ไม่มีการเคลื่อนไหวไปยังสถานที่อื่น 
ซึ่ง ศอ.รส. ได้จัดกำลังในการดูแลความสงบเรียบร้อย 
และเตรียมป้องกันไม่ให้ มวลชนทั้ง 2 กลุ่ม 
ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง เกิดการเผชิญหน้ากันครับ

 

 

เข้ามาเหอะ เข้ามามากๆ อยู่นานๆเล๊ย ซักสิบปีก็ได้ จะได้หาข้ออ้างย้ายทำเนียบชั่วคราว ไปอยู่อิสานบ้าง เหนือบ้าง ให้ ครม.ได้เปลี่ยนบรรยากาศสดชื่นบ้าง อยู่ใกล้คนบ้านานๆ เดี๋ยวจะเครียด ถ้ามันดี ก็จะได้ตั้งหลักอยู่โน่นเลย เศรษฐกิจทางโน้นจะได้เฟื่องฟูบ้าง ไม่ซีเรียสหรอก ตามสะบาย

 

ถ้าสีเขียวไม่เล่นด้วย ดิ้นตายยังไง มันก็ไม่ได้ผลหรอก มันจะเปลี่ยนอะไรได้ จะเปลี่ยนมีอยู่สองทาง คือมีอำนาจทางทหาร สองมีอำนาจรัฐ อำนาจรัฐอยู่ในมือเพื่อไทย ถ้าอีกอำนาจไม่เล่นด้วย ก็ให้มันดิ้นตายอยู่นั่นแหละ รอจนกว่าคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่เรียกร้องให้ปราบโน่นแหละ ถึงจะให้ทหารลงมือปราบ

 

เรียกว่าหนามยอก ต้องเอาหนามบ่ง งวดแล้วใช้อะไรปราบเขา เขาก็ไม่เกินเลย ก็ใช้อันนั้นแหละปราบคืน อย่าร้อง เพราะทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างมาแล้วว่าทำได้.............

 

 

 

*****************************************************

 

 

 

 

 

                         

        

 

             

 ประวัติของ... ชนเผ่าตองเหลือง

 

 

ตองเหลือง เป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ทำไมใครๆ กลับเรียกว่า “ผีตองเหลือง” แล้วพวกเขาคือ ผีประเภทไหน ในเมื่อมีหลายคำถามเกิดขึ้นในใจ คงปล่อยให้ความสงสัยที่ผ่านมาค้างคาอยู่ไม่ได้ จึงนำประวัติมาให้ดูกัน
 

                    ชนเผ่าตอง เหลือง หรือที่เรียกตนเองว่า “เผ่าบลาบรี” เป็นชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ใน ภาคเหนือของประเทศ และเป็นชนเผ่าพื้นเมืองเดิมคือ เป็นชนเผ่าดั้งเดิม ไม่ใช่ชนเผ่าที่พึ่งอพยพย้ายมาภายหลังเหมือนบางชนเผ่า ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดน่าน และจังหวัดแพร่ เป็นชนเผ่าที่เร่ร่อนอยู่ในป่า มีประชากรประมาณ(ไม่เกิน) ๕๐๐ คน

 

                    ความ เป็นอยู่ ชนเผ่านี้ เดิมอยู่ในป่าที่มีภูมิประเทศลักษณะเป็นลำห้วย หรือภูเขาที่มีป่าทึบ(ดงดิบ)  เพื่อจะหาอาหารง่าย เพราะในป่าจะมีล้ำต้นเผือกหรือมันตามธรรมชาติ อีกอย่างชนเผ่านี้ อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง จะตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ ลำห้วย เพื่อไปเอาน้ำสะดวก และมีการใช้ไม้หรือกิ่งไม้ที่หาได้ง่ายมาทำเป็นเพลิงหมาแหงนมีใบตองกล้วยมุง เป็นหลังคา เมื่อยู่ถึง ๔ วัน หรือ ๗ วันใบตองกล้วยกลายเป็นสีเหลือง เขาก็ต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นแต่ไปไม่ไกล อาจเป็นเหนือลำห้วยหรือใต้ลำห้วย หรืออาจเป็นเขาอีกลำห้วยหนึ่ง แล้วแต่การหาอาหารที่จะสะดวก เมื่อเวลาชนเผ่าพบหรือเจอกัน ให้ดูสัญลักษณ์ที่ใบหู คือมีใบหูเจาะรูไว้หรือไม่ ถ้าเจาะไว้ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน จากนั้นค่อยทักทายกัน

 

                    โดยปกติชนเผ่านี้ไม่ชอบสวมใส่เสื้อผ้า อยู่อย่างสมถะ ความพออยู่พอกิน (เป็นชนเผ่าที่รักเศรษฐกิจพอเพียงมากที่สุด) มีภูมิปัญญาที่จะดำรงอยู่ในป่า คือ การจุดไฟด้วยฝ้ายแห้งและหินจำนวน ๒ ก้อน มากระทบกันเกิดประจุไฟ แล้วกองฟืนแห้งกลายเป็นไฟก่อ สามารถเผาเผือก มัน ให้สุกได้

 

 

 

 

               

 

                        

   

 

 

  ภาษาและวัฒนธรรมและประเพณีชนเผ่าตองเหลือง มี ภาษาของตัวเอง มีวัฒนธรรมและประเพณี เช่นเวลาแต่งงาน (สมรส) ถ้าชายและหญิงพอใจกัน ก็จะไปบอกพ่อแม่ฝ่ายหญิง พ่อแม่ฝ่ายหญิงถามว่า รักกันจริงหรือชายหญิงก็ตอบว่า รักกันจริง จากนั้นก็ไปอยู่ด้วยกันเลยไม่ต้องกินเลี้ยงฉลองแต่งแต่อย่างใด โดยจะอยู่กับพ่อแม่ฝ่ายหญิงก่อน เดือนหรือ ๒ เดือน หรือเป็นปี จากนั้นก็ให้แยกออกไปหากินอิสระได้ ชายหญิงช่วยกันหากิน ส่วนอายุของชายหญิง แต่งงานได้แล้วหรือไม่นั้น ให้ดูที่ขีดความสามารถในการหาอาหารแต่ละคน เวลาใครเสียชีวิตเมื่อรู้แน่ว่าตายแล้ว ก็ให้นำศพไปไว้ในโพรงไม้ แล้วนำก้อนหินไปปิดไว้ ไม่ต้องมาทำพิธี ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจเอาศพเก็บไว้ข้ามคืน ปัจจุบันชนเผ่าตองเหลือง เริ่มเข้ามารวมกันอยู่เป็นหมู่บ้าน เช่น หมู่บ้านห้วยหยวก หมู่ ๖ตำบลแม่ขะนิง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน มี ประชากรทั้งหมด ๓๐ ครอบครัว มีจำนวน ๑๕๙ คน ย้ายมาตั้งอยู่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มีนายศรี หิรัญคีรี เป็นหัวหน้า มีนายแก้ว นายป๋า และนายทอง เป็นกรรมการ สำหรับนายทองและนายป๋า พูดคำเมืองเก่งมาก ทั้งหมดนี้ทางราชการได้ให้สัญชาติไทยแล้ว จึงสามารถเลือกตั้งผู้แทนราษฎร (สมาชิกสภา) ได้เช่นเดียวกับเรา

 

                    การศึกษา ปัจจุบัน ชนเผ่าตองเหลืองเรียนหนังสือในเวียง จังหวัดน่าน แต่ไม่ค่อยอยู่กับเพื่อนได้เนื่องจากความมีปมด้อยของชนเผ่า คือ มีคนเรียกเขาว่า ผีตองเหลือง เขาจึงรับไม่ได้ อย่างไรก็ตามมีเด็กตองเหลืองเรียนจนถึง ม.๓ ก็มีแล้ว แต่ทว่าสังเกตดู เวลาเราขอถ่ายรูปกับเผ่าตองเหลือง และมอบเงินทองให้เขา เขาจะบอกว่าไม่เอาไม่รับ หากต้องการก็ให้ไปมอบที่หัวหน้าเผ่า แสดงว่าในจิตใจของเขายังไม่เกิดความโลภ เป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ไม่เหมือนบางชนเผ่าหรือบางหมู่บ้าน ที่เวลานักท่องเที่ยวขอถ่ายรูปก็จะขอเงินด้วย

 

                    ศาสนา เดิม ชนเผ่าตองเหลือง ไม่มีศาสนาเหตุผลคือ อ้างว่าการนับถือศาสนาคือการเสียเวลา ไปไหนต้องบอกท่าน หากเราไม่นับถือ ไปไหนก็ไม่ต้องบอกท่านแต่ปัจจุบันเผ่าตองเหลืองที่บ้านห้วยหยวกฯ นับถือศาสนาคริสต์ ถามว่าทำไม? ไม่นับถือศาสนาพุทธ นายป๋าบอกว่าศาสนาพุทธมีพิธีเยอะและเสียเวลา คุกเข่าแล้วเจ็บหัวเข่าด้วย พวกเราชาวพุทธทำอะไรอยู่ น่าเสียดายจัง....

 

 

 

จากวารสารพระธรรมจาริก
เขียนโดย: พันตำรวจโท  นาวิน  วงศ์รัตนมัจฉา
นิสิตพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่

 

 

 

 

***********************************

 

 

 

   ประวัติความเป็นมาของทะเบียนบ้าน

 

 
วิวัฒนาการทะเบียนบ้าน
 
        "ทะเบียนบ้าน" เป็นเอกสารราชการที่สำคัญซึ่งทางราชการจัดทำ
ขึ้นเพื่อระบุรายละเอียดที่ตั้งของบ้าน และรายการต่าง ๆ ของบุคคลในบ้าน
ได้แก่ ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน ชื่อบิดามารดา ภูมิลำเนาเดิม
ฯลฯ และจัดทำขึ้นอีกหนึ่งฉบับมอบให้กับเจ้าบ้านแต่ละบ้านถือใช้ประโยชน์
เรียกว่า 
"สำเนาทะเบียนบ้าน" ทะเบียนบ้านถือเป็นส่วนหนึ่งของทะเบียน
ราษฏร ซึ่งรวมทะเบียนคนเกิด คนตาย ย้ายที่อยู่ และการดำเนินการเกี่ยว
กับบ้าน เช่น การขอเลขที่บ้าน การรื้อถอนบ้าน เป็นต้น
 
        ทะเบียนราษฎรของไทยนั้น จะเริ่มเมื่อใด และมีวิธีปฏิบัติอย่างไร
นั้น ไม่มีหลักฐานปรากฏให้แน่ชัด        แต่อาจกล่าวได้ว่า จุดเริ่มของงาน
ทะเบียนราษฎรนั้นน่าจะมาจากการจดทะเบียนชายฉกรรจ์ เพื่อไว้ใช้ในราช
การสงคราม ซึ่งเรียกว่า 
"การจดบัญชีพลเมืองหรือสารบัญชี"
 
        การเกณฑ์ชายฉกรรจ์เพื่อเข้ารับราชการทหารนั้น  มีมาตั้งแต่สมัย
สุโขทัย หรือก่อนตั้งสุโขทัยก็ว่าได้  จนสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ยังมีการจดบัญชี
พลเมืองเหมือนกัน แต่เรียกว่าการสักข้อมือ หลังมือ หรือการสักเลข ซึ่งนอก
จากจะใช้เพื่อประโยชน์ในการเกณฑ์พลเมืองมาเป็นทหารแล้ว ยังสามารถใช้
ประโยชน์ในการใช้เก็บภาษีอากรได้ด้วย
 
        ในปี  พ.ศ.2452   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง
พระราชดำริเห็นว่า   สมควรที่จะให้คิดจัดทำบัญชีคนในพระราชอาณาเขต
เพื่อทราบความแน่นอนว่ามีคนอยู่เท่าใด  และเพื่อประโยชน์ที่จะบำรุงความสุข
และรักษาการแผ่นดินให้เหมือนกับที่เป็นอยู่ในประเทศทั้งปวง จึงทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าให้ตรา  พ.ร.บ.สำหรับทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร
ร.ศ.128 ขึ้น  โดยกำหนดหลักการที่จะต้องดำเนินการสำคัญตามกฏหมาย
ฉบับนี้เป็น 3 ประการ ด้วยกัน

         ประการแรก         ให้จัดทำบัญชีสำมะโนครัวขึ้น
         ประการที่สอง        ให้จัดทำบัญชีคนเกิดและคนตาย
         ประการที่สาม        ให้จัดทำบัญชีคนเข้าออกขึ้น
 
     บัญชีสำมะโนครัว : ต้นกำเนิดของทะเบียนบ้าน
 
                   ในปี พ.ศ.2457  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง
พระราชดำริเห็นว่า พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่  ร.ศ.116    สมควรที่จะ
แก้ไขให้ตรงกับวิธีการปกครองที่เป็นอยู่ทุกวันนี้   จีงได้ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯ  ให้แก้ไข โดยกำหนดว่า  กรณีที่แห่งใดยังใช้ได้ให้คงไว้ แห่งใดที่เก่า
เกินกว่าวิธีปกครองทุกวันนี้ ก็แก้ไขให้ตรงกับเวลา   และได้รวบรวมตราเป็น
พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พุทธศักราช  2457  ขึ้น  ซึ่งได้มีส่วนที่เกี่ยว
ข้องกับการจัดทำทะเบียนสำมะโนครัวในหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และ
 อำเภอ ดังนี้


                                ".........เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านที่จะจัดทำบัญชีสำมะโนครัวในหมู่บ้านของตน
                                        และคอยแก้ไขให้ถูกต้องอยู่เสมอ  กำนันต้องรักษาบัญชีสำมะโนครัว  และทะเบียนบัญชี
                                        ของรัฐบาลในตำบลนั้น  และคอยแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องกับบัญชีของผู้ใหญ่บ้าน   และ
                                        หน้าที่ของกรมการอำเภอในการทะเบียนบัญชี    นั่นคือทำบัญชีสำมะโนครัวและทะเบียน
                                        ทุก ๆ อย่างบรรดาที่ต้องการใช้ในราชการ..........."
 
        ต่อมา พ.ศ.2458  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง
พระราชดำริเห็นว่า ตามที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรา พ.ร.บ.การทำบัญชีคนใน
พระราชอาณาจักรขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2452  แล้ว  และบัดนี้การปกครอง
ท้องที่ก็ได้จัดเป็นหลักฐานมั่นคงแล้ว  จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มี
การจดทะเบียนคนเกิด  คนตายตามหัวเมือง  พุทธศักราช2459 โดยให้ใช้
กฏนี้ในหัวเมืองทุกมณฑล นอกจากมณฑลกรุงเทพ   ซึ่งให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่
1 เมษายน  2459  เป็นต้นไป พร้อมนี้ได้ออกระเบียบว่าด้วยการแจ้งความ
และจดทะเบียนคนเกิด คนตาย ในหัวเมืองด้วย นับแต่ปี พ.ศ. 2452 เป็นต้นมา
 
 
เรามีกฏหมายที่ใช้กับการทะเบียนราษฎร ดังนี้
      1. พ.ร.บ.สำหรับทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2452)
      2. กฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยการทำสำมะโนครัวในมณฑลกรุงเทพฯ  ลงวันที่  17  กรกฎาคม  ร.ศ. 128
      3. กฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยการจดทะเบียนคนเกิ ดาย  ลงวันที่  13  สิงหาคม  ร.ศ.128
      4. กฏเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยการจดทะเบียนคนย้ายตำบลในมณฑลกรุงเทพฯ ลงวันที่ 13 สิงหาคม ร.ศ.128
      5. กฏการจดทะเบียนคนเกิด คนตายหัวเมือง พุทธศักราช 2459
      6. พ.ร.บ.การตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัว และการจดทะเบียนคน เกิด คนตาย  คนย้ายตำบล พุทธศักราช 2460
      7. กฏเสนาบดีกระทรวงนครบาลประกอบพระราชบัญญัติการตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัวและการจดทะเบียนคนเกิด
          คนตาย   คนย้าย  ตำบล พ.ศ.2460
      8. พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พุทธศักราช 2479
      9. พ.ร.บ.การสำรวจสำมโนครัว พุทธศักราช 2479
    10. กฏกระทรวงมหาดไทย ออกตามความใน พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พ.ศ.2479
    11. พ.ร.บ.การสำรวจสำมะโนครัว พ.ศ.2490
    12. กฏกระทรวงมหาดไทยออกตามความใน  พ.ร.บ.การสำรวจ  สำมะโนครัว  พ.ศ.2490
 
 
 
 

ทะเบียนบ้านยุคแรก ปี 2499

           พ.ร.บ. และกฏเสนาบดีต่าง ๆ ที่บังคับใข้เพื่อการทะเบียนราษฎรนั้น

จะเห็นว่ามีอยู่หลายฉบับ    และแต่ละฉบับจะมีกฏข้อบังคับ และระเบียบการวางไว้
ให้ปฏิบัติอีกมาก ล้วนแยกเขตอำนาจหน้าที่ไว้อย่างสับสน เช่นในเขตเทศบาลก็ให้ใช้ 
พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตเทศบาล พ.ศ. 2479 เฉพาะเจตมณฑลกรุงเทพฯ  
ก็ใช้   พ.ร.บ.  การตรวจสอบบัญชีสำมะโนครัวและการจดทะเบียนคนเกิด  คนตาย  
คนย้ายตำบล  พระพุทธศักราช  2460 และนอกมณฑลกรุงเทพฯ นอกเขตเทศบาลให้ใช้ 
พ.ร.บ. ทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร ร.ศ.128 เป็นต้น   นับว่าเป็นการยากแก
่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและแก่ราษฎรผู้จะต้องปฏิบัติตามกฏหมายด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงม
ีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เห็นสมควรให้ปรับปรุงกฏหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
 
 
โดยรวยรวมยกร่างขึ้นใหม่ และรวมวิธีปฏิบัติไว้ในที่แห่งเดียวกัน เรียกว่า "พ.ร.บ.การทะเบียน
ราษฎร พ.ศ.2499" พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2499  ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 
พ.ศ.2499 แต่ยังมิได้มีการบัคับใช้ทุกมาตรา โดยในมาตรา  8  และมาตรา 11 ถึงมาตรา  35  
จะใช้บังคับเมื่อใดให้ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา การที่ไม่ได้ประกาศใช้บังคับพร้อมกันหมด
ทุกมาตรานั้น    เนื่องจากในระยะเวลาที่รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้เป็นระยะเวลา
ที่มีการสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรทั่วราชอาณาจักร โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา36 แห่ง  
พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2499  ซึ่ง ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2499  ให้มีการสำรวจ
ตรวจสอบทะเบียนราษฎรทั่วราชอาณาจักรใน พ.ศ. 2499 ตั้งแต่วันที่  31 พฤษภาคม  พ.ศ. 2499  
ถึงวันที่  30  มิถุนายน  พ.ศ.2499  โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการ  ซึ่งวิธีดำเนินการนี้
คงมีหลักการปฏิบัติคล้ายคลึงกับการสำรวจสำมะโนครัวทั่วราชอาณาจักร คือ
 
 
1. ในการสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรนี้ ไม่มีการสำรวจเจ้า บ้านล่วงหน้า  แต่ได้จัดทำ
บัญชีเจ้าบ้านขึ้น  เพื่อให้นายทะเบียนคัดรายชื่อเจ้าบ้านจากทะเบียนสำมะโนครัวที่มีอยู่ 
และจากสมุดคู่มือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ดังนี้
 
                 ก.  ท้องที่ในเขตเทศบาลให้นายทะเบียนท้องถิ่น(ให้นายกเทศมนตรีเป็นผู้แต่งตั้ง)  
เตรียมคัดบัญชีเจ้าบ้านจากทะเบียนสำมะโนครัว   โดยให้ปรากฏ ชื่อเจ้าบ้าน เลขบ้าน ถนน ตรอก 
ซอย ตำบล อำเภอ ตลอดจนจำนวนคนที่อยู่ในบ้านนั้นลงในบัญชีเจ้าบ้าน
 
                     ข.  ท้องที่นอกเขตเทศบาลในเขตมณฑลกรุงเทพเดิม คือ จังหวัด  พระนคร   ธนบุรี    นนทบุรีและสมุทรปราการ  ให้นายอำเภอดำเนินการเช่น   เดียวกับนายทะเบียนท้องถิ่น โดยจัดเจ้าหน้าที่
ระดมกันคัดบัญชีเจ้าบ้านขึ้น

             ค.  ท้องที่นอกเขตเทศบาล และนอกเขตมณฑลกรุงเทพฯ  เดิมให้นายอำเภอแยกทะเบียนสำมะโนครัวออกเป็นรายหมู่บ้านและมอบให้ผู้ใหญ่บ้าน  ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าหน้าที่สำรวจตรวจสอบไปตรวจ สอบกับสมุดคู่มือกำนัน ผู้ใหญ่บ้านของตน แล้วคัดชื่อเจ้าบ้านลงในบัญชีเจ้าบ้านทั้งนี้  ให้ผู้ใหญ่บ้านได้ตรวจตราให้ตรงกับความเป็นจริงกับบ้านที่อยู่ใน การปกครองของตนอย่าให้ตกหล่น
ไดการดำเนินการในเรื่องนี้จะต้องกระทำให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 15 เมษายน 2499

       2. ในการสำรวจตรวจสอบจำเป็นจะต้องแบ่งเป็นเขตตรวจสอบโดยให้นายอำเภอกำหนดเขตหมู่บ้านหนึ่งเป็นเขตตรวจสอบ   ถ้าหมู่บ้านใดมีราษฎรน้อยจะรวมหลายหมู่บ้านเป็นเขตเดียวกันก็ได้   แต่จำนวนราษฎรในเขตนั้นต้องไม่เกิน  1,000  คน สำหรับในเขตเทศบาลให้แบ่งเขตตรวจสอบโดยใช้เกณฑ์จำนวนราษฎรไม่เกิน 2,000 คน ต่อหนึ่งเขต

       3. เจ้าหน้าที่สำรวจตรวจสอบให้แต่งตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าหน้าที่สำรวจตรวจสอบในเขตหมู่บ้านของตน  ถ้าพิจารณาเห็นว่าไม่เหมาะสม  หรือเป็นท้องที่ที่ไม่มีกำนัน   ผู้ใหญ่บ้าน  ก็ให้มอบหมายให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถทำการสำรวจตรวจสอบได้   เช่น   ครู  นักศึกษา  ฯลฯ  เป็นเจ้าหน้าที่การสำรวจตรวจสอบให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน  เมื่อการสำรวจตรวจสอบทะเบียนราษฎรเสร็จสิ้นแล้ว   จึงได้มีการ จัดทำ"ทะเบียนบ้าน"   ของแต่ละบ้านขึ้น   โดยคัดลอกรายการคนที่อยู่ในบ้านจากแบบสำรวจตรวจสอบ หรือทะเบียนสำมะโนครัวที่จัดทำไว้ก่อนนั้น และนับจากวันที่  15  เมษายน  2499  เป็นต้นมา
จึงได้มีการใข้หลักฐาน "ทะเบียนบ้าน"  เพื่อเป็นทะเบียนประจำบ้านอย่างเป็นทางการ   โดยเรียก
ทะเบียนบ้านฉบับแรกนี้ว่า  "ทะเบียนบ้านฉบับปี 2499"




ทะเบียนบ้านรุ่นที่สอง ปรับปรุงรายการเพิ่มเติม
 
                      ต่อมาในปี 2515 ได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 234 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2515
แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฏร พ.ศ. 2499 บางมาตรา    เพื่อให้ข้อกฏหมายบางเรื่อง
มีความชัดเจนและเหมาะสมกับระยะเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป  และในปีนี้เองได้มีการกำหนดรูปแบบ
ทะเบียนบ้านขึ้นใหม่ โดยปรับปรุงแก้ไขช่องบันทึกรายการบุคคลในบ้านให้มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น
เช่น  ช่องรายการบิดา  และมารดาผู้ให้กำเนิด เป็นต้น โดยเรียกทะเบียนบ้านฉบับนี้ว่า "ทะเบียนบ้านฉบับปี 2515"
 
 
 



ทะเบียนบ้านรุ่นที่สาม : กำหนดเลขประจำตัวประชาชน      

  ปี 2526  ภายหลังจากที่ได้ดำเนินงานโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชนได้ 1 ปี
ผู้อำนวยการทะเบียน อาศัยอำนาจตาม   พ.ร.บ.การทะเบียนราษฏร พ.ศ. 2499
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 234  ลงวันที่ 31  ตุลาคม  2515  ข้อ 2
กำหนดแบบพิมพ์ทะเบียนบ้านขึ้นใหม่ โดยเพิ่มช่องตารางกำหนดเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
เลขรหัสประจำบ้าน  และเลขรหัสกำกับรายการต่าง ๆ ของบุคคลในบ้านเพื่อประโยชน์ในการบันทึก
และประมวลผลข้อมูลการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์  ซึ่งในช่วงนั้นนับได้ว่าเป็นยุคบุกเบิก
งานการทะเบียนราษฏรที่ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการปฏิบัติงานเป็นครั้งแรก และสำหรับทะเบียน
บ้านที่กำหนดขึ้นใหม่ครั้งนี้ เรียกว่า   "ทะเบียนบ้านฉบับปี  2526"

        กรมการปกครองจัดทำ "สำเนาทะเบียนบ้านฉบับคอมพิวเตอร์" ซึ่งพิมพ์จากฐานข้อมูลกลางทะยอยแจกจ่ายให้กับเจ้าบ้านทั้งประเทศจำนวนประมาณ 14  ล้านหลัง  ระหว่างปี  พ.ศ.2531-2539   จึงครบทุกหลังคาเรือน และในปี 2531  ได้เริ่มเปิดบริการคัดสำเนาทะเบียนบ้านของทั่วราชอาณาจักรได้ที่ "หน่วยบริการข้อมูล" ซึ่งตั้งที่สำนักทะเบียนกลาง นางเลิ้ง  ในการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎร   ตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชน  ผู้อำนวยการทะเบียนได้อาศัยอำนาจตาม  พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร  พ.ศ.2499  แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 234  ลงวันที่  31  ตุลาคม  2515  ข้อ 2 วางระเบียบรองรับในการปฏิบัติงานเรียกว่า   "ระเบียบสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร   กรมการปกครองว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎรสำหรับสำนักทะเบียนในเขตปฏิบัติการตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชน พ.ศ.2528

 

 ในปี พ.ศ.2534  ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตรา "พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร  พ.ศ.2534" ขึ้น   โดยยกเลิกฏหมายการทะเบียนราษฎรเดิมทั้งหมดแล้วใช้  พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร   พ.ศ.2534 เพียงฉบับเดียว มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่   22  มีนาคม  2535  เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน นับเป็นกฏหมายการทะเบียนราษฎรฉบับแรกที่มีบทบัญญัติรองรับการปฏิบัติในเรื่องการจัดเก็บบันทึกและประมวลผลข้อมูล ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนประวัติราษฏรด้วยระบบคอมพิวเตอร์   ซั่งมีผลต่อการวางแนวทางในการใช้ทะเบียนบ้านแบบใหม่ในยุคต่อมาในที่สุดความพยายามในการที่จะนำรูปแบบการบริการประชาชนที่สะดวก รวดเร็ว  และถูกต้อง  ซึ่งกรมการปกครองได้ใช้เวลาประมวลผลข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรทั้งประเทศมาเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่ปี 2526 มาใช้ก็บังเกิดผล โดยเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2538  คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เห็นชอบให้ดำเนินการตามโครงการให้บริการประชาชนด้านทะเบียนและบัตรแบบใหม่  ตามที่กรมการปกครองเสนอ
 

 

ทะเบียนบ้านรุ่นที่สี่ : พิมพ์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์
 
         ปี 2531  ได้มีการปรับปรุงบแบบทะเบียนบ้านฉบับปี 2526 อีกครั้ง โดยเปลี่ยนแปลงขนาด    และชนิดของกระดาษพิมพ์ให้สอดคล้องกับระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถรายการต่าง ๆ ในทะเบียนบ้านที่กำหนดใหม่นี้ได้โดยอัตโนมัติ ส่วนช่องรายการต่าง ๆ คงรูปแบบเดียวกันกับฉบับปี 2526  และเรียกทะเบียนบ้านที่กำหนดใหม่ในปีนี้ว่า "ทะเบียนบ้านฉบับปี 2531"              
 
 
 


ทะเบียนบ้านแบบใหม่ : ทะเบียนบ้านฉบับสมุดพก
 
    
 
  นายชูวงศ์  ฉายะบุตร   อดีตอธิบดีกรมการปกครอง ในฐานะผู้อำนวยการทะเบียนกลาง  ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา   8(1)  กำนดแบบพิมพ์ทะเบียนบ้านขึ้นมาใหม่ เรียกว่า "ทะเบียนบ้านฉบับสมุดพก" มีลักษณะคล้ายสมุดเงินฝากธนาคารนับเป็นการปฏิวัติรูปแบบทะเบียนบ้านที่เคยมีมาแต่เดิมอย่าง  สิ้นเชิง  ทั้งนี้   การประกาศใช้ทะเบียนบ้านฉบับสมุดพก เริ่มในเขตพื้นที่อำเภอเมืองปทุมธานี  จังหวัดปทุมธานี   เป็นแหล่งแรกของประเทศเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2538 เพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพรนมพรรษาและต่อมาก็ประกาศใช้ในทุกเขตพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่   1 มกราคม  2539        
 
               
          นอกเหนือจากเอกสาร  "ทะเบียนบ้าน"  ตามกฏหมายการทะเบียนราษฎรฉบับต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ยังได้มีการกำหนดให้จัดทำหลักฐานเอกสารสำคัญอื่น ๆ ด้วย   ที่สำคัญควบคู่กับทะเบียนบ้านคือ รายงานคนเกิด ทะเบียนคนเกิด สูติบัตร ใบแจ้งความย้ายที่อยู่   ใบแจ้งการย้ายที่อยู่ รายงานคนตาย ทะเบียนคนตายและมรณบัตร   เป็นต้น  เอกสารการทะเบียนราษฎรต่าง ๆ  ดังกล่าว   ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบในแต่ละยุคสมัยเป็นลำดับ  แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเอกสารที่ได้จัดทำให้แก่บุคคลได ๆ  แล้วระยะเวลาจะผ่านพ้นไปนานเท่าใดก็ตาม  ก็สามารถนำมาอ้างอิง พิสูจน์ หรือตรวจสอบตัวบุคคลอันก่อให้เกิดผลทางด้านกฏหมายได้ทั้งสิ้น

             

 

 *****************************

 

 

 

 

 

'คปท.'จี้พท.ปลดป้ายหน้าพรรค อัดที่ทำการของกบฏ

 

วันศุกร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556, 16.12 น.
 
 

 

   
 
 
  
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
วันที่ 22 พ.ย. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดยนายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษาคปท. ได้เดินทางมาที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนเพชรบุรี เพื่อเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยปลดป้ายพรรคออก เนื่องจากพรรคนี้กลายเป็นที่ทำการของกบฏไม่ใช่พรรคการเมืองอีกต่อไป
 
โดยทางกลุ่มคปท. ได้นำริบบิ้นผูกโบสีดำมาวางใกล้ป้ายพรรค พร้อมประกาศว่าจะให้เวลา 1 สัปาดาห์ หากไม่ยอมปลดป้ายออกจะนำคนมาปลดป้ายพรรคออกเอง และในสัปดาห์หน้าจะเดินทางไปทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา เพื่อขับไล่ส.ส. และส.ว.จำนวน 312 คน ที่ลงมติแก้ไขร่างรธน.ประเด็นที่มา ส.ว. ต่อไป
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

 

 จับสังเกตุ บิ๊กเนม สส เพื่อไทย แต่ละท่าน ไม่เห็นตื่นเต้นอะไรเท่าไรนัก จึงเดาๆ เอาว่า น่าจะมีไม้เด็ดอะไรอยู่หรืออาจเป็นเป้าหมายลวง แต่สถานการณ์การเมืองในรอบเดือนที่ผ่านมา เจตนา ไม่น่าจะหวังผลสำเร็จ ถ้าสำเร็จก็ถือเป็นโบนัสก้อนโต ไม่ว่า กม.นิรโทษกรรมสุดซอย การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ สว. แม้นแต่การระดมสรรพกำลังของ นปช. อาจเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นเบรคม็อบนกหวีด ไม่ให้แรงเกินเหตุ ประเด็นอาจจะอยู่ที่แก้ผ้าเครืองข่ายฝั่งตรงข้าม ให้ออกมายืนแก้ผ้าให้ ปชช ทั่วไปได้เห็นอย่างชัดเจน ว่าใครเป็นใคร ใครใหญ่ใครเล็ก เขาแบ่งงานกันทำอย่างไร รับไม้ต่อแล้วจะไปไหน ฯลฯ ซึ่งอาจเป็นวัตถุประสงค์หลัก หรืออาจจะเป็นการสร้างความชอบธรรมในการปรับเปลี่ยนบุคคลหรือโครงสร้างองค์กรอิสระ ไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามในการทำงานการเมืองต่อไปในภายภาคหน้า

ส่วนผลพลอยได้ จะอยู่ที่ พรบ.กู้ 2.2 ล้านล้าน มากกว่า เพราะ พรบ.นี้ไม่ใช่ พรบ.เกี่ยวกับการเมือง แต่เป็น พรบ.ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ให้ไปสู่การแข่งขันกับนานาอารยประเทศ และจะเป็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอันสำหรับไปหาเสียงได้อีกหลายยก แต่ถ้า พรบ.นี้ไม่ผ่าน ก็ตีกินเรียกคะแนนสงสาร ปชช สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ แถมเป็นการกระชากหน้ากาก เหล่าลิ่วล้ออำมาตย์ว่า เป็นตัวถ่วงความเจริญของชาติ

 

 

**************************************

 

 

 

 

                                                     พระเมรุมาศ

 

 

 

 

                                 

 

 

 

คำว่า "เมรุ" อ่านว่า เมน หมายถึง ภูเขากลางจักรวาล มียอดเป็นที่ตั้งแห่งเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นที่ประทับของพระอินทร์ เป็นที่มาของการส่งวิญญาณสู่สวรรค์ในพิธีเผาศพ โดยสร้างเมรุมีหลังคาเป็นยอด มีรั้วล้อมรอบด้วย

สำหรับพระมหากษัตริย์ เรียกว่า พระเมรุมาศ (อ่านว่า เม-รุ-มาศ) พระบรมวงศานุวงศ์ เรียกว่า พระเมรุ ส่วนสามัญชนเรียกว่า เมรุ

จากหนังสือ "ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย" สำนักพิมพ์มติชน อธิบายการสร้างเมรุหรือพระเมรุ ว่า เกี่ยวพันถึงคติความเชื่อในสังคมไทย ที่รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาและพราหมณ์

ย้อนกลับไปในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ผ่านพ้นไป 8 วัน ในครั้งนั้น มัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินารา พร้อมด้วยประชาชน และพระสงฆ์ มีพระมหากัสสปเถระ เป็นประธาน พร้อมกันกระทำการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ประดิษฐานบนจิตกาธาน คือ เชิงตะกอนที่ทำด้วยไม้แก่นจันทน์สูง 120 ศอก แสดงว่า ในสมัยพุทธกาลยังไม่ได้ทำรูปแบบเมรุแบบในปัจจุบัน

ทางพุทธศาสนา ยึดถือคติไตรภูมิ กล่าวถึงเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของภูมิทั้งสาม

ทางศาสนาพราหมณ์ เชื่อถือว่ากษัตริย์เป็นพระศิวะหรือพระนารายณ์แบ่งภาคลงมาบำรุงโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นอายุขัย ย่อมกลับคืนสู่สวรรค์

ความเป็นสมมติเทพของกษัตริย์ การประกอบพิธีถวายพระเพลิง ณ พระเมรุมาศ เป็นการส่งพระศพและดวงวิญญาณเสด็จกลับยังเขาพระสุเมรุ

หลักฐานการสร้างพระเมรุในไทย มีปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยพิธีพระบรมศพ ถือเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ของบ้านเมือง มีแบบแผนถือปฏิบัติอย่างมีระเบียบ

การจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงสร้างพระเมรุมาศเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศที่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ถวายแด่พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตล่วงแล้ว พิจารณาพระเดชานุภาพในการสร้างพระเมรุมาศ

ไกรฤกษ์ นานา เขียนในมติชน ว่า การสร้างพระเมรุน่าจะเริ่มในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ราวพ.ศ.2181 ใช้เผาศพเจ้านายเท่านั้น ส่วนชาวบ้านเผาบนเชิงตะกอนง่ายๆ

สันนิษฐานว่าการสร้างพระเมรุมาศในยุคกรุงศรีอยุธยา สร้างเลียนแบบนครวัด "วิษณุโลก" ที่จำลองเขาพระสุเมรุ โดยจินตนาการจากภูเขาหิมาลัย

จากนั้นปรับปรุงแบบแผนจนมีรูปแบบศิลปะไทยในยุคหลังๆ แสดงงานศิลปกรรมแบบอยุธยาอย่างสมบูรณ์

ในสมัยรัชกาลที่ 5 (ครองราชย์ พ.ศ.2411-2453) โปรดให้สร้างเมรุเผาศพอย่างถาวรด้วยปูนไว้ในวัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย (แต่เอกสารบางชิ้นระบุว่า มีเมรุปูน วัดสระเกศฯ ใช้เผาศพตั้งแต่รัชกาลที่ 3)

สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยึดหลักการสร้างแบบพระเมรุมาศตามตำราโบราณราชประเพณีครั้งกรุงเก่าทุกประการ คือ ทำเป็นพระเมรุอย่างใหญ่ มีตัวพระเมรุ 2 ชั้นต่างไปอยู่ภายในพระเมรุชั้นนอกที่ทำเป็นพระเมรุยอดปรางค์หรือยอดรูปดอกข้าวโพด ส่วนใหญ่เป็นไปตามแบบแผนมีต่างกันไปในรายละเอียดเรื่องการออกแบบตามฝีมือช่าง

พระเมรุมาศพระบรมศพรัชกาลที่ 4 ถือเป็นพระเมรุมาศสุดท้ายที่ทำตามแบบโบราณราชประเพณี

สำหรับชาวบ้าน เมรุเผาศพค่อยๆ แพร่ไปอยู่ในวัดสำคัญในกรุงเทพฯ ช่วงปี 2500 ซึ่งหลังจากไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรก (พ.ศ.2504-2509) แล้ว ชนชั้นกลางต้องการเผาศพบรรพบุรุษบนเมรุแบบเจ้านายและชนชั้นสูง จึงสร้างเลียนแบบไว้ตามวัดสำคัญ ก่อนกระจายไปยังวัดเล็กวัดน้อยทั่วประเทศ

ทุกวันนี้ การเผาศพบนเมรุ กลายเป็นสิ่งที่แสดงฐานะและเชิดชูคุณงามความดีของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว


 

 

 

 

***************************************

 

 

 

 

    เจ้าของเขาไม่ได้อยากล้ม รบ.ปู แต่เขาก็ป้องกันเขตอำนาจของพวกเขา

 

 

 

                                   

 

โดย ลูกชาวนาไทย

 

 

ตอนนี้เราวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ดูเหมือนสิ้นหวังเต็มทน มันไม่มีองค์กรที่จะทานอำนาจศาลรัฐธรรมนูญได้ พวกเขาจึงใช้อำนาจโดยปราศจากการควบคุมใดๆ เลย ดังนั้นไม่ว่าเราทำอะไรไป พวกเขาก็ขัดขวาง จนเกิด Deadlock ตรงนั้นหมด แม้การกระทำของ ตลก. ไม่ทำให้ฝ่ายเขาได้อำนาจรัฐ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้

ต่อให้เราโหวตวาระ 3 ก็คงเจออย่างเดิมอีก (แต่ก็ไม่มีปัญหาที่เราจะสู้ดีกว่าอยู่เฉยๆ) ก็คงต้องตรึงกันไปอย่างนี้

แต่หากพวกโนไปฟ้อง ปปช. มันก็เปลี่ยนแค่คนโหวกเท่านั้น แต่ "เจ้าของ" เขายังไม่ลุยหากเขาจะลุย ก็ลุยเมื่อวานนี้ไปแล้ว แต่เขากลัวภาวะจลาจล ไร้ระเบียบที่ควบคุมไม่ได้

หากเราไม่ไร้เดียงสาเกินไป เราต้องยอมรับว่า "เจ้าของ" เขาไม่ให้แก้ รธน.เรื่องที่มาของ สว. แต่เขาก็ไม่ต้องการให้วุ่นวายมากจนควบคุมไม่ได้ และเกิดวิกฤติ จึงไม่ล้ม รบ./สภา เพราะหากเกิดวิกฤติในช่วงเปลี่ยนผ่านต่างๆ พวกเขาย่อมเสียประโยชน์มากกว่า

ถึงแม้ว่าพวกเขาต้องการล้ม รบ. ปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญคือ ไม่สามารถหาคนที่ "ทุกฝ่ายยอมรับ" มาปกครองได้ การเอา รัฐบาลตีตราคนดีแบบ สุรยุทธ์ จุลลานนท์มา ก็ไปไม่รอด พวกเขาลองอีกครั้ง โดยเอาคนอย่างอภิสิทธิ์ขึ้นมา ก็มีแต่ความวุ่นวาย

แต่พอ "นายกฯปูขึ้นมา" ความวุ่นวายก็หายไป แม้บริวารจะต่อต้านนายกฯปูบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แบบจำลองนายกฯปู จึงน่าจะเป็นสิ่งที่ "เขา" พอใจแล้ว

สถานการณ์ตอนนี้ จึงมีแต่ปูเท่านั้นที่เอาอยู่ "แต่เขาก็ไม่ต้องการให้เราไปละเมิดเขตอำนาจเขา" มันก็เลยคาราคาซัง อยู่กันไป เขาแฮบปี้ดี เรารุกเข้าไปในเขตอำนาจที่เขาสงวน เขาก็ถีบกลับมา

เขาคือระบอบอำมาตย์

พวกเขาไม่เชื่อมือ ปชป.แล้ว แต่ทำรัฐประหารก็ไม่ได้ ตั้ง รบ.แห่งชาติพวกเสื้อแดงก็สู้หนัก บริหารไม่ได้ ภาวะแบบนี้ให้พวกเราบริหารไป เขาก็มีที่ยืน

สำหรับม็อบต้าน พรบ.นั้น เจ้าของบางกลุ่ม (เธอ) หนุน แต่มันจบไปตั้งแต่ ปูถอยเรื่อง พรบ.แล้ว คนเสื้อเหลืองส่วนใหญ่ไม่ออกมา ตอนนี้มันก็แค่ "ม็อบสุุเทพ" เขาไม่สนใจหรอก คนเข้าร่วมก็น้อย ไม่กระเทือนระบบแต่อย่างใด

เจ้าของมีหลายคน เชื่อว่าเจ้าของมากที่สุด วางเฉย พอปลุกไม่ขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าไปไม่รอด เขาก็คงเลิกสนใจ

เมื่อเราพอรู้เจตนาของเจ้าของเขาแล้ว ผมฟันธงว่า เขาได้ตกลงใจอะไรบ้างแล้ว ในการเปลี่ยนผ่าน เราพอเห็นร่อยรอยอยู่ หากสังเกตุให้ดี เขาเตรียมตัวให้ "บุรุษ" ขึ้น นั้นน่าจะเป็น "ประโยชน์สูงสุด" ของเขา ไม่เกี่ยวกับว่าใครจะเป็นรัฐบาล เพราะนั้นมันแค่บริวารอำมาตย์ บุรุษขึ้นอย่างมั่นคง มีคนส่วนใหญ่ของประเทศ (เสื้อแดง) ยอมรับ มันไม่มีอะไรสมบูรณ์เท่านี้อีกแล้ว ก็แค่ไปปลอบโยนบริวารบ้างเท่านั้น

เรารอดูเดือนหน้า หากมีอะไรสำคัญเราจะพอเห็นทิศทาง อันนี้เพื่อนวิเคราะห์มา

หากเดือนหน้า มีบางอย่างเกิดขึ้นนั่นคือ สัญญาญของจริง

ผมคิดว่าเมืองไทย คงไม่นองเลือดแล้ว เพราะมันนองไปแล้วตั้งแต่ปี 53 พวกเขาก็เรียนรู้ และขณะนี้เขาก็ "แจ่มใสขึ้น" อาจคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว

หากเป็นอย่างที่ผมคิด พวกเขาฉลาดมาก เขาส่ง บางคนขึ้นฝั่งได้แล้ว พวกเขาจะต้องการอะไรมากกว่า ให้เขาคนนั้นขึ้นฝั่งได้ มีที่ยืน

สำหรับ นปช. ก็ต้องเสนอมากเอาไว้ก่อน เช่นการโหวตวาระสาม เพราะปลุกคนมาแล้ว ตอนนี้ป้องกันเมืองสำเร็จ ป้องกันนายกฯปูได้แล้ว นี่คือขั้นตอนส่งพี่น้องเสืี้อแดงกลับบ้าน

ที่ผ่านมาสามสัปดาห์นี้ เป็นสงครามของ "เธอ" ไม่ใช่สงครามของเจ้าของ แต่เธอไปไม่รอด และบุรุษก็มีกองทัพส่วนตัวแล้ว แสดงว่าเจ้าของอนุญาติให้ "เขา" ป้องกันตัวได้ เพื่อเตรียมตัวต่อไป ก็ต้องมีกองทัพที่ไว้ใจได้ปกป้อง

บุรุษเขาก็ต้องคุ้มครอง พท. ด้วย เพราะต้องยกมือในการเปลี่ยนผ่านด้วยเป็นการเอื้อผลประโยชน์กัน เจ้าของเขาก็คงไม่อยากทำลาย กำลังของ "บุรุษ"

เราอย่าไปอิน กับการโหวตวาระสามมาก พูดได้ ลุยได้ แต่อย่าตั้งความหวังไว้มาก เราต้องอยู่ไปแบบนี้จนกว่าจะพ้นระยะเปลี่ยนผ่าน

สรุป สงครามครั้งนี้เราไม่ชนะทั้งหมด แต่ไม่ได้เสียอะไรมาก แต่สำหรับเสื้อแดงเข้มแข็งขึ้นมาก ทักษิณ/พท ต้องฟัง นี่คือชัยชนะของประชาชนในขั้นนี้

สิ่งที่พังไปในยุทธการสามสัปดาห์นี้คือ "การเจรจาของทักษิณ" ต่อไปทักษิณคงรู้ตัวว่าแนวทางนั้นไม่รอด ต้องรอพ้นระยะเปลี่ยนผ่านอย่างเดียว

ผมคิดว่า เจ้าของเขามีความสุข ช่างหัวบริวารมัน ช่วยมันแค่ที่ช่วยได้ ดูแล "เขา" ให้ยืนได้ก็คือความสำเร็จแล้ว และอย่าไปแหย่ประชาชนมากนัก

ปูบริหารไป นปช./เสื้อแดงสร้างเครือข่าย และค่อยๆ เปลี่ยนพรรคเพื่อไทย สนับสนุน primary vote ในเขตที่ทำได้ มันมีเวลาสงบช่วงหนึ่งระยะก่อนครบวาระ

อย่างน้อยอำนาจต่อรองของ "วัง นปช./เสื้อแดง" ในพรรคเพื่อไทยก็มากขึ้น พวกประจบสอพลอก็ลดอิทธิพลลง เราแค่กำจัด สว.สรรหายังไม่ได้

 

 

 

 

 

*************************************

 

 

guest

Post : 2013-11-11 19:39:12.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ปาฎิหารย์สมเด็จพระสังฆราช

 

อาลัยขวัญมิ่งแก้ว……………สงฆ์บิดร


สมเด็จพระญาณสังวร……….เยี่ยมหล้า


นิพนธ์จิตนคร………………...งามเด่น


น้อมส่งนิวัติฟ้า………………..สู่ห้วงธรรมสถานฯ "

 

 โดย  อริญชย์               

 

 

 

 

              

 

 

• บอกเล่า"ปาฏิหาริย์" สมเด็จพระสังฆราช


+โพสต์เมื่อวันที่ : 30 ต.ค. 2556

 


.....

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 100 พรรษา เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2556 ถือว่ามีพระชนมายุมากกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตที่ผ่านมา ตลอด 24 ปีที่ทรงดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งยาวนานที่สุดกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ ทรงเป็นพระภิกษุที่เคร่งในพระธรรมวินัยยิ่งนัก เป็นเสาหลักแห่งบวรพระพุทธศาสนาเรื่อยมา และมีพระอัจฉริยภาพด้านต่างๆ รวมถึงพระจริยาวัตรอีกนานัปการ

 

 

 




ภาพที่ยังคงติดตาตรึงใจชาวพุทธทุกคนนั่นคือ ทรงเป็นพระของประชาชนโดยแท้ แม้ว่าจะทรงเป็นสังฆราช แต่ทรงเป็นพระภิกษุผู้เรียบง่าย พระเณร ลูกศิษย์ลูกหา เข้าถวายงานได้อย่างใกล้ชิด ทรงรับกิจนิมนต์ทุกงาน จนทุกคนมีโอกาสได้สัมผัสพระบารมี


เช่นเดียวกับ พระราชรัตนมงคล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ผู้ถวายงานอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เป็นสามเณร ได้เล่าย้อนกลับไปเมื่อครั้งสมเด็จพระสังฆราชเสด็จปฏิบัติธรรมที่วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) จ.บึงกาฬ ได้พบ พระราชรัตนมงคล ตอนนั้นบวชเป็นสามเณร อายุราว 15 ปี จากนั้นสมเด็จพระสังฆราชทรงชักชวนให้เข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ก็ได้อยู่ถวายงานตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์


ตลอดเวลาเกือบ 40 ปี พระราชรัตนมงคลจึงเป็นพระผู้ใกล้ชิด และติดตามสมเด็จพระสังฆราชไปทุกที่ที่พระองค์ท่านเสด็จรับกิจนิมนต์ ด้วยเหตุนี้ พระราชรัตนมงคลจึงเป็นผู้ที่ได้ชมพระบารมี และสัมผัสเหตุ "ปาฏิหาริย์" ของสมเด็จพระสังฆราชอยู่บ่อยครั้ง


เหตุการณ์หนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนนั้นเกิดไฟไหม้ที่ชุมชนบางลำพูหลังวัดบวรฯ ตรงนั้นชาวบ้านอาศัยอยู่หนาแน่น วันนั้นพระองค์ประทับอยู่ที่วัดบวรฯ ทรงพระดำเนินลงจากพระตำหนักไปทอดพระเนตรจุดที่เกิดเหตุด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น ไม่ช้าไฟก็ค่อยๆ ดับ จนข่าวแพร่สะพัดว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงอธิษฐานจิตดับไฟ


พระราชรัตนมงคลเล่าต่อว่า ทุกคนทราบกันดีว่าพระไพรีพินาศวัดบวรฯ ได้รับความนิยมอย่างมาก จึงมีหลายครั้งที่สมเด็จพระสังฆราชต้องเสด็จไปทรงเป็นองค์ประธาน เททองหล่อพระ หรือทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล อาตมาได้ติดตามพระองค์ไปหลายครั้ง ก็เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดหลายครั้ง บางครั้งไฟร้อนๆ เวลาเททอง สายสิญจน์ไม่ขาด ไม่ไหม้ไฟ โดยเฉพาะวันเททองหล่อพระกริ่งปวเรศ รุ่น 2


ชาวบ้านเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงมีบุญบารมี พระหรือวัตถุมงคลที่ท่านสร้างจึงได้รับความนิยม มีบ่อยครั้งที่ลูกศิษย์ที่ได้รับไปกลับมาเล่าให้สมเด็จพระสังฆราชฟังว่ารอดชีวิตจากรถคว่ำ เพราะมีวัตถุมงคลของพระองค์ รวมถึงมีปาฏิหาริย์ให้เห็นในหลายเรื่องด้วย


"อาตมาเคยเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอยู่ครั้งหนึ่ง ด้วยต้องทำหน้าที่ถวายงาน จึงต้องติดตามเสด็จไปไหนมาไหนอยู่บ่อยๆ มีอยู่วันหนึ่ง นั่งเครื่องบินไปกิจนิมนต์ต่างจังหวัด อาตมานั่งใกล้สมเด็จพระสังฆราช ระหว่างทางเหมือนพระองค์จะทรงรู้ล่วงหน้า สมเด็จพระสังฆราชทรงสะกิดอาตมาแล้วบอกให้ตั้งสติดีๆ แล้วสวดมนต์ในใจ หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องบินก็ตกหลุมอากาศรุนแรง" นี่ก็เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรฯ เจอกับตัวเอง


เหตุการณ์ครั้งที่สมเด็จพระสังฆราชเสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตลอดระยะเวลา 11 ปี มีหลายครั้งเกิดเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะตอนพระอาการประชวรของพระองค์ทรุดหนัก ก่อนสิ้นพระชนม์ เครื่องวัดความดันพระโลหิต และความดันของพระหทัย นิ่งอยู่ในระดับ 50 ครั้งต่อนาทีนานมาก เหมือนพระองค์ทรงนั่งกรรมฐาน เป็นเช่นนี้จนกระทั่งพระองค์สิ้นพระชนม์


เรื่องที่ขณะนี้หลายคนพูดถึงกันมากว่าเป็นความน่าอัศจรรย์ คือเรื่อง "ตัวเลข" พระองค์ประสูติเมื่อปี 2456 ประจวบเหมาะวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์ คือวันที่ 24 ตุลาคม ปี 2556 และทรงดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระสังฆราช 24 ปี จึงกลายเป็นความบังเอิญที่น่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย และเมื่อดูจากตำราโหราศาสตร์ ลองคำนวณดูแล้วจากวันประสูติกับวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์ จะเห็นว่ามีดวงดาวที่เป็นวินาศแก่ลัคนาของพระองค์ท่านถึง 5 ดวง


พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เล่าเสริมเหตุการณ์ช่วงที่สมเด็จพระสังฆราชทรงประชวร และประทับอยู่ที่โรงพยาบาลว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง แพทย์ และพยาบาลใช้เข็มฉีดยาเจาะพระโลหิตไปตรวจ ปรากฏว่าเข็มดูดพระโลหิตออกมาไม่ได้ ทุกคนที่อยู่ในห้องตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไปตามแพทย์คนอื่นมาช่วยดู ตอนนั้นมีพระลูกศิษย์ถามว่า ตอนเจาะพระโลหิต ได้ขอประทานอนุญาตสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่ แพทย์และพยาบาลบอกว่าลืม จากนั้นแพทย์จึงได้ขอประทานอนุญาต พระโลหิตจึงไหลออก


"เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเมื่อครั้งที่พยาบาลนำเครื่องวัดชีพจรมาเพื่อวัดความดันพระโลหิต และอัตราการเต้นของพระหทัย พอเสียบเครื่องวัดไปที่นิ้วพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราช เครื่องก็ไม่ทำงาน อาตมาอยู่ในเหตุการณ์จึงถามว่า ไม่ได้เช็กเครื่องให้ดีหรือ แต่เมื่อเอาเครื่องมาเสียบที่นิ้วอาตมากลับใช้ได้ อาตมาเลยถามว่าได้ขอประทานอนุญาตหรือไม่ พยาบาลบอกลืม พอขอประทานอนุญาต เครื่องก็ทำงานตามปกติ"


เหล่านี้คือคำบอกเล่าส่วนหนึ่งเกี่ยวกับพระบารมีของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


 

 

 

ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม หน้า 13

 

 

  

 

 **************************************

 

 

          ผมว่าเกมนี้ ปชป.แพ้หมดตัว

 

ฝ่ายประชาธิปไตยโดนถีบถอยมาหนึ่งก้าว

 
 
 
 

 

ผมคิดว่าศึกยกนี้  ที่เสียและแย่จนหมดตัวคือ "พรรค ปชป.กับนายสุเทพ" ที่ทุ่มจนหมดตัว ถอยไม่ได้ และ สส. ปชป. 8 คนที่ลาออก

 

ฝ่าย อำนาจเก่าเขาก็ยังรักษาอะไรของเขาไว้ "นิดหนึ่ง" สำหรับผมแล้ว แม้จะยอมรับในหลักการของ ศาล รธน.ไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ไร้เดียงสาว่านี่เป็นเรื่องกฎหมาย อย่างเดียว มันเป็นเรื่อง" Power Play เกมการเมือง มันจึงไม่สามารถเอาหลักการมาจับได้ทั้งหมด ก็คือว่า ยังอยู่กันไป แบบกล้ำกลืน

 

ปชป.แพ้หมดตัวครั้งนี้ กลุ่มอำนาจเก่าเขาไม่ได้แคร์ ปชป.เท่าไหร่ เขาแค่รักษาอำนาจต่อรองของเขาไว้ คอยคุมฝ่ายก้าวหน้า เพระาเขารู้ว่า พวกเขาไม่มีพลังเพียงพอที่จะขึ้นมาคุมเอง มันจะเกิดจลาจล เลย "ขอเอาไว้นิด"

 

ผมพอคาดการณ์ได้ตั้งแต่เมื่อวานว่า "เขาจะหยุดเฉพาะการแก้ไขที่มาของ สว." เท่านั้น แต่จะไม่กล้าไปล้มรัฐบาล หรือล้ม สส. เพราะมันจะทำให้เกิดภาวะ Chaos อย่างรุนแรง

 

แต่ "เขา" ก็จำเป็นต้องรักษาพวกพ้องของเขาไว้ ดังนั้นถึงยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมให้ แก้ไขที่มาของ สว. (ในตอนนี้ ในอนาคตมันไม่มีอะไรแน่)

 

สรุปคือ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ Chaos มันก็สามารถยุติกันได้ตรงนี้แหละ คือ หยุด เรื่อง สว.ไว้
 

ต้องให้พ้นยุคเปลี่ยนผ่านครับ
ฝ่ายกลุ่มอำนาจเก่า กับ ฝ่ายก้าวหน้าตอนนี้ต้องเรียนรู้ที่จะ "อยู่ร่วมกัน" ไป เจ็บบ้าง ช้ำบ้าง ก็คงต้องถูลู่ถูกังไปแบบนี้

 

เกมการเล่นกับเวลาอย่างสุขุมรอบคอบ 

การแก้ที่มาสว.

การลากปชป.(จำนวนหนึ่ง)ออกมาแก้ผ้า

การเขย่าฐานอำนาจภายใน

และ ... การจัดการตลก.

มันก้อคือแผนขั้นบันไดที่พท.จัดวางมาสักระยะแล้วคับ

วันฟ้าใสคงได้เห็นอะไรที่ชัดมากขึ้นกว่านี้

 

บอกได้แค่ว่าโหดและเลือดเย็นมากๆ

 

 เหมือนกับว่าขอหยุดไว้ชั่วคราว  

อยากยุบเพื่อไทยใจจะขาด แต่ลำบากถ้าทำตอนนี้

 

 สรุปคือ ยังแก้ปัญหาแบบไทยๆ กันอยู่คือยังไม่แตกหัก ฆ่ากันเป็นเบือเหมือนอาหรับ

เมื่อยุคเปลี่ยนผ่านมาถึง แล้วรัฐบาล สถาปนาความมั่นคงทางอำนาจ เช่น คนในระบบราชการต่างๆ

เร่งเกมมากไป ก็โดนถีบกลับมา แต่ก็ยังไม่ถีบจนตกเหว เพราะกลุ่มอำนาจเก่ากล้วความวุ่นวาย

 

สมัยที่สองของนายกฯปู ฝ่ายหัวก้าวหน้าอาจมีอำนาจมากขึ้น นั่นล่ะ จะคือบทสรุปของเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหลาย ว่าจะจบลงอย่างไร?..........

 

 

 

 

 

******************************************

 

 

 

 

             ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก

 

 

 

 

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

ประเทศเดนมาร์ก

 

ชื่อทางการ  ราชอาณาจักรเดนมาร์ก
พรมแดน  ทางด้านใต้มีพรมแดนติดกับประเทศเยอรมันนี 
ภูมิประเทศ  เดนมาร์กตั้งอยู่ระหว่างทะเลบอลติกและทะเลเหนือ ล้อมรอบด้วยพื้นน้ำเกือบทั้งหมด ภูมิประเทศประกอบด้วยคาบสมุทร Jutland (Jylland) และเกาะต่างๆอีก 406 เกาะ ในจำนวนนี้ มี 76 เกาะที่มีผู้อยู่อาศัย 
ภาษา  ภาษาหลักที่ใช้ในประเทศเดนมาร์ก เราเรียกว่า ภาษาแดนิช (Danish) แต่คนแดนิชส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ดี รวมทั้งใช้ภาษาเยอรมันในแถบชายแดนที่ติดกับเยอรมนีด้วย โดยใช่ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาราชการ 
การปกครอง  ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ
เมืองหลวง  โคเปนเฮเกน
พื้นที่  รวม 43,094 ตร.กม.
สกุลเงิน โครนเดนมาร์ก (DKK) โดย 1 DK ประมาณ 5.5 บาท
ประชากร  ประมาณ  5.4 ล้านคน
เวลา  ช้ากว่าประเทศไทย 5 ถึง 6 ชั่วโมง ประมาณอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม จะมีการเปลี่ยน เวลาให้เร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง (DST) ทำให้เวลาเดนมาร์กช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง และหน้าหนาว ประมาณอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม จะมีการเปลี่ยนเวลาให้ช้าลงหนึ่งชั่วโมง ทำให้เวลาเดนมาร์กช้ากว่าเมืองไทย 6 ชั่วโมง
รหัสโทรศัพท์  45

                

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

        ประเทศเดนมาร์ก เป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มแสกนดิเนเวีย มีอากาศหนาวตลอดทั้งปี (มีหนาวมากกับหนาวน้อย อุณหภูมิต่ำสุดเมื่อปี 2553 ประมาณ -20 องศาเซลเซียส โดยมีช่วงฤดูหนาวยาวนานถึง 6 เดือน)  เดนมาร์กเป็นประเทศที่มีพื้นฐานมาจากเกษตรกรรม ซึ่งปัจจุบันก็มีทั้งการเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่เป็นที่รักรู้จักในเรื่องของฟาร์มโคนม และโด่งดังในเรื่องตำนานของชาวไวกิ้ง หรือเหล่านักรบที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนเรือ ก่อนจะอพยพมาสร้างถิ่นฐานบนภาคพื้นทวีป แถบแสกนดิเนเวียในปัจจุบัน สำหรับค่าครองชีพในเดนมาร์กนั้น ค่าอาหารมื้อหนึ่งตกอยู่ที่ประมาณ 570 บาท น้ำเปล่าแบบขวดลิตร ประมาณ 81 บาท นมลิตรละ 36 บาท ค่าขนส่งสาธารณะตั๋วหนึ่งเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 122 บาท

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 


กิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเดนมาร์ก


- โคเปนเฮเกน 
        โคเปนเฮเกนเป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองชายฝั่งทะเลของประเทศเดนมาร์ก ตั้งอยู่ชายฝั่งตะวันออกของเกาะซีแลนด์ มีการทำประมงและเป็นเมืองท่าของการขนส่งสินค้า การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

- เงือกน้อย “Little Mermaid” 
        ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เป็นนักแต่งนิทานที่โด่งดังของเดนมาร์ก หนึ่งในผลงานที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกก็คือเรื่อง เงือกน้อย (ผลงานอื่นๆที่มีชื่อเสียง เช่น พระราชากับชุดล่องหน และ ลูกเป็ดขี้เหร่)  รูปปั้นเงือกน้อยนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งเป็นผลงานของ Edv. Eiriksen ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงจินตนาการของแอนเดอร์สัน

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

- พระราชวังอะมาเลียนบอร์ก (Amalienborg Palace)
         เป็นที่ประทับของราชวงค์เดนมาร์กมาตั้งแต่ค.ศ. 1794  เป็นสถาปัตยกรรมแบบร็อคโคโค ตรงกลางมีพระรูปทรงม้าของพระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 4 ปีกด้านหนึ่งของพระราชวังนั้นเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมห้องต่าง ๆ ที่เคยเป็นพำนักของราชวงศ์ในสมัยก่อน

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

- ปราสาทโรเซนเบิร์ก (Rosenborg Castle)
        เป็นปราสาทสมัยศตวรรษที่ 17 แบบดัตช์เรอเนสซองส์ สร้างในสมัยพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 นอกจากความงามของตัวตึกภายนอกและภายในแล้ว ยังเป็นที่เก็บเครื่องเพชร มหามงกุฎ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของราชวงศ์เดนมาร์กอีกด้วย

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

- น้ำพุแห่งราชินีเกฟิออน (Gefion Fountain)
        น้ำพุแห่งราชินีเกฟิออน ซึ่งได้มีตำนานเรื่องเล่ว่า เทพเจ้าได้ดลบันดาลให้ราชินีเกฟิออนกอบกู้บ้านเมือง พระนางจึงได้แปลงร่างลูกชายทั้ง 4 คนให้กลายเป็นโค เพื่อที่จะได้ช่วยไถพื้นดินขึ้นมาจากใต้น้ำ ซึ่งพื้นดินนั้นก็ได้กลายมาเป็นประเทศเดนมาร์กในปัจจุบันนั่นเอง

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)


- พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง
        พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ที่เมืองโคเปนเฮเกน ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว เดนมาร์กมีบรรพบุรุษเป็นชาวไวกิ้งโบราณ ที่ดำรงชีวิตบนเรือที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ ภายในพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งมีซากเรือไวกิ้งโบราณจัดแสดง ซึ่ง เป็นซากเรือที่กู้มาจากใต้ทะเลลึก มีทั้งแบบที่สมบูรณ์ทั้งลำ และแบบที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)


- อาหารเดนมาร์ก
        วัฒนธรรมอาหารของเดนมาร์กส่วนมากคล้ายคลึงกับกลุ่มประเทศนอร์ดิกอื่นๆ ซึ่งบางส่วนรับวัฒนธรรมการกินมาจากเพื่อนบ้านอย่างเยอรมนี โดยส่วนมากประกอบขึ้นจากปลา, เนื้อ ,อาหารจากนม เป็นต้น ซึ่งบางครั้งจะรวมเบียร์เข้าไปในบางมื้อเช่น มื้อเย็นด้วย

 

ข้อมูลประเทศเดนมาร์ก (Denmark)

 

 

 

 

    ยูเอ็นเผย “เดนมาร์ก” ครองแชมป์ ประชาชน “สุข” ที่สุดในโลก แม้หนี้ดก

 

 

 

ยูเอ็นเผย “เดนมาร์ก” ครองแชมป์ ประชาชน “สุข” ที่สุดในโลก แม้หนี้ดก

 

 

 เอเอฟพี - พวกเขาคือประชาชนที่เป็นหนี้มากที่สุดในโลก และต้องอดทนผ่านช่วงฤดูหนาวที่ยาวนานและมืดมิด อีกทั้งยังมีช่วงชีวิตสั้นกว่าพลเมืองของหลายๆ ประเทศในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
       
       แต่กระนั้นในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมาชาวเดนมาร์กก็ยังจัดให้ตนเองเป็นชนชาติที่มีความสุขมากที่สุดในโลกอยู่เสมอ
       
       ส่วนชาวต่างชาติในเดนมาร์กได้เพียรพยายามหาทฤษฎีต่างๆ มาอธิบายว่าเหตุใดประชากรเจ้าของประเทศจึงพึงพอใจกับความเป็นอยู่ของตัวเองมากมายเช่นนี้ โดยมีตั้งแต่นโยบายสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมกัน ประวัติศาสตร์ของชาติ ไปจนถึงการพร่ำบ่นว่าเป็นเพราะคนบางกลุ่มมีความสุขที่เรียบง่ายกว่าคนอื่น
       
       “ที่นี่คุณสามารถก้าวไปสู่ตำแหน่งนักการเมืองระดับสูง หรือกรรมการบริหารบริษัท แม้ว่าคุณเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง” โจเซฟิน โฮเอจ์ หญิงชาวฟิลิปปินส์ผู้ที่ย้ายมาอาศัยในประเทศสแกนดิเนเวียแห่งนี้เมื่อ 40 ปีที่แล้วกล่าว
       
       กระทั่งตัวชาวเดนมาร์กเองก็ข้องใจไม่แพ้กันกับความสุขที่พวกเขาถูกกล่าวอ้างว่ามีอยู่เต็มเปี่ยม และบางครั้งนำเรื่องนี้มาเอ่ยอย่างขบขัน เมื่อข้อมูลชี้ว่าพวกเขาไม่น่าจะมีความสุขขนาดนั้น เป็นต้นว่า ข้อมูลจากองค์การความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ที่ระบุว่าชาวเดนมาร์กต่อหัว เป็นผู้บริโภคยาแก้โรคซึมเศร้ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก
       
       ในปีนี้ ประเทศนี้ขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของรายงานประจำปีขององค์การสหประชาชาติที่มีชื่อว่า “รายงานความสุขทั่วโลก” (World Happiness) แม้ว่าจะกำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       ในรายงานฉบับนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามจะถูกขอให้ประเมินสถานะความเป็นอยู่ในปัจจุบันของตนเอง โดยกำหนดระดับความพอใจตั้งแต่ 0 ไปจนถึง 10 ซึ่งตัวเลขระดับสูงสุดนั้นหมายถึงชีวิตที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะมีได้ ในขณะที่เลข 0 หมายถึงชีวิตอันเลวร้ายที่สุด
       
       ทั้งนี้ เดนมาร์กได้คะแนนเฉลี่ย 7.693
       
       “หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ชาวเดนมาร์กมีความสุข ก็คือ ความมั่นคงปลอดภัยในสังคมเดนมาร์ก” เมก ไวกิง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยความสุข ซึ่งเป็นองค์การคลังสมองของเดนมาร์ก ที่มีพันธกิจในการปรับปรุงคุณภาพชีวิต และอื่นๆ ทั้งในเดนมาร์ก และต่างประเทศ

 

ยูเอ็นเผย “เดนมาร์ก” ครองแชมป์ ประชาชน “สุข” ที่สุดในโลก แม้หนี้ดก

 
 
  “ความมั่นคงทางการเงินอยู่ในระดับที่สูงมาก หากถูกเลิกจ้าง รัฐบาลก็ยังช่วยเหลือเรา เมื่อไม่สบาย เราก็สามารถไปโรงพยาบาลได้ และอื่นๆ อีกมากมาย” เขากล่าวเสริม
       
       ถึงแม้เดนมาร์กจะเป็นประเทศที่มีการเรียกเก็บภาษีสูงที่สุดในโลก เมื่อเทียบเป็นอัตราร้อยละของเศรษฐกิจโดยรวม แต่ชาวเดนมาร์กจำนวนมากก็ตระหนักถึงคุณค่าของเงินประกันสังคมที่ได้รับกลับมา ซึ่งรวมถึง การได้เงินสงเคราะห์เพื่อดูแลเด็ก และเงินประกันสังคมการว่างงาน ซึ่งประชาชนจะได้รับเงิน 80 เปอร์เซ็นต์ของค่าแรง เป็นเวลา 2 ปี หากพวกเขาถูกเลิกจ้าง
       
       ทั้งนี้ รัฐบาลกลางซ้ายชุดปัจจุบันจำเป็นต้องตัดทอนผลประโยชน์บางส่วน เป็นต้นว่า ทุนการศึกษาให้เปล่า และเงินประกันสังคมสำหรับการว่างงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ มอบให้นานถึง 4 ปี แต่ถึงแม้จะลดลงแล้ว เดนมาร์กก็ยังคงขึ้นนำเป็นชาติที่ใจกว้างที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอยู่ดี
       
       นอกจากนี้ ไวกิ้งยังบอกด้วยว่าสิ่งสำคัญอีกประการที่ทำให้ผู้คนที่นี่มีความสุขก็คือ การที่ประชาชนมีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันสูง แม้กระทั่งกับคนแปลกหน้าที่เดินตามท้องถนน
       สิ่งนี้อาจเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการที่ประชาชนไว้วางใจในรัฐบาลมาก เนื่องจากมีประวัติการคอรัปชันน้อย
       
       “เรามีความเชื่อว่า สถาบันประชาธิปไตยต่างๆ ของเราคอยปกป้องดูแลเรา และรัฐต้องการทำในสิ่งที่เป็นผลดีต่อเรา” เขากล่าว
       
       ***
       ความเป็นรัฐสวัสดิการของเดนมาร์ก ไม่ได้ต่างจากประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคยุโรปเหนืออะไรนักหนา ทว่า ผลสำรวจชี้ว่าประเทศนี้มีคะแนนสูงกว่าพวกประเทศเพื่อนบ้านในด้านความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคม ซึ่งเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้คนประเทศนี้มีความสุข
       
       ไวกิ้งชี้ว่า “สังคมเดนมาร์ก มีความสมัครสมานสามัคคีกว่า และคุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมก็ค่อนข้างแน่นแฟ้นกว่า” ประเทศสแกนดิเนเวียอื่นๆ
       
       “ประเทศนี้มีชมรมและสมาคมต่างๆ มากมายที่สมาชิกส่วนใหญ่จะมองข้ามความแตกต่างทางชนชั้นอยู่บ่อยครั้ง อย่างที่ชมรมหมากรุก ผู้บริหารสูงสุดอาจจะเล่นกับใครสักคนที่เป็นพนักงานของร้านค้าก็ได้”
 
 
 
ยูเอ็นเผย “เดนมาร์ก” ครองแชมป์ ประชาชน “สุข” ที่สุดในโลก แม้หนี้ดก
 

 

 ส่วนเหตุผลอื่นๆ ที่อาจอธิบายได้ว่าว่าเหตุใดชาวเดนมาร์ก ถึงมองว่าตนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในประวัติศาสตร์ประจำชาติ
       
       ทั้งนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 17 เดนมาร์กเคยเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ดังที่เว็บไซต์ทางการของประเทศนี้ระบุว่า ขนาดของดินแดน และอิทธิพลของประเทศในปัจจุบัน “เป็นผลมาจากการถูกบีบบังคับให้สละดินแดนบางส่วน และการพ่ายแพ้สงครามมานาน 400 ปี”
       
       “ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยชนะอะไรเลย เอาแต่แพ้ลูกเดียว และนั่นทำให้ชาวเดนมาร์กสนใจแต่ประเทศของตน และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่พวกเขาหลงเหลืออยู่” ไมเคิล บูต ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่เดนมาร์กกล่าว ทั้งนี้เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ประเทศที่เขาย้ายมาอาศัยอยู่ โดยมีชื่อว่า “ชนชาติผู้เกือบสมบูรณ์แบบ” (The Almost Nearly Perfect People)
       
       นอกจากนี้ เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ชาวเดนมาร์กมีความสามารถในการปฏิเสธความจริงที่น่าเบื่อหน่าย
       
       “พวกเขาเป็นประชาชนที่มีหนี้ส่วนบุคคลในระดับสูงที่สุดของโลก ... แต่พวกเขาก็เก่งในเรื่องการปล่อยวางปัญหา แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป” เขากล่าว
       
       “ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พวกเขาเก่งในเรื่องการให้อภัยแก่บุคคลสำคัญของสาธารณะ ที่ทำผิด อย่างอันเดอร์ส โฟฟ รัสมุสเซ็น นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ทำให้ประเทศชาติต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามเลวร้ายถึงสองครั้งสองครา คือ สงครามที่อัฟกานิสถาน และอิรัก อีกทั้งประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้เรื่องอีกด้วย”
       
       บูตกล่าวเสริมว่า “เขาทำให้เศรษฐกิจย่อยยับขนานแท้ แต่คุณจะไม่มีทางได้ยินใครพูดถึงเขาในแง่ร้ายหรอก”
       
       นอกจากนั้น ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวเดนมาร์กไม่ต้องทำงานหนักมากนัก โดยเฉลี่ยพวกเขาทำงานเพียงสัปดาห์ละ 33 ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งนี้ ตามข้อมูลของมูลนิธิร็อกวูล
       
       อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตอนต้นๆ เขารู้สึกเกลียดภาษี สภาพอากาศ “และความรู้สึกอับอายในความทะเยอทะยาน และความสำเร็จของปัจเจกชนที่น่าอึดอัด” บูตก็ยอมรับว่านับตั้งแต่เขาเป็นพ่อคน ก็ไม่คิดว่ามีที่ไหนน่าอยู่ไปกว่าเดนมาร์กอีกแล้ว
       
       “เดนมาร์ก ถ้าไม่ได้เป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดก็คงเป็นประเทศที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกในการมีลูก เพราะที่เดนมาร์กทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการออกแบบมาให้เอื้อต่อการมีครอบครัว”

 

 

 

 ส่วนเหตุผลอื่นๆ ที่อาจอธิบายได้ว่าว่าเหตุใดชาวเดนมาร์ก ถึงมองว่าตนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในประวัติศาสตร์ประจำชาติ
       
       ทั้งนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 17 เดนมาร์กเคยเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ดังที่เว็บไซต์ทางการของประเทศนี้ระบุว่า ขนาดของดินแดน และอิทธิพลของประเทศในปัจจุบัน “เป็นผลมาจากการถูกบีบบังคับให้สละดินแดนบางส่วน และการพ่ายแพ้สงครามมานาน 400 ปี”
       
       “ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยชนะอะไรเลย เอาแต่แพ้ลูกเดียว และนั่นทำให้ชาวเดนมาร์กสนใจแต่ประเทศของตน และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่พวกเขาหลงเหลืออยู่” ไมเคิล บูต ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่เดนมาร์กกล่าว ทั้งนี้เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ประเทศที่เขาย้ายมาอาศัยอยู่ โดยมีชื่อว่า “ชนชาติผู้เกือบสมบูรณ์แบบ” (The Almost Nearly Perfect People)
       
       นอกจากนี้ เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ชาวเดนมาร์กมีความสามารถในการปฏิเสธความจริงที่น่าเบื่อหน่าย
       
       “พวกเขาเป็นประชาชนที่มีหนี้ส่วนบุคคลในระดับสูงที่สุดของโลก ... แต่พวกเขาก็เก่งในเรื่องการปล่อยวางปัญหา แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป” เขากล่าว
       
       “ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พวกเขาเก่งในเรื่องการให้อภัยแก่บุคคลสำคัญของสาธารณะ ที่ทำผิด อย่างอันเดอร์ส โฟฟ รัสมุสเซ็น นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ทำให้ประเทศชาติต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามเลวร้ายถึงสองครั้งสองครา คือ สงครามที่อัฟกานิสถาน และอิรัก อีกทั้งประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้เรื่องอีกด้วย”
       
       บูตกล่าวเสริมว่า “เขาทำให้เศรษฐกิจย่อยยับขนานแท้ แต่คุณจะไม่มีทางได้ยินใครพูดถึงเขาในแง่ร้ายหรอก”
       
       นอกจากนั้น ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวเดนมาร์กไม่ต้องทำงานหนักมากนัก โดยเฉลี่ยพวกเขาทำงานเพียงสัปดาห์ละ 33 ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งนี้ ตามข้อมูลของมูลนิธิร็อกวูล
       
       อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตอนต้นๆ เขารู้สึกเกลียดภาษี สภาพอากาศ “และความรู้สึกอับอายในความทะเยอทะยาน และความสำเร็จของปัจเจกชนที่น่าอึดอัด” บูตก็ยอมรับว่านับตั้งแต่เขาเป็นพ่อคน ก็ไม่คิดว่ามีที่ไหนน่าอยู่ไปกว่าเดนมาร์กอีกแล้ว
       
       “เดนมาร์ก ถ้าไม่ได้เป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดก็คงเป็นประเทศที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกในการมีลูก เพราะที่เดนมาร์กทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการออกแบบมาให้เอื้อต่อการมีครอบครัว”

 

 

 ส่วนเหตุผลอื่นๆ ที่อาจอธิบายได้ว่าว่าเหตุใดชาวเดนมาร์ก ถึงมองว่าตนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในประวัติศาสตร์ประจำชาติ
       
