Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2013-02-05 20:03:02.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  พระตกใจ!!

 

            

 

 

             *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

                      "อีกนานมั๊ย?.."

 

 

 

 

        

 

 

 

 

 

....เเค่ความเหงา หนาวมา ไม่ช้าหาย

 

เดี๋ยวก็คลาย กายที่สั่น มันก็ถอน

 

เพียงเเต่ว่า ระวังไว้ อย่าให้คลอน

 

รู้ว่าร้อน หรือเย็นหนาว เดี๋ยวเจ้าไป

 

 

 

 

....เเต่ความเศร้า เงาที่ทาบ อาบมิดร่าง

 

เมื่อไหร่จาง? เลี่ยงหลีกหลบ พบฟ้าใส

 

ชีวิตนี้ อยู่เพื่อขอ หรือรอใคร?

 

นานเเค่ไหน? มีคู่กอด ตลอดกาล....

 

 

 

 

 

********************************

 

 

 

 

 

 

 

****************************************************************

 

  

                  รังนกมีประโยชน์จริงหรือ?..

 

             

 

 

รังนก


ชาวจีนแต่โบราณถือว่ารังนกเป็นอาหารบำรุงชั้นเยี่ยม มีสรรพคุณในการรักษาโรค โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ ช่วยบำรุงปอด บรรเทาอาการไอเรื้อรัง และช่วยฟื้นฟูร่างกายในระยะพักฟื้น อีกทั้งช่วยบำรุงสุขภาพเด็กที่ร่างกายไม่แข็งแรง หนังสือ “สืออู้ยี่จี้” กล่าวถึงสรรรพคุณในรังนกไว้ว่า “ช่วยเสริมพลัง กระตุ้นความอยากอาหาร บำรุงไขกระดูก ให้ความชุ่มชื้นกับปอด รักษาอาการท้องเสียเรื้อรัง ละลายเสมหะ” (Ref: หมอชาวบ้าน ฉบับที่ 389: 12)



จุดเริ่มต้นของรังนกสามารถสืบย้อนไปได้หลายพันปีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง รังนกถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่า มีคำเรียกว่า ‘Guan Yan’ ที่แสดงถึงคุณค่าของรังนก ที่มักใช้มอบเป็นของขวัญให้กับเชื้อพระวงศ์ และข้าราชการระดับสูง นอกจากนี้แพทย์หลวงก็มักนำรังนกมาปรุงเป็นโอสถบำรุงกำลังถวายแด่องค์จักรพรรดิอีกด้วย ตามแพทย์แผนจีนจัดรังนกมีฤทธิ์ไม่ร้อน ค่อนไปทางเย็น มีฤทธิ์กลางๆ รสหวาน เข้าเส้นลมปราณ ปอด ม้าม ไต มีสรรพคุณทั้งบำรุงพลังและขับระบายความร้อน ค่อนไปทางบำรุงหยินทำให้ภายในไม่แห้ง เกิดความชุ่มชื้น บำรุงพลังไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากทางแพทย์แผนจีนใช้การวิเคราะห์ร่างกายของผู้รักษาเป็นสำคัญ เพื่อปรับสมดุลตามอาการที่แสดงออกของแต่ละคน จึงอาจมีการจัดยาและอาหารบำรุงต่างกันไปไม่เป็นสูตรตายตัว (Ref: หมอชาวบ้าน ฉบับที่ 389: 14)



รู้จักนกแอ่นกินรัง นกแอ่นกินรังอยู่ในกลุ่มนกแอ่นสวิฟต์เลต (Swiftlet) ซึ่งเป็นกลุ่มนกแอ่นที่ทำรังด้วยน้ำลายซึ่งนำรังมากินได้ มีอายุประมาณ 6 - 7 ปี เป็นนกขนาดเล็ก หลังสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ปีกและหางดำ หางเป็นแฉกเล็กน้อย ขาและเท้าเล็ก เล็บยาวและโค้งงอ นิ้วเท้าทั้งสี่เรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อใช้สำหรับเกาะเกี่ยวผนังถ้ำหรือขอบรัง นกแอ่นกินรังเป็นนกประจำถิ่นที่มีอยู่เฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบตั้งแต่ทางตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย เรื่อยมาทางอ่าวเบงกอล พม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไปจนถึงฟิลิปปินส์ เป็นนกที่อยู่รวมกันเป็นฝูง มักอาศัยอยู่ตามถ้ำหินปูนบนเกาะกลางทะเล โดยออกหากินตอนกลางวัน เมื่อบินออกจากถ้ำแล้วจะไม่เกาะที่ใดเลยตลอดทั้งวันจนกว่าจะกลับเข้าถ้ำในเวลากลางคืน



สัมปทานรังนก ประเทศไทยมีระบบสัมปทานรังนกมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งเป็นเครื่องมือในการควบคุมปริมาณการเก็บรังนก ซึ่งช่วยอนุรักษ์พันธุ์นกแอ่นกินรังให้อยู่รอดปลอดภัยตลอดมา ปัจจุบันรัฐบาลกำหนดให้เก็บรังนกได้ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง ผู้รับสัมปทานจะต้องจัดการเก็บรังให้สอดคล้องกับวงจรชีวิตของนก คือ เก็บรังก่อนที่นกจะวางไข่ โดยเก็บครั้งแรกในเดือนมีนาคม ครั้งที่สองในเดือนพฤษภาคม จากนั้นปล่อยให้นกทำรังและวางไข่ จนกระทั่งลูกนกฟักออกมาและเติบโตแล้ว จึงเข้าเก็บรังครั้งสุดท้ายในเดือนสิงหาคม และไม่เข้าไปในถ้ำอีกจนกว่าจะถึงฤดูกาลเก็บรังนกปีต่อไป



ประเภทของรังนก
1. รังแรก – รังนกที่เก็บในช่วงเดือนมีนาคมเป็นรังที่นกที่ทำครั้งแรกในปีนั้นๆ จึงเป็นรังที่สมบูรณ์ที่สุดคือ มีเส้นยาว ขาว สะอาด และมีขนาดใหญ่ ถือเป็นรังที่มีคุณภาพดีที่สุด


2. รังนกกลายเป็นหิน – เมื่อลูกนกเติบโตเต็มที่แล้วนกจะไม่ใช้รังอีก รังนกที่ถูกทิ้งไว้กับผนังถ้ำจะมีแร่ธาตุมาเกาะพอกพูนจนกลายเป็นหิน ทำให้นกเสียพื้นที่ทำรังในฤดูผสมพันธุ์ครั้งใหม่ การเก็บรังนกจึงถือเป็นการช่วยเปิดพื้นที่ให้นกได้ทำรังใหม่ได้สะดวกขึ้นตามวงจรชีวิตในธรรมชาติ


3. รังนกแดง – สีแดงของรังนกแดงไม่ได้เกิดจากเลือดนกปะปนออกมากับน้ำลายตามความเชื่อผิดๆของคนบางกลุ่ม แต่เกิดจากออกไซด์ของของธาตุเหล็กหรือแร่ธาตุอื่นๆ จากผนังถ้ำที่แทรกซึมเข้ามาผสมผสานกับเนื้อรังนก
 

4. รังนกเนื้อทอง – รังนกสีทองอร่าม เกิดขึ้นเฉพาะในถ้ำธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษ ท่ามกลางธรรมชาติที่บริสุทธิ์สะอาด ซึ่งพบเพียงบางถ้ำเท่านั้น จึงเป็นของหายากมีจำนวนจำกัด ถือเป็นรังนกที่มีคุณค่าสูงกว่ารังนกทั่วไป


5. รังนกบ้าน – ปัจจุบันมีการสร้างบ้านให้นกมาทำรังอยู่ในเมืองหรือชุมชนหลายแห่ง รังนกบ้านเหล่านี้จะมีเส้นเล็ก สั้น และคุณภาพหลายประการด้อยกว่ารังนกถ้ำ เนื่องจากไม่มีแร่ธาตุจากถ้ำ และนกที่ทำรังก็ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่จะเอื้ออำนวยให้ผลิตรังที่มีคุณภาพได้


6. รังนกปลอม – เนื่องจากรังนกมีราคาสูง จึงมีคนพยายามลอกเลียนแบบทำสินค้าให้มีรูปร่างคล้ายรังนก ซึ่งอาจทำจากวุ้นสาหร่าย เห็ดหูหนูขาว แป้ง ถั่ว ในปัจจุบันมีผู้ผลิตรังนกปลอมที่ทำจากยางคารายา (Karaya gum) ซึ่งได้จากไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายรังนกจนไม่อาจแยกออกได้ด้วยตาเปล่า แต่ไม่มีคุณค่าสารอาหารใดๆ และหากบริโภคมากอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย



ประโยชน์ของรังนก จากความเชื่อในอดีตของชาวจีนที่เชื่อว่ารังนกมีสรรพคุณเป็นยาบำรุง รักษาโรคระบบทางเดินหายใจ ช่วยบำรุงปอด ปัจจุบันได้มีการศึกษาถึงองค์ประกอบของรังนกแล้วพบว่ารังนก มีองค์ประกอบหลักคือไกลโคโปรตีน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ โดยช่วยเพิ่มการทำงานของเซลเม็ดเลือดขาว ที่ชื่อ Monocyte ซึ่งทำหน้าที่ช่วยปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ Kong Y.C. et al.(1986) คณะนักวิจัยจาก ประเทศญี่ปุ่น ได้พิสูจน์ และค้นพบกลไกการเสริมภูมิคุ้มกันของรังนก

 

โดยนักวิจัยได้เตรียมตัวอย่างรังนก โดยเลียนแบบกระบวนการผลิต และการย่อยอาหารของมนุษย์ ก่อนจะนำตัวอย่างที่ได้ไปทดสอบประสิทธิภาพ นักวิจัยพบว่ารังนกมีฤทธิ์ยับยั้งการติดเชื้อไวรัส โดยไกลโคโปรตีนที่มีในรังนกจะไปจับเชื้อไวรัส และยับยั้งการเกิด hemagglutination ที่จำเป็นในการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส จึงช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส โดยนักวิจัยได้ทดสอบประสิทธิผลดังกล่าว และพบว่ารังนก ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้หลายชนิด ทั้งไวรัสที่มีในคน เป็ด และหมู ท้ายสุดผู้วิจัยได้สรุปผลว่า รังนกเป็นอาหารที่ปลอดภัย และมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ Guo CT et al.(2006) ต่อเนื่องจากการศึกษาที่พบว่า สารสกัดจากรังนกมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจาก O- or N-glycoconjugates การศึกษาในระดับโมเลกุลพบว่า ไกลโคโปรตีนที่ผลิตจากต่อมน้ำลายของนกแอ่นกินรังนี้ มีโครงสร้างคือ N-glycosylation มี 2,3-N-acetylneuraminic acid เป็นส่วนประกอบหลัก เป็นตัวทำให้เกิดผลในการต้านไวรัสดังกล่าวได้ Hirokazu Yagi, et al.(2008)

 


นอกจากนี้รังนกยังประกอบด้วย Epidermal Growth Factor (EGF) ซึ่งมีองค์ประกอบเหมือนกับ EGF ที่มีอยู่ในคน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ชั้นนอกสุด และเยื่อบุต่างๆ Kong et al. (1987) นอกจากนี้มีการศึกษาพบว่า EGF ช่วยกระตุ้นให้เซลเม็ดเลือดขาว ชื่อ Leucocyte ที่ซึ่งทำหน้าที่ในการปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ Kong et al. (1989)
• Kong Y.C. et al. Potentiation of mitogenic response by extract of the swiftlets's (Collocalia) nest. Biochem Intern 1986;13:521-531


• Hirokazu Yagi, et al. The expression of sialylated high-antennary N-glycans in edible bird’s nest. Carbohydrate Research. 2008; 343: 1373–1377.
• Guo CT et al. Edible bird's nest extract inhibits influenza virus infection. Antiviral Res. 2006 ; 70(3):140-6.


• Kong Y.C. et al. Evidence that Epidermal Growth Factor is present in swiflet's (Collocalia) nest. Comp. Biochem. Physiol 1987;87B(2):221-226
• Kong Y.C., Tsao S.W., Song M.E. and Ng M.H. Potentiated of mitogenic response by extracts of the swiftlet's (Apus) nest collected from Huai-Ji. Acta Zoologica Sinica. 1989; 35: 429-35

ที่มารูปภาพ th.wikipedia.org/

 

 

เมื่อปีค.ศ.2006 ราคารังนกนางแอ่นที่รับประทานได้ชนิดสีขาวซึ่งผู้ผลิตฟาร์มรังนกนำออกขายในประเทศมาเลเซีย มีราคาประมาณกิโลกรัมละ4,300ถึง6,500 เหรียญริงกิต (~RM$) ขึ้นอยู่กับคุณภาพของรังนก

ปีค.ศ.2010

ราคาทองคำ (gold) 1,118,421 บาทต่อกิโลกรัม (1บาท=17,000บาท)

ราคารังนก 50,000-150,000 บาทต่อกิโลกรัม

นอกจากทองคำแล้วราคารังนกนางแอ่นสีขาวที่ยังไม่ผ่านกรรมวิธีก็ยังมีราคาแพงกว่าโลหะสำคัญๆอีกมากมายในโลกใบนี้

จำนวนตัวเลขฟาร์มรังนกนางแอ่นทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน

ในปัจจุบันที่ประเทศอินโดนีเซียมีฟาร์มนกนางแอ่นที่เปิดดำเนินการอยู่ประมาณ 150,000 แห่งที่ประเทศไทยปัจจุบันมีฟาร์มรังนกนางแอ่นที่เปิดดำเนินการอยู่ประมาณ 60,000ถึง70,00 แห่ง

ที่ประเทศมาเลเซียปัจจุบันมีฟาร์มนกนางแอ่นที่เปิดดำเนินการอยู่ประมาณ 25,000ถึง 35,000 แห่งหาดูได้จากบทความในเว็บที่มีฟาร์มรังนกแอ่นอยู่แล้วตามเมืองหลักๆ ในประเทศมาเลเซียแสดงไว้ที่

http://swallow-nest.com/article/2006/08/24/swiftlet-population-in-asia

ที่ประเทศเวียตนามปัจจุบันมีฟาร์มรังนกเปิดดำเนินการอยู่ประมาณ 3,000ถึง 5,000 แห่ง

 

 

 

 

 

สมุนไพรไทย...สู้ไข้หวัด

โดย กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา
โทร. 038-511189, 038-814337 ต่อ 114, 124

ตัวอย่างสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณในการป้องกันและบรรเทาอาการหวัด มีดังนี้ ( download แผ่นพับ คลิกที่นี่)

- กระเทียม (Allium Sativum)

กระเทียม1กระเทียม2


ส่วนที่ใช้ :หัวใต้ดิน มีสาร "อัลลิซิน" (allicin) ซึ่งมีกลิ่นฉุน ฆ่าเชื้อได้ ส่วนกระเทียมโทน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ดีกว่า "เพนนิซิลลิน" และ "เตตร้าซัยคลิน" ที่เป็นยา ยาปฏิชีวนะที่ใช้โดยทั่วไป นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของท้องเสีย แผลติดเชื้อ วัณโรค ไทฟอยด์ และกลากเกลื้อนได้ด้วย

- กะเพรา (Ocimum Sanctum)


กระเพรา

ส่วนที่ใช้ : ใบ และยอด ทั้งสดและแห้ง ใบแห้ง 1 กำมือ, 4 กรัม ผงแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ หรือ 2 ช้อนแกง ใบสด 25 กรัม ชงน้ำดื่ม รับประทานแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน แก้อาการท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียดและปวดท้อง แก้ไอและขับเหงื่อ ลดไข้ได้

- ขิง (Zingiber Officinale)


ขิง


ส่วนที่ใช้ : เหง้าแก่สด เมื่อเริ่มมีอาการหวัด ให้นำขิงแก่ 1 แง่ง ขนาด ประมาณ หัวแม่มือ บุบให้แตก ต้มกับน้ำ 1 แล้ว ใช้ไฟอ่อนๆต้มให้เดือด เสร็จแล้วตักขิงออก เติมน้ำสุกเพิ่มเล็กน้อย ดื่มขณะยังอุ่น 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น

- ฟ้าทะลายโจร (Andrographis Paniculata)


ฟ้าทะลายโจร


ส่วนที่ใช้ : ทั้งต้น ใบสด ใบแห้ง ใบจะเก็บมาใช้เมื่อต้นมีอายุได้ 3-5 เดือน เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมในการบรรเทาและรักษาอาการเจ็บคอ ซึ่งเคยมีการศึกษาระบุถึงประสิทธิผลในการบรรเทาอาการหวัด ต่อมทอนซิลอักเสบ มีคุณสมบัติแก้ไข้ และต้านการอักเสบ เนื่องจากมีสาร "แอนโดรกราโฟไลด์" (andrographolide) เป็นส่วนประกอบสำคัญ

- บอระเพ็ด (Tinospora crispa)

บอระเพ็ด
 

ส่วนที่ใช้ : ราก ต้น ใบ ดอก ผล และเถาสด นิยมใช้เถาแก่สด หรือต้นสด ครั้งละ 2 คืบครึ่ง (30-40 กรัม) ตำคั้นเอาน้ำดื่ม หรือต้มกับน้ำโดยใช้ น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการไข้ ตัวร้อน

- ตะไคร้ (Cymbopogon Citratus)
 

ตะไคร้
 

ส่วนที่ใช้ : ใช้ตะไคร้ 3-4 ต้น และน้ำ 1 ลิตร เริ่มจากต้มน้ำให้เดือด บุบตะไคร้ใส่ลงไป ปิดฝาหม้อ ต้มประมาณ 5 นาที แล้วยกลง จิบบ่อยๆ แก้ท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด แก้หวัด ปวดศีรษะ ไอ

- แคดอกขาว แคดอกแดง (Sesbania Grandiflora )
 

แค
 

ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ดอก ใบสด และยอดอ่อน โดยนำใบสดมาต้มกับน้ำรับประทานลดไข้ หรือใช้ยอดอ่อนจำนวนไม่จำกัด ลวกจิ้มกับน้ำพริก รับประทานแก้ปวดศีรษะ อาจใช้ดอกที่โตเต็มที่ล้างน้ำ ต้มกับหมูสับหรือทำแกงส้ม รับประทานติดต่อกัน 3-7 วัน จะช่วย ลดความร้อน ลดไข้ได้

- หนุมานประสานกาย (Schefflera Leucantha)
 

หนุมาณ

ส่วนที่ใช้ : ใบสด โดยใช้ใบสดเล็กๆ 9 ใบ ต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว รับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า-เย็น ช่วยรักษาอาการแพ้อากาศ ขับเสมหะ
 

- มะขามป้อม (Phyllanthus Emblica)
 