       ทั้งนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 17 เดนมาร์กเคยเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ดังที่เว็บไซต์ทางการของประเทศนี้ระบุว่า ขนาดของดินแดน และอิทธิพลของประเทศในปัจจุบัน “เป็นผลมาจากการถูกบีบบังคับให้สละดินแดนบางส่วน และการพ่ายแพ้สงครามมานาน 400 ปี”
       
       “ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยชนะอะไรเลย เอาแต่แพ้ลูกเดียว และนั่นทำให้ชาวเดนมาร์กสนใจแต่ประเทศของตน และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่พวกเขาหลงเหลืออยู่” ไมเคิล บูต ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่เดนมาร์กกล่าว ทั้งนี้เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ประเทศที่เขาย้ายมาอาศัยอยู่ โดยมีชื่อว่า “ชนชาติผู้เกือบสมบูรณ์แบบ” (The Almost Nearly Perfect People)
       
       นอกจากนี้ เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ชาวเดนมาร์กมีความสามารถในการปฏิเสธความจริงที่น่าเบื่อหน่าย
       
       “พวกเขาเป็นประชาชนที่มีหนี้ส่วนบุคคลในระดับสูงที่สุดของโลก ... แต่พวกเขาก็เก่งในเรื่องการปล่อยวางปัญหา แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป” เขากล่าว
       
       “ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พวกเขาเก่งในเรื่องการให้อภัยแก่บุคคลสำคัญของสาธารณะ ที่ทำผิด อย่างอันเดอร์ส โฟฟ รัสมุสเซ็น นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ทำให้ประเทศชาติต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามเลวร้ายถึงสองครั้งสองครา คือ สงครามที่อัฟกานิสถาน และอิรัก อีกทั้งประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้เรื่องอีกด้วย”
       
       บูตกล่าวเสริมว่า “เขาทำให้เศรษฐกิจย่อยยับขนานแท้ แต่คุณจะไม่มีทางได้ยินใครพูดถึงเขาในแง่ร้ายหรอก”
       
       นอกจากนั้น ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวเดนมาร์กไม่ต้องทำงานหนักมากนัก โดยเฉลี่ยพวกเขาทำงานเพียงสัปดาห์ละ 33 ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งนี้ ตามข้อมูลของมูลนิธิร็อกวูล
       
       อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตอนต้นๆ เขารู้สึกเกลียดภาษี สภาพอากาศ “และความรู้สึกอับอายในความทะเยอทะยาน และความสำเร็จของปัจเจกชนที่น่าอึดอัด” บูตก็ยอมรับว่านับตั้งแต่เขาเป็นพ่อคน ก็ไม่คิดว่ามีที่ไหนน่าอยู่ไปกว่าเดนมาร์กอีกแล้ว
       
       “เดนมาร์ก ถ้าไม่ได้เป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดก็คงเป็นประเทศที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกในการมีลูก เพราะที่เดนมาร์กทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการออกแบบมาให้เอื้อต่อการมีครอบครัว”

 

 

ยูเอ็นเผย “เดนมาร์ก” ครองแชมป์ ประชาชน “สุข” ที่สุดในโลก แม้หนี้ดก

 
 
 
 
 
 
 

 

 

 

 

 

 

***************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อาถรรพณ์สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า กักตัวทหารเรือสหรัฐไว้ 60 ปี

 

 

 

 

 

                            

  

 

 

 

เกิดเหตุยากต่อการอธิบาย เมื่อนักประดาน้ำคนหนึ่งโผล่จากน้ำ กลางมหาสมุทรแอตแลนติก เขาคิดว่าตนเองดำน้ำปฏิบัติการภารกิจลับเพียงวันเดียวและเป็นยุคที่มีประธานาธิบดีชื่อ แฟรงคลิน รูสเวลท์...แต่ความจริงวันเวลาผ่านมาเกือบ 60 ปีที่แล้ว

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เมืองไบอามี่ สหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและหน่วยกู้ภัยต่างพากันขนลุกเป็นแถว เมื่อพบกับเรื่องพิสดารเกินกว่าจะกล่าวได้เมื่อกัปตันเรือเช่าตกปลา เฟรด แอพพานี พบชายผู้หนึ่งในชุดประดาน้ำรุ่นเก๋ากึกลอยตุ๊บป่องอยู่กลางทะเลห่างจากฝั่งรัฐฟลอริดา ราว 7 ไมล์

 

                เป็นที่รู้จักกันดี น่านน้ำนอกฝั่งฟลอริดาออกไปนั่นคือริมขอบของพื้นที่ลึกลับเรียกว่าสามเหลี่ยมมรณะเบอร์มิวด้า

 

                ความลึกลับสามเหลี่ยมปีศาจ ได้กลืนกินชีวิตชาวเรือไปนับร้อยลำในช่วงเวลา 100 ปีที่ผ่านมา เครื่องบิน บินอยู่อากาศแท้ๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งฝูงรวม 3 ลำ ถูกดูดลงทะเล หายไปปราศจากร่องรอยใดๆ

 

 

        มีเสียงเล่าลือกันว่า กลางสามเหลี่ยมปีศาจมีแหล่งน้ำวนขนาดใหญ่มีแรงดูดมหาศาลมาก กลืนทุกอย่าง ที่ผ่านเข้าไปในรัศมี แม่แต่เรือสินค้าใหญ่โตก็ตาม

 

          บางกระแสก็ว่า ใต้ทะเลเบอร์มิวด้า เป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการลับของบรรดามนุษย์ต่างดาวทั้งหลาย ซึ่งเดินทางมาถงโลก หลายพันปีก่อน

 

 สำหรับคนประหลาดในชุดประหลาด เป็นชายอายุไม่เกิน 30 ปี พูดจา วกวน สวมชุดดำน้ำรุ่นโบราณ ชุดเสื้อทำจากผ้าใบกันน้ำ ตีนกบยาวใหญ่ หนักถึง 40 ปอนด์ ส่วนหัวสวมด้วยหมวกเหล็ก แบบฝาครอบเกลียวหมุนหน้ากากเป็นกระจก มีท่ออากาศต่อเข้าใบหน้ากากเหล็กทั้งชุด เป็นเทคโนโลยีเมื่อ 50-60 ปีก่อน

 

 กัปตันเฟรด ซึ่งช่วยชีวิตหนุ่มลึกลับผู้นี้จากท้องทะเล กล่าวว่า "ดูเขาหลงยุค หรือไม่ก็เสียสติไปแล้ว เรารู้เพียงว่าเขาชื่อ ราล์ฟ บัวร์แลนด์ เป็นทหารเรือสหรัฐอเมริกา"

 

   "ความจริงขณะที่เราพบตัวเขา ผมสังเกตเห็นท่ออากาศลอยโผล่ขึ้นมา ด้วยความสงสัยจึงหยุดเรือช่วยกันลากขึ้นมาพบตัวเขาลอยขึ้นมา แทบไม่น่าเชื่อยังมีชีวิตอยู่อีกได้ เพราะในน้ำคงขาดออกซิเจนไปนานแล้ว"

 

  ทหารเรือราล์ฟ ถูกนำส่งโรงพยาบาลเขาบอกชื่อโรงพยาบาลทหารเรือแห่งหนึ่งแต่ปรากฏว่าไม่มีใครรู้จักโรงพยาบาลแห่งนี้เลย"เขาบอกผมว่า มาปฏิบัติการลับใต้น้ำตามคำสั่งประธานาธิบดี รูสเวลท์

 

  เมื่อสงสัยหนักขึ้นตำรวจเมืองไมตมี่จึงตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนี้ไปยังกองทัพเรือสหรัฐ ปรากฏว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง คือในปี ค.ศ.1938 หรือเมื่อ 60 ปีก่อน ครั้งนั้นสหรัฐมีประธานาธิบดีชื่อ แฟรงคลิน เดลาโน่ รูสเวลท์ มีคำสั่งลับสุดยอดให้กองทัพเรือส่งทหารออกปฏิบัติการใต้ทะเลเพื่อป้องกันประเทศ

 

     ยุทธการลับดังกล่าวคือ การทดลองระเบิดน้ำลึก และการวางทุ่นระเบิด

 

           มนุษย์กบสังกัดกองทัพเรือหมู่หนึ่งจำนวน 12 คน ออกปฏิบัติงานตามแผน 1 ในจำนวนนี้มีชื่อ ราล์ฟ ธอมัสบัวร์แลนด์ รวมอยู่ด้วย ขณะนั้น เขามีอายุ 24 เท่านั้น

                ผลการปฏิบัติการปรากฏว่ามนุษย์กบทั้งชุดสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาทางกองทัพแทงบัญชีสาบสูญไป

                 เมื่อชายหนุ่มประหลาดยืนยันว่าเขาคือทหารเรือ ราล์ฟ บัวแลนด์จริง จึงมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย

 

 1.เขารอดชีวิตจากการหายสาบสูญในท้องทะเลเมื่อ 60 ปีก่อน ได้อย่างไร

2.เขาหายใจได้อย่างไรเมื่อขาดอากาศหายใจ

3.ทำไมเขายังดูหนุ่มแน่นทั้งที่หายไปตั้ง 60 ปีมาแล้ว

4.เขาตกไปอยู่ในมิติเร้นลับหรือไม่ จนกาลเวลาผ่านไปโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว

 

 

                "มีเรื่องอีกมากที่เราต้องซักถามเขา ขณะนี้รอให้เขาพักฟื้นในโรงพยาบาลจนแข็งแรงเสียก่อน"ตำรวจเมืองไมอามี่ผู้หนึ่ง กล่าวอย่างไม่สิ้นความกังขาสงสัย

 

 

 

         

                     

 

 

 

 

           สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าปริศนาที่ถูกเปิดเผย

   
 

 

 

 

 

 

 

นักวิทยาศาสตร์ สามารถไขความลับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า? ที่ก่อนหน้านี้เป็นปมปริศนาที่มันสามารถดูดกลืนเรือและเครื่องบินที่ผ่านบริเวณนั้นจมหายสาปสูญ จนมีผู้กล่าวขานสามเหลี่ยมดังกล่าวว่า สามเหลี่ยมผีสิง ที่จำนำพาไปสู่อีกมิติ

ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ การก่อตัวของก๊าซธรรมชาติ โดยเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ ทำให้เรือและเครื่องบินเสียการควบคุม ก่อนที่จะจมดิ่งสู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ซึ่งศาสตราจารย์โจเซฟ โมนาแกน หนึ่งในสองผู้วิจัยงานศึกษาไขปริศนาดังกล่าวเสริมว่า บริเวณนั้นมีก๊าซมีเทนจำนวนมากปะทุเป็นฟองก๊าซขนาดใหญ่ แล้วแตกตัวเหนือบริเวณดังกล่าว

เมื่อก๊าซเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศและขยายตัวเป็นวงกว้าง แล้วก่อตัวเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ หากเรือลำใดแล่นผ่านมายังบริเวณนั้น แน่นอนว่าเรือก็จะเข้าไปในฟองก๊าซมีเทนขนาดใหญ่ จนทำให้เรือเสียการควบคุม และจมสู่ทะเลในที่สุด

รายงานยังระบุว่า หากฟองก๊าซมีขนาดใหญ่มากๆ ครอบคลุมความหนาแน่นระดับสูงเพียงพอ ยังสามารถทำให้เครื่องบินที่อยู่บนน่านฟ้า   เหนือสาม เหลี่ยมฯ เสียการควบคุม และดิ่งสงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว

ทฤษฎีดังกล่าว จึงกลายเป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุด และอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าได้อย่างชัดเจนที่สุด  ดังนั้นจึงไม่แปลกหากที่ผ่านมา  เรือหรือเครื่องบินหลายลำจะเสียการควบคุมก่อนถูกดูดกลืนให้จมลงสู่ท้องทะเลลึกอย่างไร้ร่องรอยใดๆ  เพราะก๊าซมีเธนจำนวนมากนี้จะมีพลังมหาศาลที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจมลงสู่ก้นบึ้งของท้องทะเล 

ส่วนคำถามที่ว่าแล้ววัตถุที่จมลงสู่ท้องทะเลนั้นหายไปไหน  ทำไมไม่มีใครเคยค้นพบเศษซากของเรือและเครื่องบินที่สูญหายเลยซักครั้ง นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่มีใครกล้าเดินทางเข้าไปในบริเวณดังกล่าว  และนักสำรวจที่เคยเดินทางเข้าไปเพื่อตรวจสอบความจริงบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็ไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาเพื่อให้ข้อมูลใดๆ ได้เลย                         ************************************

                           โลภโมโทสันต์......

 

 

 

                                  

 

 

 

 


....ลิ้นกับฟัน ปัญหา มากระทบ

 

ยืนท้ารบ ศึกสงคราม ลามเสียหาย

 

ผลย่อยยับ สาดกระเซ็น กระเด็นตาย

 

ชีพสลาย เเย่งผืนดิน สิ้นเกรงใจ

 

 


....เป็นบ้านพี่ เมืองน้อง มาหมองหม่น

 

เพราะจิตคน ใจคดเคี้ยว เลี้ยวลื่นไหล

 

เพียงความโลภ โกรธหลงฉุด หยุดฟังใคร

 

สุดท้ายได้ สลายยับ ดับผุพัง.....

 

 

 

 

*********************************************

 

 

 

 

 

 

ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “MERS” ในโอมาน

 

เสียชีวิตแล้ว

 

 

 

 

 

 

รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ “MERS” โคโรนาไวรัสรายแรกของโอมาน เสียชีวิตลงแล้วที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในวันอาทิตย์ (10) จากอาการปอดล้มเหลว

       
       รายงานจากสำนักข่าว “โอเอ็นเอ” ของรัฐบาลโอมานระบุว่าชายวัย 68 ปีที่ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเมื่อช่วงเดือนที่แล้วที่เมืองนิซวา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงมัสแคต หลังติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่มาจากภายนอกประเทศได้เสียชีวิตลงแล้ว
       
       ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า ขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อมรณะดังกล่าวที่ได้รับการยืนยันจากผลตรวจของห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์รวม 150 รายทั่วโลก ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสมรณะที่ยังไม่มีหนทางรักษาชนิดนี้มีทั้งสิ้น 64 ราย นับตั้งแต่พบการระบาดครั้งแรกในเดือนกันยายนปีที่แล้ว
       
       ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียที่เชื่อกันว่าเป็นต้นตอของการระบาดถือเป็นดินแดนที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด และมีรายงานการพบผู้ป่วยทั้งในกาตาร์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ตูนิเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเดือนกันยายน ปีคศ. 2012 ในประเทศซาอุดิอาระเบีย มีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อโคโรน่าไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2012 เป็นครั้งแรก และมีรายงานการติดเชื้อผู้ป่วยใหม่จากไวรัสชนิดนี้โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) อยู่เป็นระยะ จนถึงปัจจุบัน และภายหลังได้รับการตั้งชื่อว่า   Middle East Respiratory Syndromes Coronavirus, MERS-CoV หรือ เมอรส์ โคโรน่าไวรัส

ลักษณะของเมอรส์ โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่
ถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะ มีอาการแสดงคล้ายโรคซารส์ (SARS) ที่เคยระบาดมาก่อน แต่เชื้อที่ทำให้ก่อโรคมีสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน จากการศึกษาทางพันธุวิทยาของเมอร์ส พบว่ามีความใกล้ชิดกับโคโรน่าไวรัสของค้างคาว แต่ในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปถึงวิธีการติดต่อ และแหล่งโรคได้อย่างแน่ชัดว่าเกิดจากสัตว์ชนิดใด

 

 

ภาพที่ 1 เชื้อโคโรน่าไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2012 หรือ เมอรส์ โคโรน่าไวรัส


เชื้อไวรัสโคโรนา ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2508 เป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอสายเดี่ยว (single stranded RNA virus) ในตระกูล Coronaviridae ซึ่งประกอบด้วยสายพันธุ์ย่อยหลายชนิด สามารถทำให้เกิดโรคได้ทั้งในคนและสัตว์ เช่น หนู สุนัข แมว กระต่าย ไก่ วัว กระบือ สุกร ขณะนี้ไวรัสโคโรนาที่ก่อโรคในคนที่รู้จักมี 6 ชนิด โดย 4 ชนิดทำให้เกิดโรคไข้หวัด และอีก 1 ชนิดทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ “โรคซาร์ส”

สถานการณ์การติดเชื้อเมอร์สไวรัสสายพันธุ์ใหม่
กันยายน 2012, เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย รายงานการตรวจพบเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่เป็นครั้งแรก จากเสมหะของผู้ป่วยที่อาการปอดอักเสบ และไตวายเฉียบพลัน ซึ่งได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2012 หลังจากนั้นมีตรวจพบเชื้อไวรัสดังกล่าวได้จากผู้ป่วยรายใหม่ที่มีอาการเจ็บ ป่วยคล้ายกับผู้ป่วยรายแรก แต่ได้รับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งผู้ป่วยรายนี้เป็นชาวกาตาร์มีประวัติการเดินทางไปเที่ยวที่ซาอุดิอาระ เบีย

ข้อมูลในปัจจุบัน (3 กรกฎาคม คศ. 2013)

  • มีการตรวจพบผู้ป่วยทั้งสิ้นจำนวน 77 ราย
  • เสียชีวิตจำนวน 42 ราย
  • อัตราการเสียชีวิตร้อยละ 54.5 (42/77)
  • ประเทศซาอุดิอาระเบีย มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 80.5 (62/77) ของผู้ป่วยที่รายงานทั้งหมดทั่วโลก
    • มีจำนวนผู้ป่วย 62 ราย
    • เสียชีวิต 36 ราย
    • อัตราการเสียชีวิตร้อยละ 58.1 (36/62)
  • มีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ จากประเทศฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี อังกฤษ จอร์แดน กาตาร์ ตูนีเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรต

ข้อมูลจากยุโรปและตูนิเซียพบว่า

  • ผู้ป่วยส่วนมากมีอาการป่วยหลังจากเดินทางกลับจากประเทศในตะวันออกกลาง
  • มีรายงานการติดต่อจากคนสู่คนอย่างจำกัด เฉพาะผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยเท่านั้น
  • ผู้ป่วยส่วนมากมีอาการรุนแรง
  • มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง (ประมาณร้อยละ 55)
  • กลุ่มเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยชนิดรุนแรง คือผู้ที่มีโรคประจำตัวดังต่อไปนี้
    • โรคระบบทางเดินหายใจ
    • เบาหวาน
    • โรคหัวใจ
    • โรคไตเรื้อรัง
    • ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

มีรายงานการระบาดของเชื้อ โดยการติดต่อจากคนสู่คน

  • พบว่ามีการระบาดของเชื้อเกิดขึ้นภายในโรงพยาบาล บริเวณภาคตะวันออกของประเทศซาอุดิอาระเบีย
  • มีผู้ที่ติดเชื้อรายใหม่ ได้แก่ ญาติใกล้ชิดของผู้ป่วยเอง ผู้ป่วยที่อยู่ในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก ห้องไตเทียม รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยด้วย และผู้ที่ติดเชื้อมีอาการแสดงที่รุนแรงมักจะมีโรคประจำตัวร่วมด้วย

ระบาดวิทยา

  • เชื้อโคโรนาไวรัสโดยทั่วไปพบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในเขตอบอุ่น
  • มักพบในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ
  • พบได้ในทุกกลุ่มอายุ 
  • มีการติดต่อคล้ายกับโรคทางเดินหายใจ คือ ผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ จากการไอ หรือหายใจรดกัน หรือจากมือที่เปื้อนเชื้อโรคสัมผัสจมูก หรือตา
  • มีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 3-4 วัน ส่วนเชื้อก่อโรคซาร์สมีระยะฟักตัว 4-7 วัน (อาจนาน 10-14 วัน)
  • หากไวรัสอยู่ภายนอกร่างกายจะสลายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง และถูกทำลายได้ด้วยสารซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาด
  • จากการศึกษาวิจัยพบว่า สัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ค้างคาว
  • ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ทั้งระบบทางเดินอาหาร และระบบทางเดินหายใจ โดยพบว่า ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้ถึงร้อยละ 35 มีอาการได้ตั้งแต่ ระดับน้อยเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา จนถึงระดับรุนแรง (โรคซาร์ส) ทำให้เกิดอาการหายใจติดขัด ระบบการหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้
     

ภาพที่ 2 แสดงบริเวณที่มีการระบาดของเมอรส์ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่

อาการและอาการแสดงของผู้ป่วย 
ผู้ป่วยมักจะมีอาการของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเช่น มีไข้ มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ หรือบางคนอาจจะมีอาการของปอดอักเสบ เช่น หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือบางรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีระบบหายใจล้มเหลวได้ และจากรายงานของกลุ่มผู้ป่วยยังสามารถพบ อาการและอาการแสดงทางอวัยวะอื่นได้ เช่น อาการไตวายเฉียบพลัน ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้

ระยะเวลาฟักตัวของเชื้อยังไม่ทราบแน่นอน แต่อยู่ในช่วงประมาณ 1-12 วัน ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) และสำนักงานควบคุมโรคและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC) ให้คำแนะนำ สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางให้สังเกตอาการภายในระยะเวลา 14 วัน

การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคนอกจากอาการและประวัติดังกล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว จำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมเพื่อช่วยวินิจฉัย WHO และ CDC ให้คำแนะนำในการส่งสิ่งตรวจเพื่อช่วยในการวินิจฉัย ดังนี้

  1. การตรวจสารพันธุกรรมของไวรัส โดยวิธี real-time reverse-transcriptase polymerase chain reaction หรือ rRT-PCR จากสิ่งส่งตรวจ ซึ่งเก็บจากบริเวณต่างๆ ดังต่อไปนี้
    • เสมหะทางเดินหายใจส่วนล่าง ซึ่งเก็บจาก
      • การดูดสารคัดหลั่งจากหลอดลม (Tracheal aspiration)
      • น้ำล้างถุงลมและหลอดลมฝอย (Bronchoalveolar lavage fluid)
    • เสมหะทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเก็บจาก
      • การป้ายเก็บสิ่งส่งตรวจจากโพรงจมูกและคอ (Nasopharyngeal and throat swab)
      • การดูดสารคัดหลังจากช่องโพรงจมูก (Nasopharyngeal aspiration)
    • อุจจาระในผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย
    • เลือด น้ำเหลือง ซึ่งใช้เป็นตัวช่วยเสริม แต่ยังไม่ทราบความแม่นยำในการวินิจฉัย
    การส่งสิ่งส่งตรวจโดยเก็บตัวอย่างจากตำแหน่งต่างๆ ที่แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย จะช่วยเพิ่มความไวในการวินิจฉัยโรคได้มากขึ้น
  2. การเก็บเลือดเพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อในเลือด (Serology testing) โดยเก็บในช่วงที่เป็นในระยะเริ่มแรก และหลังจากมีอาการแล้วอย่างน้อย 3 สัปดาห์
     

ใครบ้างที่ต้องพิจารณาส่งตรวจดังกล่าว

  • ผู้ป่วยที่มีอาการและอาการแสดงทางระบบทางเดินหายใจ คือ มีไข้สูงมากกว่า 38 °C ไอ สงสัยมีปอดอักเสบ รวมทั้งภาพรังสีปอดมีความผิดปกติ และมีประวัติเดินทางหรือท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง และประเทศใกล้เคียง ภายในระยะเวลา 14 วัน และไม่สามารถอธิบายสาเหตุอาการป่วยของผู้ป่วยได้
  • ผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจรุนแรง ซึ่งมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการ หลังจากเดินทางไปหรือท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางภายใน 14 วัน

ใครบ้างที่ควรไปพบแพทย์
ผู้ที่มีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก หายใจหอบเหนื่อย หรือหายใจลำบาก ภายในระยะเวลา 14 วัน หลังจากเดินทางกลับมาจากกลุ่มประเทศในคาบสมุทรอาระเบีย (ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ เยเมน โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรต คูเวต อิรัค อิสราเอล ซีเรีย จอร์แดน เลบานอน ) โดยที่จำเป็นต้องแจ้งประวัติการเดินทางให้แพทย์ทราบด้วย

การรักษา
ให้การรักษาแบบประคับประคองและตามอาการ เหมือนการติดเชื้อโคโรน่าไวรัสชนิดอื่นๆ เนื่องจากไม่มียาต้านไวรัสในการรักษาผู้ป่วย และขณะนี้ไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรค เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา
   

การป้องกันการติดเชื้อ

  1. หลีกเลี่ยงผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อ เช่น ผู้ที่มีไข้ ไอ น้ำมูก
  2. หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด หรือที่สาธารณะที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก
  3. ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของโรคทางเดินหายใจ
  4. ควรล้างมือบ่อยครั้งด้วยน้ำและสบู่ เนื่องจากเชื้อพบได้ทั้งในอากาศ น้ำมูก และเสมหะ ซึ่งอาจปนเปื้อนที่มือของผู้ที่ติดเชื้อแล้วไปจับสิ่งของหรือวัตถุทั่วไป
  5. เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ควรใช้ช้อนกลาง เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
  6. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  7. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับปศุสัตว์มีชีวิต หรือ สัตว์ป่า ในกรณีที่เดินทางไปในประเทศในตะวันออกกลาง
     

การควบคุมการติดเชื้อ เนื่องจากเชื้อนี้มีความรุนแรงสูง CDC ได้ให้คำแนะนำดังต่อไปนี้

  • ให้ทำการเฝ้าระวังในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากก่อให้เกิดความทุพลภาพ และเสียชีวิตได้สูง
  • หลักฐานของการติดเชื้อจากคนสู่คนยังมีค่อนข้างจำกัด
  • โรคมีอาการและอาการแสดงไม่จำเพาะ
  • ยังไม่ทราบถึงช่องทางในการติดเชื้อดังกล่าว
  • ยังไม่มียาในการรักษาและวัคซีนในการป้องกัน
  • หน่วยงานที่สามารถตรวจหาไวรัสดังกล่าวยังค่อนข้างอยู่ในวงจำกัด ซึ่งในประเทศไทยสามารถส่งตรวจได้ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โรคพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

คำแนะนำสำหรับสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์

  • ในกรณีที่มีผู้ป่วยที่สงสัยการติดเชื้อดังกล่าวควรแยกผู้ป่วยไว้ในพื้นที่พิเศษ สำหรับดูแลผู้ป่วยที่มีการแพร่เชื้อโรคทางอากาศ (Airborne Isolation)
  • สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ควรป้องกันการติดเชื้อโดยใช้อุปกรณ์ป้องกัน ได้แก่ 
    • แว่นตาหรือ หน้ากากป้องกันใบหน้า
    • สวมหน้ากาก N95 สำหรับป้องกันการติดเชื้อทางการหายใจ
    • สวมถุงมือ และสวมเสื้อกาวน์ทุกครั้ง
    • ปฏิบัติตามมาตรฐานการล้างมือทุกครั้งทั้งก่อนและหลังการสัมผัสผู้ป่วยและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งหลังจาการถอดอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ

คำแนะนำเพื่อการป้องกันตนเอง สำหรับผู้ที่วางแผนจะเดินทางไปต่างประเทศ

  • หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ ถ้าไม่มีน้ำและสบู่สามารถใช้แอลกอฮอล์ล้างมือใช้แทนได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส ตา จมูกและปาก เนื่องจากเชื่อแพร่ผ่านช่องทางเหล่านี้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
  • ตรวจสอบประวัติการฉีดวัคซีนของตัวเองว่าเป็นอย่างไร
  • อาจจะต้องไปพบแพทย์ก่อนเดินทางอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ เพราะหากในเวลานั้นสามารถผลิตวัคซีนป้องกันได้สำเร็จจะได้ดำเนินการฉีดก่อนเดินทาง
  • ถ้ารู้สึกว่าตนเองป่วยให้ปฏิบัติตัวดังนี้
    • ปิดปาก ปิดจมูกเวลาไอหรือจามด้วยกระดาษทิชชู และทิ้งกระดาษที่ใช้แล้วลงในถังขยะ
    • ควรระมัดระวังที่จะแพร่เชื้อของตนเองไปสู่ผู้อื่น
    •  

 

( จาก Bookok Health.com)

 

 

 

**********************************************

 

guest

Post : 2013-11-07 23:28:23.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ศิษย์หัวดื้อ

 

 

 

 

ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12

                               ศิษย์หัวดื้อ  เวฬุกชาดก

 

 

ว่าด้วยโทษของการดื้อรั้น

 ในอดีตกาล
ณ กรุง พาราณสี
มีบุตรเศรษฐี คนหนึ่ง
เป็นผู้มีความรู้ 
ความสามารถดีมาก

 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
  ครั้นต่อมาเมื่อบิดามารดาสิ้นชีวิตลงก็คิดได้ว่า ทุกคนเมื่อตายแล้วก็นำทรัพย์สมบัติ ติดตัวไปไม่ได้
บุตรเศรษฐีจึงได้นำทรัพย์สมบัติทั้งหมดแจกจ่ายทำทานจนหมดสิ้น
 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
 หลังจากนั้นบุตรเศรษฐีได้ออกบวชเป็นฤาษี ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในป่าหิมพานต์
จนสำเร็จฌานโลกีย์ บรรลุอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ และมีผู้เลื่อมใสออกบวชเป็นศิษย์ถึง ๕๐๐ คน
 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
 อยู่มาวันหนึ่งใกล้ที่พักของศิษย์ผู้หนึ่ง ได้มีลูกงูพิษเลื้อยมา
เมื่อศิษย์คนนั้นเห็นลูกงูพิษ ก็บังเกิดความรักลูกงูขึ้นมาจับใจ
 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
 เมื่อถึงเวลาก็นำอาหารมาป้อน ให้ความรักความเอาใจใส่
ราวกับมันเป็นลูกของตน
 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
ต่อมาไม่นานนัก เรื่องที่ลูกศิษย์คนนี้เลี้ยงงูพิษเอาไว้
ก็ล่วงรู้ไปถึงพระอาจารย์
 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma

 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
   จากนั้นมาอีก ๒-๓ วัน ฤาษีทั้งหลายพากันไปหาผลไม้
ซึ่งมีอยู่มากมายในป่าลึกไกลจากอาศรม แล้วพักอยู่ที่นั่นสองสามวัน
งูเวฬุกะซึ่งอยู่ในกระบอกไม้ไผ่จึงถูกทิ้งไว้ที่อาศรมนั่นเอง

 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma

เมื่อฤาษีทั้งหลายกลับมา ศิษย์หัวดื้อก็รีบมาหางูเวฬุกะด้วยความห่วงใย
แต่กลับต้องพบกับสิ่งไม่คาดฝัน

 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma

งูพิษนั้นกำลังโกรธ เพราะอดอาหารมาหลายวัน
จึงฉกเข้าที่มือทันที ทำให้ศิษย์หัวดื้อถึงแก่ความตายอยู่ตรงนั้นเอง
 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
ครั้นพระอาจารย์ทราบเรื่องแล้ว จึงให้ลูกศิษย์ช่วยกันทำศพ
จากนั้นได้กล่าวสอนแก่ศิษย์ถึงโทษของการดื้อรั้น
 นิทาน นิทานธรรมะ นิทานไทย นิทานธรรมะออนไลน์ นิทานธรรมะสอนคุณธรรม นิทานชาดก นิทานไทย นิทานเด็ก การ์ตูน การ์ตูนธรรมะ การ์ตูนคุณธรรม การ์ตูนไทย การ์ตูนภาพ การ์ตูนช่อง การ์ตูนเด็ก พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ ศีลธรรม จริยธรรม กฏแห่งกรรม อดีตชาติ pass of life chadok chataka tale story of lord buddha fable thai cartoon thai manga law of kamma
จบ
ที่มา : หนังสือนิทานชาดก โดย พระภาวนาวิริยคุณ  

 

เวฬุกชาดก

:: สาเหตุที่ตรัสชาดก :: 

.....ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีภิกษุรูปหนึ่งมีนิสัยดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเอง ว่ายากสอนยาก เพื่อนภิกษุจะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงสอบถามภิกษุรูปนั้น

....เมื่อได้ความตามจริงแล้วจึงทรงตักเตือนแล้วทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุ มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้นที่เธอเป็นผู้ว่ายากสอนยาก แม้ในชาติก่อน เธอก็มีนิสัยเช่นนี้ ไม่ยอมเชื่อฟังคำตักเตือนของบัณฑิต จึงถูกงูกัดตาย ”

....จากนั้นพระพุทธองค์ทรงนำ เวฬุกชาดก มาตรัสเล่า

 

:: ข้อคิดจากชาดก ::

....๑ . โบราณว่าอย่าเลี้ยงงูพิษ เพราะมันอาจแว้งกัดเราได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกันคนพาลซึ่งอาจทำร้ายผู้มีพระคุณได้ตลอดเวลา


.... ๒ . ไม่ควรเพิกเฉยต่อคำตักเตือนของผู้หวังดีที่มีประสบการณ์มองเห็นการณ์ไกล เช่น บิดามารดา หรือครูอาจารย์ 

 

 

 

*************************************************

 

 

 

 

แกนนำแดงปลุกแนวร่วม 10 พ.ย.นี้ จัด 3 งานบิ๊ก ลั่นไม่ยอมให้ล้างโกงมากลบคำว่า "ล้างเลือด"

 

 

นปช.ระดมมวลชนเสื้อแดงเข้ากรุงเทพ 10 พ.ย. จัด 3 กิจกรรมใหญ่ แสดงพลัง ปชต. ชี้ฝ่ายตรงข้ามต่างหากที่ไม่ยอมจบ ย้อน ปชป.ใครกันแน่ที่ติดคราบคนโกง

 

 

 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวระหว่างการแถลงข่าว "สถานการณ์พิเศษ " ที่อาคารอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าวว่า ขณะนี้รัฐบาลประกาศถอนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้ว แต่ม็อบต่อต้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกลับยังเดินหน้าโดยมีเป้าหมายเพื่อขับไล่รัฐบาล

  

ทั้งนี้เพื่อแสดงจุดยืนทางนปช. ได้จัดกิจกรรม 3 แห่งในวันที่ 10 พ.ย. เพื่อต่อต้านกลุ่มพยายามล้มล้างระบอบประชาธิปไตยได้แก่ เวลา 9.00 น . กิจกรรมโรงเรียนนปช.ที่วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เวลา 12.00 น. กิจกรรม "หมื่นอัพ" ที่สี่แยกราชประสงค์จัดโดยกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง และ เวลา 16.00 น.ที่ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี โดยแกนนำและผู้ชุมนุมอีสานยืนยันจะเข้าร่วม 3 หมื่นคน โดยภาคตะวันออกจะนำขบวนแรลลี่กว่า 100 คันเข้ากรุงเทพ รวมทั้งผู้ชุมนุมภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันตก กว่า 1 แสนคน ซึ่งแกนนำนปช.จะเดินทางไปร่วมทุกกิจกรรม

 

นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 12-15 พ.ย.นี้ แกนนำนปช.จะปลุกระดมพลังคนเสื้อแดงในตามต่างจังหวัด ได้แก่ จ.เชียงใหม่ จ.สมุทรปราการ จ.ชลบุรี จ.อุดรธานี ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้จะประกอบด้วย 4 แกนนำ ได้แก่ จตุพร พรหมพันธ์ ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ,อาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ และวีรกานต์ มุสิกพงษ์ โดยไม่เน้นการปะทะหรือเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม

 

นายจตุพร กล่าวว่า รัฐบาลประกาศถอนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทางพฤตินัยถือว่าจบแล้ว แต่พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสว.40 และเครือข่ายต่างๆ ไม่ยอมจบ รวมทั้งในวันที่ 11 พ.ย.หลังจากศาลโลกตัดสินใจเขาพระวิหาร หากไทยเสียดินแดนให้กับกัมพูชา โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะใช้เป็นข้ออ้างรวม 2 ประเด็นเป็นเหตุยกระดับขับไล่รัฐบาลและคนตระกูลชินวัตร

 

"การจ้องล้มล้างรัฐบาลในครั้งนี้  เป็นเกมการเมือง ไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะจบลงด้วยรัฐประหาร การจัดตั้งรัฐบาลโดยทางทหาร หรือ รัฐบาลแห่งชาติ แต่หน้าที่ของนปช.จะไม่ยอมปล่อยให้การชุมนุมที่เกิดขึ้น สร้างวีรบุรุษโดยพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้คำว่าล้างโกงมากลบคำว่าล้างเลือดที่สั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง แล้วก็เป่านกหวีดสร้างเป็นกระแสสังคมว่า เป็นผู้ปราบโกง ทั้งที่ตัวเองก็มีคราบการทุจริต"นายจตุพร กล่าว

 

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ภารกิจของนปช.มีจุดยืนมั่นคง ยอมหักไม่ยอมงอในร่างนิรโทษกรรม คือไม่ปล่อยให้ฆาตกรเข่นฆ่าประชาชนลอยนวล ซึ่งเป็นจุดยืนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่บัดนี้การฆ่าประชาชนได้ถูกทำให้ลืมไปจากสังคม กระแสนิรโทษกรรมไม่มีการพูดถึงการฆ่าคนตายตามท้องถนน นปช.ประกาศมาตั้งแต่ต้นว่าเรื่องของการล้างโกงนั้น กระบวนการพิจารณาทุจริตต้องเป็นไปตามครรลองคลองธรรมปฏิบัติเท่าเทียมกันในทุกๆรัฐบาล  แต่การตั้งคตส. เลือกปฏิบัติทางการเมือง ขัดกับหลักความเท่าเทียม

 

"ประเด็นทุจริตเราไม่ปกป้องแต่เราตั้งข้อสังเกตเรื่องวิธีการ ถ้าบ้านเมืองนี้ที่ประชุมอธิการบดี ที่ประชุมของเครือข่ายคนดีทั้งหลายต้องการให้บ้านเมืองปราศจากคอร์รัปชั่น มีแต่ความซื่อสัตย์ คนเสื้อแดงก็เห็นด้วย ฉะนั้นถ้าคิดว่าการจัดการพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ควรใช้วิธีการนี้จัดการกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วย ผมไม่มีหน้าที่ปกป้องทักษิณ ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูกก แต่ต้องเอาหลักการเดียวกันมาจัดการกับอดีตนายกฯทุกคน"นายจตุพรกล่าว

 

 

นพ.เหวง  โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยและแกนนำนปช. กล่าวว่า กลุ่มนปช. พรรคเพี่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงต้องแสดงจุดยืนถึงความมีเอกภาพ เพื่อเป็นการตอบโต้ระบบอำมาตย์ ที่ส่งผลให้การปกครองของประเทศไทยถอยหลัง

 

“เหตุการณ์ในครั้งนี้เหมือน 14ตุลาฯที่เหล่าบรรดาอธิการบดี นักศึกษาออกมาต่อต้าน ซึ่งรัฐมนตรีเรียกอธิการบดีเข้าไปพบ แต่กลับไม่ยอมมาพบเท่ากับว่าไม่ยอมรับประชาธิปไตย เป็นพวกเครือข่ายอํามาตยาธิปไตย"นพ.เหวง กล่าว

  

ขณะที่ กรณีเขาพระวิหารเรามีหลักฐานยืนยันว่าม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้เซ็นเอกสารกับนายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการชายแดนของกัมพูชา แผนที่ปักเขตแดนยึดแผนที่ตามฝรั่งเศส 1 ต่อ 2 แสน หากไทยต้องเสียดินแดนให้กัมพูชาก็ไม่ได้เกิดจากรัฐบาลเพื่อไทย

 

สำหรับปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับแกนนำนปช. แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนปช.มีเป้าหมายต้องทำให้เกิดเอกภาพ และถึงเวลาที่แกนนำนปช.จะออกมาขับเคลื่อนและแสดงจุดยืนเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ต้องออกมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย

 

 

 

 

smiley

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
*****************************************
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

           ไอ้ตัวดูดสกิมเมอร์!!...

 

 

 

 

  

 

 

 

 

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

 

 

"พล.ต.อ.เอก" สอบเครียดแฮ็กเอทีเอ็ม-แจ้งแล้ว 80 ราย

 

รอง ผบ.ตร. ประชุมเครียดคดีแฮ็กตู้เอทีเอ็ม หลังยอดเสียหายพุ่งกว่า 1.3 ล้านบาท โดนแล้วเกือบ 80 ราย ลูกค้าหวั่นไม่กล้าใช้บริการ เสียวเจออีก

วันศุกร์ 8 พฤศจิกายน 2556 เวลา 16:07 น.

 

จากกรณีที่มีประชาชน จำนวน 40 ราย เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ว่าเงินในบัญชีธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงเทพหายไปโดยไม่รู้ตัว รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 6 แสนบาท ซึ่งภายหลังมีกระแสข่าวดังกล่าวแพร่กระจายออกไป ได้เกิดความโกลาหลอย่างมาก โดยพนักงานที่ทำงานอยู่ในอาคารต่างเดินทางไปที่ธนาคารที่ตัวเองเปิดบัญชี เพื่อตรวจสอบยอดเงินว่ามีหายไปหรือไม่ มากน้อยเพียงใด ขณะที่บรรยากาศที่สน.ลุมพินี ได้มีผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความอย่างต่อเนื่อง ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

คืบหน้า เมื่อวันที่ 8 พ.ย. พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางมาที่ สน.ลุมพินี เพื่อเร่งรัดคดี และประชุมหารือกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยมี พ.ต.อ.ไชยา คงทรัพย์ ผกก.สน.ลุมพินี นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ตัวแทนจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เข้าร่วมหารือ นอกจากนี้ ยังผู้เสียหายที่เงินหายจากบัญชีจำนวนหนึ่งเข้าร่วมฟังด้วย

 

พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับทางสน.ลุมพินีแล้วรวมทั้งสิ้น 78 ราย จนเกิดความเสียหายเป็นเงิน 1,340,000 บาท ซึ่้งจากการตรวจสอบพบว่า ผู้เสียหายทุกรายเคยมากดเงินที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพ ที่บริเวณด้านหน้าร้านสะดวกซื้อของตึกอพอลโลข้างโรงแรมออลซีซั่นส์ ถนนวิทยุ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่า ตู้ดังกล่าวมีการติดตั้งเครื่องสกิมเมอร์ ซึ่งเป็นเครื่องคัดลอกข้อมูลในบัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายจริง โดยคนร้ายได้นำข้อมูลไปปลอมบัตรและโอนเงินไปต่างประเทศปลายทางอยู่ที่ประเทศยูเครน และรัสเซีย ทั้งนี้ ได้ประสานให้เจ้าหน้าฝ่ายสืบสวน สน.ลุมพินี ขอภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ติดอยู่ตรงตู้แล้ว เพื่อตรวจหาคนร้าย โดยคาดว่าจะเป็นชาวต่างชาติ

 

พล.ต.อ.เอก กล่าวต่อว่า ในส่วนของการแนวทางการสืบสวนคดีดังกล่าว นอกเหนือจาก พงส.สน.ลุมพินีที่เป็นผู้รวบรวมข้อมูลและรับแจ้งความแล้ว ก็จะมีการประสานความร่วมมือกับ บก.ปอศ.เข้าร่วมสอบสวนได้ พร้อมทั้ง ประสาน ผอ.สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที (ICT) เพื่อร่วมตรวจสอบและวางแผนในการหาข้อมูลคลี่คลายคดี รวมทั้ง จัดการป้องกันการโจรกรรมทางอิเล็คทรอนิคส์ลักษณะดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากกรณีที่เกิดขึ้น สามารถเดินทางเข้าแจ้งความกับสน.ลุมพินีได้ตลอดเวลา โดยทางเจ้าหน้าที่จะทำการประสานไปยังธนาคารเจ้าของบัตร หรือ ผู้เสียหายสามารถนำบันทึกแจ้งความ พร้อมสำเนาบัตรประชาชนไปยื่นกับทางธนาคารเจ้าของบัตร เพื่อรับการเยียวยา ซึ่งธนาคารยืนยันว่าจะดำเนินการภายในเวลา 15 วัน

 

ด้าน นายปกรณ์ กล่าวว่า ความเสียหายครั้งนี้มีบัตรของธนาคารที่ได้รับผลกระทบ 5 ธนาคาร ในส่วนของธนาคารกสิกรไทยมีจำนวนบัตรเอทีเอ็มที่ผิดปกติ 117 บัตร ธนาคารสามารถอายัดได้ทัน 70 ใบ ส่วนที่มีผู้เสียหายมาแจ้งความแล้ว 41 ราย ทางธนาคารได้ชดใช้ค่าเสียหายไปแล้วเมื่อช่วงเช้าวันนี้ เป็นจำนวนเงิน 2.8 แสนบาท สำหรับมาตราการป้องกันเครื่องสกิมเมอร์นั้น ปกติที่ตู้เอทีเอ็มจะมีการติดตั้งเครื่องป้องกันเครื่องสกิมเมอร์อยู่แล้ว นอกจากนี้ ในแต่ละสัปดาห์จะมีเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงไปเติมเงิน พร้อมกับตรวจสอบความเรียบร้อยของตู้เอทีเอ็ม เพื่อป้องกันการคัดลอกข้อมูลบัตร แต่หากมีกรณีลักษณะนี้ ทางธนาคารเจ้าของบัตรก็พร้อมที่จะทำการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้กับผู้เสียหาย รวมทั้ง จะไปปรึกษากับผู้ผลิตตู้เอทีเอ็ม เพื่อหามาตรการ หรืออุปกรณ์ในการป้องกันใหม่ ซึ่งทุกธนาคารมีข้อตกลงร่วมกันในการสอดส่องดูแล และแจ้งความเคลื่อนไหวทางบัญชีผ่านข้อความทางโทรศัพท์ (SMS) หากลูกค้าพบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติให้รีบแจ้งคอลเซ็นเตอร์ของธนาคาร เพื่ออายัดบัตรและแจ้งความทันที ทั้งนี้ ขอแนะนำประชาชน เวลากดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ให้ใช้มือบังแป้นคีย์บอร์ดขณะกดรหัสด้วย

 

ด้าน น.ส.จารุวดี ใจนพเก้า อายุ 31 ปี พนักงานบริษัทเอกชน หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนเข้ามาแจ้งความเนื่องจากทราบข้อมูลเรื่องดังกล่าวช่วงบ่าย วันที่ 7 พ.ย. จึงนำสมุดบัญชีไปอัพเดท ปรากฏว่า มียอดเงินถูกโยกออกบัญชีจำนวนหลายรายการ ครั้งละ 7,000 – 9,000 บาท รวมยอดเกือบ 50,000 บาท เหลือเงินคงเหลือในบัญชีเพียง 300 กว่าบาท โดยบัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเงินเดือนและบัญชีเงินเก็บด้วย เมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกตกใจ จึงได้ไปสอบถามธนาคาร ทางเจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบ พบว่า เงินในบัญชีถูกถอนออกในต่างประเทศ แต่ทางธนาคารยินดีจะรับผิดชอบ โดยต้องนำหลักฐานการแจ้งความมายื่นเรื่องขอชดเชย โดยเคยกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มหน้าอาคารอพอลโล 2 ครั้ง ตอนนี้ระแวงไปหมด ตั้งใจว่าไปเบิกเงินที่แบงก์เองเลยดีกว่า

 

ต่อมา นายสุพจน์ อิ่นคำ ผอ.ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท ออลซีซั่นส์ พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด ได้เดินทางมาที่ สน.ลุมพินี พร้อมกับกล่าวว่า ขอยืนยันหลังจากที่ตกเป็นข่าวว่า เรื่องการถอนเงิน เป็นการถอนเงินภายในตึกออล ซีซั่น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง โดยทางเจ้าหน้าที่ตึกได้ประสานงานกับธนาคารทั้ง 7 ธนาคาร ประกอบไปด้วย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารธนชาต ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารยูโอบี เพื่อขอตรวจสอบความปลอดภัยตู้เอทีเอ็มภายในตึก พบว่า ไม่มีความผิดปกติ เพราะมีคนให้ข่าวว่าบริเวณเกิดเหตุอยู่ภายในตึกออลซีซั่นส์ แต่ความจริงแล้วเป็นตู้เอทีเอ็มที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งนี้ ตนยืนยันในระบบมาตรการรักษาความปลอดภัยของตึกออล ซีซั่นส์ ไม่มีแก๊งมิจฉาชีพเข้าไปติดตั้งอุปกรณ์ตามที่เป็นข่าวอย่างแน่นอน

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่เจ้าหน้าที่ประชุมกันเสร็จ ยังคงมีผู้เสียหายทยอยเดินทางมาแจ้งความที่สน.ลุมพินีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณถนนวิทยุเกิดความไม่มั่นใจ และไม่กล้าใช้บัตรกดตู้เอทีเอ็ม เพราะกลัวจะถูกแฮกข้อมูลตามที่เป็นข่าว.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วิธีสังเกต: ตู้เอทีเอ็มปลอดจากเครื่องสกิมเมอร์หรือไม่

 

 

 

 

แนะนำวิธีสังเกตตู้เอทีเอ็มที่ต้องสงสัยว่าจะมีเครื่องสกิมเมอร์ติดตั้งอยู่ เพื่อเฝ้าระวังภัยก่อนเงินของเราจะเกิดการสูญหาย

 

วันศุกร์ 8 พฤศจิกายน 2556 เวลา 11:24 น.
 

เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ภายหลังจากมีคนร้ายชาวต่างชาติติดตั้งเครื่องสกิมเมอร์ในตู้เอทีเอ็ม ก่อนลักข้อมูลบัตรไปกดเงินจนเสียหายไปเป็นเงินหลายแสน แต่ยังมีหลายคนที่ไม่รู้จักเจ้าเครื่องดังกล่าวว่ามีวิธีการทำงานอย่างไร จึงเสนอข้อมูลไว้ให้เป็นประโยชน์ รวมทั้งวิธีสังเกตุสิ่งผิดปกติก่อนจะเสียบบัตรที่ตู้เอทีเอ็ม
 

วิธีสังเกตในการใช้บริการตู้เอทีเอ็ม คือก่อนใช้บริการทุกครั้ง ควรตรวจสิ่งดูผิดปกติ เช่น มีกล่องประชาสัมพันธ์ กล่องใส่ใบปลิว ติดที่หน้าตู้ ซึ่งเป็นการโฆษณาอื่นที่ไม่ใช่ของธนาคารหรือไม่ เพราะอาจจะมีกล้องตัวเล็กถูกซุกซ่อนไว้แอบถ่ายอยู่ จากนั้นก็ลองขยับหรือโยกอุปกรณ์ของตู้ได้ ถ้าไม่เป็นมาตรฐานของธนาคารมันจะหลุดออกมา เนื่องจากปกติมิจฉาชีพจะไม่ติดตั้งให้แน่นแบบถาวร เนื่องจากต้องถอดเครื่องสกิมเมอร์ไปที่ตู้อื่นด้วย

 

แต่ผู้มาใช้บริการบางรายอาจจะมาทำธุรกรรมที่ตู้ด้วยความเร่งรีบจนลืมระมัดระวัง ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดที่พอจะช่วยสังเกตุถึงความผิดปกติได้คือ ตู้เอทีเอ็มของทุกธนาคาร ก่อนที่จะเสียบบัตรจะต้องมีไฟกะพริบล้อมรอบช่องเสียบบัตรทุกครั้ง ดังนั้นถ้าไม่มีไฟกะพริบปรากฏให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจมีเครื่องดูดข้อมูล จึงควรเปลี่ยนไปใช้ตู้อื่น เพื่อความปลอดภัย

 

สำหรับ เครื่องสกิมเมอร์ (skimmer เครื่องดูดหรือกวาดข้อมูล) นั้น เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่คนร้ายสร้างขึ้น โดยนำเครื่องอ่านแถบแม่เหล็ก วงจรถอดรหัส และวงจรหน่วยความจำมาประกอบเข้าด้วยกัน สกิมเมอร์มีหลายขนาดตั้งแต่เท่ากับกล่องใส่รองเท้าไปจนถึงขนาดเท่าซองบุหรี่ที่คนร้ายซ่อนไว้ในอุ้งมือได้ ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จึงสามารถพกพาได้สะดวก เมื่อนำบัตรเครดิต (หรือบัตรเดบิตเช่นบัตร ATM) มารูด สกิมเมอร์จะอ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็กและนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ สกิมเมอร์ที่มีหน่วยความจำน้อยจะเก็บข้อมูลบัตรเครดิตได้ 50 ใบ

 

ส่วนสกิมเมอร์ที่มีหน่วยความจำมากอาจเก็บข้อมูลได้หลายหมื่นใบ และเมื่อลักลอบดูดข้อมูลจากบัตรเครดิตไปแล้ว คนร้ายก็จะนำไปสร้างบัตรปลอมซึ่งมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกเรียกว่า “บัตรสี” เป็นบัตรเครดิตปลอมที่มีสี มีลวดลาย และมีตัวพิมพ์นูนเหมือนของจริงทุกอย่าง รวมทั้งมีข้อมูลในแถบแม่เหล็กอย่างถูกต้องอีกด้วย บัตรแบบนี้สามารถนำไปใช้ได้ทุกแห่งเช่นเดียวกับบัตรจริง บัตรปลอมอีกแบบเรียกว่า “บัตรขาว” เป็นบัตรพลาสติกสีขาวมีเพียงแถบแม่เหล็กเก็บข้อมูล ซึ่งเพียงพอที่จะนำไปใช้ในหลายๆ แหล่ง เช่นนำไปกดเงินสดจากตู้ ATM หรือนำไปใช้กับร้านค้าที่ทุจริต คนร้ายบางคนไม่ทำบัตรปลอม แต่นำข้อมูลบัตรของเราไปขายในอินเตอร์เน็ตก็มี

 

 

 

************************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

รัฐบาลต้อง รีบถอน พรบ. เดี่ยวนี้ สว สรรหา (มาจากใหนไม่รู้)

 

 

 
วันนี้ทุกท่านคงรู้ข่าวกันแล้วนะขอรับ
เรื่อง 40 ส.ว. ไม่ยอมเข้าประชุม
เพื่อคว่ำร่าง พ.ร.บ.สุดซอยนั้น
เหตุผลคืออะไร?

มันฟังดูตลกๆนะขอรับ เพราะ ส.ว.สรรหากลุ่มนั้น
ได้คัดค้าน พรบ.ฉบับนี้มาโดยตลอด
ทั้งโจมตีและข่มขู่ ให้รัฐบาลถอนร่างออก
จากสภาให้"เร็วที่สุด"

แต่เหตุผลที่ ไม่เข้าประชุมและได้แถลงในวันนี้คือ
อ้างว่าจะทําในสิ่งที่ถูกต้อง
คือรอประชุมอีกครั้ง ในวันที่ 11 นี้
เพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ต่อการณีคําตัดสินคดีประสามพระวิหาร ไปพร้อมๆกัน

ซึ่งถ้าไปสมยอมกับเขมร
และรัฐบาลยอมรับคําตัดสินที่เสียเปรียบ
จะทําให้คนไทยรับไม่ได้
เมื่อนั้นรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบทุกเรื่องทั้งหมด
และจะต้องได้รับการลงโทษจากประชาชนอย่างสาสม

ตกลงที่สู้กันมานี่ เพื่อต้าน พ.ร.บ.จริงหรือ?
แล้วจะโยงเอาเรื่องพ.ร.บ.มาเพิ่มน้ำหนัก
ให้กับคดีปราสาทเขาพระวิหารมันถูกต้องแล้วหรือขอรับ?

อุเม๊ะ....สงสัยช่วงนี้ MIB จะทำงานกันหนักจริงๆ

FB ขุนพิเรนจำนรรจา
 
 
 
 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       พอเขาถอยจริง แม่มไปกันไม่เป็น !...

 

 

 สงสัยพวก ปชป.บวกแก็งค์ 40 สว. คงตกใจสุดขีด คิดไม่ถึงว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะถอน พรบ.แนวนิรโทษทั้ง 6 ฉบับออกจากวาระการพิจารณาของสภา อย่างฉับพลันทันด่วน ทำให้ตั้งตัวไม่ติด..อะไรวะ ?

 

ในสภาเกือบป่วน สส.ปชป. ช่วยกันดักหน้าดักหลัง สกัดกั้นเต็มที่ ไม่ต้องการให้รัฐบาลถอน “ร่าง พรบ.นิรโทษฯ” ออกไป อ้างเหตุผลต่างๆมาอภิปรายกัน น้ำเสียงสั่นเครือใจแทบขาดรอนๆ..โอ๊ย ผมน้ำตาไหล !

 

เอ๊า..ไรวะ ! ก็พวกเอ็งต่อต้านอยากให้ถอนพรบ.ออกนี่หว่า เพราะกลัวจะล้างผิดให้ทักษิณ รัฐบาลเขาก็ทำตามที่พวกเอ็งเรียกร้องแล้วนี่ แล้วจะมาขัดขวางการถอนทำไม จะเอาอะไรอีกล่ะโว้ยยยย..หืมมมมม์ ปชป.???

 

ความจริงพวกเอ็งต้องสนับสนุนรัฐบาลนะ ต้องช่วยยกมือโหวตให้ เพราะเอ็งไม่ชอบไม่ใช่หรือ ? พวกเอ็งต้องปรบมือ กระทืบเท้าที่รัฐบาลยอมถอยให้ อ้าว! พอเขาถอย ก็เฉือกค้านไม่ให้ถอย..ฉับฉนใช่มั๊ยนี่ ?

 

ส่วนแม่นางรสนา สว.ของพรรคประชาธิปัตย์ ถึงกับวีนแตก เมื่อประธานวุฒิฯเรียกประชุมด่วน เพื่อพิจารณาร่างพรบ.นิรโทษฯสุดซอยที่ผ่าน 3 วาระจากสภาผู้แทนไปแล้ว บอกด้วยเสียงกร้าวว่า “ไม่เข้าประชุมหรอก มันเร็วเกินไป ก็ไหนบอกวันที่ 11 นี่แค่วันที่ 8 เอง ทำใจไม่ได้”..ขำอิ๊บอ๋าย !

 

 

[Image: 2013-11-07_203123.gif]

 

 

พูดตรงๆว่า ปชป.กับพวกสว.ลากตั้งทั้งหลายที่เจ็บใจพรรคเพื่อไทย ที่แก้รัฐธรรมนูญที่มาของ สว. โดยสั่งประหารชีวิต สว.ลากตั้งไปแล้ว จึงพยายามจะลุกขึ้นมาเอาคืน “คว่ำ”รัฐบาลให้ได้ ด้วยทุกวิธีที่คิดออก..เพราะความแค้น

 

ตอนนี้เป้าหมายค้านนิรโทษฯ แค่เป้าหมายลวง ซึ่งปชป.ยกขึ้นมาบังหน้าเท่านั้น และมองข้ามช็อตไปแล้ว แต่เป้าหมายจริงๆ คือต้องการจะล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ได้นั่นเอง จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะยื้อมวลชนให้อยู่ให้นานที่สุด เพิ่มมวลชนให้มากที่สุด ต้องการให้เกิดความวุ่นวายให้มากที่สุด เพื่อใครก็ได้ จะมาคว่ำรัฐบาล คิดหวังอยู่ว่า ศาล หรือทหาร ใครจะมาก่อนกัน..นี่คือความต้องการ !

 

แต่เมื่อรัฐบาลแก้เกมด้วยการถอย บอกว่ายอมฟังเสียงประชาชน ไอ้เจ้าพวกนี้ก็ตกใจ ดิ้นพล่าน กลัวมุกแป้กเหมือนเดิม เพราะกว่าจะจุดกระแสได้ ต้องใช้เวลา 2 ปีกว่า เมื่อรัฐบาลยอมถอยง่ายๆแบบนี้ เป็นใคร ใครจะยอม มันต้องยื้อเอาไว้จนสุดฤทธิ์ ..นู๊ไม่ยอม นู๊ไม่ยอม นู๊ไม่ยอม !

 

จะทำยังไงกันดีหนอ ปชป.และสว.ทั้ง 40 จะล้มรัฐบาลด้วยประชาชน ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ จะให้ศาลฯตัดสินเอาผิดเพื่อไทยทั้งพรรค (ด้วยเรื่องอะไร ยังไม่รู้) ศาลก็ยังเปิดหาตำราในวิกิพีเดียไม่เจอ ทหารจะมาปฏิวัติ ก็ไม่มีเงื่อนไขที่จะอ้างความชอบธรรมอะไร และก็คงไม่ทำด้วย หรือหากยิ่งลักษณ์เกิด “งอล”ขึ้นมา ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เพื่อไทยก็กลับมาอีก..สิ้นหวัง !

 

เข้าใจว่า ตอนนี้ ทุกฝ่ายที่เกลียดชังรัฐบาล ต่างพากันสับสนไปหมด ทำอะไรไม่ถูก เครียดไปตามๆกัน หาทางออกไม่เจอ เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ อยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” ไม่รู้จะหาทางลงกันอย่างไร..กลุ้มใจแทนจริงๆวะ !!!

 

เดี๋ยว สว.แก้ไขมาตรา 3

ให้มีผลเฉพาะประชาชนที่มาชุมนุมเท่านั้น

ยกเว้นแกนนำ และผู้สั่งการ

ตามที่พวก สส.ปชป.และ สว.ปชป.ต้องการ

 

นายกฯ ไม่เถียงสักแอะ นำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยไว

จากนั้น เสื้อแดง ออกจากคุก !

มาร์ค เทือก ขึ้นศาลฯ พิมพ์ลายนิ้วมือ (อีกแร่ะ) วันที่ 12 ธค.

 

พวกเอ็งก็ค้านไม่ได้  เพราะเอ็งต้องการอย่างนี้

มันส์ดีว่ะ !!!

 

จุดชนวนต่อต้าน พอเขาถอยจะถอนออกเสือกขอเหตุผลในการถอน 555 

 

 

 

 

 **********************************************

 

 

 

 

 

                                                      สัตว์หิมพานต์

 

 

 



จาก
nachart@yahoo.com



 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 





 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สัตว์หิมพานต์เป็นจินตนาการที่กวี จิตรกร ประติมากร พรรณนาถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์หรือเขาไกรลาส ดังปรากฏในวรรณคดีไตรภูมิกถา (ไตรภูมิพระร่วง) และรามเกียรติ์

นายช่วง สเลลานนท์ ผู้ประพันธ์หนังสือศิลปไทย ในปีพ.ศ.2494 จำแนกสัตว์หิมพานต์เป็น 3 ประเภท คือ สัตว์ทวิบาท (สองขา) สัตว์จตุบาท (สี่ขา) และปลา รวม 15 ชนิดดังนี้

1.กิเลน เป็นสัตว์หิมพานต์ที่ได้รับมาจากประเทศจีน เช่นเดียวกับสัตว์หลายชนิดในจีน กิเลนตัวผู้กับตัวเมียมีชื่อเรียกไม่เหมือนกัน ตัวผู้มีชื่อเรียกว่า "กิ" ส่วนตัวเมียเรียกว่า "เลน"

ตำนานเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนี้มีอยู่ในประเทศอื่นด้วย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลี ในญี่ปุ่นเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่าคิริน ในไทยเองก็มีรูปกิเลนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 และมีรูปลักษณ์ต่างออกไป มี 3 แบบ คือ กิเลนจีน กิเลนไทย และกิเลนปีก

2.กวาง สัตว์ประหลาดที่มีเค้าจากกวางในตำนานหิมพานต์ ได้แก่ มารีศ พานรมฤค และอัปสรสีหะ

3.สิงห์ สัตว์ในป่าหิมพานต์ส่วนใหญ่จัดอยู่ในหมวดสิงห์ สิงห์ในตำนานหิมพานต์จำแนกได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ คือ

ราชสีห์ มี 4 ชนิด คือ บัณฑุราชสีห์ กาฬสีหะ ไกรสรราชสีห์ และ ติณสีหะ

อีกชนิดเป็นสิงห์ผสม คือสัตว์ประสมที่มีลักษณะของราชสีห์กับสัตว์ประเภทอื่น ได้แก่ เกสรสิงหะ เหมราช คชสีห์ ไกรสรจำแลง ไกรสรคาวี ไกรสรนาคา ไกรสรปักษา โลโต พยัคฆ์ไกรสร สางแปรง สกุณไกรสร สิงฆ์ สิงหคาวี สิงหคักคา สิงหพานร สิงโตจีน สีหรามังกร เทพนรสีห์ ฑิชากรจตุบท โต โตเทพสิงฆนัต และทักทอ

4.ม้า เช่น ดุรงค์ไกรสร ดุรงค์ปักษิณ เหมราอัสดร ม้า ม้าปีก งายไส สินธพกุญชร สินธพนที โตเทพอัสดร อัสดรเหรา อัสดรวิหค


 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 
5.แรด หรือ ระมาด เป็นสัตว์หิมพานต์ที่มาจากสัตว์ที่มีตัวตนอยู่จริง แต่แรดเป็นสัตว์ป่าหายาก ระมาดที่ปรากฏในศิลปะไทยจึงดูคล้ายตัวสมเสร็จ มีจมูกเป็นงวงสั้นๆ

6.ช้าง ตำนานของช้างที่เกี่ยวกับป่าหิม พานต์มีเหตุมาจากความเชื่อของศาสนาฮินดู อันได้แก่ เอราวัณ กรินทร์ปักษา วารีกุญชร ช้างเผือก

7.วัวควาย ไทยและอินเดียเป็นประเทศกสิกรรม สัตว์ประเภทวัวควายจึงมีส่วนสำคัญในการดำรงชีพ ตำนานบางเรื่องจึงมีวัวควายเป็นตัวละคร ได้แก่ มังกรวิหค ทรพี และทรพา

8.ลิง ได้แก่ กบิลปักษา และมัจฉานุ

9.สุนัข ในภาพเขียนเก่าจะเป็นภาพสุนัขมีขนคอหนาและหางเป็นพุ่ม

10.นก เป็นสัตว์ที่มีมากที่สุดในป่าหิมพานต์ มีจำนวนมากถึง 28 ชนิด แตกต่างตามถิ่นที่อยู่อาศัย แต่นกที่ได้รับการเคารพสูงสุดสำหรับฮินดู คือครุฑ

นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของเทพปักษีและเทพกินนร สัตว์หิมพานต์ ประเภทนก ได้แก่ อสูรปักษา อสุรวายุพักตร์ ไก่ นกการเวก ครุฑ หงส์ หงส์จีน คชปักษา มยุระคนธรรพ์ มยุระเวนไตย มังกรสกุณี นาคปักษี นาคปักษิณ นกหัสดี นกอินทรี นกเทศ พยัคฆ์เวนไตย นกสดายุ เสือปีก สกุณเหรา สินธุปักษี สีหสุบรรณ สุบรรณเหรา นกสัมพาที เทพกินนร เทพกินรี เทพปักษี นกทัณฑิมา

11.ปลา ได้แก่ เหมวาริน กุญชรวารี มัจฉนาคา มัจฉวาฬ นางเงือก ปลาควาย ปลาเสือ ศฤงคมัสยา

12.จระเข้ ได้แก่ กุมภีนิมิตร และเหรา

13.ปู รูปลักษณะไม่เปลี่ยนจากรูปแบบทางกายภาพจริง แต่จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติ

14.นาค เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามคติในศาสนาพุทธ และพบได้บ่อยในสถาปัตยกรรมภาษาไทย

15.มนุษย์ ได้แก่ คนธรรพ์ และมักกะลีผล

การจัดสร้างหุ่นสัตว์หิมพานต์ประดับพระเมรุ เป็นคติสื่อถึงการเดินทางสู่เขาพระสุเมรุ อันเป็นหลักชัยแห่งสวรรค์

 

 

 ป่าหิมพานต์อยู่แห่งไหน



 

 

 

ตามตำนานกล่าวไว้ว่าป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขา หิมาลายาหรือหิมาลัย คำว่า “หิมาลายา” นั้นเป็นคำที่ ีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต ซึ่งแปลว่าสถาน ที่ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ทางด้านภูมิศาสตร์หิมาลัยเป็น เทือกเขาในทวีปเอเชีย ประกอบไปด้วยเขาแนว ขนานหลายๆลูก และเป็นเทือกเขาที่มียอดเขาสูง ชัน กว่า ๓๐ ยอดเขามีความสูงเกิน ๗,๖๒๐ เมตร (๒๕,๐๐๐ ฟุต) โดยมียอดเขาเอเวอเรสต์ซึ่งสูงถึง ๘,๕๓๕ เมตร (๒๙,๐๒๙ ฟุต) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก.
 
ความกว้างโดยเฉลี่ยของเทือกเขาหิมาลัยอยู่ที่ประ มาณ ๒๐๐ กิโลเมตร เทือกเขาพาดเป็นแนวจากทิศ ตะวันออกไป ทิศตะวันตกถึงตอนกลางของประเทศ เนปาล และเป็นแนวจาก ทิศตะวันออก เฉียงใต้ไปทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือครอบคลุม อาณาบริเวณหลายประเทศจากอาฟกานิสถาน ปากีสถาน จีน อินเดีย เนปาล ภูฏาณ บังคลาเทศ และสหภาพพม่า
 
ภูมิอากาศของเทือกเขาหิมาลัยนั้นค่อนข้างจะคาดคะเนลำบาก แต่โดยรวมแล้วขึ้นอยู่กับระดับความสูง อุณหภูมิจะอยู่ในระดับต่ำ ในเขตภูเขาสูงและในเขต เนินเขาจะมีความชื้นสูง

 

 

สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

จากการศึกษาชาดกในพระไตรปิฎกทำให้เราทราบว่า แต่เดิมนั้นภพมนุษย์ติดต่อกับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่เชิงป่าหิมพานต์อันเป็นอุทยานของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่มีเหล่าเทพบุตรเทพธิดามากมายหลายจำพวกอาศัยอยู่

 

ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร
 
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
 
     จาตุมหาราชิกา เป็นสวรรค์ชั้นที่ 1 จัดอยู่ในกามภพ เป็นปรโลกฝ่ายสุคติภูมิ ในบรรดาสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นนั้น สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนมีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์
 
 
ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นที่1 หรือ จาตุมหาราชิกา
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามีความหลากหลาย
อยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์และบางส่วนก็ซ้อนอยู่กับภูมิของมนุย์อีกด้วย
 
 
      จากการศึกษาชาดกในพระไตรปิฎกทำให้เราทราบว่า แต่เดิมนั้นภพมนุษย์ติดต่อกับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่เชิงป่าหิมพานต์อันเป็นอุทยานของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่มีเหล่าเทพบุตรเทพธิดามากมายหลายจำพวกอาศัยอยู่ ครั้นต่อมามนุษย์มีกิเลสหนาขึ้น ทำให้สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกากับโลกมนุษย์แยกออกจากกัน จากการศึกษาความรู้พื้นฐานเบื้องต้นทำให้เราทราบว่า บุคคลที่จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา นั้น จะเป็นประเภทที่ทำบุญบ้าง ทำบาปด้วย แต่ก่อนตายระลึกถึงบุญที่ทำได้ คนประเภทนี้มีอยู่มากมายในเมืองมนุษย์ จึงทำให้มาเกิดในสวรรค์ชั้นนี้เป็นจำนวนมากมายมีหลากหลายประเภท
 
     จาตุมหาราช แปลว่า เทวดา 4 องค์ผู้เป็นใหญ่ จาตุมหาราชิกาภูมิ หมายถึง เทวดาทั้งหลาย ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติรับใช้ท้าวมหาราชทั้ง 4 เพราะเหตุว่ามากำเนิดในสถานที่ที่ท้าวมหาราชทั้ง 4 ปกครองอยู่ หรือสถานที่อันเป็นที่อยู่ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็นผู้ปกครอง
 
ที่ตั้งและลักษณะของสวรรค์ ชั้นจาตุมหาราชิกา
 
     สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่ที่เขาสิเนรุ อยู่ใกล้โลกมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และเป็นเหมือนเมืองประเทศราช ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวมหาราช ทั้ง 4 นี้ ปกครองตั้งแต่บนสวรรค์ลงไปจนถึงพื้นมนุษย์ ท้าวมหาราชทั้ง 4 ยังเป็นผู้รักษามนุษย์โลกด้วย ฉะนั้นจึงเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล
 
 
  
ท้าวมหาราชทั้ง 4 ซึ่งเป็นผู้รักษามนุษย์โลก
ท้าวมหาราชทั้ง 4 นี้ปกครองตั้งแต่บนสวรรค์ลงไปจนถึงพื้นมนุษย์
 
 
 
     สวรรค์ชั้นนี้มีเมืองใหญ่ 4 แห่ง เป็นเทพนครของท้าวมหาราชทั้ง 4 ที่มีความรื่นรมย์มากมาย ทุกแห่งมีกำแพงทองงามอร่าม ประดับด้วยแก้ว 7 ประการ บานประตูกำแพงทำด้วยแก้วมณี มีปราสาทที่รุ่งเรืองสวยงาม อยู่เหนือประตูทุกประตู ภายในเทพนครที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีปราสาทแก้วมากมาย ซึ่งเป็นวิมานอันเป็นที่อยู่ของชาวสวรรค์ แผ่นพื้นที่รองรับก็ไม่เหมือนแผ่นดินในเมืองมนุษย์ เป็นพื้นทองก็มี พื้นเงินก็มี ราบเรียบและอ่อนนุ่มยิ่งนัก เมื่อเหล่าเทวดาเหยียบลงไป ก็ไม่ปรากฏรอยเท้า นอกจากนี้ยังมีสระโบกขรณีมีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว เต็มไปด้วยดอกบัวนานาชนิดส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล มีต้นไม้สวรรค์อันวิจิตรตระการตา มีดอกไม้ทิพย์ที่สวยสดงดงามน่าดูน่าชม ที่กล่าวมานี้ เป็นที่อยู่ของเทวดาชั้นสูงผู้มีบุญญาธิการมาก
 
     ส่วนเทวดาชั้นกลางจะอยู่ที่ป่าหิมพานต์เชิงเขาสิเนรุ ป่าหิมพานต์เป็นเหมือนอุทยานแห่งชาติของสวรรค์ มีต้นไม้ ดอกไม้ที่นี่สวยสดงดงาม ใบไม้เวลาตกลงมาถึงพื้นก็แวบหายไป ไม่ทับถมกันเป็นปุ๋ยเหมือนต้นไม้ในเมืองมนุษย์ ดอกไม้มีกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ พอร่วงหล่นลงมา ก็ออกดอกใหม่ ฤดูกาลของที่นี่จะเป็นฤดูสบาย คือ เย็นสบายๆ ไม่หนาว ไม่ร้อน ปีหนึ่งๆ ต้นไม้จะออกดอก 1 เดือนบ้าง 2 เดือนบ้าง 3 เดือนบ้าง ในป่าหิมพานต์นี้มียอดเขา 84,000 ยอด มีแม่น้ำใหญ่ 5 สาย คือ คงคา ยมุนา สรภู อจิรวดี มหิมา มีสระใหญ่ 7 สระ คือ อโนดาต กัณณมุณฑะ รถกาละ ฉัททันตะ มัณฑากินี สีหปปาตะ กุณาละ เฉพาะที่สระอโนดาตมีภูเขา 5 ลูกล้อมรอบ คือ เขาสุทัสสนะ เขาจิตรกูฏ เขากาฬกูฏ เขาไกรลาส เขาคันธมาทน์ ที่เขาคันธมาทน์นี้ มีเงื้อมเขาหนึ่งชื่อ นันทมูลกะ เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า มีถ้ำอยู่ 3 แห่ง คือ ถ้ำทอง ถ้ำแก้ว ถ้ำเงิน
 
 
 
 
นาคในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
นาค บนสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกาจัดเป็นเทวดาชั้นกลาง
 
    
 
ในป่าหิมพานต์เป็นที่อยู่ของเทวดาชั้นกลาง เช่น ครุฑ ยักษ์ นาค คนธรรพ์ วิทยาธร และมีสัตว์อัศจรรย์หลายชนิด ซึ่งสัตว์ที่อยู่ตรงนี้สวยมาก เหมือนเป็นต้นตระกูลของสัตว์ ทั้งหลาย มีสัตว์รูปร่างพิสดารมากมาย เช่น กินนร กินนรี ติณณราชสีห์ กาฬราชสีห์ ปัณฑุราชสีห์ ไกรสรราชสีห์ คชสีห์ และมีต้นมักกะลีผล ซึ่งมีผลเป็นนารี เป็นที่หมายปองของเหล่าเทวดาหลายพวก เช่น วิทยาธร คนธรรพ์ ในป่าหิมพานต์ทั้งหลาย เป็นต้น 
 
     ต้นนารีผล หรือ มักกะลีผล นี้ จะขึ้นอยู่ท่ามกลางต้นไม้ต่างๆ จะขึ้นประปรายทั่วๆ ไป ไม่ได้ขึ้นเป็นหมู่ อยู่ในป่าหิมพานต์ รอบๆ เขาพระสุเมรุ ลำต้นนารีผลเป็นสีน้ำตาลทอง สวยงามเป็นเงาระยิบระยับ ใบเป็นสีทองแพรวพราวสวยงาม ซึ่งถ้าอยู่ในภพนี้จะมีรัศมีเรืองรอง เมื่อใบตกถึงพื้นก็แวบหายไป ไม่ต้องรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย และไม่ต้องตกแต่ง เมื่อถึงฤดูกาลนารีผลจะห้อยเต็มไปหมด ถ้าไม่ใช่ฤดูกาลจะเห็นแต่ใบ เมื่อถึงเวลาอันสมควรจึงจะออกดอกออกผล นารีผลปีหนึ่งออกดอกครั้งเดียว ครั้งละ 3 เดือน ตั้งแต่ตูมจนกระทั่งบาน 1 เดือน จากบานเป็นนารีผลอีก 1 เดือน ส่วนอีก 1 เดือน นารีผลช่วงสุกงอมหลุดจากขั้ว จึงจะนำไปใช้สอยได้ ซึ่งแต่ละผลก็หลุดไม่พร้อมกัน แต่มีช่วงระยะหลุดจากต้น 1 เดือน เมื่อหล่นลงมาแล้วอยู่ได้แค่ 7 วันสวรรค์ เท่ากับ 350 ปีในเมืองมนุษย์ เหล่าคนธรรพ์ วิทยาธร จะมาคอยแย่งชิงนารีผลในช่วงที่นารีผลสุกงอม
 
สัตว์อัศจรรย์ที่อยู่ในป่าหิมพานต์
 
 
ป่าหิมพานต์ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่มีต้นมักกะลีผล
ลักษณะทั่วไปของป่าหิมพานต์ที่มีสัตว์อัศจรรย์อาศัยอยู่อย่างมากมาย
 
   
 
  คชสีห์ ที่มีหัวเป็นช้าง ตัวเป็นราชสีห์ ราชสีห์กับช้างผสมผสานกลมกลืนกันอย่างดี บางคนบอกว่า คนละสายพันธุ์กันจะผสมกันได้อย่างไร ก็เหมือนคนไทยแต่งงานกับคนต่างชาติ ลูกออกมาก็ผสมผสานกันไป คชสีห์เราได้ยินกันบ่อยๆ ถ้าเราอ่านในวรรณคดีจะคุ้น เขาเรียกว่า สัตว์ในเทพนิยาย บางคนไม่เชื่อว่ามีจริง แต่มันมีจริงๆ ดูแล้วจะเป็นสัตว์ประหลาด แต่ว่าเป็นสัตว์ที่สง่างามมาก
 
      นาคราชสีห์ มีหัวเป็นพญานาค แต่ตัวเป็นราชสีห์ มีหางเป็นนาค มีเกล็ดเป็นนาค สวยสง่างาม องอาจ เกิดจากพญานาคกับราชสีห์ผสมกัน
 
     ไกรสรราชสีห์ เป็นเจ้าป่าหิมพานต์ ตัวมีขนสีขาว ปลายๆ ขนมีสีแดงๆ ถ้าดูข้างหน้าผมจะมีสีแดง ขนจะขดวน ขดใหญ่ๆ วนตามเข็มนาฬิกา วนเป็นเกลียวขึ้นไปบนหลัง และผมของมันจะไม่ยุ่งเหยิงเหมือนสิงโตเมืองมนุษย์ สวยสง่างามมาก สามารถจับช้างกินได้
 
     ที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นที่อยู่ของเทวดาชั้นสูงและชั้นกลาง ส่วนเทวดาที่ต่ำกว่านั้นลงมา ก็จะมีความหลากหลายมากมาย บ้างก็อยู่รวมกันเป็นเผ่าพันธุ์ของตัว เช่น ครุฑ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ เป็นต้น ความเป็นอยู่ของบางกลุ่มก็จะใกล้เคียงมนุษย์ เช่น มีวิมานคล้ายบ้านในมนุษย์ เพราะมีบุญน้อย เป็นต้น
 
     นอกจากนี้ยังมีเทวดาชั้นต่ำที่ถือว่าเป็นชาวสวรรค์ชั้นนี้อีกด้วย ที่มีวิมานอยู่บนพื้นดินที่มนุษย์อยู่ เรียกชื่อตามที่อยู่อาศัยรวมเป็นพวกใหญ่ ดังนี้
 
     ภุมมเทวา เป็นเทวดาที่อาศัยอยู่บนพื้นมนุษย์ อยู่ตามจอมปลวก เนินดิน ใต้ดิน ภูเขา แม่น้ำ บ้าน เจดีย์ ศาลา ซุ้มประตู เป็นต้น บางองค์มีวิมานเป็นของตน บางองค์ก็ไม่มี ต้องอาศัยวิมานองค์อื่นอยู่
 
     รุกขเทวา เป็นเทวดาที่อาศัยอยู่ตามกิ่งไม้หรือยอดไม้ต่างๆ ซึ่งสูงขึ้นไปกว่าพวกภุมมเทวา มีทั้งที่มีวิมานและไม่มีวิมานเป็นของตน
 
     อากาสเทวา เป็นเทวดาที่มีวิมานอยู่กลางอากาศ สูงขึ้นไปจากพื้นดินประมาณ 1 โยชน์
 
 
 
อากาศเทวาอยู่ไม่ไกลนักจากภูมิมนุษย์
ลักษณะความเป็นอยู่ของอากาศเทวา
 
 
 
      เทวดาเหล่านี้อยู่ในปกครองของท้าวจาตุมหาราชิกา ซึ่งที่อยู่อาศัยของเทวดาเหล่านี้ จะอยู่ซ้อนกับภูมิของมนุษย์ ทำให้บางคราวมนุษย์สามารถมองเห็นพวกภุมมเทวา รุกขเทวา และอากาสเทวา ได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งก็จะมีทุกเผ่าพันธุ์ ที่เราเรียกกายละเอียด หรือวิญญาณที่อยู่ปนกับภูมิมนุษย์เหล่านี้ว่า ผี
 
     คำว่า ผี มีความหมายกว้างมาก หมายถึง กายละเอียดที่เรามองไม่เห็น ที่อยู่รวมกับมนุษย์แต่สภาพที่ละเอียดกว่า เช่น สัมภเวสี (ผีเร่ร่อน) ภุมมเทวา สายยักษ์ สายวิทยาธร สายคนธรรพ์ เป็นต้น อย่างผีปอบที่เราเคยได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเป็นภุมมเทวาสายยักษ์ ที่อยู่ในการปกครองของท้าวเวสสุวรรณ ที่เข้าสิงร่างมนุษย์เพื่ออาศัยกินอาหาร แต่ไม่สามารถจะเข้าสิงได้ทุกคน จะเข้าสิงได้เฉพาะคนที่เคยสร้างกรรมประเภท ฆ่าสัตว์ไหว้เจ้ามาในอดีต
 
     หากเราได้ศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของกายละเอียดเหล่านี้ ก็จะทำให้เราเข้าใจชีวิตของเขามากขึ้น ความกลัวของเราก็จะลดน้อยลง จนไม่มีความกลัวหลงเหลืออยู่เลย เพราะเขาเหล่านี้ก็คือ อดีตมนุษย์ที่สั่งสมบุญมาน้อยนั่นเอง เขาเหล่านั้นกลับจะกลัวผู้มีบุญมากกว่า
 
อายุขัยของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
 
อายุของชาวสวรรค์ชั้นนี้ มีปรากฏใน วิตถตสูตร1 ว่า
 
     “ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย 50 ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่ง ของเทวดาชั้นจาตุมหาราช 30 ราตรีโดยราตรีนั้นเป็นเดือนหนึ่ง 12 เดือนโดยเดือนนั้นเป็นปีหนึ่ง 500 ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นจาตุมหาราช”
 
     จากพระสูตรจะเห็นว่า อายุมาตรฐานของชาวสวรรค์ชั้นนี้จะอยู่ที่ประมาณ 500 ปีทิพย์ แต่ก็ไม่แน่ว่าเทวาเหล่านั้นจะอยู่ได้ถึงหรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกำลังบุญของเทวดานั้น เหมือนเมืองมนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ย 100 ปี บางคนก็น้อยกว่า บางคนก็มากกว่า ถ้านับเป็นอายุมนุษย์ก็เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์
 
1 วิตถตสูตร, อังคุตตรนิกาย อัฏฐกบาต, มก. เล่ม 37 ข้อ 132 หน้า 504.
 