มะขามป้อม
 

ส่วนที่ใช้ : ผลโตเต็มที่ รับประทานเป็นผลไม้ ช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ นอกจากนี้ ถ้านำผลแห้งมาต้มดื่มน้ำ จะช่วยแก้ไข้ได้ด้วย

- กระเจี๊ยบแดง (Hibiscus Sabdariffa)
 

มะรุม
 

ส่วนที่ใช้ : ใบ ดอก โดยนำเอากลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ใช้เป็นยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอ

- มะรุม (Moringa Oleifera)
 

มะรุมทั้ง5
 

ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก นิยมใช้ฝักปรุงเป็นอาหารรับประทาน ช่วย ลดความร้อน ลดไข้ได้

- เพกา (Oroxylum Indicum)
 

เพกา
 

ส่วนที่ใช้ : ฝักอ่อน รับประทานเป็นผัก ช่วยในการขับลม บำรุงธาตุ เมล็ดแก่ใช้เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสมหะ เปลือกต้น มีรสฝาดเย็น และขมเล็กน้อย เป็นยากัดเสมหะ ช่วยขับเสมหะได้

- สะเดา (Azadirachta Indica)


สะเดา
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ใช้แก้ไข้ เจริญอาหาร รากใช้ แก้เสมหะ ขับเสมหะ เปลือกรากและก้านใบ ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้ไข้ เป็นยาขมเจริญอาหาร นิยมใช้ช่อดอก ลวกน้ำร้อน จิ้มน้ำปลาหวาน หรือน้ำพริก หรือใช้เปลือกสด ประมาณ 1 ฝ่ามือ ต้มน้ำ 2 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละ 1/2 ถ้วยแก้ว

 

- พลูคาว (Houttuynia Cordata)


พลุคาว๑ พลูคาว๒

 

สมุนไพรพลูคาวช่วยบำบัด อาการไอ จาม อักเสบ หอบหืด โรคหวัดเรื้อรัง สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสบางชนิด (Poliovirus, Coxsackievirus)โดยนำใบมาต้ม แล้วคั้นดื่มน้ำ

 

 

 

 

 ผู้ชายพายเรือแล้วเหตุใดผู้หญิงต้องยิงเรือ

 

ศุภกร เลิศอมรมีสุข

 

หลายๆ คนคงเคยได้ยินสำนวน “ผู้ชายพายเรือ” และ “ผู้หญิงยิงเรือ” ซึ่งในปัจจุบันหมายความว่า “ผู้ชายทั่วไป” และ “ผู้หญิงทั่วไป” ปัจจุบันนี้เราพูดสำนวนทั้งสองนี้แยกกันแต่ทราบหรือไม่ว่าในอดีตสองสำนวนนี้เป็นสำนวนเดียวกันคือ “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงยิงเรือ” หรือ “ผู้ชายรายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” หลายๆ คนคงมีความสงสัยเหมือนผู้เขียนว่าเหตุใดในเมื่อผู้ชายพายเรือแล้วผู้หญิงต้องมายิงเรือ

จากการเรียนวิชาสัมนาภาษาไทยปัจจุบันของผู้เขียนทำให้ผู้เขียนได้คำตอบของที่มาของสำนวนดังกล่าวโดยอาจารย์ของผู้เขียนได้ให้อ่านบทความเรื่อง “ผู้ชายพายเรือ-ผู้หญิงยิงเรือ” ซึ่งเขียนโดยอาจารย์มัณฑนา เกียรติพงษ์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งท่านได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับที่มาของสำนวนนี้ไว้อย่างน่าสนใจ จึงขอสรุปความของบทความดังกล่าวมาเผยแพร่ให้ทุกๆ คนได้อ่านไว้เป็นความรู้

สำนวนนี้พบครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์โดยปรากฏในวรรณคดีเรื่องต่างๆ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดังนี้

รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

“เหวายมนุษย์องอาจประหลาดเหลือ พาผู้หญิงริงเรือมาแต่ไหน

ทำฮึกฮักข่มเหงไม่เกรงใจ เข้าหักโค้นต้นไม้ในอุทยาน”

ไชยเชษฐ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

“เอออะไรไม่พอที่พอทาง มึงช่างชั่วชาติประหลาดเหลือ

ไม่รู้เท่าผู้หญิงริงเรือ ซานซมงมเชื่อนางเมียงาม”

พระอภัยมณี ของสุนทรภู่

“เห็นผู้หญิงริงเรือที่เนื้อเหลือง อย่ายักเยื้องเกี้ยวพานะหลานขวัญ

ล้วนนางในไม่ชั่วตัวสำคัญ จะเสียสันเสียเปล่าไม่เข้าการ”

กลอนเสภาขุนช้างขุนแผน

“ฝ่ายข้างพวกผู้หญิงริงเรือ บ่นว่าเบื่อรบพุ่งยุ่งหนักหนา

ให้เสียวไส้ไม่ดูได้เต็มตา เวทนาแต่เจ้าพลายชุมพล”

ฯลฯ

ผู้ชายพายเรืออยู่เต็มไป จะดูเล่นหรือไรไฉนนี่

ช่างกระไรรั้ววังดังไม่มี อีพวกนนี้น่าเฆี่ยนให้เจียนตาย”

จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่าในอดีตเราไม่พูดว่า “ผู้หญิงยิงเรือ” แต่เราพูด “ผู้หญิงริงเรือ” ดังนั้นจึงทำให้สรุปว่า สำนวนผู้หญิงยิงเรือนั้นไม่ได้หมายความถึงผู้หญิงคอยดักยิงเรือของผู้ชายเป็นแน่นอนแต่เป็นเรื่องของการเพี้ยนเสียงคำว่า “ริง” มาเป็น “ยิง” ในปัจจุบัน แล้วถ้าเป็นเรื่องของการเพี้ยนเสียงดังนี้แล้ว “ผู้หญิงริงเรือ” จะหมายความว่าอย่างไร

เรามีสำนวนไทยที่เกี่ยวกับ “เรือ” อยู่อีกสำนวนหนึ่งคือ “ลงเรือลำเดียวกัน” และสำนวนที่เกี่ยวกับการเดินทางทางเรือคือ “ล่มหัวจมท้าย” (โปรดสังเกตว่าสำนวนนี้ปัจจุบันเราก็เพี้ยนเป็น “ร่วมหัวจมท้าย” เสียแล้ว-ผู้เขียน) ซึ่งใช้เปรียบเทียบหรือสั่งสอนว่าเมื่อแต่งงานกันก็เปรียบเสมือน ลงเรือลำเดียวกันจะสุขหรือทุกข์ก็ร่วมกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งทำไม่ดีก็จพาอีกคนล่มจมตามไป เหมือนหัวเรือล่มไปแล้วท้ายเรือก็ต้องจมตามหัวเรือไปเป็นธรรมดา

ในเมื่อชายหญิงลงเรือลำเดียวกันแล้ว การจะพานาวาชีวิตไปถึงฝั่งใครเล่าเป็นผู้นำไปก็ต้องผู้ชายซึ่งในสังคมโบราณถือว่าเป็น “ช้างเท้าหน้า” จึงต้องทำหน้าที่ “พายเรือ” นำเรือชีวิตไปให้ตลอดรอดฝั่ง แล้วผู้หญิงล่ะจะทำหน้าที่อะไร หญิงไทยโบราณได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลสตรี เป็นแม่บ้านแม่เรือน มีหน้าที่ดูแลรักษาบ้านช่องให้ทุกคนในบ้านมีความสุข

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าผูหญิงมีหน้าที่ “ดูแล” บ้านเรือน มีคำศัพท์คำว่า “หลิง” ซึ่งแปลว่า ดู เล็ง (ยังไม่สามารถหาหลักฐาน ที่มาของคำว่า หลิง ที่แปลว่าดูได้ว่ามาจากภาษาใด- ผู้เขียน) จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่า “ผู้หญิงริงเรือ” มาจาก “ผู้หญิงหลิงเรือ” ซึ่งแปลว่าผู้หญิงดูเรือ นั่นเอง

ดังนั้นสำนวน “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” อาจารย์มัณฑนาจึงสรุปว่าเป็นการกำหนดหน้าที่ของสามีภรรยาซึ่งลงเรือลำเดียวกันว่าให้ฝ่ายชายเป็นผู้ออกแรงพายเรือ ซึ่งหมายถึงการทำมาหากินประกอบอาชีพ ส่วนฝ่ายหญิงก็มีหน้าที่เป็นผู้ดูแลเรือ หรือดูแลทุกข์สุขของครอบครัว

ความเห็นดังกล่าวของอาจารย์มัณฑนาข้างต้นก็ยังไม่เป็นข้อยุติถึงที่มาของสำนวน “ผู้ชายรายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” หรือ “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงยิงเรือ” แต่ที่สรุปได้ชัดเจนก็คือสำนวน “ผู้หญิงยิงเรือ” นั้นเพี้ยนมาจาก “ผู้หญิงริงเรือ” แน่นอน จึงทำให้คิดต่อไปได้ว่าถ้าเช่นนั้น ผู้ชายพายเรือจะเป็นสำนวนที่เพี้ยนมาจาก “ผู้ชายรายเรือ” ด้วยหรือไม่ เพราะสำนวนไทยมีลักษณะเป็นคำชุดคล้องจองกัน ถ้าเช่นนั้นก็เป็นที่น่าศึกษา ค้นคว้ากันต่อไปว่าแล้ว “ผู้ชายรายเรือ” นั้นแปลว่าอะไร ถ้าทราบความหมายของผู้ชายรายเรือก็น่าจะเป็นกุญแจไขไปสู่ที่มาและความหมายที่แท้จริงของ “ผู้หญิงริงเรือ” ได้

 

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องสำนวนไทยจึ่งขอยกตัวอย่างสำนวนที่ไม่ค่อยคุ้นหูในปัจจุบัน และสำนวนที่มักมีผู้ใช้หรือพูดกันผิดๆ ไว้ให้ได้สังเกตกัน โดยผู้เขียนนำข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากบทออกอากาศทางสถานีวิทยุการศึกษา และบทความที่อาจารย์ของผู้เขียนนำมาให้อ่านในชั้นเรียนซึ่งบางส่วนไม่ได้ระบุข้อมูลทางบรรณานุกรมไว้ ทำให้ไม่สามารถระบุการอ้างอิงในบรรณานุกรมได้ครบถ้วน

ได้แกงเทน้ำพริก หมายถึง ได้ใหม่ลืมเก่า

เงื้อง่าราคาแพง หมายถึง ทำอะไรไม่กล้าตัดสินใจลงไป ตีแต่วางท่าหรือทำ

ท่าว่าจะทำเท่านั้น

ไฟสุมขอน หมายถึง อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจ

ซื้อวัวหน้านา ซื้อผ้าหน้าหนาว,

ซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ หมายถึง ซื้อของไม่คำนึงถึงกาลเวลาย่อมได้ของ

แพง ทำอะไรไม่เหมาะสมกับ กาลเวลา

ย่อมได้รับความเดือดร้อน

เถรส่องบาตร หมายถึง คนที่ทำอะไรตามเขา ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว

กินแกลบกินรำ หมายถึง คนโง่ เช่น ฉันไม่ใช่พวกกินแกลบกินรำอย่ามาหลอกเสียให้ยาก ปัจจุบันสำนวนนี้ดูจะตัดสั้นลงเหลือแต่เพียง “กินแกลบ” และความหมายก็ผิดเพี้ยนไปกลายเป็น อดอยาก ไม่มีจะกินกิน ไปเสีย เช่น เพิ่งต้นเดือนเงินเดือนก็หมดแล้วคงต้องกินแกลบไปทั้งเดือน

กงเกวียนกำเกวียน มักพูดกันเป็น กงกำกงเกวียน บางคนเขียนเป็น กงกรรมกงเกวียน เสียด้วยซ้ำ สำนวนนี้แปลว่าทำกรรมเช่นใดย่อมได้รับผลกรรมนั้นตอบสนอง มีที่มาจากล้อของเกวียนที่ประกอบด้วย กง คือ วงล้อที่อยู่ด้านนอก และ กำ คือ ซี่ล้อ เมื่อกงหมุนไปที่ใด เปรียบกับคนที่ทำกรรมอะไรไว้ ซี่ล้อหรือกำซึ่งเปรียบกับผลกรรมหรือผลแห่งการกระทำก็จะหมุนตามกงหรือการกระทำนั้นไปเสมอ

ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม ที่แปลว่าค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำแล้วจะสำเร็จผล ปัจจุบันมักเหลือพร้าแค่เล่มเดียว เป็นช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม

สองแง่สองง่าม บางคนพูดเป็น สองแง่สามง่าม ซึ่งไม่ถูก ของเดิมมีแค่สองเท่านั้น

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คนสมัยนี้แลดูจะ ”โลภ” มากขึ้นยิงปืนนัดเดียวแต่หวังนกหลายตัว ขอให้จำไว้ว่าแต่เดิมยิงปืนนัดเดียวหวังได้นกเพียงหนึ่ง ถ้าโชคดีได้นกเพิ่มมาอีกตัวเป็นสองตัวก็นับว่าโชคดีแล้ว

ไก่เห็นนมไก่ งูเห็นตีนงู แปลว่าผู้ที่เป็นพวกเดียวกันย่อมมองเห็นเล่ห์เพทุบายหรือเข้าใจในการปฏิบัติของกันและกันได้ดี แต่ปัจจุบันเรามักพูดสำนวนนี้ ”ผิดเพี้ยน สลับกัน” เป็น “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” ความหมายก็เพี้ยนไปจากเดิมคือกลายเป็น ต่างฝ่ายต่างล่วงรู้ความรับของอีกฝ่ายไปเสีย

เพื่อยืนยันความถูกต้องของสำนวน “ไก่เห็นนมไก่ งูเห็นตีนงู” จึงขอยกโคลงโลกนิติ พระนิพน์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ความว่า

ตีนงูงูไซร้หาก เห็นกัน

นมไก่ไก่สำคัญ ไก่รู้

หมู่โจรต่อโจรหัน เห็นเล่ห์ กันนา

เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้ ต่างรู้เชิงกัน”

ขายผ้าเอาหน้ารอด แปลว่ายอมสละแม้ของที่จำเป็นเพื่อรักษาชื่อเสียงที่มีอยู่ คนปัจจุบันแค่ขายผ้าคงไม่หนำใจหรือคงไม่พอจะรักษาชื่อเสียงที่มีอยู่เลยต้องถึงกับ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” เลยทีเดียว มิหนำซ้ำความหมายก็ดูจะ “ผิดเพี้ยน” ไปคือหมายถึงทำสิ่งใดพอให้พ้นตัวไป

ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน หมายความว่า จะทำอะไรให้ใครต้องถามความพอใจของผู้ได้รับ เหมือนปลูกบ้านเรือนก็ต้องถามความพอใจของผู้อยู่อาศัย ผูกอู่ หรือผูกเปล ก็ต้องถามผู้นอนว่าพอใจหรือยัง คนในปัจจุบันคงไม่ค่อยได้นอนเปลแล้วจึงไม่ค่อยรู้จักกริยา ผูก มิหนำซ้ำยังไม่รู้ด้วยว่า อู่ แปลว่า เปล รู้จักก็แต่อู่รถ จึงหันไป “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจผู้นอน” กันเป็นแถว สงสัยคนปัจจุบันคงจะย้ายที่นอนไปนอนในอู่รถด้วย

ตื่นก่อนไก่, หัวไก่โห่ ปัจจุบันเรามักพูด ”ผิดเพี้ยน” โดยเอาสองสำนวนนี้มารวมกันเป็น “ตื่นแต่ไก่โห่”

ไม่แน่ไม่แช่แป้ง หมายถึงถ้าไม่มั่นใจย่อมไม่ลงมือกระทำ สำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการทำอาหารขนมโบราณซึ่งมีแป้ง กะทิ และน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก และการที่จะแปรรูปข้าวให้เป็นแป้งก็ต้องเอาข้าวสารมาแช่น้ำแล้วจึงนำมาโม่ให้เป็นแป้งสำหรับเป็นวัตถุดิบในการทำขนม หากแช่ข้าวสารแล้วไม่โม่ข้าวนั้นก็จะเสียไปไม่สามารถนำมาหุงได้เนื่องจากข้าวสารจะบานหมด ปัจจุบันเราก็มักพูดเพี้ยนไปเป็น “แน่เหมือนแช่แป้ง” ซึ่งไม่สื่อความหมายเอาเสียเลยว่าการแช่แป้งนี่แสดงความแน่นอนอย่างไร

จากตัวอย่างการใช้สำนวนผิดข้างต้นอาจจะเพราะความไม่รู้ และความไม่เข้าใจสังคมตลอดจนวัฒนธรรมโบราณ อีกทั้งสังคมปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมาก หลายๆ สิ่งก็เปลี่ยนไป เลือนหายไป คนปัจจุบันที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นสังคมวัฒนธรรมโบราณจึงดัดแปลงสำนวนที่มีมาซึ่งฟังแล้วไม่เห็นภาพ ไม่เข้าใจ ไปตามความรู้สึกส่วนตัว

เจตนาที่ยกเอาสำนวนต่างๆ เหล่านี้มากล่าวไม่ได้ต้องการ “จับผิด” หรือว่าไม่ควรจะคิดสำนวนใหม่ๆ ใช้ในภาษาไทย อันที่จริงการคิดสำนวนใหม่ใช้ในภาษาเป็นสิ่งที่ดีแสดงให้เห็นความงอกงามของภาษา แต่ในเมื่อเรามีสำนวนที่เป็นของเก่าใช้สื่อความกันมาก่อนอยู่แล้วก็ควรจะช่วยกันรักษาไว้เป็นมรดกทางภูมิปัญญา ไม่จะควรทำลายให้มรดกที่ได้รับสืบทอดนี้สูญหายไป

 

 

บรรณานุกรม

จิตรลดา สุวัตถิกุล และ วัลยา ช้างขวัญยืน. บทวิทยุออกอากาศรายการ “อยู่อย่างไทย” ครั้งที่ ๒ ทางสถานีวิทยุมหาวิทยาลัย ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์

เดชาดิศร, สมเด็จฯ กรมพระยา. โคลงโลกนิติ. พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๐๘

ปรีชา ช้างขวัญยืน. “สำนวนไทยใช้ผิดกันมากขึ้น”

มัณฑนา เกียรติพงษ์. บทวิทยุออกอากาศรายการ “มนุษย์” ทางสถานีวิทยุสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ราชบัณฑิตยสถาน. ภาษิต คำพังเพย สำนวนไทย. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาย, ๒๕๕๑.

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ภาษาไทย ๔. นนทบุรี : มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๖

 

 

 

 
'เสี่ยอ่าง'ป้อง'เทพเทือก' แฉ'จูดี้'เซ็นเริ่มสัญญา! ทั้งสตช.ขยายเวลา3หน งง..ไม่สอบ'พี่อ้อ-บิ๊กอู๋'




 

 


 

 


 

chuvit1.jpg

"เสี่ยอ่าง" โดดป้อง "เทพเทือก" แฉคนเซ็นเริ่มต้นสัญญาสร้างโรงพัก-แฟลตตร.คือ "พงศพัศ" ในยุคเป็นผู้ช่วยผบ.ตร. ข้องใจ "ดีเอสไอ" ไม่เรียก "พี่ชายอ้อ-บิ๊กอู๋" ไปสอบด้วย เพราะมีการแอบขยายเวลาให้ผู้รับเหมาถึง 3 หน ทำให้ไม่ต้องเสียค่าปรับรวม 900 ล. ถามกลับเอื้อปย.ให้ใครหรือไม่

กรณีโครงการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ 396 แห่ง และอาคารที่พักอาศัย ที่กำลังเป็นปัญหา และรัฐบาลหยิบยกขึ้นมาโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เคยกำกับดูแลงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทำให้นายสุเทพ ต้องเปิดแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดในช่วงเช้าวันนี้ (7 ก.พ.) นั้น

ล่าสุดนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจ เปิดประเด็นในเรื่องนี้ แต่กลับถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองเพื่อทำร้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะหากจะอ้างว่า "สัญญาผิด" ต้องถามว่า "คนเริ่มต้นสัญญาเป็นใคร" เนื่องจากตนมีเอกสารร่างขอบเขตของงานโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) หรือ "ทีโออาร์" ซึ่งผู้ลงนามคือพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ในขณะดำรงตำแหน่ง "ผู้ช่วยผบ.ตร. (บร.11)" ซึ่งเป็นประธานกรรมการ ดังนั้นหากจะเปรียบกับการสร้างบ้าน ถ้าอ้างว่าผิดแบบ ก็ต้องดูว่าใครเป็นผู้ร่างแบบก่อสร้าง

"แต่ที่น่าแปลกคือกลับพาดพิงไปถึงอดีตผบ.ตร. 3 คน เพื่อเรียกไปสอบสวน แต่ไม่เรียกพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตผบ.ตร. และพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ไปชี้แจงด้วย ไม่ใช่เรียกแค่นายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์กับอดีตผบ.ตร.3 คนเท่านั้น จึงเห็นด้วยที่นายสุเทพจะดำเนินคดีกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพราะหากนายสุเทพกับนายอภิสิทธิ์ถูกหมากัด ก็ต้องดำเนินคดี"นายชูวิทย์กล่าวและว่า อยากเสนอให้ดีเอสไอ เรียกตนไปชี้แจงด้วย เพราะมีข้อมูลในเรื่องนี้ แต่ขอสรุปตรงนี้ว่า เรื่องนี้สุดท้ายจะไม่สามารถเอาผิดใครได้

นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศร่วม 2 ปี รวมเวลากว่า 600 วัน แต่กลับไม่บริหารให้เป็นไปตามสัญญา จนเกิดความเสียหายขึ้น ทั้งที่มีรายงานจากผู้กำกับโรงพักทั่วประเทศรายงานตามลำดับขั้น จนถึงผบ.ตร.ทุกเดือน เพื่อแจ้งให้ทราบถึงปัญหาการทิ้งงาน แต่กลับไม่ดำเนินการใด ๆ ที่สำคัญเมื่อบอกว่า สัญญานี้ผิด แต่ก็หน้าแตกที่พล.ต.ท.สุพร พันธุ์เสือ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง ทำหน้าที่แทนผบ.ตร. กลับลงนามขยายเวลาการก่อสร้างในสัญญาถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 60 วัน โดยครั้งล่าสุดเพิ่งมีการอนุมัตให้ขยายเวลาเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่พล.ต.อ.อดุลย์ เป็นผบ.ตร.แล้ว

"จึงต้องถามว่าเหตุใดจึงมีการขยายเวลาการก่อสร้างให้ ทั้งที่เห็นแล้วว่ามีปัญหาเรื่องการก่อสร้าง ว่าไม่สามารถทำให้แล้วเสร็จได้ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทที่รับงานหรือไม่ เพราะตามสัญญาระบุว่า เมื่อหมดสิ้นสัญญาให้ปรับวันละ 5.8 ล้านบาท ดังนั้นการต่อสัญญาแต่ละครั้ง ก็เท่ากับประหยัดได้ 300 กว่าล้าน รวมขยายเวลาสามครั้งประหยัดไปกว่า 900 ล้านบาท จึงต้องถามว่ามีผลประโยชน์อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ เรื่องนี้หากสื่อไม่ทำให้กระจ่าง สังคมไทยก็จะมีการว่าจ้างและทิ้งงานผลาญงบประมาณชาติตามมาอีกจำนวนมาก"นายชูวิทย์กล่าวทิ้งท้าย
 

 

 

 

ต่อสัญญา เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับ

ขยายเวลามาถึงเลือกตั้งผู้ว่า อืม ๆ

 

 

guest

Post : 2013-02-04 22:16:41.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  โปงลางสะออนวงเเตก!!

 

 

        *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

                 อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ...

 

 

 

 

           

 

 

 

 

 

....เหอะปล่อยฉัน อยู่คนเดียว เพียงชั่วครู่

 

สัมผัสดู สิ่งที่ผ่าน นานเเค่ไหน?

 

สู้อุตสาห์ ถมทุ่มเท เปย์ทั้งใจ

 

เเต่สุดท้าย สะท้อนกลับ ยับสิ้นดี

 

 

 

 

....กาลเวลา ที่ผ่านพ้น ทนที่สุด

 

อยากจะหยุด พอเเล้ว เเผ่วเต็มที่

 

หลงคารม จนสิ้นศักดิ เพราะภักดี

 

สมเเล้วนี่ ตาบอดนัก "รัก"ไม่เป็น!!...

 

 

 

 

 

 

 

 

*********************

 

 
 

โปงลางสะออน วงแตก!! สาเหตุเพราะ..??

 

 

โปงลางสะออน วงแตก!! สาเหตุเพราะ..??

"โปงลางสะออน..วงแตก!" เป็นประเด็นที่หลายคนกำลังสงสัย..?? ถึงคราว 'อวสาน' ของกลุ่มวงดนตรีสุดคึกครื้น ที่ทำให้ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน อย่าง โปงลาง กลับมาเป็นที่สนใจแก่คนหมู่มากได้อย่างสนุกสนาน

โปงลางสะออน เป็นกลุ่มวงดนตรีที่เกิดจากการรวมตัวกันของอดีตนักเรียนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กรมศิลปากร ด้วยการมีใจรักในดนตรีพื้นบ้านภาคอีสาน เริ่มต้นจากการแสดงตามร้านอาหาร จนโด่งดังมีชื่อเสียง จากการชนะการประกวดบนเวที ดันดารา ของรายการ ตีสิบ ทางช่อง 3 ก่อนจะเซ็นสัญญากับค่ายอาร์สยาม

จุดเด่นของ โปงลางสะออน คงหนีไม่พ้น 3 นักร้องนักแสดงหลัก อี๊ด สมพงษ์, ลาล่า ขวัญนภา และ ลูลู่ ดวงฤดี หรือมักจะเรียกติดปากแพคคี่ 3 คน "อี๊ด-ลาล่า-ลูลู่ โปงลางสะออน" ที่แสดงโชว์ได้น่าประทับใจ สอดแทรกความบันเทิงให้แก่คนดูได้อย่างสมบูรณ์แบบ

โปงลางสะออน เริ่มต้นเข้าวงการมาราวๆ ปี 2547 ก็จะมีเป็นที่รู้จักในหมู่คนทุกกลุ่มในผลงานภาพยนตร์ต่างๆ ทั้ง รักจัง, โปงลางสะดิ้ง หรือ สามย่าน จนกระทั่ง โปงลางสะออน โด่งดัง มีทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศและต่างประเทศ สร้างรายได้มหาศาล

ตลอดระยะเวลาเกือบ 9 ปี ที่ อี๊ด-ลาล่า-ลูลู่ และสมาชิกในวงอีกกว่า 20 คน ได้สร้างความสุขในแก่ผู้ชม แม้ความนิยมจะยังคงเส้นคงวา แต่ก็เกิดเหตุสะดุดอยู่หลายครั้ง...

โดยเฉพาะครั้งล่าสุดที่เริ่มต้นจากเสียงร้องเรียนของชาวบ้าน จ.พิจิตร ที่โวยหนักเพราะขึ้นแสดงโชว์สาย นักแสดงหลักไม่มา จ่ายค่าจ้างเต็มราคา จนเป็นเหตุทำให้ผู้บริหารใหญ่ของค่ายอาร์เอส เฮียฮ้อ สุรชัย ออกมายอมรับ 'โปงลางสะออน มีปัญหากันในวงจริง'

ส่วน 'สาเหตุที่แท้จริง' ยังไม่มีการระบุแน่ชัด... สมาชิกหลักทั้ง 3 คน แตกคอกันหรือเปล่า? สมาชิกที่เหลือในวงยกทีมแห่กันลาออกหรือไม่? หรือ มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายและคิวการแสดงของแต่ละคน? ทั้งหมดล้วนแล้วแต่...ยังไม่มีคำตอบ

แต่ประเด็น "แตกคอกัน" ของ 3 สมาชิกหลัก อี๊ด-ลาล่า-ลูลู่ ถูกหยิบยกมาเป็นสาเหตุหลัก เนื่องจาก ลาล่า-ลูลู่ นั้น ค่อนข้างลอยตัวกับวงการบันเทิง ทางค่ายอาร์เอสยังคงป้อนงานพิธีกร เดินสายโชว์ตัว หรืองานละคร ให้ทั้งคู่อย่างสม่ำเสมอ ผิดกับ หัวหน้าวงอย่าง อี๊ด โปงลาง ที่แทบจะหายไปจากหน้าสื่อ

ข้อมูลจากแหล่งข่าววงใน ยิ่งตอกย้ำประเด็น "แตกคอกัน" เข้าไปอีก อี๊ด โปงลาง ซึ่งกำลังประสบกับปัญหาชีวิต หลังเลิกราแฟนสาวที่คบหากันถึง 10 ปี เมื่อกลางปีก่อน โดยกระแสระบุว่า เลิกราครั้งนี้...จบไม่สวยสักเท่าไหร่

อีกทั้ง ลาล่า-ลูลู่ ก็ไม่ค่อยชอบใจนักกับพฤติกรรมของ อี๊ด โปงลาง หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ให้ความร่วมมือกับวง ไม่ขึ้นแสดงโชว์ด้วยบ่อยครั้ง จนกลายเป็นเหตุบาดหมาง ถึงจะเดินสายด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์ความสนิทสนมนั้นไม่เหมือนเดิม...

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า "สาเหตุที่แท้จริง" ของกรณีนี้จะเป็นเช่นไร ชะตากรรมของ โปงลางสะออน วงดนตรีที่เคยสร้างรอยยิ้มและเผยแพร่วัฒนธรรมไทยที่ดีมาตลอด 8 ปีเศษนั้นจะเป็นยังไง ใครคือปัญหาที่แท้จริง? คงต้องติดตามบทสรุปจากปากของหัวหน้าวง และ 2 สาวสมาชิกหลักของวงต่อไป.......

                       

 

 

                     ลาล่า ลูลู่ เปิดใจ

                เหตุโปงลางสะออนวงแตก

 

 

 
ลาล่า ลูลู่ เปิดใจเหตุโปงลางสะออนวงแตก

 

 

 

 

หลังจากมีข่าวออกมาเป็นระลอกว่า โปงลางสะออน วงแตก ประกอบกับสองสาวลาล่า ลูลู่ ไม่ได้ไปงานแสดงที่จังหวัดพิจิตร เหมือนเป็นการตอกย้ำว่าเป็นเรื่องจริง

 

ข่าวลือมักจะมีมูลเป็นความจริงเสมอ ล่าสุด ลาล่า และ ลูลู่ สาวทัดดอกไม้ใหญ่แห่ง "โปงลาง สะออน" ตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมกับเปิดเผยว่า ลาออกจากวงโปงลางแล้ว ทำเอาแฟนคลับช็อกไปตาม ๆ กันเลย

 

"ก่อนอื่นต้องขอชี้แจงก่อนว่างานที่พิจิตรเราไม่ทราบงานมาก่อนว่าทางโปงลางได้รับงานอะไรไว้ เพราะเราทั้งคู่ลาออกจากวงตั้งแต่วันที่ 3 มกราคมแล้ว ก็เลยไม่ได้ไปด้วยกัน"

 

"ส่วนสาเหตุที่เราออกเนื่องมาจากความคิดและการทำงานของเราไม่ตรงกัน อีกอย่างคือเราอยากจะทำงานหลากหลายให้มากกว่านี้ ให้มีอะไรใหม่ ๆ บ้าง และเราสองคนอายุเยอะแล้วเลยมีความคิดที่จะทำอย่างอื่นบ้าง เช่น ทำงานพิธีกร งานละคร คือเราอยากตอบแทนแฟน ๆ ด้วยการทำงานใหม่ ๆ"

 

"ส่วนเรื่องเบี้ยวงานต้องบอกเลยว่าหนูสองคน ที่ผ่านมาพวกหนูไม่เคยเบี้ยวงานเลย แม้กระทั่งป่วยหรือคุณพ่อเสีย พวกหนูสองคนยังไปทำงานตลอดและเต็มที่กับทุกงานเสมอ เพื่อแฟน ๆ เพื่อเสียงหัวเราะของทุกคน"

 

"ส่วนที่มีข่าวว่าพวกหนูกับพี่อี๊ดทะเลาะกัน หรือดังแล้วแยกวงนั้นคือเราไม่ได้ทะเลาะกันเลยค่ะ เรายังตกลงและคุยกันด้วยดี ซึ่งพี่อี๊ดเขาสนับสนุนให้ทำในสิ่งที่รักมาตลอดแม้กระทั่งวันสุดท้ายที่เราตัดสินใจลาออกจากวง และเราก็ไม่มีทางทำงานทับไลน์กันแน่นอนค่ะ"

 

"ถามว่าห่วงพี่อี๊ดไหมที่เราออกไปแล้ววงโปงลางสะออนจะทำยังไง จะดังเหมือนเดิมหรือเปล่า พวกหนูบอกได้เลยว่าพวกหนูยังห่วงทุก ๆ คนอยู่เสมอ แต่เรื่องดังหรือยังไงนั้นทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับอนาคต พวกหนูไม่สามารถบอกได้ว่ามันจะเป็นยังไง แต่พวกหนูบอกได้เลยว่าวงโปงลางยังไม่แตกค่ะ แค่ ลาล่า กับ ลูลู่ ออกมาเท่านั้นเอง"

 

"ส่วนเรื่องสัญญาเราทั้งหมดยังอยู่อาร์เอส ทั้งลาล่า ลูลู่ และ โปงลางสะออน คือ โปงลางสะออน ตอนนี้มีสัญญาอยู่กับวงอีกประมาณปีกว่า ๆ ส่วนของเราสองคนเพิ่งจะต่อไป 5 ปีค่ะกับอาร์สยาม แต่สามารถจ้างเราคู่กันสองวงได้ค่ะ ทั้งโปงลาง ทั้งลาล่าลูลู่อาร์สยาม

 

แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าสาเหตุที่ออกมาจากวงนั้นเป็นเพราะเรื่องการแบ่งค่าตัวเวลาต่างฝ่ายต่างแยกรับงานรึเปล่า ทั้งสองสาวได้ให้คำตอบเพียงแค่ว่าขอไม่พูดในส่วนรายละเอียดอื่น ๆ

 

 

 

***************************************************

 

 

 

เหลิมเด็กเลี้ยงแกะ.jpg

 

เฉลิมงดจ้อ7วันหากจูดี้ชวดผู้ว่าฯกทม.

04 กุมภาพันธ์ 2556

 

เฉลิมมั่นใจพงศพัศชนะเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.แน่ ปลื้อภาพดี คล่อง หากฟันธงผิดจะหยุดสัมภาษณ์7วัน

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มั่นใจ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.จากพรรคเพื่อไทยจะชนะเพราะเก่ง และหาเสียงวันละ 7 - 8 แห่ง ส่วนม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครว่าฯกทม.จากพรรคประชาธิปัตย์หาเสียงวันละ 2 - 3 แห่ง

อีกทั้งการแก้ไขปัญหายาเสพติด การแก้ไขปัญหาจราจร หากพล.ต.อ.พงศพัศ มาเป็นผู้ว่าฯกทม.จะทำงานกับตน เข้าใจและประสานงานกับรัฐบาลได้


ที่สำคัญที่สุดคือกทม.มีเงินส่วนตัวน้อย หากจะทำโครงการใหญ่ จะต้องประสานงานกับรัฐบาล ส่วนที่คนพยายามยัดเยียดว่าพล.ต.อ.พงศพัศ เป็นเสื้อแดงไม่ใช่ พล.ต.อ.พงศพัศ หลายสี

"ให้เขียนชื่อพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ว่าฯกทม.ใส่ซองไปเลย ถ้าฟันธงผิดจะหยุดให้สัมภาษณ์ 7 วัน พล.ต.อ.พงศพัศ ดูคล่อง ภาพดี ถามว่าคนเคยเลือกตน 1.7 แสนคนแล้วจะไปเลือกใคร ” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

 

 

 

  • ลูกสอบตกไม่เป็น รมต.! เฉลิม อ้างพูดเอามันตอนหาเสียง


     
  •  
  • เฉลิม กลืนน้ำลายลูกสอบตกไม่เป็น รมต. อ้างพูดเอามันตอนหาเสียง
     
     
     
    กลืนน้ำลาย! เฉลิม เผยลูกสอบตกไม่จะไม่รับตำแหน่งใด ๆ แต่เจ้าตัวอ้างแค่พูดเอามันตอนหาเสียง

    ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ทำให้ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกับจับมือ 5 พรรคร่วม รวมกันมีจำนวน ส.ส. 300 เสียง อย่างไรก็ตาม ในการแบ่งเก้าอี้ตำแหน่งรัฐมนตรี ยังไม่มีการเปิดเผย ว่าใครจะได้นั่งตำแหน่งอะไร แต่ในโผของคณะรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ 1 นั้น มีชื่อของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคเพื่อไทย ติดโผมาตลอด แถมเจ้าตัวบอกว่ายินดีรับตำแหน่งตามที่ได้รับมอบหมาย

    เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ทำให้มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม ได้ประกาศว่า ถ้านายวัน อยู่บำรุง ผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย (พท.) เขต 28 กรุงเทพฯ ลูกชายตนไม่ได้เป็น ส.ส. ตนก็จะไม่ขอรับตำแหน่งใด ๆ

    แต่หลังผลการเลือกตั้ง ปรากฎว่า นายวัน อยู่บำรุง แพ้เลือกตั้งให้กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพียง 1,136 คะแนนเท่านั้น ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ถึงกับไม่เชื่อเพราะเจ้าตัวมั่นใจว่าลูกชายต้องชนะ จึงไปร้องเรียนกับ กกต. ว่าการเลือกตั้งเขต28 กรุงเทพฯ มีการโกงเลือกตั้ง (ซะงั้น!)