บทความที่เกี่ยวข้องกับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
 
 


    

 

 

 

*********************************************

 

 

 

 

             คุณอภิสิทธิ คุณสุเทพ ว่าไงล่ะทีนี้?!

 

 

 

 

                     

 

 

 

และแล้วทุกอย่างก็ลงตัวในทิศทางที่ถูกต้อง และเหมาะสม ตามความเรียกร้องของปชช.

ถึงแม้ว่าต้องใช้เวลาไปมากมาย เหนื่อยหน่ายกันไปหลายราย โกรธกันไปเยอะแยะ

แต่ก็ลงตัวได้จริงๆ ตามที่เห็น

 

 

จนป่านนี้แล้วท่านนายกยังไม่ทราบหรือว่าพรรคเพื่อไทยได้สร้างความผิดหวังให้กับประชาชนที่สนับสนุนพรรคอย่างไม่ให้น่าอภัย. แต่สำหรับท่านนายกแล้วก็เข้าใจสถานะฐานและรู้สึกเห็นใจท่านเป็นอย่างมากที่ต้องมารับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ

 

อย่าให้มีแบบนี้อีกเป็นอันขาด รู้ตัวว่าผิด รู้ตัวว่าฝืนความรู้สึกประชาชน รู้ตัวว่าพลาดแล้วรู้จักถอย มวลชนยังให้อภัย แต่อย่าให้มีแบบนี้อีกเป็นครั้งต่อไป รับรองงานนี้ได้แยกกันเดินแน่นอน

 

 

คนที่เอ่ยปากขอโทษก่อน คือคนที่กล้าหาญที่สุด คนที่ให้อภัยก่อน คือคนที่เข้มแข็งที่สุด

 

 

 

 

 

*******************************************

guest

Post : 2013-11-07 23:15:50.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  คนจริงหยิ่งทรนง...ก้าน เเก้วสุพรรณ

 

 

 
 
 
 
 
 
 
 
" ทำไมถึงเเกล้งกระเป๋ารถเมล์เขาอย่างนั้นล่ะโยม?..."
" เเล้วมาเสือกอะไรด้วยล่ะเณร?!!.."
 
เสียงตะคอกตวาดกลับอย่างไม่พอใจของเจ้าอันธพาลหัวโจกที่เป็นหัวหน้ากลุ่มของนักเลง 4-5 คน บนรถเมล์ขาวนายเลิศ ที่เสียงดังใส่สามเณรน้อย 2 รูป ที่นั่งอยู่เบาะหลังบนรถเมล์คันนั้น กับภาพที่อยู่ตรงหน้า เจ้าอันธพาลหัวโจกล้วงกระเป๋ากางเกงของมันเเล้วทำทีว่าจะชำระค่าโดยสารให้กับกระเป๋ารถเมล์ที่กำลังเดินจะมาเก็บค่าโดยสาร สักพักมันก็ทำเป็นเหรียญตกอยู่ตรงหน้าของมันเพื่อที่จะให้กระเป๋ารถเมล์ก้มเก็บเหรียญสตางค์ที่มันทำหล่น พอกระเป๋าจะก้มลงเก็บ เจ้าอันธพาลหัวโจกก็ใช้เท้าของมันเหยียบลงไปบนมือของกระเป๋าหนุ่มคนนั้นด้วยอาการยียวนกวนประสาท หนุ่มกระเป๋าโชคร้ายคนนั้นชักมือออกด้วยอาการเเสดงสีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันของพวกสัตว์นรกที่สิงสถิตย์อยู่ในร่างของคนกันเป็นที่สนุกสนาน
 
" มีปัญหาอะไรหรือเปล่าล่ะเณร? เรื่องนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ เข้าจั๋ยยย?!!...."
 
สายตาของเณรเเดง ยังคงจ้องเหล่าอันธพาลเหลือขอเหล่านั้นด้วยสายตาที่หดหู่ เป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือโลกมนุษย์? กากเดนของสังคมพวกนี้ ชีวิตของพวกเขาช่างด้อยค่าไร้ราคาเสียนี่กระไร สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านไม่มีที่สิ้นสุด เก่งได้เเต่เฉพาะคนที่อ่อนเเอกว่าหรือไม่มีทางสู้เท่านั้น หากรวมกลุ่มกันเมื่อไรล่ะก็ ความหยิ่งคะนองลำพองขน เกะกะระรานไปทั่วจนไม่มีผู้ใดจะกล้าตอเเยด้วย เณรหนุ่มนั่งคิดว้าวุ่นไปตลอดทางจนไม่รู้ว่าเหล่าอันธพาลเหล่านั้นลงจากรถเมล์ไปตั้งเเต่เมื่อไร
 
" ป้ายหน้าผ่านฟ้าเเล้ว ไม่ลงหรือไง?....." เณรอุดม สหายธรรมที่ไปเรียนปริยัติธรรมด้วยกันที่วัดราชาธิวาส เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบเพื่อที่จะได้เตรียมตัวลงให้พร้อม หลังจากลงรถเมล์ด้วยความสำรวมเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว เณรหนุ่มทั้งสองก็เดินกลับเข้าวัดปรินายกอย่างเงียบๆโดยมีเณรเเดงเดินอยู่ข้างหลังไม่ห่าง เเละก็อีกไม่ไกลก็จะถึงกุฎิที่เณรทั้งสองจำวัดอยู่
 
" ท่าน...พรุ่งนี้เราจะสึก......"
 
เณรอุดม ที่เดินนำหน้าหยุดกึกทันที เเล้วจึงหันกลับมามองหน้าสหายธรรมที่มีความสนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่กว่าน้องด้วยความงุนงงสงสัย ใครจะไปเชื่อละว่า เณรหนุ่มเปรียญ 3 ประโยคท่านนี้ เป็นลูกกำพร้าจากสามชุก สุพรรณบุรี ที่ท่องนวโอวาทยังกับท่องเเม่สูตรคูณ เสียงดังฟังชัด ความจำเป็นเลิศ ถึงขนาดพระเดชพระคุณครูบาอาจารย์เอ่ยชื่นชมอยู่ตลอดเวลา ว่าเณรหนุ่มรูปนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าจะได้เป็นหัวเรี่ยวหัวเเรงกำลังสำคัญที่จะช่วยกันเผยเเผ่พระพุทธศานาสืบไป เเล้วนี่มันอะไรกัน? เหตุใดผ้าเหลืองจึงรุ่มร้อนได้ถึงขนาดนี้?
 
" ท่านพูดหยอกเราเล่น?..."
" เราพูดจริง "
" สึกเเล้วท่านจะไปทำอะไร? "
" เราจะไปเป็นกระเป๋ารถเมล์........."
 
นาย มงคล หอมระรื่น หรือเณรเเดง หลังจากสึกออกมาเป็นที่เรียบร้อย ก็ไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่ที่อู่ศรีนครทันที เเล้วก็มีเรื่องมีราวกับพวกอันธพาลกลุ่มต่างๆเเทบไม่เว้นเเต่ละวัน เด็กกำพร้าจากสามชุกคนนี้ยอมคนซะที่ไหน อีกอย่างเป็นมวยด้วย ไอ้เรื่องเสียเปรียบเขาหรือหัวร้างข้างเเตกเลือดสาดเนี่ยไม่เคยมี อาศัยใจถึงพึ่งได้ จนกระทั่งว่าเป็นพี่เบิ้มใหญ่ในอู่ศรีนครเลยก็ว่าได้ อีกอย่างเป็นคนอารมณ์ดีร้องเพลงเก่ง โดยเฉพาะเพลงของคำรณ สัมบุญณานนท์ ร้องได้ทุกเพลงเลยก็ว่าได้ จนอยู่มาวันหนึ่ง คุณวินัย เเก้วทรงศรี จะพาไปฝากฝังกับครูคำรณ ที่ซอยบำเพ็ญบุญ หลังโรงหนังเฉลิมกรุง ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่จะได้เห็นพบตัวจริงอย่างใกล้ชิดกับนักร้องคนโปรด ซึ่งเจ้าเเดงก็ไม่ได้ใฝ่ฝันอะไรไปมากกว่านั้น ยิ่งการเป็นนักร้องอาชีพไม่เคยคิดอยู่ในหัวสมองเลยก็ว่าได้
 
วันนั้นคุณวินัย ก็พาเจ้าหนุ่มน้อยไปหาครูคำรณที่บ้าน เเต่ทว่าครูนอนอยู่ข้างบนยังไม่ตื่น ก็เจอเเต่คุณบังเละ วงค์อาบู น้่งอยู่ข้างล่างซึ่งก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกันกับคุณวินัยมาก่อน ก็เลยมานั่งคุยนั่งรอจนกระทั่งครูคำรณท่านตื่นนอนพอดี ก็เลยเรียกทั้งสองขึ้นไปข้างบน คุณวินัยก็เลยถือโอกาสฝากฝังเจ้าเเดงเป็นลูกศิษย์ลูกหาด้วยสักคนนึง ครูก็เลยให้ร้องเพลงให้ฟัง โดยเจ้าเเดงเลือกเพลงเสือสำนึกบาป ของครูคำรณ ขึ้นมาร้องให้เจ้าของเพลงเขาฟังอย่างมั่นอกมั่นใจ
 
" พอๆๆๆ ไปซ้อมมาใหม่ ร้องเพลงออกจากจมูกอย่างนี้ เมื่อไรมึงจะดังเหมือนกู...."
 
ความเงียบปกคลุมทันทีหลังจากทั้งสองกราบลาครูเเล้วเดินออกจากซอยบำเพ็ญบุญกันมาอย่างเงียบๆ ไม่มีหัวร่อต่อกระซิกอะไรกันเลย ซึ่งเเตกต่างจากขามาอย่างสิ้นเชิง
 
" พรุ่งนี้ผมจะลาออกจากกระเป๋า....."
 
คุณวินัยที่เดินนำหน้าอยู่ใกล้ๆ หยุดกึกทันที เเล้วจึงหันหน้ามาสบตาเจ้าเเดงอย่างระคนสงสัย
 
" ผมจะไปเป็นนักร้อง.....ผมจะไปเป็นนักร้องให้ได้..............."
 
 
 

guest

Post : 2013-11-01 18:55:22.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  อาหารตามสั่ง ขึ้นราคาอย่างตามใจ

 

 

 

     อาหารตามสั่ง ขึ้นราคาอย่างตามใจ

 

 

 

 

 

จากกรณีที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ประกาศขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม LPG กก.ละ 50 ส.ต. ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าอาหาร จานละ 2-63 ส.ต. โดยกรมการค้าภายในเชื่อว่า ไม่น่าจะกระทบต่อค่าอาหารและค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้นิยมบริโภค อาหารจานด่วน Mthai ข่าวภาคซ่าส์สัปดาห์นี้ จึงหยิบประเด็น อาหารจานด่วน มาเล่าสู่กันฟัง

 

 

 

อาหารจานด่วน (Fast Food) เป็นอาหารที่ปรุงสุกภายในเวลาอันรวดเร็ว ถ้าจานด่วนแบบฝรั่งก็คงจะเป็นพวกเคเอฟซี เบอเกอร์  แต่ถ้าอาหารจานด่วนแบบไทยๆก็คงจะหนีไม่พ้น ข้าวราดแกง อาหารตามสั่งจำพวก ผัดกะเพรา ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยวผัดไท ราดหน้า ผัดซีอิ๋ว ซึ่งใช้เวลาปรุงไม่เกิน 10 นาทีก็พร้อมรับประทาน

 

 

อาหารตามสั่ง ขึ้นราคา

 

 

ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยรายะเอียดเกี่ยวกับต้นทุนของอาหารจานด่วนยอดนิยมของคนไทย มีข้อมูลดังนี้

-  ข้าวราดแกงไก่  หากจำหน่ายจานละ 30 บาท จะมีสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบ 13.47 บาท แบ่งเป็น ต้นทุนจากค่าแรง ค่าเช่าพื้นที่ ค่าไฟฟ้า ค่าขนส่ง ค่าก๊าซและอื่นๆ 8.94 บาท กำไรผู้ประกอบการ 7.59 บาท

-   ข้าวกะเพราหมู+ไข่ดาว ต้นทุนวัตถุดิบ 19.49 บาท

-   อาหารอื่นๆ หากขายจานละ 30 บาท มีต้นทุนเพียง 21.43 บาท ส่วนที่เหลือ 8.57 บาทเป็นกำไร โดยต้นทุนแบ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบ 13.49 บาท ในจำนวนนี้เป็นค่าข้าว 3.67 บาท เนื้อหมู 8.20 บาท ผัก 0.64 บาท น้ำมันพืช 0.21 บาท เครื่องปรุง 0.77 บาท ค่าใช้จ่ายอื่น 7.94 บาท ในจำนวนนี้เป็นค่าแรง 3 บาท ค่าแก๊ส 1 บาท ค่าเช่า 2 บาท ค่าน้ำค่าไฟ ค่าขนส่ง 1.94 บาท และกำไร 8.57 บาท

นอจากนี้ยังมีการสำรวจจัดอันดับ 5 อาหารจานด่วนที่คนไทยชอบทานมากที่สุด ได้แก่

อันดับ 1 ข้าวผัดกะเพรา นับรวมทุกชนิดเนื้อหมู หมึก กุ้ง เนื้อ ไก่ หมูกรอบ

อันดับ 2  ข้าวผัด หมู หมึก กุ้ง

อันดับ 3 ผัดซีอิ๋ว

อันดับ 4 ผัดผัก นับรวมผัดคะน้า ผัดผักรวม ผัดผักบุ้ง กะเฉดไฟแดง

อันดับ 5 ผัดน้ำพริกเผา

อย่างไรก็ตาม หากจะบอกว่าข้าวจานหนึ่งขายได้กำไรไม่เท่าไหร่ ยิ่งก๊าซหุงต้มเพิ่มราคา ค่าขนส่งแพงขึ้นแต่ใช่ว่ากรมการค้าภายในจะอนุญาตให้ร้านอาหารตามสั่งขึ้นราคาได้ตามใจเพราะราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2 บาท ซึ่งทางผู้ค้าน่าจะรับไหว และเมื่อมองในความเป็นจริง อาหารตามสั่งเวลาขึ้นแล้วจะไม่มีลง ขึ้นต่อครั้ง 5 – 10 บาท ซึ่งก็น่าคิดนะว่าพอวัตถุดิบหรือราคาต้นทุนลดลงทำไมอาหารตามสั่งราคาไม่ลดลงบ้าง เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ข้าวผัดกะเพราจานละ 15 บาท 5 ปีที่แล้วข้าวผัดกะเพาจานละ 20 บาท รวมไข่ดาวเป็น 25 แต่ปัจจุบันจะหาราคาข้าวแบบนี้ยังหายาก อย่างเก่งคงประมาณเฉลี่ย 30 -35 บาท ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจสำหรับผู้บริโภค และแม่ค้าผู้แบกรับภาระค่าต้นทุนที่กำลังจะเพิ่มขึ้นด้วย ทาง Mthai ข่าวภาคซ่าส์ก็อยากจะช่วยบอกให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนด้วย 

 

 

 

 **********************************

 

 

 

 

 

“10 สถานที่เสี่ยงมลพิษ” มากที่สุดในโลก-เตือนกระทบ

 

ประชากร 200 ล้านคน

 

 

 

 

ย่าน Agbogbloshie ในกรุงอักกรา เมืองหลวงของสาธารณรัฐกานา เป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงมลพิษมากที่สุด เนื่องจากเป็นแหล่งรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่อันดับ 2 ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก

 

 

เอเอฟพี - สถาบันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเผยแพร่รายนาม 10 สถานที่เสี่ยงมลพิษมากที่สุดในโลก พร้อมเตือนว่าประชากรโลกหลายร้อยล้านคนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในความเสี่ยง วานนี้ (4)
       
       ริชาร์ด ฟุลเลอร์ ผู้อำนวยการสถาบันแบล็กสมิธ ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ ประเมินว่า “ประชากรโลกกว่า 200 ล้านคนเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพ เนื่องจากมลพิษในประเทศกำลังพัฒนา”
       
       สถาบันแบล็กสมิธ ร่วมกับ กรีน ครอสส์ สวิตเซอร์แลนด์ ได้จัดพิมพ์รายนาม “สถานที่ที่มีมลพิษร้ายแรงที่สุดในโลก” 10 อันดับแรก โดยสรุปจากผลประเมินความเสี่ยงกว่า 2,000 กรณีใน 49 ประเทศ
       
       ย่าน Agbogbloshie ในกรุงอักกรา เมืองหลวงของสาธารณรัฐกานา ถูกจัดเป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงมลพิษมากที่สุด เนื่องจากเป็นแหล่งรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่อันดับ 2 ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก
       
       ทุกๆ ปี กานาจะนำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มือสองราว 215,000 ตันจากประเทศแถบยุโรปตะวันตก และตัวเลขนี้ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มอีกเท่าตัว ภายในปี 2020
       
       ปัญหาสำคัญจากกระบวนการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ในกานาก็คือ การเผาทำลายสายเคเบิลเพื่อเอาลวดทองแดงที่อยู่ภายใน ซึ่งสายเคเบิลอาจมีส่วนประกอบของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว เป็นต้น
       
       รายงานชิ้นนี้ระบุว่า จากการสุ่มตรวจตัวอย่างดินบริเวณย่าน Agbogbloshie พบว่ามีโลหะอันตรายปนเปื้อนเกินมาตรฐานถึง 45 เท่า
       
       “ขยะอิเล็กทรอนิกส์กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ มันเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน เพราะทุกคนล้วนอยากมีคอมพิวเตอร์, แล็ปท็อป และอุปกรณ์ทันสมัยอื่นๆ ดังนั้นผมคิดว่าสิ่งที่เราเห็นในวันนี้เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น” แจ็ก คาราวาโนส ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจากสถาบันแบล็กสมิธให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน

 

 

เจ้าหน้าที่กลุ่มกรีนพีซสวมชุดป้องกันขณะสำรวจสารพิษที่ถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำซิตารุม ในจังหวัดชวาตะวันตกของอินโดนีเซีย (แฟ้มภาพ)

 

สถานที่อื่นๆ ซึ่งมีชื่อติดโผมลพิษเป็นครั้งแรกในปีนี้ ได้แก่ ที่ราบลุ่มแม่น้ำซิตารุมในจังหวัดชวาตะวันตกของอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรอยู่อาศัยประมาณ 9 ล้านคน และยังมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่ราว 2,000 แห่ง
       
       ชาวบ้านยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และเพาะปลูกข้าวเป็นหลัก แต่จากการตรวจสอบพบว่าแม่น้ำสายนี้เต็มไปด้วยสารพิษ เช่น อะลูมิเนียม และแมงกานีส และเมื่อสุ่มตรวจด้วยมาตรฐานน้ำดื่มก็พบว่า มีปริมาณสารตะกั่วเกินกว่ามาตรฐานน้ำดื่มของสหรัฐฯ กว่า 1,000 เท่า
       
       กาลิมันตัน ซึ่งเป็นดินแดนของอินโดนีเซียบนเกาะบอร์เนียว ก็ถูกจัดเป็นพื้นที่เสี่ยงมลพิษจากการขุดหาแร่ทองคำด้วยวิธีพื้นบ้าน โดยนักขุดทองส่วนใหญ่จะใช้สารปรอทในกระบวนการสกัดทองคำ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลหะหนักชนิดนี้แพร่กระจายออกไป
       
       ย่าน Hazaribagh ในเมืองหลวงของบังกลาเทศก็เป็นอีกหนึ่งจุดเสี่ยง โดยแต่ละวันโรงงานฟอกหนังราว 270 แห่งจะปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็งโครเมียม 6+ ราวๆ 22,000 ลูกบาศก์ลงสู่แม่น้ำบุรีคงคา ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของกรุงธากา และเป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของพลเมือง
       
       สถานที่อื่นๆ ซึ่งถูกจัดเป็นพื้นที่เสี่ยงมลพิษมากที่สุดเช่นกัน ได้แก่ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ในไนจีเรีย, ที่ราบลุ่มแม่น้ำมาตันซา-ริอาชูเอโลในอาร์เจนตินา, โรงไฟฟ้าเชอร์โนเบิลในยูเครน, เมือง Norilsk และ Dzershinsk ในรัสเซีย และเมืองคับเวในแซมเบียซึ่งมีการทำเหมืองตะกั่ว
       
       จีนและอินเดียซึ่งเคยติดโผสถานที่เสี่ยงมลพิษมากที่สุดในโลกเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ไม่มีชื่อในลิสต์สำหรับปีนี้

 

 

                         มารู้จัก..ขยะอิเล็คทรอนิกส์ ( e-waste)

  เทวารักษา เครือคล้าย
นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการพิเศษ
เจริญชัย จิรชัยรัตนสิน
วิศวกรปฏิบัติการ 

                                

 

 

 

     

 

     ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-waste
           
คือขยะที่เกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ประกอบด้วย พีซี จอมอนิเตอร์ และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งมีส่วนผสมของโลหะมีพิษชนิดต่างๆ อยู่ในตัว อาทิ สารตะกั่ว สารปรอท และแคดเมียม รวมทั้งสารเคมีอีกสารพัดชนิด และจะ เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างรุนแรงทันที หากมีโอกาสเข้าไปปะปนอยู่ในสิ่งแวดล้อม เมื่อมีการนำขยะเหล่านี้ มาทิ้งบนพื้นดิน อันตรายจากสารพิษที่ได้จากการเผา หรืออันตรายจากการนำพีซีมาแยกชิ้นส่วนด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง

ขยะดังกล่าวไม่อาจสูญสลายไปตามธรรมชาติได้ และถูกจัดว่าเป็น “ขยะพิษ” ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มี ดังนี้

        1. ตะกั่ว (Lead) 

            เป็นโลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ใช้ฉาบจอแก้ว พิษของตะกั่วจะทำลายระบบประสาท ต่อมไร้ท่อ ไต ระบบเลือด และการพัฒนาสมองของเด็ก พิษเรื้อรังของตะกั่ว จะค่อยๆ แสดงอาการออกมา ภายหลังจากได้รับสารตะกั่วทีละน้อยเข้าสู่ของเหลวในร่างกาย และค่อยๆสะสมในร่างกาย

    2. หลอดรังสีแคโทด (Cathode Ray Tube : CRT)

            หลอดภาพเครื่องรับโทรทัศน์ และจอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ ยังใช้ตะกั่วในการบัดกรีส่วนประส่วนประกอบอิเล็กโทรนิคส์ต่างๆ บนแผงวงจรไฟฟ้า

    3. แคดเมียม (Cadmium)

        พบในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วัสดุกึ่งตัวนำ (Semiconductors) อุปกรณ์ตรวจจับอินฟราเรด (Infrared Detectors) หลอดภาพรุ่นเก่า เป็นต้น แคดเมียมเป็นสารที่มีพิษอย่างเฉียบพลัน ต่อทางเดินหายใจ ทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรง ไตวาย ไตถูกทำลาย มีโปรตีน ในปัสสาวะ ร่างกายขับกรดอะมิโน กลูโคส แคลเซียม และฟอสเฟตในปัสสาวะมากขึ้น ทำให้เกิดเป็นนิ่วในปัสสาวะได้ โรคปวดกระดูก โรค อิไต-อิไต ปวดสะโพก (Hip Pain) ปวดแขน ขา (Extremity Pain) มีวงแหวนแคดเมียม (Yellow Ring) ปวดกระดูก (Bone Pain) ปวดข้อ (Joint Pain) มีความผิดปกติที่กระดูกสันหลัง ทำให้มีลักษณะเตี้ย หลังค่อม 


 


  

      4. ปรอท (Mercury)

        ถูกใช้ในชิ้นส่วนไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เทอร์โมสตัท (Thermostat) รีเลย์ แบตเตอรี่ สวิตช์ขนาดเล็กบนแผงวงจรอุปกรณ์ตรวจวัด (Measuring Equipment) ปรอทเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะไปทำอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งได้แก่ สมอง และไขสันหลัง ทำให้เสียการควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ของแขน ขา การพูด และยังทำให้ระบบประสาทรับความรู้สึกเสียไป เช่น การได้ยิน การมองเห็น

        5. โบรมีน (Bromine)

        โบรมีน เป็นสารก่อมะเร็ง และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี และรูปทรงของกล้ามเนื้อหัวใจ สามประกอบโบรมีน ใช้เป็นตัวหน่วงการลุกติดไฟ (Brominated Flame Retardants, BFRs) ของตัวตู้คอมพิวเตอร์ และแผงวงจร หมึกพิมพ์ เป็นสารก่อมะเร็ง และสารประกอบฟอสเฟตที่ใช้เคลือบภายนอกหลอดภาพ CRT มีความเป็นพิษสูงเพราะมีส่วนผสมของ แคดเมียม สังกะสี และวานาเดียม เป็นต้น 

        6. คลอรีน (Chlorine)

        คลอรีนปรากฏอยู่ในพลาสติก พีวีซี ซึ่งก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งไดออกซิน เมื่อพลาสติกถูกเผา สารเคมีชนิดนี้มีผลต่อระบบหายใจ ระคายจมูก และทำให้เคลือบฟันผุ

 

 



            

        ยูเอ็น ประมาณว่า ในอีกไม่นาน ขยะอิเล็กทรอนิกส์โลกจะมีไม่ต่ำกว่า 40 ล้านตัน ปัญหานี้ จะยิ่งเลวร้ายลงอีก หากไม่ใส่ใจแก้ไขอย่างจริงจัง ขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ จะทวีความรุนแรง ไม่เพียงก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จึงเป็นที่มาให้ยูเอ็น ริเริ่มโครงการบรรเทาปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (Solving the E-Waste Problem:StEP) เพื่อรณรงค์ การลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ภายใจ้ความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีบริษัทด้านไอที หลักๆ ที่เข้าร่วมเช่น ไมโครซอฟท์ อีริคสัน ฮิวเลตต์ – เเพคการ์ด (HP) และเดลล์ เพื่อสร้างมาตรฐานการรีไซเคิลอุปกรณ์ ให้เป็นมาตรฐานโลก และขยายอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ให้ยาวนานขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 **********************************

 

 

 

 

                                          วีรกรรมขุนรองปลัดชู

 

 

 





 

 

 

 

ประวัติขุนรองปลัดชู หัวหน้ากองอาทมาต ๔๐๐ คน กรมการเมืองวิเศษไชยชาญ กับวัดสี่ร้อย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง

วัดสี่ร้อย ในอดีต ล่วงมาถึงปี พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่า ได้ให้มังระ ละมังฆ้อนนรธาราชบุตรยกทัพมาตี เมืองมะริดของไทยซึ่งอยู่ในความปกครองของกรุงศรีอยุธยาในครั้งนั้นขุนรองปลัดชูกรมการเมืองวิเศษไชยชาญซึ่งเป็นผู้ทรงวิทยาคม แก่กล้า ชำนาญในการรบด้วยดาบสองมือ มีลูกศิษย์มากมาย จึงได้รวบรวมชาววิเศษไชยชาญ จำนวน 400 คน เข้าสมทบกับ กองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ โดยใช้ชื่อว่า “ กองอาทมาต ”
พระยารัตนาธิเบศร์ ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้สั่งให้ขุนรองปลัดชูคุมกองอาทมาต ไปตั้ง สกัดกองทัพพม่าที่อ่าวหว้าขาว ตั้งอยู่เหนือที่ว่าการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันนี้ พอกองทัพพม่ายกทัพผ่านมา ขุนรองปลัดชูจึงคุม ทหารเข้าโจมตีรบด้วยอาวุธสั้นถึงตะลุมบอน ถึงแม้ทหารของไทยจะน้อยกว่า แต่ก็ฆ่าฟันพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก การต่อสู้ผ่านไป

1 คืน ถึงเที่ยงวัน รุ่งขึ้นก็ยังไม่สามารถเอาชนะพม่าได้ เพราะพม่ายกทัพหนุนเข้ามาช่วยอีก ด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงเหนื่อยอ่อนแรง ในที่สุดก็ถูกพม่ารุกไล่โจมตีแตกพ่ายยับเยิน แต่ทหารกองอาทมาต มีวิชาอาคมแก่กล้า ฟันแทงไม่เข้า ทหารพม่าจึงไสช้างเข้าเหยียบย่ำทหารกองอาทมาตตายเป็นจำนวนมาก ที่เหลือก็ถูกไล่ลงทะเลจมน้ำตายไปก็มาก ในที่สุด ขุนรองปลัดชู พร้อมด้วยทหารกองอาทมาตแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ จำนวน 400 คน ก็เสียชีวิตด้วย ฝีมือของพม่า

ชาววิเศษไชยชาญ เมื่อทราบข่าวก็โศรกเศร้าเสียใจ จึงได้แต่ภาวนาขอบุญกุศลที่ได้สร้างสมไว้จงเป็นปัจจัยส่งผลให้ดวง วิญญาณของทหารกล้าได้ไปสู่สุคติ ความเงียบเหงาวังเวงเกิดขึ้น หมดกำลัง ใจในการทำมาหากิน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการร่วมกันสร้างสิ่งต่างๆไว้เป็นที่ระลึกถึงผู้พลีชีพด้วยการสร้างวัดสี่ร้อย ในปี พ.ศ.๒๓๑๓ ใช้ชื่อสี่ร้อยตามจำนวนกองอาทมาตสี่ร้อยคนที่ไม่ได้กลับมา เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่อนุชน รุ่นหลังของชาวเมืองวิเศษไชยชาญ เพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำให้ระลึกถึงบรรพบุรุษที่พลีชีพ เพื่อปกป้องปฐพีถึงกับเสียชีวิต โดยชื่อว่า วัดสี่ร้อย ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทั่วไป

ต่อมาเจ้าอาวาสในขณะนั้นก็ได้สร้างเจดีย์ ไว้เป็นที่รวบรวมดวงวิญญาณของ ชาวแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ ที่เสียชีวิตจำนวน 400 คน

หลังจากพม่าผ่านอ่าวหว้าขาวไปได้ ก็ไม่มีเมืองใดขัดขวางพม่า พากันยอมแพ้ทั้งหมด พม่าถึงกรุงศรีอยุธยาโดยง่าย ตั้งทัพที่วัดหน้าพระเมรุ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพระราชวังโบราณ (วัดพระศรีสรรเพชญ์) โดยมีแม่น้ำกั้นอยู่ พม่ายิงปืนใหญ่เข้าพระราชวังจนถูกยอดของพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์หักลง พระเจ้าอลองพญาฮึกเหิม จึงลงมาจุดยิงปืนใหญ่ด้วยตนเอง ด้วยบารมีของ "พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ" พระประธานในวัดที่ยังอยู่จนถึงปัจจุบัน (ความเชื่อ) ช่วยปกปักรักษาบ้านเมือง จึงเกิดปืนใหญ่ระเบิดใส่พระเจ้าอลองพญาบาดเจ็บสาหัส ต้องเลิกทัพ เดินทางกลับพม่า โดยพระเจ้าอลองพญาสวรรคตบริเวณด่านแม่ละเมาในเขตแดนไทย (ปัจจุบันเป็นบริเวณอุทยานแห่งชาติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดตาก)

สงครามครั้งเสียกรุงครั้งที่สอง เป็นสงครามคนละครั้งกับครั้งนี้ โดยปี ๒๓๐๘ พม่ายกทัพมาใหม่ และสามารถพิชิตอยุธยาสำเร็จเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ เกิดวีรกรรมชาวบ้านค่ายบางระจันในศึกครั้งนี้ โดยมีชาวบ้านจากวิเศษชัยชาญไปร่วมรบเช่นกัน ถึงกับมีผู้กล่าวว่า "ถ้าไม่มีวีรกรรมขุนรองปลัดชู ก็คงไม่มีวีรกรรมของชาวบ้านบางระจัน"

ต่อมาถึงสมัยหลวงพ่อบุญ เป็นเจ้าอาวาสวัดสี่ร้อย ได้นับถือหลวงพ่อปั้นเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาก เมื่อหลวงพ่อปั้นได้มาเยี่ยมชาวสี่ร้อย และปฏิบัติกิจนิมนต์เป็นประจำ หลวงพ่อปั้นเป็นพระภิกษุที่มี ความเมตตาสูง เป็นที่เคารพรักของชาวสี่ร้อยเป็นอย่างมาก ได้เห็นว่าชาวสี่ร้อยมีความเคารพรักท่าน ตลอดจนชาวสี่ร้อยเลื่อมใสใน บวรพุทธศาสนา หลวงพ่อปั้นจึงได้ชวนหลวงพ่อบุญและชาวสี่ร้อยสร้างพระพุทธรูปเพื่อไว้เป็นที่สักการะบูชาแทนพระเจดีย์

ในขณะนั้นชาวสี่ร้อยมีความเลื่อมใสจึงพากันไปนมัสการหลวงพ่อใหญ่วัดป่าเลไลยก์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประจำ เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาและลำบากในการเดินทางไปนมัสการ จึงได้ตกลงกันสร้างหลวงพ่อใหญ่ขึ้น โดยจำลองแบบมาจาก ปางป่าเลไลยก์ วัดป่าเลย์ไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรีมาประดิษฐาน ณ วัดสี่ร้อย

นับว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น โดยมีนายวาด นิลมงคล ในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งรับราชการเป็นเสมียนตรา เป็นผู้บริหาร จัดการ การก่อสร้าง บอกบุญผู้มีจิตศรัทธา ได้ร่วมกันสละทรัพย์ แก้ว แหวน เงินทอง มีคณะช่างก่อสร้างชื่อนายมาตร สุขมนัส นายผล รัตนเสถียร ใช้เวลาก่อสร้างถึง 16 ปี ทำการพุทธาภิเษกยกรัศมีเบิกพระเนตร ติดอุณาโลม ในปี พ.ศ. 2475 พร้อม บรรจุวัตถุมงคล หลวงพ่อบุญ มอบให้พระยงค์ เพิ่มพูนและพระใน นำวัตถุมงคลไปบรรจุโดยใช้เชือกผูกหย่อนลงทางพระเศียร พระศอ และยกรัศมีทั้งสามปิด

งานประจำปีของวัดสี่ร้อย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 12 ประชาชนทั่วสารทิศจะมานมัสการหลวงพ่อใหญ่ ขอโชคลาภต่างๆนานา ใครมีทุกข์ร้อนประการใดก็มาบอกเล่าหลวงพ่อใหญ่ และมักมีการแก้บนด้วยพลุและละคร ปัจจุบันนี้วัดสี่ร้อยเป็นหนึ่งในแหล่ง ท่องเที่ยวของจังหวัดอ่างทอง



ขอบคุณข้อมูลจาก


http://www.maameu.ath.cx/forum/index.php?topic=8918.0

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

************************************************

 

 

 

 

              กินหนังไก่ ขาหมู รักษาเบาหวาน ลดอ้วน??

 

 


 
 
 
 
 
 
 
 
โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล 

"ขาหมู หนังไก่ กินไปเลยนะ ทั้งรักษาเบาหวานและลดน้ำหนักได้" ผมบอกกับสมาชิกที่มากันเต็มพิกัดเพื่อเข้าเวิร์กช็อป 1 วัน ณ บัลวี สำหรับใครต่อใครที่ต้องการควบคุมเบาหวานและลดน้ำหนักด้วยสูตรการล้างพิษตับอ ่อน"เหวอ...จะเป็นไปได้ยังไง" หลายเสียงถามกันเซ็งแซ่ เหมือนคนดูรอบสนามมวย เวลาที่กรรมการผู้ตัดสินยกมือให้นักมวยนอกสายตาเป็นฝ่ายชนะ ค้านสายตาผู้ชม เพราะใครๆ ก็ถูกสอนกันมากว่า 40 ปีที่บอกว่า ถ้าใครอ้วน ไขมันสูง เบาหวานต้องงดกินหนังเป็ดหนังไก่ งดกินคากิหรือขาหมูที่แสนโปรดปราน เพราะทั้งแคลอรีสูง ทั้งไขมันสูง ด้วยคำสั่งสอนที่ฝังหัวมาว่าไขมันจากสัตว์เป็นอันตรายกับสุขภาพ จะทำให้อ้วน ทั้งอ้วนในและอ้วนนอก 

อ้วนภายในก็คือคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งจะตามมาด้วยโรคหัวใจ ความดันเลือดสูงอ้วนภายนอกก็คือโรคอ้วน ตามด้วยเบาหวาน และอื่นๆ อีกสารพัดด้วยเหตุฉะนี้น้ำมันหมู หนังหมู หมูสามชั้น ขาหมูคากิ จึงถูกขึ้นบัญชีดำทางสุขภาพ แล้วพลอยพาลพาโลไปถึงหนังไก่ หนังเป็ด ใครกลัวอ้วน กลัวคอเลสเตอรอลเวลากินไก่ก็ต้องเลาะหนังทิ้งแต่ผมกำลังประกาศกับผู้รักสุขภ าพที่กำลังต้องการรักษาเบาหวาน ลดอ้วนว่าให้กินหนังไก่ ขาหมู นอกจากรักษาเบาหวานแล้ว ยังหุ่นดี ลดน้ำหนักได้อีกด้วย 


"จริงนะคะ จะบอกให้" คุณทิพวัลย์ยืนยัน คุณทิพวัลย์เป็นสมาชิกตัวอย่างที่ผมเชิญมาเพื่อเป็นกำลังใจกับผู้รักสุขภาพท ี่มาเวิร์กช็อป เธอลดน้ำหนักไป 10 ก.ก. ใน 6 เดือน และลดอินซูลินที่ฉีดรักษาเบาหวานของเธอจากวันละ 40U. จนไม่ต้องฉีดเลย ลดยาเบาหวานวันละ 4 เม็ดเหลือเม็ดเดียว และลดไตรกลีเซอไรด์จาก 253 ม.ก.% --> เป็น 163 ม.ก.% โดยทิ้งยาลดไขมันไปหมดสิ้นตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา"เมื่อคุณหมอบรรจบบอกดิฉันให้กินขาหมู เวลากินไก่ก็ไม่ต้องเลาะหนังทิ้ง ดิฉันก็ไม่เชื่อเหมือนพวกคุณนี่แหละค่ะ เพราะหมอคนอื่นห้ามเราไปซะหมดทุกอย่าง จนคนเป็นเบาหวานอย่างดิฉันไม่รู้จะกินอะไรเลย ครั้นเมื่อโดนฉีดยากินยา ก็เกิดอาการหิว คว้าอะไรได้ก็กิน ในเมื่อไม่ให้กินหมูไก่ ดิฉันก็เหลือแต่กินผลไม้ และแอบกินขนมบ้าง ให้อภัยตัวเองไปทุกที เบาหวานก็ยิ่งขึ้น ตัวก็ยิ่งอ้วน" เธอกล่าว "แต่สูตรล้างพิษตับอ่อนกินหนังไก่ ขาหมูได้ค่ะ"" 

แต่ผมขออย่างหนึ่งว่า คุณต้องงดแป้งข้าวทุกชนิด ขนมและรวมไปถึงผลไม้ด้วย ห้ามกินเด็ดขาด มันคือตัวยักษ์ตัวมารที่ทำลายสุขภาพของพวกเรา เพราะทุกวันนี้เราอ้วน ไตรกลีเซอไรด์สูง คอเลสเตอรอลก็สูงตาม แล้วก็เบาหวานกัดกิน ก็ด้วยการกินคาร์โบไฮเดรต โดยมัวแต่กลัวกินเนื้อกินไขมันนั่นเอง เรียกว่ากำหนดมิตรศัตรูผิดหมด เห็นมิตรเป็นศัตรู เห็นศัตรูเป็นมิตร" การที่คนสมัยนี้เราต่างกำหนดมิตรศัตรูไม่แจ่มชัดก็เพราะการโฆษณาชวนเชื่อผิด ๆ เรื่องนี้มันล้ำลึกมีมาตั้งแต่เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว 

ส่งโดย: พชทปี 24 
สถานะ: Executive Member 
จำนวนความเห็น: 3020 

171.98.249.*

« ความเห็นที่ #4 เมื่อ: 09/14/13 เวลา 14:11:52 » 

ผมขอย้อนเล่าให้ฟังอีกสักครั้งกล่าวคือ :มีการศึกษาที่เรียกว่า การศึกษาฟรามิงแฮม ซึ่งสถาบันโรคหัวใจแห่งชาติสหรัฐอเมริการิเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1960 โดยมีสมมติฐานว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลอดเลือด เช่น ระดับคอเลสเตอรอลและระดับ LDL-Chol การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา น้ำหนักตัว เบาหวาน โรคเกาต์ เป็นต้น การออกกำลังกาย และระดับ HDL-Chol ลดอัตราเสี่ยงนี่คือจุดเริ่มต้นของการปลุกผีคอเลสเตอรอล แล้วไขมันสัตว์ก็เป็นแหล่งคอเลสเตอรอลจึงเป็นปิศาจสุขภาพนี่น่ากลัวไปด้วย ก่อเกิดเป็นกระแสสูงของการไม่กินน้ำมันหมู หนังหมู คากิ ถ้าใครกินไก่ก็ต้องเลาะหนังไก่ทิ้งไป 

เหตุการณ์ผ่านไป 40 ปีมีการประชุมนานาชาติเมื่อ ค.ศ.1999 จึงมีผู้วิจารณ์การศึกษาฟรามิงแฮมว่า"แม้ฟรามิงแฮมจะพบความสัมพันธ์ของคอเลส เตอรอลกับโรคหัวใจในคนหนุ่มและชายวัยกลาง แต่ไม่พบข้อเท็จจริงนี้ในผู้สูงอายุและในผู้หญิง และแม้แต่ในคนหนุ่มกับชายวัยกลาง การวิจัยก็ไม่สามารถพิสูจน์ต่อถึงความสัมพันธ์ของโรคหัวใจพวกเขากับคอเลสเตอ รอลในอาหารที่กินเข้าไป ว่าจะสัมพันธ์โดยตรงหรือไม่แท้ที่จริงแล้วการวิจัยทางคลินิกหลายชิ้นยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่า ไขมันอิ่มตัวในอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ" 

แสดงว่าการอ้างงานวิจัยฟรามิงแฮมมารณรงค์ต่อต้านอาหารไขมันจากสัตว์ ล้วนเป็นเรื่องด่วนสรุป และตีความเกินจริงแถมมีข้อสังเกตอีกว่า แม้การศึกษาฟรามิงแฮมจะพบปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด เช่น ภาวะขาดการออกกำลังกาย ความอ้วน ความเครียด การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ซึ่งล้วนได้รับการพิสูจน์ว่ามีความสำคัญ 

แต่ "ด้วยเหตุผลที่ลับลวงพราง" ข้อสรุปกลับมาเน้นที่เรื่องของคอเลสเตอรอลอย่างจริงจัง พูดกันตรงๆ ก็คือ ถ้าโจมตีเรื่องคอเลสเตอรอลก่อโรคหัวใจ ไขมันจากสัตว์พาโรคอ้วนและไขมันเลือดสูง จะมีธุรกิจที่ขายดีคือ ยาลดไขมันกับธุรกิจน้ำมันพืช สองปัจจัยนี้จึงถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นรณรงค์จนเวอร์ แต่ในวงการไม่ยักจะมียาชนิดไหนกินแล้วขยันออกกำลังกาย ชนิดไหนกินแล้วไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ จึงไม่มีธุรกิจที่จะมาโปรโมตปัจจัยอื่นๆ เหล่านี้เหตุฉะนี้พวกเราซึ่งรับข้อมูลข่าวสารจึงแยกมิตรแยกศัตรูผิดๆ พากันเลาะหนังไก่ทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย 


ส่งโดย: พชทปี 24 
สถานะ: Executive Member 
จำนวนความเห็น: 3020 

171.98.249.*

« ความเห็นที่ #5 เมื่อ: 09/14/13 เวลา 14:13:40 » 

ด้วยเหตุนี้ ใครที่เป็นเบาหวานและพอมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้างลองตรองดูเถอะว่า น้ำตาลในเลือดของเราสูงขึ้นเพราะอะไร?นั่นก็เพราะอาหารคาร์โบไฮเดรตแท้ๆ ทีเดียว แต่อาหารไขมัน โปรตีน และพืชผัก ไม่ได้เป็นเหตุปัจจัยโดยตรงของการเพิ่มขึ้นของน้ำตาลในเลือด ดังนั้น ถ้าเราจะงดกินแป้งข้าว แล้วหันมากินให้อิ่มท้องด้วยเนื้อสัตว์กับผัก และถ้าจะเติมไขมันในอาหารบ้างก็ไม่ได้ผิดกติกาอะไร แต่ต้องเน้นไว้ ณ ที่นี้ว่า เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นเบาหวานที่เกิดขึ้นในวัยผู้ใหญ่ สัมพันธ์กับอาหารการกิน ส่วนเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งต้องพึ่งพาอินซูลิน และเกิดขึ้นในวัยเยาว์นั้น มีความซับซ้อนกว่านี้มาก ยังไม่ควรใช้วิธีนี้สำหรับคนอ้วน แม้ว่าอาหารไขมันจะมีแคลอรีมากกว่าอาหารประเภทแป้ง 


แต่ก็ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า ปัจจัยหลักที่คนอ้วนผิดพลาดอยู่ทุกวันนี้ เกิดจากการกินแป้งข้าว ขนม และผลไม้เป็นส่วนใหญ่ ขอเพียงแต่คนอ้วนเลิกกินคาร์โบไฮเดรต งดหวาน เลิกกินผลไม้ ก็เท่ากับขจัดศัตรูตัวร้ายต่อความอ้วนของตัวเองไปแล้วครั้นหันมากินหมู ไก่ ไข่ ปลา กับผัก ความอ้วนก็จะลดเอาๆ อย่างน่าพึงพอใจปัญหามีอยู่ว่า เวลาที่เรางดแป้งซึ่งเป็นอาหารชนิดที่พร้อมเป็นพลังงานแก่เราได้รวดเร็วที่ส ุด คนคุมอาหารสูตรนี้มักจะหิวบ่อย ยิ่งถ้าคนที่มีความคิดว่า การลดความอ้วนต้องคุมอาหารแบบอดๆ อยากๆ ด้วยความเคยชินเก่า ก็มักจะรู้สึกผิดถ้ามื้อไหนกินอิ่มมากสักหน่อย ครั้นพอเปลี่ยนสูตรอาหารแล้วยังกินอย่างประหยัดถ้อยประหยัดคำต่อไป บ้างก็เน้นกินแต่ผักสลัด เนื้อสัตว์ไม่ยอมกิน คนเหล่านี้มักจะเกิดอาการหิวขึ้นมาระหว่างมื้อ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะขโมยกินขนมหรือกินผลไม้ อันเป็นการกินนอกลู่นอกทาง ทำให้คุมอาหารไม่สำเร็จ 

ทางออกของเรื่องนี้ก็คือ ต้องล้างสมองตัวเองว่า เนื้อสัตว์กินดี ไขมันกินได้ อาหารสูตรนี้ไม่ใช่เน้นให้กินแต่ผัก แต่มีสัดส่วนให้กินเนื้อ 1 ส่วน กินผัก 2 ส่วน จึงเป็นหน้าที่ของตัวเองที่ต้องเตรียมอาหารเนื้อสัตว์ให้มากพอที่จะกินอิ่มแ ละโดยเฉพาะอย่างยิ่งมื้อเย็นต้องกินอาหารมันๆ จึงจะอยู่ท้อง ถ้ากินแต่สลัดมื้อเย็น กลางดึกก็ต้องตื่นขึ้นมาแอบเปิดตู้เย็นกินขนมอย่างแน่นอนผมจึงมักเน้นย้ำกับ ใครที่รักจะล้างพิษตับอ่อนว่า "ต่อไปนี้หนังไก่อย่าเลาะทิ้งแล้วนะครับ ขาหมูก็กินได้ ขาหมูพะโล้กินแล้วลดน้ำหนักด้วยสำหรับคนอ้วนทั่วไป ส่วนคนที่เป็นเบาหวาน ระวังความหวานในน้ำพะโล้ ผมแนะนำให้กินต้มยำขาหมูไปเลย อิ่มอร่อยและหายอ้วน หายเบาหวานครับ" "...อย่างนี้ได้เฮ...รึเปล่า" ปรากฏสมาชิกที่มาร่วมเวิร์กช็อปเฮฮาไปตามๆ กัน 

เขียนโดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล 
(พิมพ์เผยแพร่ใน :มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 6-12 กันยายน 2556)
 
 
 
 
 
 
 
 
 
******************************
 
 
 
 

 

 

                      ปลดณัฐวุฒิ

 

 

 

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ให้สัมภาษณ์ “มติชนออนไลน์” ถึงกรณีสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเชีย อัพเดท ปรับผังรายการใหม่ฉับพลัน โดยไม่มีรายการ “ประชาชน 3.0” ที่ดำเนินรายการโดย นายสมบัติ รวมทั้งรายการที่ดำเนินไปโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (รายการอยากมีเรื่อง (ให้คิด), นายจตุพร พรหมพันธุ์ (รายการชูธง) และนางธิดา โตจิราการ (รายการเหลียวหลังแลไปข้างหน้าเพื่อประชาธิปไตย) อีกต่อไป

นายสมบัติกล่าวว่า ได้รับแจ้งจาก ผอ.สถานีว่าปัจจุบันมีความขัดแย้งกันและตอบโต้กันไปมา 2 ฝ่ายซึ่งไม่มีประโยชน์ ดังนั้น ต้องปรับรายการดังกล่าวออก เพื่อกลับไปเริ่มต้นใหม่ เพื่อยุติความขัดแย้ง ส่วนตัวรู้สึกว่าเป็นเกมที่จะผลักดันให้ไกลกันขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้เป็นปมประเด็น ซึ่งรายการที่โดนปรับออกไม่ได้มีรายการของตนเพียงคนเดียว แต่รายการของนายณัฐวุฒิ นายจตุพร และนางธิดา ซึ่งมีแนวคิดไม่ยอมรับนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ก็โดนปรับออกด้วย

ในวันพรุ่งนี้ (4พ.ย.) จะไม่มีรายการของตนเองออกอากาศทางช่องเอเชียอัพเดทแล้ว แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะจะนำเทปรายการล่าสุด ตอนสัมภาษณ์นางธิดา มาเผยแพร่ทางยูทูบ อีกทั้งก่อนที่จะเริ่มต้นไปจัดรายการให้สถานีเอเชียอัพเดท ตามการชักชวนของ ผอ.สถานี ก็เล่นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ มีช่องทางสื่อสารกับสาธารณะอยู่แล้ว จึงไม่ได้หนักใจอะไร

เมื่อถามว่าคาดหมายล่วงหน้าว่าจะถูกปรับออกจากผังหรือไม่ นายสมบัติกล่าวว่า เป็น 1 ในการคาดการณ์ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง มีความเป็นไปได้ แต่ไม่คิดว่าจะกล้า ทั้งนี้ อยากฝากไปยังพรรคเพื่อไทย และทางสถานีเอเชียอัพเดทว่า ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่าเรายังอยู่ในขบวนประชาธิปไตยหรือเปล่า ยังเชื่อสถานีปลายทางประชาธิปไตยอยู่ไหม
 

 

 

อย่าคิดมากครับ เค้ากะลังเล่นลิเกกันครับ

เล่นกันให้เนียนๆ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นคำตอบสุดท้าย

 

ถ้า สว. ตลก. ผ่าน 

แสดงว่า เกี้ยเซี้ย

ถ้าไม่ผ่าน แสดงว่าทักกี้พลาดเอง หรือ ไม่ก็ถูก ขันทีโกง

ถ้ามีไม้อื่นที่เราคิดไม่ถึงแก้ได้ แสดงว่าทักกี้โคตรเก่ง ...........................

 

 

 

 

 

 

 [Image: 1002299_642611332418735_1701679409_n.jpg] 

 

 

 

 

 

 

 

************************************

 

 

 

 

สลด! ผู้อพยพไนเจอร์ “ขาดน้ำ” ตายในทะเลทราย 87 ราย ก่อนถึงที่หมายไม่กี่ กม.

 

 

 

 

 

 

 

                                       ทะเลทรายซาฮารา บริเวณที่พบศพผู้อพยพชาวไนเจอร์ ที่ตั้งใจจะมุ่งหน้าไปแอลจีเรีย

 

 

 

 

 เอเอฟพี – พบศพของผู้อพยพ 87 ราย ในทะเลทรายทางเหนือของไนเจอร์วานนี้ (30 ต.ค.) โดยแหล่งข่าวระบุว่าพวกเขาเสียชีวิตจากอาการขาดน้ำ ในจุดที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่กิโลเมตรจากพรมแดนของแอลจีเรีย อันเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขา
       
       แหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคงรายหนึ่งระบุว่า พบร่างของชาย 7 คน หญิง 32 คน และเด็กอีก 48 คนเพิ่มเติม จากที่ก่อนหน้านี้ได้พบศพของผู้หญิงและเด็กหญิงรวม 5 ราย ทั้งนี้คนทั้งหมดเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อต้นเดือนตุลาคม ภายหลังที่ในช่วงปลายเดือนกันยายน พวกเขาพยายามเดินทางไปให้ถึงแอลจีเรีย ทว่าไม่สำเร็จ
       
       อัลมุสตาฟะ อัลฮอเซน จาก “อักฮีร์อินมัน” องค์การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของไนเจอร์ ได้ออกมายืนยันยอดผู้เสียชีวิต และเล่าสิ่งที่เขาเห็นขณะพบศพ
       
       “ศพมีสภาพเน่าเปื่อยแล้ว และดูน่ากลัวมาก” เขากล่าว “เราพบพวกเขาเป็นกลุ่มเล็กๆ อยู่กระจัดกระจายกันออกไปในรัศมี 20 กิโลเมตร ส่วนใหญ่จะเจอใต้ต้นไม้หรือไม่ก็กลางแดด บางกลุ่มเป็นแม่กับลูกๆ และบางกลุ่มก็มีแต่เด็กๆ” อัลฮอเซนกล่าว
       
       ศพของพวกเขาได้รับการฝังตามประเพณีของศาสนาอิสลาม “เมื่อมีการพบศพแล้ว” อัลฮาเซนกล่าวเสริม
       
       ทางการไนเจอร์แถลงเมื่อวันจันทร์ (28) ว่าผู้อพยพหลายสิบคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก เสียชีวิตเพราะขาดน้ำในทะเลทรายซาฮาราตอนต้นเดือนนี้
       
       ด้านแหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงคนหนึ่งระบุว่า เครื่องยนต์ของพาหนะสองคันที่ผู้อพยพเหล่านี้นั่งมาเกิดขัดข้อง โดยคันหนึ่งเครื่องเสียในพื้นที่ซึ่งอยู่ห่าง 83 กิโลเมตร จากอาร์ลิต เมืองทางภาคเหนือของไนเจอร์ อันเป็นจุดที่พวกเขาเดินทางออกมา ขณะที่อีกคันหนึ่งขัดข้องในบริเวณที่อยู่ห่างจากอาร์ลิตมา 158 กิโลเมตร
       
       แหล่งข่าวผู้นี้ยังรายงานด้วยว่า “เครื่องยนต์ของรถคันแรกขัดข้อง รถอีกคันหนึ่งจึงเลี้ยวรถกลับไปอาร์ลิตเพื่อหาอะไหล่มาซ่อม โดยได้ผู้โดยสารของตัวเองลงจากรถจนหมด แต่แล้วรถคันที่สองก็เกิดเครื่องดับเหมือนกัน คาดว่าผู้อพยพอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลา 7 วัน โดยในวันที่ 5 พวกเขาเริ่มออกจากรถคันที่เครื่องดับอยู่เพื่อไปหาบ่อน้ำ”
       
       อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระบุว่าในที่สุดแล้ว มีผู้รอดชีวิต 21 คน โดยในจำนวนนั้น คือชายคนหนึ่งที่เดินเท้ากลับไปถึงเมืองอาร์ลิต และผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ขับรถผ่านมาในทะเลทรายพอดี แล้วพาเธอไปส่งในเมืองเดียวกัน ขณะที่อีก 19 คนเดินทางไปถึงเมืองตอมันราสิตของแอลจีเรีย แต่ก็ถูกส่งกลับไปไนเจอร์อีก

 

 

 

   

 

 

 

 

 รู้จัก....ไนเจอร์ แผ่นดินกลางทะเลทราย และสายน้ำแห่งชีวิต

 

.......ผมว่ามีประเทศไม่กี่ประเทศในแอฟริกาหรอกครับ ที่เรา ๆ จะให้ความสำคัญหรือสามารถไปแสวงหาผลประโยชน์ได้( ในที่นี้คือรัฐบาล ) ขนาดว่าจะรู้จักชื่อทั้งหมดกว่า ๕๓ ประเทศก็ยากเต็มที ....จะเดินทางไปเจริญสัมพันธ์ด้วยไม่ต้องพูดถึง....

..... วันนี้ขออนุญาตแนะนำเพื่อนร่วมโลกให้รู้จักอีกประเทศนะครับ.....ประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีแต่ทะเลทรายและภูเขาที่แห้งแล้ง ...แต่สวรรค์ก็ไม่โหดร้ายครับ ณ ที่นี้ยังมีแม่น้ำไนเจอร์ ตัดผ่านประเทศดั่งสายเลือดของชาติที่หล่อเลี้ยงประชาชนมายาวนาน.....สาธารณรัฐไนเจอร์

..... ไนเจอร์ ประเทศที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางกว่า ๑ ล้าน ๒ แสนตารางกิโลเมตรเศษ ตั้งอยู่ตอนกลางของทวีปแอฟริกาครับ แวดล้อมด้วยประเทศใหญ่น้อยมากมายหลายประเทศ( จริง ๆ ก็ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ) ....ทางเหนือก็ติดกับแอลจีเรียและลิเบีย ทางตะวันออกติดกับสาธารณรัฐชาด ทิศตะวันตกติดประเทศมาลี และทิศใต้ติดประเทศไนจีเรีย .....ทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับเบนินและบูร์กินา ฟาโซ...

...... คำว่า Niger ซึ่งเป็นชื่อประเทศเราอาจแปลกใจว่าถ้าเป็นชาวไนเจอร์จะเรียกว่าไง เขาเรียกว่า Nigerien ครับต่างจากประเทศไนจีเรีย ที่ประชาชนของเขาคือไนจีเรียน.....ประเทศนี้มีประชากรแค่ ๑๔ ล้านคนเมื่อเทียบกับเนื้อที่ของประเทศที่กว้างใหญ่กว่าไทยมาก...ภาษาราชการใช้ภาษาฝรั่งเศส, ฮาวซา และดเจอร์มา มีประชาชนชาวไนเจอเรียนนับถือศาสนาอิสลามมากที่สุดกว่าร้อยละ ๘๐ ที่เหลือก็ความเชื่อและศาสนาคริสต์.....

......มีเมืองหลวงของประเทศชื่อ นีอาเม( Niamey ) อยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศครับ....มีเมืองสำคัญ ๆ อยู่หลายแห่งเช่นเมืองซินเดอร์, เมืองมาราดี, เมืองตาฮัวและเมืองอากาเดซ

.................................................................................................

ในภาพ : แสดงเขตการปกครองและแผนที่ของประเทศไนเจอร์

 

 

การเมือง การปกครอง....

.... ปัจจุบันไนเจอร์ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ มาจากการเลือกตั้งทั่วไป อยู่ในตำแหน่งคราวละ ๕ ปี และสามารถอยู่ในวาระติดต่อกันได้ ๒ สมัย และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ที่มาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดีซึ่งจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันด้วย...แต่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา....ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐไนเจอร์สามารถประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้.....

.... ฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐสภา (National Assembly) แบบสภาเดียว (Unicameral) ประกอบด้วยสมาชิก ๘๓ คน มาจากการเลือกตั้งทั่วไป อยู่ในตำแหน่งคราวละ ๕ ปี

ไนเจอร์หลังจากได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๐๓ ...ผ่านการมีประธานาธิบดีมาแล้ว ๗ คน นายกรัฐมนตรี ๑๕ คน....ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศชื่อ ฮามานี ดิโอรี...

.....มีการลอบสังหารประธานาธิบดีโดยบอดี้การ์ดส่วนตัว ประธานาธิบดีอิบราฮิม บาเร ไมนาสซารา ถูกบอดี้การ์ดส่วนตัวลอบสังหารที่สนามบิน ในกรุงนีอาเม วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๒ และเกิดการก่อรัฐประหาร

.....มีประธานาธิบดีที่มาจากการรัฐประหารในระยะเวลาสั้น ๆ ภายหลังอดีตประธานาธิบดีไมนาสซาราถูกลอบสังหาร ได้แก่ อดีตประธานาธิบดี ดจิบริล ฮิลมา ฮามิดู ( ๙-๑๑ เมษายน ๒๕๔๒ )

.... ภายหลังดอดา มัลลาม แวงเก ได้เข้ารักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีไนเจอร์กระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ ...

..... พันเอกทันด์จา มามาดู ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่และในปี ๒๕๔๗ ก็ได้รับเลือกตั้งอีกครั้งเป็นสมัยที่สองกระทั่งปัจจุบัน....

- นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ฯพณฯ เซย์นี  อูมารู

- ประธานรัฐสภาคนปัจจุบัน ฯพณฯ อุสมาเน มาฮามาเน

- คณะรัฐมนตรีปัจจุบัน ๓๒ กระทรวง ที่สำคัญ ๆ ได้แก่
         
       ๑. ฯพณฯ ไอชาตู มินดาอูดู ซูเลย์มาเน รมว.การต่างประเทศ

       ๒. ฯพณฯ อาลี ไซย์นี ลามิเน รมว.การคลังและเศรษฐกิจ

       ๓. ฯพณฯ ดจิดา ฮามาดู รมว.กลาโหม

       ๔. ฯพณฯ อัลบาเด อาบูบา รมว.มหาดไทย

...............................................................................................

ในภาพ : ประธานาธิบดีคนแรกของไนเจอร์ ฮามานี ดิโอรี

 

 

 

: ภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจ

.... ไนเจอร์เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดและมีหนี้สินมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง (HIPC) จากการจัดอันดับของสหประชาชาติ ไนเจอร์พึ่งพาการส่งออกแร่ยูเรเนียม แต่ความผันผวนของราคายูเรเนียมในตลาดโลกส่งผลกระทบต่อรายได้ของไนเจอร์อย่างมาก ไนเจอร์เป็นประเทศไม่มีทางออกทะเล และประสบปัญหาภัยแล้ง จึงส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ เกษตรกรรมของไนเจอร์ยังได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ขยายของทะเลทราย (desertification) อีกด้วย....

.... ปัจจุบัน ไนเจอร์กำลังประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการระบาดของฝูงตั๊กแตนในปี ๒๕๔๗ ซึ่งทำลายพืชผลเสียหายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังประสบปัญหาโรคระบาดด้วย ซึ่งสหประชาชาติ ได้ให้ความช่วยเหลือไนเจอร์อย่างเร่งด่วน โดยได้บริจาคข้าว ๑๕,๐๐๐ ตัน และองค์การอนามัยโลก หรือ ฮู ได้บริจาคยาด้วยเช่นกัน ความช่วยเหลือของสหประชาชาติ คิดเป็นมูลค่าประมาณ ๓๐.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ...

อุตสาหกรรมที่สำคัญของไนเจอร์

       การทำเหมืองยูเรเนียม ซีเมนต์ อิฐ วัสดุสิ่งทอ อุตสาหกรรมอาหาร เคมีภัณฑ์ โรงฆ่าสัตว์ และสบู่

ทรัพยากรธรรมชาติ

       ยูเรเนียม ถ่านหิน แร่เหล็ก ดีบุก ฟอสเฟต ทอง ยิปซั่ม เกลือ ปิโตรเลียม

- ค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ....แร่ยูเรเนียม ปศุสัตว์ ถั่วฝักยาว และหัวหอม
- ค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ....อาหาร เครื่องจักรกล ยานพาหนะและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ธัญพืช
- ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ....ฝรั่งเศส ไนจีเรีย สหรัฐฯ และสวิสเซอร์แลนด์
- ตลาดนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ....ฝรั่งเศส โกตวัวร์ ไนจีเรีย และจีน

หน่วยเงินตรา ...ไนเจอร์ใช้สกุลเงิน Communaute Financiere Africaine Franc (XOF) (527.47 XOF = 1 USD) ...เมื่อกับไทยก็คงประมาณ ๑๖ XOF = ๑ บาทไทย สกุลเงินนี้ใช้ในอีกหลายประเทศได้แก่ เบนิน, บูร์กินา ฟาโซ, โกตดิวัวร์, กินี-บิสเซา, มาลี, เซเนกัลและโตโก

 

ความสัมพันธ์ด้านการฑูตและการต่างประเทศ.....

..... ไนเจอร์ดำเนินนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่ในทางปฏิบัติมีนโยบายที่สอดคล้องกับกลุ่มประเทศตะวันตก เดิมไนเจอร์มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนแต่เมื่อ ๓๐ ก.ค. ๒๕๓๕ ไนเจอร์ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน ซึ่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ทำการประท้วงอย่างรุนแรงและประกาศตัดความสัมพันธ์กับไนเจอร์ในทันที...

..... ไนเจอร์มีความสัมพันธ์ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจอย่างแน่นแฟ้นกับไนจีเรียซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางใต้ เนื่องจากจำเป็นต้องอาศัยไนจีเรียเป็นทางออกสู่ทะเล แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีภาษาราชการที่แตกต่างกัน แต่ผูกพันกันด้วยภาษาฮาวซา อันเป็นภาษาท้องถิ่นเดียวกัน

ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐไนเจอร์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๕ ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศค่อนข้างห่างเหิน ไทยมอบหมายให้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส เป็นจุดติดต่อของไนเจอร์ ฝ่ายไนเจอร์ไม่ได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตไนเจอร์ประจำประเทศใดดูแลไทย และทั้งสองฝ่ายไม่เคยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน ....

 

 

 

 
 

 

 

 
 

 

 

 

 
 

 

 

 
 

 

 

 

 
 

 

 

 

 

 

 

guest

Post : 2013-10-21 19:29:23.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ปล้นเรือขนเงินร้อยล้าน

 

 

 

 

 

      ปริศนาคดีปล้นเรือขนเงินร้อยล้าน...ปริศนาเกาะโลซิน ปัตตานี

 

 
 

 

เครดิตจาก   http://www.isranews.org/south-news/talk-with-director/item/24709-losin.html

 

 

 

 

 

 

**********************************************

 

 

 

 

"ชวน หลีกภัย" เคยบอกเอาไว้ว่า "ความจริงมาอยู่ภาคใต้ สบายที่สุด ไม่มีธุรกิจผิดกฏหมาย ไม่มีค้าของเถื่อน&quo

กระทู้สนทนา
'ชวน'ปลุกคนไทยตาสว่างจากระบอบทักษิณ
http://www.thairath.co.th/content/pol/372827

"ผู้ว่าราชการบางคน ขอย้ายมาเพราะมีคำสั่งพิเศษจากคนในคือ ให้มาเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงด้วย บางคนอยู่ไม่ได้ก็ขอย้ายตัวเองออกไป ความจริงมาอยู่ภาคใต้ สบายที่สุด ไม่มีธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่มีของเถื่อน แค่ไม่ทุจริตเท่านั้น แต่ที่อยู่ไม่ได้เพราะมันหากินลำบาก."

______________________
จับหนุ่มเสพยาไอซ์ อ้างตัวว่าเป็นน้อง 'วัชระ เพชรทอง' ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์  # จ. นครศรีธรรมราช
http://www.thairath.co.th/content/region/379279
______________________      

้รวบสาวเมืองคอนสะพายเป้าขนยาบ้าขึ้นรถไฟกว่า 3 หมื่นเม็ด มูลค่ากว่า 9 แสนบาท ขยายผลจับกุมสามีได้อีกราย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1383205231&grpid=03&catid=19&subcatid=1905
______________________

อะไรกัน อะไรกัน นครศรีธรรมราช ถูกจับยาเสพติดทั้ง ยาบ้า ยาไอซ์ อะไรจะขนาดนั้น ยาเสพติดในตลาดจะขาดไปเท่าไหร่นะ อย่างนี้ราคายาฯก็จะสูงขั้น ตำรวจไม่น่าไปจับฯช่วยทำการตลาดให้ยาเสพติดเลย บลา บลา
------------------------------------
รู้สึกอายแทนอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะคิดว่า"นายชวน"แก่ขนาดนี้แล้ว คงอายไม่ทันแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ

 

                         “เครื่องเสวย” ทรงโปรด ของรัชกาลที่ 5

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระปรีชาสามารถในทุกด้าน พระราชกรณียกิจหลายด้านของพระองค์ ยังความเจริญรุ่งเรืองมาสู่พสกนิกรชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรงประกาศเลิกทาส การเกิดสาธารณูปโภคพื้นฐาน การปกครองบ้านเมือง พระมหากรุณาธิคุณอเนกอนันต์เหล่านี้ จึงกลายเป็น “พระปิยมหาราช” เคารพรักของปวงชนชาวไทย
       

       

        อีกหนึ่งพระปรีชาคือ ทรงสนพระทัยในเรื่องอาหารการกิน จนได้ชื่อว่าเป็นนักชิมตัวยง จนก่อเกิดตำรับเสวยมากมายในรัชกาลของพระองค์ ซึ่งมีหลักฐานจากพระราชนิพนธ์รวมทั้งจดหมายเหตุต่างๆ ที่ทรงเขียนครั้งเสด็จประพาสยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ จนทำให้คนในยุคนี้ ได้รับทราบถึงตำรับอาหารในสมัยก่อนอันกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน ทรงเล่าเรื่องที่พระองค์เสด็จประพาสเมืองต่างๆ รวมทั้งทรงมีเรื่องขำขันตรัสเล่าว่า
       

        “...ลงมือชักม่านดับไฟพยายามจะหลับ ทำไมมันจึงนึกต่อไปไม่รู้ ข้าวแกงเผ็ดโผล่ขึ้นมาในนัยน์ตาที่หลับๆ ประเดี๋ยวไข่เจียวจิ้มน้ำพริก ประเดี๋ยวทอดมันกุ้ง ปลาแห้ง พากันหลอกเสียใหญ่ หลับตาไม่ได้ต้องลืม ลืมก็แลเห็นแกงปลาเทโพ หลอกได้ทั้งกำลังตื่นเช่นนั้น จนชิ้นยำแตงกวาก็พลอยกำเริบ ดีแต่ปลาร้า ขนมจีนน้ำยาหรือน้ำพริกสงสารไม่ยักมาหลอก มีแต่เจ้ากะปิคั่วมาเมียงมองอยู่ไกลๆ...”
       

        ผศ.ดร.ศันสนีย์ จะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักศิลปะวัฒนธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ทางสำนักฯ กำลังวิจัยค้นคว้าเรื่อง “สำรับ” ทรงโปรดของรัชกาลที่ 5 ซึ่งนอกจากมีความเป็นมาของแต่ละสำรับแล้ว ยังมีทั้งเครื่องปรุงและเครื่องเคียงเพื่อให้ครบสำรับอาหารไทย โดยผลงานเหล่านี้จะมีการตีพิมพ์เป็นหนังสือ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในปีหน้า
       

        ส่วน “เครื่องเสวย” ที่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดมีอะไรบ้างนั้น ผศ.ดร.ศันสนีย์เล่าว่า รัชกาลที่ 5 ทรงสนพระทัยและพิถีพิถันกับเรื่องอาหารมาก โดยเฉพาะ ทรงโปรดอาหารแปลกๆ เนื่องจากเสด็จประพาสไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงทอดพระเนตรเห็นวัตถุดิบพื้นบ้าน และทรงเสวยอาหารแปลกใหม่เป็นประจำ บ่อยครั้งจะนำมาทรงเล่าให้ พระวิมาดาเธอฯ พระอัครชายาในรัชกาลที่ 5 ที่ดูแลห้องเครื่องต้นเสวยตลอดรัชกาลฟัง ซี่งพระวิมาดาเธอฯ ทรงได้รับการยกย่องเป็น “เอตทัคคะทางด้านการทำกับข้าว” ก็ทรงนำไปดัดแปลงและทำถวายจนเป็นที่พอพระทัย
       
       ส่วน “เครื่องเสวย” ที่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดนั้น มีมากมายด้วยกันดังนี้

       
       “ขนมจีนน้ำยา” หนังสือ “สวนสุนันทา” ได้กล่าวไว้ว่า ทรงโปรดอาหารไทยมากกว่าอาหารฝรั่ง โดยเฉพาะ “ขนมจีนน้ำยา” โปรดมากเป็นพิเศษ ถึงกับมีรับสั่งให้จัดถวายทั้งมื้อเช้าและมื้อเย็น และเป็นพระกระยาหารมื้อสุดท้ายก่อนเสด็จสรรคตเพียง 4 วัน
       

        “น้ำพริกกะปิ” เป็นสำรับทรงโปรดที่จะต้องตั้งเครื่องถวายทุกครั้ง โดยต้องมี “เครื่องเคียง” ที่ขาดไม่ได้คือปลากุเลาทอด ไข่เค็ม และผักจิ้มต่างๆ โดยเฉพาะ “ปลาทูทอด” ที่ทรงโปรดเป็นพิเศษ ซึ่งจะต้องเป็นปลาทูจากเพชรบุรีเท่านั้น มีบันทึกไว้ว่า ไม่โปรดปลาทูทอดที่เหม็นคาว และผู้ที่ทอดปลาทูได้ถูกพระราชหฤทัยมากที่สุดคือเจ้าจอมเอิบ ซึ่งรับหน้าที่ทอดปลาทูถวายมาตลอด ครั้งหนึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงมีรับสั่งไว้ว่า
       

        “เรื่องทอดปลาทูข้าอยู่ข้างจะกลัวมาก ถ้าพลาดไปแล้วข้ากลืนไม่ลง ขอให้จัดตั้งเตาทอดปลาที่สะพานต่อเรือนข้างหน้าข้างใน บอกกรมวังให้เขาจัดรถให้นางเอิบออกไปทอดเตรียมเตาและกระทะให้พร้อม”
       

        “ข้าวคลุกน้ำพริก” ตามปกติจะเห็นคนส่วนมากนิยมนำ “ ข้าวคลุกกะปิ” ไปไหว้พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ในเรื่องนี้ ผศ.ดร.ศันสนีย์ กล่าวว่า ที่ถูกต้องน่าจะเป็น “ข้าวคลุกน้ำพริกกะปิ” โดยมีที่มาจากพระราชหัตถเลขาตอนเสด็จประพาสต้นว่า
       

        “เหลือกะปิน้ำตาลติดก้นขวด เอามาปนกับมะนาวบีบ พริกป่นโรยลงไปหน่อยคลุกข้าวกินกับหมูแฮมแลกับฝรั่ง เพลินอิ่มสบายดี”
       

        ผศ.ดร.สันสนีย์ วิเคราะห์ว่า เครื่องปรุงและกรรมวิธีในพระราชหัตถเลขานั้น คือการทำ “น้ำพริกกะปิ” ซึ่งมีกะปิ น้ำตาลปี๊บ มะนาว และเนื่องจากไม่มีพริกขี้หนู จึงใช้พริกป่นเพื่อความเผ็ด สอดคล้องกับที่พระองค์ทรงโปรดน้ำพริกกะปิด้วย จึงไม่น่าจะเป็นข้าวคลุกกะปิที่เข้าใจกันผิดๆ
       

        อีกทั้ง ม.จ.หญิงจงจิตถนอม ดิศกุล ยังทรงทำกะปิพล่าถวาย และเป็นที่พอพระราชหฤทัยถึงกับทรงขอเสวยซ้ำในวันรุ่งขึ้น และได้พระราชทานรางวัลเป็นสร้อยข้อมือ 1 เส้น พร้อมด้วยพระราชดำรัสว่า “ข้าได้กินน้ำพริกของเจ้า ทำให้ข้ารอดตายแล้ว”
       

        “ข้าวต้มสามกษัตริย์” ที่มาของสำรับนี้มีบันทึกไว้ว่า เมื่อครั้งเสด็จประพาสแม่กลอง โปรดต้มข้าวต้มด้วยพระองค์เองบนเรือน โดยใช้กุ้ง ปลาทู และปลาหมึกที่ทรงซื้อจากชาวบ้านที่จับปลา จึงเรียกขานสำรับนี้ว่า “ข้าวต้มสามกษัตริย์” หรือถ้าปัจจุบันคือข้าวต้มซีฟู้ดนั่นเอง โดยครั้งนั้น กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงร่วมเสวยด้วยและออกพระโอษฐ์ว่า “ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยกินข้าวต้มอะไรที่อร่อยเหมือนวันนี้เลย”
       

        “ซุปลูกหมา” เป็นสำรับที่ทรงคิดและโปรดปรุงด้วยพระองค์เองเสมอ ที่มาของสำรับนี้เกิดขึ้นตอนเสด็จประพาสยุโรป ทรงมีโอกาสได้ชิมอาหารฝรั่งและทรงโปรดหลายอย่าง อาทิ ซุปปอดโอโฟ ไก่นมวัวและเทอรีน เป็นต้น หลังจากเสด็จกลับแล้ว ก็ทรงปรุงซุปปอดโอโฟ และทุกครั้งจะพระราชทานให้แก่สุนัขทรงเลี้ยง เนื่องจากสุนัขทรงเลี้ยงชอบมาก พระองค์จึงทรงเรียกซุปปอดโอโฟว่า “ซุปลูกหมา” โดยปรุงจากเนื้อวัวและผัก
       

        เครื่องเสวยที่ทรงโปรดยังมีอีกมาก แต่สำหรับผลไม้ทรงทรงโปรดมากคือ “ลูกแพร์” ที่เคยตรัสว่า “ลูกเดียวอิ่มบริบูรณ์ชื่นใจ” ส่วนน้ำที่เสวยนั้น ต้องนำมาจากแม่น้ำเพชรบุรีเท่านั้น

 

 


       
       ข่าวโดย Manager-Celeb Online

 

 


       

                          

 

 

 

 

***************************

                              

 

 

 

      กนก" บอกเรียกไอ้จรจัดนั่น..มาติดคุกก่อนดีกว่า

 

 

 

เดลินิวส์ออนไลน์ พาดหัวข่าวว่า

"ขุนค้อนนัดประชุมสภา ถก กม.นิรโทษสุดซอย 31 ตค.