    อย่างไรก็ตาม เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาและ นายวัน อยู่บำรุง แพ้เลือกตั้งแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม จะไม่รับตำแหน่ง รมต. ใช่หรือไม่? ล่าสุดเจ้าตัวออกมาเปิดเผยว่า กรณีที่ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าหากลูกชายสอบตกจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น เป็นเรื่องที่พูดตอนปราศรัยเพื่อมัดใจคนฟัง และรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ห้ามไว้ ซึ่งสิ่งที่พูดเป็นเทคนิคในการปราศรัยเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วไม่มีใครทำจริง เช่น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เคยบอกว่าจะไปขุดรูอยู่ สุดท้ายก็ไม่ได้ขุดอย่างที่พูด

    เอ้า! ต่อไปถ้านักการเมืองพูดตอนหาเสียง หมายความว่าประชาชนจะเชื่อถือไม่ได้หรือเปล่าหนอ?



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก

 

 

 

"ให้เขียนชื่อพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ว่าฯกทม.ใส่ซองไปเลย ถ้าฟันธงผิดจะหยุดให้สัมภาษณ์ 7 วัน พล.ต.อ.พงศพัศ ดูคล่อง ภาพดี ถามว่าคนเคยเลือกตน 1.7 แสนคนแล้วจะไปเลือกใคร ” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

 

"อภิรักษ์" เขาได้ 9.1 แสนเสียงเลยนะพี่ พี่ได้แค่เนี่ย....ไม่อาวหน่า.... :D :D :D :D

 

มันสำคัญกับประเทศไทยนักเหรอเนี่ย การที่ท่านจะเลิกจ้อ กับไม่เลิกจ้อ เนี่ย..........

 

guest

Post : 2013-02-01 21:08:50.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  อานามสยามยุทธ

 

                สงครามไทย-ญวณ (อานามสยามยุุทธ)

 

           

                                   Image

             

                                 เจ้าพระยาบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี)

 

ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ กล่าวได้ว่าไทยสิ้นสุดการสงครามกับพม่าลงเนื่องจากอังกฤษ
แผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปยึดครองพม่า แต่ไทยก็ต้องหันไปเผชิญปัญหาการสงครามกับลาว
กัมพูชา และเวียดนามโดยเริ่มตั้งแต่การปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์
ที่ฉวยโอกาสขณะที่ไทยเตรียมการระวังป้องกันพระนครจากการรุกรานของอังกฤษ

ใน พ.ศ.2369 กองทัพหน้าของเวียงจันท์จู่โจมเข้ามาถึงสระบุรี ส่วนทัพหลวงของเจ้าอนุวงศ์
เข้ายึดครองนครราชสีมา ส่วนทางด้านนครศรีธรรมราชรายงานว่าสามารถส่งทหาร
มาช่วยขัดตาทัพได้เพียงแค่ 2,000 คนเพราะมีกำลังเรืออังกฤษมาจอดอยู่ในน่านน้ำมลายู
จำนวน ห้าลำ ไม่ทราบว่าจะไปที่ใด กรุงรัตนโกสินทร์จึงมีศึกที่จะต้องระวังทางด้านใต้อีกทางหนึ่ง

กองทัพที่สอง สาม และสี่ ซึ่งเตรียมจะขึ้นไปทางปราจีนบุรี จำต้องถูกเรียกกลับ
ให้ลงไปรักษาปากแม่น้ำเจ้าพระยา การสงครามกับเวียงจันทน์ต้องใช้เวลาถึงสามปี
กว่าจะจับเจ้าอนุวงศ์ได้ และได้อาณาจักรลาวคืนมา

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ทศพร วงศรัตน์ (ราชบัณฑิต) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
เหตุการใน พระอภัยมณีคำกลอนของสุนทรภู่ที่ได้ประพันธ์ไว้นั้น ตรง กับเหตุการณ์จริง
ห้วงเวลาที่ เจ้าอนุวงศ์กบฏเวียงจันทน์ ถูกจับขังกรงส่งมาถึงกรุงเทพฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 15
มกราคม พ.ศ. 2371
หลังจากที่ได้รับการแช่งด่าทรมานหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์
ประมาณ 7 วัน 8 วัน ก็ตาย (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ร.3)
ในกรณีนี้วันพุธของสุนทรภู่เท่ากับได้เพิ่มความชัดเจนให้แก่ประวัติศาสตร์ไทย
พระอภัยมณีคำกลอน ตอนที่ 26 หน้าที่ 415 อุศเรนตายแล้วผีไปเข้านางวาลี ความว่า

"ชักชะงาก รากเลือด เป็นลิ่มลิ่ม
ถึงปัจฉิม ชีวาตม์ ก็ขาดสาย
เป็นวันพุธ อุศเรน ถึงเวรตาย
ปีศาจร้าย ร้องก้อง ท้องพระโรง"


ย้อนไปเมื่อครั้งรัชกาลที่ 2 เมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯยังเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร
และเจ้าพระยาบดินทรเดชา เป็นจมื่นเสมอใจราช วันหนึ่งมีการเสด็จพระราชดำเนินทางเรือ
วันนั้นเป็นฤดูหนาวหมอกลงจัด เรือของจมื่นเสมอใจราชผ่านมาพลัดหลง และเฉียดเรือพระที่นั่ง
ของกรมพระราชวังบวรฯ อันเป็นความผิดพระอัยการฐานตัดหน้าฉาน ต้องโทษจำขังอยู่ระยะหนึ่ง

กรมหมื่นเจษฎาฯ ทรงเห็นหน่วยก้านของ จมื่นเสมอใจราช ว่าเป็นคนเข้มแข็ง
จะเป็นหลักของบ้านเมืองต่อไปได้ จึงขอพระราชทานอภัยโทษ ไม่นานจมื่นเสมอใจราช
ได้เลื่อนเป็น พระยาเกษตรรักษา อยู่ในกรมนา พระยาเกษตรรักษา ออกไปทำนาหลวงอยู่พักหนึ่ง
ก็ถึงคราวเคราะห์ มีคนกล่าวโทษว่าล้อมรั้วทำค่ายคูประตูหอรบที่กองนา คล้ายจะส้องสุมกำลังพลเป็นกบฎ
จึงต้องพระราชอาญาจำคุกอยู่นาน จนสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
กรมหมื่นเจษฎาฯ ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงโปรดให้พ้นโทษเข้ารับราชการใหม่เป็นพระยาราชสุภาวดี

เจ้าพระยาบดินทรเดชา เวลานั้นได้เป็นที่พระยาราชสุภาวดีแล้ว แต่ยังไม่มีบ้านเรือนจะอยู่แน่นอน
คราวนี้ลงอยู่ในแพลอย ซึ่งว่าที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดของสมัยโน้น เพราะธรรมดาชาวบ้าน
ชาวช่อง แม้แต่ขุนนางบางท่านก็อยู่แพกันแทบทั้งนั้น ในภาพโบราณ จะเห็นแพจอดกันเป็นตับตามแม่น้ำลำคลอง

พระยาพิไชยวารี (เจ้าสัวโต) เป็นข้าหลวงเดิม ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เช่นเดียวกัน
จึงชักชวนให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) นำแพมาจอดปักหลักที่ท่าน้ำหน้าบ้าน
พระยาพิไชยวารี ผู้นี้ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ ได้เป็น เจ้าพระยานิกรบดินทร์ ต้นสกุล ‘กัลยาณมิตร’

เมื่อเกิดศึกเวียงจันทน์ พระยาราชสุภาวดีได้เป็นแม่ทัพสู้รบกับข้าศึกอย่างเข้มแข็งมาก
ในการประจันบานกันครั้งนั้น เจ้าราชวงศ์แม่ทัพลาวเอาหอกแทง ถูกท้องพระยาราชสุภาวดี
พระรายราชสุภาวดีชักมีดหมอที่เหน็บไว้แทงสวนไปถูกที่ขา ทนายของท่านเอาปืนยิง
ถูกเจ้าราชวงศ์บาดเจ็บเล็กน้อย คนของเจ้าราชวงศ์พานายของตนถอนตัวออกไป

พระยาราชสุภาวดีเอานิ้วแยงดูแผลว่าไม่ลึกนัก จึงเอารัดประคตพันรองเอวให้แน่น
แล้วเรียกให้คนเอาแคร่มาหามบัญชาการรบจนทหารลาวแตกพ่ายไป
ความสัมพันธ์ระหว่างพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3
กับเจ้าพระยาบดินทรเดชา จัดว่าลึกซึ้งนัก ร.3 ทรงเรียกเจ้าพระยาบดินทรฯว่า พี่สิงห์
บางครั้งเมื่อเข้าเฝ้าในที่รโหฐานทรงโยนหมอนอิงให้กับเจ้าพระยาบดินทรฯ ท้าวข้อศอก
เจ้าพระยาบดินทรฯ รับไว้แล้วก็วางไว้ข้างหน้าหาได้ใช้หมอนนั้นไม่

การกระทำเช่นที่ทรงทำนี้ ไพร่พล คนใดมีหรือจะไม่ตื้นตันด้วยความจงรัก
(จำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา, อำนาจอยู่หนใด ชีวประวัติเหมือนนวนิยาย
ของนักปกครอง 7 ท่าน.--พิมพ์ครั้งที่ 1.--กรุงเทพฯ : พัฒนา, 2533.หน้า139-140)

ตลอดเวลาแห่งช่วงสงครามนี้ ญวนได้ให้การสนับสนุนลาวอย่างเต็มที่ ไม่เพียงแต่ลาวเท่านั้น
ประเทศกัมพูชาซึ่งเคยขึ้นอยู่กับไทยมาหลายร้อยปี ญวนก็ได้เข้ามาแทรกแซง
โดยสนับสนุนราชบุตรีของเจ้าแผ่นดินกัมพูชาที่ทิวงคตให้เป็นกษัตริย์ และได้พยามทุกวิถีทาง
ที่จะกลืนกัมพูชาให้เป็นของ ญวน จากศึกครั้งนี้ป็นต้นเหตุนำไปสู่การสงครามกับกัมพูชาและเวียดนาม
และขยายต่อเป็นสงครามยืดเยื้อกับเวียดนาม ที่ใช้เวลายาวนานถึง 14 ปี (พ.ศ.2378 - 2392)


ใน พ.ศ.2376 เมืองไซง่อนก่อการจราจลโดยฝ่ายกบฏ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็น แม่ทัพบก
ยกกองทัพไปตีเขมรและหัวเมืองญวนลงไปถึงเมืองไซง่อนเพื่อช่วยฝ่ายกบฏ
และให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่ทัพเรือไปตีหัวเมืองเขมรและญวนตามชายฝั่งทะเล
โดยไปสมทบกับกองทัพบกที่เมืองไซง่อน ในส่วนของกองทัพเรือต้องยกกำลังไปหลายครั้ง
เช่นเดียวกับการรบทางบก

ในสงครามกับญวนครั้งนี้ เจ้าพระยาบดินทรฯ ได้สั่งให้ตัดศีรษะนายขำ บุตรคนที่ 18 ของท่าน
ในข้อหาขลาดกลัวต่ออริราชศัตรู อันเป็นการลงโทษอย่างรุนแรง เป็นมาตรการที่ให้ ไพร่พล
เกิดความยำเกรงต่อกฎข้อบังคับและคำสั่ง จนเป็นกำลังไปสู่ชัยชนะได้

ในพ.ศ.2384 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าฟ้า
กรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นแม่ทัพเรือยกกองทัพเรือ ไป ตีเมืองโจดก เรือรบไทยที่เดินทาง
ไปร่วมรบในครั้งนี้มี เรือกำปั่นพุทธอำนาจ เทพโกสินทร์ ราชฤทธิ์ วิทยาคม อุดมเดช เรือค่าย
เรือปักหลั่น และเรือมัจฉานุ ซึ่งใช้บรรทุกเสบียงอาหาร

อย่างไรก็ดีการรบทางเรือครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากทหารไทยไม่ชำนาญภูมิประเทศ
และเรือไทยมีสมรรถนะที่ด้อยกว่า เรือญวน (ดูรายละเอียดใน พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์, 2508)
ทั้งในเรื่องของขนาดและประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องต่อเรือรบใหม่เป็นเรือป้อมอย่างญวน

สามารถติดตั้งปืนใหญ่ได้หลายกระบอก ทั้งนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาพระคลัง
เป็นแม่กอง อำนวยการต่อเรือป้อมแบบญวนไว้ใช้ในราชการ 80 ลำ ในที่สุดการรบระหว่างญวนกับไทย
ที่ยืดเยื้อมาถึง 14 ปี ก็ต้องยุติลงโดยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยกเลิกการศึกครั้งนี้
และมีการเจรจาสงบศึกใน พ.ศ.2390 เพราะ ทรงพิจารณาเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรและกำลังคน
เปรียบเหมือนว่ายน้ำท่ามกลางมหาสมุทรไม่เห็นเกาะเห็นฝั่ง
(พันเอก หม่อมราชวงศ์ ศุภวัฒน์ เกษมศรี, 2531 : 291)

 

 

**************************************************************

 

 

 

                             จูดี้...ปล่อยของแล้ว...

 

 

 

 

 

 

39734.jpg

ภาพ : แนวหน้า

 

ในระหว่างการหาเสียง ที่ โรงเรียนสันติสุขวิทยา แยกวังหิน อยู่นั้น ขณะที่ พล.ต.อ.พงศพัศ กำลังก้มตัวเพื่อลงมาพูดคุยกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่กำลังนั่งอยู่นั้น ได้เกิดอุบัติเหตุเป้ากางเกงขาด แต่ในคราวแรก พล.ต.อ.พงศพัศ ยังคงทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งเมื่อลุกขึ้นยืน สื่อมวลชนได้สังเกตเห็นจึงเข้าไปสอบถาม พล.ต.อ.พงศพัศ จึงยอมรับว่าเป้ากางเกงขาด สร้างความครึกครื้นให้กับคณะผู้ติดตามทีมหาเสียง จากนั้น พล.ต.อ.พงศพัศ จึงได้นำกางเกงตัวดังกล่าว ไปให้ร้านที่อยู่ใกล้ๆ ซ่อมแซม

 

 

 

มาร์คพลาดอีกแล้ว.. โดนสวนหน้าหงาย..

 
มาร์คไล่บี้นโยบายรถเมล์ฟรีของพงศพัศไม่เลิก.. บอกเอาภาษีคนต่างจังหวัดมาใช้เพื่อให้เฉพาะคนกรุงเทพฯ..

โดนพงศพัศสวน คนต่างจังหวัดมาอยู่อาศัยในกรุงเทพฯก็ 50%แล้ว และคนต่างจังหวัดเข้ามากรุงเทพฯก็ได้มาใช้รถเมล์ฟรี..

เล่นตอบกันแบบนี้ มาร์คคงหน้าหงายล่ะครับ อุตส่าห์หาประเด็นนโยบายเขามาจิก มาโจมตี กลับโดนซะเองอีกแล้ว..

ถ้ามาร์คไม่อยากให้คนต่างจังหวัดเสียเปรียบ ก็ประกาศนโยบายไปเลยซิว่าจะ ไม่ทำอะไรกับกทม.แล้ว เพราะทุ่มอะไรลงไปก็จะเป็นการทำให้เฉพาะคนกรุงเทพฯ..
 
 
เขาไม่เล่นนโยบายครับ เขาเล่นวิธีดิสเครดิตรายวัน ไม่ใช้วิธีเพิ่มศักยภาพตนเอง แต่เน้นทำลายศักยภาพฝ่ายตรงข้าม ด้วยคำพูด ถ้าคนหาข้อมูลอ่านเพิ่มก็จะทำความเข้าใจได้ว่าสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์พูดมันก็แค่เรื่องใส่ร้าย แต่ถ้าคนไม่ค่อยติดตามข่าวสารหล่ะ มีคุณอภิสิทธิ์ออกมาพูดรายวัน อาจจะมีคนบางกลุ่มที่ไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มและเชื่อในสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์พูด นี่แหล่ะคือเป้าหมายครับ

การเมืองแบบที่สมัยก่อนเรียกว่าการสาดโคลน
 
 
 
 
 
เขาไม่เล่นนโยบายครับ เขาเล่นวิธีดิสเครดิตรายวัน ไม่ใช้วิธีเพิ่มศักยภาพตนเอง แต่เน้นทำลายศักยภาพฝ่ายตรงข้าม ด้วยคำพูด ถ้าคนหาข้อมูลอ่านเพิ่มก็จะทำความเข้าใจได้ว่าสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์พูดมันก็แค่เรื่องใส่ร้าย แต่ถ้าคนไม่ค่อยติดตามข่าวสารหล่ะ มีคุณอภิสิทธิ์ออกมาพูดรายวัน อาจจะมีคนบางกลุ่มที่ไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มและเชื่อในสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์พูด นี่แหล่ะคือเป้าหมายครับ

การเมืองแบบที่สมัยก่อนเรียกว่าการสาดโคลน
 
 
ถ้าคิดแบบนี้ อุโมงค์ยักษ์, สนามฟุตซอล, ไม่ได้เอาเงินคนต่างจังหวัดมาผลาญเหหรออออออออออ...
 
 
 

 

 

 

 

 

 

guest

Post : 2013-01-31 19:30:03.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ข้อห้ามเมื่อเติมน้ำมันในปั๊ม...

 

                *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

                    "ทางสายใหม่.."

 

 

 

       

 

 

 

....ฉันพบเเล้ว เเสงสว่าง ทางพ้นทุกข์

 

อิ่มเอมสุข ละมุลหอม พร้อมความหวาน

 

ชะล้างคราบ อาบเเผลใจ ไปเเสนนาน

 

ทางที่ผ่าน ขมขื่นนัก รักหลอกลวง

 

 

 

 

....ขอบใจนะ ที่ผลักไส จนได้พบ

 

ลี้เลี่ยงหลบ ละเลิกวาง อย่างสิ้นหวง

 

อโหสิ ใจที่ช้ำ ย่ำเสียกลวง

 

หมดทุกข์ห่วง เดินหน้าค้น พ้นนิพพาน....

 

 

 

 

********************************************** 

 

   

       5 ไม่ ... ที่ควรต้องจำ ในปั๊มน้ำมัน
 

 

(เครดิตจาก http://community.siamphone.com/viewtopic.php?t )

 

 

1. ไม่สูบบุหรี่
ก็รู้กันอยู่ว่า ไฟกับน้ำมันเจอกันได้ซะที่ไหน แล้วยังจะไปสูบบุหรี่ในปั๊มน้ำมันอีกเหรอ
เพราะในปั๊มน้ำมันมีไอน้ำมันลอยอยู่ในอากาศซึ่งเรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ถ้าโชคร้าย
ไอน้ำมันมาเจอกับไฟจากปลายบุหรี่เข้า คนสูบนั่นล่ะจะต้องถูกไฟไหม้ก่อนเป็นคนแรก

2. ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ
มีการวิจัยกันแล้วว่า คลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือก็ทำให้ติดไฟได้ ถ้าคลื่นมือถือ
ของคุณไปสัมผัสถูกไอน้ำมันเข้า

3. ไม่ก่อประกายไฟ
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดการระเบิดหรือไฟไหม้ขึ้น

4. ไม่ติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้
เวลาเติมน้ำมัน เจ้าของรถ ควรดับเครื่องให้เรียบร้อยก่อน อย่าขี้ร้อนติดเครื่องเพื่อ
นั่งตากแอร์ เพราะไม่ว่าจะเป็นประกายไฟจากหัวเทียนไฟฟ้าในระบบต่างๆ ของรถยนต์
รวมทั้งความร้อนจากท่อไอเสีย เมื่อไปกระทบกับไอน้ำมัน หรือหยดน้ำมัน อาจ
ทำให้ไฟไหม้ขึ้นได้

5. ไม่นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซด์ขณะเติมน้ำมัน
เป็นการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวคนขับเอง เพราะน้ำมันอาจจะหก หรือ
กระเด็นใส่ตัวคนขับทำให้ผิวหนังแสบร้อน และหากน้ำมันหก หรือกระเด็นใส่รถ
ที่กำลังร้อนอาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้

************** My Comment ********************

อ่านดู.. แม้ดูก็เหมือนมันไม่เกิดผลอะไรสักข้อ
โดยเฉพาะข้อห้ามใช้มือถือ เพราะคนมักจะถือปั๊มน้ำมันเป็น "สถานที่ใช้มือถือ" อยู่แล้ว

แต่.. ถ้ามันไม่ส่งผล เขาก็คงไม่ห้าม ไม่ย้ำกัน และบางที
ส่งผลครั้งเดียว ก็เป็นมหันตภัยมากเกินพอ ! ที่จะได้มาสำนึกตอนหลัง ถ้าจะทำอะไร
ใน 5 ข้อนี้ อย่างน้อย ก็พาตัวเองออกมาห่าง ๆ จากจุดเติมภายในปั๊มก่อน ก็ไม่น่าลำบากอะไร

ดู Clip วีดีโอ ทดสอบ ว่ามือถือ มีผลต่อ "การติดไฟ" อย่างไร ได้ด้านล่างนี้ครับ

 

 

 ที่เค้าห้ามโทรศัพท์ในปั๊มน้ำมันก็เพราะว่า...

เด็กปั๊มมันจะรำคาญเวลาถามว่า เติมเท่าไร ?
มันก็เอาแต่โทรคุยอยู่นั่น ปล่อยเด็กปั๊มยืนเซงประมาณ 1 - 2 นาที
เติมเสร็จก็ยังโทรอยู่ ควักเงินให้ก็ไม่ค่อยจะครบ บางทีลืมไปว่าจะเติมเท่าไร
เถียงกับเด็กปั๊มอยู่นานสองนาน -*-

เด็กปั๊มเลยติดสติ๊กเกอร์ไว้ แล้วขู่เรื่องระเบิด Very Happy

 

 

                                    

 

 

เมื่อปี 2004 ในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในอเมริกา มีชายคนหนึ่งรับมือถือขณะเติมน้ำมันอยู่ ทันใดนั้นก็มีไฟลุกขึ้นมาตรงหัวจ่ายน้ำมันไฟติดน้ำมันเบนซินนั่นเอง

ซึ่งได้มีการทดลองวัดคลื่นไฟฟ้าระหว่างโทรและไม่โทรดูเวลาปกติมือถือจะมีคลื่นไฟฟ้าต่ำมาก แต่ถ้ามีการสนทนาคลื่นไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อนเท่า หรือแค่กดปุ่มโทรออกคลื่นไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีคนใช้ใกล้ๆกัน พร้อมกันหลายๆเครื่อง ทำให้คลื่นไฟฟ้ายิ่งมีเพิ่มขึ้นยิ่งกระตุ้นให้น้ำมันติดไฟได้มาก และเชื่อหรือไม่แค่ไฟฟ้าสถิตที่อยู่รอบๆตัวเราก็สามารถทำให้นำมันติดไฟได้เช่นเดียวกันนะครับ

เอาเป็นว่าเท่าที่ผมฟังมา ผมขอแนะนำว่าอยู่ในปั๊มอย่าใช้มือถือเลยนะครับทั้งรับและโทรออก ถ้าจะใช้แนะนำให้ใช้ห่างๆตรงหัวจ่ายน้ำมันก็โอเคครับ ไฟฟ้าสถิตจะได้อยู่ห่างหน่อย เพื่อความปลอดภัยจ้า

 

 

 *************************************************

 

 

"อลงกรณ์"แฉทุจริตจัดชื้อผ้าห่มกันหนาวของ ปภ. ร้องให้เร่งสอบข้อเท็จจริง ..... ข่าวมติชนออนไลน์

 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
แถลงทุจริตการจัดซื้อผ้าห่มของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
ที่ยังจัดส่งไม่ครบตามจำนวน ไม่มีความโปร่งใสทั้งด้านราคาและจำนวน
ผ้าห่ม จึงขอให้มีการตรวจสอบ พร้อมจะลงในพื้นที่เพื่อหาข้อเท็จจริงใน
เรื่องนี้ เพราะมีการโกงเงินงบประมาณในการจัดซื้อครั้งนี้อย่างมโหฬาร ที่
ห้องแถลงข่าว รัฐสภา เมื่อวันที่ 31 มกราคม

 

 

 

 

 

ปีนั้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นผบ.ตร. ได้เสนอโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจจำนวน 396 หลัง ขึ้นไปเพื่อเบิกเงิน

และท่านที่ลงนามให้ความเห็นชอบจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากท่าน ที่ขณะนั้นปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีนั่นเอง และนี่คือสาเหตุว่าทำไม? พณะท่านนายกรัฐมนตรีคนนั้น จึงเลี่ยงและโยนเผือกร้อนนี้ออกไปจากตัว จนให้สัมภาษณืกับสื่อมวลชนว่า "นายกฯ ไม่ใช่เทวดา ที่จะต้องรู้ไปหมดทุกเรื่อง"งัย

และนี่ก็กลายเป็นประเด็นที่ทำให้พล.ต.อ.พัชรวาทต้องถูกเด้งไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ พร้อมๆกับนายกในสมัยนั้นได้เสนอชื่อพล.ต.อ.ปทีบ เป็นผบ.ตร.คนใหม่ แต่ถุกเบรคจาก กตช.หัวทิ่มกลับมา เพราะกตช.รู้ถึงข้อมูลสำคัญและเห้นว่าตำแหน่งผบ.ตร.นั้นควรเป็นของพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย

ท่านนายกคนนั้นเลยใช้วิธีให้พล.ต.อ.ปทีปอยู่รักษาการผบ.ตร.จนเกษียณอายุราชการในปี 2553
ซึ่งไม่มีใครเขาทำกันมาก่อน เช่นนี้แล้วสิ่งที่ท่านสำรอกออกมาในทำนองว่า "ผมไม่รู้เรื่องนั้น" มันตอแหลและตลบแตลงสิ้นดี

หลักฐานและพิรธมากมายจากการกระทำหารับประทานกับงบประมาณภาษีของประชาชนในครั้งนี้ เริ่มจาก....

การเสนอโครงการสร้างโรงพักนั้นให้แยกเป็น 12 สัญญา มีท่านรองลงนามรับรองในวันที่ 9 มิ.ย. 52 ต่อมา 8 พ.ย. 52 ท่านรองได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเดิม เปลี่ยนให้เป็นการรวบประมูลสัญญาเดียวในส่วนกลาง

 

19 ก.ค. 53 พล.ต.อ.ปทีป รักษาการผบ.ตร.ได้ไปชี้แจงกับคณะกก.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 54 เกี่ยวกับการรวบให้เหลือสัยยาเดียวในเรื่องการก่อสร้างโรงพัก อ้างว่าช่วยประหยัดงบประมาณ

สุดท้ายเมื่อแผนการดำเนินไปตามที่วางไว้ จึงเสนอต่อท่านรอง ในฐานะรักษาการให้ความเห้นชอบและอนุมัติให้จัดจ้าง บ.พีซีซีฯ เป็นผู้ก่อสร้างวงเงิน 5,848 ล้านบาท ณ วันที่ 11 ต.ค.2553

สัญญาดังกล่าวเริ่มต้นวันที่ 26 มี.ค. 54 สิ้นสุด 17 มิ.ย. 55 รวม 450 วัน แต่บ.พีซีซีฯได้ขอขยายสัญญา 3 ครั้งครั้งแรก 30 วัน ครั้งที่ 2 180 วันและครั้งสุดท้าย 60 วัน และจะครบกำหนดการก่อสร้างในวันที่ 14 มี.ค. 56 ที่จะถึงนี้ โดยในสัญญานั้นกำหนดให้จ่ายเงินล่วงหน้าแก่ผู้รับจ้าง ร้อยละ 15 ของราคาค่าจ้าง นั่นคือ 877.2 ล้านบาท พระเดชพระคุณเอ๋ย...วันนี้เราได้เห็นแต่เสา ไร้คนทำ ทิ้งงานไปอย่างหน้าด้านๆ เพราะอย่างไรเสีย เวลาอีกเดือนกว่าๆ ไม่มีทางสร้างเสร็จแน่นอน นอกเสียจากเทวดาที่สามารถเสกได้ทุกสิ่งที่ต้องการ

คน ที่ฮั้วและแอบกินเงินภาษีของประชาชนอย่างหน้าด้านๆ สุมหัวกับบริษัทที่อยู่ในอาณัติ ซึ่งบ.พีซีซีฯ นั้นเป็นของใครถ้าลองสาวลงไปให้ลึก ท่านจะร้องอ๋อ.....

 

วันนี้ท่านที่ถูกพาดพิงต่างๆมันยังสงบนิ่งอยู่ในรู ไม่ยอมออกมาโต้ตอบและให้สัมภาษณ์ใดๆซึ่งผิดปกติวิสัยตามสันดานของท่านเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง....ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้บ้างเลยเหรอ?..คุณอลงกรณ์..................

 

"

guest

Post : 2013-01-29 18:45:55.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  มหาตมะ คานธี

 

 

 

 

 

                 *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

 

 

                          "ศึกชิงผู้ว่า.."

 

 

 

              

 

 

 

 

 

....โอ๊ยไม่เอา เเม่จ๋า อย่าให้เห็น

 

พรรคพิเรนทร์ หาเสียง เหวี่ยงเเต่เเห

 

ด่าไปทั่ว ว่าเเต่เขา เราไม่เเคร์

 

โกหกเเท้ ดีเเต่พูด ขูดเลือดเรา

 

 

 

 

....ลงผู้ว่า เสนอหน้า ท้าตีด่อย

 

ไม่ยอมปล่อย นโยบาย คล้ายอื่นเขา

 

สมน้ำหน้า ผลโพลมา จะเเพ้เอา

 

ก็งี่เง่า ทำไม่เป็น เล่นเเต่เกมส์...

 

 

 

 

 

 

ตำนานมหาบุรุษ - มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi)


"มีกฎหมายที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ฉบับหนึ่ง ที่ปกครองทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกผู้ที่เกิดขึ้นและมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธกฎหมายหรือผู้ให้กฎหมายนั้น เพราะข้าพเจ้ารู้จักสิ่งเหล่านั้นน้อยมาก พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงปกครองจิตใจและเปลี่ยนแปลงมัน ผู้ที่ตระหนักถึงความมีอยู่จริงอันแท้จริงของพระองค์ จึงจะรับรู้กระบวนการเปลี่ยนแปลงในจิตใจ"

มหาตมะ คานธี

หากแต่มีชาติที่ต้องการความอดทน ขันติ แรงบันดาลใจอันศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญที่มีชีวิต นั้นคืออินเดีย ซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอังกฤษมานานหลายศตวรรษ ไม่น่าเชื่อที่ชายผู้เป็นนักบุญปรากฏขึ้น เขาจะนำคนหลายร้อยล้านคนซึ่งทุกข์ทรมานในอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่เป็นที่สองของโลก ออกจากอาณานิคมสู่สถานะที่มีเกียรติในสังคมโลก เขาทำมันโดยไม่มีตำแหน่งสำคัญในประเทศ และเขาถูกสังหารจากความทุ่มเทที่ยิ่งใหญ่นี้ เขาไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นอะไรเลย เขาไม่เคยลงสมัครเลย แต่เขาก็เป็นพลังหลักสำหรับผู้คนทั่วอินเดีย

โมฮันดาส เค. คานธี เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1869 เขาถือกำเนิดขึ้นในดินแดนอันลี้ลับและเก่าแก่ เขามองชีวิตของตนเป็นดั่งการแสวงความจริงอันสูงสุด เป็นการวิวัฒน์ที่ไม่หยุดยั้ง การแสวงหาวิธีคิดและการใช้ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนไป เขาเรียกอัตชีวประวัติของตัวเองว่า "เรื่องราวการทดลองสัจธรรมของข้าพเจ้า" การเดินทางอันยาวนานไปสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่านของตัวตนเขาเริ่มขึ้นในปี 1869 จากบ้านของชนชั้นกลางในเมืองท่าของอินเดียที่ชื่อ 'ปอเวนเดอร์'

ตั้งแต่เด็กนั้น...คานธีได้รับการปลูกฝังแบบอย่างของความเป็นคนที่มีวินัยและการอุทิศตนอย่างเคร่งครัด มารดาของเขาซึ่งเป็นผู้ที่เคร่งในศาสนามาก มักถือศีลอดอาหารเป็นเวลานานอยู่เนืองๆ ครั้งหนึ่งในฤดูฝน นางปฏิญาณตนว่าจะไม่กินอะไรเลยจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น

เขาและสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัวจะเฝ้ามองดูทางหน้าต่าง พวกเขาต้องการให้แม่กินอาหาร เพราะแม่กำลังอด แต่แม่ท่านบอกว่าไม่ต้องห่วง ท่านสบายดีทุกอย่าง ถ้าหากพระเป็นเจ้าไม่ต้องการให้ท่านกินในวันนี้ ท่านก็จะไม่กิน

เขาศรัทธาความเคร่งของแม่ แต่ยังไม่พร้อมจะทำตาม...

ความที่เป็นลูกคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 4 คน เขาจึงใช้ชีวิตวัยเด็กแบบเกเร อย่างเช่น ขโมยเศษเงินไปซื้อบุหรี่ แต่ด้วยความกลัวบิดา ซึ่งเป็นนักการเมืองผู้มีชื่อเสียงของท้องถิ่น เขาจึงรับสารภาพว่าตนเป็นผู้ขโมย แต่แทนที่บิดาจะลงโทษ ท่านกลับโอบกอดเขา ในฐานะที่กล้าพูดความจริง แล้วทั้งสองคนก็ร้องไห้ด้วยกัน

เขาบันทึกไว้ในชีวประวัติว่า น้ำตานั้นเป็นเหมือนที่สิ่งที่ชำระล้างความสกปรกของจิตใจออกไป ถ้าคุณสร้างวินัยแบบนี้โดยผ่านทางความรัก มันเท่ากับสร้างมนุษยธรรมขึ้นในจิตใจ และนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคานธี

เมื่อ...อายุได้ 13 ปี เพื่อทำตามประเพณีของชาวฮินดู คานธีจึงเข้าพิธีสมรสกับเด็กสาวอายุเท่ากันที่ชื่อ คาสตวา ในช่วงแรกเขาเป็นสามีขี้หึงและเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

เมื่ออายุ 16 ปี เขาเผชิญกับความขัดแย้งอันยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก ระหว่างหน้าที่กับความปรารถนา ในคืนหนึ่ง...ขณะพยาบาลบิดาที่ป่วยอยู่ เขาก็แอบหนีขึ้นไปหลับนอนกับภรรยา ตอนนั้นเองที่พ่อของเขาเสียชีวิตลง คนใช้มาแจ้งให้ท่านทราบว่าคุณพ่อเสียชีวิตแล้ว สำนึกแรกของเขาบอกว่า ตายแล้ว...เราทำอะไรลงไป... นับตั้งแต่นั้นมาคานธีมักจะพูดถึงเหตุการณ์นั้นตอนที่ท่านละทิ้งพ่อ เวลาที่ท่านไม่ทำหน้าที่ของท่านให้ดีอยู่เสมอ แล้วมันก็กลายเป็นสำนึกในเรื่องของหน้าที่และความรับผิดชอบของเขา

เมื่ออายุ 17 ปี คานธีทิ้งภรรยาและครอบครัวไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้าเรียนกฎหมายที่กรุงลอนดอน ด้วยความขลาดเขลาและไร้เดียงสา เขารู้สึกว่าความอึกทึกของเมืองใหญ่เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

เขาไม่รู้จักของทันสมัยอย่าง "ลิฟต์" เขาเดินเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นห้องในโรงแรม และทันใดนั้นห้องก็เลื่อนขึ้น เขาก็ตกใจว่าตัวเองลอยขึ้นไป...

ในช่วงเวลานั้น ความหวังสูงสุดของเขาก็คือ การได้เป็นสุภาพบุรุษอังกฤษ... เขาสวมหมวก Top Hat ถือไม้เท้าหัวเลี่ยมเงิน เรียนเต้นรำ สีไวโอลิน และเรียนภาษาฝรั่งเศส ทว่าความสามารถพิเศษใดๆ ก็ไม่อาจลบความอ่อนหัดและความประหม่าของเขาลงไปได้ แม้เมื่อได้ปริญญาทางกฎหมายแล้ว เขาก็ยังไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง ภายหลังเขาบันทึกไว้ว่า "ความรู้สึกไร้ความเชื่อมั่นและความหวาดกลัวของข้าพเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด"

เขากลับมาอินเดียรับว่าความคดีแรก และพบว่าเมื่ออยู่ในศาลเขาไม่สามารถเปิดปากพูดต่อหน้าผู้พิพากษาได้ เขากลัวและเศร้ากับเรื่องเช่นนี้มาก...