อ้างคนในคุกขอร้องให้เร่ง

ย้อนพวกต่อต้านให้ลองไปติดคุกดูบ้าง"

ต่อพาดหัวข่าวดังกล่าว นายกนก รัตนวงศ์สกุล

พิธีกรช่าวชื่อดังได้โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ก ส่วนตัว

Kanok Ratwongsakul แสดงความรู้สึกโดยมีข้อความว่า

......เรียกไอ้จรจัดนั่น..มาติดคุกก่อนดีกว่า

 

5309233ab.jpg

 

 

 

Janitor:
เครดิต
http://www.internetfreedom.us/thread-28703-post-280130.html#pid280130

ผมได้เข้าไปอ่านกระทู้ “ขอคำอธิบายแก้ข้อกล่าวหาอย่างสำเร็จรูป” ของคุณ “สาวสวนยาง” ใน IF พอสรุปได้ดังนี้ การไปช่วยหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยในภาคใต้เป็นเรื่องยากมากๆเพราะส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่​านายกทักษิณโกง อยากให้คนใน IF ช่วยกันเขียนคำแก้ข้อกล่าวหา ต่างๆที่ มีถ้อยคำกระทัดรัดเข้าใจง่าย สามารถพิมพ์แจกประชาชนที่ยังเข้าใจผิดๆอยู่ เชื่อว่าทุกพื้นที่ต้องเจอ เพียงแต่ว่ามากน้อยต่างกัน เช่น

 1. ถ้าไม่โกง ทำไมต้องถูกศาลตัดสินยึดทรัพย์ 40000 กว่าล้าน
 2. ถ้าไม่ผิดทำไมไม่กลับมาสู้คดี
 3. ให้พม่ากู้เงิน เพื่อมาซื้อของต้วเอง
 4. เรื่องไม่เสียภาษีตอนขายหู้น
 5. พรรคเผาบ้านเผาเมือง พวกเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง

 น่าเห็นใจเสื้อแดงและเพื่อไทยภาคใต้ครับ ข้อสรุปที่ผมทำขึ้นน่าจะไปใช้อธิบายได้ ช่วยกันนำไปเผยแพร่ครับ

ปี 2543
 นายกทักษิณโอน-ขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปทั้งหมด (1,400 ล้านหุ้น)
 ให้แก่ลูกและญาติทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามกม.รัฐธรรมนูญปี 2540 ว่าด้วยเรื่องการถือหุ้น

ปี 2544
 นายกทักษิณเข้าสู่วงการเมือง (พรรคไทยรักไทย)

ปี 2549 (เดือนมกราคม)
 ลูกและญาติได้ขายหุ้นชินคอร์ปฯไปทั้งหมด (1,400 ล้านหุ้น)
เหตุที่ท่านนายกทักษิณได้แนะนำให้ลูกและญาติขายหุ้นชินคอร์ปฯทั้งหมด
 ก็เพื่อจะได้หมดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
 (ราคาขายหุ้นละ 49.25 บาท มูลค่าทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท)

ปี 2549 (19 ก.ย.)
 คมช.ทำรัฐประหารและได้ตั้งคตส.เพื่อกล่าวหานายกทักษิณว่า
 ใช้ตำแหน่งนายกเอื้อผลประโยชน์ให้ธุรกิจของตัวเอง
 มีผลทำให้ราคาหุ้นของชินคอร์ปฯสูงขึ้นซึ่งนำไปสู่การฟ้องต่อสาน

ปี 2553 (ปลายเดือน กพ.)
 สานให้ความเห็นว่า ก่อนเป็นนายกหุ้นมีราคา 21 บาทต่อหุ้น
 ขายหุ้นได้ในราคา 49 บาทต่อหุ้นตอนที่เป็นนายก
 ถือว่าใช้ตำแหน่งนายกเอื้อประโยชน์ธุรกิจของตัวเอง
 จนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 28 บาทต่อหุ้น จึงได้พิพากษาให้ยึดเงินที่ได้
 จากการขายหุ้นจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท (28 บาท x 1,400 ล้านหุ้น) ให้ตกเป็นเงินของรัฐ

ถ้าสามารถใช้ตำแหน่งนายกทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้
 แสดงว่าราคาหุ้นของชินคอร์ปต้องขึ้นสูงกว่าราคาหุ้นของบริษัทอื่นๆ

 ราคาหุ้นของบริษัทต่างๆเมื่อต้นปี 2549 เพิ่มขึ้นจากตอนต้นปี 2545
 ศูนย์บริการเหล็กสยาม 21.9 เท่า, รพ.รามคำแหง 19.6 เท่า, อะโรเมติกส์ 11.4 เท่า,
 ปตท. 5.6 เท่า, ปูนซิเมนต์ไทย 4.3 เท่า, รพ.กรุงธน 3.9 เท่า, ธ.กสิกรไทย 2.8 เท่า,
 ธ.ไทยพาณิชย์ 2.1 เท่า, ธ.กรุงเทพ 1.9 เท่า, ชินคอร์ปฯ 1.8 เท่า, UCOM (dtac) 1.7 เท่า
อัตราการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทต่างๆเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า
 นายกทักษิณใช้ตำแหน่งนายกทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้จริงหรือไม่
 ข้อเท็จจริงก็คือ ปัจจัยที่มีผลต่อการขึ้นลงของราคาหุ้น มีหลายอย่าง เช่น
 ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆ เป็นต้น
 ผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น ถือว่ามีส่วนสำคัญมาก
 จะออกมาดีมีกำไรมากขนาดไหน ขึ้นอยู่ความสามารถของผู้บริหารของบริษัท
 ในการกำหนด ทิศทางของบริษัท กลยุทธ์ของบริษัท

ธุรกิจของนายกทักษิณกำไรมากกว่าบริษัทอื่นหรือไม่?  ดูจากอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
 อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ภาษาชาวบ้านก็คือ “กำไรเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุน” )
 ของบางบริษัทตั้งแต่ปี 2544 – 2549 (คิดโดยเฉลี่ย) :
ปูนซิเมนต์ไทย 48%  , ปตท 36%, อมตะคอร์ปฯ 30%, ซีเอ็ด 28%,
 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 24%, น้ำมันพืชไทย 21%,  ชินคอร์ปฯ 20%
 การที่สานตัดสินยึดทรัพย์นายกทักษิณ มันก็ไม่ต่างจากที่สานตัดสิน
 ให้นายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกเพราะทำกับข้าวออกทีวี

ประเด็นต่างๆที่คตส.กล่าวหานายกทักษิณและนำไปสู่การตัดสินยึดทรัพย์

ลดค่าสัมปทานให้ AIS
 เดือนเมษายนปี 2544 DTAC ได้รับการแก้ไขสัญญาให้จ่ายในอัตรา 18% ของรายได้
 ดังนั้น AIS จึงได้ร้องขอความเป็นธรรมและได้รับการลดอัตราค่าสัมปทาน
 ในเดือนพฤศจิกายน จาก 25% เหลือ 20% แม้ว่าตั้งแต่ปี 2545 - 2549 AIS
 จะจ่ายค่าสัมปทานในอัตราที่ลดลงก็ตาม แต่รัฐกลับได้รับผลประโยชน์จาก AIS

 ตั้งแต่ปี 2545 – 2549 เพิ่มขึ้นจากปี 2544 ในรูปของค่าสัมปทาน ภาษีสรรพสามิต
 และ ภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมเป็นเงินประมาณกว่า 5 หมื่นล้านบาท
 และเมื่อ AIS ได้รับการลดอัตราค่าสัมปทาน ก็ได้ลดค่าโทรให้แก่ผู้ใช้มือถือลงเป็นอย่างมาก
 ในปัจจุบันค่าโทรมือถือถูกลงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับค่าโทรในปี 2544
 การลดค่าสัมปทานจึงได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้ง 3 ฝ่าย คือ ผู้ใช้มือถือ รัฐ และบริษัทมือถือ

จำนวนผู้ใช้มือถือ
 ข้อความในข้อกล่าวหา “บริษัท เอไอเอส มีผู้ใช้บริการในปี 49 ไม่น้อยกว่า 17 ล้านราย
 จากเดิมที่มีผู้ใช้บริการในปี 42 เพียง 23,000 ราย”
 จำนวนผู้ใช้มือถือของค่าย AIS ในปี 2549 เพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2544
 ในขณะที่มีบางค่ายเพิ่มขึ้นมากว่า 14 เท่า
 รายได้ของ AIS เปรียบกับ DTAC (ปี 2544 – 2548)
 รายได้แต่ละบริษัทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน (คิดโดยเฉลี่ย) AIS เพิ่มขึ้น 19% , DTAC เพิ่มขึ้น 18%

ออกกฎหมายแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์เป็นภาษีสรรพสามิต
 ก่อนออกกฎหมายไม่ว่าจะเป็น AIS หรือ DTAC จะจ่ายค่าสัมปทานทั้งหมดให้แก่ ทีโอที หรือ กสท.
 ในอัตรา 20 – 25% ของรายได้ โดยจ่ายตอนสิ้นปี (สมมติว่าแต่ละบริษัทจ่ายปีละ 240 ล้านบาทก็แล้วกัน)
 แต่เมื่อ  แก้กฎหมายแล้ว แต่ละบริษัทยังคงจ่ายปีละเท่าเดิม  (240 ล้านบาท)
 โดยจ่ายให้ ทีโอที หรือ กสท 120 ล้านบาท ส่วนอีก 120 ล้านบาทไปจ่ายให้
 กรมสรรพสามิต (ต้องจ่ายเป็นรายเดือนๆละ 10 ล้านบาท)
 จะเห็นได้ว่ารัฐได้ประโยชน์มากกว่าเพราะว่าเงินเข้ารัฐโดยตรงและเข้าเป็นรายเดือน
 แต่  ถ้าไม่มีการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ทีโอที หรือ กสท. ก็จะนำเอาเงินส่วนนี้
 ไปถลุง เช่น จ่ายเงินปันผลให้พนักงาน

 ในอดีตประชาชนเคยเจ็บช้ำกับการขอหมายเลขโทรศัพท์บ้าน
 ขอยากเย็นมากในเขตกทม.ต้องเสียเป็นแสนบาทจึงจะได้เบอร์โทรศัพท์
 ค่าโทรศัพท์ทางไกลที่แสนจะแพงมหาโหด โทรจากกรุงเทพไปเชียงใหม่นาทีละ 18 บาท
 ทีโอทีไม่ใช่หรือที่สร้างความเจ็บช้ำให้กับพวกเรา

ให้พม่ากู้เงินรัฐบาลไทยซื้อสินค้าซื้อสินค้าชินคอร์ป
 หน่วยงานของรัฐและเอกชนหลายแห่งของพม่า ซื้อบริการจากดาวเทียมไทยคม
 และอุปกรณ์ต่างๆจากบริษัทชินแซตมาตั้งแต่ปี 2541 (ก่อนทักษิณเป็นนายก)
 ในปี 2546 ไทย พม่า ลาว กัมพูชา และ เวียดนาม ร่วมมือกันทำ ยุทธศาสตร์ความมือกันทางเศรษฐกิจ
 ไทยจึงประกาศให้วงเงินกู้แก่สมาชิกประเทศละประมาณ 4,000 ล้านบาทผ่าน
 ธนาคารเพื่อการและนำเข้าของไทย (EXIM Bank) เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการ
 ที่ซื้อจากบริษัทของไทย เพื่อนำไปใช้สำหรับโครงการสาธารณูปโภคของประเทศนั้น

 ในปี 2547 พม่าใช้วงเงินกู้ไปประมาณ 300 ล้านเพื่อชำระค่าอุปกรณ์/บริการดาวเทียมให้แก่ไทยคม
 ต่อมาในปี 2549 พม่าก็ได้ซื้ออุปกรณ์/บริการจากไทยคมอีก แต่จ่ายชำระให้ไทยคมด้วยเงินของตนเอง
 ทั้งๆที่ยังมีวงเงินกู้เหลืออยู่ ส่วนลาวและกัมพูชาก็ใช้บริการของไทยคมมาตลอด  แต่ไม่เคย
 ใช้วงเงินกู้เพื่อชำระค่าอุปกรณ์/บริการเลย พม่าไม่ได้มีการเบี้ยวเงินกู้แต่อย่างใดและไม่มีปัญหา
 เรื่องการชำระหนี้เงินกู้ เพราะพม่ามีรายได้เป็นจำนวนมากจากสัมปทานต่างๆ เช่น
 ปตท.ต้องจ่ายค่าแก๊สและน้ำมันให้พม่าปีละหลายหมื่นล้าน ผลพวงจากการให้วงเงินกู้ก็คือ
ปตท.ได้สัมปทานบ่อแก๊สจากพม่านับแสนล้านบาท  นอกจากนี้นายกทักษิณยังได้ขอให้พม่า
ช่วยจัดการแหล่งผลิตยาเสพติดในพม่า  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นโยบายปราบยาเสพติดของนายกทักษิณได้ผล

 Download โต้ข้อกล่าวหาอย่างย่อ (pdf) http://www.mediafire.com/?ivfttap0f2c180d
 ไฟล์นี้ประกอบด้วยข้อสรุปที่ผมโพสท์ (หน้า 1 – 2) และ เรื่องลุงที่เชียงรายกับทองคำ (หน้า 3 – 4)
 ผมค่อนข้างเชื่อว่าถ้าได้อ่านทั้ง 4 แผ่นแล้ว คงจะเปลี่ยนความคิดความรู้สึกได้บ้างพอสมควร

 ก่อนตัดสินคดียึดทรัพย์ผมได้ส่งลิงค์ไฟล์โต้ข้อกล่าวหาของคตส. ให้นายกทักษิณผ่านทางกล่องข้อความ Facebook ของท่าน
 ซึ่งตอนนั้นผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าท่านจะ Download ไฟล์ไปอ่านหรือเปล่า
 แต่หลังจากที่สานตัดสินแล้ว ท่านนายกทักษิณได้ออกมาแสดงความเห็นผ่าน People Channel
 ท่านก็ได้บอกว่า หุ้นก็เปรียบได้กับทองคำ แต่ท่านไม่ได้ยกตัวอย่างน้ำหนักทองคำเป็นบาทเท่านั้น
 แต่ยกตัวอย่างน้ำหนักทองคำเป็นกิโล. ผมก็เลยคิดว่าท่านคงได้อ่านที่ผมเขียน รู้สึกปลื้มใจเหมือนกัน

 ผมเริ่มเขียนโต้ข้อกล่าวหาของคตส.ลงใน newskythailand ด้วยเรื่อง “ลุงที่เชียงรายและทองคำ” ปรากฎว่าได้รับการตอบรับที่ดี
 สำหรับเรื่องข้อกล่าวหา “พรรคเผาบ้านเผาเมือง” อยากจะให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนๆเป็นคนจัดทำแล้วนำมาประกอบกับส่วนที่ผมเขียน

 

 

 

**********************************************

 

 

 

 

 

 

แม่และเด็ก
 


 

 

 

    อุบัติเหตุยอดฮิต ของเจ้าหนูวัยเตาะแตะ (Mother & Care)



         เคยนับกันบ้างไหมว่าใน 1 วัน คุณพ่อคุณแม่เกิดอาการใจหายใจคว่ำกับการใฝ่รู้ใฝ่เรียน (เอ๊ะ! หรือว่าใฝ่ซน) ของลูกน้อยวัยเตาะแตะบ่อยครั้งแค่ไหน?

         เพราะเด็ก ๆ ในวัยนี้อยู่ในช่วงแห่งการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว แม้จะยังทรงตัวได้ไม่ดี เดินไม่แข็ง วิ่งไม่คล่อง หยิบจับอะไรก็ยังไม่กระชับเหมาะมือ แต่เจ้าหนูน้อยไม่สนซะล่ะ ก็อะไร ๆ ที่อยู่รอบกายของน้องหนูดูน่าสนใจ น่าหยิบจับ น่าเข้าไปหาไปดู ไปเล่น จนอดใจไม่ไหวนี่นา ด้วยเหตุนี้อุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงเหตุอันตรายร้ายแรงต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นกับเจ้าหนูได้ตลอดเวลา

1.ไฟดูด

         เพราะความอยากรู้อยากเห็นและไม่ทราบถึงอันตรายจากการเล่นปลั๊กไฟหรือการเอานิ้วหรือสิ่งของต่างๆ ไปแหย่ปลั๊กไฟ จึงทำให้บ่อยครั้งที่ได้ยินว่าเจ้าหนูวัยเตาะแตะได้รับอันตรายจากการถูกไฟฟ้าดูด หากคุณพ่อคุณแม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ร้าย ๆ แบบนี้ให้รีบถอดปลั๊กหรือสับคัทเอาท์ลงเพื่อตัดกระแสไฟฟ้าก่อน จากนั้นให้ใช้วัตถุที่ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า เช่น ไม้ ผ้า เชือก สายยาง เป็นต้น มาเขี่ยสายไฟให้หลุดออกจากตัวเด็ก หรืออาจใช้ถุงมือยางหรือผ้าแห้งพันมือให้หนาแล้วผลักเด็กให้หลุดออกมา ในขณะให้การช่วยเหลือต้องแน่ใจว่าผู้เข้าไปช่วยร่างกายต้องไม่เปียกขึ้นและห้ามใช้มือเปล่าในการช่วยเด็ดขาด หลังจากที่ช่วยออกมาแล้วหากเด็กหมดสติและและหัวใจหยุดเต้นให้รีบนวดหัวใจไปพร้อม ๆ กับการผายปอด และรีบนำส่งโรงพยาบาล

2.จมน้ำ

         ประมาทไม่ได้เลยเชียวเรื่องเด็ก ๆ กับการเล่นน้ำอุบัติเหตุจากการจมน้ำส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นแหล่งน้ำใกล้ ๆ ตัว เช่น ถังน้ำ อ่างน้ำ บ่อน้ำ สระน้ำ หรือคู คลอง หนอง บึงละแวกบ้าน แม้ระดับน้ำจะแค่ตื้น ๆ แต่หากพลั้งเผลอก็อาจเกิดเหตุร้ายกับเจ้าตัวเด็กขึ้นมาจริง ๆ ได้ ดังนั้นหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น "สติ" คือสิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องมี จากนั้นดูอาการของลูกหากเขารู้สึกตัวและหายใจได้เอง คุณพ่อคุณแม่ก็เพียงเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ความอบอุ่น และสังเกตว่าลูกหายใจเป็นปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติให้รีบพาไปพบคุณหมอทันที กรณีที่ร้ายแรงกว่านั้น คือหากลูกไม่ได้สติ หายใจช้า หรือไม่หายใจ ให้ช่วยโดยใช้วิธีผายปอดและรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

อุบัติเหตุป้องกันได้ถ้า...

         อย่าปล่อยให้เด็กเล่นน้ำหรืออยู่ในห้องน้ำหรืออยู่ใกล้แหล่งน้ำเพียงคนเดียวแม้จะเพียงแค่เสี้ยววินาที

         ปิดฝาภาชนะตามถังน้ำ ตุ่มน้ำ หรือประตูห้องน้ำให้มิดชิด

         สำหรับบ้านที่อยู่ริมน้ำหรือใกล้แหล่งน้ำให้ทำทางกั้นหรือระเบียงเพื่อป้องกันการพลัดตกลงไป

         ข้อควรระวัง คือ เมื่อช่วยเด็กขึ้นมาจากน้ำแล้วไม่ควรจับอุ้มพาดบ่าแล้ววิ่ง หรือกระโดดเพื่อกระทุ้งให้น้ำออก เพราะจะยิ่งทำให้เด็กขาดอากาศหายใจนานายิ่งขึ้น

3.สิ่งแปลกปลอมติดในหลอดลม

         เผลอเป็นไม่ได้กับเจ้าหนูวัยเตาะแตะที่มักจะเห็นอะไรก็ไขว่คว้าหยิบจับ และที่น่าหนักใจก็คือหยิบปุ๊บเอาเข้าปากปั๊บนี่สิ อันตรายจริงๆ ลูกเอ๋ยที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องมีสติ ห้ามใช้นิ้วควานช่องปากช่องคอ เพราะอาจดันให้สิ่งแปลกปลอมเลื่อนลึกลงไป ไม่ควรจับเด็กห้อยศีรษะลงและตบหลังเพราะสิ่งที่เข้าไปอุดตันอาจตกไปอุดที่กล่องเสียงได้ วิธีช่วยเหลือที่ถูกต้อง คือ จับเด็กนอนคว่ำพาดตัก โดยกดศีรษะให้อยู่ต่ำกว่าลำตัว จากนั้นตบที่กลางหลัง เพื่อให้เด็กไอเอาสิ่งแปลกปลอมออกมา หากยังไม่ได้ผลให้รีบพาส่งโรงพยาบาล

อุบัติเหตุป้องกันได้ถ้า...

         เก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่มีขนาดเล็ก เช่น กระดุม เหรียญ น๊อต ตะปู หนังสติ๊ก ยา ฯลฯ ให้เป็นที่และพ้นระยะที่เด็กจะหยิบคว้าได้

         หากให้เด็กกินผลไม้ที่มีเมล็ด เช่น เงาะ ลำไย องุ่น น้อยหน่า แตงโม ฯลฯ หรืออาหารประเภทปลา ไก่ หรือหมู คุณพ่อคุณแม่ต้องตัดหรือหั่นเป็นชิ้นพอคำ และต้องแน่ใจว่าได้แกะเอาเมล็ดผลไม้ ก้างปลา หรือกระดูกต่างๆ ออกหมดแล้ว

         ไม่ควรให้เด็กวิ่งเล่น พูดคุย หรือหัวเราะในขณะกินอาหาร เพราะอาจทำให้สำลักและติดคอได้

         หลีกเลี่ยงการเล่นของเล่นจำพวกลูกแก้ว ลูกปัด หรือของเล่นที่มีชิ้นส่วนขนาดเล็กและแตกหักง่าย

4.อันตรายจากของมีคม

         ของต้องห้ามสำหรับเด็ก ๆ มักดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าหนูอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นของมีคมอย่างกรรไกร มีด เข็มกลัด ส้อม ไม้แหลม หรือแม้กระทั่ง ของเล่นที่มีส่วนคมหรือปลายแหลมออกมา ก็มักจะทำให้ลูกน้อยต้องร้องโอดโอย มีแผลเลือดไหลอยู่ร่ำไป หากไม่ทันระวังปล่อยให้ลูกรักได้แผลจากของมีคม อันดับแรกให้ห้ามเลือดก่อนโดยใช้สำลีหรือผ้าสะอาดกดแช่ที่บาดแผล หากเลือดหยุดแล้วให้ล้างแผลด้วย น้ำสะอาดแล้วใส่ยาทาแผลสด จากนั้นปิดแผลด้วย ผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ยา

อุบัติเหตุป้องกันได้ถ้า...

         เก็บของมีคมให้พ้นจากการหยิบฉวยของลูกน้อย

         หลีกเลี่ยงการให้ลูกเล่นของเล่นที่ทำเป็นอาวุธ เช่น ดาบปลอม ปืนปลอม เป็นต้น

         เลือกของเล่นที่ได้มาตรฐาน ไม่แตกหรือหักง่ายอีกทั้งต้องไม่มีส่วนคมหรือปลายแหลมยื่นออกมา

5.ลื่น ล้ม ตก กระแทก

         จะด้วยความซนของเจ้าหนูหรือความประมาทของคุณพ่อคุณแม่ อันตรายจากการลื่นหกล้ม ตกจากที่สูง หรือวิ่งชนสิ่งต่าง ๆ ฯลฯ มักฝากบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างรอยฟกซ้ำดำเขียว ปากแตก หัวโน ไปจนถึงอาการสาหัสอย่างแขนขาหัก หัวแตก สมองกระทบกระเทือน และอาจถึงขั้นหมดสติหรือมากกว่านั้นก็เป็นได้

         สำหรับการดูแลในเบื้องต้น คุณพ่อคุณแม่คงต้องดูไปตามอาการที่เจ้าหนูเป็น เช่น หากเจ้าตัวน้อยตัวโน มีอาการฟกช้ำให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้น้ำแข็งประคบเพื่อลดอาการบวม จนผ่านไป 24 ชั่วโมงจึงค่อยใช้น้ำอุ่นประคบ เพื่อลดอาการช้ำ แต่ถ้ามีแผลแตกถลอกให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดแล้วค่อยทายาใส่แผลสด กรณีที่เจ้าหนูมีอาการสาหัสมากกว่านี้ให้รีบพาไปโรงพยาบาลทันที

อุบัติเหตุป้องกันได้ถ้า...

         จัดบ้านให้เป็นระเบียบ ไม่วางสิ่งของระเกะระกะ อีกทั้งพื้นบ้านตามห้องต่าง ๆ เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องน้ำ ฯลฯ ต้องไม่ลื่น หรือเสี่ยงต่อการลื่นหกล้ม

         หาผ้านุ่ม ๆ หรือฟองน้ำมาหุ้มขอบเหลี่ยมเฟอร์นิเจอร์ที่มีมุมหรือสันอย่างตู้ โต๊ะ เก้าอี้ หรือชั้นวางของ เพื่อป้องกันการกระแทกของลูกน้อย

         ทำที่กั้นเตียงนอน ประตูเข้า-ออก บันไดขึ้น-ลง หรือริมระเบียงเพื่อป้องกันการพลัดตก รวมทั้งหลีกเลี่ยงการวางเก้าอี้ โต๊ะ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่เอื้อต่อการปีนป่ายของเด็กไว้ใกล้หน้าต่าง หรือราวระเบียง
 

 

 

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Vol.7 No.82 ตุลาคม 2554

 

 

 

 

********************************************

 

 

 

 

 “ทะเลเรียบ!” เอกสารกรมอุตุฯ เผยข้อมูลสภาพอากาศ

 

ในวัน “น้ำมันรั่ว” ไม่ตรงกับ PTTGC!!!

 

 

 

002_resize-454x620.jpg

 

 

 

ต่อเนื่องจากกรณีน้ำมันรั่วไหลของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ที่จังหวัดระยอง โดย PTTGC เคยให้เหตุผลในการใช้สารเคมี Slickgone NS ขจัดคราบน้ำมัน ในปริมาณที่เกินมาตรฐานที่บริษัทผู้ผลิตกำหนดไว้ว่า สภาพทะเลในขณะเกิดเหตุมีคลื่นสูงถึง 2 เมตร ความเร็วลมแรงกว่าปกติที่ 15-35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีการขจัดคราบน้ำมันที่ถูกต้องและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือก็คือวิธีล้อมและดูดกลับ (Boom and Skimmer)ได้

 

นอกจากนี้ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เคยให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐออนไลน์ ในทำนองเดียวกันนี้ว่า “เท่าที่ PTTGC และบริษัทน้ำมันแห่งอื่น เคยฝึกซ้อมการป้องกันและบรรเทาอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นภายใต้แผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำ ส่วนใหญ่เป็นการซ้อมในสภาพอากาศปกติ ไม่มีคลื่นสูง แต่ในเหตุการณ์นี้ปรากฏว่า เจอความสูงของคลื่นถึง 3 เมตร” จึงเป็นเหตุให้มีการใช้น้ำยาขจัดคราบน้ำมันไปอย่างน้อย 32,000 ลิตร ทั้งๆ ที่มาตรฐานกำหนดให้ใช้ไม่เกิน 5,000 ลิตร เพื่อต้องการควบคุมสถานการณ์ในท้องทะเลที่มีคลื่นลมแรงให้เข้าสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด...

 

ต่อมา คณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ได้ส่งหนังสือไปถึงอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อขอข้อมูลรายงานสภาพอากาศ ความเร็วลม และความสูงของคลื่นทะเล ของวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 แถวบริเวณที่เกิดเหตุน้ำมันรั่วนอกชายฝั่งมาบตาพุด จังหวัดระยอง วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556 กรมอุตุนิยมวิทยาส่งหนังสือกลับมาว่า ในบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีสถานีอุตุนิยมวิทยาของกรมอุตุนิยมวิทยาตั้งทำการอยู่ จึงไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้ แต่อย่างไรก็ตาม ได้ส่งข้อมูลสรุปผลการตรวจสภาพอากาศพร้อมรายละเอียดจากสถานีอุตุนิยมวิทยาระยอง ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ตั้งแต่เวลา 01.00-22.00 น. มาชี้แจง ซึ่งสถานีอุตุนิยมวิทยาดังกล่าวตั้งอยู่ตำบลตะพง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง อยู่ใกล้กับหาดแม่รำพึง ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงบริเวณดังกล่าวมากที่สุด

 

 

Slide10-620x465.jpg

 

 

ข้อมูลสรุปผลการตรวจสภาพอากาศเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 7.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดเหตุน้ำมันรั่วกลางทะเลมาแล้วประมาณ 30 นาที รายงานว่า ลักษณะท้องฟ้ามีเมฆมาก ทัศนวิสัย 12 กิโลเมตร ลมพื้นผิวพัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทะเลมีลักษณะเรียบ มีคลื่นสูง 0.1-0.5 เมตร ซึ่งข้อเท็จจริงที่กรมอุตุนิยมวิทยารายงานนี้กลับไม่ตรงกับข้อมูลที่ PTTGC ให้ไว้ว่าคลื่นในทะเลขณะนั้นสูงถึง 2 เมตร และมีลมแรงกว่าปกติที่ 15-35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

จากข้อเท็จจริงที่ได้ดังกล่าว นำไปสู่ข้อสังเกตเรื่อง “ความโปร่งใส” ของการรายงานข้อมูลของบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับรางวัลด้านธรรมาภิบาลดีเด่นหลายรางวัลในระดับประเทศและระดับทวีป นอกจากนี้ยังมีกรณี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” เรื่องการแต่งตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงน้ำมันรั่วกลางทะเล” โดยนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการบริษัท PTTGC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ก่อเหตุน้ำมันรั่ว เป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งคุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา ปตท. และกรรมการผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยด้วย เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ

 

เหตุการณ์น้ำมันรั่วนอกชายฝั่งมาบตาพุด จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ผ่านมา จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว หลายคนลืมไปแล้วว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้น คราบน้ำมันหายไป น้ำทะเลใส แล้วแต่ผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลเป็นสิ่งที่ยังไม่ปรากฏให้เห็นในเร็ววัน แม้จะมีการพบสัตว์ทะเลตายเกยตื้นหลายชนิดในบริเวณใกล้เคียง ยกตัวอย่างเช่น เต่าทะเลที่มีทาร์บอลหรือก้อนน้ำมันดิบค้างอยู่ในปาก ซึ่งนักชีววิทยาทางทะเลและผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นด้วยว่าสิ่งที่พบนั้น “ผิดปกติ” แต่ทาง PTTGC ก็ยืนยันว่า การที่สัตว์ทะเลตายเกยตื้นนั้นไม่เกี่ยวกับน้ำมันดิบที่รั่วกลางทะเล ชาวประมงที่ทำมาหากินในบริเวณนั้นยังไม่ได้รับการเยียวยาที่พวกเขาพึงพอใจ กลุ่มชาวประมงตำบลตะพง จังหวัดระยอง หาปลาได้น้อยกว่าที่เคยทำได้จนทำให้หยุดการออกหาปลาเพราะไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน การตั้งกลุ่มชุมนุมเรียกร้องยังไม่ได้การตอบรับใดๆ จาก PTTGC

 

ส่วนทางด้าน “กลุ่มติดตามน้ำมัน ปตท. รั่วไหล” ที่ได้รวบรวมรายชื่อ 32,000 รายชื่อผ่านการรณรงค์จาก Change.org และยื่นให้นายกรัฐมนตรีไปตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2556 เพื่อขอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอิสระขึ้นมาค้นหาข้อเท็จจริงและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลเช่นเดียวกัน

 

 

 

 

http://thaipublica.o...rt-oil-spill-8/

 

 

 

 

 

***********************************************

 

 

 

 

 

 

 

                                               เดี๋ยวเหอะ...

 

 

                                            

 

 

 

 

....มองอะไร? กันพี่ มีไรเหรอ?

 

เดี๋ยวได้เจอ งานเข้า เบ้าตาหงาย

 

รมย์บ่จอย ขอร้องน่า อย่าวุ่นวาย

 

ตบด้วยซ้าย อัลปาคัต ซัดกระเด็น

 

 

 

....เล่นอะไร ให้รู้บ้าง โฉ่งฉ่างเเท้

 

รำคาญเเย่ เเหย่ไปทั่ว มั่วเห็นๆ

 

ไปเลยไป อย่ามา ปั้นหน้าเป็น

 

ทำทะเล้น กัดหน้าเเตก เเหกยับเยิน!!...

 

 

 

************************************

 

 

 

 

 

 

จีนโวยยับสตาร์บัคส์โขกราคาโหด แก้วกลางกว่า 130 บ.

 

-สื่อชี้"ไม่แคร์ผู้บริโภค-ถือว่าแบรนด์ดัง"

 

 

 

                        

 

 

 นักข่าวต่างประเทศรายงานว่า "สตาร์บัคส์" กาแฟแบรนด์ดังของสหรัฐ ได้ปรับราคาเพิ่มต่อผู้บริโภคชาวจีน สูงกว่าราคากาแฟยี่ห้ออื่นๆ และทำให้บริษัทมีกำไรอย่างมาก หลังจากชาวจีนหันมานิยมกาแฟของสตาร์บัคส์อย่างสูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

รายงานระบุว่า สตาร์บัคส์กำลังถูกโจมตีอย่างหนักจากสื่อมวลชนจีนจากกรณีปรับราคากาแฟ โดยราคาของกาแฟประเภทลาเต้ขนาดกลาง ได้เพิ่มขึ้นเป็น 27 หยวน (ราว132.9 บาท) หรือสูงกว่าราคาขายในรัฐชิคาโกของสหรัฐถึงสามเท่า โดย "CCTV" รายงานโจมตีว่า สตาร์บัคส์กำลังมีความสุขกับการได้ขึ้นราคาในจีน ส่วนใหญ่เพราะพวกเขาไม่แคร์ผู้บริโภค เพราะถือว่าตัวเองเป็นที่ชื่นชอบนิยมของชาวจีน และถือว่าตัวเองเป็นแบรนด์ตะวันตก และว่า บริษัทมีกำไรจากสัดส่วนตลาดทั่วโลก 32 เปอร์เซ็นต์ในจีนและเอเชีย ในช่วงไตรมาสที่สอง สูงกว่าอเมริกา ซึ่งอยู่ที่ระดับ 21 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรในสัดส่วนตลาด 2 เปอร์เซ็นต์ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 

 

ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ว่าผู้บริโภคจีนกำลังวิตกเรื่องราคากาแฟสตาร์บัคส์เพิ่มขึ้น แต่ความต้องการบริโภคกาแฟแบรนด์นี้จะไม่ลดลง เพราะชาวจีนคิดว่าการดื่มกาแฟแบรนด์นี้ทำให้พวกเขาดูดีมีรสนิยมสูง และพร้อมจ่ายเพื่อแลกกับการซื้อประสบการณ์หรูๆ และว่า สตาร์บัคส์ได้วางยุทธศาสตร์ที่จะให้จีนจะกลายเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของสตาร์บัคส์รองจากสหรัฐ ในปี 2014 จากปัจจัยค่าแรงภายในประเทศ ปัจจัยสินค้าบริโภค และอื่นๆ

 

อย่างไรก็ตาม ทางด้านสตาร์บัคส์ได้ออกแถลงปกป้องกรณีการปรับราคาในจีนว่า ตลาดของสตาร์บัคส์แต่ละตลาดมีความเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน และราคาก็แตกต่างกัน ดังนั้น จึงไม่ถูกต้องที่จะมาตัดสินสตาร์บัคส์โดยเอาราคากาแฟของตลาดเพียงตลาดเดียวมาเป็นเกณฑ์วัดกับตลาดอื่นๆ

 

 

          นางเงือกไซเรนบนโลโก้สตาร์บัคส์

 

 

โลโก้ในปีค.ศ.2011 ฉลองครบ 40 ปีการดำเนินธุรกิจ เพื่อก้าวต่อไป

 

หากคุณเป็นแฟนกาแฟ สตาร์บัคส์ (Starbucks) คงสังเกตเห็น 'โลโก้นางเงือกสีเขียว' ได้เปลียนไปแล้ว เรามีคำตอบในเรื่องนี้ พร้อมความเป็นมาของโลโก้

 

         ปีนี้แฟนกาแฟ สตาร์บัคส์ (Starbucks) คงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นก็คือการปรับเปลี่ยน ตราสัญลักษณ์ (Logo) นางเงือกสีเขียวยังอยู่ แต่สตาร์บัคส์ได้ตัดคำว่า Coffee ออกไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

 

 

 

 

 
 ความจริงการเปลี่ยนโลโก้ของสตาร์บัคส์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก สตาร์บัคส์ปรับเปลี่ยนโลโก้มาแล้วสองครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนใหม่เป็นครั้งที่สามในปีนี้
 

         ในปีค.ศ.1971 ร้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ตลาดไพค์ เพลส (Pike Place Market) เมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะร้านขายกาแฟและชาขนาดเล็ก โดยหุ้นส่วน 3 คน คือ เจอร์รี่ บัลด์วิน ครูภาษาอังกฤษ, เซฟ ซีเกล ครูสอนประวัติศาสตร์ และ กอร์ดอน บาวเกอร์ นักเขียน ทั้งสามมีความชอบเหมือนกันสองอย่าง คือ กาแฟของพีท (Alfred Peet นักธุรกิจรุ่นใหม่ยุคนั้นที่ขายเมล็ดกาแฟคุณภาพดี) และนิยายล่าวาฬเรื่อง Moby Dick พวกเขาได้ตัดสินใจร่วมหุ้นกันเพื่อเปิดร้านกาแฟขึ้นมา ร้านกาแฟสตาร์บัคส์แห่งแรกได้ถือกำเนิดขึ้นโดยตั้งชื่อร้านจากตัวละครในเรื่อง Moby Dick นวนิยายคลาสสิกสมัยศตวรรษที่ 19 ของอเมริกา ประพันธ์โดย Herman Melvilles นั่นเอง 

 

         มีบันทึกไว้ด้วยว่า ก่อนเปิดร้านครั้งนั้น เทอร์รี่ เฮคเลอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับกอร์ดอน และเป็นช่างศิลป์ ได้ให้ความช่วยเหลือในการตั้งชื่อและออกแบบสัญลักษณ์ ในตอนแรกกอร์ดอนเสนอชื่อ พีโคด (Pequod) เป็นชื่อเรือตามนิยายโปรด แต่เทอร์รี่ไม่เห็นด้วย นักออกแบบอยากให้ได้ชื่อที่มีความรู้สึกถึงการผจญภัย แฝงไว้ด้วยปริศนาให้ขบคิดถึงที่มาและความหมาย สิ่งเหล่านี้ประกอบกันขึ้นมาจนได้รูปลักษณ์ที่เมื่อผู้คนมองเห็นแล้วเกิดคำถามต่างๆ มากมาย

 

         สตาร์โบ (Starbo) คือชื่อแรกที่เทอร์รี่คิดออก ที่มาของคำนี้คือชื่อของเหมืองแร่ทางตอนเหนือ แต่หลังจากที่ระดมความคิดกันอยู่นาน ชื่อนั้นก็ผันออกมาเป็น สตาร์บัคส์ (Starbucks) ด้วยความบังเอิญ และด้วยความที่เป็นหนอนหนังสือ  เจอร์รี่รู้ว่าชื่อนี้เป็นชื่อของตัวละครที่อยู่ในหนังสือล่าวาฬเรื่อง Moby Dick ในที่สุดก็ได้ชื่อ 'สตาร์บัคส์' ชื่อที่ทำให้หวนคิดถึงเรื่องราวการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นในมหาสมุทร การซื้อขายเมล็ดกาแฟของเหล่าพ่อค้านักเดินเรือ

 

         ส่วนโลโก้นั้นได้มาจากการค้นพบรูปแกะสลักโบราณสมัยศตวรรษที่ 15 เทอร์รี่ได้ลงค้นหารูปจากหนังสือเกี่ยวกับสมุทรศาสตร์เล่มเก่าๆ จนไปเจอกับรูปของ นางเงือกไซเรนสองหาง (Norse Siren) เทพนิยายปรัมปรา และเข้ากันได้ดีกับคำว่าสตาร์บัคส์ ชวนให้นึกถึงการผจญภัยในทะเลเช่นเดียวกัน

 

         เรื่องเล่าของ 'นางเงือกไซเรนสองหาง' มีหลายตำนาน ไซเรน (Siren) คือ นางเงือก (Mermaid) หรือไม่นั้น ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด เพราะแต่ละตำนานไม่เหมือนกัน บางตำนานก็ใช้ตัวเดียวกัน บางตำนานก็เป็นคนละตัวกัน สำหรับนางเงือกนั้นเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้ว ว่ามีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลา แต่ไซเรนในตำนานโบราณ หรือแม้แต่รูปภาพยุคเก่ามากๆ เป็นผู้หญิงครึ่งนกที่ไม่มีปีก ต่อมาตำนานระยะหลังกลับกลายมีรูปร่างในลักษณะเดียวกับนางเงือกไป

 

         เรื่องของ 'ไซเรน' ในตำราปกรนัมบอกว่า พวกไซเรนอาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในทะเล มีเสียงทรงเสน่ห์ เสียงร้องเพลงของเหล่าไซเรนล่อใจให้นักเดินเรือเข้ามาสู่ความตาย ไม่เป็นที่ทราบกันว่าพวกนางมีหน้าตาอย่างไร เพราะไม่มีใครที่เคยเห็นพวกนางแล้วรอดกลับมาเลย

 

         “มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดจากความตายของไซเรนมาได้ คือ โอดิสซิอุส ครั้งหนึ่งโอดิสซิอุสได้ล่องเรือออกเดินทาง เส้นทางนั้นต้องผ่านเกาะที่นางไซเรนอาศัยอยู่ นางพวกนี้เป็นนักร้องเสียงหวานไพเราะที่ใครได้ยินจะต้องลืมหมดทุกสิ่ง และในที่สุดแล้วเสียงเพลงของพวกนางจะคร่าชีวิตของเขาไป โครงกระดูกขึ้นราของบรรดาผู้ที่พวกนางล่อลวงมาสู่ความตาย กองสูงเรียงรายริมชายฝั่งรอบกายพวกนางซึ่งร้องเพลงอยู่ โอดิสซิอุสเตือนคนของเขาเรื่องนี้ และบอกวิธีเดียวที่จะแล่นเรือผ่านไปได้อย่างปลอดภัยคือ แต่ละคนต้องเอาขี้ผึ้งมาอุดหูไว้ อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองต้องการที่จะได้ยินเสียงของพวกนาง จึงขอให้ลูกเรือมัดเขาไว้กับเสากระโดงเรืออย่างแน่นหนาจนเขาไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้ พวกลูกเรือทำตามและแล่นเรือเข้าไปใกล้เกาะ  ทุกคนนอกจากโอดิสซิอุสล้วนไม่ได้ยินเพลงชวนให้หลงใหลนั้น เขาได้ยินเสียงเพลงและเนื้อร้องนั้นยิ่งเย้ายวนใจกว่าทำนองเสียอีก เนื้อร้องกล่าวว่าพวกนางจะมอบภูมิรู้ให้กับชายแต่ละคนที่มาหาพวกนาง เป็นสติปัญญารอบรู้และจิตวิญญาณที่เฉียบแหลมว่องไว 'เรารู้ทุกสิ่งที่จะเป็นอนาคตบนโลก' เสียงเพลงของพวกนางมีท่วงทำนองแสนเสนาะอยู่อย่างนั้น และหัวใจของโอดิสซิอุสก็ปวดร้าวด้วยความโหยหา แต่เชือกรั้งตัวเขาไว้ และอันตรายนั้นก็ผ่านพ้นไป...”

 

         ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1971 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวพร้อมกับโลโก้รูปนางเงือกไซเรนสองหาง ผมยาว สวมมงกุฎ เปลือยอกและโชว์สะดือ อยู่ในวงกลมพื้นสีน้ำตาล มีแถบด้านข้าง ภายใต้วงกลมรูปไซเรนมีคำว่า Starbucks Coffee Tea Spices เพื่อแสดงว่า สตาร์บัคส์จำหน่ายเครื่องเทศและเมล็ดกาแฟ

 

         ต่อมาเมื่อถึงปี ค.ศ. 1987 สตาร์บัคส์ได้ปรับเปลี่ยนโลโก้เป็นครั้งแรก โดยในปีนั้นเป็นปีที่สตาร์บัคส์เพิ่มเครื่องดื่ม เอสเพรสโซ่ เข้าไว้ในเมนูเครื่องดื่ม จึงปรับข้อความในวงกลมให้เหลือเพียง Starbucks และ Coffee ในพื้นสีเขียว ในตอนนั้นนักออกแบบได้นำเสนอพื้นสีของโลโก้ไว้สองสี คือสีเขียวและสีแดง มร.โฮวาร์ด ชูลท์ซ (เข้ามาร่วมงานกับสตาร์บัคส์ครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษที่ 80) ได้เลือกสีเขียวให้เข้ากับการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมในสมัยนั้น  ขณะที่นางเงือกไซเรนได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูขึงขังน้อยลง ยิ้มทักทายลูกค้าที่เข้ามาในร้านมากขึ้น เกล็ดปลาที่หางเปลี่ยนเป็นลายล่อนคลื่น แต่ยังคงไว้ซึ่งการโพสท่าแบบเดิม มีเรือนผมมาบังหน้าอก แต่ยังคงโชว์สะดือ

 

         ปี ค.ศ. 1992 สตาร์บัคส์ได้เข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (Nasdaq National Market) โดยใช้ชื่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า SBUX และวางแผนขยายกิจการไปในต่างประเทศ (ค.ศ. 1996) จึงได้ปรับเปลี่ยนโลโก้อีกครั้งในปีนั้น เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เปิดรับวัฒนธรรมและลูกค้าจากนานาประเทศ ตัวอักษรยังคงเดิม เพียงแต่ขยายรูปนางเงือกไซเรนให้ใกล้เข้ามา เพื่อให้เห็นแต่ช่วงบนและปลายหาง ส่วนสะดือได้หายไปในปีนั้น กล่าวได้ว่าเป็นโลโก้ที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักสตาร์บัคส์เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ หลังจากสตาร์บัคส์เข้ามาทำตลาดจริงจังในไทยเมื่อปีพ.ศ.2543 และคุ้นเคยกับโลโก้นี้เรื่อยมาจนถึงวันนี้

 

         และแล้วสตาร์บัคส์ก็เปลี่ยนโลโก้อีกครั้งในปีนี้ ค.ศ. 2011 เนื่องจากเป็นอีกก้าวสำคัญของสตาร์บัคส์ในวาระการเฉลิมฉลองครบ 40 ปีของการดำเนินธุรกิจ ตราโลโก้ใหม่ของสตาร์บัคส์เป็นการนำเสนอธุรกิจในรูปแบบใหม่ สตาร์บัคส์จำหน่ายกาแฟที่มีคุณภาพพร้อมกับผลิตภัณฑ์อีกมากมายนอกเหนือจากกาแฟ โลโก้สตาร์บัคส์ล่าสุดได้ตัดคำว่า Starbucks และคำว่า Coffee ออกไปจนหมด เหลือเพียงรูปนางเงือกไซเรนสีขาวบนพื้นสีเขียว

 

         สตาร์บัคส์บอกว่า ตราสินค้าโฉมใหม่ยังคงสะท้อนถึงประวัติความเป็นมาและอนาคตที่สดใส ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่ที่กาแฟ ไม่ว่าจะที่ร้านกาแฟหรือในร้านขายของทั่วไปอีกต่อไป การเน้นที่นางเงือกไซเรนและลบวงกลมออก เพื่อให้ไม่จำกัดกรอบอยู่เพียงแต่กาแฟอย่างเดียว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ สตาร์บัคส์ยังคงเป็นธุรกิจที่เน้นด้านกาแฟเป็นหลักเช่นเดิม

 

         ปัจจุบัน ร้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ จำกัด ตั้งอยู่ที่เมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน เปิดร้านไปทั่วโลกมากกว่า 16,000 สาขา ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศอเมริกาเหนือ อังกฤษ ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และประเทศในเขตตะวันออกกลาง

 

         สตาร์บัคส์ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำทางด้านการดำเนินธุรกิจกาแฟ การคั่วกาแฟ และถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟของโลก ใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายหลักเป็นร้านที่ให้บริการขายกาแฟและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกาแฟภายใต้ชื่อ 'ร้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่' โดยยึดนโยบาย one cup at a time, one customer at a time ให้บริการแบบพิเศษเฉพาะบุคคลเพื่อมอบ ประสบการณ์สตาร์บัคส์ ในการทำกาแฟทุกแก้วให้แก่ลูกค้าทุกคน เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด

 

         ตัวอย่างการปรับโฉมตราสินค้าของสตาร์บัคส์ ไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอสิ่งที่เป็นตัวตนของสตาร์บัคส์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการแสดงออกว่าบริษัทให้ความสำคัญกับพันธมิตร ลูกค้าและชุมชน

 

         รวมทั้งทิศทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัทของตนเอง

 

ภาพ : พรรวี สุรมูล /  business2press.com

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

********************************************

 

 

 

 

 

 

        กฎหมายเกี่ยวกับความสามารถของผู้เยาว์

 

 

 

                                 

 

 

 

กฎหมาย แพ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคบความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนซึ่งเรียกว่า บุคคลตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ซึ่งกฎหมายแพ่งได้จำกัดความสามารถของผู้เยาว์ไว้หลายประการ นักเรียนเป็นผู้เยาว์ยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงควรจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับ ความสามารถของผู้เยาว์ไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตนเองที่จะได้ปฏิบัติตนได้ถูกต้องตามกฎหมาย

 

1. ระยะเวลาแห่งการเป็นผู้เยาว์และการสิ้นสุดการเป็นผู้เยาว์


ผู้เยาว์ คือ เด็กหรือบุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ บุคคลจะพ้นจากการเป็นผู้เยาว์ได้ 2 กรณี
1. เมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์
2. เมื่อ ทำการสมรส หากการสมรสนั้นได้ทำตามบทบัญญัติของกฎหมาย คือ กฎหมายกำหนดไว้ว่าการสมรสจะกระทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุครบสิบเจ็ดปีบ ริบูรณ์ และต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาทั้งสองฝ่าย

 

2. ความสามารถของผู้เยาว์


กฎหมายถือว่า บุคคลที่อยู่ในวัยผู้เยาว์ยังอ่อนทั้งในด้านสติปัญญา ร่างกาย ความคิดอ่าน ความรู้ ความชำนาญและไหวพริบ ยังเป็นผู้ไม่สมบูรณ์พอที่จะใช้สิทธิและปฏิบัติหน้าที่ได้โดยลำพัง ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้ไม่สุจริตถือโอกาสเอาเปรียบ โดยอาศัยความไม่ชำนาญและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้เยาว์ก่อความเสียหาให้แก่ ผู้เยาว์ ทางแก้ไขโดยกำหนดไม่ให้บุคคลอื่นมาเอาเปรียบผู้เยาว์กระทำได้ยาก กฎหมายจึงบัญญัติจำกัดความสามารถทางด้านผู้เยาว์ โดยถือเป็นหลักว่าผู้เยาว์จะใช้สิทธิทำกิจการใดๆที่จะก่อให้เกิดผลผูกพันทาง กฎหมายโดยลำพังไม่ได้ ต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมกระทำการแทน หรือต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน การทำกิจการนั้นๆ จึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมาย


ตัวอย่าง เด็กชายแดงไปขอยืมเงินจากนายดำ ซึ่งเป็นเพื่อนของบิดาเป็นจำนวนเงินห้าพันบาท นายดำให้เด็กชายแดงทำสัญญากู้เงินเป็นหนังสือไว้ ถือว่าสัญญากู้เงินนั้นเป็นโมฆียะตามกฎหมายเพราะเด็กชายแดงยังเป็นผู้เยาว์ ไม่สามารถทำสัญญาได้ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน


ที่ว่าสัญญากู้เงินเป็นโมฆียะ หมายความว่าสัญญากู้เงินนั้นมีผลสมบูรณ์อยู่จนกว่าจะมีการบอกล้างโดยผู้มี อำนาจ เมื่อบอกล้างแล้วสัญญากู้เงินนั้นเป็นโมฆียะมาแต่เริ่มแรก


ถ้าหากกฎหมายไม่จำกัดความสามารถของผู้เยาว์ ในกรณีตัวอย่างนี้ถ้าเด็กชายแดงมีสิทธิที่จะทำสัญญากู้ยืมเงินได้ ก็อาจจะเสียเปรียบนายดำได้ ถ้านายดำเป็นคนมีนิสัยคดโกงชอบเอาเปรียบผู้อื่นอาจจะหลอกให้เด็กชายแดงลงลาย มือชื่อในสัญญา แล้วไปเติมข้อความภายหลัง เพราะเขาอาจมีวิธีการที่ทำให้เด็กชายแดงมีความไว้ว่างใจในตัวของนายดำ หรืออาจจะคิดดอกเบี้ยเงินกู้มากกว่ากฎหมายกำหนด ทั้งนี้เนื่องจากเด็กชายแดงเป็นผู้เยาว์ ความคิดอ่าน ความรู้ หรือไหวพริบยังไม่สมบูรณ์พอที่จะทำสัญญาหรือกิจการใดตามลำพัง ถ้าเด็กชายแดงมีความประสงค์จะทำสัญญากู้ยืมเงินจริงๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม


ผู้แทนโดยชอบธรรม หมายถึง บุคคลซึ่งตามกฎหมายมีสิทธิที่จะทำการแทนผู้เยาว์ หรือหมายถึงบุคคลซึ่งต้องให้ความอนุญาต หรือความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในอันที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง


ผู้แทนโดยชอบธรรมนี้ เป็นผู้ที่กฎหมายมอบสิทธิและหน้าที่ให้เป็นผู้คุ้มครองแก้ไขและช่วยเหลือการ หย่อนความสามารถของผู้เยาว์ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับตัวผู้เยาว์และในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ เยาว์

 

ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์

ได้แก่

1. ผู้ใช้อำนาจปกครอง หมายถึงบิดามารดา
2. ผู้ปกครอง หมายถึงบุคคลอื่นนอกจากบิดาหรือมารดา ซึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นเพื่อปกครองผู้เยาว์ ผู้ปกครองเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้ในปกครอง

 

3 . นิติกรรมที่ผู้เยาว์สามารถกระทำได้ด้วยตนเอง


ผู้เยาว์สามารถกระทำการใดๆ ได้ดังต่อไปนี้


1. หาก เป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง ได้แก่ กิจการอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียวไม่มีทางเสีย เช่น ผู้เยาว์รับทรัพย์สินที่บุคคลอื่นให้โดยเสน่หา โดยไม่มีข้อผูกมัดหรือเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น


ตัวอย่าง นายขุนทองเป็นผู้ที่มีฐานะดีมาก บ้านอยู่ใกล้กับบ้านของเด็กชายนกแก้ว เมื่อเด็กชายนกแก้วมีเวลาว่างก็จะไปช่วยนายขุนทองรดน้ำต้นไม้และช่วยทำงาน อื่น นายขุนทองรักใคร่เอ็นดูเด็กชายนกแก้วมาก วันหนึ่งนายขุนทองได้มอบเงินให้เด็กชายนกแก้วเป็นจำนวนเงินสองหมื่นบาท


กรณีนี้ถือว่าการนี้เป็นประโยชน์ต่อเด็กชายนกแก้วไม่มีทางเสีย เด็กชายนกแก้วซึ่งเป็นผู้เยาว์สามารถรับเงินจำนวนดังกล่าวได้ และมีผลสมบรูณ์ตามกฎหมาย


2 . กิจการที่จะต้องทำเองเฉพาะตัว เช่น การรับเด็กเป็นบุตร หรือเข้าสู่พิธีสมรส


ตัวอย่าง นายจำปา อายุ 18 ปี มีอาชีพรับจ้าง จัดว่าเป็นผู้เยาว์ นายจำปาลักลอบ ได้เสียกับนางสาวจำปีจนมีบุตรด้วยกันคนหนึ่งคือเด็กชายจำปูน ต่อมาจำปีได้ไปสมรสกับชายอื่น จำปาจึงนำเด็กชายจำปูนมาเลี้ยงและรับเป็นบุตร กรณีนี้จำปาผู้เยาว์สามารถกระทำได้ เพราะเป็นกิจการที่ต้องทำเองเฉพาะตัว ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม

 

3 . กิจการที่เป็นการสมควรแห่งฐานานุรูป และเป็นการจำเป็นเพื่อการเลี้ยงชีพตามสมควร เช่น การซื้อของกินเล็กๆ น้อยๆ เป็นต้น
 

4. ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่ออายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

 

 

 ความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี 


           ฝ่ายชายมีภรรยาและลูกอยู่แล้ว แล้วอยู่มาวันหนึ่งได้ไปยุ่งกับเด็กอายุ17 ย่าง 18 ปี  ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีภรรยาอยู่แล้ว  แต่เขาก็ยินยอม และยอมมานอนบ้านผู้ชาย และก็เลิกคบกันไป พอเวลาผ่านไปได้ 5 เดือนฝ่ายหญิงกลับมาบอกว่า ท้องกับฝ่ายชาย ซึ่งตั้งครรค์ได้ 7 เดือน แล้วจะเรียกค่าเสียหาย และตั้งข้อหาคือพรากผู้เยาว์ เขาเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน150,000 บาท แต่ฝ่ายชายไม่มีเงิน ถ้าติดคุกต้องติดคุกกี่ปี ปรับเท่าไร ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเต็มใจให้กันทั้งคู่  แล้วยังงี้ต้องทำยังไงเพราะฝ่ายชายมีครอบครัวอยู่แล้วค่ะ


คำแนะนำสำนักงานทนายความ ทนายคลายทุกข์


           ความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ.มาตรา 319 โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยนั้น ต้องระวางโทษจำคุกอย่างต่ำ 2 ปี และปรับอย่างต่ำ 4,000 บาท ดังนั้น เพื่อเป็นการรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด ฝ่ายชายควรชดใช้ค่าเสียหายแก่ฝ่ายหญิงเพื่อให้เข้าเป็นเหตุบรรเทาโทษตามกฎหมาย

 

 

***************************************

 

 

 

 

 

              กลศึก เร่งไฟโหมไหม้ฟืน

 

 

มองตามเกม พท.ได้ เข้าสู่โหมดตลุมบอน แล้ว

หลังจากเฝ้ามอง กองฟืนผุๆ แถมยังเปียกแฉะ บางดุ้นเป็นเมือกๆ เป็น กองขยะสุมประเทศอยู่ไม่รู้แล้วรู้รอด

70ปีผ่านมา กองฟืนโสโครกกองนี้ สุมสูงกว่า ภูเขา...........

 

ถ้า อุรุพงษ์ คือ กองไฟ

เหล่าสารพันท่อน้ำเลี้ยงและกองเชียร์ทั้งแอบจิตและเปิดเผย รวมทั้งมือที่มองไม่ถนัด พวกนี้คือ กองฟืนผุๆ เปียกๆ

กองไฟผลาญประเทศ คุกรุ่นมานานเนิ่น น่าเบื่อหน่าย เพราะ มีเศษฟืนทั้งหลาย ที่ยัง รอเป็นเชื้อไฟไม่รู้เลิกรา

อาจเป็น เพราะ ตัดไม่ขาด หรือ คิดไม่ตก จนไม่อาจผละออกห่างจากกองไฟ

 

ร่างพรบ.นิรโทษ คือ กลศึก เร่งไฟไหม้โหมกองฟืน

เร่งปฏิกริยา กองไฟให้ผลาญเผาเร็วขึ้น เปิดหน้ากากออกมาเป็นแผง

ท่อน้ำเลี้้ยง เสี่ยๆ เจ้าสัว จะได้ตัดสินใจ ควักไม๊ควัก เปิดกระเป๋าให้สังคมได้รู้แล้วรู้แรดไป

ตาสีตาสาอย่างเราๆท้านๆ ใจเย็นๆ ครับ ดูไฟไหม้ฟืนกันไป รอเต้นรอบกองไฟ ฉลองวันตาสว่างเเห่งชาติ ดีกว่า............

 

 

 

                 

 

 

 

 

**************************************************

 

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า "สตาร์บัคส์" กาแฟแบรนด์ดังของสหรัฐ ได้ปรับราคาเพิ่มต่อผู้บริโภคชาวจีน สูงกว่าราคากาแฟยี่ห้ออื่นๆ และทำให้บริษัทมีกำไรอย่างมาก หลังจากชาวจีนหันมานิยมกาแฟของสตาร์บัคส์อย่างสูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

รายงานระบุว่า สตาร์บัคส์กำลังถูกโจมตีอย่างหนักจากสื่อมวลชนจีนจากกรณีปรับราคากาแฟ โดยราคาของกาแฟประเภทลาเต้ขนาดกลาง ได้เพิ่มขึ้นเป็น 27 หยวน (ราว132.9 บาท) หรือสูงกว่าราคาขายในรัฐชิคาโกของสหรัฐถึงสามเท่า โดย "CCTV" รายงานโจมตีว่า สตาร์บัคส์กำลังมีความสุขกับการได้ขึ้นราคาในจีน ส่วนใหญ่เพราะพวกเขาไม่แคร์ผู้บริโภค เพราะถือว่าตัวเองเป็นที่ชื่นชอบนิยมของชาวจีน และถือว่าตัวเองเป็นแบรนด์ตะวันตก และว่า บริษัทมีกำไรจากสัดส่วนตลาดทั่วโลก 32 เปอร์เซ็นต์ในจีนและเอเชีย ในช่วงไตรมาสที่สอง สูงกว่าอเมริกา ซึ่งอยู่ที่ระดับ 21 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรในสัดส่วนตลาด 2 เปอร์เซ็นต์ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 

 

ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ว่าผู้บริโภคจีนกำลังวิตกเรื่องราคากาแฟสตาร์บัคส์เพิ่มขึ้น แต่ความต้องการบริโภคกาแฟแบรนด์นี้จะไม่ลดลง เพราะชาวจีนคิดว่าการดื่มกาแฟแบรนด์นี้ทำให้พวกเขาดูดีมีรสนิยมสูง และพร้อมจ่ายเพื่อแลกกับการซื้อประสบการณ์หรูๆ และว่า สตาร์บัคส์ได้วางยุทธศาสตร์ที่จะให้จีนจะกลายเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของสตาร์บัคส์รองจากสหรัฐ ในปี 2014 จากปัจจัยค่าแรงภายในประเทศ ปัจจัยสินค้าบริโภค และอื่นๆ

 

อย่างไรก็ตาม ทางด้านสตาร์บัคส์ได้ออกแถลงปกป้องกรณีการปรับราคาในจีนว่า ตลาดของสตาร์บัคส์แต่ละตลาดมีความเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน และราคาก็แตกต่างกัน ดังนั้น จึงไม่ถูกต้องที่จะมาตัดสินสตาร์บัคส์โดยเอาราคากาแฟของตลาดเพียงตลาดเดียวมาเป็นเกณฑ์วัดกับตลาดอื่นๆ

 

 

 

 

guest

Post : 2013-10-19 19:24:07.0     Forum: ข้อคิด-คำคม  >  ไหนคุณว่าจะมา

 

           

 

                                        ไหนคุณว่าจะมา..

 

 

 

 

                                

 

 

 

 

 

....ห้วงเวลา ผ่านคล้อย ลอยล่วงลับ

 

ล่องไปกับ สายธารา ฟ้าสลัว

 

ไม่เคยหยุด ไหลนิ่ง ทิ้งให้กลัว

 

ระริกรัว ใจที่บาง ทางมืนมน

 

 

 

 

....ฉันจะอยู่ คอยตรงนี้ ที่เธอพร่ำ

 

ระทมร่ำ ช้ำเเค่ไหน ใจไม่สน

 

อยากให้รู้ ว่ายังมี ตรงนี้คน

 

หญิงหนึ่งทน ใจเเหลกยับ กับสัญญา........

 

 

 

 

 

********************

 

                                   

 

 

                  ฉันหายเเล้ว..

 

 

 

                                  

 

 

 

 

 

....ซัดเข้ามา โถมใส่ ยังไหวอยู่

 

ยังพร้อมสู้ ไม่หลบลี้ หนีไปไหน

 

เด่นสง่า ประจัญหน้า ไม่ว่าใคร

 

หนักเเค่ไหน เรื่องจะถอย คอยเลยคุณ

 

 

 

....ใจดวงนี้ ยังคงเเกร่ง เเรงไม่ตก

 

สะท้านทก มืดสลัว จนหัวหมุน

 

สะบัดหน้า คว้าใจเเตก เเหลกเป็นจุล

 

ปัดเปื้อนฝุ่น หัวใจนี้ ดีเหมือนเดิม........

 

 

 

************************

 

 

 

 

 

                     เจ็บเเต่จบ

 

 

 

                                        

 

 

 

 

 

....ปิดฉากลง ตรงนี้ ดีที่สุด

 

ยื้อเเรงยุด ฉุดไม่ไหว ใจที่เสีย

 

ทุ่มเทไป ให้ทุกอย่าง สร้างทางเคลียร์

 

กายอ่อนเพลีย ไม่เท่าไร เเม้นใจยัง

 

 

 

....ฝันจะมี รังรักน้อย คอยพิงพัก

 

เฝ้าฟูมฟัก พ่อเเม่ลูก ผูกความหวัง

 

ละเอียดเเล้ว เเก้วร้าว ร่วงกราวพัง

 

เหลือเพียงยัง ซากหนึ่งชาย ตายทั้งเป็น......

 

 

 

 

 

***********************

 

 

 

 

 

 

                        เดี๋ยวเหอะ...

 

 

 

                                            

 

 

 

 

 

....มองอะไร? กันพี่ มีไรเหรอ?

 

เดี๋ยวได้เจอ งานเข้า เบ้าตาหงาย

 

รมย์บ่จอย ขอร้องน่า อย่าวุ่นวาย

 

ตบด้วยซ้าย อัลปาคัต ซัดกระเด็น

 

 

 

....เล่นอะไร ให้รู้บ้าง โฉ่งฉ่างเเท้

 

รำคาญเเย่ เเหย่ไปทั่ว มั่วเห็นๆ

 

ไปเลยไป อย่ามา ปั้นหน้าเป็น

 

ทำทะเล้น กัดหน้าเเตก เเหกยับเยิน!!...

 

 

 

************************************

 

 

 

 

                   

 

 

 

 

 

 

 

                 เดี๋ยวเราไปเล่นกัน...

 

 

 

 

                                

 

 

 

 

 

....เดี๋ยวก็หาย ลูกจ๋า ไม่ช้านี้

 

ก็คงมี ความหวัง พลังใส

 

เพียงให้หนู ยืนหยัด ซัดด้วยใจ

 

อย่ายอมให้ ความอ่อนเเอ รังเเกเรา

 

 

 

.....เหอะต้องได้ วิ่งเล่นต่อ พ่อรับปาก

 

คงไม่ยาก พ่อจะพา หาเพื่อนเขา

 

เจ็บคราวนี้ เดี๋ยวก็หาย คลายบางเบา

 

ขอเพียงเจ้า อย่ายอมเเพ้ เเม้ทรมาน....

 

 

 

 

**********************************

guest

Post : 2013-10-15 18:56:15.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เดี๋ยวเราไปเล่นกัน

 

           

 

                           เดี๋ยวเราไปเล่นกัน...

 

 

 

                                

 

 

 

 

....เดี๋ยวก็หาย ลูกจ๋า ไม่ช้านี้

 

ก็คงมี ความหวัง พลังใส

 

เพียงให้หนู ยืนหยัด ซัดด้วยใจ

 

อย่ายอมให้ ความอ่อนเเอ รังเเกเรา

 

 

 

.....เหอะต้องได้ วิ่งเล่นต่อ พ่อรับปาก

 

คงไม่ยาก พ่อจะพา หาเพื่อนเขา

 

เจ็บคราวนี้ เดี๋ยวก็หาย คลายบางเบา

 

ขอเพียงเจ้า อย่ายอมเเพ้ เเม้ทรมาน....

 

 

 

**********************************

 

 

จีนฉุนจัดเรียกทูตญี่ปุ่นพบ หลัง ส.ส.แดนปลาดิบยกโขยง

 

เยือนศาลเจ้าสงคราม

 

 

 

เอเจนซี - รัฐมนตรีรายหนึ่งของญี่ปุ่น พร้อมด้วยเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกกว่า 100 คน เดินทางไปสักการะศาลวีรชนสงครามในกรุงโตเกียวเมื่อวันศุกร์ (18) ความเคลื่อนไหวที่จุดชนวนความโกรธกริ้วจากจีน ที่กล่าวหาญี่ปุ่นว่ากำลังกัดเซาะความสัมพันธ์ และกำลังพยายามล้มล้างคำสั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       จีน ได้ดำเนินการเรียกตัวเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงโตเกียว เข้าพบเพื่อแสดงความโกรธเกรี้ยวในทันที ขณะที่ทางเกาหลีใต้เองก็ออกมาประณามการกระทำของสมาชิสภาผู้แทนราษฎรของญี่ปุ่นเช่นกัน
       
       การเดินทางเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ ในวาระเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง มีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น ประกอบพิธีกรรมแสดงความเคารพต่อศาลเจ้าแห่งนี้เป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่กลับสู่อำนาจ แม้เขาไม่ได้ไปสักการะด้วยตนเองก็ตาม

 

 

 

  รัฐมนตรีรายหนึ่งของญี่ปุ่นพร้อมด้วยเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกกว่า 100 คน เดินทางไปสักการะศาลวีรชนสงครามในกรุงโตเกียวเมื่อวันศุกร์(18)

 

 

นายอาเบะ พยายามกันตนเองให้ห่างจากศาลซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโตเกียวแห่งนี้ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสักการะดวงวิญญาณชาวญี่ปุ่น 2.5 ล้านคนที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในนั้นรวมถึงอดีตผู้นำ 14 คน ซึ่งถูกฝ่ายสัมพันธมิตรตราหน้าเป็น “อาชญากรสงคราม” เพื่อหลีกเลี่ยงซ้ำเติมความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วกับจีน และเกาหลีใต้ สองชาติที่เป็นเหยื่อลัทธิทหารของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       “ศาลเจ้ายาสุกุนิ คือสัญลักษณ์และเครื่องมือทางจิตวิญญาณของลัทธิทหารญี่ปุ่น” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงต่อผู้สื่อข่าวในปักกิ่ง “มันอุทิศแด่เหล่าอาชญากรที่กระทำการอย่างเลวร้ายต่อประชาชนชาวเอเชียผู้เป็นเหยื่อ ในนั้นรวมไปถึง คนจีน นี่คือประเด็นเนื้อหาหลักในความสัมพันธ์ระหว่างจีน และญี่ปุ่น”
       
       โฆษกหญิงตำหนิต่อว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้คืออีกหนึ่งความพยายามในการล้างบาปประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น และท้าทายผลลัพธ์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับคำสั่งหลังสงครามโลกของนานาชาติ
       
       นายโยชิตากะ ชินโดะ รัฐมนตรีกิจการต่างประเทศเป็นบุคคลระดับอาวุโสสูงสุดที่เป็นหนึ่งในคณะส.ส.160 คน ซึ่งเดินทางเยือนศาลเจ้าในวันศุกร์ (18) ในวาระเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง ที่จะมีไปจนถึงวันอาทิตย์ (20) “ผมเยือนศาลเจ้าในนามส่วนตัว เพราะคุณปู่ของผมก็ได้รับเกียรติอยู่ในนั้น ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นประเด็นทางการทูตได้”
 

 

 

 

                        ศาลเจ้ายะซุกุนิ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 
 
 
 
 
 
 
 
ศาลเจ้ายะซุกุนิในปัจจุบัน
ในยุคแรกหรือโตเกียวโชกนชะ

 

 

ศาลเจ้ายะซุกุนิ (ญี่ปุ่น: 靖国神社, 靖國神社 Yasukuni JinJa ?) ตั้งอยู่ที่ เขตชิโยะดะ กรุงโตเกียว สร้างขึ้นครั้งแรกในยุคเมจิ ปี พ.ศ. 2412 ตามความเชื่อของลัทธิชินโต มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นที่ระลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สงครามกลางเมือง (สงครามโบะชิง) ระหว่างกองกำลังผู้สนับสนุนรัฐบาลโชกุนโทะกุกะวะ กับกองกำลังจักรพรรดินิยมของญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังถูกใช้เป็นที่สถิตของเหล่าดวงวิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่สละชีพในสงคราม

 

ประวัติ

ในยุคเมจิ เกิดสงครามกลางเมืองภายในประเทศญี่ปุ่น เรียกว่าสงครามโบะชิง ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาลโชกุนโทะกุกะวะและฝ่ายของผู้จงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ สุดท้ายฝ่ายองค์จักรพรรดิเป็นผู้ชนะ สิ้นสุดยุคของโชกุนโทะกุกะวะที่ปกครองญี่ปุ่นยาวนานกว่า 260 ปี มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก องค์จักรพรรดิเมจิมีรับสั่งให้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สงครามโบะชิง และพระราชทานชื่อว่า โตเกียวโชกนชะ (ญี่ปุ่น: 東京招魂社 Tōkyō Shōkonsha ?) ต่อมา จักรพรรดิเมจิ ได้ทรงเปลี่ยนชื่อเป็นยะซุกุนิจินจะในปี พ.ศ. 2422 ซึ่งหมายถึง ประเทศที่สงบสุข

ตัวศาลในปัจจุบันสร้างขึ้นด้วยโครงสร้างเหล็กน้ำหนักรวมกว่า 100 ตัน หรือประมาณ 100,000 กิโลกรัม นับเป็นศาลเจ้าตามลัทธิชินโตที่ใหญ่ที่สุดของกรุงโตเกียว

ความเชื่อ

ศาลเจ้ายะซุกุนิ นับเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อตามลัทธิชินโต ซึ่งเป็นเสมือนศาสนาพื้นเมืองของญี่ปุ่น มีอิทธิพลต่อแนวความคิดทางการเมืองและทางทหารของญี่ปุ่นเป็นอย่างสูง ในคัมภีร์ชินโตระบุว่าหมู่เกาะญี่ปุ่นได้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า พระจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่นสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ และชาวญี่ปุ่นก็ล้วนได้รับการคัดเลือกจากเทพเจ้า ประเทศญี่ปุ่นจึงเป็นเสมือนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า

 

ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้พัฒนาประเทศให้เจริญเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้มีการแบ่งลัทธิชินโตออกเป็น 2 ส่วน คือ

 

  1. ชินโตแห่งรัฐ (State Shinto) ซึ่งเป็นพิธีการแสดงถึงความรักชาติ ชาวญี่ปุ่นทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ต้องเข้าร่วมชินโตแห่งรัฐด้วย ศาลเจ้ายะซุกุนิ ได้ถูกจัดให้อยู่ในชินโตแห่งรัฐ
  2. ชินโตแห่งนิกาย (Sectarian Shinto) ซึ่งถือเป็นศาสนาหนึ่งที่มีการบูชาเทพเจ้าประจำธรรมชาติ

 

ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นได้ชัยชนะทางการทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีการเผยแพร่ลัทธิความรักชาติครั้งใหญ่ และขยายแนวความคิดไปสู่การครอบครองโลก มีการนำเอาความเชื่อในชินโตแห่งรัฐมาเป็นอุดมการณ์สร้างลัทธิทางการทหารขึ้นในประเทศ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า พระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นจะได้ทรงปกครองโลกทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร การครอบครองโลกนี้จะกระทำด้วยสันติวิธี แต่ถ้าวิธีดังกล่าวไร้ผล ก็มีเหตุผลทีเดียวที่จะกระทำด้วยการใช้กำลังอาวุธ[

 

ญี่ปุ่นแผ่ขยายอำนาจทางการทหารในประเทศแถบเอเชียกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในที่สุดญี่ปุ่นประสบกับความพ่ายแพ้สงครามในปี พ.ศ. 2488 ความเชื่อตามลัทธิชินโตถูกล้มล้างอย่างสิ้นเชิงโดยฝ่ายสัมพันธมิตร องค์จักรพรรดิโชวะแห่งญี่ปุ่นมีรับสั่งว่า สายใยแห่งความผูกพันระหว่างเรากับประชาชนของเรา มิอาจจะขึ้นอยู่กับเพียงตำนานและเทพนิยายเท่านั้น จะต้องไม่มีการกล่าวอ้างต่อไปอีกถึงแนวความเชื่อผิดๆ ที่ว่า พระจักรพรรดิคือเทพเจ้า และชนชาติญี่ปุ่นสูงส่งกว่าชนชาติอื่นและถูกกำหนดมาให้ปกครองโลก พระจักรพรรดิมิใช่เทพเจ้า

 

เมื่อสหรัฐอเมริกา เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการภายในของประเทศญี่ปุ่น ได้กำหนดให้ทางการญี่ปุ่นเลือกว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นของรัฐหรือจะให้เป็นอิสระจากรัฐ ซึ่งญี่ปุ่นเลือกที่จะให้เป็นอิสระจากรัฐบาล หลังจากนั้นศาลเจ้ายะซุกุนิถูกใช้เพื่อเป็นที่สถิตให้แก่เหล่าดวงวิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 กว่า 2,466,000 คนด้วย ภายในศาลมีป้ายชื่อทหารที่เสียชีวิตระหว่างสงคราม บางคนมีชื่อเป็นอาชญากรสงครามรวมอยู่ด้วยกว่า 12 คน รวมทั้งนายฮิเดะกิ โทโจ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บัญชาการให้กองทัพญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ของสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการอัญเชิญดวงวิญญาณให้มาที่สถิตอยู่ในศาลเจ้าแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

 

ในเวลากว่า 100 ปี ตั้งแต่ยุคเมจิ ยุคไทโช ยุคโชวะ องค์จักรพรรดิญี่ปุ่นเสด็จเยือนศาลเจ้ายะซุกุนิ รวมทั้งสิ้น 77 ครั้ง ไม่รวมการเสด็จเยือนขององค์จักรพรรดินี มกุฎราชกุมาร ตลอดจนพระบรมวงศ์ ต่างก็เสด็จเยือนศาลเจ้าแห่งนี้เช่นกัน นอกจากนี้เหล่าญาตของทหารที่เสียชีวิตในสงครามต่างก็มาเยือนศาลเจ้าแห่งนี้เป็นประจำ ซึ่งแต่ละปีจะมีการจัดสักการะปีละ 2 ครั้ง คือช่วงวันที่ 21 - 23 เมษายน และ 17 - 20 ตุลาคม ของทุกปี

 

ความขัดแย้ง

ศาลเจ้ายะซุกุนิเป็นสัญลักษณ์แห่งความโหดร้ายของสงครามในสายตาของชาวเอเชียอย่างจีนและเกาหลีใต้ เป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศมาโดยตลอด และตกเป็นข่าวดังภายหลังจากจุนอิชิโร โคะอิซุมิ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น เดินทางไปสักการะศาลเจ้าซึ่งถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในรอบหลายปีของญี่ปุ่นที่เดินทางไปสักการะ แม้การกระทำดังกล่าวสร้างความไม่พอใจแก่ประเทศจีนและเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก แต่จุนอิชิโระก็ยังคงปฏิบัติเช่นเดิมตลอดวาระของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกว่า 6 ปี มีเพียงปีเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ไปเนื่องจากการประชุมเอเชีย-แอฟริกา

 

 

นานกิง ประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายที่สุดของมนุษยชาติ


 

 

นานกิง ประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายที่สุดของมนุษยชาติ

 

 

      

 

 

 

เมื่อเอ่ยชื่อ เมือง นานกิง หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยและยังไม่รู้จัก เมืองนี้ เช่นเดียวกับ

 

ตัวผมเอง แต่เมื่อผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ เรื่อง ผู้หญิง เหยื่อในสงคราม จึงทำให้รับรู้ และ

 

รับทราบ ถึง เมืองนานกิง ได้เป็นอย่างดี ถึงจะไม่ลึกซึ้ง แต่ก็พอจะเข้าใจได้

 

 

 

 

 

 

 

 

                ย้อนหลังไปเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้น ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ญี่ปุ่น ชาติที่

 

ต้องการสร้างจักรวรรดิญี่ปุ่น (Empire of the Sun) ขึ้นโดยการรวบรวมชาติที่อยู่ใกล้เคียงตนให้ได้เสียก่อน เคราะห์ร้ายจึงตกกับ จีน แผ่นดินใหญ่ กับ เกาหลี

 

 

 

 

 

 

                ช่วงนั้นเป็นเวลาที่จีน แตกฝ่ายเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายโลกเสรี กับ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ จึงทำให้ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่ามาก หากเทียบกับจีน สามารถเข้าตีและทำการยึดจีนได้ไม่ยากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะจีนต้องรับศึก 2 ด้าน คือ ต้องแย่งชิงอำนาจกันเอง แล้ว ยังต้องมารบกับญี่ปุ่นอีก (เหมือนบางประเทศที่กำลังจะเป็นแบบนี้)

 

 

 

 

 

 

                หลังจากญี่ปุ่นสามารถยึดจีนได้บางส่วน ก็พยายามจะรุกคืบไปยังเมืองต่าง ๆ ในจีน

 

เพื่อการยึดให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และ เมือง นานกิง ก็เป็นเป้าหมายของกองกำลังแดน

 

อาทิตย์อุทัย เหล่าทหารญี่ปุ่นใช้เวลาไม่นานนัก ก็สามารถบุกยึดเมืองนานกิง ได้เป็นผลสำเร็จ

 

 

 

 

        

 

 

 

 

         

 

 

 

 

 

 

 

 ********************************************

 

 

 

 

ธิดาลั่นเสื้อแดงไม่ยอมแน่ หากอภิสิทธิ์-สุเทพได้รับประโยชน์จากกม.นิรโทษฯพร้อมถามมาร์คไม่ค้านในชั้นกมธ.ได้รับประโยชน์หรือ?