ด้วยความอาย...เขาจึงเริ่มมองหาทางหนี และทางออกที่มีก็คือการเสนอตำแหน่งงานจากแอฟริกาใต้

คานธีบอกไว้ว่า "ในดินแดนซึ่งพระเป็นเจ้าทรงคุ้มครองแห่งนั้นเอง ที่ข้าพเจ้าค้นพบพระเป็นเจ้าของตนเอง"

ไม่นานหลังมาถึงประเทศใหม่ เขาประสบเหตุการณ์ซึ่งสร้างความสะเทือนใจอย่างรุนแรง ความที่ไม่ทราบว่ามีการเลือกปฏิบัติต่อชาวอินเดียในแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เขาจึงจองที่นั่งชั้นหนึ่งบนรถไฟไปยัง 'เพลย์โทเนีย'

ผู้โดยสารผิวขาวเห็นคานธีเข้า ก็ไปต่อว่าพนักงาน และก็บอกให้ย้ายเขาไปนั่งชั้นสามถือแม้ว่าเขาจะถือตั๋วชั้นหนึ่งก็ตาม แต่คานธีไม่ยอม พอถึงสถานีแรกที่รถจอดเขาก็โดนผู้คุมโยนลงจากรถไฟ ความอับอายครั้งนั้นถือเป็นสิ่งที่จุดประกายให้เขาอยากเปลี่ยนแปลง เขาใช้เวลาทั้งคืนนั่งอยู่ที่ชานชาลา คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้ความยุติธรรม

คานธีพูดถึงคืนอันหนาวเหน็บนั้นให้ฟังในเวลาต่อมาว่า เป็นประสบการณ์ที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิต

เขาคิดจะกลับไปอินเดียแต่ปฏิเสธความคิดนั้นเพราะเห็นว่าเป็นการขี้ขลาด เขาคิดว่าจะยอมรับความไม่เท่าเทียมกันนั้นแต่ก็ขัดกับความรู้สึกของตนเอง เขาคิดว่าจะใช้กำลังเข้าต่อสู้ แต่ก็ต้องล้มเลิกเพราะไม่สมควร ทางเลือกเพียงอย่างเดียวที่เหลือก็คือ 'อยู่และต่อต้าน'

ในวันรุ่งขึ้น...เขาจับรถไปอีกขบวน สัปดาห์ต่อมาเขาจัดประชุมผู้อพยพชาวอินเดียขึ้น ด้วยวัย 24 ปี ความคิดอ่านของคานธีเติบโตเกินตัว เพื่อจะฝ่าฟันอุปสรรคซึ่งใหญ่ขึ้น

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีความหมาย เขาต้องอยู่ต่อไป ต้องต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวอินเดีย และในท้ายที่สุดเพื่อสิทธิของคนผิวดำทุกคน และนั้นคือจุดเริ่มต้นของมหาตมะ เมื่อคานธี เริ่มวิวัฒน์ตัวเองเป็นมหาตมะผู้ยิ่งใหญ่

****************************************************************

 

ที่แอฟริกาใต้ในช่วงทศวรรษที่ 1890 ชาวแอฟริกาและอินเดียต่างตกที่นั่งต้องทำตามอำเภอใจของเจ้านายผิวขาวเหมือนกัน ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายซึ่งไม่ยอมรับ สิทธิในการออกเสียง การเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือแม้แต่เดินบนถนนในยามกลางคืน ด้วยความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะแก้ไขสิ่งผิด ในช่วงแรกๆ คานธียังตามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของนักการเมือง

ในฐานะนักกฎหมาย เขาเชื่อว่าเราเปลี่ยนกฎหมายเราก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ได้ ดังนั้นจากปี 1893 - 1906 เขาทุ่มเททำงานในศาลระดับล่างเพื่อทำอะไรบางอย่าง แต่ปัญหาก็คืออังกฤษฉลาดกว่าเขามากในช่วงนั้น และทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนกฎหมายฉบับหนึ่ง ก็จะมีกฎหมายฉบับใหม่ออกมาแทนเพื่อให้ความไม่เท่าเทียมกันดำเนินต่อไปในลักษณะอื่นอีก

เมื่อต้องตกเป็นเหยื่อของชาวแอฟริกันผิวขาว คานธีจึงหาทางแก้โดยใช้การรวมพลังสามัคคี เขาเริ่มพัฒนาชุมชนของผู้คนจากต่างเชื้อชาติและต่างศาสนาขึ้น ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาค เขายืนยันจะให้ปฏิบัติต่อครอบครัว ซึ่งต่อมาจะรวมถึงบุตรชายทั้ง 4 ไม่ให้ต่างจากคนอื่นๆ

แม้เขาจะชิงชังการกดขี่ของอังกฤษ แต่จนถึงทศวรรษที่ 1906 คานธียังถือตนเป็นสมาชิกผู้ภักดีของจักรภพ ยังร้องเพลง God save the Queen (เพลงชาติของอังกฤษ) และสอนลูกๆ ให้ร้องด้วย อันที่จริงแล้วเขามีความจงรักภักดีมากถึงขนาดเข้าร่วมกับกองกำลังของอังกฤษในสงครามโบเออร์ เพื่อปราบปรามการลุกฮือของพวกซูลู ในปี 1906

ประสบการณ์ในสงครามซูลูนี่เอง ที่นำเขาเข้าไปใกล้กับความรุนแรงอย่างไร้มนุษยธรรม ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มตระหนักว่านี่ไม่ใช่สงครามระหว่างคนสองคนเสียแล้ว แต่มันคือการสังหารหมู่ คานธีถอยหลบขณะปืนของอังกฤษสังหารกองทัพซูลูซึ่งใช้หอกเป็นอาวุธ เขามองเห็นความรื่นเริงใจของทหารในการบุกเข้าฆ่า และเขาเก็บร่างของผู้บาดเจ็บที่นอนเกลื่อนกราดอยู่ด้วยความปวดร้าวใจ

เขาเริ่มคิดว่าชาวซูลูถูกชาวอังกฤษกดขี่ในลักษณะนี้ เขานึกถึงการกดขี่ในครอบครัวของตัวเอง โดยเฉพาะภรรยาของเขา ในเวลานั้นเขาเคยทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นสามีที่โหดร้าย หึงหวง และกดขี่ การได้เห็นกบฏชาวซูลู เป็นการจุดชนวนความคิดนี้ขึ้นมา ท่านจึงเข้าใจได้ว่าชาวอังกฤษกดขี่ชาวซูลูอย่างไร แล้วนำไปเปรียบเทียบกับตัวเอง คานธีบอกว่า "ข้าพเจ้ารู้สึกผิดกับพฤติกรรมกดขี่เยี่ยงนี้นัก ข้าพเจ้ารู้สึกผิดต่อชีวิตสมรสของตัวเอง ต่อความสัมพันธ์ของคาสตวา"

ประเพณีของชาวฮินดูถือว่าผู้ชายคือผู้กำหนดเรื่องที่เกี่ยวกับทางเพศ ดังเช่นที่คานธีได้ประพฤติลงไปด้วยความไร้เดียวสาแบบเด็กๆ เขาคิดว่ามีวิธีเดียวก็คือต้องบังคับความต้องการของตนจึงจะรับใช้เพื่อนมนุษย์ได้ดีที่สุด ด้วยวัย 37 ปี เขาปวารณาตนเพื่อถือเพศพรหมจรรย์ตลอดไป

ในปี 1906 คานธีก็เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่านทางความคิดทางการเมืองอันน่าตื่นตะลึง กฎหมายใหม่กำหนดให้ชาวอินเดียทุกคนจะต้องเข้ารับการจดทะเบียนและพิมพ์ลายนิ้วมือ ข้อบังคับนี้รวมถึงการให้หญิงชาวอินเดียต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าตำรวจผิวขาว เพื่อกรอกตำหนิรูปพรรณลงในทะเบียนด้วย

ด้วยความโกธรแค้น ชาวอินเดียสามพันคนมาพบกันในโยฮันเนสเบิรต์ เพื่อวางแผนการตอบโต้ ทันใดนั้นพ่อค้าชาวมุสลิมคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วชูกำปั้นพร้อมกับพูดว่า "ข้าแต่พระเป็นเจ้า เราจะยอมเข้าคุกก่อนที่จะยอมแพ้ให้กฎหมายฉบับนี้!!"

คานธีไม่เคยนึกถึงการเข้าคุกมาก่อน แต่ก็รู้โดยสัญชาตญาณว่านี่แหละ...คือวิถีทางที่ถูกต้องแล้ว เขาลุกขึ้นแล้วก็พูดว่า "เราจะสวดขอต่อพระเป็นเจ้าว่า เราจะเข้าคุก และเราจะในนั้นจนกว่ากฎหมายนี้จะถูกเพิกถอน และเราจะยอม"

คำพูดของเขาจุดประกายให้เกิดการต่อต้านครั้งยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ของมวลชนซึ่งไม่ได้กะเกณฑ์มาก่อน ผู้ประท้วงกระทำตามอย่างคานธี พวกเขาอดทนต่อการทุบตีของตำรวจ ยอมรับความเจ็บปวดอย่างกล้าหาญโดยไม่ตอบโต้

คานธีรับรู้เป็นครั้งแรกในชีวิตว่า เมื่อหัวใจของมนุษย์ปิดคุณก็ไม่อาจสัมผัสความคิดของเขาได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้เหตุผลกับคนเหล่านี้ จิตใจของเขาด้านชา ถ้าเหตุผลยังไม่พอ ความรุนแรงก็ไม่ดี แล้วคุณจะทำอย่างไร เขาค้นพบวิธีต่อต้านแบบอหิงสาเป็นครั้งแรกที่แอฟริกาใต้นี่เอง คุณยืนหยัดต่อต้านผู้กดขี่ บอกเขาว่าคุณจะไม่ยอมแพ้ แต่พร้อมกันนั้นคุณก็ให้ความมั่นใจว่าคุณจะไม่ทำร้ายเขา

คานธีใช้คำว่า "สัตยาคฤห" (Satyagraha) ซึ่งเป็นการสมาสคำในภาษาสันสกฤตที่แปลว่า "ความจริง" คำหนึ่ง และ "การตามหา" คำหนึ่ง เพื่ออธิบายแนวคิดในการปฏิวัติของเขา เป้าหมายของอหิงสาเก่าแก่เท่าๆ กับปรัชญาของมนุษย์ ความเข้าใจของคานธีก็คือ ต้องประยุกต์แนวคิดนั้นให้เข้ากับสถานการณ์ทางการเมืองที่ปฏิบัติได้จริง เขารู้สึกว่าการที่จะปฏิบัติตามลัทธิอหิงสาที่แท้จริงนั้น ในจิตใจต้องมีการพัฒนาสันติภาพ หรือมีเมล็ดพันธุ์แห่งการประนีประนอมให้เกิดขึ้นเสียก่อน เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ เราจะมีอหิงสาได้อย่างไรกัน

ในปี 1913 นายพลยาสมัสต์ ผู้บัญชาการทหารอังกฤษในแอฟริกาใต้ ได้ออกกฎหมายที่กำหนดว่าการแต่งงานของชาวฮินดูและมุสลิมถือเป็นโมฆะ ทำให้คานธีก้าวเข้าสู่การต่อต้านในวงกว้างยิ่งขึ้นโดยไม่ตั้งใจ

ตามประเพณีแล้วผู้หญิงอินเดียจะต้องอยู่แต่ในบ้าน แต่คานธีก็โจมตีธรรมเนียมนั้นว่าเป็นกดขี่รูปแบบหนึ่ง แล้วเรียกร้องให้ผู้หญิงมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมเคียงบ่าเคียงใหล่กัน ในการกล่าวปราศรัยอันจับใจครั้งหนึ่งคานธีสามารถปลดปล่อยสตรีนับล้านให้เป็นอิสระ และเป็นพลังเสริมอย่างใหม่ให้แก่มวลชนของเขาด้วย

กฎหมายสมรสใหม่นี้ก่อให้เกิดการประท้วงทั่วประเทศ คนงาน 50,000 คนไม่พอใจ แล้วพากันหยุดงาน ทำให้นายพลยาสมัสต์เกิดความลังเลใจ และยกเลิกกฎหมายนั้นไป คานธีได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพลังมวลชนสามารถเอาชนะการบีบบังคับได้

****************************************************************

 

ด้วยความกระตือรือร้นที่จะท้าทายอำนาจของอังกฤษในบ้านเกิดของตน ในปี 1915 ขณะอายุได้ 45 ปี เขากลับมายังอินเดียซึ่งเวลานั้นถูกกดอยู่ภายใต้แอกของลัทธิจักรวรรดินิยม เป็นเวลา 2 ศตวรรษที่อังกฤษได้ปล้นทรัพยากรธรรมชาติของอินเดียไปอย่างเป็นระบบ เมื่อถูกกวาดเอาวัตถุดิบไปหมด อุตสาหกรรมในประเทศจึงค่อยๆ ตายลง อินเดียเป็นปราการใหญ่ที่สุด มีประชากรมากที่สุด และสร้างผลกำไรที่ดีที่สุดในเครือจักรภพ อังกฤษฉุดอินเดียให้ตกต่ำลงจนถึงขีดที่ว่า อินเดียไม่สามารถผลิตแม้กระทั่งเข็มกลัดอันเล็กๆ ได้ มันเป็นสภาพที่ถูกตักตวงมาเป็นเวลานานนับปี

ก่อนปี 1915 ชาวอินเดียสามร้อยล้านคน ต้องก้มหัวให้ชาวอังกฤษจำนวนเพียงแสน ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ใดที่คนเพียงหยิบมือจะปกครองคนจำนวนมากถึงเพียงนี้ในดินแดนห่างไกลเช่นนี้ ด้วยความสิ้นหวังที่จะคืนสู่เสรีภาพ ชาวอินเดียในสภาพทาส จึงเป็นได้เพียงทหารและตำรวจ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับนายผิวขาวของตนเอง

คานธีชักชวนให้ประชาชนต่อต้าน โดยบอกแก่คนเหล่านั้นว่า "คนที่ประพฤติตัวเยี่ยงหนอน จึงสมควรถูกเหยียบย่ำ เราจะต้องเรียนรู้การต่อสู้กับตัวเอง เราเป็นทาสมานานจนต้องรู้จักลุกขึ้นสู้กับตัวเองเสียบ้าง จงกำจัดความคิดที่จะพึ่งพาผู้อื่นหรือใช้การติดสินบน แทนที่จะใช้ความกล้าหาญ เราจะไม่อาจต่อสู้กับรัฐบาลได้ถ้าเราไม่เรียนรู้การต่อสู้กับตัวเอง"

อีกครั้งหนึ่งที่รัฐบาลอังกฤษผลักไสประชาชนให้เข้าเป็นฝ่ายคานธี โดยการโหมกระพือความคิด

ในปี 1919 คานธีต่อต้านกฎหมายใหม่โดยปลุกระดมประท้วงขึ้นทั่วประเทศ ขณะที่เขาประสานงานกับกลุ่มผู้ประท้วงจากบอมเบย์ ซึ่งห่างขึ้นไปทางเหนือหลายร้อยไมล์ ชาวอินเดีย 2,000 คน ก็มารวมตัวกันในลานหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองอำมริสา พวกเขาไม่รู้ว่าสองวันก่อนหน้านั้น นายพลเรจินอลล์ ดายเออร์ ได้ออกกฎสั่งห้ามการชุมนุม โดยไม่มีการเตือนให้รู้ 'ดายเออร์' ส่งกำลังทหารอินเดีย 50 นายไปยังลานชุมนุม และสั่งให้ใช้ปืนไรเฟิลยิง !!

เป็นเวลานาน 10 นาทีที่ทหารกราดยิงผู้ชุมนุม.... มีคนตาย 379 คน และบาดเจ็บอีกมากกว่า 1,000 คน

เหตุผลเดียวที่เขาพวกหยุดยิงก็คือ กระสุนหมด... พวกเขาบอกว่าถ้ายังมีกระสุนอีก ก็จะยิงเข้าใส่ฝูงชนต่อไป ยิงประชาชนให้ตายเพื่อให้บทเรียนแก่ชาวอินเดียว่า ห้ามแข็งข้อต่ออังกฤษและจงยอมแพ้ซะเถิด....

'ดายเออร์' ออกกฎหมายอันน่าชิงชังรังเกียจขึ้น 1 ฉบับ ไล่หลังการสังหารหมู่ นั้นก็คือ 'คนอินเดียมีทางเลือก 2 ทาง ถ้าไม่ค้อมตัวลงคลานเยี่ยงหนอน ก็ต้องถูกโบยจนตาย'

ชาวอินเดียผู้คลั่งแค้นต้องการตอบโต้ ด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่า 4,000 ต่อ 1 ของพวกเรา อาจจะฆ่าคนผิวขาวได้หมดในช่วงเวลาไม่กี่วันเท่านั้น

****************************************************************

 

เหตุการณ์สังหารหมู่ที่อำมริสา ในปี 1919 สร้างความหวาดหวั่นว่าจะเกิดการนองเลือดขึ้น ระหว่างคนอังกฤษกับคนอินเดียซึ่งต้องการจะแก้แค้น แต่คานธีก้าวเข้ามาแล้วพูดว่า "ไม่…เราจะไม่ทำต่ออังกฤษ เหมือนเช่นที่นายพลดายเออร์ทำต่อเรา เราต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่า เราสามารถวางตัวพ้นจากความรู้สึกเกลียดชังเช่นนั้น พวกเขาไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นเพื่อน พวกเขาก็ต้องการปลดปล่อยมากเท่าๆ ที่พวกเราต้องการเหมือนกัน"

คานธีกล่าวหา "ควรยกย่องความกล้าหาญที่เงียบสงบของการตาย โดยการไม่ฆ่า"

ช่วงเวลาอีก 3 ปีต่อมา คานธีได้เปลี่ยนนักชาตินิยมอินเดียให้กลายเป็นพลังมวลชน เขาได้แปรความรู้สึกโกธรแค้นจากเหตุการณ์ที่อำมริสา ให้กลายเป็นความสามัคคีของชาวฮินดูและมุสลิม กรรมกร และพ่อค้า และเขาชนะใจประชาชนอินเดียด้วยการทำตัวเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าง่ายๆ แบบเดียวกัน อดมื้อกินมื้อ ละทิ้งความสะดวกสบาย เฉกเช่นเดียวกับผู้ยากจนที่สุด

เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพึ่งตนเอง คานธีชักชวนชาวอินเดียให้สวมเครื่องแต่งกายในแบบเรียบง่ายของอินเดีย และให้ทอผ้าขึ้นใช้เอง เสื้อผ้าที่ผลิตจากตะวันตกถูกนำมาเผารวมกันเป็นกองใหญ่

เขาว่า "เสื้อผ้าของต่างชาติบ่งบอกว่าเราเป็นทาสทางวัฒนธรรมของชาวตะวันตก เราไม่อาจปลดปล่อยตัวเองจากความเป็นทาส การเผาเสื้อผ้าของต่างชาติ จึงเป็นการฟอกจิตใจของพวกเรา"

คานธีใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมงทุกวันเพื่อปั่นด้ายเอง ผู้นำชาวอินเดียคนอื่นได้แต่ประหลาดใจกับความประพฤติเช่นนี้ของเขา ท่ามกลางสภาวะวิกฤตในชาติเยี่ยงนี้ แต่เขานั่งอยู่ที่เครื่องปั่นด้าย ทว่าคานธีมองทะลุถึงความสำคัญพื้นฐานนั้นว่าเป็นการเชื่อมโยงกับมวลชน วัตรปฏิบัติของเขาในฐานะผู้นำชาวอินเดีย ทำให้เขาผู้นำที่ไม่มีใครเคลือบแคลงเป็นเวลานานถึง 25 ปี

ในขณะที่มือข้างหนึ่งเปิดฉากการปฏิวัติ แต่อีกข้างหนึ่งก็ต้องปกป้องพวกพ้องไม่ให้พ่ายต่อความต้องการก่อเหตุนองเลือด หลายครั้งที่คานธียกเลิกการชุมนุม เมื่อเหตุการณ์ทำท่าจะบานปลายเป็นความรุนแรงของประชาชนในประเทศ ในฐานะผู้นำทางการเมืองคานธีได้แสดงให้เห็นว่าท่าทีอหิงสาสามารถใช้ให้เกิดผลทางการเมืองได้ แต่ละครั้งก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อใดที่ขวัญกำลังใจของคนกล้าแข็ง เขาก็จะไม่ทำให้สูญเสียไป และมันจะสูญเสียไปถ้าหากเกิดความรุนแรงขึ้นในหมู่มวลชาวอินเดีย

ทว่าหน้าที่ต่อส่วนรวมของเขา แลกมาด้วยราคาแพง บุตรชายทั้ง 4 ของคานธีมักรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งอยู่เสมอ และไม่พอใจที่พ่อหายไปอยู่ในคุกเป็นเวลานาน บุตรชายคนโตแสดงความเป็นปฏิปักษ์ในลักษณะที่ทำให้พ่อต้องปวดร้าวใจ โดยกลายเป็นคนติดเหล้าและขายตัว

ในมุมมองของคานธี เขาได้สูญเสียลูกชายไปแล้ว จนวาระสุดท้ายของชีวิต เขาได้พูดถึงลูกชายคนนี้ว่า "เขาไม่ใช่ลูกของข้าพเจ้าอีกต่อไป" ซึ่งมันเป็นคำที่รุนแรงมากสำหรับพ่อผู้ที่อุทิศตนด้วยวิธีอหิงสาต้องแลกมาด้วยราคาที่แพง ...แม้จะเสียใจเรื่องของบุตรชาย แต่เรื่องส่วนตัวก็ไม่อาจขัดขวางคานธีจากภารกิจการเรียกร้องเสรีภาพให้แก่ชาวอินเดียสามร้อยล้านคนได้

ในปี 1930 ขณะอายุได้ 62 ปี คานธีวางแผนการใหม่ที่จะต่อต้านการเก็บภาษีซึ่งไม่เป็นธรรม ภาษีที่อังกฤษเรียกเก็บจากเกลือ

การทำเกลือหรือการขายเกลือของชาวอินเดียถือว่าผิดกฎหมาย กิจการนี้สงวนไว้ให้สำหรับคนต่างชาติทำ เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่การประท้วงครั้งนี้ เขาวางแผนจะเดินเท้าเป็นระยะทาง 240 ไมล์ ไปยังทะเลอาหรับเพื่อไปทำเกลือที่นั้น พวกพ้องของเขาในสภาคองเกรซของอินเดีย ต่างอ้อนวอนให้เขาทบทวนแผนการครั้งนี้ใหม่ เกลี้ยกล่อมว่าแผนการนี้อาจจะล้มเหลว รัฐบาลอังกฤษมั่นใจว่าศัตรูเก่าของตนกำลังถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด

****************************************************************

 

วันที่ 12 มีนาคม 1930 คานธีพร้อมด้วยสาวกจำนวน 80 คน เริ่มต้นการเดินทางซึ่งกลายเป็นความสนใจของชาวโลก และเปลี่ยนแปลงวิถีทางแห่งประวัติศาสตร์

ขบวนของคานธีเดินได้เพียงวันละ 10 ไมล์ และเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้ามาร่วมด้วย และมีผู้สื่อข่าวต่างประเทศเข้ามาที่อินเดียเพื่อทำข่าวนี้เป็นคนแรก เมืองชายฝั่งที่ใกล้ที่สุดคือเมืองพาราณาสี ผ่านไป 24 วันเขาเดินทางผ่านหมู่บ้านนับพันๆ แห่ง ขบวนของเขากลายเป็นกลุ่มผู้ประท้วงขนาดใหญ่ และทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป ไม่เพียงแต่คนทั่วทั้งอินเดียจะเข้าร่วม แต่ทั้งโลกก็เอาใจช่วยเช่นกัน รายงานข่าวของอเมริกันส่วนใหญ่รายงานว่านี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ

เมื่อขบวนของคานธีถึงชายฝั่งมหาสมุทรในวันที่ 6 เมษายน มีชาวอินเดียหลายแสนคนเข้าร่วมกับเขา คานธีก้มลงหยิบเกลือขึ้นแล้วพูดว่า "ด้วยเกลือหยิบมือนี้ ข้าพเจ้าขอต่อต้านการบังคับของจักรวรรดิอังกฤษ ขอเราจงร่วมกันต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเรากันเถิด" และการตอบสนองเป็นไปราวกับประกายไฟ ทั่วทั้งประเทศไม่ว่าพ่อค้า ชาวนา แม่บ้าน ต่างพากันทำเกลือ และขายเกลือกันอย่างเปิดเผย

คนหลายพันถูกจองจำ รวมทั้งคานธีด้วย ตำราจทุบตีผู้ประท้วงอย่างโหดเหี้ยม สร้างความโกธรแค้นและความสามัคคีขึ้นในหมู่ชาวอินเดียมากยิ่งขึ้น คานธีรู้ดีว่าการใช้วิธีต่อต้านแบบอหิงสา จำเป็นต้องแสดงความกล้าหาญออกมาให้เห็น จึงจะดึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในตัวมนุษย์ออกมาได้ เขาสอนให้ชาวอินเดียรู้จักต่อต้านผู้กดขี่ และต่อสู้กับตัวเองด้วย

ภายใต้ความกดดันจากนานาชาติ ลอร์ดเออร์วิน ผู้สำเร็จราชการอังกฤษจึงยอมปล่อยตัวคานธี และเชิญเขามาเจรจา

คานธีตรงออกจากที่คุมขังไปยังจวนของผู้สำเร็จราชการ ซึ่งจะรองรับแขกผู้มีเกียรติเท่านั้น...

น้ำอุ่นถูกนำมารับรองคานธีตามคำขอ เขาวางแก้วลง แล้วก็ค่อยๆ หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากชายพก ผู้สำเร็จราชการถามว่าอะไร คานธีตอบว่า "ท่านที่เคารพอย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ นี่เป็นเกลือที่ผมแอบทำโดยผิดกฎหมาย" เขาเทเกลือนั้นลงในน้ำ... คน... แล้วก็ดื่ม

ในปีถัดมา คานธีเดินทางไปลอนดอนเพื่อร่วมประชุมเรื่องอนาคตของอินเดีย และเช่นเคย...เขาเดินทางในชั้นสาม และปฏิบัติภารกิจเช่นที่ทำประจำวัน

ที่ลอนดอน คานธีสร้างความสัมพันธ์กับประชาชนเป็นผลสำเร็จอย่างงดงาม เขาอาศัยอยู่กับคนยากจนในเขตอีสต์เอนส์ ได้รับความชื่นชมทุกหนทุกแห่งที่ไป เด็กๆ เดินตามเขาพร้อมกับร้องตะโกนว่า 'คานธีกางเกงของท่านไปไหนซะละ'

คานธีกล่าวว่า "ขอให้บอกแก่เด็กอื่นๆ ว่าข้าพเจ้ารักพวกท่านมากเท่ากับลุกของข้าพเจ้าเอง"

เมื่อได้รับเชิญไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ที่พระราชวัง คานธีถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่เข้าเฝ้ากษัตริย์ด้วยชุดโสร่ง เขาตอบว่าพระมหากษัตริย์ก็สวมชุดที่เหมาะกับเราทั้งสองเช่นเดียวกัน

เขากลับมาอินเดีย และแพร่ข่าวโดยผ่านทางการประชุมสวดประจำวัน - "ข้าพเจ้ากำลังขอร้องต่อบิดาแห่งชาติของเรา ให้ท่านมีเมตตา มีความรัก เห็นความจริงและงดใช้ความรุนแรง ขอจงประทานพรแก่พวกเรา เสรีภาพอันสมบูรณ์เท่านั้นคือสิ่งที่เราต้องการ"

คานธียอมรับว่า อัตตาคือจุดบกพร่อง และบางครั้งความชื่นชมบูชาของมวลชนก็ทำให้เขาคึกคะนอง อย่างไรก็ดีความวินัยอันเคร่งครัดทำให้เขาเอาชนะความรู้สึกนั้นได้ หลานชายของคานธีเคยเล่าว่า 'จำได้ว่าหลายครั้งที่ผมเดินทางไปกับท่าน ตามสถานีรถไฟทุกแห่ง ก็จะมีผู้คนเป็นพันๆ มาร้องตะโกน คานธีจงเจริญ คานธีจงเจริญ และจะร้องอยู่อย่างนั้นจนรถไฟแล่นผ่านไป ผลจากเสียงร้องพวกนั้นทำเอาท่านนอนไม่หลับเลย'

คานธีห้อมล้อมไปด้วยบริวารผู้จงรักภักดี ซึ่งพร้อมจะทำตามคำบัญชาของเขา ในช่วงเวลาที่คานธีถือเพศพรหมจรรย์ ในช่วงหลังๆ ก่อนจะเสียชีวิต คานธีได้ทดสอบความตั้งใจจริงของตนเอง ซึ่งทำให้ผู้ที่ชื่นชมต้องตกใจ นั้นก็คือนอนเปลือยกายกับเด็กสาวชาวฮินดู จุดประสงค์คือต้องท้าทายความมีวินัยของตนเอง และดังนั้นจึงยกระดับความมุ่งมั่นให้สูงยิ่งขึ้น

สำหรับชาวอินเดียแล้ว คานธีเกือบจะเป็นเหมือนรูปเคารพ แต่จักรวรรดิอังกฤษกลับถือว่าเขาคือศัตรู

ในเดือนสิงหาคม ปี 1942 คานธีเรียกร้องการประกาศอิสรภาพโดยทันที "นี่คือคำสวดเป็นคำสั้นๆ ที่ข้าพเจ้าจะมอบแก่ท่านอยู่หรือตาย เราจะปลดปล่อยอินเดียหรือมิฉนั้นก็ยอมตาย" และในคืนวันที่คานธีประกาศอิสรภาพนั้นเอง เขาและสมาชิกสภาคองเกรซทั้งหมดก็ถูกจับกุม ด้วยวัย 73 ปีและด้วยสุขภาพที่ทรุดโทรม เขาจะต้องนำการปฏิวัติในอีก 2 ปีข้างหน้าจากในคุก

ในปี 1944 ภรรยาของเขา คาสตวา คู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมา 62 ปี เสียชีวิตในอ้อมแขนของเขา คานธีเศร้าเสียใจอย่างหนัก
คานธียังคงยึดมั่นในหลักการของตนเอง และขอร้องให้คนอื่นทำแบบเดียวกัน แม้ในช่วงที่เจรจากับผู้สำเร็จราชการ ลอร์ดเมาท์ แบดเทริส์น คานธีก็ยังคงปฏิบัติสมาธิภาวนาเป็นประจำ สัปดาห์ละ 1 วัน

1 ปีให้หลัง อังกฤษซึ่งอ่อนแรงลง ยอมรับว่าตนไม่สามารถปกครองอินเดียอีกต่อไปได้ ทว่าอนาคตของชาติใหม่ปรากฏความขัดแย้งให้เห็นอยู่เบื้องหน้าแล้ว ชาวฮินดูและมุสลิม คู่แข่งอันยาวนาน หันมาเกลียดกันอย่างเปิดเผย ชาวมุสลิมส่วนน้อยยืนยันจะแยกตัวออกไป (กลายเป็นประเทศปากีสถานในปัจจุบัน) หลังจากอุทิศมาชั่วชีวิตเพื่อรวมประชาชนให้เป็นหนึ่งเดียว แต่คานธีกลับต้องเห็นบ้านเกิดอันเป็นที่รักถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจเขามาก

'ลอร์ดเมาท์ แบดเทริส์น' ได้ทิ้งยาพิษที่ขมขืนไว้สำหรับชาติอินเดียที่เป็นเอกราชและคานธี คือการแบ่งแยกอินเดียออกเป็น 2 ประเทศ ด้วยการก่อตั้งรัฐปากีสถาน ซึ่งคานธีไม่สามารถรับได้ มันทำร้านจิตวิญญาณของเขา

วันที่ 14 สิงหาคม 1947 อินเดียก็ฉลองอิสรภาพของตน แต่คานธีมองเห็นความแตกแยกระหว่างชาวฮินดูกับมุสลิม เขาถามเพื่อนของเขาว่า "เหตุใดคนเหล่านั้นจึงยินดี ข้าพเจ้ามองเห็นแต่เลือดนองแผ่นดิน"

การแบ่งแยกก่อให้เกิดการอพยพขนานใหญ่ในทันที ชาวฮินดูข้ามมายังอินเดีย ชาวมุสลิมหนีเข้าไปในปากีสถาน ผู้คนอพยพหลายแสนคนเดินเท้าอย่างหมดสิ้นหนทางโดยปราศจากอาหารและน้ำ ผู้คนของ 2 ศาสนาประสบหายนะจากความอดอยาก แบ่งแยกกันจากความเป็นปรปักษ์แต่โบราณ การต่อสู้นองเลือดก็เกิดขึ้น ฮินดูและมุสลิมระเบิดความเกลียดชังเป็นการสังหารหมู่ ทั้ง 2 ฝ่ายกระทำลงไปด้วยความกลัวและความโกรธ มีผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า 'ผมยืนอยู่ที่ชานชาลาตอนรถไฟเข้าเทียบ ไม่มีผู้คนเคลื่อนไหวบนขบวนรถ มีแต่เลือดหยดออกจากประตู พอประตูรถเปิดข้างในนั้นมันก็เหมือนกับร้านขายเนื้อ เว้นแต่ว่าเนื้อพวกนั้นมีเสื้อสวมอยู่'

ท้ายที่สุดผู้คนจำนวนครึ่งล้านคือผู้สูญเสีย ภาพการสังหารที่คานธีคาดคิดไว้ กรีดลึกลงไปในความรู้สึกผิด คานธีรู้สึกว่าตนไม่อาจเปลี่ยนประชาชนให้ใช้ความอหิงสาได้ ผู้ใกล้ชิดคานธีเล่าว่า 'ท่านเสียใจมาก ท่านบอกว่าท่านมองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่ความมืดมนอยู่ทุกหนแห่ง ผู้คนกระทำตัวเหมือนสัตว์ป่า ท่านบอกว่าแย่เสียยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก เพราะว่าสัตว์ป่าไม่ฆ่าพวกเดียวกันเอง ท่านบอกว่าข้าพเจ้าจะอดอาหารประท้วงจนกว่าการเข่นฆ่าจะหยุดลงไป จนกว่าฮินดูและมุสลิมจะเป็นพี่น้องกัน'

พวกหัวรุนแรงชาวฮินดูไม่พอใจวิธีการอหิงสาของคานธี และความต้องการที่จะให้ชาวฮินดูและมุสลิมอยู่ร่วมกัน

คานธีมีความอับอายต่อพรรคคองเกรซของเขาเอง เขาตำหนิมันและเพื่อนของเขา 'โยฮาราน เนรู' นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียเอกราช เขาล้มป่วยจากความวุ่นวายซึ่งกำลังทำลายอินเดีย

คานธีเริ่มอดอาหารประท้วง มีความโกรธแค้นมากในหมู่ผู้อพยพในตอนนั้น ผู้ที่เดินขบวนร้องว่า 'คานธีจงลงนรก ปล่อยให้คานธีตายไป ให้เขาตายไปไปลงนรกซะ' พอวันที่ 2 ก็เริ่มมีผู้คนที่คัดค้านฝ่ายแรก และวันที่ 3 ฝ่ายคัดค้านก็เริ่มใหญ่ขึ้น และกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านคานธีก็เล็กลง วันที่ 4 แนวโน้มก็ยังเป็นเช่นนั้นต่อไป จนในที่สุดทั่วทั้งถนนนั้นก็มีแต่ผู้เชียร์คานธี และ 1 สัปดาห์ผ่านไป พวกมุสลิมก็สามารถจะเดินออกไปในท้องถนนของกรุงเดลีย์ได้อย่างปลอดภัย การอดอาหารประท้วงของคานธีช่วยชาวนิวเดลีย์เอาไว้ แต่ที่พรมแดนอินเดีย-ปากีสถาน สงครามกลางเมืองยังคงร้อนระอุ

คานธีออกจาริกเพื่อสันติภาพข้ามดินแดนซึ่งแตกแยกเพราะความเกลียดชัง เขาเดินเท้าเปล่าจากหมู่บ้านหนึ่ง ไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง อดทนต่อฝูงชนผู้โกรธแค้น มีการขวางปาหนามเข้าใส่ทางเดิน คานธีจะตื่นขึ้นเวลาตีสี่ของทุกเช้าเพื่อต่อสู้กับคลื่นแห่งการนองเลือด

คงไม่มีชาวอินเดียคนใดจะไม่รู้สึกละอายและภาคภูมิใจ ละอายที่คานธีถูกเหยียบย้ำอย่างถึงที่สุดจากชาวอินเดียด้วยกัน และภูมิใจที่ว่าในท่ามกลางเขาเหล่านั้น ขณะช่วงเวลาแห่งความโหดร้ายทมิฬ คนๆ หนึ่งยืนหยัดขึ้นเพื่อทำให้พวกเขาภาคภูมิที่เกิดเป็นชาวอินเดีย คนซึ่งชดใช้หนี้ให้พวกเขาทำนองเดียวกับพระเยซูคริสต์ และตอนนั้นเองที่คานธีพูดว่า "ไม่มีอะไรอื่นนอกจากโหดร้ายรอบกายข้าพเจ้า ชีวิตข้าพเจ้าต้องพ่ายแพ้ มีแต่ความตายจึงจะทำให้สิ่งที่ชีวิตข้าพเจ้าไม่อาจทำสำเร็จบรรลุผลขึ้นได้"