 
 

 
          ธิดา ลั่น เสื้อแดงไม่ยอมแน่ หากอภิสิทธิ์-สุเทพ ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พร้อมถาม อภิสิทธิ์ ไม่ค้านในชั้น กมธ. อย่างที่ควรจะเป็น ได้รับประโยชน์จริงหรือไม่
 
          วันนี้ (19 ตุลาคม 2556) นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีมติปรับแก้เนื้อหาว่า ทาง นปช. ยืนยันตามเดิมว่าต้องการใช้ร่างของนายวรชัย เหมะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับแก้ก็ต้องขอดูรายละเอียดก่อนว่า ใครได้รับประโยชน์จากการปรับแก้ครั้งนี้ ซึ่งถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับประโยชน์จากการปรับแก้ครั้งนี้ คนเสื้อแดงไม่เห็นด้วยแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขณะที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่ได้รับประโยชน์ คาดว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ยอม

 
          นางธิดา กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและ นปช. ไม่ได้มีความเป็นเอกภาพกันทุกเรื่อง เห็นได้จากก่อนหน้านี้ นปช. เคยเสนอ พ.ร.ก.นิรโทษกรรม แต่ทางพรรคเพื่อไทยอยากให้ออกเป็น พ.ร.บ. มากกว่า ด้วยเหตุนี้ คาดว่าทาง นปช. จะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันสำหรับการดูปฏิกิริยาจากสังคม ก่อนที่จะแถลงท่าทีที่ชัดเจนอีกครั้งสำหรับเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี มีความน่าสงสัยตรงที่ นายอภิสิทธิ์ และนายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส. ไม่คัดค้านในชั้นกรรมาธิการฯ อย่างที่ควรจะเป็น กลับไปเน้นที่ประเด็นการคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่า นั่นหมายความว่าอาจจะได้รับประโยชน์ด้วยใช่หรือไม่

 

 

 

เสื้อแดง ส่วนใหญ่ อยากเห็น ความยุติธรรม บังเกิด ขึ้น ไม่ว่ารื่อง นายกทักษิณ นายกมาร์ค แกนนำ และ บรรดา กองเชียร์
     อยากให้ทำให้กระจ่าง ถ้าไม่ทำ จะจบแบบ ล้มกระดาน มันจะคาใจ ไปทั้งชีวิต จะเกิด วิกฤติ ศรัทธา หมดความ ภาคภูมิใจ
     ถ้าทำแบบ สุกเอาเผากิน เชื่อ ว่า หายไปเยอะ เพราะผิดหวัง เรื่อง ความยุติธรรม นี้ละครับ
  และอยากจะเพิ่มว่า
              ไม่หายเปล่า คนเหล่านี้ อาจเป็นหอก ข้างแคร่ และไม่เชื่อมั่น ในความเป็นเนื้อเดียวแต่เก่าก่อน เมื่อมิตร มา ชิงดัดหลัง
    เหมือน ไม่ใยดี ความคิด ความรู้สึก เยี่ยงนี้ มิตร ก้อาจเป็น ศรัตรู หรือ เลิกคบ
               และเชื่อ ว่าผิดหวัง ครังนี้ รุนแรง มากครับ

 

 

 

 

********************************************

 

  

 

 

                 

                      วันออกพรรษา

 

 

 

 

 วันออกพรรษา  

วันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11



วันออกพรรษา
วันออกพรรษา

 

 

 

 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก dhammajak.net

          วันออกพรรษา เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางพุทธศาสนา และเพื่อให้ทุก ๆ คนได้รู้ถึงประวัติความเป็น และความสำคัญของ วันออกพรรษา ตลอดกิจกรรมวันออกพรรษาที่นิยมทำกัน ในวันนี้ กระปุกดอทคอม จึงได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ของ วันออกพรรษา มาฝากเพื่อน ๆ ค่ะ

ประวัติวันออกพรรษา

          โดยเมื่อเทศกาลเข้าพรรษาได้ผ่านพ้นไปถึง 3 เดือน ก็จะเป็นช่วงเวลาของ "วันออกพรรษา" ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดระยะการจำพรรษา หรือออกจากการอยู่ประจำที่วัดในช่วงฤดูฝนตลอด 3 เดือนของพระภิกษุสงฆ์ โดย วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า "วันมหาปวารนา" คำว่า "ปวารนา" นั้นแปลว่า อนุญาตหรือยอมให้ โดยในปีนี้ วันออกพรรษา ตรงกับวันที่ 19 ตุลาคม 2556

          ทั้งนี้ วันออกพรรษา พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ที่เรียกว่า มหาปวารณา ใน วันออกพรรษา ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ เนื่องจากในระหว่างที่เข้าพรรษาอยู่ด้วยกัน พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข และการให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนก็จะทำให้รู้ข้อบกพร่องของตน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันได้ด้วย พระผู้ใหญ่ก็กล่าวตักเตือนพระผู้น้อยได้ และพระผู้มีอาวุโสน้อยก็สามารถชี้แนะถึงข้อไม่ดีของพระผู้ใหญ่ได้เช่นกัน แม้พระผู้ใหญ่จะมีอาวุโสมากกว่า แต่ท่านก็มิได้สำคัญตนผิดคิดว่าท่านทำอะไรแล้วถูกไปหมดทุกอย่าง เพื่อเป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นวิธีการคอยสังวร คือ ตามระวัง ไม่ประมาท ไม่ยอมให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นได้ เหมือนล้อมรั้วไว้ก่อนที่วัวจะหาย ไม่ว่าจะอยู่ในเทศกาลเข้าพรรษาหรืออกพรรษา พระท่านจะประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ตามระบอบของพระธรรมวินัยอยู่ตลอดเวลา

          สำหรับ คำกล่าว ปวารณา มีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีเป็นดังนี้ "สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ" มีความหมายว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้ว จักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี

          เมื่อทำพิธี วันออกพรรษา แล้ว พระภิกษุสงฆ์สามารถจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ หรือค้างคืนที่อื่นได้โดยไม่ผิดพระพุทธบัญญัติ และยังได้รับอานิสงค์ก็คือ  


           ไปไหนไม่ต้องบอกลา

           ไม่ต้องถือผ้าไตรครบชุด

           มีสิทธิ์รับลาภที่เกิดขึ้นได้

           มีโอกาสได้อนุโมทนากฐิน ที่จะสามารถขยายเวลาของอานิสงค์ออกไปอีก 4 เดือน

 

 ประเพณีเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา

           ประเพณีเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา ที่นิยมปฏิบัติอยู่ 2 อย่าง คือ

 


1. ประเพณีตักบาตรเทโว หลัง วันออกพรรษา 

 


          หลังวันออกพรรษา 1 วัน คือ แรม 1 ค่ำ เดือน 11 จะมีการ "ตักบาตรเทโว" หรือชื่อเต็มตามคำพระว่า "เทโวโรหนะ" แปลว่า การหยั่งลงจากเทวโลก โดยสามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ตักบาตรดาวดึงส์" โดยอาหารที่นิยมนำไปใส่บาตรคือ ข้าวต้มมัด และ ข้าวต้มลูกโยน


ความเป็นมาของประเพณีตักบาตรเทโว มีดังนี้


          สมัยพุทธกาล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม และเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาโดยจำพรรษาอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเวลา 1 พรรษา และเมื่อออกพรรษาแล้วพระองค์ได้เสด็จกลับยังโลกมนุษย์ ณ เมืองสังกัสสคร การที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกตามศัพท์ภาษาบาลีว่า "เทโวโรหณะ" ในครั้งนั้นบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธาเลื่อมใส เมื่อทราบข่าวต่างพร้อมใจกันไปรอตักบาตรเพื่อรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่น จนถือเป็นประเพณีตักบาตรเทโวปฏิบัติสืบทอดกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้


          โดยพิธีตักบาตรเทโวโรหณะในปัจจุบันนั้นจะเริ่มตั้งแต่ตอนรุ่งอรุณ หลัง วันออกพรรษา พระภิกษุสามเณรลงทำวัตรในพระอุโบสถ พอพระอาทิตย์ขึ้นก็สมมติว่า พระลงมาจากบันไดสวรรค์ บางที่ก็มีดนตรีบรรเลงเพลงไทยเดิม สมมุติว่าเป็นพวกเทวดาบรรเลง ขับกล่อมตามส่งพระพุทธเจ้า ยังมีพวกแฟนตาซีอีก แต่งเป็นพวกยักษ์ เทวดา พระอินทร์ พรหม นางเทพธิดา นำหน้าขบวนพระภิกษุสามเณร ชาวบ้านก็จะใส่บาตรด้วยอาหารหวาน อาหารคาว ข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มมัดจึงเป็นสัญลักษณ์ของพิธีนี้

 


2. ประเพณีเทศน์มหาชาติ หลัง วันออกพรรษา

 


          งานเทศน์มหาชาติ นิยมทำกันหลัง วันออกพรรษา พ้นหน้ากฐินไปแล้ว ซึ่งกฐินจะทำกัน 1 เดือนหลังออกพรรษา ที่จะร่วมกันทอดกฐินทั้ง จุลกฐิน และ มหากฐิน โดยประเพณีงานเทศน์มหาชาติอาจทำในวันขี้น 8 ค่ำกลางเดือน 12 หรือในวันแรม 8 ค่ำ ก็ได้ เพราะในช่วงนี้น้ำเริ่มลดและข้าวปลาอาหารกำลังอุดมสมบูรณ์ จึงพร้อมใจกันทำบุญทำทานและเล่นสนุกสนานรื่นเริง แต่ในภาคอีสานนั้นนิยมทำกันในเดือน 4 เรียกว่า "งานบุญพระเวส" ซึ่งเป็นช่วงที่เสร็จจากการทำบุญลานเอาข้าวเข้ายุ้ง ในภาคกลาง บางท้องถิ่นทำกันในเดือน 5 ต่อเดือน 6 ก็มี


          งานเทศน์มหาชาตินั้นจะทำในเดือนไหนก็ได้ไม่จำกัดฤดูกาล โดยมากเพื่อเป็นการหาเงินเข้าวัด บางแห่งนิยมทำในเดือน 10 โดยการเทศน์มหาชาตินั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 13 กัณฑ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดรอันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระบรมโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และออกบวชจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 


ประเพณี วันออกพรรษา ในแต่ละภาค

 


นอกจากนี้ในแต่ละภาคก็จะมีประเพณีที่ต่างกันไป


วันออกพรรษา ภาคกลาง


          จังหวัดนครปฐม ที่พระปฐมเจดีย์ พระภิกษุสามเณรจะมารวมกันที่องค์พระปฐมเจดีย์ แล้วก็เดินลงมาจากบันไดนาคหน้าวิหารพระร่วง สมมติว่าพระเดินลงมาจากบันไดสวรรค์ชาวบ้านก็คอยใส่บาตร


          จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ณ วัดสะแกกรัง พระภิกษุก็จะเดินลงมาจากเขารับบิณฑบาตจากชาวบ้าน โดยขบวนพระภิกษุสงฆ์ที่ลงมาจากบันไดนั้นนิยมให้มีพระพุทธรูปนำหน้า ทำการสมมติว่าเป็นพระพุทธเจ้า จะใช้พระปางอุ้มบาตร ห้ามมาร ห้ามสมุทร รำพึง ถวายเนตรหรือปางลีลา ตั้งไว้บนรถหรือตั้งบนคานหาม มีที่ตั้งบาตรสำหรับอาหารบิณฑบาต


          แต่สำหรับบางที่ไม่นิยมตักบาตรเทโว แต่นิยมตักบาตรตอนเช้าถวายอาหารพระภิกษุแล้วฟังเทศน์รักษาอุโบสถศีล ส่วนที่นิยมตักบาตรเทโว จะทำบุญเป็น 2 วัน คือวันออกพรรษากับวันเทโว ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ในวันออกพรรษานั้น หรือในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ก็มีการฟังเทศน์ตอนสาย ๆ และรักษาอุโบสถศีล


          ส่วนทางภาคใต้ก็จะมีประเพณีชักพระหรือลากพระ ซึ่งก็คือพระพุทธรูปนั่นเอง โดยมี 2 กรณี คือ ชักพระทางบก กับ ชักพระทางน้ำ  


พิธีชักพระทางบก          


          ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนวันชักพระ 2 วัน จะมีพิธีใส่บาตรหน้าล้อ นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ยังมีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของงาน คือ "ปัด" หรือข้าวต้มผัดน้ำกะทิห่อด้วยใบมะพร้าว บางที่ห่อด้วยใบกะพ้อ (ปาล์มชนิดหนึ่ง) ในภาคกลางเขาเรียกว่า ข้าวต้มลูกโยน ก่อนจะถึงวันออกพรรษา 1 - 2 สัปดาห์ ทางวัดจะทำเรือบก คือ เอาท่อนไม้ขนาดใหญ่ 2 ท่อนมาทำเป็นพญานาค 2 ตัว เป็นแม่เรือที่ถูกยึดไว้อย่างแข็งแรง แล้วปูกระดาน วางบุษบก บนบุษบกจะนำพระพุทธรูปยืนรอบบุษบกก็วางเครื่องดนตรีไว้บรรเลง เวลาเคลื่อนพระไปสู่บริเวณงานพอเช้าวัน 1 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านจะช่วยกันชักพระ โดยถือเชือกขนาดใหญ่ 2 เส้นที่ผูกไว้กับพญานาคทั้ง 2 ตัว เมื่อถึงบริเวณงานจะมีการสมโภช และมีการเล่นกีฬาพื้นเมืองต่างๆ กลางคืนมีงานฉลองอย่างมโหฬาร อย่างการชักพระที่ปัตตานีก็จะมีชาวอิสลามร่วมด้วย

 


พิธีชักพระทางน้ำ

 


          ก่อนถึงวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ทางวัดที่อยู่ริมน้ำ ก็จะเตรียมการต่างๆ โดยการนำเรือมา 2 - 3 ลำ มาปูด้วยไม้กระดานเพื่อตั้งบุษบก หรือพนมพระประดับประดาด้วยธงทิว ในบุษบกก็ตั้งพระพุทธรูป ในเรือบางที่ก็มีเครื่องดนตรีประโคมตลอดทางที่เรือเคลื่อนที่ไปสู่จุดกำหนด คือบริเวณงานท่าน้ำที่เป็นบริเวณงานก็จะมีเรือพระหลายๆ วัดมาร่วมงาน ปัจจุบันจะนิยมใช้เรือยนต์จูง แทนการพาย เมื่อชักพระถึงบริเวณงานทั้งหมด ทุกวัดที่มาร่วมจะมีการฉลองสมโภชพระ มีการละเล่นต่างๆ อย่างสนุกสนาน เช่น แข่งเรือปาโคลน ซัดข้าวต้ม เป็นต้น เมื่อฉลองเสร็จ ก็จะชักพระกลับวัด บางทีก็จะแย่งเรือกัน ฝ่ายใดชนะก็ยึดเรือ ฝ่ายใดแพ้ต้องเสียค่าไถ่ให้ฝ่ายชนะ จึงจะได้เรือคืน


          ในเขตที่มีบ้านเรือนอยู่ในเขตแม่น้ำลำคลองก็จะมีพิธีรับพระเช่นกัน อย่างที่อำเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ทางวัดจะอัญเชิญพระพุทธรูปยืนลงบุษบกในตัวเรือแล้วแห่ไปตามลำคลอง ชาวบ้านก็จะโยนดอกบัวจากฝั่งให้ตกในเรือหน้าพระพุทธรูป แล้วโยนข้าวต้ม และยังมีการแข่งขันเรือชิงรางวัลอีกด้วย หรือจะเป็นประเพณีตักบาตรพระร้อย ที่เป็นการใส่บาตรพระร้อยรูป ส่วนมากจะจัดพิธีขึ้นทางน้ำเนื่องจากแต่ก่อนบ้านเรือนจะอยู่ติดแม่น้ำลำคลอง การสัญจรไปไหนมาไหนก็จะใช้เรือ พระส่วนใหญ่จึงใช้เรือในการออกบิณฑบาต

 


กิจกรรมต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติใน วันออกพรรษา

 


           1. ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ


           2. ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล ถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร หรือจัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา


           3. ร่วมกุศลธรรม "ตักบาตรเทโว"


           4. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและ ประดับธงชาติและธงธรรมจักรตามวัด และสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา


           5. ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับวันออกพรรษาฯลฯ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป


           6. งดการเที่ยวเตร่ ละเว้นอบายมุข รวมทั้งละเว้นการฆ่าสัตว์และบริโภคเนื้อสัตว์

 


โดยประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการทำพิธี วันออกพรรษา จะมีดังต่อไปนี้

 


           เตือนสติว่าเวลาที่ผ่านพ้นไปอีกพรรษาหนึ่งแล้วได้คร่าชีวิตมนุษย์ ให้ผู้คนนั้นดำรงอยู่ในความไม่ประมาทและหันมาสร้างกุศล


           การทำบุญออกพรรษาจะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นชำระความผิดของตนได้ คือหลักปวารณา ปกติคนเราคบกันนานๆ ก็จะเผย "สันดาน" ที่แท้ออกมา อาจจะไม่ดีนักแต่ตนเองไม่รู้ตัวแล้วมองไม่เห็น แต่ผู้อยู่ข้างๆ มองเห็นแต่ไม่กล้าเตือน ดังนั้นตนเองต้องปวารณาตัวให้ผู้อื่นชี้แนะได้ ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้นและยั่งยืน


           ได้ข้อคิดที่ว่า คนเราส่วนใหญ่มักจะลำเอียงเข้าข้างตนเองเป็นฝ่ายถูก ความผิดของคนอื่นเห็นง่ายส่วนตนเองนั้นความผิดนั้นเห็นยาก นี่แหละสัญชาตญาณของคนเรา


           เป็นการให้รู้ถึงการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในการเปิดใจซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมลับลมคมในใดๆ ต่อในการคบหาหรืออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข


          ดังนั้นใครที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง วันออกพรรษา จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการย้อนมองดูตัวเองว่าได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไว้บ้างหรือเปล่า เพื่อที่จะได้ปรับปรุงและไม่ทำผิดซ้ำในเรื่องเดิมอีก

 

 

 

 

 

 

                


 

 

 

 

 

 

 

 

 

*****************************

 

 

 

 

"กสม."รุดเยี่ยมม็อบอุรุพงษ์ รับลูกสอบรัฐบาล บังคับใช้กฎหมายมิชอบ

กระทู้ข่าว


เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 ต.ค. ที่บริเวณแยกอุรุพงษ์ ถนนพระราม 6 ฝั่งขาเข้า นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เดินทางตรวจเยี่ยม และรับฟังข้อคิดเห็นของกลุ่มผู้ชุมนุม เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. และประชาชนที่พักอาศัยอยู่บริเวณใกล้กับแยกอุรุพงษ์ โดยมีนายอุทัย ยอดมณี ผู้ประสานงาน คปท.อำนวยความสะดวก และมอบหนังสือ ขอให้ตรวจสอบการละเมิด ของสิทธิการชุมนุมจากรัฐบาล นายอุทัย กล่าวว่า ตนในฐานะผู้ประสานงาน ขอให้กรรมการสิทธิ์ ดำเนินการตรวจสอบ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในการชุมนุมจากภาครัฐ เนื่องจาก เป็นการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ แต่ระหว่างการชุมนุม ภาครัฐได้สร้างอุปสรรคให้ประชาชน  โดยประกาศห้ามใช้เส้นทาง 14 สาย รอบทำเนียบรัฐบาล และใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร 

อีกทั้ง ส่งเจ้าหน้าที่มาเจรจาให้ยุติการชุมนุมบ่อยครั้ง และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนโดยบิดเบือนความเป็นจริง รวมไปถึงนำ นักเรียน ม.6 จำนวน 5 คนที่เคยขึ้นเวทีปราศรัยไปสอบปากคำ รวมถึง สร้างความแตกแยกระหว่างผู้ชุมนุมกับประชาชนโดยรอบ ตลอดระยะเวลาการชุมนุมมีผู้ไม่หวังดีขว้างระเบิดเพลิง โปรยหมามุ่ย จุดประทัดยักษ์และยิงปืนระหว่างมีการปราศรัย  โดยเจ้าหน้าที่ไม่สามารถดูแลความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุมได้ รวมถึง มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและละเมิดสิทธิมนุษยชน ตนจึงขอให้กรรมการสิทธิ์ตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐและให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ชุมนุมด้วย

ด้าน นพ.นิรันดร์  กล่าวว่า ได้รับการประสานจากแกนนำ คปท. กรณีการถูกขัดขวางการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ จึงมารับฟังความคิดเห็นของผู้ชุมนุม และประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบ จากการรับฟังความเห็น มีประเด็นที่ต้องตรวจสอบ 3 เรื่อง คือ

1.การใช้อำนาจของรัฐบาลยึดหลักความเป็นธรรมต่อประชาชนหรือไม่ เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะต้องมีความเป็นธรรม ไม่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 ดังนั้น ตนจะเชิญตัวแทนเจ้าหน้าที่รัฐ ไปรับฟังการชี้แจงของคณะกรรมการสิทธิว่า ประชาชนสามารถชุมนุมได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ควรเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น แม้จะเป็นความคิดเห็นที่ตรงข้ามกับรัฐบาล ทั้งการสะท้อนปัญหาจากนโยบาย หากรัฐบาลไม่รับฟัง เท่ากับใช้อำนาจไม่ชอบธรรม

2.ต้องตรวจสอบว่าการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯนั้น สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือไม่ เพราะ ในมาตรา 15 ระบุว่า การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะต้องมีปรากฏการณ์ต่อเนื่อง   จึงต้องให้รัฐชี้แจงว่าที่ประกาศ เพราะการชุมนุมกระทบประเทศ หรือรัฐบาลกันแน่

และ 3.ตรวจสอบว่า รัฐบาลใช้กฎหมายละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะนี้ การชุมนุมไม่ใช่เรื่องของการแบ่งสีแบ่งฝ่าย แต่เป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสิทธิ และไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบว่ารัฐบาลก้าวพ้นการแบ่งสี สู่การเมืองภาคประชาชน ซึ่งเดือดร้อนจากการเมืองและเศรษฐกิจ การที่รัฐบาลทำในสิ่งที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพการชุมนุม กรรมสิทธิฯ มีหน้าที่เปิดเผยความจริงต่อประชาชน โดยภายในสัปดาห์หน้ากรรมการสิทธิฯจะเชิญเจ้าหน้าที่รัฐและตัวแทนผู้ชุมนุม ตลอดจนประชาชนที่อาศัยและทำธุรกิจบริเวณแยกอุรุพงษ์ ไปชี้แจงที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อเข้าสู่กระบวนการไต่สวนหาข้อเท็จจริงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชุมนุมโดยทั่วไปเป็นไปอย่างปกติ แต่มีผู้ชุมนุมบางตา ท่ามกลางอากาศที่ครึ้มฝน.

 

 

 กสม   ย่อมาจาก  กรูสนับสนุนม๊อบ


 

เร็วๆไวๆรับจำนวนจำกัด1ล้านคน ปลดหนี้ธ.และแจกหุ้นปตท.ให้ทุกคน..เงื่อนไขง่ายๆแค่ไปนอนดมขรี้ ดมเยี่ยว ที่อุรุพงษ์เท่านั้น

กระทู้สนทนา
ทนายนกเขา ที่กำลังขั้วดาราไร้สมอง...เขาประกาศผ่านสื่อ..ด่วนเลยนะครับ  รับจำนวนแค่1ล้านคนเท่านั้น..มาก่อน นอนดมขรี้/ดมเยี่ยวก่อน มีสิทธิ์ก่อนนะครับ..มาช้าเต้ม อดแล้วจะเสียใจ

1ล้านคนแรก เราจะ"ปลดหนี้" ทุกบาท ทุกสตางค์ ที่ท่านเป็นหนี้กับธ. และที่สำคัย หมดหนี้แล้วยังมีเงินติดตัวไว้ใช้ ทำทุน ..เราจะแจกหุ้นปตท.ให้ฟรีๆอีกด้วย

เอ้าสาวกแมงสาป/สลิ่ม/ อย่าช้าครับ..โปรโมชั่นนี้...จัดครั้งเดียว จำนวนจำกัดนะครับ  5555555555

นำมาให้สมาชิกห้องสินธรอ่านครับ ..

 

 

 

 

1 ล้านคน แจกหุ้น PTT คนละ 100 หุ้น ก็ต้องมีหุ้นมากกว่า 100 ล้านหุ้น
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PTT 10 อันดับแรก มีที่ถือเกิน 100 หุ้นอยู่แค่ 4 อันดับแรก
1. กระทรวงการคลังถือ พันสี่ร้อนล้านหุ้น /2-3 เป็นกองทุน ถือกองละ 200 ล้านหุ้น  อันดับ 4  บริษัทไทย NVDR 117  ล้านหุ้น
อันดับ 5-10 ถือไม่ถึงร้อยล้านหุ้น



//คุณทนายคนนี้แกถืออยู่กี่หุ้นกัน มีปัญญาแจกเหรอ เพียงขอแค่เรียกคนมาชุมนุมก็พูดชุ่ยๆแบบนี้ได้ แกนนำอะไร ความน่าเชื่อถือซักนิดก็ไม่มี จะปลดหนี้สินให้ เป็นเจ้าของธนาคารเหรอ ปัญญาอ่อน

 

-โจมตีคนอื่นเรื่องประชานิยม...แต่...ตัวเอง"ประชานิยมวิบัติ"มากกว่าอีก แหมมีออกกม.ล้างหนี้ และแจกหุ้นปตท.คนมาฟังม๊อบอีก

-กล่าวหาคนอื่นเป็นเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย....แต่...ตัวเองบอกจะขอออกกฏหมายเอง

คนพูดก็พูดเรื่อยเจื้อย คนฟังก็เฮกันสนุก.....................ขำกลิ้งจริงๆ

 

 

 

 

 

 

 

*****************************************

 

 

 

 

                   พิษสงมวยไทย

 

 

 

 

 

 

 

 

เป็นที่สงสัยกันมานานในทุกวงการว่า.. ศิลปะป้องกันตัวของชนชาติใดเจ๋งที่สุด ชาวเน็ตเวียดนามได้ข้อสรุปที่แตกต่างคือ มวยไทยน่ากลัวที่สุด หาคู่เปรียบได้ยากที่สุดถ้าหากเป็นการต่อสู้แบบไม่จำกัดการใช้อาวุธ ลูกเช่นลูกเตะอาจจะไม่ต่างกันมาก แต่อาวุธสั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งศอกนั้นอันตรายที่สุด.

 

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนามได้ให้ความสนใจในศิลปะป้องกันตัวของไทย และพยายามเปรียบเทียบกับของชนชาติอื่นในย่านนี้ ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า “มวยไทย” นั้นเป็นยุทธศิลป์ที่เลิศล้ำหาคู่เปรียบได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นเทควันโด หรือคาราเต้
       
       ประชาคมออนไลน์ในเวียดนามได้ชมคลิปเกี่ยวกับศิลปะมวยไทยหลายชิ้นทั้งที่เกี่ยวกับการต่อสู้จริงบนเวที และการฝึกฝนวิชาการต่อสู่อันเก่าแก่นี้ ขณะที่รายงานของเคเบิลทีวีช่อง History ที่เคยนำทีมเข้ามาถ่ายทำทุกแง่ทุกกมุมเกี่ยวกับศิลปะมวยไทยเมื่อหลายปีก่อน ก็กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่ง
       
       ตามรายงานสำนักข่าวเกี่ยวดึ๊กเหงียดนาม หรือ “ข่าวการศึกษาเวียดนาม” หากว่าด้วยการใช้อาวุธเตะเพียงอย่างเดียว เทควันโดกับมวยไทยมีไม้เตะที่ไม่ต่างกันมาก แต่จะไม่สามารถเอาชนะมวยไทยได้ในการแข่งขันแบบไม่จำกัดการใช้อาวุธ วิดีโอคลิปการแข่งขันชิ้นหนึ่งอาจจะช่วยยืนยันได้ ถึงแม้ว่านัดนี้กรรมการจะตัดสินให้ “แข้ง” ของเทควันโดเป็นฝ่ายชนะก็ตาม
       
       ประชาคมออนไลน์ชาวเวียดนามยังได้ข้อสรุปว่า ..คาราเต้ หรือคาราเต้โด ของชาวญี่ปุ่นไม่สามารถทำอะไรมวยไทยได้มากนัก ส่่วนมวยจีนเส้าหลิน ถึงแม้จะดูน่าเกรงขามในภาพยนตร์ และพอฟัดพอเหวี่ยงกับเทควันโดในเรื่องเตะ แต่ถ้าหากเป็นการต่อสู้แบบไม่จำกัดการใช้อาวุธ ทั้งสองอย่างนี้ล้วนแต่ “ไม่ใช่คู่เปรียบ” ของศิลปะมวยไทย.

 

 

มวยไทยกับคนไทย


....จากการจำแนกเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ คนไทยมีเชื้อชาติอยู่ในกลุ่มมองโกเลีย ลักษณะร่างกายโดยทั่วไปตัวเล็กกว่าคนที่อาศัยอยู่ในเขตหนาว ความสูงโดยเฉลี่ย 5 ฟุต 3 นิ้ว ร่างกายล่ำสัน สมส่วน ทะมัดทะแมง น้ำหนักตัวน้อย มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นสูง มือมีเนื้อนุ่มนิ่ม ผิวสีน้าตาลอ่อน ผมดกดำ ขนตามตัวมีน้อย เคราไม่ดกหนา รูปศีรษะเป็นสัดส่วนดี ลูกตาสีดำตาขาวมีสีเหลืองเล็กน้อย กระพุ้งแก้มอวบอูม ใบหน้ากลม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นเมืองร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ใช้เรือเป็นพาหนะ จึงทำให้คนไทยสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น ไม่สวมหมวกและรองเท้า สามารถใช้อวัยวะหมัด เท้า เข่า ศอก ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว จึงนำไปผสมผสานกับการใช้อาวุธมีด ดาบ หอก เพื่อป้องกันตนเองและป้องกันประเทศ

 

....มวยไทยนั้นมีมาพร้อมกับคนไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทยมาช้านาน ในสมัยโบราณประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ จึงมีการสู้รบกันอยู่เสมอๆ ดังนั้นชายไทยจึงนิยมฝึกมวยไทยควบคู่กับการฝึกอาวุธ ต่อมาได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น มีลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงามแฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งดุดัน สามารถฝึกเพื่อป้องกันตนเอง เพื่อความแข็งแรงของร่างกาย และเพื่อเป็นอาชีพได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

 

2. มวยไทยในสมัยกรุงสุโขทัย


....สมัยกรุงสุโขทัยเริ่มประมาณ พ.ศ.1781 - 1951 รวมระยะเวลา 140 ปี หลักฐานจากศิลาจารึกกล่าวไว้ชัดเจนว่า กรุงสุโขทัยทำสงครามกับประเทศอื่นรอบด้าน จึงมีการฝึกทหารให้มีความรู้ความชำนาญในรบด้วยอาวุธ ดาบ หอก โล่ห์ รวมไปถึงการใช้อวัยวะของร่างกายเข้าช่วยในการรบระยะประชิดตัวด้วย เช่น ถีบ เตะ เข่า ศอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรบ

 

....หลังเสร็จสงครามแล้ว ชายหนุ่มในสมัยกรุงสุโขทัยมักจะฝึกมวยไทยกันทุกคนเพื่อเสริมลักษณะชายชาตรี เพื่อศิลปะป้องกันตัว เพื่อเตรียมเข้ารับราชการทหารและถือเป็นประเพณีอันดีงาม ในสมัยนั้นจะฝึกมวยไทยตามสำนักที่มีชื่อเสียง เช่น สำนักสมอคอน แขวงเมืองลพบุรี นอกจากนี้ยังมีการฝึกมวยไทยตามลานวัดโดยพระภิกษุอีกด้วย วิธีฝึกหัดมวยไทยในสมัยกรุงสุโขทัย ครูมวยจะใช้กลอุบายให้ศิษย์ ตักน้ำ ตำข้าว ผ่าฟืน ว่ายน้ำ ห้อยโหนเถาวัลย์ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและอดทนก่อนจึงเริ่มฝึกทักษะ โดยการผูกผ้าขาวม้าเป็นปมใหญ่ๆไว้กับกิ่งไม้ แล้วชกให้ถูกด้วยหมัด เท้า เข่า ศอก นอกจากนี้ยังมีการฝึกเตะกับต้นกล้วย ชกกับคู่ซ้อม ปล้ำกับคู่ซ้อม จบลงด้วยการว่ายน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกายและผ่อนคลายกล้ามเนื้อก่อนนอน ครูมวยจะอบรมศีลธรรมจรรยา ทบทวนทักษะมวยไทยท่าต่างๆ จากการฝึกในวันนั้นผนวกกับทักษะท่าต่างๆ ที่ฝึกก่อนหน้านี้แล้ว

 

....สมัยกรุงสุโขทัยมวยไทยถือว่าเป็นศาสตร์ชั้นสูงถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาของกษัตริย์ เพื่อฝึกให้เป็นนักรบที่มีความกล้าหาญ มีสมรรถภาพร่างกายดีเยี่ยม เป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถในการปกครองประเทศต่อไป ดังความปรากฏตามพงศาวดารว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์กษัตริย์กรุงสุโขทัยพระองค์แรกทรงเห็นการณ์ไกลส่งเจ้าชายร่วงองค์ที่ 2 อายุ 13 พรรษา ไปฝึกมวยไทยที่ สำนักสมอคอน แขวงเมืองลพบุรี เพื่อฝึกให้เป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้าในอนาคต และในปี พ.ศ. 1818 - 1860 พ่อขุนรามคำแหงได้เขียนตำหรับพิชัยสงคราม ข้อความบางตอนกล่าวถึงมวยไทยด้วย นอกจากนี้พระเจ้าลิไท เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ทรงได้รับการศึกษาจากสำนักราชบัณฑิตในพระราชวังมีความรู้แตกฉานจนได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ ซึ่งสำนักราชบัณฑิตมิได้สอนวิชาการเพียงอย่างเดียว พระองค์ต้องฝึกภาคปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่าแบบมวยไทย และการใช้อาวุธ คือ ดาบ หอก มีด โล่ห์ธนู เป็นต้น

 

 

 

มวยไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา


....สมัยกรุงศรีอยุธยาเริ่มประมาณ พ.ศ.1988 - 2310 ระยะเวลา 417 ปี บางสมัยก็มีศึกกับประเทศใกล้เคียง เช่น พม่า และเขมร ดังนั้นชายหนุ่มสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงต้องฝึกฝนความชำนาญในกานต่อสู้ด้วยอาวุธและศิลปะป้องกันตัวด้วยมือเปล่า โดยมีครูผู้เชี่ยวชาญทางการต่อสู้เป็นผู้สอน การฝึกเริ่มจากในวังไปสู่ประชาชน สำนักดาบพุทธไทสวรรค์เป็นสำนักดาบที่มีชื่อเสียงสมัยอยุธยา มีผู้นิยมไปเรียนมาก ซึ่งในการฝึกจะใช้อาวุธจำลอง คือดาบหวายเรียกว่า กระบี่กระบอง นอกจากนี้ยังต้องฝึกการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า เรียกว่า มวยไทย ควบคู่กันไปด้วย ในสมัยนี้วัดยังคงเป็นสถานที่ให้ความรู้ทั้งวิชาสามัญและวิชาปฏิบัติในเชิงอาวุธควบคู่กับมวยไทยอีกด้วย

 

• สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2133 - 2147)


....พระองค์ทรงเลือกคนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับพระองค์มาทรงฝึกหัดด้วยพระองค์เอง โดยฝึกให้มีความกล้าหาญ มีความเชื่อมั่นตนเอง ใช้อาวุธได้ทุกชนิดอย่างชำนาญ มีความสามารถในศิลปะการต่อสู้มวยไทยดีเยี่ยม และพระองค์ทรงตั้ง กองเสือป่าแมวมอง เป็นหน่วยรบแบบกองโจร ซึ่งทหารกองนี้เองมีบทบาทมากในการกอบกู้เอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2127

 

• สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2147 - 2233)


....สภาพบ้านเมืองสงบร่มเย็น มีความเจริญรุ่งเรืองมาก พระองค์ทรงให้การส่งเสริมและสนับสนุนกีฬาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะมวยไทยนั้นนิยมกันมากจนกลายเป็นกีฬาอาชีพ มีค่ายมวยเกิดขึ้นมากมาย มวยไทยสมัยนี้ชกกันบนลานดิน โดยใช้เชือกเส้นเดียวกั้นบริเวณเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส นักมวยจะใช้ด้ายดิบชุบแป้งหรือน้ำมันดินจนแข็งพันมือ เรียกว่า คาดเชือก หรือ มวยคาดเชือก นิยมสวมมงคลไว้ที่ศีรษะ และผูกประเจียดไว้ที่ต้นแขนตลอดการแข่งขัน การเปรียบคู่ชกด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย ไม่คำนึงถึงขนาดร่างกายลาอายุ กติกาการชกง่ายๆ คือ ชกจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะยอมแพ้ ในงานเทศกาลต่างๆ ต้องมีการจัดแข่งขันมวยไทยด้วยเสมอ มีการพนันกันระหว่างนักมวยที่เก่งจากหมู่บ้านหนึ่งกับนักมวยที่เก่งจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง

 

สมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ (พ.ศ.2240 - 2252)


....สมัยพระเจ้าเสือ หรือขุนหลวงสุรศักดิ์ พระองค์ทรงโปรดการชกมวยไทยมาก ครั้งหนึ่งพระองค์ได้เสด็จไปที่ตำบลหาดกรวด พร้อมด้วยมหาดเล็กอีก 4 คน แต่งกายแบบชาวบ้านไปเที่ยวงานแล้วเข้าร่วมการเปรียบคู่ชก นายสนามรู้เพียงว่าพระองค์เป็นนักมวยจากเมืองกรุงจึงจัดให้ชกกับนักมวยฝีมือดีจากสำนักมวยเมืองวิเศษไชยชาญ ซึ่งได้แก่ นายกลาง หมัดตาย นายใหญ่ หมัดเล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก ซึ่งพระองค์ชกชนะทั้งสามคนรวด นกจากนี้พระองค์ทรงฝึกฝนให้เจ้าฟ้าเพชรและเจ้าฟ้าพร พระราชโอรสให้มีความสามารถในด้านมวยไทย กระบี่กระบองและมวยปล้ำอีกด้วย

 

 

 

สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

 

หลังจากพ่ายแพ้แก่พม่าเป็นครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ มีนักมวยมีชื่อเสียงสองคน ดังนี้

 

๑. นายขนมต้ม เป็นเชลยไทยที่ถูกกวาดต้อนไปครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๑๗ พระเจ้ากรุงอังวะ กษัตริย์พม่าโปรดให้จัดงานพิธีสมโภชมหาเจดีย์ใหญ่ ณ เมืองร่างกุ้ง ทรงตรัสให้หานักมวยไทยฝีมือดี มาเปรียบกับนักมวยพม่า แล้วให้ชกกันที่หน้าพระที่นั่ง ในวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๓๑๗ ซึ่งนายขนมต้มชกชนะนักมวยพม่าถึง ๑๐ คน โดยไม่มีการพักเลย การชกชนะครั้งนี้เป็นการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในต่างแดนเป็นครั้งแรก ดังนั้นนายขนมจึงเปรียบเสมือน "บิดามวยไทย" และวันที่ ๑๗ มีนาคม ถือว่า เป็นวันมวยไทย

 

๒.พระยาพิชัยดาบหัก (พ.ศ.๒๒๘๔ - ๒๓๒๕) เดิมชื่อจ้อย เป็นคนเมืองพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ มีความรู้ความสามารถเชิงกีฬามวยไทยมาก ได้ฝึกมวยไทยจากสำนักครูเที่ยงและใช้วิชาความรู้ชกมวยไทยหาเลี้ยงตัวเองมาจนอายุได้ ๑๖ ปี แล้วจึงฝึกดาบ กายกรรม และมวยจีนจากคนจีน ด้วยฝีมือเป็นเลิศในเชิงมวยไทยและดาบ เป็นที่ปรากฏแก่สายตาของพระยาตาก จึงนำเข้าไปรับราชการได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงพิชัยอาสา หลังจากพระเจ้าตากสิ้นได้กรุงธนบุรีเป็นราชธานี ก็ให้พระยาพิชัยไปครองเมืองพิชัยบ้านเมืองเดิมของตนเอง ในปี พ.ส.๒๓๑๔ พม่ายกทับมาตีเมืองเชียงใหม่แล้วเลยมาตีเมืองพิชัย พระยาพิชัยนำทหารออกสู้รบ การรบถึงขั้นตะลุมบอน จนดาบหักทั้งสองข้าง จึงได้นามว่า พระยาพิชัยดาบหัก

 

 

เเม่ไม้มวยไทย 

 

 

 

 

 

สลับฟันปลา

 

รับวงนอก

แม่ไม้นี้เป็นไม้หลักหรือไม้ครูเบื้องต้น ใช้รับและหลบหมัด ตรงของคู่ต่อสู้ที่ ชกนำ โดยหลบออกวงนอก นอกลำแขนของ คู่ต่อสู้ทำให้หมัดเลยหน้าไป


ฝ่ายรุก ชกด้วยหมัดซ้ายตรง ที่หมายใบหน้าของฝ่ายรับ พร้อมกับก้าวเท้า ซ้ายสืบไปข้างหน้า


ฝ่ายรับ ก้าวเท้าขวาหลบไป ทางกึ่งขวา ๑ ก้าว พร้อมทั้งโน้มตัวเอนไป ทางขวาประมาณ ๖. องศา น้ำหนักตัวอยู่ บนเท้าขวา ขาขวางอเล็กน้อยศีรษะและตัว หลบออกวงนอกของหมัดฝ่ายรุก ใช้มือขวา จับคว่ำมือที่แขนท่อนบนของฝ่ายรุก มือซ้าย จับกำหงายที่ข้อมือของฝ่ายรุก (ท่าคล้ายจับ หักแขน)

 

 

 

 

 

หักงวงไอยรา 

 

 

ศอกโคนขา

แม่ไม้นี้ใช้แก้การเตะโดยตัด กำลังขา ด้วยการใช้ศอกกระทุ้งที่โคนขา


ฝ่ายรุก ยกเท้าขวาเตะกราดไปยังบริเวณชายโครงของฝ่ายรับ งอแขน ทั้งสองบังอยู่ ตรงหน้า


ฝ่ายรับ รีบก้าวเท้าขวาเข้าหา ฝ่ายรุกตรงหน้าเกือบประชิดตัวหันข้างตัวไป ทางซ้ายเข่าขวางอ เท้าซ้าย เหยียดตรง พร้อมกับใช้มือซ้ายจับเท้าขวา ของฝ่ายรุก ให้สูง ศอกขวากระแทกที่ โคนขาฝ่ายรุก ยกเท้าขวาฝ่ายรุกให้สูงขึ้น เพื่อให้เสียหลัก ยิงกันฝ่ายรุกใช้ศอกกระแทกศีรษะ

 

 

 

                             

 

 

 

 

 

 

************************************************

 

 


       

 

 

 

 

 

ATT00001.gif picture by nobutafon

ATT00002.gif picture by nobutafon

ATT00003.gif picture by nobutafon

 

ATT00004.gif picture by nobutafon

แค่มีเธอ
ปนัดดา เรืองวุฒิ

 

 

 

 

***********************************

 

 

 

 

 

 

         ทัพจีนบุกสำเพ็ง อวสานอาณาจักรผ้าของไทย

 

 

 

                                         ขายผ้าเมตร

 

 

 

สำเพ็งในวันนี้ไม่นึกว่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้ !

 

ถ้าคุณมีโอกาสได้เดินสำเพ็ง ตลาดค้าผ้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย เมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว และพอจะจดจำบรรยากาศเก่าๆ ได้บ้าง คุณจะนึกได้ถึงสภาพความจ้อกแจ้กจอแจของเสียงรถมอเตอร์ไซค์เวสป้าวิ่งส่งผ้าสวนกันไปมากลางซอยแคบๆ มีเสียงของพนักงานขายผ้าร้องเรียกให้ลูกค้าเข้าร้านดังแข่งกันดังเซ็งแซ่

 

แต่กลับมาอีกครั้งในวันนี้ สำเพ็งไม่เหมือนเดิมจริงๆ มันเงียบเหงา ซบเซา แบบไม่เหลือเค้าเดิม …

 

จากจำนวนร้านค้าที่เคยเปิดขายผ้าเรียงติดๆ กันชนิดที่ว่า ไม่รู้ว่าจะเข้าไปเลือกซื้อร้านไหนดีในสมัยก่อนนั้น บรรยากาศแบบนั้นไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว เดินไป 6-7 ร้าน ถึงจะเจอร้านผ้าสักร้านหนึ่ง ร้านผ้าที่ปิดไป สิ่งที่เปิดขึ้นมาแทน คือ ร้านขายสินค้ากิฟต์ช็อป ที่ปูดขึ้นมาราวดอกเห็ด และแพร่กระจายได้รวดเร็วมาก

 

ถนนวานิช ฝั่งคิคูยา เป็นตัวอย่างได้ดี เดิมเป็นตลาดผ้า ยึดพื้นที่ขายเกือบ 100% มานาน 50-60 ปี ตั้งแต่คนรุ่นปู่ มาสู่รุ่นพ่อ จะมีสินค้ากิฟต์ช็อปแซมบ้างก็น้อยนิด แต่มาถึงยุคนี้ตลาดผ้าเหลือไม่ถึง 10% อีก 90% กลับกลายเป็นร้านสินค้ากิฟต์ช็อป

 

และไม่ใช่สินค้ากิฟต์ช็อปที่ผลิตโดยคนไทย หากแต่เป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนเกือบ 100%

 

แหล่งข่าวผู้ประกอบการค้าผ้าย่านสำเพ็งให้ข้อมูลว่า จริงๆ สินค้ากิฟต์ช็อปในสำเพ็งมีมานานแล้ว แต่ไม่มากขนาดนี้ เมื่อก่อนเป็นสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และคนไทยก็ผลิตเองบ้าง แต่ปัจจุบันไม่ใช่ พอร้านค้าผ้าไปไม่รอด ต้องปิดตัวเอง ร้านขายกิฟต์ช็อปก็เข้ามาแทนที่ได้ทันที ยอมที่จะจ่ายค่าเช่าแพง หลักแสนบาท เพื่อจะขายสินค้ากิฟต์ช็อปที่นำเข้าจากประเทศจีนเกือบทั้งหมด

 

อาจจะเรียกได้ว่า เวลานี้สินค้าจีนยึดตลาด สำเพ็งไปเรียบร้อยแล้วก็คงไม่ผิดนัก

 

นโยบายรัฐ…อวสานสำเพ็ง

 

อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดผ้าสำเพ็งใกล้ถึงจุดอวสาน จนทำให้กิฟต์ช็อปขึ้นมาแทนที่ได้ !

 

นายถาวร ตันติศิริวิทย์ นายกสมาคมพ่อค้าผ้าไทย เล่าว่า ตลาดผ้าสำเพ็งมันเริ่มซบเซามาตั้งแต่ปี 2545 ช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายไม่ให้ชาวต่างชาติผิวดำแถบแอฟริกาใต้เข้าประเทศไทย เพราะต้องการปราบปรามยาเสพย์ติด แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ลูกค้าผิวดำแถบแอฟริกาเหล่านี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่มาซื้อเสื้อผ้าไปขายไปบริโภคในประเทศเขา การเข้ามาประเทศไทยในแต่ละครั้งจะหอบเงินดอลลาร์เข้ามาซื้อผ้าเงินสด ซื้อเสร็จก็หิ้วขึ้นเครื่องบินเองบ้าง ส่งลงเรือไปบ้าง

 

“นอกจากลูกค้าผิวดำ ก็มีลูกค้ากลุ่มตะวันออก กลาง พวกนี้รวย มาซื้อเสื้อผ้าราคาถูกๆ ซื้อไปใส่ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่ต้องซักเพราะน้ำบ้านเขาแพง แต่เวลานี้หายไปหมด ลูกค้าต่างชาติกลุ่มนี้ก็มุ่งหน้าไปซื้อจีนแทน สินค้าจีนมีให้เลือกเยอะ ราคาถูก เข้าประเทศจีนได้ง่าย รัฐบาลจีนไม่เข้มงวด พอไปซื้อแล้วติดใจ ไม่กลับมาซื้อการ์เมนต์ไทยอีกแล้ว และไม่รู้ว่าถ้ารัฐบาลแก้กฎหมายแล้ว เขาจะกลับมาซื้ออีกหรือเปล่า” นายกสมาคมพ่อค้าผ้าไทยกล่าว

 

ฉะนั้นนับแต่ปี 2545 เรื่อยมา ตลาดการ์เมนต์ไทยซบเซาลงเป็นลำดับ และมาเจอดาบที่ 2 ดาบที่ 3 …ทั้งเรื่องการเปิดเสรีการค้าไทย-จีน เรื่องเช็คเด้ง เรื่องการรีดเก็บภาษีของกรมสรรพากร ที่เลือกปฏิบัติ ฯลฯ ส่งผลให้ตลาดผ้าในสำเพ็งหายไป 50-70% ส่วนผู้ประกอบการที่อยู่ ณ เวลา “อยู่เพราะต้องอยู่”

 

“ตอนนี้ผมใจแข็งนะ ไม่เอาสินค้าจีนมาขาย บางรายเขาอยู่ไม่ได้ก็ต้องปรับไปทำสินค้าจีน เพราะสินค้าเขาถูกจริงๆ ถูกแบบต้นทุน เขาถึงมาได้ และรัฐบาลจีนสนับสนุน แต่สำหรับผู้ประกอบการไทย รัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมแล้ว ยังทำร้ายเราด้วย” ผู้ประกอบการยี่ปั๊วรายหนึ่งกล่าว

 

ผู้ประกอบการรายนี้กล่าวอีกว่า อย่างที่บอกว่าลูกค้าตะวันออกกลางไม่มี ลูกค้ากลุ่มผิวดำไม่มีมาเดินให้เห็น หรือถ้ามีก็น้อยมาก ที่เหลืออยู่ก็จะเป็นกลุ่มลูกค้าเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชีย แต่ก็เริ่มน้อยลงทุกที อย่างลูกค้าภาคอีสาน แถบอุดรฯ หนองคาย จากที่เคยซื้อไทย เขาก็ข้ามไปซื้อเวียดนาม ทางเหนือก็ซื้อจีน ทางใต้ก็ซื้อมาเลเซีย อินโดนีเซีย ตลาดมันจึงแคบลงเรื่อยๆ

 

ส่วนตลาดไทยก็ลดลงอีกเช่นกัน ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ไปดูได้ที่ สน.สัมพันธวงศ์ ถามว่าคดีเช็คเด้ง โรงพักไหนเยอะที่สุด ที่เขตสำเพ็งนี่เลย มากที่สุด มีทุกวัน “มีจนทั้งเราก็เบื่อ ตำรวจก็เบื่อ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ขายผ้า 1 ล้านบาท กำไร 50,000 บาท ส่วนกำไรกรมสรรพากรก็จะมาเรียกเก็บ ขณะที่ 1 ล้านบาทที่ขายออกไปก็เรียกเก็บเงินไม่ได้ มีค่าแค่กระดาษ 1 แผ่น …ทุกวันนี้ สำเพ็งมันเป็นอย่างนี้จริงๆ”

 

ตลาดการ์เมนต์สูญหมื่นล้าน

 

มีการประเมินกันว่าตลาดผ้าไทยสูญไปนับหมื่นล้านบาท แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะร้านค้าผ้าในตลาด สำเพ็งเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่วงจรธุรกิจที่เชื่อมโยงกับตลาดผ้าแห่งนี้ล้วนได้รับผลกระทบต่อกันยาวเป็นลูกโซ่

 

“ในอดีตประมาณการกันว่า บริษัทค้าผ้าในย่านสำเพ็งน่าจะมีกว่า 1,000 ราย แต่เวลานี้น่าจะปิดไปกว่าครึ่ง ดูได้จากจำนวนห้องแถวในถนนซอย ต่างๆ ที่เวลานี้มีแต่ทยอยปิด เพราะมันไปไม่ไหวจริงๆ ส่วนที่เหลืออยู่เวลานี้ก็มีแต่แย่ลงเรื่อยๆ”

 

เถ้าแก่ร้านผ้าย่านสำเพ็งรายหนึ่งอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า เมื่อ 10 กว่าปีก่อน หากคุณมาเดินสำเพ็ง คุณไม่มีโอกาสมานั่งคุยกับผมแบบสบายๆ แบบนี้ คุณจะต้องตะโกนเสียงดังๆ ผมถึงจะได้ยิน เพราะเสียงมันจะดังมาก เพราะร้านค้าต่างก็เร่งรีบขายของ สั่งลูกน้องขนสินค้าเพื่อไปส่ง

 

รถเวสป้าคลาสสิกที่เรานิยมใช้ขนส่งผ้า ก็จะไม่มีหรอกที่จะมาจอดเรียงนิ่งสนิทอยู่ที่หน้าร้านแบบนี้ บรรดาลูกน้องก็จะไม่มีมานั่งหน้าร้านแบบนี้เช่นเดียวกัน ทุกอย่างจะคึกคัก วุ่นวาย แต่มันก็สนุก มันแสดงถึงการไปได้ดีของธุรกิจค้าผ้า และวงจรที่เกี่ยวข้อง …แต่เวลานี้ไม่ใช่

 

“คิดง่ายๆ ตลาดสำเพ็งเป็นแหล่งค้าผ้าคนกลาง บางรายก็มีครบวงจร บางรายเป็นยี่ปั๊ว รับผ้ามาจากโรงงานเพื่อส่งให้การ์เมนต์อีกต่อหนึ่ง ดังนั้นการทรุดลงของตลาดสำเพ็งจึงเปรียบเสมือนทุกวงจรที่เกี่ยวข้องทรุดกันไปตามๆ กัน”

 

วิชัย มหามงคล เจ้าของโรงงานทอผ้า มหามงคล (เฮียบเชียง) กล่าวว่า พอตลาดสำเพ็งทรุด ตลาดที่ทรุดกันไปตามๆ กันก็คือ ประตูน้ำ โบ๊เบ๊ เพราะมันหมายถึงบรรดาโรงงานการ์เมนต์ทั้งหลายที่ทำเสื้อส่งประตูน้ำ ส่งโบ๊เบ๊ ต่างก็ต้องปิดตัวเองไปด้วย เพราะสู้เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่นำเข้าจากจีน ฮ่องกง ไม่ได้

 

“เวลานี้ไปดูได้ ทั้งประตูน้ำ ใบหยก โบ๊เบ๊ เวลาถามผ้ามาจากที่ไหน พนักงานขายก็จะบอกว่า “งานนอก” งานนอกในความหมายก็คือ เสื้อผ้าสำเร็จรูปจากจีน บางคนบอกว่างานฮ่องกง ก็ตัดเย็บจากจีนแดงน่ะแหละ เข้ามาแบบสำเร็จรูป

 

ไม่ต้องไปสร้างมูลค่าเพิ่มที่ไหนอีก ซึ่งเวลานี้ครองตลาดไปกว่า 90% เหลือที่เป็นการ์เมนต์ไทย

 

จริงๆ ไม่รู้ถึง 10% หรือเปล่า แต่รัฐบาลปล่อยไม่ทำอะไร เหมือนกับที่สำเพ็งเวลานี้ที่มีแต่สินค้าจีนเต็มไปหมด”

 

ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงปล่อยให้สินค้าจากประเทศจีนเข้ามามากมายขนาดนี้ได้อย่างไร โดยไม่ทำอะไร !

 

 

กองทัพมดเกลื่อนสำเพ็ง

 

แหล่งข่าวร้านค้ายี่ปั๊วอีกรายกล่าวเสริมว่า จริงๆ การที่ตลาดผ้าสำเพ็งมันใกล้ถึงกาลอวสาน ก็ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับสินค้ากิฟต์ช็อปจากประเทศจีนโดยตรง แต่ที่อยากจะอธิบายให้เห็นก็คือ การเปรียบเทียบโครงสร้างภาษีนำเข้า ที่จะเป็นรายได้เข้าประเทศ ที่มันไม่ชอบมาพากล และไม่ใช่แค่สินค้านำเข้าที่เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปอย่างเดียว แต่หมายถึงสินค้าอื่นๆ อาทิ เครื่องหนัง กระเป๋า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่น กิฟต์ช็อป ที่ปัจจุบันระบบการจัดเก็บภาษีแปลกๆ

 

โดยยกตัวอย่างคือ สินค้าผ้า เพราะวงจรในธุรกิจนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันประมาณ 10 ขั้นตอน ตั้งแต่เกษตรกรปลูกฝ้าย โรงงานปั่นด้าย โรงย้อม โรงทอ โรงพิมพ์ผ้า จนมาถึงที่สำเพ็ง ซึ่งเป็นร้านยี่ปั๊ว ก็มีโรงงานการ์เมนต์ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ มาซื้อผ้าเพื่อไปตัดเป็นแบบต่างๆ เพื่อขายในประเทศ หรือส่งออก …ทุกขั้นตอนมีเรื่องภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องหมด

 

“รัฐสามารถเก็บภาษีได้ ตรวจสอบภาษีได้ ได้เงินภาษีไปเข้าคลัง ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันล้านบาท แต่เวลานี้วงจรนี้ไม่สามารถทำเงินให้กับรัฐบาล เพราะขาดทุน โรงทอทยอยปิดไปนับ 100 โรง การ์เมนต์ปิดไปแล้วนับร้อยๆ โรงงานอีกเช่นกัน คนงานตกงานอีกไม่รู้เท่าไร อาชีพและอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เคยเป็นฐานให้กับระบบเศรษฐกิจไทยเวลานี้ มันพังไปหมด”

 

แต่สินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีน ผ่านการท่าเรือแห่งประเทศไทย รัฐบาลเก็บภาษีได้ขั้นตอนเดียว 7% จากนั้นสินค้าลอตนี้ไปกระจายอยู่ตามร้านแผงลอย ห้องแถว ฯลฯ ที่ไหนบ้างไม่รู้ แต่มีขายกันเกลื่อนเมือง โดยที่เก็บภาษีไม่ได้ แต่รัฐบาลก็ปล่อยไม่ทำอะไร

 

หรือแม้ที่สำเพ็งเองก็ตาม เวลานี้ขายกันอยู่ 3 รอบ เป็นสินค้ากิฟต์ช็อปจากจีนแดงเกือบ 100% รอบเช้า แปดโมงถึงหกโมงเย็น จากนั้น สองทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืน รอบสุดท้ายตี 3 ไปจนถึงแปดโมงเช้า ขายอยู่เต็มถนนฝั่งคิคูยา พ่อค้าจากจีนแดงเข้ามาเองพูดไทยยังไม่ชัดก็มี หิ้วมา 4-5 กระเป๋า ขายหมดก็กลับบ้าน

 

หรือแม้กระทั่งเข้ามาเป็นตู้คอนเทนเนอร์ เสียภาษีอย่างถูกต้อง แต่ส่วนเดียว (นำเข้ามา 10 ตู้ แต่จ่ายภาษีแค่ 2 ตู้) ส่วนใบอนุญาตก็มีใบเดียว จากนั้นก็เวียนกันไป ฯลฯ โดยที่สินค้าที่เข้ามาก็เหมือนขยะ ใช้แป๊บเดียวก็พัง แต่รัฐบาลไทยไม่เคยตรวจสอบเรื่องคุณภาพมาตรฐาน

 

ยกตัวอย่าง ถ่านไฟฉาย 4 ก้อน 10 บาท ใช้แป๊บเดียวหมดแล้ว พวกนี้เป็นขยะมีพิษทั้งนั้น ไหนจะของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้าอีก สารพัด แต่กรมศุลกากรก็เหมือนกับหลับหูหลับตากับขบวนการที่ทำกันอย่างเปิดเผย โดยที่รัฐบาลได้ภาษีเข้ารัฐนิดเดียว แต่ที่เป็นภาษีใต้โต๊ะไม่รู้ไปตกหล่นอยู่ที่ใครบ้าง

 

“แค่นี้คือหลักคิดง่ายๆ กับเราที่เป็นโรงงาน รัฐตามล้างตามเช็ด บอกขาดทุนติดต่อกัน 2 ปีมาแล้ว ไม่เชื่อ จะเอาเงินเท่าเดิม แต่กรณีสินค้านำเข้าปล่อยให้เข้ามาทั้งที่เก็บภาษีไม่ได้ แถมยังทำลายอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการคนไทยอีก”

 

แหล่งข่าวกล่าวตอนท้ายว่า จริงๆ วิธีการแก้ปัญหาเรื่องสินค้านำเข้าจากจีนง่ายนิดเดียวและเห็นผลทันตาด้วย เพียงแค่ให้กรมศุลกากรเข้มงวด มีการตรวจสอบจัดเก็บภาษีอย่างตรงไปตรงมาทุกตู้เท่านั้น ซึ่งถ้าทำจริงๆ รัฐบาลนั่นแหละที่จะได้ประโยชน์ ได้เงินเข้าคลังเป็นกอบเป็นกำ จากปัจจุบันที่ไม่รู้ว่าได้เงินเข้ารัฐถึง 20% หรือเปล่า เมื่อเทียบกับสินค้าหลากชนิดที่นำเข้ามาขายจนเกลื่อนประเทศในขณะนี้

 

เพราะมันมีบางส่วนที่เป็นส่วนใหญ่ที่ตกหล่นระหว่างแถวๆ การท่าเรือฯ ส่วนในย่านสำเพ็งก็แถวเขตสัมพันธวงศ์ เทศกิจนี่แหละ !!!

 

ถามว่าแล้วถ้ารัฐบาลช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่ การ์เมนต์ไทยจะอยู่ได้หรือ !

 

คำตอบก็คือ เราคงกลับมายิ่งใหญ่ได้ไม่เท่าเดิม แต่ก็คงไม่เล็กแคระแกร็นอย่างที่เป็นอยู่ เพราะข้อเท็จจริงก็คือ ยังมีสินค้าอีกหลายส่วนที่คนไทยมีไอเดีย มีฝีมือ ที่สามารถแข่งขันกับจีนได้

 

ขอเพียงแต่รัฐบาลช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่อย่างเป็นระบบเท่านั้น !!!

 

ที่มา : http://www.halalthailand.com

 

 

 

 

 

***********************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*****************************************

 

 

guest

Post : 2013-10-10 19:48:51.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  หาดูยาก พายุใหญ่ 3 ลูกโผล่พร้อมกัน

 

 

 

 หาดูยาก พายุใหญ่ 3 ลูกโผล่พร้อมกัน

 

 

 

   

 

เกิดในมหาสมุทรอินเดีย (ลูกซ้ายสุด) .. ไซโคลนไพลิน (Phailin) กำลังแสดงอิทธิฤทธิ์ในทะเลเบงกอล ถัดมาทางทิศตะวันออกไต้ฝุ่นนาดี (Nari) กำลังมุ่งหน้าผ่านหมู่เกาะฟิลิปปินส์ทะลวงเข้าทะเลจีนใต้โดยมีปลายทางที่ชายแดนลาว-ไทย ไม่ไกลกัน "วิภา" พายุโซนร้อนชื่อไทย กำลังปั่นตัวเองเป็นไต้ฝุ่นระดับ 1 มุ่งหน้าถล่มจีน จะนานเท่าไรก็จำไม่ได้แล้วนับตั้งแต่เกิดพายุรุนแรงในเขตร้อนพร้อมกันถึง 3 ลูกครั้งก่อนหน้านี้ ตามรายงานของหน่วยงานวิจัยชั้นบรรยากาศมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐฯ ที่เห็นในภาพนี้เป็นปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยาก.

 

 

ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- นักอุตุนิยมวิทยาในย่านนี้กำลังจับตาปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยากเมื่อเกิดพายุเขตร้อนรุนแรงขึ้น 3 ลูกในเวลาไล่เลี่ยกันและหมุนในทิศทางเดียวกัน ทำให้เกิดพลังงานอันมหาศาล ทำให้ลมฟ้าอากาศในย่านนี้ปั่นป่วนอีกครั้งตั้งแต่ทะเลแปซิฟิกตะวันตก ทะเลจีนใต้ไปจนถึงอ่าวเบงกอล
       
       ขณะเดียวกันสำนักอุตุนิยมวิทยาแห่งต่างๆ ก็กำลังจับตาไต้ฝุ่นลูกใหม่ที่มุ่งหน้าเข้าสู่เกาะเหนือของฟิลิปปินส์ในวันศุกร์ 11 ต.ค.นี้ แผนภูมิพยากรณ์ของหลายสำนักชี้ว่าไต้ฝุ่นระดับ 3 มีปลายทางที่ชายแดนภาคกลางของลาวกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งถ้าหากเป็นไปตามนี้ต้นสัปดาห์หน้าภาคอีสานตอนกลางกับตอนล่างก็มีโอกาสชุ่มฉ่ำกับสายฝนอีกรอบ
       
       ไต้ฝุ่นลูกใหม่มีชื่อเขียนเป็น “Nari” ซึ่งควรจะเรียกเป็น "นา-ริ" แต่ในภาษาเกาหลีบ้านเกิดชื่อนี้ออกเสียงเป็น "นา-ดี" ทั้งนี้เป็นเสียงเรียกชื่อพายุที่บันทึกเอาไว้โดยหอสังเกตการณ์ฮ่องกง (Hong Kong Observatory) หรือองค์การอุตุนิยมวิทยาของเขตปกครองพิเศษ
       
       หอสังเกตการณ์ฯ แห่งนี้กล่าวว่า “นา-ดี” เป็นชื่อดอกไม้ทีมีกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง เติบโตจากหัวของมันแบบเดียวกับดอกลิลี่ มีทั้งสีขาวและเป็นสีสันต่างๆ เบ่งบานไปทั่วคาบสมุทรเกาหลีในหน้าร้อน
       
       แต่ไต้ฝุ่นนาดีในสัปดาห์นี้ไม่ได้อยู่เพียงลำพังในซีกโลกตะวันออก ภาพจำลองใช้ข้อมูลจากดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา MTSAT แสดงให้เห็นไซโคลนระดับ 4 ลูกใหญ่ที่มีขนาดราวครึ่งหนึ่งของชมพูทวีปกำลังหมุนคว้างโชว์นัยน์ตาอันดุร้ายอยู่ตอนบนของทะเลเบงกอลและรัฐบาลอินเดียสั่งอพยพคนนับแสนออกจากพื้นที่เสี่ยงในรัสโอดิสสาร์กับอันตราประเทศ
       
       ภาพ MODIS จากดาวเทียมขององค์การนาซ่าสหรัฐก็แสดงให้เห็นสิ่งเดียวกัน
       
       ไกลออกไปในแปซิฟิกตะวันออกพายุโซนร้อนวิภากำลังปั่นตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว พายุชื่อไทยลูกนี้พร้อมจะยกระดับเป็นไต้ฝุ่นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าและข่าวดีสำหรับเวียดนาม ลาว ไทยและชาวกัมพูชาที่กำลังจมน้ำอยู่ในสัปดาห์นี้ก็คือวิภากำลังพัดขึ้นเหนือสู่ทะเลแปซิฟิกทางตอนใต้เกาะญี่ปุ่น ไม่ตามหลังนาดีเข้าสู่อนุภูมิภาคนี้
       
       ตอนสายวันศุกร์ไต้ฝุ่นนาดีกำลังมุ่งหน้าเข้าเกาะลูซอน ไต้ฝุ่นทำให้นายจอห์น แครี่ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐต้องเลื่อนการเยือนฟิลิปปินส์ ขณะที่ทางการประเทศนี้สั่งจังหวัดต่างๆ บนเกาะเหนือรับมืออย่างเต็มกำลัง
       
       ตามพยากรณ์ของสำนัก Tropical Storm Risk ในกรุงลอนดอน ในวันศุกร์นี้นาดีกำลังปั่นตัวเองขึ้นเป็นไต้ฝุ่นระดับ 2 และสามารถจะขึ้นเป็นระดับ 3 ได้ขณะมุ่งหน้าเข้าทะเลจีนใต้สุดสัปดาห์นี้ ซึ่งไต้ฝุ่นวิภาจะพัดเบี่ยงขึ้นทางทิศเหนือผ่านเกาะโอกินาวามุ่งสู่ทะเลแปซิฟิกทางตอนใต้ของญี่ปุ่นตามรอยไต้ฝุ่นปลาบึก (Pabuk) เดือนที่แล้ว
       
       สำหรับเวียดนาม นาดีกำลังจะเป็นพายุรุนแรงลูกที่ 12 ที่เกิดขึ้นหรือพัดเข้าสู่ "ทะเลตะวันออก" ในปีนี้ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาและอุทกศาสตร์กลางในกรุงฮานอยออกเตือนก่อนเที่ยงวันศุกร์ไต้ฝุ่นกำลังมุ่งหน้าเข้าฝั่งในเขตนครเหวกับจ.เถือะเทียนเหว (Thua Thien Hue) ในอีก 72 ชั่วโมงข้างหน้าหรือเพียงข้ามสัปดาห์หลังไต้ฝุ่นหวูติ๊บ (Wutip) จางหายไป
       
       แผนภูมิพยากรณ์ของศูนย์ร่วมเตือนภัยไต้ฝุ่นของกองทัพเรือสหรัฐหรือ JTWC (Joint Typhoon Warning Center) ที่ออกในวันศุกร์ชี้ปลายทางของไต้ฝุ่นลูกใหม่ที่ชายแดนแขวงจำปาสักของลาวกับ จ.อุบลราชธานีของไทยกับสะหวันนะเขต-มุกดาหารในวันอังคารที่ 15 ต.ค. ซึ่งเป็นข่าวร้ายในขณะที่ทางการลาวกำลังเร่งเยียวยาความเสียหายจากไต้ฝุ่นหวูติ๊บในแขวงทางตอนใต้สุดของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด มีชาวลาวนับแสนคนต้องการความช่วยเหลือ
       
       ไกลออกไปในทะเลเบงกอล สำนักอุตุนิยมวิทยาแห่งต่างๆ คาดว่าไซโคลนไพลิน (Phailin) กำลังจะขึ้นฝั่งทะเลตะวันออกของอินเดียในอีก 24 ชั่งโมงข้างหน้าและกำลังจะเป็นพายุใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนในย่านนี้ไปกว่า 10,000 คน
       
       แผนภูมิโดยมหาวิทยาลัยวิสคอนซินที่เมืองเมดิสันในวันศุกร์นี้ได้แสดงให้เห็นพายุลูกใหญ่ กำลังหมุนคว้างอยู่ตอนเหนือของทะเลเบงกอล อีกลูกหนึ่งกำลังปั่นไอน้ำคละคลุ้งขณะเคลื่อนเข้าประชิดหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และลูกที่สามกำลังปั่นตัวเองอย่างเร่งรีบอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออก
       
       หลายสำนักกล่าวว่าไพลินกำลังแผ่อานุภาพอย่างน่ากลัว อำนาจการทำลายล้างของไซโคลนลูกนี้อาจจะเท่าๆ กับเฮอริเคนคาทริน่า (Katrina) ที่พัดเข้าทำลายล้างแหลมฟลอริดาเสียหายราบคาบในเดือน ส.ค.2548
       
       หน่วยงานวิจัยชั้นบรรยากาศของมหาวิทยาลัยวิสคอนซินกล่าวว่านับเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากที่เกิดพายุหมุนขนาดใหญ่ 3 ลูกพร้อมๆ ในซีกโลกตะวันออก ครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างในรอยต่อสองมหาสมุทร พายุยังหมุนทวนเข็มนาฬิกาแบบเดียวกันและค่อนข้างเป็นอิสระต่อกัน
       
       พายุใหญ่ทั้งสามลูกกำลังเปลี่ยนกระสวนความผันแปรทางภูมิอากาศในย่านนี้อย่างสำคัญ.

 

 

 

 

เมื่อพายุรุนแรง 3 ลูกเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน หมุนในทิศทางเดียวกันและต่างเป็นอิสระต่อกัน มันก็คือระเบิดปรมาณู 3 ลูกที่พลังงานมหาศาลพร้อมทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า. -- ภาพ: MODIS/NASA

 

 

 

 

 

ไพลิน (Phailin) ไซโคลนระดับ 4 โชว์นัยน์ตาอันดุร้ายในทะเลเบงกอลตอนสายวันศุกร์ 11 ต.ค.นี้ขณะมุ่งหน้าถล่ม 2 รัฐภาคตะวันออกของอินเดีย หลายสำนักกล่าวว่าอานุภาพของมันไพลินอาจเท่าๆ กับเฮอริเคนคาทรินา (Katrina) ที่พัดเข้าถล่มแหลมฟลอริดาของสหรัฐจนราบคาบในเดือน ส.ค. 2548.

 

 

 

 

 

แผนภูมิพยากรณ์ของหน่วยงานพยากรณ์อากาศในฟิลิปปินส์แสดงจุดนัดหมายต่างๆ ของไต้ฝุ่นนาดี (Nari) ตั้งแต่วันศุกร์นี้จนถึงต้นสัปดาห์หน้า สำนักอุตุนิยมวิทยาชั้นนำหลายแห่งกล่าวว่าไต้ฝุ่นลูกนี้กำลังจะเข้าซ้ำเติมสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ของลาวกับหลายจังหวัดของกัมพูชา.

 

 

 

 

 

 

ไต้ฝุ่นนาดี (Nari) หมุนคว้างอยู่ทางตะวันออกหมู่เกาะฟิลิปปินส์ตอนเช้าวันศุกร์นี้ หลายสำนักกล่าวว่านาดีสามารถปั่นความเร็วใกล้ศูนย์กลางขึ้นเป็นไต้ฝุ่นระดับ 3 ได้ขณะเคลื่อนเข้าทะเลจีนใต้สุดสัปดาห์นี้.

 

 

 

 

 

แผนภูมิพยากรณ์โดย JTWC ตอนเที่ยงวันศุกร์นี้ชี้ปลายทางของไต้ฝุ่นนาดี (Nari) ไปยังชายแดนลาว-ไทย หากเป็นไปตามนี้ภาคอีสานตอนกลางกับตอนล่างของไทยได้ชุมฉ่ำกันถ้วนหน้าอีกครั้งต้นสัปดาห์หน้า.

 

 

 

 

 ********************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*******************************************************

 

 

 

 

               “รู้ตัว” - คำสอนของพระธุดงค์เถื่อน

 

 

 

 

 

 

 

 

มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เดินธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่ “ถ้ำ” ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าแห่งหนึ่ง ไม่มีใครทราบว่า 
ท่านชื่ออะไร? มาจากไหน เพราะท่านไม่เคยบอกใคร พระภิกษุหนุ่มรูปนี้เป็นพระธุดงค์ที่ปฏิบัติเคร่งครัดมาก 
ห่มจีวรสีกลัก ฉันอาหารมื้อเดียว และฉันในบาตร ออกบิณฑบาตเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาด 
เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างสูง ทุกคนเรียกท่านว่า “หลวงพ่อ” ท่านมีลักษณะพิเศษ 
อย่างหนึ่ง คือ พูดน้อย อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเคยได้ยินท่านพูดถึง 3 ประโยคในคราวเดียวกัน 
และทุกๆ ประโยคที่หลุดออกมา มักจะเป็นปริศนาธรรมอันลึกซึ้ง หรือเป็นสุภาษิต มีคติน่าจับใจเสมอ 

วันหนึ่งมีชายคนหนึ่ง ชื่อ "เบี้ยว" ได้ไปกราบนมัสการและพบหลวงพ่อนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ชะง่อนหินตรงปากถ้ำ 
หลังจากกราบท่านแล้วจึงเอ๋ยถามว่า “หลวงพ่อครับ … ตัวผมนี้ ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังมีความสงสัย 
ลังเลอยู่มาก ไม่ทราบว่าจะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติ ผมเคยไปถามพระหลายองค์หลายวัด บางท่านสอนให้ 
ทำบุญทำทาน บางท่านสอนให้รักษาศีล บางท่านก็สอนให้เจริญภาวนา บ้างก็ให้วิปัสสนาพิจารณากันเลย 
บางท่านก็ชวนให้ออกบวช บางท่านก็แนะนำให้ทำจิตให้ว่าง ผมเลยงงไปหมด ไม่รู้ว่าจะยึดอะไรเป็นหลักแน่! 
หลวงพ่อกรุณาบอกผมด้วยว่า จะทำอย่างไร จึงจะเดินถูกทาง เข้าถึงแก่นพระศาสนาได้” 

รู้” หลวงพ่อตอบสั้น ๆ ตามแบบฉบับของท่าน แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก เบี้ยวงงเหมือนไก่ตาแตก 
เพราะไม่เข้าใจความหมาย จึงถามต่อว่า “รู้ อะไรครับ?” 

รู้ตัว” หลวงพ่อตอบ แล้วลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในถ้ำ ก่อนที่เบี้ยวจะได้ทันซักถามอะไรเพิ่มเติม 

หลายวันผ่านไป เมื่อไม่สามารถคิดปัญหาที่หลวงพ่อให้มาได้ เบี้ยวจึงคิดว่าบางทีหนังสืออาจจะช่วยได้บ้าง 
จึงไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับ “กลไกของร่างกายมนุษย์” มาอ่าน 

เมื่อเชื่อว่าตน “รู้ตัว” ดีแล้ว จึงได้ไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ และได้บรรยายกลไกแห่งร่างกายมนุษย์ ให้หลวงพ่อ 
ฟังอย่างละเอียด ตามที่จำได้จากหนังสือ เมื่อเล่าจบก็นั่งตั้งใจคอยฟังว่า หลวงพ่อท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไร 

เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากนั่งเงียบตลอดเวลา 
สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง … สมมติสัจจะ” 

ก่อนที่จะทันได้โต้ตอบ ท่านก็ลุกขึ้นเดินเข้าถ้ำไปเสียแล้ว ปล่อยให้เบี้ยวนั่งถอนใจผิดหวังอยู่คนเดียว 
ด้วยความไม่ย่อท้อ เบี้ยวเริ่มต้นคิดหาความหมายของคำว่า “รู้ตัว” ในแนวอื่น แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน 
จึงตัดสินใจเข้าไปพบและขอคำปรึกษาหารือจากอาจารย์ผู้สอนวิทยาศาสตร์ของเค้า หลังจากได้ทราบถึง 
ที่มาที่ไปจากเบี้ยว อาจารย์ผู้ได้ปริญญาโททางวิทยาศาสตร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า 
สรีรวิทยา หรือกายวิภาควิทยา ยังไม่ใช่ความรู้สุดท้ายเกี่ยวกับตัวมนุษย์ ถ้าจะให้ถึงที่สุดก็ต้อง 
ศึกษาในแง่เคมี” ว่าแล้วอาจารย์ก็เริ่มอธิบาย ร่างกายมนุษย์ในแง่เคมีให้ฟัง 

เบี้ยวกลับไปพบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง และได้อธิบาย “รู้ตัว” ในแง่วิชาเคมี ให้หลวงพ่อท่านฟังอย่างละเอียด 

เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากสักครู่ใหญ่ผ่านไป 
สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง … สภาวสัจจะ” 

เบี้ยวต้องผิดหวังกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เค้าหมดความมานะพยายามที่จะค้นหาความจริงต่อไป 
ยังพยายามขบคิดความหมายของ “รู้ตัว” ต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างแจ้งใดๆ จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง เค้า 
ได้ยินวิทยุท้องถิ่นประกาศข่าวว่า จะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางพระอภิธรรมคนหนึ่งมาแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 
ความลับของชีวิต” พอได้ยินประกาศนั้น เบี้ยวก็เกิดความหวังขึ้นมาทันทีว่า คราวนี้คง “รู้ตัว” แน่ๆ เพราะ 2 ครั้ง 
ที่แล้วมา ศึกษาแต่ในด้านวัตถุด้านเดียว จนลืมด้านจิตใจเสียสนิท 

ถึงวันนัดหมาย เบี้ยวได้เข้าไปฟัง เมื่อได้เวลา องค์ปาฐกก็ก้าวขึ้นสู่เวที ท่านกล่าวว่า คนสมัยนี้มีความรู้มาก 
ความรู้กว้างไกล ไกลจากตัวเองสู่โลก จากโลกสู่อวกาศ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ลืมตัวเองอย่างสนิท จึงมีความรู้ 
เกี่ยวกับตนเองน้อยมาก มนุษย์ไม่รู้ตนคืออะไร ประกอบด้วยอะไร เกิดมาได้อย่างไร ตายแล้วจะไปไหน 
ท่านได้อธิบายธรรมชาติของจิต ดวงต่างๆ การทำงานของจิต อารมณ์ของจิต เจตสิกธรรมต่างๆ ที่แทรกอยู่ในจิต 
เรื่องกรรม อำนาจของกรรม การเกิดใหม่ นอกจากนี้ยังได้อธิบายเรื่อง ผี เทวดา เปรต ตลอดจนถึงอำนาจลึกลับต่างๆ 
หลังได้ฟังจบ เบี้ยวเดินทางกลับบ้านด้วยความมั่นใจยิ่งกว่าคราวใด ครั้งนี้ทำให้เค้า “รู้ตัว” ในด้านจิตใจอย่างละเอียด 
“หลวงพ่อจะต้องยอมจำนนในคราวนี้แน่” คราวนี้เป็นเรื่องของจิตใจอันลึกซึ้งในพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งพระพุทธเจ้า 
ทรงแสดงไว้เอง ถ้าหลวงพ่อปฏิเสธอีกก็ให้มันรู้ไป 

วันรุ่งขึ้นเค้าจึงรีบไปที่ถ้ำ และเริ่มสาธยาย เรื่อง จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ตามหลักพระอภิธรรม ที่ได้ฟังมาจาก 
ในงานปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ความลับของชีวิต” ให้กับหลวงพ่อฟัง ด้วยความมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ 

เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อพูดขึ้นหน้าตาเฉย 
สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง ... ปรมัตถสัจจะ” ว่าแล้วก็เดินเข้าถ้ำไป 

ความผิดหวังถึง 3 ครั้ง 3 คราวนี้ ทำให้เบี้ยวเกิดความท้อแท้ใจ เพราะเชื่อมั่นว่าตน “รู้ตัว” จนเจนจบแล้ว 
ทั้งในแง่วัตถุและจิตใจ ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ และแง่พุทธศาสนา นอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก 
และแล้วเบี้ยวก็เลิกล้มความคิดที่จะค้นหาความจริงต่อไป กลับไปดำเนินชีวิตฆราวาสอย่างปกติธรรมดา 
ทำบุญรักษาศีลตามเดิม ไม่ได้คิดหาความหมายของ “รู้ตัว” และไม่ได้ไปพบหลวงพ่ออีกเลย 


 

 

 

 

ประมาณ 1 เดือนหลังจากนั้น เบี้ยวมีธุระจะต้องเดินทางไปต่างอำเภอ จึงไปขึ้นรถโดยสาร ในระหว่างทาง 
ได้เผลอหลับไป ครั้นพอตื่นขึ้นมา กลับพบว่าตัวเองได้นอนอยู่ในโรงพยาบาล มองดูรอบตัว มีแต่ผู้คน 
ที่ร้องเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด ต่อมาภายหลัง เมื่อนางพยาบาลนำยามาให้ จึงได้ทราบว่า รถที่ตน 
โดยสารมานั้น เกิดประสบอุบัติเหตุ เสียหลักพุ่งลงข้างถนนและพลิกคว่ำ ทำให้ผู้โดยสารตายทันที 7 ศพ 
นอกนั้นบาดเจ็บสาหัส สำหรับเบี้ยว ขาขวาหัก ต้องเข้าเฝือก และต้องรักษาตัวอย่างน้อย 2 สัปดาห์ 

ที่โรงพยาบาลนี้เอง เบี้ยวได้รู้จักความจริงอีกด้านหนึ่งของชีวิต ความเจ็บปวดแสนสาหัสและความไม่สะดวกสบาย 
ต่างๆ อันเกิดจากความเจ็บปวด ภาพของเพื่อนมนุษย์ผู้ผอมโซ เพราะโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดที่เห็นตำตาทุกวัน 
ภาพคนเจ็บที่ตายลงต่อหน้าต่อตา และถูกนำใส่รถเข็นออกไป ท่ามกลางเสียงร้องไห้ครวญครางของคนรัก 
ภาพเหล่านี้ทำให้เบี้ยวมองชีวิตในแนวใหม่ เค้าเริ่มเห็นว่า ชีวิตคือความทุกข์ แต่ละคนคือก้อนแห่งความทุกข์ 
ทุกคนที่เกิดมาในโลกเป็นคนป่วย ป่วยด้วยโรคหิว โรคกระหาย โรคง่วง โรคเหนื่อย โรครัก โรคชัง 
โรคอยาก โรคกลัว โรคโง่ โรคเหงา โรคเศร้า โรคทุกข์ สารพัดโรค 

และเบี้ยวยังเห็นต่อไปอีกว่า โลกทั้งโลก คือโรงพยาบาลอันมหึมา สมบัติทุกชิ้นที่มนุษย์มีอยู่และแสวงหาอยู่คือ 
ยาแก้โรคต่างๆ อาหาร แก้โรคหิว, น้ำ แก้โรคกระหาย, ที่พักอาศัย แก้โรคหนาวร้อน, เสื้อผ้า แก้โรคหนาวเย็น 
และโรคอาย, เพื่อนฝูงลูกเมีย แก้โรคเหงา, นอน แก้โรคง่วง, เรียน แก้โรคโง่, แต่ถึงแม้จะมียามากมาย 
แค่ไหน ... ในที่สุด ก็ไม่พ้น โรคแก่ โรคเจ็บ และโรคตาย ซึ่งไม่มียาใดๆ รักษาได้ 

ความจริงของชีวิตที่เบี้ยวได้พบ ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างลึกซึ้ง และความสังเวชนี้ได้ขึ้นถึงขีดสุดใน 
เช้าวันหนึ่ง … เบี้ยวสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากข้างๆ เตียง ซึ่งเป็นเตียงของเพื่อนร่วมทุกข์ 
ชายหนุ่มวัย 28 ปี ที่นอนเจ็บอยู่ข้างๆกันมาเกือบอาทิตย์ ภรรยาของชายคนนั้นกำลังร้องไห้ฟูมฟาย และลูกน้อย 
วัย 3 ขวบที่กอดคอแม่ร้องไห้ ดูเป็นที่น่าสงสารยิ่งนัก … เบี้ยวได้ถามว่า ร้องไห้เพราะเหตุใด? ภรรยาของเขาไม่ตอบ 
เพียงแต่ชี้ไปทางสามีซึ่งกำลังนอน แน่นิ่งอยู่บนเตียง เบี้ยวลุกลงจากเตียง เดินกระย่องกระแย่งไปจับดูเท้าของเขา 
เบี้ยวสะดุ้งและชักมือกลับด้วยความตกใจ เพราะปรากฏว่า เท้าของเขาเย็นเฉียบ เมื่อคลำดูชีพจรที่ข้อเท้า ก็พบว่าเขา 
สิ้นใจตายเสียแล้ว! “ไปที่ชอบๆ เถิดเพื่อนรัก” เบี้ยวพูดออกมาคล้ายคนละเมอ พลางยื่นมือไปปิดเปลือกตาของเขา 

ในไม่ช้า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็นำรถเข้ามาเทียบ ยกร่างอันไร้วิญญาณของเขาขึ้นสู่รถเข็น แล้วเข็นออกไป 
พร้อมด้วยภรรยาของเขา ซึ่งอุ้มลูกหอบผ้าร้องไห้เดินตามไปอย่างระทดระทวย คนป่วยอื่นๆต่างมองหน้ากันทำตาปริบๆ 
เขาไปเสียแล้ว” คนป่วยชราบนเตียงข้างหน้าอุทานออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่ในไม่ช้าเราทุกคนก็จะตามเขา 
ไป
” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากมองเพดาน ... เบี้ยวล้มตัวลงนอนบ้าง แต่แล้วก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที 
เพราะเกิดความคิดขึ้นอย่างฉับพลัน คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นในดวงจิตว่า “รู้ตัว” ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์ เท่ากับ “รู้ตัว” 

รู้ตัว ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์เท่ากับ รู้ตัว” พร้อมๆ กับความคิดนี้ ทำให้เบี้ยวเกิดความเบื่อหน่ายแกมสังเวชสลด
ใจต่อการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขาได้ตั้งปณิธานลงไปว่า ... ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าจะทำความดีใดๆ 
ก็จะไม่ทำเพื่อให้ตน ได้ไปเกิดในสวรรค์ อันจะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอีก 
แต่จะทำเพื่อขัดเกลาสันดานให้บริสุทธิ์สะอาด เพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าจะเว้นการทำชั่ว 
ก็จะไม่เว้นเพราะกลัวตกนรก แต่เว้นเพราะกลัวการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ


ขณะที่กำลังนั่งคิดอยู่นั้นเอง จิตใจก็หวนนึกถึงหลวงพ่อที่ถ้ำขึ้นมา เบี้ยวเกิดความมั่นใจอย่างประหลาดว่า บัดนี้ได้ 
รู้ตัว” แล้ว ความมั่นใจทำให้อยากหายเร็วๆ จะได้รีบกลับไปรายงานผลให้หลวงพ่อทราบ เบี้ยวล้มตัวลงนอนด้วยจิตใจ 
อิ่มเอิบ และด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มผิดจากวันก่อนๆ ปิติอันเกิดจากความรู้ใหม่ ทำให้เบี้ยวลืมความเจ็บป่วยเกือบสิ้นเชิง 

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันก็ได้เกิดขึ้น!! หลวงพ่อที่เบี้ยวกำลังระลึกถึงอยู่นั้น 
ได้เดินผ่านทะลุประตูเข้ามาในห้องจริงๆ!! หลวงพ่อท่านมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงของเบี้ยว แต่มิได้พูดอะไรออกมา ... 
เบี้ยวรีบลุกขึ้นนั่งยกมือไหว้ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะความตกตะลึงต่อเหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน 
ครั้นได้สติกลับคืนมา ก็เตรียมจะเอ่ยปากรายงานผลการ “รู้ตัว” แก่ท่าน ... แต่ก่อนที่จะทันได้อ้าปากพูด 
หลวงพ่อท่านก็ยกมือขวาขึ้นเป็นเชิงห้าม แล้วท่านก็พูดออกมาเองอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า 

เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว ... ผู้ใดรู้จักทุกข์ ผู้นั้นรู้จักตัว ผู้ใดเห็นตัว ผู้นั้นเห็นทุกข์ ... 
ถ้าเจ้ารู้ สมมติสัจจะ เจ้าจะเพียงแต่ฉลาดในคดีโลก ... 
ถ้าเจ้ารู้สภาวะสัจจะ เจ้าจะเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์ ... 
ถ้าเจ้ารู้ปรมัตถสัจจะ เจ้าก็จะเป็นได้ก็เพียงนักปรัชญา ... 
แต่ถ้าเจ้าเห็นทุกข์ เจ้าก็เห็นอริยสัจจะ และกำลังจะก้าวไปสู่ความเป็นอริยบุคคล … 
เจ้าเริ่มก้าวขึ้นสู่ทางเดินอันถูกต้อง และจะไม่มีวันถอยหลังกลับ 

เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นทุกข์อันมาในรูป คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงเบื่อหน่าย 
เสด็จออกบรรพชา แล้วพระองค์ก็ไม่กลับคืนมาสู่โลกอันเต็มไปด้วยทุกข์อีก 
ท่านยสกุลบุตรตื่นขึ้นกลางดึก เห็นสภาพอันน่าสังเวชของหญิงบริวาร ที่กำลังหลับใหลอยู่ 
เป็นดุจซากศพในป่าช้าผีดิบ จึงเดินบ่นออกจากบ้านตนเอง ไปจนพบพระพุทธองค์ 
ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วท่านก็ไม่หวนกลับมาอีก พระสารีบุตร และพระมหาโมคัลลานะ 
เห็นทุกข์ขณะดูมหรสพบนยอดเขา เกิดความเบื่อหน่าย ออกบรรพชาแล้ว ท่านก็ไม่หวนกลับอีก 
ใครๆ ก็ตามถ้ายังไม่เห็นทุกข์ แม้ออกบรรพชา ก็ยังจะต้องหวนกลับคืน ... 

บัดนี้เจ้า 'รู้ตัว' แล้ว เป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์ทั้ง กาย วาจา ใจ … 
จงก้าวเดินต่อไปตามทางแห่งอริยมรรค เพื่อดับสมุทัย และบรรลุถึงนิโรธในที่สุดเถิด” 

พูดจบ หลวงพ่อท่านก็หันกลับ เดินทะลุประตูออกไปทันที ก่อนที่เบี้ยวจะได้กล่าวตอบโต้ใดๆ 
เบี้ยวยกมือไหว้ตามหลังท่าน แล้วก็ก้มหน้าคิดทบทวนตามคำสอนของหลวงพ่อ เป็นครั้งแรก 
ที่ได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างยืดยาวเช่นนี้ เบี้ยวรู้สึกปลื้มปิติ อย่างบอกไม่ถูก ที่หลวงพ่ออุตส่าห์มาเยี่ยม 
และที่สำคัญที่สุด ก็มารับรองความเห็นของเขาว่า ถูกต้องแล้ว 

หลังจากได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เบี้ยวเดินทางกลับบ้านทันที โดยหวังว่าจะไปนมัสการ 
หลวงพ่อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พอถึงบ้านอาบน้ำรับประทานอาหารอย่างรีบเร่ง แล้วก็ออกเดินทาง 
มุ่งหน้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เมื่อถึงปากถ้ำ เบี้ยวมิได้พบหลวงพ่อนั่งพักผ่อนอยู่ที่ปากถ้ำดังแต่ก่อน 
บรรยากาศทั่วไปก็ดูเงียบเชียบวังเวงผิดปกติ เขารู้สึกประหลากใจอย่างมาก แต่ก็ยังหวังอยู่ว่า 
หลวงพ่อคงจะพักผ่อนอยู่ในถ้ำ ครั้นโผล่ศีรษะเข้าไปในถ้ำและส่งเสียงร้องเรียก “หลวงพ่อๆ” หลายครั้ง 
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงของเขาเองที่สะท้อนกลับมา เบี้ยวสำรวจภายในถ้ำจนทั่ว 
ก็ไม่พบร่องรอยของหลวงพ่อ จนในที่สุดระหว่างเดินทางกลับบ้าน ชายแก่คนหนึ่งซึ่งเดินสวนทางมา 
หลวงพ่อจากถ้ำไปเสียแล้ว" ชายแก่บอกกับเขา "ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปไหน มีคนเห็นท่านสะพายบาตร 
แบกกลดเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่เย็นวานนี้” ... แม้หลวงพ่อจะได้จาริกธุดงค์จากไปแล้ว 
แต่เบี้ยวรู้สึกคล้ายกับว่าหลวงพ่อท่านยังอยู่กับเขาตลอดเวลา…. 

 

 

 

หลวงพ่อธรรมงาม-พระธุดงค์เถื่อนที่ควรบูชา ท่านอยู่ ณ ที่ใด?
------------------------------------------------------------------


เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าชะแนน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย 
ชื่อ บัวเพชร ประกายสิทธิ์ ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “เบี้ยว ชัยพร” ขณะกำลังขับรถออกตรวจเขตป่าอยู่ นั่งระลึกไปถึง 
พระธุดงค์รูปหนึ่ง “ผู้ที่ไม่หวนกลับ” ในฉายานาม “หลวงพ่อธรรมงาม” 

เรื่องราวนี้ ถูกเผยแพร่จากนิตยสารในเครือโลกทิพย์ ซึ่งได้นำเรื่องราวของ “หลวงพ่อธรรมงาม” 
(พระธุดงค์โสภณ ธัมมโสภโณ) แห่งกุฏิแพ-อาศรมพระธรรมงามริมฝั่งโขง มาตีพิมพ์ เพื่อสนองเจตนาของศรัทธา 
ญาติโยม ศิษยานุศิษย์ที่เคารพนับถือในพระธุดงค์รูปนี้ 

ผมบังเอิญได้อ่านเจอบทความนี้ รู้สึกน่าสนใจ ให้แง่คิด เป็น ธรรมะสอนใจ น่าจะมีประโยชน์กับเหล่าฆราวาสธรรมท่านอื่นๆ จึงได้เรียบเรียงใหม่ โดยย่อให้ใจความกระชับขึ้น เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน หากอยากอ่านฉบับเต็ม สามารถอ่านได้ที่ www.dhamma-ngam.com เป็นเว็ปไซด์ของหลวงพ่อโดยตรงซึ่งยังมีตำนานเรื่องเล่าขานน่าสนใจ อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับ “หลวงพ่อธรรมงาม” ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น พระอรหันต์สีวลีในยุค 200 ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 
 

 

 

 

 

 

***********************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ***************************************

 

 

 

 

       ดื่มน้ำมากๆทำไมถึงตายได้

 

 

 

                                                

 

 

 

จากข่าววัยรุ่นที่ถูกบังคับให้กินน้ำจนกระทั่งเสียชีวิต แม้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ก็มีคน

 ไม่น้อยสงสัยว่าทำไมจึงเสียชีวิตได้ทั้งที่ดื่มน้ำธรรมดาสามัญ

 

ร่างกายของคนเราออกแบบมาให้เก็บสารที่สำคัญ น้ำคือสิ่งที่จำเป็นและจากวิวัฒนาการ

มาคนเราต้องการน้ำและมักอยู่ในภาวะขาดมากกว่า ร่างกายจึงปรับตัวให้ดูดซึมน้ำได้ดี

เมื่อดื่มน้ำเปล่าเข้าไป น้ำก็จะดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว 


ทีนี้เมื่อร่างกายได้น้ำพอ ก็จะใช้กลไกนึงไปสั่งการสมองว่าตอนนี้ไม่หิวน้ำแล้ว จงหยุดดื่ม

น้ำ ปัญหาคือ เมื่อไม่หยุดดื่ม ก็จะเกิดอันตรายได้

 

เพราะเมื่อน้ำเข้าไปในร่างกาย ก็จะทำให้เลือดเกิดการเจือจางซึ่งถ้าจางเกินไปก็อันตราย

ร่างกายก็จะปรับตัวโดยการดึงน้ำเข้าเซลล์และพื้นที่ต่างๆ 


เข้าปอด เกิดน้ำท่วมปอด หายใจไม่ได้ เหมือนตกในภาวะจมน้ำ 
เข้าสมอง เกิดอาการมึนงงวิงเวียน อาเจียน (เป็นกลไกป้องกันตัวแบบนึง เพราะพอ

อาเจียนก็กินน้ำเพิ่มไม่ได้)

 

ทีนี้ถ้ายังฝืนกินต่อหรือโดนจับกรอกกินต่อ สมองก็จะบวม ชัก เกร็ง และเสียชีวิต

ภาวะเหล่านี้ พบใน
1. คนที่โดนบังคับให้ดื่มน้ำ 
2. คนที่เล่นกีฬาเป็นเวลานาน และดื่มน้ำเปล่ามากเกินไป 
3. คนที่ใช้ยาเสพติดบางชนิด หรือใช้ยาทางจิตประสาท ที่ทำให้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำ

ปล. สำหรับคนที่ถามว่าแล้วดื่มน้ำแค่ไหนดี คงตอบสั้นๆไม่ลงรายละเอียดมากนักว่าดื่มแค่

แก้กระหายหรือถ้าไม่กระหายเลยอาจจะดื่มราวๆ1.5-2.5ลิตรต่อวัน ถ้าอยู่ในที่อากาศร้อนมากๆ

ก็เพิ่มส่วนตามความกระหายไม่มีตายตัว เพราะไตในคนปกติก็สามารถจัดการกับน้ำที่มากหรือ

น้อยเกินไปได้บ้าง 


ปล. แต่ครั้งละ 5-6ลิตร ไม่ควรนะครับ

 

 

 

 

 

 ****************************************

 

 

 

 

                                                        โกงเบี้ยเลี้ยง

 

 

 

 

1395210_570870756311366_128436270_n.jpg

 

 

 

 

แชร์ว่อนเน็ต !! หลังมีคนปูดข่าวงบ 200 ล้านเบี้ย 800 บาท ต่อวัน สำหรับเลี้ยงตำรวจปราบม็อบกปท.   - แต่กินข้าวไข่ต้มทุกวัน ตำรวจชั้นผู้น้อยบ่นยับ แถมยังต้องยอมควักเงินไปหากินเอง ???

 

วันนี้ ( 11 ต.ค.)  รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วงเล็กที่มี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีมติอนุมัติการประกาศใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในพื้นที่ 3 เขตของ กทม.เพื่อรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุมกองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ หรือ กปท.ที่ปักหลักอยู่ข้างทำเนียบรัฐบาลนั้น

 

ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ความมั่นคง ได้เสนอของบประมาณในการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯครั้งนี้ เป็นจำนวนเงินถึง 200 ล้านบาทด้วยกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับตำรวจที่มาประจำการในอัตรา 800 บาทต่อหัวต่อวัน ค่าอาหาร 3 มื้อตลอดวันต่อนาย รวมไปถึงค่าพาหนะ และน้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆด้วย

 

          ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามนายตำรวจที่เข้ามาประจำการในทำเนียบรัฐบาลถึงอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับในแต่ละวัน ส่วนใหญ่พยายามบ่ายเบี่ยงไม่บอกตัวเลขที่ชัดเจน โดยอ้างว่าไม่ทราบ ขณะที่บางส่วนยอมรับว่าได้รับอยู่ที่ 300-400 บาทต่อวันขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้บังคับบัญชาแต่ละหน่วยว่าจะจัดสรรอย่างไร นอกจากนี้ยังมีนายตำรวจหลายนายตำหนิอาหารกล่องที่ทางต้นสังกัดจัดเตรียมไว้ให้ โดยระบุว่ามักจะเป็นข้าวผัดกระเพราและไข่ต้มซ้ำกันตลอดแทบทุกมื้อ ทำให้บางส่วนต้องยอมเสียเงินเพื่อซื้ออาหารในโรงอาหารภายในทำเนียบรัฐบาลเอง

 

          ล่าสุดในเพจ "คนใต้ ใจเต็ม FC"  ได้แชร์ภาพ ข้าวพร้อมไข่ต้มซึ่งเป็นอาหารสำหรับเจ้าที่ตำรวจ ที่เข้าควบคุมม็อบกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ...

 

 

 

 

 

 

 

 ทหารชั้นผู้น้อยร้องเรียนเพื่อไทย..เบี้ยเลี้ยงภูเก็ตโดนอม สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์

 

วันนี้ (21ก.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ท้าให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลงสมัครเลือกตั้งซ่อมที่จ.สุราษฎร์ธานี แข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ แทนพื้นที่ที่ว่างลง หลังจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯทำการลาออกจาก ส.ส. ว่า นายยงยุทธได้ปฏิเสธที่จะลงเลือกตั้งซ่อมแล้ว คนเป็นหัวหน้าพรรคอันดับหนึ่งที่มี ส.ส. 188 เสียง ต้องลงสมัครแบบสัดส่วนถึงจะเหมาะสม   
 
ทั้งนี้ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งออกมาเมื่อใด พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะมีความพร้อมเรื่องตัวผู้สมัครที่ดี เด่น ดัง แน่นอน เบื้องต้นขณะนี้มีรายชื่อทั้งหมด 4 คนด้วยกัน โดยจะพิจารณาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะฐานคะแนนในพื้นที่ อยากให้พรรคประชาธิปัตย์เคลียร์เรื่องภายในพรรคตัวเองให้ได้ก่อน มาท้าคนอื่น เพราะยังเห็นกัดกันอยู่ฝุ่นตลบระหว่างกลุ่มทศวรรษใหม่ กับกลุ่มผลัดใบ ว่าจะส่งใครลงระหว่างน้องชายนายสุเทพ หรือ บุตรชาย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน   
 
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องทหารชั้นผู้น้อยที่ไปปฏิบัติ หน้าที่ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่จ.ภูเก็ต เกี่ยวกับเงินค่าเบี้ยเลี้ยง ที่เซ็นรับเงินไป 1,000 บาท แต่กลับได้รับเงินเพียง 300 บาท ไม่รู้ว่าอีก 700 บาทหายไปไหน อยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ชี้แจงว่าเงินรั่วไหลไปไหน ขอให้สงสารทหารชั้นผู้น้อยด้วย เพราะค่าครองชีพที่จ.ภูเก็ตนั้นค่อนข้างสูง
 
ไทยรัฐออนไลน์
โดย ไทยรัฐออนไลน์
21 กรกฎาคม 2552, 14:55 น.
 

 

 

 

************************************

 

 

 

 

 

                            อเมริกาจะล่มสลายจริงหรือ?

 

 
 
 
 
            usa

 

 

 

 

 ในระยะหลัง ๆ โดยเฉพาะยุคหลังสงครามเย็นอันเป็นยุคที่มีประเทศเกิดใหม่มีบทบาทมากขึ้นทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและอินเดีย จีนและอินเดียต่างก็มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงในระดับร้อยละ 8 — 10 ติดต่อกันหลายปีโดยเฉพาะจีนนั้นอัตราการเติบโตในระดับดังกล่าวสูงต่อเนื่องกว่าทศวรรษ ในปีที่ผ่านมาจีนก็แซงหน้าญี่ปุ่นในฐานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจวัดด้วย GDP นำหน้าญี่ปุ่นและขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลกตามหลังสหรัฐอเมริกานอกจากนั้น ยังมีนักวิเคราะห์บางคนถึงกับกล่าวว่าจีนจะนำหน้าสหรัฐอเมริกาในอนาคตในหลายต่อหลายเรื่อง

 

นอกจากจีนและอินเดียที่ผงาดขึ้นมาในเวทีโลกแล้วก็ยังมีประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นบราซิล รัสเซีย เกาหลี อินโดนีเซียต่างก็มีบทบาทสำคัญทั้งในระดับภูมิภาคและโลก มีการกล่าวในทำนองว่ายุคศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของเอเชียแปซิฟิก กล่าวอีกนัยหนึ่งยุคแห่งความรุ่งโรจของตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกากำลังถูกมองว่าจะจบลงและเป็นยุคใหม่ที่แกนแห่งอำนาจจะเคลื่อนย้ายจากแอตแลนติกมาสู่แปซิฟิก ระบบคิดดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่น่าจะมาวิเคราะห์ถึงองค์ประกอบลึก ๆ ซึ่งเป็นตัวกำหนดทิศทางแห่งความยิ่งใหญ่ของตะวันตกในอดีตและวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ว่าเอเชียแปซิฟิกจะมีความสามารถขึ้นมาแทนที่สหรัฐอเมริกาและตะวันตกในศตวรรษนี้ได้หรือไม่

           ความยิ่งใหญ่ของโลกตะวันตกนั้นเริ่มขึ้นในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อยุโรปหลายประเทศรวมตัวเป็นรัฐชาติและสิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นเชื้อนำไปสู่การเป็นมหาอำนาจของตะวันตกอันประกอบไปด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอะมัน อิตาลีและอื่น ๆ ตลอดจนการขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจของสหรัฐอเมริกามีความผูกพันกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่ายุค “Renaissance” อันเป็นยุคที่ยุโรปตะวันตกต้องหันกลับไปเอาระบบคิดของกรีกมาใช้ สาระสำคัญในยุคนี้คือการนำเอาหลักการที่เรียกว่ามนุษยนิยม (Humanism) เน้นความสามารถของมนุษย์ เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลอันเป็นแนวคิดที่ได้รับมาจากกรีกโบราณ แนวคิดดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในยุโรปอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 เพราะทำให้เกิดระบบคิดเรื่องเสรีนิยม เสรีนิยมทางศาสนาทำให้เกิดการต่อต้าน  ศาสนจักรคาทอลิคนำไปสู่การกำเนิดความหลากหลายของศาสนาคริสต์ซึ่งมีหลายสายไม่ว่าจะเป็น โปแตสสแตนท์ นิกายคาลวิน (Calvinism) และอื่น ๆ ตลอดจนนิกายแองกลิแกน (Anglican) ของอังกฤษ ยุคนี้จึงเป็นยุคที่เรียกว่ามีการปฏิวัติของศาสนาคริสต์ครั้งใหญ่ (Reformation) ทำให้ศาสนจักรคาทอลิคต้องมีการปรับปรุง (Counter Reformation) เสรีนิยมทางเศรษฐกิจก็เป็นต้นกำเนิดของการเปิดเสรีและเขตการค้าเสรีในปัจจุบัน เสรีนิยมทางการเมืองนำไปสู่ระบบประชาธิปไตยเสรีนิยม

          แนวคิดที่ได้มาจากยุค Renaissance นี่เองนำไปสู่การขยายตัวของการเรียนรู้โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 18 ได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่งการเรียนรู้ที่สำคัญ “Enlightenment” และในขณะเดียวกันทำให้เกิดการขยายตัวของวิทยาศาสตร์และนำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในปีค.ศ. 1850 นำไปสู่การเป็นอภิมหาอำนาจของตะวันตกจากความได้เปรียบทางด้านเทคโนโลยีและระบบการศึกษา

             ความยิ่งใหญ่ของโลกตะวันตกและต่อเนื่องมาสู่สหรัฐอเมริกาจึงมีจุดเริ่มต้นมาจากระบบคิดที่มีความได้เปรียบคนชาติอื่นและทำให้ตะวันตกมองความยิ่งใหญ่กว่า 500 ปีแผ่อาณานิคมไปทุกส่วนของโลกจนถึงทุกวันนี้

            นักประวัติศาสตร์คนสำคัญคือนายNiall Ferguson ได้เขียนหนังสือเรื่อง Civilization ในหนังสือดังกล่าวได้พูดถึงความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาสามารถครองความเป็นอภิมหาอำนาจได้เพราะเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของตะวันตก องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาสามารถรักษาความยิ่งใหญ่ในฐานะประเทศอภิมหาอำนาจถึงปัจจุบันซึ่งนาย Ferguson เรียกว่า “Killer Application” ซึ่งมีทั้งหมด 6 ประการคือ

  1. การแข่งขัน (Competition) สังคมสหรัฐอเมริกาเป็นสังคมที่เน้นการแข่งขันสูงซึ่งสร้างแรงกดดันที่จะให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด เทคโนโลยีที่ดีที่สุดและเป็นผลทำให้คนได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุด
  2. วิทยาศาสตร์ (Science) สังคมตะวันตกเป็นสังคมยิ่งใหญ่เพราะมีระบบคิดเชิงสร้างสรรค์และพัฒนาวิทยาศาสตร์จนนำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมและพัฒนาไอที ความยิ่งใหญ่ของตะวันตกจึงขึ้นอยู่กับพื้นฐานความคิดดังกล่าว
  3. การแพทย์ (Medicine) การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์เชื่อมโยงกับความเจริญทางการแพทย์ทำให้เกิดความได้เปรียบเชิงการแข่งขันด้วยวิถีชีวิต
  4. ประชาธิปไตย (Democracy) ความได้เปรียบอีกประการคือระบบคิดที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นเชื้อสู่ความได้เปรียบดังเห็นได้ว่าหลายประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการยังล้มลุกคลุกคลานดังจะเห็นได้ในตะวันออกกลาง นอกจากประชาธิปไตยจะทำให้พัฒนาศักยภาพความเป็นมนุษย์แล้วการพัฒนาระบบคิดเชิงนวัตกรรมก็เป็นผลจากการมีความคิดที่ไม่ได้ถูกปิดกั้นและกดดัน
  5. บริโภคนิยม (consumerism) วัฒนธรรมการบริโภคนำไปสู่การแข่งขันและเกิดการพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อเกิดการตอบสนองกับความต้องการที่มีอย่างหลากหลายส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างไร้ขอบเขต
  6. จริยธรรมในการทำงาน (Work Ethic) ตะวันตกเน้นถึงความเอาจริงเอาจังในการทำงานดังจะเห็นได้จากแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการมาจากตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาก็จะเป็นอีกส่วนที่จะสามารถอธิบายถึงความสามารถในการแข่งขัน

             Killer ทั้ง 6 ประการคือองค์ประกอบที่นำไปสู่ความความเป็นอภิมหาอำนาจของตะวันตกตลอดกว่า 5 ศตวรรษ คำถามคือประเทศเอเชียแปซิฟิกรวมทั้งจีนและอินเดียมีความสามารถและมีความได้เปรียบถ้าพิจารณาจากองค์ประกอบทั้ง 6 หรือไม่ กล่าวคือระบบคิดการศึกษา เทคโนโลยีของตะวันออกยังอยู่ห่างไกลจากสหรัฐอเมริกาและตะวันตก พัฒนาการของความยิ่งใหญ่ที่จะนำไปสู่การเป็นมหาอำนาจนั้นสิ่งสำคัญไม่ใช่ปริมาณ GDP หรือขนาดของบริษัท แต่จะต้องมาจากรากฐานของระบบคิดและพื้นฐานทางด้านการศึกษา ดังนั้นถ้าพิจารณาจากองค์ประกอบทั้ง 6 ประการก็เป็นที่กังขาว่าสหรัฐอเมริกากำลังจะเสื่อมคลายลงและเอเชียแปซิฟิกจะขึ้นมาแทนที่นั้นจริงหรือไม่ คำถามก็คือเอเชียแปซิฟิกอาจจะยิ่งใหญ่ได้จากจำนวนประชากร ขนาดเศรษฐกิจแต่จะยิ่งใหญ่ในเชิงมหาอำนาจที่สหรัฐอเมริกาและตะวันตกครอบครองตลอด 500 ปีคงจะเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก

            โดยสรุปแม้ประเทศเกิดใหม่จะมีบทบาทมากขึ้นก็ตามอำนาจของสหรัฐอเมริกาอาจจะถดถอยในเชิงสัมพัทธ์แต่การสรุปว่าเป็นยุคสิ้นสุดของแอตแลนติกและเป็นยุคพระอาทิตย์ขึ้นของฝั่งแปซิฟิกก็คงจะเป็นปุจฉาที่เต็มไปด้วยข้อกังขาอีกมากมาย.

 

 

***********************************

 

 

 

 

นายกฯ เตรียมไปประชุม APEC ที่บาหลี 6-8 ต.ค.นี้

 

 

นายกฯ เตรียมไปประชุม APEC ที่บาหลี 6-8 ต.ค.นี้

 

 

นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมผู้นำ APEC ที่บาหลี อินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 6-8 ตุลาคม หลังจากนั้นจะไปประชุมสุดยอด ASEAN ที่ประเทศบรูไน ระหว่างวันที่ 9-10 ตุลาคมนี้ 

 

นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 21 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 23 ระหว่างวันที่ 6-8 ตุลาคม ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีจีน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย และนักธุรกิจที่ร่วมงาน จากนั้น วันที่ 9-10 ตุลาคม นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ที่กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม   

 

 

 
 
สัญลักษณ์เอเปค
ชาติสมาชิกเอเปก

 

 

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) เป็นกลุ่ม

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

 

เอเปคก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2532 โดยมีจุดประสงค์ มุ่งเน้นความเจริญเติบโตและการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาค และผลักดัน

ให้การเจรจาการค้าหลายฝ่าย รอบอุรุกวัย ประสบผลสำเร็จ ขณะเดียวกัน เอเปคก็ต้องการถ่วงดุลอำนาจทางเศรษฐกิจของ

กลุ่มเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มสหภาพยุโรป อีกด้วย

 

สิทธิประโยชน์ที่สมาชิกเอเปคให้แก่กัน จะมีผลต่อผู้ที่มิได้เป็นสมาชิกเอเปคด้วย

 

 

242012, 7 กันยายน-8 กันยายนธงของสหพันธรัฐรัสเซีย รัสเซียวลาดิวอสต๊อ

252013, 5 ตุลาคม-7 ตุลาคมธงของประเทศอินโดนีเซีย อินโดนีเซียบาหลี

262014, พฤศจิกายนธงของสาธารณรัฐประชาชนจีน จีน

272015, พฤศจิกายนธงของประเทศฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์มะนิลา

282016, พฤศจิกายนธงของประเทศเปรู เปรูลิมา

 
 
 
 
***********************************************
 
 
 
 
 

    วิเคราะห์ความล้มเหลวของม็อบ

กระทู้สนทนา
ก็อยากวิเคราะห์เอาไว้เผื่อหัวหน้าเซลส์แมนเหล่านี้อ่านมาพบเจอจะได้เอาไปปรับปรุงเทคนิคการขายกันได้บ้าง
เห็นทู่ซี้ตื้อขายกันแบบเดิมๆแล้วลูกค้าอย่างผมรู้สึกรำคาญน่ะครับ
ความจริงงานระดับคิดล้มล้างรัฐบาลนี่งานใหญ่นะครับ เพราะมันหมายถึงยึดอำนาจการปกครองประเทศเลยทีเดียว
งานระดับนี้ในสมัยโบราณนี่ก็คือต้องทำสงครามฆ่าฟันกันจนถึงที่สุด บาดเจ็บล้มตายกันบางครั้งถึงกับสิ้นเผ่าพันธุ์กันเลยทีเดียว
ต้องมีการวางแผนตระเตรียมการกันเป็นปี ไม่ใช่คิดแบบเด็กช่างกล ที่นึกจะยกพวกไปตีใครก็เฮกันไป
แม่ทัพนายกองก็ต้องมีความสามารถจริงๆถึงจะมาท้ารบกันได้
แต่ผมไม่อยากจะเปรียบเทียบกับสงครามเพราะมันดูจะรุนแรงไป
ขอเปรียบกับการค้าขายดีกว่า
การแข่งขันทางการเมืองนั้นก็ไม่ต่างกับการขายของหรอกครับ มีแนวคิดของตัวเองเป็นสินค้า
ทำยังไงถึงจะขายได้มันก็ต้องมีการศึกษา และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสินค้าให้เป็นที่ต้องการของลูกค้า
ในฐานะลูกค้าผมก็อยากจะชี้ข้อบกพร่องในการขายสินค้าของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่ผมเห็นนะ

ปัญหาแรกก็คือเซลส์ไม่มั่นใจกับคุณภาพสินค้าของตัวเอง 
เห็นได้จากมีแต่โฆษณาโจมตีสินค้าคู่แข่งแต่ไม่ค่อยเน้นให้ลูกค้าเห็นชัดเจนว่าสินค้าของตนดีกว่าอย่างไร 
ทั้งขู่แกมบังคับให้ลูกค้าโยนของเก่าทิ้งแต่ไม่ให้ลูกค้าเห็นกันชัดๆว่าโยนของเก่าทิ้งไปแล้วจะได้อะไรมาแทน?
จะขายของแล้วมาตะโกนด่าสินค้าคู่แข่งว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้กันอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ
จะให้เค้าเลิกใช้ยี่ห้อคู่แข่งก็ต้องตอบลูกค้าให้ได้ว่าสินค้าของตนดีกว่าอย่างไร 
จะให้เค้าโยนสินค้าคู่แข่งทิ้งแต่ไม่บอกว่าจะได้อะไรทดแทนคงมีใครหลงเชื่อหรอกครับ
บอกจะล้มล้างระบอบทักษิณว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้มาเป็นปี แต่ไม่ยอมตอบชัดๆว่าจะเอาอะไรมานำเสนอให้แทน
ล้มรัฐบาลไปแล้วจะให้ใครมาบริหารต่อก็ไม่บอกให้เต็มปากเต็มคำกัน
เหมือนกับว่าไม่มั่นใจกับสินค้าตัวเองงั้นแหละ
อย่างนี้ก็ขายไม่ออกสิครับ
นอกจากขายไม่ออกแล้วลูกค้ายังรำคาญซะอีกด้วย ว่าแม่มตื้อจังเลยไอ้พวกนี้

ปัญหาที่สอง.คือความน่าเชื่อถือของสินค้า 
จากที่ฝ่ายต่อต้านนี้ได้เคยมีโอกาสได้อำนาจไปแล้ว ก็ไม่ต่างกับที่ลูกค้าได้ลองใช้สินค้าของฝ่ายตนไปแล้วนั่นแหละ
แต่ผลที่ได้มันไม่ประทับใจลูกค้าเท่าที่ควร ได้ลองกันตั้งแต่สินค้าพรีเมี่ยมระดับองคมนตรีที่มีตราอย.รับประกัน
มายันสินค้านำเข้าจากประเทศอังกฤษ มันไม่ได้ทำให้ลูกค้าประทับใจสมกับคำโฆษณาเลย
ก็ย่อมมีผลต่อ"แบรนด์"ของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
ทีนี้ ไม่ว่าจะนำเสนออะไรใหม่มาความน่าเชื่อถือมันก็ไม่มี
ทำให้ยากแก่การขาย
คือจะแค่โฆษณาอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องพิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นก่อนด้วยว่าสินค้าที่มาเสนอขายใช้งานได้ประโยช์จริงๆ
ไม่ได้มีแต่ราคาคุยเหมือนสินค้าที่เคยขายให้ 
อย่างจะมาออกงานอีเว้นท์ใหญ่โตขนาดล้มล้างรัฐบาลนี่ก็เหมือนกัน
งานใหญ่โตขนาดนี้ แต่ดันมีพื้นฐาณแค่ความเชื่อจากหมอดู??
ไม่มีอะไรมาสนับสนุนให้น่าเชื่อถือเกี่ยวกับสินค้าก็หมดกันสิอย่างงี้

เพราะพฤติกรรมซ้ำๆซากๆไม่รู้จักปรับปรุงอย่างนี้แหละ มันก็ทำให้เห็นข้อเสียข้อที่สามของฝ่ายต่อต้านคือ

ดื้อด้านไม่รู้จักปรับปรุงสินค้าให้เป็นที่ต้องการของตลาด
ทั้งๆที่มีเสียงเรียกร้องแนะนำจากลูกค้าว่าจะต้องปรับปรุงข้อบกพร่องของสินค้าตรงไหนบ้าง
แต่ก็ทำหูทวนลมจะยัดเยียดแต่ไอ้สินค้าตัวเดิมที่คนเค้าไม่เอาอยู่นั่นแหละ
มั่นใจกับตรามาตรฐาณอย.ที่ได้มากเกินไป ว่าสินค้าค้าของฉันมีมาตรฐาณดีเลิศกว่านะ
อย.ประทับตราให้แล้วก็ต้องดีแล้วไม่ต้องเปลี่ยน
ดื้อด้านอ้างอย.กันไปเรื่อยอย่างนี้ก็ยิ่งฉุดให้มาตรฐาณอย.เสียหายตามไปด้วย
ผู้หลักผู้ใหญ่ในอย.ออกตัวมาให้โหน อย.ก็พลอยด้อยมาตรฐาณเสียเครดิตตามๆกัน
ที่แปลกก็คือทำไมจะทำงานระดับนี้แล้ว ไม่มีการเรียนรู้ความผิดพลาดแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขกันบ้างรึไงนะ?
จะดื้อด้านกันไปถึงไหน?

ภาพลักษณ์ของสินค้าที่กระดำกระด่างมีรอยตำหนิ
บวกกับมีพนักงานขายที่ไม่เก่งนำเสนอไม่เป็น  
มันก็ทำให้ขายได้ยากอยู่แล้ว
ดันมีภาพลูกค้าที่ใช้สินค้านี้ แล้วกลายเป็นเหมือนคนติดยาบ้าๆบอๆ ตรรกะเลอะเลือนเพี้ยนๆ
บ้างก็ออกอาการก้าวร้าวรุนแรงหยาบคาย อย่างไม่น่าเชื่อ มาเป็นส่วนประกอบเข้าไปอีก
คงจะขายออกกันหรอกครับ

ผมล่ะกลัวใจว่าพอขายไม่ออกจริงๆจะพากันหน้ามืดปล้นลูกค้าเอาดื้อๆกันอีกรอบนึงซะจริงๆ
ครั้งนี้ไม่ให้ปล้นง่ายๆนะเอ้อบอกก่อน



 
 

guest

Post : 2013-10-07 21:44:03.0     Forum: เบื้องหลังบันเทิง  >  หลับเถอะนะ


                               
 

 
" พี่ไม่อยากอยู่อีกต่อไปเเล้ว..ติ๋ม....."
 
เสียงเเหบๆสั่นๆเอ่ยขึ้นเบาๆจากน้ำเสียงของชายหนุ่มผู้กร้านชีวิต หัวหกก้นขวิด ผ่านมาหมดเเล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ผู้ไม่เคยก้มห้วให้กับความยากลำบากหรือทุกข์ทรมานใดๆทั้งสิ้น เเต่วันนี้...เขากำลังจะถอดใจ!...
 
" อย่านะค๊ะพี่เป้า ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น เข้มเเข็งไว้พี่ เข้มเเข็งไว้....."
 
น้ำเสียงของวรรณพร สัมฤทธิ หรือติ๋มภรรยาสุดที่รัก ที่คอยนั่งเฝ้าไข้อยู่ใกล้เตียง พยายามพูดปลอบใจสามีอันเป็นสุดที่รัก ให้มีกำลังใจต่อสู้กับเจ้าโรคมะเร็งร้ายที่มันเริ่มต้นจากตับอ่อน ก่อนกระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง กัดกินอวัยวะต่างๆของเขาอย่างสุดเเสนทรมาน
 
ภาพเเห่งความหลังของเเม่สาวน้อยเมืองฉวาง นครศรีธรรมราช ได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง กับภาพที่ครูประสิทธิ อุดหนุนกาญจน์ นักจัดรายกายชื่อดังเเห่งสถานีวิทยุ มทบ.5 นครศรีธรรมราช ได้จัดให้มีการประกวดนางงามเมืองนครขึ้น ในปี พ.ศ 2522 เป็นปีเเรก ณ.สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช เเละครูก็ได้ทาบทามเเม่หนูน้อยบ้านนาคนนี้ได้มีโอกาสประชันโฉมกับสาวงามต่างอำเภอคนอื่นๆ ผมปรากฎว่าเธอได้มงกุฎไปครอง เเละครูได้พาไปออกรายการสัมภาษณ์โปรโมทตามเวทีต่างๆ  จนกระทั่งเวทีของวงดนตรีลูกทุ่ง สายัณห์ สัญญา ที่ถือว่ากำลังโด่งดังที่สุดในยุคนั้น
 
เพียงเเค่ตาสบตา สายสัมพันธ์รักจากนักร้องหนุ่มที่ทุ่มเทความรักครั้งนี้ด้วยการเเต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี โดยยกขบวนขันหมากไปเเต่งถึงชลบุรีที่บ้านลุงของเธอ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำเเหน่งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองชลบุรี ก็เป็นข่าวใหญ่โตเกรียวกราวขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวันเเทบทุกฉบับ เป็นที่อิจฉาตาร้อนของผู้หญิงเเทบทั้งประเทศ
 
ตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมา สุขบ้างทุกข์บ้างตามประสา จนมีพยานรักด้วยกัน 4 คน ลูกสาวคนโตชื่อน้องเบสท์ จบนิเทศศาสตร์ ราชภัฏสวนดุสิต คนที่สองน้องเกรซ ก็จบนิเทศศาสตร์เหมือนพี่เเต่ที่ ม.กรุงเทพ คนที่ 3 เป็นชายชื่อน้องบิ๊ก เรียนเทคโนสยาม อีก 2 ปีก็จบ น้องสาวคนสุดท้องน้องเฟิร์ส มศว.ประสานมิตรปี 2 ก็ถือว่ากำลังเรียนเเละต้องใช้เงินใช้ทองไม่ใช่น้อย
 
ความที่สามีเป็นนักร้องดังที่มีเสน่ห์ จึงมักจะมีปัญหาอยู่เสมอ จึงต้องเเยกทางกันเเต่ลูกๆก็จะไปมาหาสู่พ่อเขาอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ไม่เคยทำเธอก็ต้องทำ ใครจะไปเชื่อเทพีเมืองนคร จะมาขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวน เเต่อย่างไรก็ตามทีถ้าเป็นเรืองเกี่ยวกับลูกๆเเล้วล่ะก็ ทั้ง 2 คนก็จะทุ่มเทอย่างเต็มที่เเละอย่างดีที่สุด โดยเฉพาะสามีนั้นเรื่องลูกต้องมาก่อน
 
" ค่ารักษาพยาบาลเท่าไรเเล้วติ๋ม?.."
 
เสียงเเหบๆสั่นๆของผู้เป็นสามีที่เอ่ยมาอย่างเบาเเสนเบา มันช่างสะท้อนกรีดลึกเข้าไปในก้นบึ้งของใจเธอเสียยิ่งนัก ดูซิ.....ความเป็นห่วงครอบครัวของชายคนนี้มีค่าสูงส่งเสียเหลือเกิน เจ็บเกินที่จะเยียวยาเเต่ก็ยังเป็นห่วงคนอื่นอยู่ตลอด
 
" ไม่เท่าไหร่หรอกพี่ ไม่ต้องห่วงในเรื่องนั้นหรอก...."
 
เสียงถอนหายใจยาวๆของเขา พร้อมกับรอยยิ้มในขณะที่ยังหลับตาเเละหยดน้ำใสๆค่อยๆไหลลงมาอาบเเก้มทั้งสองข้างของชายที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนเช่นเขา เสียงภรรยาสวดสัมมา อรหัง กระซิบอยู่ข้างหูตลอดเวลา......เขาค่อยๆถอดเครื่องช่วยหายใจเเละสายยางต่างๆออกไปจากร่างของเขาอย่างช้าๆ.....12.35 น. วันที่ 11 กันยายน พ.ศ 2556 สายัณห์ สัญญา เสียชีวิตด้วยอาการสงบที่โรงพยาบาลธนบุรี.............
 
 
 
 
" หลับตาเถิด ปล่อยว่าง วางตรงนี้ 

จะไม่มี อันตราย กล้ำกลายเขา
 
ลูกเเละเมีย อยู่หลัง กำบังเงา
 
ที่เคยเฝ้า เกาะร่มไทร ได้ร่มเย็น
 
 
 
....ถึงวันนี้ ปลอดภัย ไม่ต้องห่วง
 
ภัยจะล่วง ดั่งเปลวไฟ จะไม่เห็น
 
เเละผลงาน ที่สร้างไว้ จะได้เป็น
 
ตำนานเด่น ยอดขวัญใจ ไปตลอดกาล......."

 
 
 
 
 
 
**************************
 

guest

Post : 2013-10-06 19:46:10.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เทคโนโลยีเเห่งอนาคต

 

 

ไปไม่รอด! สื่อปลาดิบแฉ “พานาโซนิค” เลิกผลิต “ทีวีพลาสมา” ต้นปีหน้า

 

 

 

                      

 

 

 เอเอฟพี – บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ พานาโซนิค เตรียมเลิกผลิตทีวีพลาสมาตั้งแต่ต้นปีหน้า ตามแผนปรับโครงสร้างบริษัทเพื่อความอยู่รอด สื่อญี่ปุ่นรายงานวันนี้ (9)
       
       หนังสือพิมพ์นิกเกอิ รายงานว่า พานาโซนิค มีแผนจะปิดโรงงานผลิตทีวีพลาสมาที่เมืองอามางาซากิ จังหวัดเฮียวโกะ ภายในสิ้นเดือนมีนาคมปี 2014 พร้อมประกาศขายโรงงานทิ้ง
       
       ท่าทีดังกล่าวสอดรับกับแนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในญี่ปุ่นที่เริ่มหันหลังให้กับเทคโนโลยีจอภาพพลาสมา โดย ฮิตาชิ และ ไพโอเนียร์ ก็ประกาศยุติการผลิตทีวีพลาสมาไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้
       
       โฆษกพานาโซนิค ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจที่แน่นอน และบริษัทยังอยู่ระหว่างหารือยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ แต่ยอมรับว่าโรงงานในจีนได้เลิกผลิตจอพลาสมาไปเรียบร้อยแล้ว
       
       พานาโซนิค, โซนี และชาร์ป ต่างประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักในธุรกิจทีวี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากราคาตกต่ำแล้ว ยังต้องแข่งกับผู้ผลิตในเกาหลีใต้และไต้หวันซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า
       
       ธุรกิจทีวีพลาสมาของ พานาโซนิค ขาดทุนต่อเนื่องมา 2 ปีซ้อน โดยปีงบประมาณที่ผ่านมาทำบริษัทสูญเม็ดเงินไป 754,250 ล้านเยน (ราว 243,000 ล้านบาท) ส่วนปีก่อนหน้าก็ขาดทุนถึง 772,170 ล้านเยน (ราว 249,000 ล้านบาท) ซึ่งนับเป็นสถิติย่ำแย่ที่สุดสำหรับบริษัทญี่ปุ่นที่ไม่ได้อยู่ในภาคการเงิน
       
       พานาโซนิค เริ่มกลับมาทำกำไรอีกครั้งในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน โดยได้แรงหนุนจากมาตรการตัดทอนรายจ่ายบริษัท และค่าเงินเยนที่อ่อนลง

 

 

                                                               Panasonic

 

 

ผู้ผลิตทีวีรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น Panasonic เตรียมการเลิกพัฒนา และผลิตจอภาพพลาสมาแล้ว หลังจากมีข่าวลือมาตั้งแต่ช่วงปีก่อน จนกระทั่งมีรายงานว่า Panasonic ได้ปิดศูนย์พัฒนาเกี่ยวกับจอภาพพลาสมาไปเมื่อเดือนก่อน

 

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ทีวีพลาสมารุ่น ZT60 จะกลายเป็นรุ่นสุดท้ายของ Panasonic ที่จะใช้จอภาพพลาสมา แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว Panasonic ก็ยังยืนยันว่าจะยังขายทีวีพลาสมาไปอีกอย่างน้อยจนถึงปี 2014

 

ส่วนอนาคตของธุรกิจทีวี Panasonic จะทุ่มกำลังไปที่จอภาพ OLED โดยมีแผนโยกคนส่วนหนึ่งจากฝั่งพลาสมามาเสริมทัพที่ฝั่ง OLED และภายในปีสองปีนี้ทีวี OLED จะเข้าไปทดแทนไลน์เดิมของทีวีพลาสมาทั้งหมด

 

เมื่อตลาดเดินมาแบบนี้ คงถึงเวลาโบกมือลาทีวีพลาสมากันจริงๆ แล้วล่ะครับ

 

  

 

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต

 

 

 

 

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
peoplecine.com, daydev.com

          ในปัจจุบันจอภาพแบบ LCD และ LED ได้มาแทนที่จอแก้วแบบ CRT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยข้อดีต่าง ๆ ที่ดีกว่าจอ CRT ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นความบาง, ความคมชัดของภาพ, ประหยัดพลังงานกว่า และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในอนาคตอันใกล้ กำลังจะมีจอชนิดใหม่ที่จะมาแทนที่ LCD (และ LED) แล้ว ก็คือจอภาพแบบ OLED นั่นเอง เนื่องจากมีอุปกรณ์หลายชนิดที่หันไปใช้จอภาพแบบ OLED กันพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, เครื่องเกมพกพา ฯลฯ แต่เชื่อว่าคงมีหลาย ๆ ท่านที่ยังไม่ค่อยทราบว่าเจ้า OLED นั้นมันเป็นยังไง มีอะไรดี แล้วมันต่างกับ LCD ยังไงบ้าง วันนี้จึงขอพาท่านไปทำความรู้จักกับ OLED กันครับ



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


      

    OLED (Organic Light Emitting Diodes) คือจอภาพที่มีลักษณะคล้ายแผ่นฟิล์ม ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสารอินทรีย์ที่สามารถเปล่งแสงเองได้เมื่อได้รับพลังงานไฟฟ้า เรียกว่ากระบวนการอิเล็คโทรลูมิเนเซนส์ (Electroluminescence) โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาแสง Backlight และจะไม่มีการเปล่งแสดงในบริเวณที่เป็นภาพสีดำ ส่งผลให้สีดำนั้นดำสนิท อีกทั้งยังช่วยพลังงานด้วย

          นอกจากนี้ จอภาพแบบ OLED ยังมีความบางกว่า LCD รวมทั้งมีความยิดหยุ่น สามารถโค้งงอได้ เนื่องจาก OLED มีโครงสร้างที่แตกต่างจาก LCD โดยโครงสร้างของ OLED นั้นประกอบด้วยสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าที่เป็นของแข็ง ทำจากวัสดุอินทรีย์มีทั้งแบบ Polymer และโมเลกุลขนาดเล็ก ซึ่งมีความหนาเพียง 100-500 นาโนเมตรเท่านั้น (บางกว่าเส้นผมของคน 200 เท่า) และอาจมีชั้นสารอินทรีย์เป็นองค์ประกอบอยู่  2 หรือ 3 ชั้น

รายละเอียดโครงสร้างของ OLED (แบบที่มีสารอินทรีย์ประกอบ 2 ชั้น)



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 

 

1. Substrate เป็นชั้นผิวหน้าของจอภาพ อาจทำจากกระจก, ฟลอยด์โลหะ หรือพลาสติกใส ซึ่งหากทำจากฟลอยด์หรือพลาสติกใสจะทำให้ได้จอภาพที่มีความยืดหยุ่นสูง

2. Anode (ขั้วบวก) ทำด้วยวัสดุโปร่งใส (Indium Tinn Oxide ; ITO) เป็นตัวทำหน้าที่ดึงกระแสอิเล็กตรอน

3. Organic Layer ทำจากสารประกอบอินทรีย์ หรือโพลิเมอร์ของสารอินทรีย์ โดยถูกแบ่งออกเป็น 2 ชั้นย่อย ๆ ได้แก่

          Conducting Layer ทำจากโมเลกุลของสารอินทรีย์ที่เป็นสี ทำหน้าที่ส่ง Hole ของอิเล็คตรอนจาก Anode

          Emissive Layer ทำจากโมเลกุลของสารอินทรีย์ที่เป็นสี ทำหน้าที่เคลื่อนย้ายอิเล็คตรอนจาก Cathode โดยชั้นนี้เป็นชั้นที่ทำให้เกิดการเปล่งแสง

4. Cathode (ขั้วลบ) อาจทำด้วยวัสดุโปร่งใสหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของ OLED เป็นตัวทำหน้าที่ปล่อยกระแสอีเล็กตรอน



หลักการทำงานของกระบวนการอิเล็คโทรลูมิเนเซนส์ (Electroluminescence)

 
ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต


 

1. จอ OLED ได้รับกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหรือแบตเตอรี่

2. กระแสไฟฟ้าไหลจาก Cathode ผ่านชั้นสารอินทรีย์ไปยัง Anode โดย Cathode จะส่งอิเล็กตรอนให้ Emissive Layer

3. Anode ดึงอิเล็กตรอนจาก Conductive Layer ทำให้เกิด Electron Holes ขึ้น

4. ระหว่าง Emissive Layer และ Conductive Layer จะเกิดปฏิกิริยา Electron (-) รวมตัวเข้ากับ Hole (+) ขึ้น

5. เนื่องจากอิเล็กตรอนมีระดับพลังงานทีสูงกว่า Holes จึงต้องลดระดับของพลังงานของอิเล็กตรอนลง ด้วยการเปลี่ยนรูปของพลังงานไปเป็นพลังงานแสงแทน

6. จอภาพ OLED เปล่งแสงจากพลังงานแสง



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 

 


          สำหรับสีของแสงที่ปรากฏออกมาจะขึ้นอยู่กับชนิดของโมเลกุลของสารอินทรีย์ในชั้น Emissive layer ซึ่งในจอ Full Colour OLED จะมีสารอินทรีย์ทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ สารอินทรีย์ที่ให้แสงสีแดง, เขียว และน้ำเงิน (RGB) โดยสารทั้ง 3 ชนิดนี้ถูกเคลือบอยู่บน OLED เพียงแผ่นเดียวเพื่อให้เกิดสีสันต่าง ๆ ส่วนความสว่างของแสงที่ปรากฏบนจอภาพจะขึ้นอยู่กับปริมาณของกระแสอิเล็กตรอน หากมีกระแสมากแสงก็จะมีความสว่างมากขึ้น ซึ่งปกติ OLED จะใช้กระแสไฟฟ้าที่ประมาณ 3-10 โวลต์

OLED สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ PMOLED และ AMOLED

          PMOLED (Passive Matrix OLED) ในแต่ละชั้นจะมีลักษณะเป็นแถบแยกออกจากกัน โดยชั้นของ Cathode และ Anode จะวางในแนวขวางซึ่งกันและกัน โดยเมื่อมีกระแสไหลผ่านในแต่ละช่อง Cathode และ Anode จะทำให้ฟิล์มเกิดการเปล่งแสงบริเวณที่ขั้ว Cathode และ Anode วางตัดกัน ดังนั้นการควบคุมการเปล่งแสงของ PMOLED จึงขึ้นอยู่กับการเลือกช่องทางเดินของกระแส โดยข้อดีของ OLED ชนิดนี้คือสร้างได้ง่าย และต้องการกระแสจากวงจรภายนอก ส่งผลให้ต้องใช้พลังงานมากกว่า OLED ชนิดอื่น ๆ (แต่ก็ยังประหยัดพลังงงานมากกว่า LCD) ซึ่ง PMOLED เหมาะสำหรับทำจอภาพขนาดเล็กที่มีความกว้างประมาณ 2-3 นิ้ว อย่างเช่น จอของโทรศัพท์หรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ แต่ปัจจุบันนิยมหันใช้ AMOLED กันมากกว่าแล้ว



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


      

    AMOLED (Active Matrix OLED) ในแต่ละชั้นจะต่อเนื่องกันทั้งชั้น แต่ในชั้น Anode จะมีลักษณะเป็นฟิล์มบางที่เป็นวงจรในตัวเอง และควบคุมการเกิดภาพได้เอง โดย AMOLED จะใช้พลังงานน้อยกว่า PMOLED เนื่องจากลักษณะโครงสร้างที่เป็นแบบฟิล์มบาง และยังสามารถขยายให้มีขนาดใหญ่ได้ด้วย จึงทำให้ AMOLED เหมาะสำหรับทำจอภาพที่มีขนาดใหญ่ เช่น จอโทรทัศน์, จอคอมพิวเตอร์ หรือจอป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันก็นิยมใช้เป็นจอภาพของอุปกรณ์พกกาอื่น ๆ เช่นกัน



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต 
 


 

OLED ยังแบ่งเป็นประเภทย่อย ๆ ตามลักษณะการใช้งานได้อีก 4 ชนิด

1. Transparent OLED ประกอบด้วยชั้นที่โปร่งแสงทุกชั้น เมื่อปิดจอ แสงจากภายนอกจะสามารถผ่านจอได้ถึง 85 % และเมื่อเปิดจอกระแสไฟฟ้าก็จะถูกส่งเข้าระบบ และเปลี่ยนเป็นแสงส่องผ่านออกมาจากจอได้ทั้งสองด้าน ซึ่งสามารถสร้างจอภาพที่มองเห็นภาพได้ทั้ง 2 ด้าน โดย Transparent OLED นี้สามารถสร้างได้ทั้งแบบ PMOLED และ AMOLED



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


2. Top-emitting OLED เป็นจอแบบทึบแสงหรือสะท้อนแสง โดยจอภาพแบบนี้จะเป็นแบบ AMOLED ซึ่งถูกนำไปใช้กับ Smartcard เป็นส่วนใหญ่


 

ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


3. Foldable OLED ทำด้วยวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง เช่น แผ่นฟลอยด์โลหะหรือพลาสติกใส มีน้ำหนักเบา และมีความทนทานสูง เหมาะใช้สำหรับโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ เพื่อช่วยลดปัญหาหน้าจอแตก นอกจากนี้ ยังสามารถเย็บติดกับเส้นใยผ้าต่าง ๆ อย่างเสื้อผ้าได้อีกด้วย



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


4. White OLED เป็น OLED ที่ให้แสงสีขาว ช่วยประหยัดพลังงานและมีคุณภาพดีกว่าแสงที่ได้จาก หลอดฟลูออเรสเซนต์ ทำให้เห็นสีแท้จริง เช่นเดียวกันแสงสว่างตามธรรมชาติ และมีแนวโน้มว่าเมื่อทำให้มีขนาดใหญ่ จะสามารถใช้แทนแสงฟลูออเรสเซนต์ที่ใช้ตามบ้านและตึกต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าการใช้หลอดไฟธรรมดา



 
ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต


 

จุดเด่นของ OLED

บาง เบา และมีความยืดหยุ่นสูง
เมื่อนำพลาสติกมาทำจอของ OLED แทนกระจก จะทำให้จอมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับให้โค้งงอได้
สามารถทำเป็นจอแบบโปร่งใส และมองเห็นได้จากทั้งสองด้าน
ให้ความสว่างได้มากกว่าจอปกติ
สีดำ ดำสนิทกว่าจอปกติ เนื่องจากไม่มีแสง Backlight
เนื่องจากสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง
สามารถสร้างให้เป็นขนาดใหญ่ได้ง่าย โดยมีความปลอดภัยสูง เพราะสามารถสร้างจากพลาสติกได้
มีมุมมองกว้างถึงเกือบ 180 องศา

จุดด้อยของ OLED

ฟิล์มที่ให้กำเนิดสีน้ำเงินมีอายุการใช้งานสั้นเพียง 1,000 ชั่วโมง (แต่สำหรับสีแดง และเขียว มีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึงประมาณ 10,000-40,000 ชั่วโมง
สารอินทรีย์ที่ใช้ทำ OLED จะเสียหายได้ง่ายเมื่อโดนน้ำหรือออกซิเจน

 



ทำความรู้จัก OLED เทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต
 


         

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน OLED ยังไม่ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายเท่ากับ LCD และ LED จากคาดว่าในอนาคต OLED น่าจะเข้ามาแทนที่ LCD และ LED อย่างแน่นอน รวมทั้งอาจได้เห็นการใช้จอ OLED บนอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ก็ได้ เช่น แว่นตา, หนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งบนผืนผ้า โดยเฉพาะจุดเด่นด้านความยืดหยุ่นที่สามารถโค้งงอได้นั้นเป็นสิ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้หลากหลายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น แท็บเล็ตที่สามารถม้วนเก็บได้ หรือจอโทรทัศน์ที่สามารถโค้งรับกับมุมห้องได้ แค่นึกภาพก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมล่ะครับ

 

 

 

 ***********************************

 

 

 

 

                              

 

 

 

 

 

 

 นคร'ของขึ้น!หลังแผนปฏิรูปปชป.ถูกเมิน ด่ากราด'หวงอำนาจ-กลัวเสียตำแหน่ง' เชื่อเลือกตั้งแพ้ทุกครั้งวอนคนในพรรคหนุน

 

                 9ต.ค.2556 นายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมการเสนอแนวทางปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกผิดหวังที่โมเดลการปฏิรูปพรรคของเราได้รับความเห็นชอบเพียงบางส่วน
 
                 "สิ่งที่เป็นจุดอ่อนยังไม่ถูกแก้ไข จุดแข็งก็ยังไม่ถูกสร้าง ทำให้พรรคยังไม่ได้รับการปฏิรูปอย่างแท้จริง ทั้งที่การปฏิรูปไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เป็นการเสริมจุดแข็งให้แก่พรรคในทุกมิติ ให้นำไปสู่การเป็นสถาบันทางการเมือง ไม่ยึดติดกับบุคคลและเพื่อเป็นพรรคทางเลือก ตอบโจทย์ให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งหากประชาธิปัตย์ยังอยู่ในกรอบคิดในวิถีทางเดิมแบบนี้ ก็จะลบคำสบประมาทที่ว่าเราแพ้การเลือกตั้งมากว่า 20 ปีลงไปไม่ได้ "นายนคร กล่าวและว่า

                 สมาชิกพรรคกว่าครึ่งหนึ่งเห็นด้วยกับแนวทางการปฏิรูป แต่สมาชิกพรรคและผู้ใหญ่บางคนยังไม่แสดงออก สงวนท่าที ทำเหมือนบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น เนื่องจากเกรงว่าหากโมเดลนี้ไม่ผ่านจะส่งผลกระทบต่อลำดับในบัญชีรายชื่อ กลัวว่าจะไม่มีตำแหน่ง ส่วนกลุ่มคนที่มีอำนาจอยู่ในพรรคก็ย่อยสลายทำลายแผนปฏิรูป กลัวเสียตำแหน่งที่มีอยู่สำหรับเอาไว้พิมพ์ในนามบัตร
 
                 "ถ้าบริหารพรรคแล้วชนะก็จะไม่มีใครว่าอะไร แต่ถามกลับว่าหากบริหารแล้วแพ้การเลือกตั้งแบบนี้จะเข้าไปมีอำนาจหรือตำแหน่งได้อย่างไร และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคก็ได้ไฟเขียวให้มีการเสนอไปยังคณะกรรมการบริหารพรรคแล้ว " นายนคร กล่าว

                 เขายังกล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยเสนอว่า คือความหวังดี มีประโยชน์ อย่างยิ่งต่อประชาธิปัตย์และบ้านเมือง
        
                 "แต่ก็น่าเสียดายที่ถูกปฏิเสธไปเช่นกัน บนบ้านที่เก่าแก่ทรุดโทรมหลังนี้ เราต้องเปิดโอกาสให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความสามารถจากทั่วหล้าได้เข้ามาเติมเต็มแก้ไข แต่ถ้ายังมีมุมมองคับแคบ อยู่กันอย่างพรรคพวก หวังสืบทอดอำนาจ ก็จะมีแต่แพ้กับแพ้” นายนคร ชี้

                 นายนคร กล่าวต่อว่า ขอให้กำลังใจการเสนอแนวคิดของ นายอลงกรณ์ พลบุตร ต่อไป ซึ่งกลุ่มที่เสนอแนวทางปฏิรูปก็คงต้องทำใจ แต่จะไม่ละทิ้งความพยายาม และอุดมการณ์ อยากให้สมาชิกพรรคที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ช่วยกันสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อปฏิรูปพรรคให้นำไปสู่ความหลากหลาย ชนะการเลือกตั้ง เป็นฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ และอยากให้ผู้มีอำนาจในพรรคฟังเราบ้าง

 

 

 

 

 *********************************************

 

 

 

 

 

 เป็นความภูมิใจที่ได้ฆ่า!! “ตอลิบาน” ประกาศจะเอาชีวิต “มาลาลา” อีกครั้ง – อ้างทำไปเพราะปกป้อง “ศาสนา”

 

 

 

           

  เอเจนซีส์ - “มาลาลา ยูซาฟไซ” เด็กสาวชาวปากีสถาน วัย 16 ปี นักรณรงค์ด้านการศึกษา ที่รอดตายจากการพยายามถูกสังหารของกลุ่มตอลิบาน ล่าสุดกลุ่มก่อการร้ายให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ABC ของอเมริกาว่าจะลงมือสังหารเธออีกครั้ง เหตุเพราะเธอพูดล้อเล้นเชิงหมิ่นศาสนาอิสลาม และถือเป็นความภาคภูมิใจของกลุ่มในการเสียชีวิตของเธอ
       
       มาลาลา ยูซาฟไซ เด็กสาวชาวปากีสถาน วัย 16 ปี ซึ่งมีแนวคิดต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายตอลิบานตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ปี ที่ในขณะนั้นเธอได้เขียนลงในบล็อกของบีบีซีเพื่อเรียกร้องสิทธิของเด็กผู้หญิงที่จะได้ไปโรงเรียนในการตอบโต้มีคำขู่ของกลุ่มตอลิบานที่ก่อนหน้านั้นต้องการปิดโรงเรียนของเด็กผู้หญิงในปากีสถาน ซึ่งข้อเรียกร้องของเธอบนบล็อกบีบีซีนั้นได้ไปปรากฏบนหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ในภายหลัง และในขณะที่เธออายุได้ 15 ปี มาลาลาได้ถูกยิงยิงเข้าที่ศรีษะทางด้านซ้ายในขณะที่เธอและเพื่อนโดยสารรถรับส่งนักเรียนกลับบ้าน
       
       โดยล่าสุด ชาฮิดูเลาะห์ ชาฮิด โฆษกของกลุ่มก่อการร้ายตอลิบานประกาศผ่านการสัมภาษณ์กับสื่อ ABC ของอเมริกาว่า “กลุ่มตอลิบานไม่ได้ต้องการเอาชีวิตมาลาลาเหตุจากการรณรงค์ด้านการศึกษาสำหรับเด็กผู้หญิง แต่ทางกลุ่มต้องสังหารเธอ เพราะมาลาลา “พูดจาล้อเล่น” เชิงดูหมิ่นศาสนาอิสลาม และกล่าวโจมตีศาสนาศักดิ์สิทธิ์นี้ ซึ่งเธอเป็นคนยอมรับเองว่าเธอกล่าวโจมตีศาสนาของเธอเอง นั่นเป็นเหตุผลที่พอเพียงแล้วสำหรับเราที่จะลงมือ ทางกลุ่มจะพยายาม “ฆ่า” เด็กสาวผู้นี้อย่างแน่นอน” ชาฮิดยังเผยต่อไปว่า “ซึ่งทั่วไปแล้ว ศาสนาอิสลามมีกฎห้ามสังหารสตรีหรือเด็กผู้หญิง แต่ยกเว้นพวกเธอเหล่านั้นจะสนับสนุนคนนอกศาสนามาทำสงครามกับศาสนาของเรา”
       
       การขู่ฆ่ามาลาลาครั้งนี้เกิดขึ้นอีกครั้งท่ามกลางกระแสข่าวหนาหูที่เกิดขึ้นว่ามาลาลาเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ถูกเสนอเพื่อเข้าชิงราวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่จะประกาศในวันที่ 11 นี้ โดยมาลาลาได้ให้ความเห็นเรื่องถูกเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัลโนเบิลว่า “ถ้าดิฉันได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมาครอบครอง ถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของดิฉัน แต่ถ้าหากว่าดิฉันไม่ได้รับรางวัลนี้ มันก็คงไม่ได้สำคัญแต่อย่างไร เพราะเป้าหมายของดิฉันเพื่อ “สันติภาพ” ไม่ใช่เพื่อ “รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ” และที่สำคัญ...เพื่อการศึกษาสำหรับเด็กผู้หญิงทั่วโลก”
       
       นอกจากนี้ มาลาลายังได้กล่าวถึงระบบความกลัวที่กลุ่มก่อการร้ายตอลิบานต้องการปลูกฝังในปากีสถาน ซึ่งเป็นเหตุให้เธอต้องก้าวออกมาสู่สาธารณะเพื่อเอ่ยถึงในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งเธออายุ 11 ปี “การลงโทษของกลุ่มตอลิบานเสมือนการสังหารคนที่ Green Chowk (จุดชุมชนในเขตบ้านของเธอที่ปากีสถาน) หรือใครสักคนสาดน้ำกรดใส่หน้าผู้หญิง หรือการทำร้ายร่างกายพวกเธอเหล่านั้นและค่อยปลิดชีวิตภายหลัง ดิฉันกลัวในอนาคตของตนเอง และในขณะนั้นทุกคนต่างกลัวกับทุกสิ่งรอบตัว ในทุกชุมชน ที่เมืองมินโกรา” โดยมาลาลามีกำหนดจะเปิดตัวหนังสือประวัติชีวิตของเธอ “I am Malala : The Girl Who Stood Up For Education And Was Shot By The Taliban” ในวันพรุ่งนี้( 8)
       
       โดยในขณะนี้ทั้งครอบครัวมาลาลาและเด็กสาวผู้นี้ได้ย้ายมาอยู่ที่อังกฤษในเมืองเบอร์มิงแฮม และเธอได้เข้าศึกษาต่อในชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนอิดจ์บาสตัน ไฮสกูล ในเดือนมีนาคม ต้นปีนี้ มาลาลามีแผนจะเดินทางกลับปากีสถานในทันทีที่เธอสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดและมีศักยภาพมากพอในทำสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมากระสุนปืนของกลุ่มตอลิบานนอกจากไม่สามารถปลิดชีวิตเธอได้แล้ว มันยังไม่สามารถดับความหวังเธออีกด้วย มาลาลาได้ฉลองวันเกิดอายุครบ 16 ปีเต็ม ด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ที่ยูเอ็น นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิมาลาลาเพื่อให้การสนับสนุนเด็กผู้หญิงทั่วโลกด้านการศึกษา

 

 

 

 

มาลาลา ยูซาฟไซ( ซ้าย) ขณะได้กลับไปเรียนต่อครั้งแรกที่โรงเรียนอิดจ์บาสตัน ไฮสคูล หลังจากฟื้นตัวจากการเข้ารับรักษาตัวที่อังกฤษ

 

 

 

 

มาลาลา ยูซาฟไซ ขณะที่กำลังเข้ารับรักษาตัวที่อังกฤษดังโดนกลุ่มก่อการร้ายตอลิบานลอบสังหารเมื่อเธอมีอายุได้ 15 ปี

 

 

 

โรงเรียนหญิงล้วนในปากีสถานที่ต้องมีเจ้าหน้าที่ีความมั่นคงของปากีสถานคอยให้ความปลอดภัย โดยโรงเรียนแห่งนี้ได้เปลี่ยนชื่อภายหลังเพื่อเป็นเกียรติแก่มาลาลาหลังจากเธอถูกลอบสังหาร

 

 

 คำบอกเล่าของหญิงปากีสถานหลัง "ถูกบังคับให้เดินเปลือยกายรอบหมู่บ้าน"

 

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ตำรวจปากีสถานจับกุมชายสองคนที่ถูกกล่าวหาว่าทำการบังคับให้สตรีวัยกลางคนรายหนึ่งเดินเปลือยกายกลางหมู่บ้าน หลังจากหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าบุตรชายของเธอแอบมีความสัมพันธ์กับภรรยาของเขาจนกระทั่งตั้งครรภ์ หลังจากนั้นเธอก็ได้เปิดเผยเรื่องราวต่างๆที่ชวนให้น่าตกใจ

 

 

 

 

 

นางชาห์นาซ บีบี ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านนีลอร์ บาลา ทางตอนเหนือของปากีสถาน ขณะที่สามีของเธอเดินทางไปทำงานเป็นคนขับรถที่เมืองละฮอร์ เปิดเผยว่า วันนั้น เธอไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงว่ามีคนกำลังพังประตูบ้าน และร้องตะโกนโวยวายถามบุตรชายวัย 11 ขวบของเธอว่าเธออยู่ที่ไหน และเขาก็บอก

 

นางบีบี กล่าวว่า ชายสี่คนพร้อมอาวุธปืนพังประตูเข้ามายังห้องของเธอ และเธออกล่าวว่า เธอรู้จักพวกเขาดีเพราะเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน และรู้ตัวอีกที่เมื่อพวกเขาจับเธอมัดข้อมือและผลัดกเธอออกไปนอกถนน พูดจาข่มขู่ และบางครั้งก็ผลักเธอลงไปกองกับพื้น ก่อนที่จะลากเธออกไปยังลานกว้างแห่งหนึ่ง และฉีกเสื้อผ้าเธออกจนหมด และลากเธอไปตามท้องถนน นานกว่าหนึ่งชั่วโมง เธอร้องไห้ และอ้อนวอนให้พวกเขาปล่อยตัว แต่ไม่มีใครฟังแต่กลับทุบตีเธอหนักขึ้น

 

"ไม่นานคนในหมู่บ้านก็ได้เห็นเหตุการณ์นั้นทั้งหมด"

 

ไม่ว่าผู้หญิง เด็ก ผู้ชาย ทุกคนเห็นหมด แต่ไม่มีกล้าเข้ามาช่วย ไม่มีแม้แต่ใครที่จะกลาเข้ามาปกป้อง เธอกล่าว ชายหนึ่งในสี่คนชูปืนไรเฟิลขึ้นและขู่ว่าหากใครเข้ามาจะต้องเจอดี กลายเป็นว่าเหมือนคนทั้งหมู่บ้านกำลังยืนดูละครโทรทัศน์ ในระหว่างที่เธอถูกทำร้ายและลากไปมาตามหมู่บ้าน ชายคนหนึ่งกล่าวว่า ลูกชายของเธอแอบไปมีอะไรกับผู้หญิงในครอบครัวของพวกเขา เธอกล่าวแต่เพียงว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย

 

นางบีบี กล่าวว่า เธอรู้ก่อนหน้านี้มาแล้วว่า หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านหย่าร้างกับสามี แต่ไม่ทราบว่าลูกชายของเธอเป็นสาเหตุของเรื่องดังกล่าวหรือไม่

 

ตำรวจเปิดเผยว่า เคยมีการรวมกลุ่มของสมาชิกชายในหมู่บ้านเพื่อหาทาง"เสียบประจาน"คนที่เป็นสาเหตุของการหย่าร้างครั้งนั้น และหลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มคนเหล่านั้นก็มุ่งหน้ามาที่บ้านของนางบีบี

 

เธอกล่าวว่าพวกเขาควรหารือกับเธอก่อน หรือไม่ก็ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจหากคิดว่าลูกชายของเธอเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้จริงๆ แต่พวกเขาบอกเพียงว่า ต้องการให้เธอได้รับความอับอาย

 

"ตลอดเวลาฉันเฝ้าตามกับตัวเองว่าทำไมคำสาปร้ายนี้จึงเกิดขึ้นกับเธอ ฉันทำอะไรผิด? ฉันได้แต่ร้องขอให้พวกเขาหยุดเสียที"

 

ท้ายที่สุด เธอได้รับการปล่อยตัว แต่ก็ทำร้ายเธอเพิ่มอีก หลังจากนั้นจึงวิ่งกลับไปที่บ้านและรีบหาเสื้อผ้ามาใส่

 

แต่ก่อนที่เธอจะบอกเล่าวว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอหลังจากนั้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือและเริ่มกัดริมฝีปากล่าง ก่อนที่จะร้องไห้ออกมาอย่างฟูมฟาย และเล่าเหตุการณ์ต่อไปว่า เธอและลูกชายต่างพากันร้องไห้และวิ่งหนีไปยังป่านอกหมู่บ้าน และนอนค้างคืนที่นั่น เพราะอับอายเกินกว่าที่จะไปพบหน้าคนในหมู่บ้าน เนื่องจากเธอไม่มีเงินติดตัว จึงร้องขอให้คนขับรถคนหนึ่งพาเธอไปไกลๆจากที่นั่น จนกระทั่งตอนนี้ เธอก็ยังไม่ได้กลับไปยังหมู่บ้านอีกเลย แต่กลับไปยังอำเภอที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อไปแจ้งความกับตำรวจ

 

"รู้ไหม ไม่มีใครสักคนที่คิดจะไปแจ้งความให้ฉัน" เธอกล่าว

 

ตำรวจรับเรื่องของเธอไว้และจัดการต่อหลังจากนั้น ผู้ถูกกล่าวหาบางคนถูกจับตัวแล้ว ขณะที่อีกบางคนยังคงลอยนวล เธอยังคงหวั่นเกรงว่าใครบางคนในกลุ่มหรือญาติพี่น้องของพวกเขาอาจย้อนกลับมาทำร้ายเธออีก

"ฉันอยากให้พวกเขาได้รับโทษ แม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยอะไรฉันมากก็ตาม"

 

ในปากีสถาน การพุ่งเป้าทำร้ายผู้หญิงแทนสมาชิกในครอบครัวถือเป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติแต่อย่างใด มีรายงานเหตุการทำร้ายผู้หญิงเกิดขึ้นทั่วไป ทั้งการสาดน้ำกรด ตัดแขนหรือขาเพื่อทำให้พิการ ข่มขืน หรือแม้กระทั่งการสังหาร

 

ประมวลกฎหมายอาญาของปากีสถาน มีกฎหมายเฉพาะที่ระบุโทษของการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการจับสตรีเปลื้องผ้าและประจานในที่สาธารณะ ว่าอาจถูกจำคุกหรือกระทั่งประหารชีวิต

 

"เรื่องของเรื่องก็คือ ฉันยากจนและไม่ได้เป็นคนที่ได้รับการนับหน้าถือตาจากใครๆ แต่ฉันก็มีความสุขดี แต่หลังจากนี้ ชีวิตฉันจบสิ้นลงแล้ว"

 

"ฉันจะแบกหน้ากลับไปยังหมู่บ้านที่ทุกคนเห็นฉันถูกลากประจานเปลือยได้อย่างไร ฉันไม่มีหน้าไปหาใครๆแม้แต่พี่น้องของตัวเอง"

 

 

 

 

 

 

  ศาลฎีกาปากีสถาน สั่งปล่อย 5 คนร้ายรุมข่มขืน มุคตรัน มัย

 

                                             

 

วันที่ 25 เม.ย.ว่า ศาลสูงปากีสถานได้ปฎิเสธที่พลิกคำตัดสินการขออุทธรณ์คดีมุคตรัน มัย หญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย ซึ่งเผชิญชะตากรรมถูกรุมข่มขืนตามคำสั่งของสภาหมู่บ้าน เพื่อเป็นการลงโทษแก้แค้นความผิดของน้องชายเธอที่ก่อคดีข่มขืนหญิงอื่น โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกตลอดชีวิต คนร้ายคนหนุ่ง แต่ให้ปล่อยตัวคนร้าย 5 รายที่ร่วมกันข่มขืนนางมัย ด้วยข้ออ้างกันกับศาลอุทธรณ์ 

นางมัย กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังต่อการตัดสินของศาลสูง และระบุว่า เธอจะไม่เชื่อศาลใด ๆ ในปากีสถานอีกต่อไปแล้ว แต่จะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปตามความเมตตาของพระอัลเลาะห์

คดีนางมัย ถูกจับตามองอย่างมากจากตะวันตกในฐานะตัวอย่างของการกดขี่ต่อหญิงปากีสถาน โดยมีกลุ่มพิทักษ์สิทธิสตรีปากีสถานซึ่งเป็นชายและหญิงกว่า 100 คน จัดการชุมนุมประท้วงในเมืองมุลตัน ภายหลังศาลมีคำตัดสินปฎิเสธการพลิกคำตัดสิน

ทั้งนี้ มีการประเมินว่า มีผู้หญิงปากีสถานนับพันชีวิตเผชิญชะตากรรมถูกข่มขืนในช่วงปี 2010 และมีผู้หญิงกว่า 2,000 คน ถูกลักพาตัวและเกือบ 1,500 คน ถูกฆาตกรรม โดยจำนวนนี้ 500 รายยังเป็นเหยื่อการถูกข่มขืนแทนความผิดผู้อื่นเช่น สามีและญาติสนิทด้วย

คดีของนางมุคตรัน มัย ได้รับโทษแทนน้องชายชายวัย 12 ที่ถูกกล่าวหาไปสัมพันธ์กับหญิงสูงศักดิ์ โดยสภาหมู่บ้านแห่งหนึ่งตัดสินให้ ผู้ชายในหมู่บ้านจำนวนหนึ่งไปรุมข่มขืน เป็นคดีที่ส่งผลสะเทือนและสร้างความเสื่อมเสียให้กับปากีสถานในระดับนานาชาติในความโหดร้ายที่เกิดกับผู้หญิง การไร้ความเป็นธรรมและการละเมิดสิทธิ์สตรีอย่างร้ายแรง แม้ศาลชั้นต้นได้สั่งตัดสินประหารชีวิตผู้ร่วมก่อคดีในตอนแรก แต่ศาลอุทธรณ์ก็ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยเหล่านั้น

คดีเกิดขึ้นในหมู่บ้านเมียร์วาลา ในแคว้นปัญจาบ ประเทศปากีสถาน เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2545 มุคตรัน มัย ปัจจุบันอายุ 30 ปี ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ถูกคำสั่งของสภาหมู่บ้านให้ไปรับโทษแทนน้อยชายวัย 12 ที่ถูกกล่าวหาว่าไปมีสัมพันธ์กับหญิงที่สูงศักดิ์และร่ำรวยกว่าและเป็นลูกของผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง โดยให้ผู้ชายกลุ่มหนึ่งเข้าไปข่มขืนเธอเป็นการลงโทษ ทั้งนี้คนในครอบครัวของมัย กล่าวว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้เป็นการสร้างเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องน้องชายของเธอไปเห็นการคุกคามทางเพศเด็กชายโดยผู้ชายจำนวนหนึ่ง

คดีข่มขืนในปากีสถาน ส่วนใหญ่ผู้หญิงไม่กล้าออกมาต่อสู้ แต่นางมัย กล้าเผชิญหน้ากับสาธารณะจึงได้ดึงดูดความสนใจให้สื่อนานาชาติได้กระจายข่าวเรื่องอาชญากรรมในผู้หญิงในประเทศปากีสถาน ดังนั้นในการขึ้นศาลครั้งแรกของเธอนั้น ศาลชั้นต้นได้ตัดสินประหารชีวิตผู้ชาย 6 คนที่มีส่วนร่วมในการข่มขืนมัยและปล่อยตัวไป 8 คน

กระนั้นต่อมาทางศาลอุทธรณ์ ที่ลาฮอร์ ก็ได้ตัดสินเป็นตรงกันข้ามโดยปล่อยตัวชาย 5 คนออกมาโดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นลดโทษเหลือเป็นจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งล่าสุด เธอต้องผิดหวังอีกครั้งจากคำตัดสินของศาลฎีกา

ในรัฐบาลเพอเวซ มูชาราฟ ประธานาธิบดีปากีสถานในเวลานั้น ได้สั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศเมื่อเธอต้องการจะเดินทางไปที่อเมริกา เนื่องจากหวั่นเกรงว่า เรื่องของเธอจะแพร่ขยายออกไปมากขึ้นและจะทำให้ปากีสถานเสื่อมเสียชื่อเสียงมากขึ้น แต่ในที่สุดทางปากีสถานก็ยอมยกเลิกคำสั่งนั้นเมื่อสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รู้สึกหมดหวังกับปากีสถานและ คอนโดลิซ่า ไรซ์ ก็ได้ขอร้องกับรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถานเป็นการส่วนตัว ในที่สุดมัยก็ได้หนังสือเดินทางที่ถูกรัฐบาลยึดไว้กลับคืนม

อย่างไรก็ตาม แม้ชาวปากีสถาน ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม แต่บางแห่งยังมีกฎระเบียบของชนเผ่าครอบคลุมอยู่ ทำให้หลักการอิสลาม ไม่ถูกนำมาใช้

 

 

 

**********************************

 

 

 

                 สยอง..ไฟมือถือส่องถังน้ำมันระเบิดสนั่น

 

 

                                           

 

 

 

 

 

 

 ******************************

 

 

 

 

   รุกฆาตกองทัพนิรนาม

 

 

 aemy2(1).jpg

 

 

 

 Fongsanan Chamornchan
Chulalongkorn University


ปูมโหร......7-8-9ตุลาคม2556 วันตัดสินใครจะอยู่จะไปในบ้านเมือง หลังจากนั้นจะตามมาด้วยประกาศผลสรุปตามชะตากรรมให้ทราบตามมาเป็นระยะๆ...อย่างตื่นเต้นเร้าใจ
 
อธิบาย......เพราะเป็นระยะที่พระเสาร์กาลกิณีชาติดวงเมืองเข้าใกล้ชิดเป็นดวงเดียวกันมีอิทธิพลสูงสุดระรานสร้างการเปลี่ยนแปลงและโทษทุกข์ให้ดวงเมืองก่อนที่จะคอนเวร์สต่างคนต่างแยกกันลดอิทธิพลลง ระยะนี้จึงเป็นวันตัดสินสถานการณ์สำคัญในบ้านเมืองแล้ว รอดูผลสรุปเป็นระยะๆที่จะตามมา
 
เปรียบเทียบคือ
 
1...ตั้งแต่ 16 กันยายน 2556 เป็นต้นมา เสาร์-ราหูเริ่มเข้าใกล้กันสามองศา(แต่คนละราศีกับครั้งนี้)เปรียบเหมือนช่วงกองทัพไทยยกไปตั้งรับข้าศึกที่ลาดหญ้า/เปรียบเหมือนความขัดแย้งของรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณกับจปร.5ขึ้นสู่กระแสสูงหลังจากกรณีรถโมบาย-ตั้งคุณเสรีพิศุทธิ์เป็นผู้การกองปราบ 
 
2.ระยะวันที่7-8-9 ตุลา 2556 พระเสาร์-ราหูมีอิทธิพลสูงสุดก่อนแยกจากกัน เหมือนคราวสงครามเก้าทัพ ที่ไทยมีกำลังน้อยกว่ามากแถมยังขยาดพม่าเมื่อคราวเสียกรุงศรีฯอยู่ไม่อยากสู้แล้ว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงทำครก-ใหญ่ตั้งหน้าค่ายขู่เพื่อตำพวกทหารไทยหนีทัพพม่า -เอาไม้ทำลูกปืนใหญ่ยิงใส่ค่ายพม่า -ทำสงครามกองโจรโดยขุนเณร -ให้ทหารแอบออกจากค่ายกลางคืนกลับเข้ากลางวันให้ข้าศึกเห็นว่าไทยมีกำลังคนเสริมมากฯลฯ ....
 
ช่วงนี้จึงเป็นช่วงตัดสินสถานการณ์แล้วด้วยฝีมือรอแตกหักหรือประกาศผลเท่านั้น
 
ดวงเมืองตอนนี้และดวงดาวทำมุมคล้ายกันเหมือนกันเหมือนสงครามเก้าทัพคือจะมีเหตุการณ์พลิกผัน...พวกกำลังน้อยอย่างกองทัพไทยต้องสู้เพื่อเอาตัวและบ้านเมืองรอด เพราะพระอังคารตัวแทนดวงเมืองจร ถึงพระราหูเดิม ....ตำราบอกมีอาการราชสีห์จะแพ้หมู ....คือฝูงหมูไปเจอฝูงราชสีห์ รู้ว่าจะถูกจับกินแน่เลยท้าราชสีห์รบ ในอีก3วัน7วัน ราชสีห์ย่ามใจและขำเลยรับคำท้า พวกฝูงหมูรอดตายชั่วคราวแล้วพากันไปคลุกปลักขี้3-7วัน .....พอได้เวลานัดกันที่ชายป่าฝูงหมูชาร์ทเข้าใส่ ฝูงราชสีห์วิ่งหนีกระเจิง
 
ช่วงนี้ที่ลาดหญ้าสถานการณ์ศึกไม่น่าไว้วางใจถึงขนาดล้นเกล้าฯรัชกาลที่1ทรงนำทัพจากกรุงเทพฯไปที่ลาดหญ้าเองเลยเมื่อ 8มกราคม 2328 กรมพระราชวังบวรฯขอให้ทรงมั่นใจและเสด็จกลับไปช่วยศึกด้านอื่น
 
ถ้าเป็นช่วงน้าชาติ เป็นช่วงที่ผลสรุปของรุ่น5 ออกมาแล้วว่าจะยึดอำนาจ โดยฟางเส้นสุดท้ายคือการแต่งตั้งพลเอกอาทิตย์กำลังเอก เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อ20 กุมภาพันธ์ 2534
 
3..ระยะหลัง7-8-9 ตุลาคม 2556-25ตุลาคม 2556-สิ้นปี2556 เป็นช่วงประกาศผล 
 
เปรียบเทียบคือ
 
หลังจากนั้นข้าศึกอ่อนแอเสียขวัญเรื่อยๆ วันที่17 กุมภาพันธ์ 2328 ค่ายพม่าที่ลาดหญ้าถูกตีแตก กระเจิง
 
ถ้าเทียบกับช่วงนี้จะเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือนหลังจาก7-8-9ตุลา ก็ตกประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน2556
 
ตามด้วยไทยชนะศึกถลางมีวีรสตรีเกิดขึ้นสองคน-ชนะศึกที่ใต้นครศรีฯ
 
ตามด้วยพม่าแพ้ทางดวงเมือง.......... เกรงวุ่นวายภายในยกทัพกลับ
 
เห็นไหมเสาร์-ราหูมากวนเมืองชั่วครั้งชั่วคราว ดวงเมืองเดิมเราเข้มแข็งเสียอย่างยังไงก็รอด55555......เมื่อถึงเวลา เก้าทัพยงยับย่อย
 
เปรียบเทียบสมัยนายกฯชาติชายหลังจปร.5วีนรัฐบาลมานาน วันที่23 กุมภาพันธ์2534ก็ยึดอำนาจ
 
แต่คนยึดก็รักษาอำนาจไม่ได้ เกิดพฤษภาทมิฬ 2535 
 
แล้วไทยก็เข้าสู่ยุคใหม่ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง (เข้าสู่ยุคใหม่ทางการเมือง ) ได้ไอทีวี.
 
ลงทุนทำเป็นตารางเลยน่ะเนี่ย แต่ไม่คิดจะออกพ๊อตเก็ตบุ๊คอีกหรอกน่ะ..แค่ช่วยๆอ่านและคิดตามเท่านั้นก็ดีใจมักๆๆๆ
 
และช่วยๆแชร์กันให้คนไทยอ่านมีกำลังใจรวมเป็นหนึ่งเพื่อเอาชนะดวงเมืองแตกคราวนี้ด้วย....ขอบพระคุณ

 

 

 

 เอาทุกเม็ด !!! ตร.โยนความผิดกองทัพธรรม เป็นตัวบงการให้ต้องปิดถนน ??? http://fb.me/2NjHvQDTI
ดูชัดๆ !!! ตร.ติดป้ายบนฟุตบาทพร้อมข้อความว่า " กองทัพธรรม ชุมนุมปิดถนนหน้าทำเนียบ โปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง"


 
tnews_1381211862_7646.jpg

 

 

วันนี้ ( 8 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า   ความคืบหน้าการชุมนุมของ กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ หรือ กปท. ที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ และ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ คณะเสนาธิการร่วมฯแถลงยืนยันจะปักหลักชุมนุม ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาลต่อไป แม้รัฐบาลจะนำเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาปิดกั้นทางเข้าออกไม่ให้กลุ่มชุมนุมมาสมทบก็ตาม ทั้งนี้ ย้ำว่าการจราจรโดยรอบทำเนียบรัฐบาล ที่ต้องปิดลงไม่ได้เกิดจากมวลชน แต่เกิดจากตำรวจที่หวาดระแวงว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะยกระดับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้กองทัพประชาชน ประกาศว่าจะขอใช้ถนนแค่ 1 เลนในการชุมนุมเท่านั้น ส่วนกระแสข่าวที่ออกมาว่าจะมีคนในรัฐบาลขอเจรจาให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม และกลับที่ไปที่สวนลุมพินีนั้น เบื้องต้นยังไม่ได้รับสัญญาณใดๆ จากตัวแทนรัฐบาล แต่หากรัฐบาลอยากเจรจา กองทัพฯก็พร้อมที่จะเจรจา
 
ล่าสุดในเพจ "น้านัส ชีพจรลงเท้า" ได้มีการแชร์ภาพ  "กองทัพธรรม ชุมนุมปิดถนนหน้าทำเนียบ โปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง"   ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าม็อบที่เข้าร่วมชุมนุมยังมีจำนวนน้อยกว่าตำรวจด้วยซ้ำ เหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องติดป้ายประกาศเช่นนี้   หรือมีวัตถุประสงค์ต้องสร้างภาพให้ผู้ชุมนุมเป็นพวกป่วนเมือง ทั้งที่การชุนนุมครั้งนี้ยังอยู่ในกรอบของกฎหมาย ???????

 

 

 

************************************************

 

 

 

 

             เป็นไงล่ะ?..

 

 

 

 

                         

 

 

 

 

....เเค่อยากบอก ว่าท้อ ขอพักนิด

 

เคยก้าวผิด คิดพลาด หวาดไม่หาย

 

ระบมช้ำ ย่ำเป็นจุด ฉุดเกือบตาย

 

หยดสุดท้าย เลือดไหลหลั่ง พังเเล้วใจ

 

 

 

....ก็ไม่รู้ ถูกหรือผิด คิดว่ารัก

 

จึงฟูมฟัก ประคองชิด พิศมัย

 

เเล้วจุดจบ เป็นไงล่ะ? สะมั๊ยใจ?

 

หลบร้องไห้ อ่อนเเอเเท้ เเย่จังเอ็ง....

 

 

 

 

***********************

 

 

 

                                   มิตร ชัยบัญชา

 

 

 

                                                16ปีแห่งความหลัง.jpg

 

 

 

มิตร ชัยบัญชา (28 มกราคมพ.ศ. 2477 - 8 ตุลาคมพ.ศ. 2513) หรือชื่อจริง พันจ่าอากาศโท พิเชษฐ์ ชัยบัญชา (นามสกุลเดิม พุ่มเหม) เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงปลาย พ.ศ. 2499 เป็นพระเอกภาพยนตร์ไทยในช่วง พ.ศ. 2500 - 2513 มีผลงานเด่นในช่วง พ.ศ. 2501 - 2517 ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ 16 มม.[2] มีผลงานนับได้ขณะนั้น 266 เรื่อง จากทั้งสิ้น 300 กว่าเรื่อง

 

ผลงานเรื่องแรกคือเรื่อง ชาติเสือ ผลงานเรื่องที่สองที่ออกฉายคือ จ้าวนักเลง หรืออินทรีแดง ทำให้มิตร ชัยบัญชามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก ทำรายได้เกินล้านบาท มิตรมีผลงานแสดงที่โดดเด่นมากและหลากหลาย ทั้งบทบู๊ รักกุ๊กกิ๊ก รักรันทด ตลก เชยเด๋อด๋า หรือชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา

 

พ.ศ. 2506 ภาพยนตร์เรื่อง ใจเพชร ทำรายได้สูงสุด และมีภาพยนตร์ที่ทำรายได้เกินล้านอีกหลายเรื่อง โดยเมื่อ พ.ศ. 2508 รับพระราชทานรางวัล "โล่ห์เกียรตินิยม"นักแสดงนำชาย ที่ทำรายได้สูงสุด จากภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน ซึ่งทำรายได้เป็นประวัติการณ์ ต่อมา พ.ศ. 2509 ภาพยนตร์เรื่อง เพชรตัดเพชร ทำรายได้ทำลายสถิติ เงิน เงิน เงิน ได้ 3 ล้านบาทในเวลา 1 เดือน และรับพระราชทานรางวัลดาราทอง จากคุณสมบัติหลัก 4 ประการ คือ ศรัทธา หน้าที่ ไมตรี และ น้ำใจ ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของผู้รับรางวัล ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2513 ภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ เป็นภาพยนตร์เพลงลูกทุ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำรายได้มากกว่า 6 ล้านบาทและยืนโรงได้นานกว่า 6 เดือนในกรุงเทพ ทำรายได้ทั่วประเทศ กว่า 13 ล้านบาท

 

 

 

                              

 

ต่อมา เมื่อ พ.ศ. 2512 มิตรได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อพิสูจน์ความนิยมในตัวเองอีกครั้ง ตามคำขอของเพื่อน แต่ไม่ใช่ระดับท้องถิ่นอีกต่อไป เพราะเขาได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตพระนคร กับ ปราโมทย์ คชสุนทร เพื่อหวังทำงานรับใช้ประชาชน และต้องการช่วยนักแสดง ให้การแสดงเป็นอาชีพที่มั่นคง มีสวัสดิการ ได้รับการดูแลเหมือนอาชีพเฉพาะทางอื่นๆ โดยขณะหาเสียงมิตรยังคงมีงานถ่ายภาพยนตร์อยู่มากหลายเรื่อง รวมทั้งต้องเคลียร์คิวหนังไปถ่ายต่างประเทศด้วย 2 เรื่อง เรื่องแรกไปถ่ายที่ญี่ปุ่น อีกเรื่องไปถ่ายที่ปีนัง โดยคู่แข่งขันกล่าวกับประชาชนว่า ถ้ามิตร ชัยบัญชา ได้รับเลือกตั้งก็จะไม่ได้มาแสดงภาพยนตร์ให้ดูอีก มิตรไม่ได้รับเลือกเป็นครั้งที่ 2[13] ด้วยคะแนนที่สูงพอสมควรแต่ขาดไปเพียง 500 คะแนน ได้เป็นที่ 16 จากความต้องการ 15 คน การลงสมัครเลือกตั้งนี้เองทำให้เงินทองและทรัพย์สินของมิตรร่อยหรอลงไปหลายล้านบาท พร้อมกับบ้าน 1 หลังที่จำนองกับธนาคาร เขาเก็บความผิดหวังไว้เงียบๆ  

 

และอีกความเจ็บปวด คือ หญิงคนที่รักมากได้ตีห่างจากไป (เพราะเหตุผลว่าเขาผิดสัญญาที่ลงเล่นการเมืองเป็นครั้งที่ 2 และเลือกประชาชน มากกว่า เลือกเธอ) ทำให้มิตรเสียใจมาก เขาพยายามตั้งใจ อดทนสู้ใหม่ รับงานหนังอีกหลายเรื่อง เช่น 7 สิงห์คืนถิ่น, วิมานไฟ, จอมโจรมเหศวร, ทรชนเดนตาย, ฟ้าเพียงดิน, ไอ้หนึ่ง, ชาติลำชี, ขุนทาส, สมิงเจ้าท่า, แม่ย่านาง, ลมเหนือ, 2สิงห์จ้าวพยัคฆ์, กำแพงเงินตรา, วิญญาณดอกประดู่, สวรรค์เบี่ยง, ฝนเดือนหก ฯลฯ และปีเดียวกัน มิตรได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง รอยพราน ในนามชัยบัญชาภาพยนตร์ ด้วย

 

8 ตุลาคมพ.ศ. 2513 มิตร ชัยบัญชาเสียชีวิตขณะถ่ายทำฉากโหนบันไดเชือกเฮลิคอปเตอร์ จากภาพยนตร์เรื่อง อินทรีทอง ท่ามกลางความอาลัยของมหาชน นับเป็นบุคคลธรรมดาที่มีผู้มาร่วมงานศพมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์[3] ได้มีการตั้งศาลบริเวณ หาดจอมเทียนพัทยาใต้ สถานที่ที่มิตร ชัยบัญชาเสียชีวิต ต่อมามีการปรับปรุงและสร้างรูปหล่อของมิตร ชัยบัญชา ในชุดอินทรีทอง ไว้ที่ศาลด้วย ปัจจุบันอยู่ด้านหลังโรงแรมจอมเทียน เมื่อ พ.ศ. 2548 ได้มีการสร้างละครเรื่อง "มิตร ชัยบัญชา มายา-ชีวิต" ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ละครสร้าง ดัดแปลงมาจากเรื่องและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของมิตร ชัยบัญชา เพื่อรำลึกถึงพระเอกดาราทองยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย เป็นที่รักของมหาชนทั่วประเทศ พ.ศ. 2549 - 2550 มีการรวมใจสร้างอนุสรณ์สถานมิตร ชัยบัญชา พร้อมหุ่นไฟเบอร์กลาส ที่บ้านไสค้าน จังหวัดเพชรบุรี บ้านเดิมของมิตร ชัยบัญชา ด้วย

 

 

 


 


      

    หากกดปุ่มย้อนกาลในอดีตได้.....ให้หน้าปัด ไทม์แมชชีน หยุดนิ่ง ณ คาบเวลา 16.13 นาฬิกา ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ต.ค. 2513 อันเป็นซึ่งเป็นวินาทีที่ มิตร ชัยบัญชา ลอยละลิ่ว ร่วงจากเฮลิคอปเตอร์...ณ หาดดงตาลจอมเทียน เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

          .....ขณะเข้าฉากภาพยนตร์เรื่องอินทรีทอง ใน บทบาท โรม ฤทธิไกร หนีออกจากรังโจรด้วยการโหนบันไดเครื่องบินดิ่งลงมากระแทกจอมปลวกเสียชีวิตทันที

          เป็นการอวสานชีวิตพระเอกยอดนิยมในอดีต เมื่อสมัยคุณย่ายังสาว แต่ก็ยังมีเรื่องให้กล่าวขานถึง... แม้จะมีเส้นกั้นกลางที่แตกต่างระหว่างภพภูมิก็ตาม!!!

          บรรจง เบญจมาศ นักข่าวไทยรัฐประจำเมืองพัทยา ชลบุรี เล่าให้เหนือฟ้าใต้บาดาลฟังว่า.... ตอนนั้นรับราชการได้ยศสิบตำรวจโทถูกส่งมาประจำการที่พักสายตรวจ ตำบลพัทยา เพราะยังไม่มีโรงพัก มิตร ชัยบัญชา ได้ติดต่อตำรวจหลายนาย รวมทั้งตัวเขา ด้วย ให้ร่วมเข้าฉากแสดงเป็นตำรวจขึ้นเรือเร็วไล่ ล่าคนร้าย แล้วยิงปะทะอย่างดุเดือด

          ยอมรับว่า นิยมชมชอบพระเอกยอดนิยมท่านนี้มาก เพราะเป็นคนมีน้ำใจ อัธยาศัยดี ให้เกียรติผู้ร่วมงานทุกคน แม้จะมีบทบาทน้อยก็ตาม จึงเต็มใจช่วยงานกันอย่างเต็มที่...

          ถ่ายทำกันตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อย ก็ไม่เห็นมีลางบอกเหตุอะไร หลังเสร็จสิ้นจึงกลับไปพักผ่อนกัน พอตกเย็นมีคนส่งข่าวบอกว่าพระเอกมิตร ตกเครื่องบินตาย.....ถึงกับใจหายวาบ ไม่เชื่อหูตัวเอง เลยรีบมาดูกับตา

          วันนั้น.....ได้ค่าตัวแสดงหนัง 100 บาท รุ่งขึ้นจึงแบ่งทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับมิตร ชัยบัญชา ปัจจุบัน ถ้าผ่านมาศาลมิตร ชัยบัญชา จะแวะรำลึกถึง....จุดธูป ขอโชคลาภบ้างในบางครั้ง

          หาดดงตาลจอมเทียน...วันนี้ไม่เหลือริ้วรอยอดีต เหลือให้เห็น คงพบแต่สูงเสียดฟ้าป่าคอนกรีตเบียดต้นมะพร้าว แถมดงตาลโตนดล้มหายแทบสูญพันธุ์

          จะเหลือไว้เพื่อเตือนความทรงจำกับเหตุการณ์ ที่ช็อกวงการบันเทิงเมื่อ 38 ปีที่แล้ว ก็ตรงโค้งหนุมาน แยกจากถนนสายพัทยา-หาดจอมเทียนเข้าไปสัก 100 เมตร

          ซึ่งอนุสรณ์สถานเพียงแห่งเดียว.... คือเป็นที่ตั้งของ ศาลมิตร ชัยบัญชา อันเป็นจุดที่พญามัจจุราชกระชากวิญญาณออกจากร่างพระเอกอินทรีทอง ลักษณะเรือนไทยขนาดย่อม ภายในศาลมีรูปหล่อทองเหลืองขนาดเท่า ตัวจริง พร้อมภาพถ่ายหลากหลายอิริยาบถของผู้ที่จากไป เป็นการเตือน ความทรงจำ...

          ...ส่วนรายรอบจะตลบอบอวล ไปด้วยควันธูป เปลวเทียน ตุ๊กตาแก้ บน ช้าง ม้า เสื้อผ้าเครื่องแบบทหารอากาศ อาหารคาว-หวาน แกงส้มมะละกอ ผัดผักกระเฉด เนื้อทอดกระเทียมพริกไทย อันเป็นอาหารจานโปรดสมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่อย่างครบครัน

 



          มิตร ชัยบัญชา.....หรือ พิเชษฐ พุ่มเหม เป็นชาวท่ายางจังหวัดเพชรบุรี โดยกำเนิด แรกเกิดถูกพ่อแม่ทิ้งให้ อยู่กับหลวงตาที่วัด จึงเรียกว่า บุญทิ้ง ก้าวเข้าสู่โลกมายา ครั้งแรกแสดงหนังเรื่อง ชาติเสือ เมื่อปี 2500 กลายเป็นที่รู้จักมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างสุดโต่ง เมื่อแสดงคู่กับนางเอก สาว เจ้าของฉายานัยน์ตาอาบน้ำผึ้ง เพชรา เชาวราษฎร์ จนกลายเป็นพระนางคู่ขวัญ

          กาลเวลาที่ผ่านไปจะนานถึงเกือบครึ่งศตวรรษ.... ศาลมิตร ชัยบัญชา ในปัจจุบันเป็นจุดแห่งที่พึ่งทาง ใจ ยิ่งในสภาวะมรสุมเศรษฐกิจซัดกระหน่ำทำให้สุขภาพจิตเสื่อมถอย....

          ....ผู้คนต่างเพศต่างวัย หลากหลายสาขาอาชีพที่ สีหน้าเปื้อนทุกข์ พากันไปบนบานศาลกล่าวขอให้ วิญญาณมิตร ชัยบัญชา ช่วยปัดเป่า..... ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาชีวิต คิดไม่ตก อกหัก รักสามเส้า ของหาย ขายที่ดินไม่ได้ โรคภัยรุมเร้า สอบเข้าทำงาน รวมทั้งหวังรวยทางหวย 2 ตัว 3 ตัว สารพัด สารเพต่างพากันไปจุดธูปขอให้ช่วยเหลือ

          ลุงสมชาติ บุษสระเกษ วัย 60 ปี อดีตครูโรงเรียน บ้านหนองบุญมาก อ.หนองบุญมาก นครราชสีมา มาใช้ ชีวิตปั้นปลายหารายได้พิเศษขายพวงมาลัยดอกไม้สด และ เครื่องแก้บนอยู่บริเวณหน้าศาลมานานกว่า 8 ปี เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า.....


 



          ลุงต้องออกตัวก่อนนะว่าไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องผีเรื่องสาง แต่จากปากลูกค้าที่มาสั่งของแก้ บนบ่อยครั้งขึ้นก็จะโอนเอียงตาม

          อย่างเช่น ชายคนหนึ่งบ้านอยู่สัตหีบ เพิ่งซื้อรถมอเตอร์ไซค์ใหม่ๆหาย จึงไปแจ้งความตำรวจหลายวันแล้วไม่คืบหน้า เลยมาจุดธูป 5 ดอก ขอให้มิตร ชัยบัญชา ช่วยให้ได้ของคืน พอกลับไปบ้าน ตำรวจมาบอกว่าให้ไปดูรถที่โรงพัก จึงได้รถคืน แต่ ไม่ใช่ฝีมือตำรวจ คือคนขโมยมันขี่ไปชนกับรถคันอื่นจนตัวเอง บาดเจ็บ.....

         อีกราย.....หญิงสาว สามีเป็นชาวเยอรมัน อยาก ไปอยู่กับครอบครัวสามี ขอวีซ่าหลายครั้ง หมดเงินไป หลายโขก็ไม่ผ่าน สุดท้ายเดินเข้าไปจุดธูปบนหัวหมู และชุดทหารอากาศ...สัปดาห์ต่อมาวีซ่าเข้าเมืองเยอรมนีผ่านฉลุยเลย...

          ....กับเพื่อนสนิทของ ลุงสมชาติ ชื่อ นายถนอม วัดกลาง เจ้าของอู่ซ่อมมอเตอร์ไซค์ ตลาดต้นโพธิ์ หาดจอมเทียน มาบนบานเพราะเจอปัญหา เมื่อได้รับความช่วยเหลือพอพ้นทางตัน กลับเบี้ยว ไม่ยอมไปแก้บน

          วันหนึ่งไปแหลมแม่พิมพ์ มีหมอดูเข้ามาทักว่าเคยไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนให้ไปแก้ซะ ไม่งั้น ชีวิตจะต้องเจออุบัติเหตุ...แต่ นายถนอม ก็ยัง ไม่ใส่ใจ แล้ววันหนึ่งขณะขับรถไปอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พร้อมคนในรถอีกหลายคน เกิดอุบัติเหตุชนกัน บาดเจ็บทั้งคัน สำหรับถนอม แค่ฟกช้ำ หลังเรื่องร้ายผ่านพ้น เพื่อนคนนี้ได้ย้อนไปแหลมแม่พิมพ์อีกครั้ง

          แล้ว หมอดู คนเดิมก็ทักซ้ำอีกว่า หากไม่ไปทำตามสัญญา กับ วิญญาณ จะต้องเกิดอุบัติเหตุซ้ำสอง และ อาจถึงขั้นรุนแรงแก่ชีวิต...พอกลับมาเลยรีบไปแก้บนขอโทษขอโพย เรื่องดีๆ จึงมีเข้ามาในชีวิตเรื่อยมา

          นั่นคือคำถ่ายทอดจากปากของอดีตพ่อพิมพ์ ที่เคยสอนวิชาสมัยใหม่ ให้ได้รู้ถึง.....รอยต่อระหว่างโลกวิญญาณ กับ สังคมยุคดิจิตอล...!!!

 

 

 

 

 

 

***********************************************

 

 

 

 

 

ปรากฏการณ์ช็อกโลก เมื่อรัฐบาล US ประสบภาวะ “shutdown” หนแรกในรอบ 17 ปี

 

 

 

 

 

 

  ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในข่าวต่างประเทศที่ได้รับความสนใจมากที่สุดข่าวหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ การที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (United States federal government ) บางส่วน จำเป็นต้องปิดทำการ หรือประสบภาวะที่เรียกว่า “shutdown” ในวันอังคารที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการปิดตัวครั้งแรกในรอบระยะเวลา 17 ปี
       
       ปรากฏการณ์สุดช็อกดังกล่าว ซึ่งไม่ต่างจากฝันร้ายที่กลายมาเป็นความจริง บังเกิดขึ้นหลังจากสภาคองเกรสส์สหรัฐฯ ซึ่งประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรที่มีพรรค “รีพับลิกัน”ครองเสียงข้างมาก กับวุฒิสภาที่มีฝ่าย “ เดโมแครต” กุมอำนาจอยู่ ไม่สามารถประนีประนอม ยุติความขัดแย้งด้านงบประมาณกันได้ทันกำหนดเส้นตายในช่วงเที่ยงคืนวันจันทร์ ที่ 30 กันยายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ 2012/13
       
       สาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การ “shutdown” เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีของรัฐบาลสหรัฐฯนั้น มาจากการที่สภาผู้แทนราษฎรซึ่งควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน ได้เสนอร่างกฎหมายงบประมาณที่ให้มีการอัดฉีดงบรายจ่ายให้แก่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางตามยอดเดิมที่เคยได้ไปพลางก่อนจนกระทั่งถึงวันที่ 15 ธันวาคมปีนี้ แต่มีเงื่อนไขสำคัญว่า จะต้องมีการชะลอการบังคับใช้กฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเรียกขานกันว่า “โอบามาแคร์” ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญทางด้านสังคมที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาผลักดันมาโดยตลอด
       
       และสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ วุฒิสภาสหรัฐฯที่มีพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโอบามา ครองเสียงข้างมากอยู่ ได้กระทำตามที่ประกาศกร้าวเอาไว้ นั่นคือ ไม่ยอมรับร่างงบประมาณฉุกเฉินที่เสนอโดยรีพับลิกัน จนนำไปสู่การที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางต้องปิดตัวลงแบบไม่มีกำหนดในที่สุด
       
       การ “shutdown” นี้มีผลให้ลูกจ้างที่ทำงานในหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลอเมริกันกว่า 800,000 คน ต้องพักงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน และเป็นการพักงานแบบไม่มีกำหนด ขณะที่บรรดานักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าชมอนุสาวรีย์ พิพิธภัณฑ์ และอุทยานแห่งชาติต่างๆทั่วสหรัฐฯได้ มีเพียงแค่บางหน่วยงานซึ่งถือว่ามีภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งและไม่อาจหยุดทำการได้ เช่น หน่วยงานที่รับผิดชอบการควบคุมการจราจรทางอากาศเท่านั้น ที่ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปนับจากวันที่ 1 ตุลาคม ขณะที่กระทรวงต่างๆ รวมถึงทำเนียบขาว เหลือเพียงพนักงานหลักๆ จำนวนน้อยที่มาทำงานตามปกติ

 

 

 

 

 

 

แฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐฯ ประกาศว่าการกระทำของพรรครีพับลิกันเช่นนี้ ไม่ต่างจากการก่อการร้าย ที่มีประชาชนชาวอเมริกันตกเป็น “ตัวประกันทางการเมือง” สอดคล้องกับถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโอบามาระบุว่า พรรครีพับลิกันจับชาวอเมริกันเป็นตัวประกัน เพียงเพื่อต้องการแลกเปลี่ยนกับข้อเรียกร้องของกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขั้วอย่างพวก “ที ปาร์ตี้”ในพรรคของตัวเอง ที่มีจุดยืนคัดค้าน “โอบามาแคร์” แบบหัวชนฝา จนส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯต้องปิดทำการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996
       
       ทว่า จอห์น เบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ตอบโต้กลับว่า พรรคของตนไม่ได้ต้องการให้หน่วยงานรัฐปิดทำการ แต่การบังคับใช้กฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเรียกขานกันว่า “โอบามาแคร์” นั้นจะทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และงบประมาณของประเทศ ทั้งยังกล่าวหาโอบามาว่าไม่ยอมเจรจาอย่างสุจริตใจ
       
       โดยรวมแล้ว การ shutdown ของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในศึกชิงไหวชิงพริบระหว่างประธานาธิบดีโอบามากับบรรดาส.ส.ฝ่ายรีพับลิกันเกี่ยวกับขนาด และบทบาทรัฐต่อชีวิตประจำวันของประชาชน
       
       หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่าการ shutdown ครั้งนี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่หลังเพิ่งเผชิญการถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ขณะที่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักระบุตรงกันว่า หากสถานการณ์การปิดตัวของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯครั้งนี้ยืดเยื้อนาน 2 สัปดาห์ จะมีผลทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองลุงแซมในปีนี้ หายไปทันที “0.3 เปอร์เซ็นต์”

 

 

 

 

 

 

  ขณะเดียวกัน การปิดหน่วยงานรัฐ ยังจะส่งผลร้ายแรงต่อบรรดาลูกจ้างภาครัฐที่ถูกพักงาน ซึ่งอาจต้องนำเงินออมมาใช้ ระงับการจ่ายหนี้บ้าน ผิดนัดการผ่อนรถ และค่าใช้จ่ายอื่นๆในชีวิตประจำวัน ขณะที่ภารกิจทางการทหารของสหรัฐฯ ในต่างแดนก็ถูกปกคลุมด้วย “เมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอน” และส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในสายตาชาติพันธมิตรอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
       
       นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มว่า ตลาดการเงินทั่วโลกอาจประสบภาวะผันผวนหนักยิ่งขึ้น หากนักการเมืองสหรัฐฯทั้ง 2 พรรคยังหาทางออกจากวิกฤต shutdown ครั้งนี้ไม่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะหากยิ่งนานไปสถานการณ์ก็ดูจะยิ่งซับซ้อน เนื่องจากใกล้ถึงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐฯต้องขอให้สภาคองเกรสส์อนุมัติการ “ขยายเพดานก่อหนี้” โดยที่ทางฝ่ายรีพับลิกันเองก็เตรียมตั้งป้อมเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโอบามายอมอ่อนข้อในเรื่องโอบามาแคร์เป็นการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกัน
       
       และหากนักการเมืองในสภาคองเกรสส์ไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องขยายเพดานหนี้ สหรัฐฯซึ่งถูกยกให้เป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกก็มีหวังต้อง “ผิดนัดชำระหนี้” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะถือเป็นวิกฤตที่เลวร้ายเป็นเรื่องที่สองต่อจากการ “shutdown”
       
       ขณะที่ ผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยรอยเตอร์/อิปซอส ระบุว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 24 โทษนักการเมืองพรรครีพับลิกันว่าเป็นต้นเหตุของการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งนี้, ส่วนร้อยละ 19 คิดว่าเป็นความผิดของโอบามาและพรรคเดโมแครต ขณะที่ร้อยละ 46 เชื่อว่าเป็นความผิดของ “ทุกฝ่าย” ที่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางการเมืองโดยเอาประชาชนเป็น “ตัวประกัน”

 

 

 

**************************************

 

 

 

 

guest

Post : 2013-10-01 19:09:03.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >   20 เคล็ดลับเจ๋ง ๆ ช่วยทำให้ตัวเองดูเด็กลง

 

 

 

 

                      20 วิธี ดูเด็กลงด้วยตัวเอง 

 


 

                                    

 

 

 

เรื่องหน้าเด็กเป็นเรื่องที่ไม่มีใครยอมใครได้ง่าย ๆ ใครมีสูตรไหนเด็ดสูตรไหนลับสุดยอดก็งัดมาใช้กันแบบเต็มที่เพื่อใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์เท่าเด็กสาวแรกรุ่น วันนี้เราเลยขอจัดสูตรเด็ด เคล็ดลับการดูแลรักษาสุขภาพทั้งทางจิตใจและทางร่างกาย 20 วิธีมาฝากกัน 

1. บริโภควิตามินซีและอีเป็นประจำ ทำให้ดูเด็กลงกว่าเดิมไม่ต่ำกว่า 6 ปี 

2. อย่าอยู่ใกล้ควันบุหรี่ คนที่อยู่ใกล้ ๆ ควันบุหรี่วันละไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง จะดูแก่กว่าอายุจริงราว ๆ 6.9 ปี ซึ่งพอ ๆ กับคนที่สูบบุหรี่เป็น ประจำเลยทีเดียว 

3. แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกวัน คนฟันสวย จะดูเด็กกว่าปกติประมาณ 6.4 ปี 

4. มีเซ็กส์ เซ็กส์ที่มีคุณภาพหมายถึงไปถึงจุดสุดยอดได้มากเท่าไร ใน 1 ปี จะทำให้เราดูเด็กกว่าอายุจริงได้ถึง 1.6-8 ปี เชียวนะ 

5. อย่าอด อาหารเช้าเป็นมื้อที่ควรบริโภคทุกวันจะช่วยให้ดูเด็กกว่าอายุจริง ๆ ลงได้ 2 ปี 

6. หัวเราะเข้าไว้ เพราะการหัวเราะทำให้คุณดูเด็กลง 1.7-8 ปี 

7. เลือกรับประทานอาหารไขมันต่ำ เพราะอาหารไขมันต่ำจะทำให้คุณดูเด็กลงไม่ต่ำกว่า 6 ปี 

8. เรียนรู้สิ่งรอบ ๆ ตัวตลอดเวลา เพราะการเรียนรู้และหากิจกรรมใหม่ ๆ ทำสม่ำเสมอจะทำให้คุณดูเด็กลง 2.5 ปี 

9. สร้างเครือข่ายสังคม การอยู่ในสังคมที่ดี มีเพื่อนสนิทครอบครัวที่รักใคร่ กลมเกลียวจะช่วยลดความเครียดจากการทำงานจะทำให้เราดูเด็กลงได้ตั้งแต่ 2-30 ปี 

10. นอนหลับให้พอ การนอนหลับยาว ๆ นาน ๆ สม่ำเสมอในแต่ละคืนทำให้ดูอ่อนเยาว์กว่าวัย ผู้หญิงควรนอนให้ได้ 7 ชั่วโมง และชาย 8 ชั่วโมง จะทำให้เราดูเด็กลง 3 ปี 

11. เลี้ยงสุนัขและเดินเล่นกับมัน วิธีนี้จะทำให้เราดูเด็กลง 1 ปี 

12. ไปตรวจสุขภาพบ้าง คนที่ดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี จะทำให้เราดูเด็กลงกว่าอายุจริงถึง 12 ปี 

13. ตรวจและสอบประวัติสุขภาพของครอบครัว การป้องกันตัวเองจากโรคที่เคยเป็นในครอบครัวดังกล่าว จะช่วยให้คุณดูเด็กกว่าพ่อแม่ของคุณ เมื่อเวลาที่คุณมีอายุเท่ากับท่านถึง 4 ปี 

14. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังที่เหมาะสมจะทำให้ดูเด็กลง 3-8 ปี 

15. หยุดสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ จะดูแก่กว่าอายุจริง 8 ปี 

16. งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง การติดแอลกอฮอล์จะทำดูแก่กว่าอายุจริง 3-5 ปี 

17. อย่าลืมเรื่องเศรษฐกิจ คนที่มีปัญหาเครียดเรื่องเงินจะทำให้ดูแก่กว่าอายุจริง 8 ปี 

18. รักษาน้ำหนักให้มาตรฐานคงที่ คนที่ลดน้ำหนักลงได้จะทำดูเด็กกว่าอายุจริงไม่ต่ำกว่า 6 ปี 

19. บริโภคอาหารแคลอรีต่ำแต่คุณค่าโภชนาการสูง การบริโภคผักผลไม้สดและปลา จะทำดูเด็กลง 4 ปี 

20. หาทางออกที่เหมาะสมเมื่อพบวิกฤติของชีวิตการเอาชนะปัญหาชีวิตได้ จะทำคุณดูเด็กลง 8-16 ปี 

 

 

ที่มา นิตยสาร APPEAL

 

 

 

 

***********************************

 

 

 

 

 

 

เทศกาลกินเจ 2556 อิ่มบุญอิ่มใจ 5-13 ตุลาคมนี้

 

 

 

 


เทศกาลกินเจ

 

 


 
          เทศกาลกินเจ ถือเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาวจีนที่มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล  ซึ่งเทศกาลกินเจนั้น จะเริ่มขึ้นเมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีน) ของทุกปี โดยเมื่อถึงวันดังกล่าวประชาชนจะนำธงพื้นสีเหลืองซึ่งมีตัวอักษรจีนสีแดงโดดเด่นมาประดับตามร้านอาหาร หรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า  ได้เข้าร่วมเทศกาลกินเจนี้ และสำหรับเทศกาลกินเจ ปี 2555 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่  5-13 ตุลาคม 2556 ซึ่งบางคนอาจกินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า "ล้างท้อง" นั่นเอง 
 

          สำหรับใครที่ไม่เคยกินเจมาก่อน แล้วอยากทราบประวัติความเป็นมาของเทศกาลกินเจ รวมถึงต้องการเรียนรู้การกินเจอย่างถูกวิธี เพื่อให้ได้ผลดีต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ อย่างแท้จริงนั้น วันนี้ทีมงานกระปุกดอทคอม ได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับเทศกาลกินเจมาฝากแล้วค่ะ 
 
ความหมายของเจ 
 
          คำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า "อุโบสถ" เดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ 
 
          "การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว 
 
ช่วงเวลากินเจ 

 
          ประเพณีกินเจที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เก้าอ๊วงเจ" หรือ "กิ้วอ๊วงเจ" แปลว่า "เจเดือน 9" เริ่มต้นในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน รวม 9 วัน 9 คืน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย (ตามปฏิทินสากล) สำหรับในปี พ.ศ. 2556 นี้ เริ่มวันที่  5-13 ตุลาคม 
 
          คำว่า "เก้าอ๊วง" หรือ "กิ้วอ๊วง" แปลว่า "พระราชา 9 องค์" หรือนพราชา หมายถึงผู้เป็นใหญ่ทั้ง 9 ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีกินผักกินเจ 
 
ความหมายของ "ธงเจ" 

 
          ในช่วงเทศกาลกินเจ เราจะสังเกตเห็นธงประจำเทศกาล โดยมีพื้นธงเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้กับคนสองกลุ่มเท่านั้น คือกลุ่มกษัตริย์ ราชวงศ์ และกลุ่มอาจารย์ปราบผี ดังจะเห็นจากยันต์สีเหลืองตามภาพยนตร์จีน ดังนั้นสีเหลืองจึงเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล บนธงจะเขียนตัวอักษรสีแดง อ่านว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" เหตุที่ใช้สีแดง เพราะชาวจีนเชื่อว่า เป็นสีมงคล สร้างความเจริญให้แก่ชีวิต 
 
          ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตนถือศีลกินเจได้ตระหนักถึงการไม่ เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน 

กินเจเพื่ออะไร 

 
          จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ 
 
           1. กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ 
 
           2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุก ๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้  
 
           3. กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น 



 
ตำนานการกินเจ 
 
          ตำนานที่มาของการกินเจ มีเรื่องเล่าอยู่ถึง 7 เรื่องได้แก่ 
 
ตำนานที่ 1 รำลึกถึงวีรชนทั้ง 9 

 
          เทศกาลกินเจเริ่มขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว โดยชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูผู้รุกรานอย่างกล้าหาญ ถึงแม้จะแพ้และต้องตายก็ตาม ดังนั้นเมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น เพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่างกาย และจิตใจ 
 
ตำนานที่ 2 บูชาพระพุทธเจ้า 
 
          เชื่อว่า เป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า "ดาวนพเคราะห์" ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้ สาธุชนในพระพุทธศาสนาจะสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีล งดเว้นเนื้อสัตว์ และแต่งกายด้วยชุดขาว 
 
ตำนานที่ 3 เก้าอ๊องฝ่ายมหายาน 
 

          กล่าวไว้ว่า การกินเจเป็นพิธีปฏิบัติที่สืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวร โพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์ (หรือ "เก้าอ๊อง") 
 
          ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ 
 
ตำนานที่ 4 พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้อง 
 
          เชื่อว่า การกินเจเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่ง เป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการ เมือง ประเพณีนี้เข้ามาสู่เมืองไทยโดยชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่ อีกทอดหนึ่ง 
 
ตำนานที่ 5 เล่าเอี๋ย 

 
          เมื่อ 1,500 ปีก่อน ณ มณฑลกังไสซึ่งเป็นแดนแห่งความเจริญรุ่งเรือง ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเก่งทั้งบุ๋น บู๊ ทำให้หัวเมืองต่าง ๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็ง และมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มากกว่าหลายเท่าตัว โอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่า อีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วย แต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสา และเพ่งญาณเห็นว่า ควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญลีฮั้วก่าย 
 
          คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่า มีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบ เศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไป และประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อน และผู้อื่นจึงปฏิบัติตาม จนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย 
 
          เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไส จึงได้ศึกษาตำราการกินเจของ เศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องฮ่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ) 
 
ตำนานที่ 6 เล่าเซ็ง 
 
          มีชายขี้เมาคนหนึ่งชื่อ เล่าเซ็ง เข้าใจผิดว่า แม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่มาเข้าฝันว่า ตนตายไปได้รับความสุขมาก เพราะแม่กินแต่อาหารเจ และหากลูกต้องการพบให้ไปที่เขาโพถ้อซัว บนเกาะน่ำไฮ้ ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งจึงขอตามเพื่อนบ้านไปไหว้พระโพธิสัตว์ด้วย โดยเพื่อนบ้านให้เล่าเซ็งสัญญาว่า จะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงยอมให้ไป แต่ระหว่างทางเล่าเซ็งผิดสัญญา เพื่อนบ้านจึงหนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เช่นกัน เขาจึงขอตามนางไปด้วย 
 
          เมื่อถึงเขาโพถ้อซัว ขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบพระโพธิสัตว์อยู่นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูป แต่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเขาเดินทางกลับ ได้เจอกับเด็กชายยืนร้องไห้อยู่ จึงเข้าไปถามไถ่จนทราบว่า เด็กคนนั้นเป็นลูกชายของเขากับภรรยาเก่าที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วย และต่อมาหญิงสาวที่นำทางเล่าเซ็งไปพบพระโพธิสัตว์ได้มาขออยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข 
 
          หญิงสาวคนนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ มีความประพฤติดี อยู่ในศีลธรรม และถือศีลกินเจอยู่เป็นประจำ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้ว จึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางแต่งตัวด้วยอาภรณ์ขาวสะอาด นั่งสักครู่แล้วก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่ จึงเกิดศรัทธา ยกสมบัติให้ลูกชาย แล้วประพฤติตัวใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่ และหญิงสาว ประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น 
 
ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต 
 
          มีคณะงิ้วจากเมืองจีน มาเปิดการแสดงที่อำเภอกะทู้นานเป็นแรมปี บังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคระบาดก็หาย ชาวกะทู้เกิดความศรัทธาจึงปฏิบัติตาม หลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ก็มีผู้คนเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์แบบตามประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) จากกังไสให้ลอยมาถึงภูเก็ต โดยในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน 
 
          สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจจึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ 
 
ภูเก็ต เมืองแห่งเทศกาลเจ 
 
          จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่จัดประเพณีการกินเจอย่างยิ่งใหญ่ทุก ๆ ปี โดยมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 ดังนั้นเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่ว ๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตว่า เป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบ และระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน 
 
10 วันของเทศกาลกินเจ 

          ประเพณีกินเจจะจัด 9 วัน 9 คืน โดยแต่ละวันมีพิธีต่าง ๆ กันดังนี้ 
 
          วันแรก แต่ละศาลเจ้าก็จะดูฤกษ์ยามว่า จะเชิญเจ้ามาเวลาไหน แต่ไม่เกินเที่ยงวัน โดยใช้ "ปวย" 2 อันเสี่ยงทายโดยการโยน 2 ครั้ง หาก 1 อันหงาย 1 อันคว่ำ แสดงว่า เจ้าทั้ง 9 ได้เสด็จลงมาแล้ว การกินเจจะเริ่มขึ้น แต่คนส่วนใหญ่มักทานกันล่วงหน้าเพื่อล้างท้อง 
 
          ที่ภูเก็ตในตอนกลางคืนจะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้ามาประทับ 
 
          เช้าวันที่สอง จะมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม 
 
          หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่านไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น 
 
          วันที่สี่ เป็นวันที่คนส่วนใหญ่จะมาไหว้เจ้า วันนี้ศาลเจ้าต่าง ๆ จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน 
 
          วันที่เจ็ด จะเริ่มพิธีบูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นอีกวันหนึ่งที่มีการไหว้เจ้า แต่วันนี้สำคัญกว่าวันที่สี่ เรียกว่า "ไหว้เจ้าใหญ่" ในวันนี้จะมีการซื้อเต่า, ปลาไหล, นก ฯลฯ มาไหว้ด้วย 
 
          วันที่แปด วันนี้จะมีการลอยกระทง คล้ายการลอยกระทงของคนไทย เพื่อขอบคุณเจ้าแม่คงคาที่ให้น้ำใช้ น้ำดื่ม และให้สิ่งไม่ดีลอยไปตามน้ำ นอกจากนี้ที่ภูเก็ตยังมีการจัดขบวนแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระลึกถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่าง ๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้นไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้ เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอดเส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด 
 
          วันที่เก้า ช่วงเช้าจะมีพิธีทำทาน หรือเรียกว่า "ซิโกว" เป็นการให้ทานแก่ผีไม่มีญาติ ตอนกลางคืนจะมีแห่มังกร, สิงโต, ขบวนของเด็กที่จัดเพื่อเป็นสีสัน  
 
          ขณะที่จังหวัดภูเก็ตจะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่านร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลง ดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต 

          วันที่สิบ เป็นวันส่งเจ้ากลับ 
 
อาหารเจ 

          อาหารเจนับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ และไม่มีพิษต่อร่างกาย เพราะได้โปรตีนจากถั่วต่าง ๆ และยังย่อยง่ายเป็นการแบ่งเบาภาระของระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ผู้ที่รับประทานเจ สามารถเลือกส่วนผสมดังต่อไปนี้มาปรุงอาหารได้ คือ ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่าง ๆ ปัจจุบันมีเมนูอาหารจำนวนมาก ซึ่งหลายเมนูทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ได้เหมือนจริง เช่น ขาหมูเจที่ทำจากแป้ง และถั่ว ฯลฯ 
 
ความแตกต่างของ "เจ" กับ "มังสวิรัติ" 

          หลายคนอาจสงสัยว่า "กินเจ" ต่างกับ "กินมังสวิรัติ" อย่างไร เพราะอาหารมังสวิรัติก็เป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกัน แต่มังสวิรัติสามารถทานผักได้ทุกชนิด แต่ อาหารเจ ต้องเว้นผักฉุน 5 ประเภท คือ ผักชี กระเทียม หัวหอม (รวมทั้งหอมแดง หอมขาว หัวหอมใหญ่ ต้นหอม) หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน ไม่ค่อยพบในประเทศไทย) กุยช่าย และใบยาสูบ รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการถือศีลกินเจที่แท้จริง ขณะที่มังสวิรัติ หมายถึง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น 
 
หลักธรรมในการกินเจ 
 
          การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ 
 
           1. การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือ ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน, ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน และไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตัวเอง 
 
           2.การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเอง คือ จะรับประทานสิ่งใดเข้าไปต้องไม่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเท่ากับเป็นการเบียดเบียนตนเอง ดังนั้นจึงมีการห้ามของมึนเมา สารเสพติด ขณะที่วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ยืนยันว่า เลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย เนื้อสัตว์เหล่านี้จึงจัดเป็นพิษชนิดหนึ่งเช่นกัน การละเว้นจึงส่งผลดีต่อร่างกายอีกด้วย 
 
ข้อปฏิบัต ข้อห้าม กินเจ
 
 
การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ 

 
          ช่วงเวลา 9 วันที่กินเจนั้น ผู้ที่ต้องการเป็นผู้ถือศีลกินเจอย่างครบสมบูรณ์ตามประเพณี ต้องปฏิบัติตัวดังนี้ 
 

           1. งดเว้นเนื้อสัตว์ และทำอันตรายต่อสัตว์ 
 
           2. งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์ 
 
           3. งดอาหารรสจัด ทั้งอาหารเผ็ด หวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด 
 
           4. งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม หลักเกียว กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ และของมึนเมาต่าง  ๆ เพราะผักดังกล่าวนี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษคอยทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายใน ทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ
 
           5. รักษาศีลห้า 
 
           6. ทำบุญทำทาน สำหรับคนที่เคร่งครัดจะนุ่งขาวห่มขาว 
 
           7. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ 
 
          สำหรับผู้ที่เคร่งครัดมาก  ๆ จะทานอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นคนปรุงเท่านั้น รวมทั้งจะต้องล้างหม้อจนสะอาด แยกภาชนะสำหรับใส่เนื้อสัตว์ออก เพื่อปรุงอาหารเจเฉพาะ นอกจากนี้ยังจุดตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับ เพื่อเป็นพุทธบูชา และรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้อง ตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด 
 
ประโยชน์ของการกินเจ 
 

          การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลรักษาประเพณี และละเว้นชีวิตแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ 
 
           1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน เพราะสารอาหารจากพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ 
 
           2. เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อย ๆ เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส ร่างกายแข็งแรงรู้สึกมีสุขภาพดี 
 
           3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี แข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์ 
 
           4. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่าง ๆ ได้แก่ สารเคมี ยาฆ่าแมลง มลภาวะ และก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ ซึ่งสารอาหารในพืชผัก จะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่าง ๆ ได้ 
 
           5. สามารถต้านทานสารพิษได้สูงกว่าคนปกติ ในบรรดาผู้ที่ทานเจมักไม่ปรากฏโรครุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ฯลฯ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ 
 
           6. การกินเจทำให้เกิดความเมตตา เกิดความสงบสุขุม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่โมโหง่าย ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้บารมีธรรมสูงขึ้นเรื่อย ๆ 
 
           7. หยุดการสร้างบาป เวรกรรม ทำให้ไม่เกิดการอาฆาต พยาบาท จึงปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งทำร้ายตามจองเวร 
                
          จากข้อมูลที่นำเสนอไปข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่า เทศกาลกินเจ ไม่ใช่แค่การงดรับประทานเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการถือศีล และทำบุญ เพื่อให้ทั้งร่างกาย และจิตใจ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งประโยชน์ของการเข้าร่วมเทศกาลกินเจ  นอกจากจะช่วยปรับสมดุลภายในร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใสแล้ว ยังส่งผลให้จิตใจสดชื่น เบิกบาน สามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น และมีความสุข
 
   
       ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า การเข้าร่วมเทศกาลกินเจ นอกจากจะทำให้อิ่มบุญ อิ่มใจ กันถ้วนหน้าแล้ว ผู้ที่หมั่นทำบุญ ถือศีล อย่างเคร่งครัด ย่อมได้รับสิ่งเข้าดี ๆ เข้ามาในชีวิตอีกด้วย แต่สำหรับท่านใดที่ไม่สะดวกในกินเจ สามารถถือศีล 5 ศีล หรือ 8 เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้เช่นกัน เมื่อรู้ข้อดีของการกินเจแล้ว วันที่  5-13 ตุลาคม 2556 นี้ หากมีโอกาสก็อย่าลืมมาร่วมกินเจด้วยกันนะคะ 
 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
elib-online.com 
panyathai.or.th  

 

 

 

 

 ************************************

 

 

 

 

 

 

 

                                  ใบสั่ง



 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ใบสั่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรออกให้ผู้ขับขี่ที่ละเมิดกฎนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522

ส่วนใหญ่แล้ว ตำรวจจราจรจะใช้อำนาจได้ 2 ทาง กรณีพบเห็นผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอันเกี่ยวกับการจราจร ได้แก่ 1.ใช้อำนาจว่ากล่าวตักเตือน 2.ใช้อำนาจออกใบสั่งให้ผู้ที่ขับขี่ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบ 

เมื่อเจ้าพนักงานเลือกใช้อำนาจออกใบสั่งแล้ว ต้องใช้แบบใบสั่งของเจ้าพนักงานจราจรออกให้แก่ผู้ขับขี่ หากไม่พบตัวผู้กระทำผิด เช่น จอดรถทิ้งไว้ในที่ห้ามจอดก็จะออกใบสั่งโดยติดไว้ที่รถที่ผู้ขับขี่เห็นได้ง่าย 

ส่วนกรณีออกใบสั่งต่อหน้าผู้ขับขี่ เจ้าหน้าที่จะเรียกหรือไม่เรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวก็ได้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ หากเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่เจ้าหน้าที่จะออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ให้ผู้ขับขี่ถือไว้แทนเพื่อใช้ในการขับรถต่อไปชั่วคราวไม่เกิน 7 วัน ระหว่างนั้นผู้ขับขี่ต้องรีบไปชำระค่าปรับ 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ได้ต่อเมื่อมีการออกใบสั่งให้แก่ผู้ขับขี่ก่อน ถ้าไม่ออกใบสั่งก็ไม่มีอำนาจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่

หากผู้ขับขี่ฝ่าฝืนไม่ยอมส่งมอบใบอนุญาตขับขี่ให้ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจร จะมีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน ปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เมื่อผู้ขับขี่ได้รับใบสั่งแล้วตามมาตรา 141 ของพ.ร.บ.จราจรทางบก ผู้ได้รับใบสั่งสามารถเลือกชำระค่าปรับตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบสั่ง หรือตามจำนวนที่พนักงานสอบสวนแจ้งให้ทราบ ณ สถานที่และภายในวันเวลาที่ระบุไว้ในใบสั่ง

หรือเลือกชำระค่าปรับตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบสั่ง โดยส่งธนาณัติหรือส่งตั๋วแลกเงินของธนาคารทางไปรษณีย์ลงทะเบียน สั่งจ่ายให้แก่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยสำเนาใบสั่งไปยังสถานที่ และภายในเวลาที่ระบุไว้ในใบสั่ง 

หากไม่ไปชำระค่าปรับโดยไม่มีเหตุอันควร ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนไม่ไปชำระตามใบสั่ง มีความผิดโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท และพนักงานสอบสวนมีอำนาจออกหมายเรียกผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน เพื่อเปรียบเทียบปรับตามกฎหมาย 

หรือหากพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกไม่ได้ก็จะแจ้งไปยังนายทะเบียนรถยนต์หรือนายทะเบียนขนส่งทางบกให้งดรับชำระภาษีประจำปีสำหรับรถคันดังกล่าวไว้ชั่วคราว จนกว่าผู้ได้รับใบสั่งจะมาพบพนักงานสอบสวน และยอมชำระค่าปรับ

 

 

 

 ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามป.อาญามาตรา336 

 

ม.336 ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษ... 


ผู้ใด หมายถึง บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ซึ่งมิใช่ผู้ถูกกระทำ 
ทรัพย์ หมายถึง วัตถุที่มีรูปร่างและมีราคา 
ฉกฉวยซึ่งหน้า หมายถึง การแย่งไปต่อหน้า 
เจตนา หมายถึง การกระทำโดยรู้สำนึกและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

 

จะผิดวิ่งราวทรัพย์ได้...ต้องครบองค์ประกอบเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ก่อน.. 
๑.เอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่น...........ไป(ในลักษณะตัดกรรมสิทธิ์หรือครอบครอง) และ 
๒.เจตนาภายใน โดยเจตนาทุจริต (เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย....) 
การปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมาย..ย่อมไม่มีเจตนาทุจริต..

 

 ให้พิจาณาถึง เจตนา ที่แท้จริงว่า ต้องการเอาไปซึ่งหน้าซึ่งกุญแจโดยทุจริตหรือไม่ หรือ ต้องการเอารถไปบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือ ต้องการดำเนินคดีฐานอื่นๆ แต่ก็สุ่มเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ และไม่เหมาะ ไม่ควรทั้งนั้น ไม่ควรทำเด็ดขาด 

...เคยมีแนวฎีกา เรื่องยึดกุญแจรถบรรทุกโดยอำเภอใจ โดยพลการ โดยข่มขืนใจเขา เข้าข่ายผิด กม.แต่ ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆ ไปด้วย 


...ปกติ ตร.ไม่จำเป็นต้องยึดรถ เว้นแต่ ต้องการยึดไว้ตรวจสอบสภาพเครื่องกลอุปกรณ์ หรือ การได้มา ว่าถูกต้องตาม กม.หรือไม่และต้องมีเหตุนำ เช่น ได้รับวิทยุแจ้งสกัดจับ ให้ตรวจสอบอะไรประมาณนั้นด้วย 


...หากต้องการจับเรื่องอื่นจะออกใบสั่งก็ได้ ไม่ต้องเอากุญแจไว้ หากเอาไว้ก็ไม่ชอบด้วยหน้าที่ได้เหมือนกัน เรื่องแบบนี้บางครั้งขิงก็ร่าข่าก็แรง ทั้งมอไซค์และ ตร.ที่จับ 


...หากถามแบบวิชาการไม่มีเหตุนำ ก็ต้องว่า ผิดได้เหมือนกันกับการเอาทรัพย์ไปซึ่งหน้า แต่หากมีเหตุนำมาโต้เถียง มีไม่ยอมอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด ก็อาจออกไปได้อีกทาง คดีขึ้นศาลเมื่อไร ก็ต้องสืบกันละเอียดลึกซึ้ง ยังไงๆ กรรมก็เป็นเครื่องชี้เจตนาว่า ตร.ยึดกุญแจ แบบลุแก่อำนาจหรือไม่ด้วย

 

 

 

 

**************************

 

 

                      ทำงานไม่เคยถูกใจหัวหน้าเลย ทำอย่างไรดี?...

 

 

 

อ.อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา กรรมการบริหาร บริษัท ออคิด สลิงชอท จำกัด

   

 

 

  Q : เคยอ่านปัญหาต่างๆที่อาจารย์ตอบใน manger online ดิฉันมีปัญหาเกี่ยวกับตัวเองค่ะ คือเวลาที่ตั้งใจทำอะไรไปแล้ว สิ่งที่ทำลงไปจะผิดทุกครั้ง ไม่เคยถูกใจหัวหน้าเลย จนรู้สึกแย่ไม่อยากจะทำงานต่อไปแล้วค่ะ อาจารย์มีคำแนะนำให้ไหมคะ ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
       
       A : คำถามนี้ตอบยากนะครับ เพราะไม่รู้ว่าที่ทำผิด นี่ผิดอะไร และที่สำคัญผิดเพราะไม่รู้ ผิดเพราะทำไม่เป็น หรือผิดเพียงเพราะไม่ถูกใจหัวหน้าเท่านั้น เอาเป็นว่าตอบแยกทีละปัญหาแล้วกัน
       
       1. ถ้าผิดเพราะไม่รู้ - งั้นผมแนะนำว่าให้กล้าที่จะสอบถาม ไม่ต้องกลัวโง่ ถามคำถามโง่ๆ ดีกว่าทำผิดแบบโง่ๆ เมื่อถามแล้วให้จด จดแล้วนำกลับไปทบทวน ถ้าจำไม่ได้ ใหม่ๆ คงต้องใช้วิธีการท่อง เหมือนสมัยเรียนที่ถูกบังคับให้ท่องสูตรคูณ สมัยนั้นก็ไม่รู้ว่าจะท่องไปทำไม แต่พอโตขึ้นจึงรู้ว่าเป็นประโยชน์อย่างหาค่ามิได้เลยทีเดียวเชียว นอกจากนั้นจงเปิดใจให้กว้าง อย่าคิดว่า "รู้แล้วทุกเรื่อง" ผมมีพี่คนหนึ่งที่รู้จักกัน ทุกครั้งไม่ว่าใครพูดอะไร แกจะพูดคำว่า "รู้แล้วรู้แล้ว" จนติดปาก ระยะหลังๆ หลายคนเลยรู้สึกหมั่นใส้ ไม่มีใครอยากบอกอะไรแกอีก ครั้นพอพี่เขาเอ่ยปากสอบถาม ก็มีคนแซวว่า "อ้าว รู้แล้ว ไม่ใช่เหรอ" กลายเป็นคนทำผิดเพราะคิดว่าตัวเองรู้ แต่จริงๆ ไม่รู้ ไปเสียฉิบ
       
       2. ผิดเพราะทำไม่เป็น - ความรู้เพียงอย่างเดียวไม่ช่วยให้เราทำงานได้ ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้เราใช้ "ทักษะ" มากกว่า "ความรู้" ในการทำงาน การสอน การบอก การอบรม ให้แค่ "ความรู้"กับเราเท่านั้น แต่ความรู้นั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนมาเป็น "ทักษะ" ได้เลย หากขาดการฝึกฝนจนชำนาญ ยกตัวอย่างง่ายๆ ทำไมคนไทยเรียนภาษาอังกฤษมา 10 กว่าปี (ตั้งแต่ป.1 ถึง ม.6) แต่พูดภาษาอังกฤษไม่เอาถ่าน เพราะเราเน้นเพียงความรู้ในห้อง แต่ขาดการฝึกฝนอย่างจริงๆภายหลังจากการเรียนรู้ ดังนั้นหากทำผิดเพราะทำไม่เป็น นอกจากใฝ่หาความรู้แล้ว จงฝึกฝนให้เกิดความเชี่ยวชาญจนกลายเป็นทักษะ
       
       3. ผิดเพราะไม่ถูกใจหัวหน้า - ในชีวิตการทำงานต้องยอมรับว่า "ความถูกต้อง" กับ "ความถูกใจ" เป็นเรื่องใกล้เคียงกันมาก แยกลำบาก เรื่องนี้จึงยากเพราะค่อนข้างเป็นนามธรรมและขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน เอาเป็นว่าเราคงเปลี่ยนวิธีการและความเชื่อของเจ้านายไม่ได้ กลับมาคิดว่าเราจะทำอย่างไรให้ถูกใจนายคนนี้ (โดยไม่ผิดศีลธรรมและจรรยาบรรณ) น่าจะดีกว่า ข้อแนะนำคือเอาอคติของเรากองไว้ข้างๆ หยุดตั้งคำถามว่า "มันถูกต้องไหม" ศึกษาแนวทางและวิธีคิดของหัวหน้า เช่น เขาเป็นคนชอบฟังรายละเอียดก่อนข้อสรุปหรืออยากได้ยินข้อสรุปก่อนรายละเอียด เขาชอบที่จะฟังหรือชอบที่จะดูเอกสาร เขาต้องการข้อมูลมากหรือเอาแต่เนื้อๆ เป็นต้น ศึกษาสไตล์ของหัวหน้าแล้วปรับจูนให้ตรงกัน ใหม่ๆ อาจยอมโดนด่าบ้าง

 

แต่ทุกครั้งที่ถูกต่อว่า ต้องได้เรียนรู้ เหมือนสมัยเด็กๆ ที่ผมเริ่มต้นทำงาน หัวหน้าคนแรกในชีวิตสอนว่าในการทำงาน "No Pain, No Gain" แปลว่า "ไม่เจ็บก็ไม่ได้เรียนรู้" แกยังพูดต่อไปอีกว่า "But someone always pain, never gain" หมายความความ แต่บางคนเจ็บตลอดเวลา (แปลว่าโดนด่าบ่อยๆ) แต่ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นเมื่อทำผิด ถูกตำหนิ ต้องเรียนรู้และอย่าทำผิดซ้ำ สำหรับผม คิดว่าคนทำอะไรไม่ผิดเลยคงไม่มี ยกเว้นคนไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้นการทำผิดไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่สิ่งที่รับไม่ได้คือทำผิดซ้ำๆ โดยไม่มีการแก้ไขอะไรนี่ซิ "รับไม่ได"้ ดังนั้นหากทำได้ไม่ถูกใจ ก็ศึกษาดูว่าสิ่งที่เรียกว่า "ถูกใจ"สำหรับหัวหน้า เป็นอย่างไร แล้วก็ทำตามนั้น จบ ง่ายๆ จริงไหมครับ
       
       ลองดูครับ ได้เรื่องหรือไม่ได้เรื่อง อย่าลืมส่งข่าว
       
       อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
       apiwut@riverorchid.com

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 


โวย อบจ.อุตรดิตถ์ จัดงบพา ขรก.-เมียทัวร์ดูงานจีนได้/กลับเมินช่วยชาวบ้าน

 

 

 อุตรดิตถ์ - ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอุตรดิตถ์จวก อบจ.จัดงบขน ขรก.-เมียเที่ยวจีน อ้างศึกษาดูงานรับอาเซียนได้ แต่เมินจัดงบแก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม และพยุงราคาผลผลิตการเกษตรชาวบ้านบางพื้นที่

       
       นายชาลี คำด้วง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าคาย อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 2-6 ต.ค. 56 องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุตรดิตถ์มีโครงการใช้งบประมาณมากกว่า 2 ล้านบาทพาคณะผู้บริหาร, ผู้อำนวยการกอง, หัวหน้าฝ่าย, อดีตข้าราชการระดับสูงสำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย-ภรรยา, ข้าราชการระดับสูงกรมการปกครอง-ภรรยา และข้าราชการระดับสูงสำนักงานท้องถิ่น จ.อุตรดิตถ์ พร้อมภรรยา รวมคณะ 67 คน เดินทางไปประเทศจีน ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายต่อหัวมากกว่า 30,000 บาท โดยอ้างว่าไปศึกษาดูงานเพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน
       
       ทั้งที่ก่อนหน้านี้ อบต.และชาวบ้านเคยร้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก อบจ.เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาว ต.ป่าคาย โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้ง-น้ำท่วม เนื่องจาก อบต.ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ กลับไม่ได้รับการดูแล
       
       “การที่ อบจ.อุตรดิตถ์นำคณะไปเที่ยว แต่อ้างว่าไปศึกษาดูงานที่ประเทศจีนครั้งนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือเหมาะสมแล้วหรือ หน่วยงานระดับจังหวัดคงไม่สามารถยับยั้งอะไรได้เพราะมีผู้บริหารระดับสูงร่วมคณะเดินทางไปด้วย” นายชาลีกล่าว
       
       ด้านนายอุดม อินทร์หม่อม นายก อบต.บ้านด่านนาขาม อ.เมืองอุตรดิตถ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ประสานไปยัง อบจ.อุตรดิตถ์เพื่อให้นำงบประมาณมาช่วยพยุงราคาลางสาด และลองกองที่ตกต่ำมากในปีนี้ เหมือนกับที่ อบจ.ไปเปิดจุดรับซื้อลางสาดและลองกองที่เทศบาลตำบลหัวดง ต.นานกกก อ.ลับแล แต่ได้รับการปฏิเสธ อ้างว่าไม่มีงบประมาณ จน อบต.ต้องนำงบประมาณที่เหลือเพียง 50,000 บาทไปแทรกแซงแทน พอทำให้ความเดือดร้อนของชาวสวนลดลงไปได้บ้าง
       
       นายอุดมบอกว่า น่าเสียดายงบประมาณกว่า 2 ล้านบาทที่ อบจ.อุตรดิตถ์นำไปใช้เพื่อการท่องเที่ยวแต่อ้างว่าศึกษาดูงานที่ประเทศจีน เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ชาวอุตรดิตถ์เลยแม้แต่น้อย แทนที่จะนำงบประมาณไปแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รับซื้อผลผลิตของชาวสวนที่ราคาตกต่ำ จึงอยากให้กระทรวงมหาดไทย หรือรัฐบาลได้ออกกฎระเบียบให้ชัดเจนว่า ห้ามนำงบประมาณของท้องถิ่นไปเที่ยวโดยอ้างศึกษาดูงาน เพราะขณะนี้ประเทศก็กำลังเป็นหนี้มหาศาลอยู่แล้ว

 

 

"ก็พอๆกัน ระดับ อบจ.ก็ไปเที่ยวต่างประเทศ ระดับ อบต.ก็เที่ยวกันในประเทศ โดยอ้างว่าไปดูงาน ซึ่งเป็นเรื่องตลกมาก อย่างเช่น ภาคอีสานไปดูงานพัทยา ซึ่งมันคนละเรื่องกัน อีสานมีแต่ขุนเขาเป็นที่ราบสูง ไปดูงานที่เป็นทะเลและการปลูกพืชผลก็ต่างกัน อย่างนี้ไม่เรียกว่าไปเที่ยวจะเรียกว่าอะไร เป็นการสิ้นเปลืองงบแบบไม่มีประโยชน์อะไรเลย....."

 

 "เป็นมุกหากินเบิกงบประมาณไปเที่ยวต่างประเทศมากกว่า

 

ประชาคมอาเซียน AEC เนี่ย คนภาครัฐอาศัยช่องนี้แหละ

เป็นโบนัสจัดงบประมาณไปเที่ยว แต่อ้างสัมมนา ดูงาน

 

AEC ชื่อนี้จะหลอกรับประทานงบประมาณได้อีก ปีสองปี"


 สำหรับหน่วยงานราชการ "ไปสัมมนาต่างประเทศ" หมายความว่า "ไปเที่ยวเมืองนอกฟรี" 

 

 

 

*****************************

 

 

 

 

หลังจากถีบยอดหน้า ก็ตามซ้ำด้วยเตะเจาะยางอีก 1 ดอก

 

 

"ตีเหล็กต้องตีตอนที่มันกำลังร้อนครับ....จัดหนักต่อเนื่องไปครับท่านนายก
ปชช. ตาดำๆอย่างผมสนับสนุนเต็มที่

 

 


 

 

 

หลังจากถีบยอดหน้า ก็ตามซ้ำด้วยเตะเจาะยางอีก 1 ดอก 
ครม. สั่งกฤษฎีร่าง กม. ตรวจสอบทรัพย์สินองค์กรอิสระ
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2556 เวลา 17:27 น.
เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ท. หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.มีมติให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ไปศึกษากฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ดำรงตำแหน่งระดับสูง รวมถึงองค์กรอิสระต่าง ๆ ว่าได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินแล้วหรือไม่ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้เกิดความโปร่งใสและต่อต้านคอร์รัปชั่น หากยังไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุมเนื้อหาในส่วนนี้ก็ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไป ร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้น เพราะปัจจุบันการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิ้นนั้น มีเฉพาะข้าราชการการเมืองเพียงฝ่ายเดียว และเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ยกร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว ขอให้นำเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาต่อไป.

"คนที่จะตรวจสอบคนอื่น ต้องยอมให้คนอื่นตรวจสอบได้ด้วย เพื่อความโปร่งใส
และเห็นควรให้มีการตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่วันที่รับตำแหน่งด้วย
ถ้ามีช่องพอไม่อยากให้เว้นแม้แต่ผู้ที่หมดวาระไปแล้วด้วย
ก็สมควรแล้ว หลังผ่านร่าง กม เฉดหัว สวลากตั้งออกจากสภา ก็ตามด้วยการตรวจสอบองค์กรอิสระ.............."

 

 

**********************************
 

guest

Post : 2013-09-28 19:39:50.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  การเสด็จสวรรคตในรัชกาลที่ 4

 

 

 

 

 

 

                                        การเสด็จสวรรคตในรัชกาลที่4

 

 

 

 

                               

 

 

 

 

  

 
 

 

 

 

 

 การเสด็จสวรรคตในรัชกาลที่ 4

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระสุขภาพพลานามัยดียิ่งตลอดรัชสมัยของพระองค์ พระอาการป่วยและเป็นผลให้เสด็จสวรรคตเกิดจากไข้ป่าที่ทรงไปติดเชื้อมา ในช่วงเดือนที่เสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ ได้ 5 วัน ทรงประชวรไข้จับ


เรื่องเกี่ยวกับการประชวรและสวรรคตของพระองค์ เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) เขียนเล่าไว้ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเริ่มประชวรเป็นไข้ ทรงสะบัดร้อนสะบัดหนาว เป็นคราวๆ พระเสโท (เหงื่อ) ซึมซาบมากกว่าที่เคยทรงพระประชวรไข้ในครั้งก่อนๆ ได้เสวยพระโอสถเพื่อแก้พระอาการก็ไม่ดีขึ้น จับสั่นไปทั้งพระกายาในเวลากลางคืน ทรงกระหายน้ำและเสวยพระยาหารไม่ลง หลังจากนั้นพระอาการแปรไปทางอุจจาระธาตุ พระบังคนตกเป็นพระโลหิตลิ่ม เหลว ไปพระบังคนครั้งใดก็มีพระโลหิตเจืออยู่ทุกๆ ครั้ง (วิบูล วิจิตรวาทการ 2544 : 293)


จากบันทึกของหมอบลัดเล ที่ตีพิมพ์ในหนังสือ Siam Then (บทแปลภาษาไทยโดย มงคล เดชนครินทร์) บันทึกไว้ว่า “ในวันที่ 29 สิงหาคม 2411 ข้าพเจ้าได้รับหมายรับสั่งเรียกตัวให้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับ นายแพทย์วิลเลี่ยม แคมป์เบลล์ (Dr. William Campbell) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำสถานกงสุลอังกฤษ เมื่อเราทั้งสองเข้าเฝ้าก็ได้พบว่าพระองค์บรรทมอยู่และไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ ใดรบกวน เราถึงถอยออกมาและได้รับการขอร้องให้ถวายการรักษาพยาบาลแก่เจ้าฟ้า จุฬาลงกรณ์ ซึ่งประชวรด้วยพระอาการไข้มาหลายวันแล้ว ข้าพเจ้าและนายแพทย์แคมป์เบลล์ได้ตรวจดูพระอาการแล้วก็พบว่าทรงมีไข้อย่าง อ่อน และพระองค์เองก็ไม่ทรงรู้สึกว่าจำเป็นต้องรับการพยาบาลตามที่เราได้กราบทูล เสนอแนะ

 

อย่างไรก็ตาม พระอาการประชวรของพระเจ้าอยู่หัวดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าพระองค์จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายแพทย์แคมป์เบลล์และข้าพเจ้ากราบบังคมทูลถวายคำแนะนำ เพื่อรักษาพยาบาลก็ตาม ที่จริงแล้วพระองค์ทรงมั่นพระทัยในวิชาการของพระองค์เองมากกว่า ในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2411 ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาท่านสมุหกลาโหมเพื่อขออนุญาตเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว ท่านได้ให้คำตอบในเชิงปฏิเสธแก่ข้าพเจ้า แต่รับว่าจะกราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่า ข้าพเจ้ามาที่พระตำหนักและปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขอเฝ้าอีกครั้งหนึ่ง ท่านสมุหกลาโหมได้นัดให้ข้าพเจ้าไปพบท่านที่ท้องพระโรง และบอกแก่ข้าพเจ้าว่าท่านได้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวถึงเรื่องที่ ข้าพเจ้าขอเข้าเฝ้าแล้ว ในระหว่างนั้นได้มีพนักงานมา กราบเรียนท่านสมุหกลาโหมว่า พระเจ้าอยู่หัวยังประชวรรุนแรงอยู่ และมีพระราชประสงค์ให้ข้าพเจ้ารออยู่ก่อน ข้าพเจ้าจึงได้รออยู่ และในระหว่างนั้นก็ได้สนทนาซักถามพระอาการโดยละเอียดจากหมอหลวงที่ได้เข้าไป ถวายการรักษาอย่างสม่ำเสมอ หมอหลวงบอกข้าพเจ้าว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงลุกขึ้นประทับนั่งไม่ได้ และพระอาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงมีพระสติสัมปชัญญะดีอยู่ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รออยู่นานกว่า 1 ชั่วโมง ท่านสมุหกลาโหมก็มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าไม่ได้เสียแล้ว ” (มงคล เดชนครินทร์ 2547 : 31)

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า การประชวรครั้งนี้เห็นจะเป็นที่สุดของพระชนมายุสังขาร จึงทรงพยายามจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อนที่จะสวรรคต พระมหากษัตริย์นั้นเวลาจะเสด็จสวรรคตทรงมีความห่วงใย อยู่ 2 ประการ

1. ความสงบปลอดภัยของบ้านเมือง เพราะพระเจ้าแผ่นดินเป็นมันสมองและหัวใจของประเทศชาติ เมื่อสิ้นพระมหากษัตริย์ ความโกลาหล แย่งชิงราชสมบัติในพระราชวงศ์หรือขุนนางที่มีอำนาจจะเกิดขึ้น
2. พระโอรสธิดาและพระราชวงศ์ทั้งหลาย เมื่อสิ้นบุญพระเจ้าแผ่นดิน (พระราชบิดา) อาจมีผู้อื่นมาแย่งชิงอำนาจ ฆ่าล้างลูกหลานหมดทั้งโคตร เพื่อจะได้ไม่เป็นอันตรายต่อกษัตริย์พระองค์ใหม่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเช่นกัน พระองค์ทรงทราบดีว่า ข้าราชการที่มีอำนาจมากที่สุดในขณะนั้นคือ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ พระองค์จึงส่งพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ ที่เฝ้าพยาบาลอยู่ไปบอกแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ความว่า
“ข้าให้เรียนคุณศรีสุริยวงศ์ ข้าเป็นคนลูกมากรากดก แล้วลูกก็ยังเล็กเด็กอยู่ ไหนๆ คุณศรีสุริยวงศ์ก็ได้อุปถัมภ์บำรุงข้ามา ถ้าข้าไม่มีตัวแล้ว ขอให้คุณศรีสุริยวงศ์อุปถัมภ์บำรุงลูกข้าเหมือนอย่างตัวข้า ขออย่าให้มีภัยอันตรายเป็นที่กีดขวางด้วยการแผ่นดิน ถ้าจะมีความผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ” (วิบูล วิจิตรวาทการ 2544 : 298-299)


เจ้าคุณศรีสุริยวงศ์จึงกราบทูลว่า ท่านได้สั่งให้ทหารล้อมวงตั้งกองรักษาพระบรมมหาราชวังและพระตำหนักสวนกุหลาบ (เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ประทับอยู่ที่พระตำหนักสวนกุหลาบ) เรียบร้อยแล้ว โดยมีพระยาฤทธิไกรและพนักงานกรมพระตำรวจนอกซ้ายขวา รวมทั้งทหารอย่างยุโรปประจำหน้าที่ทุกแห่งไป พระองค์จึงทรงดำรัสให้เจ้าหญิงโสมาวดี แจ้งแก่ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ว่า การจะเลือกพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ขอให้เอาความมั่นคงของประเทศเป็นจุดสำคัญ พระองค์มิได้ตั้งพระทัยให้โอรสองค์ใหญ่มีสิทธิ์เป็นรัชทายาทแต่ผู้เดียว กษัตริย์ต่อไปจะเป็นพระน้องยาเธอหรือพระหลานเธอก็ได้ เพราะเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ยังทรงพระเยาว์นัก จะบังคับบัญชาราชการเมืองได้หรือ ขอให้คิดปรึกษาประชุมกันให้ดี พระองค์มีความปรารถนาเดียวคือ ต้องการให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขต่อไปเท่านั้น จากนั้นพระองค์ทรงให้พระศรีสุนทรโวหารเขียนกระแสรับสั่งของพระองค์เป็นลาย ลักษณ์อักษรว่า “ผู้ซึ่งจะครองราชสมบัติต่อไปนั้น ขอให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากัน แล้วแต่จะเห็นว่าเจ้านายพระองค์ใด จะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอก็ดี พระเจ้าลูกยาเธอก็ดี พระเจ้าหลานเธอก็ดี เมื่อเห็นพร้อมกันว่าองค์ใดจะปกครองแผ่นดินได้ ก็ให้ถวายราชสมบัติแก่พระองค์นั้น” ข้อความดังกล่าวนี้ รับสั่งให้อ่านต่อหน้าที่ประชุมเสนาบดี

หลังจากนั้นจึงพระราชทานสิ่งของสำคัญบางอย่าง ให้แก่พระราชวงศ์ที่ใกล้ชิด ทรงให้ตลับทองคำลงยาใส่ทองคำบางตะพานหนัก 5 ตำลึง สำหรับลงยันต์ด้วยพระดินสอเพชรกับนาฬิกาใหญ่มีเข็มดูวันเดือนปีทุ่มโมง พระปทุมทำด้วยศิลาแก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามหามาลากรมขุนบำราช ปรปักษ์ และพระราชทานนาฬิกาใหญ่มีแก้วเลี่ยมครอบ มีเข็มดูวันเดือนปี มีปรอทดูร้อนดูหนาว ให้แก่กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ส่วนพระเจ้าลูกยาเธอที่ยังไม่มีวัง พระราชทานเงินองค์ละ 30 ชั่งทุกพระองค์จะได้สร้างวังได้ ทรงพระราชทานพระหีบทำด้วยงากรอบทองคำประดับเพชรทับทิมมรกต ราคา 200 ชั่งใส่เงินอีก 1000 ชั่งแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ในบันทึกของหมอบลัดเล กล่าวถึง การพระราชทานของที่ระลึกอันมีค่าแก่พระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่เช่นกัน

 

 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เจ้าพนักงานนำพระธำมรงค์และพระประคำเครื่องไปมอบให้แก่เจ้าพระยาศรีสุริย วงศ์ พระประคำนี้เป็นสมบัติมาแต่สมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นของศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้ครองแผ่นดินเท่านั้นจะเก็บไว้ได้ การมอบพระประคำเครื่องให้แก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์นี้เป็นการให้เกียรติ และเชื่อพระทัยในความจงรักภักดี เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงนำพระธำมรงค์และพระประคำไปถวายแก่สมเด็จพระเจ้าลูก ยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์

ในวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ เวลาบ่าย 3 โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้พระราชโกษา กรมพระภูษามาลาเข้าเฝ้า เพื่อสั่งเสียเรื่องการแต่งพระองค์และพิธีต่างๆ ทรงแสดงความประสงค์ให้เลือกเครื่องประดับที่เป็นของส่วนพระองค์ ให้แจกส่วนสำคัญของพระกายาต่อพระโอรสธิดา ทรงตรัสแก่พระราชโกษาความว่า


“... เมื่อข้าไม่มีตัวตนแล้ว เจ้าจะทำในสรีรร่างกายของข้า สิ่งใดไม่เป็นที่ชอบใจอยู่แต่ก่อน ขออย่าได้ทำ เป็นต้นว่า แหวนที่ใส่ปากผี เอาเชือกผูกแหวนแขวนห้อยไว้ที่ปาก กลัวผีจะกลืนแหวนเข้าไป อย่างนี้จงอย่าได้ทำแก่ข้าเลย แต่อย่าให้เสียธรรมเนียม แหวนที่จะใส่ปากนั้น ให้เอาเชือกผูกแหวนที่เข็มกลัดคอเสื้อ เพชรที่ข้าได้ว่าขอไว้นานแล้ว เมื่อจะตายจะเอากลัดไปด้วย ราคาก็ไม่มากนัก เพียง 50 ชั่งเศษ แล้วจะได้ทำพระฉลองพระองค์ด้วย เข็มขัดที่จะคาดนั้นอย่าให้เอาของแผ่นดิน ให้เอาของเดิมของข้า ที่สมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ซื้อหลวงพิทักษ์มนตรีนั้น แหวนที่จะใส่นั้นได้จัดมอบไว้แล้ว ให้ไปถามพ่อกลางดูเถิด สังวาลเครื่องต้นเอาสายที่ข้าทำใหม่ อย่าให้เอาสายสำหรับแผ่นดิน ให้เอาของที่ข้าทำใหม่ การอื่นๆ นอกนั้นก็ให้ไปปรึกษาพ่อกลางดูเถิด แต่อย่าให้เกี่ยวข้องเป็นของแผ่นดิน ของแผ่นดินนั้นเจ้าแผ่นดินใหม่ท่านจะได้ใส่เลียบพระนคร เมื่อเอาโกศลงเปลื้องเครื่องให้ค้นดูในปาก ฟันมีก็ให้เอาไว้ให้หมด จะได้แจกลูกที่ยังไม่ได้ให้พอกัน ถ้าฟันไม่พอกัน ให้ถอดเอาเล็บมือ ถ้าเล็บมือไม่พอ ให้ถอดเอาเล็บตีน แบ่งปันกันไปกว่าจะพอ” (วิบูล วิจิตรวาทการ 2544 : 294)


ในเย็นวันนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้พระศรีสุนทรโวหาร (ฟัก) เข้าเฝ้า เพื่อจดพระราชนิพนธ์คำขอขมาและลาพระสงฆ์เป็นภาษาบาลีซึ่งมีการแปลไว้ (สุภาพรรณ ณ บางช้าง, “พระราชนิพนธ์ขอขมาลาพระสงฆ์ก่อนสิ้นพระชนม์ของรัชกาลที่ 4”, ศิลปวัฒนธรรม, ปีที่ 7 ฉบับที่ 9, กรกฎาคม 2529) ในบันทึกของหมอบลัดเล กล่าวถึงว่าพระองค์ได้โปรดให้อาลักษณ์เขียนพระราชนิพนธ์ชิ้นสุดท้ายตามพระ ราชกระแสรับสั่ง พระราชนิพนธ์นี้ เป็นคำภาษาบาลีสำหรับขอขมาลาพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ใจความสำคัญมีอยู่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงแท้ พระองค์ทรงพร้อมที่จะรับความเป็นไปตามสัจธรรมนี้ไม่ช้า


“… อนึ่งบุรุษมายึดมั่นสิ่งไรไว้จะเป็นผู้หาโทษมิได้ สิ่งนั้นไม่มีเลยในโลก ดีฉันมาศึกษาการยึดมั่นอยู่ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงใช่ตัวตน ย่อมเป็นไปตามปัจจัย สิ่งนั้นใช่ของเรา ส่วนนั้นไม่เป็นของเรา ส่วนนั้นมิใช่ตัวตนของเรา ดังนี้ ความตายใดๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ความตายนั้นไม่น่าอัศจรรย์ เพราะความตายนั้นเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งหลาย ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทแล้วเถิด ดีฉันขอลา ดีฉันไหว้ สิ่งใดดีฉันได้ผิดพลั้ง สงฆ์จงอดสิ่งทั้งปวงนั้นแก่ดีฉันเถิด
เมื่อกายของดีฉันแม้กระสับกระส่ายอยู่ จิตของดีฉันจะไม่กระสับกระส่าย ดีฉันมาทำความไปตามคำสั่งของพระพุทธเจ้าศึกษาอยู่ด้วยประการดังนี้”
เมื่อทรงตระหนักว่าใกล้จะสิ้นพระชนม์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เจ้าพระยาภูทราภัยและพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิท เข้าเฝ้า เพื่อรับสั่งราชการเป็นครั้งสุดท้าย แล้วรับสั่งลา ว่า

“วันนี้พระจันทร์เต็มดวงเป็นวันเพ็ญ อายุของฉันจะดับในวันนี้แล้ว ท่านทั้งหลายกับฉันได้ช่วยทำนุบำรุงประคับประคองกันมา บัดนี้กาลมาถึงฉันแล้ว ฉันจะขอลาท่านทั้งหลาย ด้วยฉันออกอุทานวาจาไว้เมื่อบวชอยู่นั้นว่า วันใดเป็นวันเกิด อยากจะตายในวันนั้น วันฉันเกิดเป็นวันเพ็ญ เดือน 11 วันมหาปวารณา เมื่อป่วยไข้จะตายให้สิทธิ์ ณ วิทาริก อันเตวาสิกยกลงไป จะขอตายในท่ามกลางสงฆ์ เมื่อเวลาที่พระสงฆ์กระทำวินัยกรรมมหาปวารณา ก็บัดนี้เห็นจะไม่ได้พร้อมตามความที่ปรารถนาไว้ เพราะเป็นคฤหัสถ์เสียแล้ว ฉันจะขอลาท่านทั้งหลายไปจากภพนี้ในวันนี้แล้ว ฉันขอฝากลูกของฉันด้วย อย่าให้มีภัยอันตรายเป็นที่กีดขวางในการแผ่นดิน ถ้าจะมีความผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งแก่ลูกของฉันต่อไปด้วยเถิด”

“ฉันจะขอพูดด้วยการแผ่นดิน ยังหาได้สมาทานศีล 5 ประการไม่ ฉันเป็นคนป่วยไข้ จะขอสมาทานศีล 5 ประการเสียก่อน แล้วจึงจะพูดด้วยการแผ่นดิน” จึงทรงตั้งนโม 3 จบ ทรงสมาทานศีล 5 และตรัสภาษาอังกฤษ การตรัสภาษาอังกฤษเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระสติยังดีอยู่ไม่ฟั่นเฟือน

“ตัวท่านกับฉันได้ช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดินมา ได้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมาจนสิ้นตัวฉัน ถ้าสิ้นตัวฉันแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงช่วยกันทำนุบำรุงการแผ่นดินต่อไปให้เรียบร้อย สมณพราหมณ์อาณาประชาราษฎรจะได้ที่พึ่งอยู่เย็นเป็นสุข แต่ต้องรับฎีการ้องทุกข์ของราษฎรให้เหมือนฉันที่เคยรับมาแต่ก่อน

อนึ่งผู้ที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไปภายหน้าให้พร้อมกันเลือกหาเอาเถิด จะเป็นพี่ก็ตาม จะเป็นน้องก็ตาม จะเป็นลูกก็ตาม จะเป็นหลานก็ตาม สุดแต่จะเห็นพร้อมกัน ท่านพระองค์ใดมีปรีชาญาณควรจะรักษาแผ่นดินได้ ก็ยกขึ้นเป็นเจ้า จะได้ทำนุบำรุงแผ่นดินและพระราชวงศานุวงศ์และราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป อย่าหันเหียนตามพระกระแสพระเจ้าแผ่นดินก่อนเลย เอาแต่ความดีความเจริญเป็นที่ตั้ง” (สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 2514 : 171-172)

หลังจากเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เจ้าพระยาภูทราภัย และพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิท เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว คณะผู้เข้าเฝ้าได้กลับออกมาพักอยู่ในท้องพระโรงเพื่อรอดูว่าพระอาการประชวร จะเป็นเช่นไรต่อไป ไม่มีท่านใดในคณะผู้เข้าเฝ้าคาดคิดเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวใกล้จะเสด็จ สวรรคตอยู่แล้ว เพราะขณะที่มีพระราชกระแสรับสั่งนั้นพระสุรเสียงยังชัดเจนแจ่มใส พระสติสัมปชัญญะก็สมบูรณ์ดี เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เองถึงกล้าลงเรือกลับไปพักผ่อนเพื่อบรรเทาความอ่อน เพลียที่บ้านท่าน ซึ่งอยู่ทางอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ แต่แล้วก่อนถึงเวลา 21 นาฬิกาเล็กน้อย ก็มีผู้ไปตามท่านที่บ้านพร้อมทั้งแจ้งข่าวว่า “พระเจ้าอยู่หัวกำลังจะสวรรคต” ถึงตอนนั้นเหตุการณ์ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะกว่าเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จะลงเรือกลับไปถึงพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตไปแล้วเมื่อหลายนาทีก่อนหน้า นั้น (มงคล เดชนครินทร์ 2547 : 32-33)

เหตุการณ์ขณะเสด็จสวรรคตนั้น เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงได้บันทึกไว้อย่างละเอียด มีใจความดังนี้
“ครั้นเวลา 2 ทุ่ม 6 บาท จึงรับสั่งเรียกพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภว่า พ่อเพ็งเอาโถมารองเบาให้พ่อที พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภจึงเข็ญเอาโถพระบังคนขึ้นไปบนพระแท่น ถวายลงพระบังคนแล้วก็พลิกพระองค์ไปข้างทิศตะวันออก รับสั่งบอกว่าจะตายเดี๋ยวนี้แล้ว แล้วพลิกพระองค์หันพระพักตร์สู่เบื้องตะวันตก ก็รับสั่งบอกอีกว่า จะตายเดี๋ยวนี้แล้ว แล้วก็ทรงภาวนาว่า อรหังสัมมา สัมพุทโธ ทรงอัดนิ่งไปแล้วผ่อนอัสสาส ปัสสาส เป็นคราวๆ ยาวแล้วผ่อนสั้นเข้าทีละน้อยๆ ทรงพระสุรเสียงมีสำเนียงดัง โธ โธ ทุกครั้ง สั้นเข้า โธ ก็เบาลงทุกที ตลอดไปจนยามหนึ่งก็ดังครอกเบาๆ พอระฆังยามหอภูวดลทัศไนย์ย่ำก่างๆ นกตุ๊ดก็ร้องขึ้นตุ๊ดหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสู่สวรรคต”
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2394 ตรงกับเดือน 5 ขึ้น 3 ค่ำ ปีกุน จุลศักราช 1213 พระชนมายุขณะเมื่อขึ้นครองราชย์ 47 พรรษา และเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ตรงกับเดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง จุลศักราช 1230 ขณะพระชนมายุ 64 พรรษา สิริรวมเวลาเสวยราชย์ 17 ปี 5 เดือน 29 วัน

 

 

 

***************************************

 

 

 

 

 

                     

 

  

 

นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์พิเศษ "มติชน"
http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...catid=0100

"...คราวนั้นให้เกียรติ คราวนี้ไม่ให้เกียรติแล้ว..."

"...คุณใช้อำนาจอะไร ผมใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญสั่งผม
ทำไมผมต้องฟังคุณ..."

"...ถ้าศาลจะพิพากษาคดีเพื่อนผม
ผมก็เรียกประชุมรัฐสภาขอมติของรัฐสภา
ชะลอการพิพากษาของศาลไว้ก่อนได้ไหม..."

แล้วถ้าศาลบอกกูไม่สน กูจะพิพากษาเลย
แปลว่า ศาลประกาศท้าชนรัฐสภาหรือไง

เหมือนกัน ผมเดินหน้าหาว่ารัฐสภาประกาศท้าชนศาล
มันเป็นเรื่องของศาลมาแทรกแซงรัฐสภาโดยไม่มีอำนาจต่างหาก

คุณมาแทรกแซงฉันทำไม ผมไปประกาศตอนไหนท้าชนศาล

ในเมื่อไม่มีกฎหมายรองรับ
มันก็เหมือนไม่มีตัวตนเรามีรัฐธรรมนูญรองรับ
ก็เดินตามรัฐธรรมนูญอย่างเดียวอย่างอื่นไม่เกี่ยว

กติกามันชัด ของคุณกติกาอะไร แล้วทำไมฉันต้องไปเดินตามคุณ

 

"บ้านใครบ้านมัน แต่ละบ้านมีเขตแดนแบ่งแยกอยู่

ก็ยังเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกันได้

ล้ำเส้นอวดอ้างสิทธิ์ในเขตแดน เอาของเขาเป็นของตัว ก็ต้องรบกัน........."

 

 

 

************************************

 

 

            ผู้ชายคนนี้ร้องไห้เพื่อฉัน

   
 
 

 

 

 

“ ถ้าไม่นับเด็กผู้ชาย วัยกระเตาะ .. คุณเคยเห็นผู้ชายร้องไห้สักกี่ครั้งในชีวิต..? “
คงเห็นกันได้ไม่บ่อยครั้งนัก…
สังคมเป็นตัวบ่งชี้ให้ผู้ชายถูกเลี้ยงดูให้โตมาพร้อมกับความเข้มแข็ง
ไม่ว่าจะมาจากภายในหรือแค่ภายนอกก็ตาม

“ ลูกผู้ชาย เค้าไม่ร้องไห้กัน “
เรามักจะได้ยินมันเสมอๆ ทั้งที่ผู้ชายเองก็รู้สึกได้เท่าๆ กับผู้หญิง ..
แต่เวลาผู้หญิงร้องไห้ กับ ผู้ชายร้องไห้ มันให้ความรู้สึกที่แย่ต่างกัน ...


แต่ถ้ามีคนถามว่า ผู้ชายที่ร้องไห้เนี่ยมันดูอ่อนแอ มากไหม….
คงตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า …
“ผู้ชายที่ร้องไห้ และ ยอมรับตัวเองว่าร้องไห้ เป็นผู้ชายที่น่านับถือที่สุด
เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้หลอกลวงความรู้สึกของตัวเอง …”

แล้วสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายเนี่ย มันมีเหตุผลจากอะไรบ้าง ???????

 


รูปภาพ

 

(ถึงลูกจะงอแงไม่ยอมหลับ  พ่อจะเคียงข้างอยู่ใกล้ๆ จนลูกนอน)


วันนี้ ฉันทำให้ผู้ชายคนนึงยืนร้องไห้ อยู่ตรงหน้า
ทั้งที่ชีวิตทั้งชิวิตไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นน้ำตาจากผู้ชายคนนี้ ..
ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาจะสาหัสสากรรณ์ขนาดไหน
“ฮีโร่ในดวงใจ” ผู้ชายที่มีความอดทน และ เข้มแข็งที่สุด ในสายตาฉัน…
ผู้ชายที่สอนให้ฉันอดทน เข้มแข็ง และไม่ยอมแพ้ก็อะไรง่ายๆ
สอนให้ฉันรู้จักดูแลตัวเอง และเอาชนะสายตาดูถูกของใครต่อใคร ….
ผู้ชายที่ไม่เคยมีแววตาอ่อนโยน หรือคำปลอบประโลมใดๆ ในยามที่ฉันรู้สึกท้อแท้จนไม่อยากจะทำอะไร


แต่ผู้ชายคนนี้มักมีคำพูดที่ทำให้ฉันได้คิด และลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวของตัวเองเสมอ…
ผู้ชายกระด้างไร้หัวจิตหัวใจ ในสายตาฉันเมื่อวันก่อน…
วันนี้ฉันทำให้เค้ายืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อายใคร…
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงรู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็น..
แต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้ผู้ชายคนนี้ต้องร้องไห้…
ฉันร้องไห้ไปกับผู้ชายตรงหน้า..
ผู้ชายที่ก่อนหน้านี้ฉันคิดเสมอว่า เค้าไม่เคยรัก ไม่เคยห่วงฉันสักนิด
แต่วันนี้เค้าร้องไห้ ร้องไห้เพื่อฉัน



หลายต่อหลายครั้งที่ฉันร้องไห้เพียงลำพัง กับคำพูด กับการกระทำที่เค้าแสดงออกให้เห็น …
เค้าไม่เคยใส่ใจในความเป็นไป หรือความรู้สึกของฉันสักครั้ง
และด้วยเหตุผลนี้หละมั้งที่ทำให้ฉันเองรู้สึกห่างไกลจากเค้า
ทั้งที่เรายังอยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่างคนก็ต่างอยู่ ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ..
เค้าทำงาน ฉันก็เรียน ..
และพยายามอย่างที่สุดที่จะทำงานไปด้วยเพื่อช่วยเหลือตัวเอง และจะได้รบกวนผู้ชายคนนี้ให้น้อยที่สุด ….


อีก 20 นาทีข้างหน้าฉันต้องเข้าห้องผ่าตัด เพื่อผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้แพทย์รับประกันไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง ภายหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง ..
ฉันอาจจะหาย หรือฉันอาจจะพิการ เป็นอัมพฤก อัมพาต
ตาข้างซ้ายที่มองไม่เห็นเมื่อไม่กี่วันมานี้อาจจะปิดสนิทตลอดไป
หรือฉันอาจต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ถ้าการผ่าตัดครั้งนี้ล้มเหลว….
ผู้ชายคนเดิม ยืนอยู่ตรงหน้า ถามฉันทั้งน้ำตาว่า
“ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ”

 

 

(ชายจีนคนนี้กำลังกอพ่อของเขาที่เพลียจากการเดินทาง บนรถไฟ)


ถ้าเป็นเมื่อ 6 ปีก่อนฉันคงตอบด้วยความรู้สึกอยากจะเอาชนะว่า
“ไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไรกับใคร”
แต่วันนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันโตขึ้น ฉันได้คิด
ฉันได้พิจารณาถึงเหตุ และผลของการกระทำของผู้ชายคนนี้….


เมื่อ 6 ปีก่อน ฉันแอบเห็นพ่อคุยกับรูปภาพของแม่ในห้องพระ
ในคืนวันที่ฉันรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อบอกกับแม่ว่า …
“วันนี้เป็นวันที่พ่อเป็นสุขที่สุด ลูกเรามีงานดีๆ ทำ เรียนจบและรับปริญญาอย่างที่พ่อหวัง
พ่อหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งกับสิ่งที่ผ่านมา “
พ่อนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่จะสวดมนต์ไหว้พระอย่างเคย
ฉันแอบเห็นรอยยิ้มจางๆ ของพ่อในเช้าอีกวันที่ฉันเอาใบปริญญาบัตรที่พ่วงด้วยเกียรตินิยมของฉัน
ไปให้พ่อแทนของขวัญวันเกิดของพ่อ พ่อให้สร้อยและร๊อกเกตที่ทำจากทองคำขาวให้ฉันเส้นนึง ..
ข้างในเป็นรูปของพ่อกับแม่ ฉันไม่เคยถอดมันออกจากคอฉันเลยนับจากวันที่พ่อสวมมันให้กับมือของพ่อเอง …
วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้พูดคุยกับพ่อได้นานที่สุด พ่อให้ข้อคิดดีๆ มากมายกับฉัน
และที่สำคัญพ่อทำให้ฉันรู้สึกว่าพ่อเองก็รู้สึกว่าฉันเป็นลูกพ่อเหมือนกัน ….


หลังจากวันนั้นฉันพยายามที่จะเรียนรู้ผู้ชายคนนี้มากขึ้น พยายามเข้าใจการกระทำ
และเหตุผลถึงบางครั้งจะเป็นเหตุผลที่ฉันคิดขึ้นเพื่อปลอบใจตัวเอง ฉันพยายามอย่างที่สุดที่แบ่งเบาภาระที่ผู้ชายคนนี้แบกมาทั้งชีวิตให้มากที่ สุดเท่าที่ลูกอย่างฉันจะทำได้ ฉันยอมรับว่าหลายปีที่ผ่านมาฉันทำงานอย่างหนัก ฉันเหนื่อย เหนื่อยมาก
เพื่อแลกกับความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้นของคนในบ้าน …
แต่ฉันเองก็ภูมิใจเสมอกับสิ่งที่ตัวเองทำให้ผู้ชายคนนี้
ภาพของการต่อสู้ชีวิตของผู้ชายคนนี้มักจะทำให้ฉันมีกำลังใจเสมอๆ
เวลาที่ตัวเองกำลังจะล้ม หรือ กำลังร้องไห้ …..

 


 

(แอนดรู ฟรานซิส ใช้ทุกวินาทีกับลูกสาวมิเคล่า ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งตับและลุกลามที่ปอด เธอจากครอบครัวด้วยวัย 7 ขวบ คุณพ่อกล่าวถึงลูกสาวว่าเป็นเด็กเข้มแข็ง แม้ต้องทำคีโมหลายครั้ง ลูกต้องทนเจ็บปวด แต่ลูกก็อยากหายได้วิ่งเล่นอีกครั้ง)

 

แต่แล้ววันนึงฉันก็พบว่า ก้อนเนื้องอกในสมองของฉัน มันเริ่มทำให้ฉันดำเนินชีวิตแบบปกติไม่ได้เสียแล้ว..
ฉันต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนที่สุดตามคำแนะนำของแพทย์….
ฉันตัดสินใจบอกพ่อในคืนวันก่อนผ่าตัดหลังจากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาเป็นปี
พ่อตามมาที่โรงพยาบาล แล้วเข้าไปคุยกับหมออยู่ประมาณ 15 นาทีแล้วกลับเข้าดูฉันในห้องพัก ..
พ่อเงียบ เงียบมาก เงียบเสียจนฉันเดาไม่ออกว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่
พ่อเอาแต่นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ เตียงฉัน นั่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเช้า…
พ่อมองดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็ลุกมายืนข้างๆ เตียงฉัน มองหน้าฉัน
พูดพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
“ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ ”


ฉันขอโทษผู้ชายตรงหน้าทั้งน้ำตา …
และอธิบายถึงสิ่งที่ฉันคิดให้เค้าฟัง …
ฉันคิดไปสารพัดตั้งแต่ วันแรกที่ฉันทราบจากหมอว่าฉันเป็นโรคนี้
ระหว่างการที่ฉันพูดกับการที่ฉันเงียบ อย่างไหนที่จะทำให้พ่อเจ็บปวดน้อยที่สุด
แล้วฉันก็เลือกที่จะเงียบ และเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงคนเดียว
ฉันกลัวจะทำให้พ่อเป็นห่วง เป็นกังวล ไปกับเรื่องราวของตัวเอง
และไม่อยากให้พ่อมาเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ หรือลำบากเพื่อฉันอีกแล้ว
หลังจากที่รู้ฉันก็พยายามแล้วที่จะหาทางรักษามัน แต่พระเจ้าไม่เข้าข้างฉัน
ฉันจึงต้องทำให้พ่อเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ …

 

Rick van Beek Team Maddy Running

 

"ผมไม่เคยชนะการแข่งขัน ผมไม่เคยผิดหวัง ผมเลิกสูบบุหรี่ เลิกทำตัวอ่อนแอ

ผมขอให้ลูกหัวเราะและร่าเริง ผมทำสิ่งนี้เพื่อลูก" Rick van Beek


ฉันจำได้ในสิ่งที่พ่อบอกพ่อสอน พ่อสอนให้ฉันเข้มแข็ง สอนให้ฉันสู้ สอนให้ฉันไม่ยอมแพ้
และวันนี้ เวลานี้ฉันก็กำลังต่อสู้กับโรคบ้าๆ นี่ด้วยความหวังว่าฉันจะต้องหาย เพื่อกลับมาดูแลพ่อ
เพื่อให้พ่อได้อยู่อย่างสบายกว่าทุกวันนี้ พ่อเหนื่อยมาพอแล้ว เหนื่อยมาทั้งชีวิตก็ว่าได้
ฉันอยากเห็นพ่อเป็นสุข และสบายกว่านี้ ฉันจึงทำทุกอย่าง อดทน และเข้มแข็ง
และนี่ก็คงจะเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งที่จะพิสูจน์ความตั้งใจจริงของฉัน…..


พ่อกอดฉัน พร้อมพูดทั้งน้ำตาว่า ..
” พ่อขอโทษ ที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับรู้สึกหรือความเป็นไป ของลูกเลย
พ่อคิดเสมอว่าลูกเป็นคนเก่ง ลูกเข้มแข็ง และลูกก็เอาตัวรอดได้ในสังคมทุกวันนี้
ขณะที่น้องของลูกไม่เหมือนลูก น้องยังเป็นเด็กไม่รู้จักโต พ่อถึงห่วงน้อง ดูแลน้อง
จนบางครั้งก็ดูเหมือนพ่อเป็นห่วงลูกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่พ่อก็รักลูกนะ
พ่อรู้ว่าลูกทำทุกอย่างเพื่อน้องเพื่อพ่อ หลายต่อหลายครั้งที่พ่อทำให้ลูกร้องไห้
แต่พ่ออยากให้ลูกรู้ว่าพ่อต้องการให้ลูกเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของน้องเพราะพ่อไม่รู้ว่า
พ่อเองจะอยู่กับลูกไปได้นานแค่ไหน แต่จำไว้นะลูก ว่า พ่อรักลูก ไม่ได้น้อยไปกว่าน้องเลย “
“ขอบคุณค่ะพ่อ หนูก็รักพ่อ รักที่สุด”
เรากอดกันทั้งน้ำตา ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างที่สุด

 

ฉันจำได้ว่าพ่อไม่เคยกอดฉันเลยนับจากวันที่แม่จากไปเมื่อ 18 ปีก่อน
ไม่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
ฉันรู้แต่ว่าวินาทีนี้ฉันต้องสู้ ต้องเข้มแข็ง ฉันจะเป็นอะไรไปไม่ได้
ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อผู้ชายที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า “ผู้ชายที่ฉันรักที่สุด”..................

 

 


ไม่ว่าลูกของพ่อจะโตแค่ไหน  บ่าของพ่อก็ว่างเสมอสำหรับลูก

 

 ขอบคุณบทความจาก http://thaistory.exteen.com/

 

 

*********************************

 

 

 

                   เเก้กรรมสะเดาะห์เคราะห์

 

 

            

 

 

เเก้กรรมสะเดาะเคราะห์เป็นการทำพิธีตามความเชื่อโบราณว่าจะสามารถส่งเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้น มักรวมไปถึงการต่ออายุ หรือแก้ไขสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นดี การเริ่มทำบุญตั้งแต่ต้นปีก็จะเพิ่มดวง เสริมสง่าราศีให้ชีวิตมีความสุข และประสบความสำเร็จตลอดทั้งปีและตลอดไปอย่างแน่นอน

          icon 1. ถือศีล 5 การถือศีล 5 เป็นประจำจะช่วยเสริมดวงชะตาและจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความดีงาม การทำดีและไม่เบียดเบียนใครถือเป็นการทำบุญกุศลที่ได้อานิสงส์ เป็นผลให้เกิดความโชคดี และแก้เคราะห์ลดกรรมได้

          icon 2. การถือศีล 8 จะช่วยเสริมดวงและแก้เคราะห์ได้เช่นเดียวกับการถือศีล 5 แต่การถือศีล 8 นั้นปฏิบัติได้ยากยิ่ง แต่เมื่อปฏิบัติได้สำเร็จจะได้กุศลแรงนักปฏิบัติแล้วยังช่วยเสริมดวงอำนาจบารมีได้

          icon 3. กินเจ ก็เพื่อลดละชีวิตสัตว์ ซึ่งได้อานิสงส์ผลบุญสูงและควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้าอธิษฐานไว้ว่า 7 วัน ก็ทำให้ครบ 7 วัน อาจตั้งจิตว่าจะทำทุกวันพระและทุกเดือน หรือปฏิบัติทุกเดือน เดือนละ 3 วัน หรือ 7 วัน เป็นต้น

          icon 4. ไหว้พระและถวายดอกไม้ ธูปเทียน รวมทั้งการปิดทองคำเปลวและเครื่องหอม ผลบุญนี้จะทำให้ชีวิตรุ่งเรือง มีความเจริญก้าวหน้า

          icon 5. ถวายน้ำมันตะเกียง เพื่อความรุ่งโรจน์โชติช่วงของชีวิต เช่นเดียวกับความสว่างของแสงตะเกียง ทำให้พ้นจากความมืดมิดทั้งการดำเนินชีวิต รวมทั้งปัญหาและความคิดที่สว่างไสวไม่อับจนหนทาง

          icon 6. ถวายสังฆทาน เป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยถวายสิ่งของจำเป็นแด่พระสงฆ์ อานิสงส์ผลบุญจะส่งให้ชีวิตหมดเคราะห์หมดโศก จะทำสิ่งใดก็ราบรื่นไม่ติดขัด พบแต่ความสำเร็จสมปรารถนา รวมทั้งมีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ ไม่ขัดสน

          icon 7. ไหว้พระ ไหว้บูชาเทพต่างๆ จะทำให้พบกับความสุข ความเจริญเกิดความสุขใจว่ามีที่พึ่งพิง ยึดเหนี่ยว นำมาซึ่งกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไปและรู้สึกเสมอว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง

          icon 8. ทำบุญปล่อยสัตว์ เป็นการไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่ถือว่าได้บุญแรง จะต้องทำด้วยความตั้งใจจริง เช่น การไปซื้อสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าไปปล่อย ไถ่ชีวิตวัวควายถวายวัดเพื่อมอบให้ชาวนานำไปใช้ประโยชน์ ซื้อปลาในตลาดที่จะถูกฆ่าไปปล่อยน้ำ ผลบุญนี้ยังผลให้หมดทุกข์ หมดภัย และพบความสุขความเจริญในชีวิต

          icon 9. ทำบุญ ให้ทาน เป็นการรู้จักเสียสละตนเองและแบ่งปันให้ผู้อื่น ซึ่งผลบุญจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีจิตใจยินดีในการทำบุญให้ทานด้วย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงพุทธศาสนา หรือการให้ทานเกื้อกูลคนยากไร้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุญส่งเสริมให้ชีวิตมีโชค มีทรัพย์ และมากด้วยบารมี

          icon 10. ทำทานแก่คนยากไร้ เป็นการทำบุญที่มาจากจิตใจอันไม่ยึดติดมีความไม่โลภ ผลบุญจึงหนุนนำให้มีแต่ความราบรื่น ยามมีเรื่องติดขัดก็จะมีผู้มาช่วยเหลือค้ำจุน ยามมีเคราะห์ภัยก็จะแคล้วคลาด เพราะแรงอนุโมทนาจิตจากผู้ยากไร้ที่ได้รับสิ่งของจากเรานั่นเอง

          icon 11. ทำบุญโลงศพ ซื้อโลงศพบริจาคศพอนาถาไร้ญาติ จะได้อานิสงส์แรงยิ่งนัก การทำบุญเช่นนี้จะช่วยเสริมดวงชะตาให้แข็งแกร่ง สามารถต้านเคราะห์ภัยหนักต่างๆ และผ่อนหนักเป็นเบาได้

          icon 12. พิมพ์หนังสือธรรมะแจก จัดพิมพ์เองหรือร่วมบริจาคสมทบทุนการพิมพ์กับผู้อื่นก็ได้ เป็นการเสริมดวงให้มีวาสนาบารมี เพื่อให้ปัญญาสว่าง หมดทุกข์ หมดโศก ไม่มีเคราะห์ร้ายมากล้ำกราย

          icon 13. บริจาคค่าน้ำ ค่าไฟ จะช่วยให้ชีวิตราบรื่น หมดทุกข์ หมดโศก ประสบแต่ความโชคดี

          icon 14. ซื้อข้าวสารถวายวัด เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าตามสถานสงเคราะห์เป็นการสั่งสมบุญกุศล เพื่อให้ชีวิตมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์และเพียบพร้อมด้วยบารมี

          icon 15. การตักบาตรร่วมขันกับผู้อื่นหรือทำบุญร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะทำบุญด้วยการบริจาคทรัพย์หรือโดยทางอื่น จะส่งผลให้เนื้อคู่ดูดี ดวงชะตาแข็งแกร่ง เกื้อกูลซึ่งกันและกัน และจะได้แต่เพื่อนที่ดีในชาตินี้

 

 

 

 

                  แฉคนทรงเจ้า เสกหนังควายเข้าท้อง

 

 

 

สวัสดีครับ

ผมคิดว่าลูกเล่นของไข่ศักดิ์สิทธิ์ดูดสิ่งชั่วร้าย
เหล่านักมายากลคงไม่เอาขึ้นเวทีไปแสดงนะครับ
การแฉครั้งนี้คงไม่ได้ทำลายอาชีพสุจริตอย่างที่ผมกล่าวไว้ในตอนที่ 1 และตอนที่ 2
---------
เกี่ยวกับการเสกหนังควายเข้าท้อง
ถ้าคุณไม่รู้เคล็ดลับของเขามันจะเป็นเรื่องแปลกเหลือเชื่อมาก
แต่ถ้าคุณรู้เคล็ดลับแล้วล่ะก็ คุณจะพูดกับตัวเองว่า "อะโด่ ! ทำก็ไม่เหมือน ตูทำเองยังแนบเนียบกว่าอีก"

--------------
เจ้าตำหนักผู้ทรงพลังดุจเทพ
จะนำไข่มาดูดสิ่งเลวร้าย
ไม่ว่าจะเป็นตะปูจาก 7 ป่าช้า (วิ่งหาตะปูให้ครบ 7 ป่าช้า เปลืองค่าน้ำมันรถน่าดู)

หรือว่า จะเป็นเส้นผมผีตายโหง (แต่งเรื่องได้น่ากลัวดีจัง)

อาจจะเลยเถิดไปถึงหนังวัว-หนังควายอะไรนั่นไปเลย

- ไอ้คนเสกของก็โง่จริง ๆ
ถ้าคิดจะฆ่าเรา แค่เสกยาพิษเข้าท้องเราก็เรียบร้อยแล้ว
ประหยัดเวลากว่ากันเยอะ
------------------------

มาดูกันว่าเขาเล่นกลนี้กันอย่างไร
- เริ่มจากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของท่าน ด้วยการให้ท่านเตรียมไข่มาเอง
- นำไข่ของท่านมาทำพิธี
- สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายเข้าไปอยู่ในไข่เรียบร้อย
- พอต่อยไข่ออกมา คุณจะตกใจ (ไข่ก็ของเราเตรียมมานี่หว่า เจอเจ้าทรงตัวจริงแล้ว "ใครมันคิดร้ายกับตูฟะ เสกของไว้เต็มเลย"
- บางท่านอาจจะคิดในใจว่า "ตูทำเองยังแนบเนียนกว่า"
- จ่ายเงิน ( ถึงไม่มีศรัทธาก็ต้องจ่าย (เพราะลูกศิษย์ยืนคุมเชิงอยู่ )
---------------------------

เขาทำได้อย่างไร (ดูจากภาพประกอบ)
- เจาะรูที่ไข่
- ใส่ของที่ต้องการ (แน่จริงยัดพวกกุญแจโดราเอม่อนลงไปด้วยสิ)
- ปิดรูด้วยน้ำตาเทียน
- เขียนลวดลาย เพื่อปกปิดร่องรอย

* สำหรับวิธีทำไข่อีสเตอร์เขมรนี้
บางสำนัก อาจจะแตกต่างออกไปบ้าง
แต่วิธีทำคงไม่ต่างไปจากนี้มากมายนัก
------
นี่เป็นอีกวิธีหนึ่ง ข้อมูลจาก คุณหัตต์เทวะ

" ความคิดเห็นที่ 31  

เรื่องไข่ไก่หรือไข่เป็ดที่มีเลือด ตะปู หรือ เศษผมอยู่ข้างในนี่
ผมเคยดูรายการเรื่องจริงผ่านจอ มันมีวิธีที่จะทำได้โดยไม่ต้องเจาะไข่ครับ

โดยนำด้านที่หนาของไข่หรือที่เรียกว่าด้านป้าน(มั้ง) ไปแช่ในน้ำส้มสายชูสักครู่
ซึ่งน้ำส้มสายชูจะทำให้เปลือกไข่มันนุ่มอะครับ
ที่นี้เราจะดันตะปูใส่ไปในไข่ หรือเอาเข็มฉีดยาที่บรรจุเลือด หรือเศษผมฉีดเข้าไปก็ได้ครับ ไข่จะไม่แตก
ซึ่งทางรายการก็ทดลองให้เห็นด้วยนะครับว่าทำได้จริง ๆ

จากคุณ : หัตต์เทวะ  - [ 8 พ.ค. 50 14:10:36 ]"
---------------------------------------------

สงสัยใช่ไหมครับว่า ไข่ไก่คุณก็เตรียมไปเอง
แล้ววิธีการมากมายขนาดนี้ ทำไมทำเสร็จเร็วจัง

- เหตุผลง่าย ๆ ครับ เขาไม่ได้ใช้ของคุณน่ะสิ  ไข่จะถูกสับเปลี่ยนในช่วงที่คุณเผลอ
---------------------------

* วิธีทำลายการแสดงนี้
- เลือกไข่ที่มีรอยเลอะบนเปลือกเป็นลวดลายที่แปลกตา คุณจะได้จำได้ว่าใบที่มาแสดงมันมีรอยเลอะแบบเดียวกันหรือเปล่า

- ถ้าไข่มีการลงยันต์ ก็ให้รับรู้ไว้เลยครับว่าเป็นการปกปิดรอยอุดรูที่เจาะไว้ สังเกตว่ามันเรียบไหม หรือมีรอยน้ำตาเทียนปูดขึ้นมา

~~~~~~
ในหนังสือฮาสุดขีดฉบับพระพยอมกล่าวไว้ว่า
"หนังควายตูไม่อนุญาตให้เข้าท้องโว้ย ให้ผ่านเฉพาะลูกชิ้นเนื้อเท่านั้น"

ปล. ผมกำลังหัดทำเว็บ เพื่อเตรียมทำเป็นคลังเก็บกระทู้ครับ
ใจเย็น ๆ เสร็จทันสิ้นปีนี้แน่นอนครับ

 

 
 

 

 

จากคุณ เฮียเลือด www.pantip.com

 

 

********************************************************

 

 

 

                           ดิ้นเฮือกสุดท้าย  ทำทุกวิถีทาง!

 

 

 

 

 

 

นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นเรื่องให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและนายกฯ กรณีที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154(1) ว่า ช่วงปี 2554 ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลและมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ฐานะส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 154 (1) ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยครั้งนั้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยกคำร้องเนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 154(1) ใช้ได้เฉพาะกฎหมายทั่วไปเท่านั้น โดยไม่มีผลครอบคลุมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

 

เมื่อถามว่าแสดงว่าจะนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคราวดังกล่าวมาเป็นบรรทัดฐานว่าจะไม่นำความเห็นส่งใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ แน่นอน เพราะศาลเคยมีคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว อย่างไรก็ตามหากมีผู้ยื่นเรื่องมายังตนจริง ตามหน้าที่ก็จะรับไว้ ส่วนจะนำส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ หรือแจ้งไปยังนายกฯ ให้รับทราบหรือไม่นั้นต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่ส่วนตัวมองว่าก่อนหน้านั้นศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่เป็นบรรทัดฐานไว้อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งนี้ตนมองว่าการใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 154(1) ไม่ครอบคลุมเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

 

เมื่อถามต่อว่าการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรให้ศาลได้พิจารณา ดีกว่าที่ประธานรัฐสภาจะใช้ดุลพินิจหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยใช้ดุลพินิจไปแล้ว ดังนั้นจะใช้ดุลยพินิจที่ขัดหลักกับคำวินิจฉัยเดิมคงไม่ได้

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากที่มีการลงมติวาระสามของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจะดำเนินการอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องส่งให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อม ภายใน 20 วันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ส่วนที่ขณะนี้มีผู้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วิจิฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มมมาตราที่มาสว.ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ นั้น เป็นคนละส่วนกัน ทั้งนี้เป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ต้องเดินไปตามข้อบังคับ จะทำการเป็นอื่นไม่ได้

 

 

 

 

 

***************************************************

guest

Post : 2013-09-26 19:05:49.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  10 อาหารบั่นทอนพลังเพศ

 
 

 

               10 อาหารบั่นทอนพลังเพศ

 

 

 

 

                 

 

 

 

 

   

 

 

 

ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (TESTOSTERONE) เป็นฮอร์โมนเพศที่สำคัญที่สุดของผู้ชาย ซึ่งจะกำหนดความรู้สึกและอารมณ์ของความเป็นชาย มีหน้าที่สำคัญคือกระตุ้นให้แสดงลักษณะความเป็นชาย ซึ่งรวมไปถึงเรื่องความต้องการทางเพศ, การสร้างเชื้ออสุจิ, ปริมาณของขนเพชรและขนตามร่างกาย กล้ามเนื้อและกระดูก การลดลงของระดับฮอร์โมนเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุและปัจจัย โดยเราได้ศึกษาบทความจากผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารหลายบทความ ถึงอาหารที่ช่วยเพิ่ม และทำลายฮอร์โมนเพศชายของคุณ
       
       ในขณะที่เรารู้ว่าช็อกโกแลต และอัลมอนด์ มีคุณสมบัติเป็นยาโด๊ปที่ดี แต่ก็มีอาหารบางประเภทที่ให้ผลตรงข้ามกับความต้องการทางเพศของคุณ จึงควรศึกษาด้วยว่ามีอาหารชนิดใดบ้างที่สามารถทำลายพลังการขับเคลื่อนทางเพศ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพการเจริญพันธุ์ของคุณด้วยเช่นกัน ในเมื่อตอนนี้คุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ต้องการจะกระตุ้นให้ความต้องการทางเพศของคุณร้อนแรงอยู่ตลอดเวลา มาดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้างที่คุณควรตีตัวออกห่าง หรือตัดออกจากเมนูอาหารหลักของคุณไปตลอดกาล
 

 

1. ถั่วเหลือง (soy)
       
       ผลการวิจัยจากวารสาร “European Journal of Clinical Nutrition” พบว่า ผู้ชายที่บริโภคถั่วเหลืองวันละ 120 มิลลิกรัม มีผลทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ลดลง ทำให้เกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย เอสโตรเจนที่พบมากในถั่วเหลือง จะไปกดการทำงานของฮอร์โมนเพศชาย และในถั่วเหลืองยังมีสารไฟโตรเอสโตรเจน ( phytoestrogens) อยู่มาก จะออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งสามารถลดจำนวนอสุจิในผู้ชายอีกด้วย หากว่าคุณรับประทานถั่วเหลืองในปริมาณที่มากเกินไป มีผลทำให้เต้านมของคุณใหญ่ขึ้น มีผิวพรรณเนียน สวย ดูดี แต่ข้อเสียที่ตามมาคือ ปัญหาผมร่วง ส่วนเรื่องของผู้ชาย 'จอดสนิท' อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวได้
 

 

2. หอยนางรม (Oysters)
       
       หอยนางรมได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาแห่งยาโด๊ป เป็นแหล่งของแร่ธาตุสังกะสีซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างฮอร์โมนเพศชาย และความไวของคลิตอริส แต่มันยังเป็นอาหารให้โทษต่อร่างกายได้อีกด้วยหากรับประทานมากเกินไป เพราะหอยนางรม หรือหอยชนิดอื่นๆ จะดูดซับสารพิษและเชื้อปรสิตในท้องทะเลเอาไว้ ดังนั้นควรรับประทานแต่พอดี เพราะถ้าอาหารเป็นพิษขึ้นมา นอกจากจะไม่ปึ๋งปั๋ง หมดเรี่ยวแรงแล้ว ยังต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลอีกก็เป็นได้ หรือจะลองเปลี่ยนมาเพิ่มธาตุสังกะสีกับอาหารประเภทอื่นๆ อย่างเช่น ผักโขม ที่มีปริมาณสังกะสีสูง แต่ปริมาณแคลอรีต่ำ จะดีต่อสุขภาพมากกว่า

 

  3. กาแฟ (Coffee)
       
       1 ถ้วยกาแฟในตอนเช้าสามารถกระตุ้นให้คุณมีความสุขได้ แต่หากคุณดื่มกาแฟเป็นประจำ และดื่มต่อวันมากเกินไปมีความเสี่ยงต่อการทำลายต่อมหมวกไตซึ่งมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเครียด (stress hormone) ถ้าคุณมีกาเฟอีนในร่างกายมากเกินไปอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนความเครียด ดังนั้น ถ้าหากตอนนี้คุณกำลังอยู่ในอารมณ์รักหรืออยากจะโรแมนติกกับคู่ของคุณแล้วล่ะก็ ทางที่ดีที่สุดคือ ควรลดปริมาณการดื่มกาแฟลง

4. เครื่องดื่มน้ำอัดลม (Aerated Drink)
       
       จากการศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกว่า 21,000 ชิ้น และได้ตีพิมพ์ในวารสารด้านการแพทย์ “The New England Journal of Medicine” สรุปได้ว่า การบริโภคเครื่องดื่มที่มีรสหวาน น้ำตาล ซ่า สามารถก่อให้เกิดความผันผวนต่อน้ำหนักและอารมณ์ของคุณเอง รวมไปถึงปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่ตามมา เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคฟันผุ การดื่มมากเกินไป เครื่องดื่มเหล่านี้อาจกลายเป็นยาพิษรสหวาน ที่นอกจากจะทำให้คุณทุกข์ทรมานจากโรคภัยต่างๆ แล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพทางเพศของคุณได้อีกด้วย

 

5. สารให้ความหวานเทียม (Artificial Sweeteners)

       สารให้ความหวานเทียมจะมีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดปัญหากับฮอร์โมนซีรีโทนิ (Serotonin) ในร่างกายคุณ หากคุณกำลังพยายามที่จะลดน้ำหนักและควบคุมอาหาร โดยใช้สารให้ความหวานเทียม โดยส่วนผสมนี้สามารถลดระดับฮอร์โมนซีโรโทนิ (hormone serotonin) ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหัว, ซึมเศร้า, หงุดหงิด, วิตกกังวล และนอนไม่หลับ “ซีโรโทนิ” (Serotonin) ถือเป็นฮอร์โมนแห่ง “ความสุข” หากฮอร์โมนตัวนี้ลดระดับลงย่อมมีผลต่ออารมณ์และความใคร่ ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพิสูจน์แล้วว่าสารให้ความหวานเหล่านี้มีผลต่อระบบประสาท เพื่อให้พฤติกรรมทางเพศของคุณปกติ ควรเลือกรับประทานความหวานจากธรรมชาติ เช่น น้ำผึ้ง และน้ำตาลทรายแดง จะดีกว่า

 

  6. อาหารกระป๋อง (Canned Foods)
       
       อาหารกระป๋องจะเต็มไปด้วยโซเดียม การผลิตที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และปรุงแต่งด้วยสารสังเคราะห์เทียมต่างๆ เป็นอาหารที่มีโซเดียมในปริมาณที่สูงและปริมาณโพแทสเซียมต่ำ อาจนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง จะมีความดันโลหิตเลี้ยงไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่สม่ำเสมอ ลดการไหลของเลือดไปยังอวัยวะเพศชาย
       
       นอกจากนั้น ในอาหารกระป๋องยังพบสาร BPA ที่เคลือบภายในบรรจุภัณฑ์อาหารกระป๋อง และที่สำคัญคือ มีการทดลองในหนูพบว่า BPA เป็นสารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งในต่อมลูกหมาก โดยข้อมูลงานวิจัยระบุว่า เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ของเพศหญิง ทำให้สเปิร์มลดลง ปัญหาเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย รวมไปถึงปัญหาเกี่ยวกับการหลั่งอีกด้วย
 

 

 7. อาหารทอดและอาหารขยะ (Fried and junk food)
       
       อาหารทอดและจังก์ฟูด เช่น เฟรนช์ฟาย มันทอด ไก่ทอด และแฮมเบอร์เกอร์ เรียกได้ว่าเป็นเพชฌฆาตตัวฉกาจเลยทีเดียว เมื่อตัวการร้ายที่สำคัญของอาหารทอดอย่างไขมันทรานส์ ที่แทรกอยู่กับอาหารทอดแทบทุกชนิด ที่ใช้น้ำมันพืชผ่านความร้อน ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศลดต่ำลง และยังเป็นสาเหตุให้คุณภาพในการผลิตสเปิร์มลดลง และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในที่สุด
 

 

8. แอลกอฮอล์ (Alcohol)
       
       การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะไม่เคยทำลายความต้องการทางเพศ แต่การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปมีผลต่อตับ ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) ในร่างกายสูงขึ้นและอัณฑะทำงานผิดปกติ จนผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย) ลดลง การดื่มจัดยังมีผลไปกดระบบประสาทส่วนกลาง อาจทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัวไปชั่วขณะได้

9. โมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG: Monosodium glutamate)
       
       ผงชูรส มักจะถูกใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำเร็จรูป หรืออาหารตามร้านค้าต่างๆ ก็ตาม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารนั้นๆ แต่อาจก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า อาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า ส่งผลกระทบต่อภาวะอวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว และการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศตามมา

 

10. มินต์ (Mint)
       
       คิดสักนิดก่อนที่คุณจะหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยว แม้ว่ามันจะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารและช่วยระงับกลิ่นปาก มินต์ อาจจะไม่ดีนักสำหรับอารมณ์ความใคร่ของคุณ หากรับประทานมากจนเกินไป มินต์หรือน้ำมันที่มีส่วนผสมของใบสะระแหน่ และเมนทอล สามารถลดระดับฮอร์โมนเพศชายได้ ดังนั้น หันไปพกแปรงสีฟันเพื่อลมปากสดชื่นจะดีกว่า

 

 

************************

 

 

 

     ตรวจดูสภาพน้ำท่วม ที่ ต.ไร่ใต้อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี (27 ก.ย.56)

 

 

 

1235047_506872159402724_879034452_n.jpg
11516_588247454567356_67862367_n.jpg
555877_217680565022969_880941167_n.jpg
 

 
12997_10151746573406144_238179763_n.jpg
1238813_10151746573556144_334367715_n.jp
558057_10151746573671144_2057905674_n.jp

 

อาสาฯ คนไทยช่วยน้ำท่วม คนไทยไม่ทิ้งกันค่ะ
 
สรุปสถานการณ์น้ำท่วมทั่วประเทศ ขณะนี้มีทั้งสิ้น 29 จังหวัด ประชาชนเดือดร้อน 620,000 ครัวเรือน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 13 คน โดยภาคอีสาน มีน้ำท่วม 8 จังหวัด ส่วนภาคเหนือ 6 จังหวัด ภาคกลางมี 6 จังหวัด ขณะที่ภาคตะวันออก มี 4 จังหวัด
 
และวันนี้ (27 ก.ย) คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประธานมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช มอบถุงยังชีพ พร้อมเป็นกำลังใจ ให้แก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัย ที่ ต.ไร่ใต อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี นอกจากนี้ ศูนย์อาสาฯเตรียมส่งถุงยังชีพไปช่วยจังหวัดต่างๆเพิ่มเติม ได้แก่ อุบลราชธานีอีก 1,000 ถุง สระบุรี 500 ถุง ปราจีนบุรี เรือ 5 ลำ ข้าวสาร 250 ถุงค่ะ
 
ทุกท่านสามารถร่วมกันบริจาคสิ่งของได้ที่ มูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช 67 ถ.เศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพ หรือ มูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง เลขที่บัญชี 068-0-02-3607 หรือติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook : อาสาฯคนไทยช่วยน้ำท่วม
 
Mallika Boonmeetrakool

 
Wilai Siri


"คุณอภิสิทธิ์ มาถูกทางแล้ว....อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา!!!
ยามชาวประชาเดือดร้อน "ต้องรีบไปในทันใด!!! ไปยืนเคียงข้างประชาชน!!!" ทีนี้ล่ะ......ประชาชนเค้าจะจำฝังใจ!!!
เค้าจะรู้ว่าใครรักประชาชน หรือ ใครแค่อ้าง!!!!! ประชาชน!!!!!

ไปก่อนคือมาร์คสร้างภาพ ไปทีหลังคือมาร์คไม่ทำอะไร !!
 

สรุปมาร์คหายใจยังผิดสำหรับฝั่งตรงข้าม

ถาพแบบนี้มีผลทางจิตวิทยาเยอะ

เยอะมากด้วยเพราะมันเกิดการเปรียบเทียบได้  ยิ่งความช่วยเหลือภาครัฐไปช้าเท่าไหร่ รัฐบาลยิ่งเสียคะแนน


 

 

@LoveInMish: ฝ่ายต่อต้าน รวมตัวไล่คุณอภิสิทธิ์ ก่อนขึ้นเครื่องบินกลับ หลังมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
1377192_10200681809262940_431271126_n.jp


 

 

 ผมมองว่า กิจกรรมดีๆอย่างนี้น่าจะมีการนำไปเผยแพร่ให้กว้างขวางครับ

มันสามารถประชาสัมพันธ์ได้ จะได้รู้ว่ามีประชาชนที่เค้าเดือดร้อนอีกเยอะ
และจะมีคนเข้าร่วมกิจกรรมกับ ปชป.อีกเยอะ เป็นการสร้างสำนึกร่วมกัน
เหมือนกับที่พวกบริษัทฯเอกชนยักษ์ใหญ่ทั้งหลายทำกัน

อยากให้ทีมงาน ปชป.นำไปพิจารณาครับ ด้วยความเคารพ
 

 

ไม่มีสีเสื้อ ไม่มีการเกณฑ์ประชาชน

 ไม่มีนาย ไม่มีทาส ไม่มีการจัดตั้ง

 งดงามครับ..................

 

 

 *************************************************

 

 

 

 

 

 

               วันพระ
 

                             วันศุกร์ ที่ 27 กันยายน เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน 10 

 

 

 

นิทานเซ็น

ทิศทางกับหนทาง

โพสท์ในเวปกองทัพพลังจิต โดยคุณ กระสือข้างส้วม เมื่อ 09-03-2005

 

                               

 

 

นักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งได้นัดกันไปปีนเขา แต่วันนั้นดินฟ้าอากาศเกิดแปรปรวนขึ้นอย่างฉับพลัน จึงทำให้พวกเขาพลัดหลงอยู่ในหุบเขา หาทางออกไม่ได้อยู่หลายวัน

เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพรานหลายคน ได้ช่วยกันค้นหาอย่างไม่ลดละจนในที่สุด ก็สามารถหาพวกเขาพบและช่วยเหลืออกมาได้

ในขณะที่กำลังลำเลียงพวกเขาขึ้นรถพยาบาลอยู่นั้น นักศึกษาคนหนึ่งที่นอนอยู่ในเปลก็ได้พูดขึ้นมาว่า

"อันที่จริงพวกเราทุกคนต่างรู้ทิศทางที่จะออกจากหุบเขานี้ดี แต่มันน่าเจ็บใจที่เดินยังไงก็ออกมาไม่ได้สักที"

"รู้แค่เพียงทิศทางมันจะมีประโยชน์อะไร" ทหารพรานคนหนึ่งพูดโพล่งออกมาอย่างไม่เกรงใจ "รู้หนทางสิ จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด"

 

 

นักศึกษาหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเพราะไม่เข้าใจความหมาย ทหารพรานคนนั้นจึงได้กล่าวต่อไปว่า

"แม้ทิศทางจะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการที่จะช่วยคุณค้นหาหนทางได้ แต่ทิศทางก็ยังไม่ใช่หนทางอยู่ดี ตัวอย่างเช่น หากทิศทางบอกกับคุณว่า ควรมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เพราะคุณจะสามารถพบหมู่บ้านที่มีผู้คนอาศัยอยู่ได้ แต่บังเอิญหนทางที่คุณกำลังจะไปกลับที่หุบเหวมาขวางทางเสียก่อน และไม่ว่าคุณจะพยายามยังไง ก็ไม่สามารถข้ามหุบเหวนั้นไปได้ ในขณะนั้น ทิศทางก็บอกกับคุณอีกว่าควรขึ้นเหนือ เพราะทางทิศเหนือมีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง แต่หลังจากที่คุณต้องระหกระเหินเดินผ่านป่าทึบด้วยความยากลำบาก คุณกลับต้องมาเจอกับแม่น้ำเชี่ยวกรากสายหนึ่งขวางทางไว้ และคุณก็ไม่มีความมั่นใจพอที่จะเข้าไปได้ ถึงต้อนนี้คุณจะทำยังไง?"

 

"หากพิจารณาหากตัวอย่างข้างต้นก็จะเห็นได้ว่า ทิศทางที่คุณเดินไปนั้นไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย แต่สุดท้ายคุณก็ยังไม่สามารถออกมาจากหุบเขานั้นได้ นั่นก็เพราะคุณไม่พบหนทางนั่นเอง"

 

 

 

ทิศทางนั้นหาง่าย แต่หนทางมันหายาก

ทิศทางนั้นเด่นชัด แต่หนทางมักแอบแฝงซ่อนเร้น

หากพระนิพพานคือทิศทางที่ทุกคนควรมุ่งหน้าไปให้ถึง

แล้วหนทางเล่า? อยู่ที่ไหน?

บางคนมุ่งแสวงหาในพระคัมภีร์ แต่สุดท้ายก็เหนื่อยเปล่า

เพราะหากยังไม่พบหนทาง รู้ทิศทางก็ไร้ประโยชน์

เพราะหากยังไม่พบหนทาง ก็ไม่มีวันที่พ้นทุกข์ได้สุข

การ"ปล่อยวาง"นั่นเเหละ คือบันไดขั้นเเรกที่จะพาให้ก้าวย่างผ่านทุกข์ สงบสุขอย่างเยือกเย็น......

 

 

 
 

 

 

   

 

                     

 

 

 

 

 

 

 

                             

 

 

 

 

  

 

 

 

 

  

  ดาริน คล่องอักขระ - บรรณาธิการข่าวยุทธศาสตร์, รู้สู้ภัยพิบัติ (ร่วมกับวิทยากร รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์) ไทย พีบีเอส

 

 

 

 

 

เท่าที่จำได้ นอกจาก นายกมาร์ค แล้วยังมี

นส. บุณย์ธิดา สมชัย
นาย อิสสระ สมชัย
ดร. ศุภชัย ศรีหล้า
นายวุฒิพงษ์ นามบุตร
นายวิฑูรย์ นามบุตร
นายอิสรา สุนทรวัฒน์


처음 이전 ... 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>