เขาเดินทางต่อไปโดยไม่มีการคุ้มกัน เข้าไปในเขตที่สถานการณ์ล่อแหลมที่สุด แล้วก็กล่าวกับเพื่อนคนหนึ่งว่า "ข้าพเจ้าอาจจะตายโดยน้ำมือของผู้ลอบสังหาร และถ้าเป็นอย่างนั้นให้จำไว้ว่า ข้าพเจ้ายอมรับลูกกระสุนนั้นอย่างกล้าหาญ ด้วยพระนามของพระเป็นเจ้า และเมื่อนั้นข้าพเจ้าจึงจะเชื่อว่าตนคือ มหาตมะ อย่างแท้จริง"

การประชุมสวดมนต์กลายเป็นวิธีปลดปล่อยของเขาทุกวัน และตำรวจขอว่าให้เราค้นตัวผู้คน... แต่คานธีว่า ..ไม่ พระเจ้าจะปกป้องฉัน ไม่ต้องค้นตัวใคร ปล่อยเขาเข้ามา - "หากมีการนองเลือด ปล่อยให้เป็นเลือดของฉัน เพราะคนจะมีอยู่ชีวิตอย่างอิสระ หากพร้อมที่จะตายถ้าจำเป็นด้วยมือของพี่น้องของเขา"


ในที่สุดแผนลอบสังหารคานธีก็อุบัติขึ้น ด้วยความคาดไม่ถึง ตำรวจไม่บอกคานธีถึงการจับกุม และคำสารภาพของผู้ก่อการคนหนึ่งเรื่องความพยายามลอบสังหารเขาที่ล้มเหลวครั้งก่อน

วันที่ 30 มกราคม 1948 คานธีในวัย 78 ปี เดินเข้าไปในที่ประชุมสวดประจำวัน ในสวนเวอริฮาทร์ กรุงนิวเดลีย์ ท่ามกลางฝูงชนนั้นเอง ชายชาวฮินดูคนหนึ่ง 'นาฮูราน กอสซี่' วัย 36 ปี ก้าวออกมาก้มลงคารวะคานธี แล้วพูดว่า 'ท่านมาสายสำหรับการสวด' คานธีก็พูดว่า 'ใช่ฉันมาสายไป มาสายจริงๆ' แล้วกอสซี่ชักปืนเล็กๆ ออกจากเสื้อเชิ้ตของเขา แล้วยิงปืนใส่คานธี 3 นัด กระสุนเจาะทะลุท้องของมหาตมะ และอีกนัดหนึ่งที่หน้าอก เขาไม่แสดงถึงความประหลาดใจหรือความเจ็บปวด ขณะสุดท้ายก่อนความตายจะพรากเขาไป คานธีพนมมือในลักษณะสวดมนต์แล้วพึมพรำคำว่า "ราม" พระผู้เป็นเจ้าในภาษาอินเดีย

โลกของอินเดียเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเมื่อไม่มีมือที่เยือกเย็นของมหาตมะ คานธี ความประนีประนอมทางเชื้อชาติก็จางหายไป

'กอสซี่' และผู้สมคบคิด 9 คน ก็ถูกขึ้นศาล เขาเสนอถ้อยแถลงยาว 92 หน้า ซึ่งเขาเรียกคานธีว่าผู้ทรยศ พลังที่เลวร้าย ซึ่งจะทำให้มุสลิมขึ้นมาเป็นใหญ่ในอินเดีย 'กอสซี่' ถูกตัดสินว่ามีความผิด และถูกแขวนคอที่อัมบาราเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 1949 ผู้สมคบคิดคนที่สองก็ถูกแขวนคอ และคนอื่นๆ ถูกจำคุกตลอดชีวิต

อินเดียทั้งประเทศคร่ำครวญนาน 13 วัน ความเศร้าโศกและตื่นตระหนกจากการสังหารคานธี ดึงอินเดียให้หลุดออกจากความบ้าคลั่ง ความรุนแรงยุติลงเพียงชั่วข้ามคืน ผู้คนนับล้านต่างหลั่งไหลมายังกรุงเดลีย์ เพื่อให้ได้อยู่ใกล้เขา ตลอดทั้งคืนนั้นทุกคนต่างมาที่นี่ คลื่นมนุษย์พาหลั่งไหลติดตามร่างของชายร่างเล็กคนนี้ จนมาถึงลานเผาศพ ฝูงชนประมาณ 3-4 ล้านคนกั้นสะอื้นไม่อยู่

ทั้งหมดเพื่อให้เกียรติแก่ชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมีตำแหน่งสำคัญในอินเดีย ชายซึ่งไม่ร่ำรวยและมีทรัพย์สินทั้งหมดไม่ถึง 3 ดอลลาห์เมื่อเขาตาย ไอน์สไตน์กล่าวถึงคานธีว่า 'คนรุ่นอนาคตจะไม่มีทางเชื่อเลยว่า มีคนแบบนี้อยู่จริงบนโลกมนุษย์นี้'

มีคนกล่าวไว้ว่า 'ท่านคานธีเป็นอมตะ' คงเพราะมรดกแห่งมนุษยชาติอันยิ่งใหญ่ที่สุด คือการใช้ชีวิตแบบคานธี ชีวิตที่เกิดมาเพื่อความใฝ่ฝันเพียงอย่างเดียว... หลักการเดียว... นั้นคือ หลักอหิงสา

การต่อสู้โดยไม่ใช่ความรุนแรงได้ปลดปล่อยอินเดียให้เป็นอิสระ และนับจากนั้นอีก 50 ปีต่อมา อหิงสาได้เปลี่ยนโฉมหน้าของโลก ดังที่มาร์ติน ลูเธอร์คิงส์ ได้กล่าวไว้ว่า "พระเยซูเจ้ามอบคำสอนแก่ข้าพเจ้า คานธีมอบวิธีการ"

อังคารของคานธีได้รับการอันเชิญโดยรถไปชั้นสามขบวนพิเศษ ไปยังชายฝั่งมหาสมุทรเพื่อโปรยลงบนคลื่น ที่พำนักสำหรับวิญญาณซึ่งไม่เคยสูญเสียความศรัทธาต่อพระเป็นเจ้า หรือต่อมนุษย์เลย

"ท่ามกลางความตาย ชีวิตยังคงอุบัติขึ้น ท่านโปรยความเท็จ ความจริงก็ยังคงอุบัติขึ้น ท่ามกลางความมืด แสงสว่างยังคงอุบัติ ด้วยเหตุนั้นข้าพเจ้าถือว่าพระเป็นเจ้าคือชีวิต คือความจริง คือแสงสว่าง พระองค์คือความรักและความดีอันสูงสุด"

มหาตมะ คานธี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    

 

 

 

 

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ


๑. ความกำหนัด
๒. ประกอบสัตว์ไว้ในภพ
๓. ความสั่งสมกิเลส
๔. ความมักมาก
๕. ความไม่สันโดษ
๖. ความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
๗. ความเกียจคร้าน
๘. ความเลี้ยงยาก

ส่วนธรรมเหล่าใดที่มีลักษณะตรงข้ามจากนี้ พึงทราบเถิดว่า นั่นเป็นธรรมเป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕
มหาวรรค ภาค ๒


พระพุทธานุญาตมหาประเทศ ๔
[๙๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเกิดความรังเกียจในพระบัญญัติบางสิ่งบางอย่างว่า
สิ่งใดหนอ พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตไว้ สิ่งไรไม่ได้ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาค.
วัตถุเป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง ๔ ข้อ ดังต่อไปนี้:-

๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่
ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร
ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย
๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่
ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่ง
ที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ บรรทัดที่ ๒๕๗๒ - ๒๕๘๕. หน้าที่ ๑๐๔ - ๑๐๕.

 

(7) ภิกษุเว้นขาดจากการติรัจฉานกถา เช่นอย่างที่สมณะพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบติรัจฉานกถา เห็นปานนี้ คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้น ๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

 

 

 

guest

Post : 2013-01-28 22:27:33.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  อกหักต้องฟัง วิธีลืมเค้าได้ใน 7 วัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

        *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

                  " ใจสลาย......"

 

 

 

      

 

 

 

 

 

....พอเถอะนะ ไม่ต้องมา หาเเบบนั้น

 

อดีตวัน มันผ่านพ้น ทนอีกหรือ?

 

อึดอัดจัง เพื่อนต่างมา พากันลือ

 

เบื่อคนตื้อ รำคาญเเท้ เเย่จริงๆ

 

 

 

 

....ให้คงไว้ เป็นเเค่เพื่อน เตือนไว้หน่อย

 

ไม่ต้องคอย มาเว้าวอน อ้อนออดหญิง

 

เดี๋ยวผู้ใหญ่ จะว่าเอา เขาติติง

 

จบทุกสิ่ง ณ.ตรงนี้ ที่ผ่านมา....

 

 

 

 

 

 ***************************************************

 

 

   

               

 

 

เคยตั้งข้อสงสัยว่าไทยเป็นประเทศที่มีวันหยุดมากที่สุดในโลกหรือเปล่า?

ข้อมูลวันหยุดของบางประเทศอย่าง อเมริกา แม้แต่ละรัฐมีวันหยุดเฉพาะของตัวเองแตกต่างกันไปแต่วันหยุดที่ถือปฏิบัติทั้งประเทศก็มีอยู่ นับแล้วปีละ 10 วันโดยมีอีก 1 วันเป็นวันหยุดที่ 4 ปีมีครั้ง จำนวนนี้เป็นวันหยุดสำคัญมะกันชนเรียก big six ได้แก่วันขึ้นปีใหม่ วันรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในสงครามหรือเม็มมอเรียล เดย์ วันประกาศอิสรภาพหรือวันชาติ วันแรงงาน วันขอบคุณพระเจ้า และวันฉลองคริสต์มาส


ทางด้านยุโรป อังกฤษ นับเป็นประเทศที่มีวันหยุดน้อยสุดคือ 8 วัน


ทางโน้นเขาเรียกพับลิคฮอลิเดย์หรือแบงก์ฮอลิเดย์ เพราะถือว่าวันหยุดเหล่านั้นเป็นวันหยุดของธนาคารด้วย 8 วันที่ว่าก็มีวันขึ้นปีใหม่ วันกู๊ดฟรายเดย์ วันอีสเตอร์ วันเออร์ลีเมย์แบงก์โดยถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนพฤษภา วันสปริงแบงก์ วันซัมเมอร์แบงก์ วันคริสต์มาส และบ๊อกซิ่งเดย์


แถวเอเชีย ญี่ปุ่น มีวันหยุดประจำชาติหรือเนชันแนลฮอลิเดย์ค่อนข้างมาก เริ่มด้วยวันขึ้นปีใหม่ วันที่เด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่คือ 20 ปี วันกำเนิดชาติอันเป็นวันที่จักรพรรดิพระองค์แรกขึ้นครองราชย์ วันรัฐธรรมนูญ วันสีเขียวซึ่งคงประมาณวันรักต้นไม้ วันเด็ก วันแห่งท้องทะเล วันผู้สูงอายุ วันสุขภาพและกีฬาโดยถือจากวันเปิดโอลิมปิกเกมที่กรุงโตเกียว วันวัฒนธรรม วันแรงงาน วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระจักรพรรดิ แล้วก็วันอันเป็นความเชื่อของคนญี่ปุ่นรวมแล้ว 15 วัน ของ จีน ก็ไม่เยอะ นับได้ 9 วาระโดยบางวาระหยุดมากกว่า 2 วัน มีวันปีใหม่ วันฉลองตรุษจีน วันสตรีนานาชาติซึ่งหยุดแค่ครึ่งวันและเฉพาะสตรี วันแรงงาน วันคนหนุ่มสาว วันเด็ก วันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ วันกองทัพ และวันชาติ


วันหยุดราชการของไทยแลนด์ไทยเราเบ็ดเสร็จ 13 วาระ โดยในวาระขึ้นปีใหม่,สงกรานต์ได้หยุดหลายวันติดต่อกัน ขณะที่วันหยุดใดหากตรงกับเสาร์,อาทิตย์ก็ให้ชดเชยในวันถัดไป ทำให้ประเทศไทยน่าจะมีวันหยุดยาวที่ฝรั่งเรียกลองวีคเอ็นด์มากที่สุดในโลก

 

 

กางปฏิทินปี 56 เฮหยุดยาว ช่วงละ 3วัน ปีเดียว 9 ครั้ง

 

 

 

 

เผยปี 2556 มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง 3-4 วันอื้อ ถึง 9 ครั้งแทบทุกเดือน นักวิชาการชี้ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายเงินสะพัดอีก 3-4 หมื่นล้าน

จากการสำรวจปฏิทินในปี 2556 นี้ พบว่ามีวันหยุดราชการต่อเนื่อง 3-4 วันติดต่อกัน 9 ครั้ง นอกเหนือจากวันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ถือเป็นวันหยุดครั้งแรกของปีแล้ว ก็ยังมีวันหยุดในช่วงต่างๆ อีกดังนี้

1.วันที่ 23-25 กุมภาพันธ์ ปีนี้วันมาฆบูชาตรงกับวันเสาร์ ดังนั้นจึงหยุดชดเชยในวันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ รวมเป็นวันหยุด 3 วันแรกของปีหลังจากเทศกาลปีใหม่

2.หยุดติดต่อกัน 3 วัน ในวันที่ 6-8 เมษายน เพราะวันจักรีตรงกับวันเสาร์จึงหยุดชดเชยอีก 1 วัน ในวันจันทร์ที่ 8 เมษายน

3.วันหยุดเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ 13-16 เมษายน และปีนี้วันที่ 13 เมษายนตรงกับวันเสาร์ดังนั้นจึงมีวันหยุดชดเชยในวันที่ 16 เมษายน รวมเทศกาลสงกรานต์ปีนี้มีวันหยุดทั้งสิ้น 4 วัน

4.วันที่ 4-6 พฤษภาคม หยุดติดต่อกัน 3 วัน เพราะวันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม นั้นหยุดชดเชยวันฉัตรมงคล

5.วันหยุด 3 วัน ในวันที่ 11-13 พฤษภาคม เพราะวันพืชมงคลในปีนี้ตรงกับวันเสาร์จึงทำให้หยุดชดเชยในวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคมเพิ่มอีก 1 วัน

6.หยุดติดต่อกัน 3 วัน เนื่องในวันวิสาขบูชาวันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม ทำให้ต่อเนื่องกับวันเสาร์อาทิตย์ที่ 25-26 พฤษภาคม กลายเป็นวันหยุด 3 วันเพิ่มอีก 1 สัปดาห์ในช่วงปลายเดือน

7.วันหยุดติดต่อกัน 4 วันครั้งที่ 2 ของปีในวันที่ 20-23 กรกฎาคม เพราะวันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม เป็นวันอาสาฬหบูชา และวันอังคารที่ 23 พฤษภาคม เป็นวันเข้าพรรษา

และ 8.วันหยุดเสาร์ที่ 10 ถึงวันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม หยุดติดต่อกัน 3 วัน ครั้งสุดท้ายของปี เนื่องในวันพิเศษอย่างวันแม่ 12 สิงหาคม
 

 ที่มา มติชนออนไลน์

 

 

จากผลการสำรวจโดย ”เมอร์เซอร์” บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล เมื่อปีที่แล้ว เพื่อดูว่าประเทศไหนที่จัดวันหยุดพักร้อนและวันหยุดสาธารณะมากที่สุดให้กับพนักงาน โดยเป็นค่าเฉลี่ยสำหรับพนักงานที่ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ และมีอายุงานกับบริษัทตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป พบว่า ประเทศบราซิลและลิธัวเนียมีวันหยุดสูงสุดถึง 41 วัน ซึ่งเป็นการรวมทั้งวันลาพักร้อนและวันหยุดสาธารณะ ขณะที่ประเทศฟินแลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เป็นลำดับรองลงมา มีวันหยุดรวมกันถึง 40 วัน
 
 
 
ใน 10 อันดับแรก จะพบว่ามีเพียงญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศในเอเชียชาติเดียวที่ติดอันดับ ด้วยการจัดวันหยุดให้พนักงานได้สูงสุด 36 วัน แต่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีวันหยุดสาธารณะมากที่สุด ถึง 16 วัน นอกจากนี้ มีประเทศอื่นๆ ในเอเชีย แม้จะไม่ติด 10 อันดับแรก แต่ก็มีวันหยุดไม่น้อย ได้แก่ เกาหลีใต้ มีวันหยุดรวมกัน 34 วัน อินเดียและไต้หวันเท่ากันที่ 28 วัน ฮ่องกงให้หยุดรวมกันได้ 26 วัน สิงคโปร์ 25 วัน และประเทศจีนติดในอันดับที่ 40 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายในการสำรวจ มีวันหยุดรวมกัน 21 วัน
 
 
 
สำหรับประเทศไทย ไม่ติดอันดับในการสำรวจ แต่วันหยุดสาธารณะของไทย มีมากถึง 15 วัน ซึ่งนับว่าสูงเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น และเท่ากับจำนวนวันหยุดสาธารณะของเกาหลีใต้
 
 
ข่าวจริง สปริงนิวส์ ทันเหตุการณ์ เห็นอนาคต
 
 
 
 
 
 
 
 

      “มาร์ค” วอน รบ.เลิกชวนทะเลาะปมพระวิหาร

 

 


 

 

 


หน.ปชป.นำทีมลุยบางกะปิ หาเสียงให้ “คุณชาย” แจงสมาชิกพรรคร่วมใจช่วยหาเสียงเป็นประจำ ปัดปรับกลยุทธ์สู้ พท.ทำตามไม่ว่า ไม่กลัวโพลตามหลัง งง พท.ตั้งทีมสอบขรก.ทุจริตเลือกตั้ง ทั้งที่เป็น รบ.รับเรื่องดี ชูพรรคสะอาด ยก ปชช.กังวลขัดแย้งพระวิหาร ยันฝ่ายค้านเต็มใจช่วย ขอ รบ.ทำเพื่อประเทศ หยุดชวนทะเลาะ



หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นประชาชน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มองเรื่องความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหาร ว่า จะจบลงไม่ดี และมองเป็นเรื่องเกมการเมืองนั้น ว่า ตนคิดว่า ประชาชนมีความกังวล ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องคลายความกังวล ทั้งนี้ ในส่วนของฝ่ายค้านก็พร้อมที่จะช่วยเหลือรัฐบาล แต่รัฐบาลต้องมีความมุ่งมั่นและตั้งใจ ว่า จะเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง เลิกชวนพวกตนทะเลาะ ก็จะได้ช่วยกันอย่างเต็มที่ เพราะเรื่องนี้เป็นงานที่คนไทยต้องร่วมมือกันต่อสู้ เพื่อให้ชนะคดีที่ศาลโลก และไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายค้านจะมานั่งทะเลาะกับรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ขอให้รัฐบาลหยุดชวนทะเลาะและชวนคนไทยร่วมต่อสู่คดีให้ชนะดีกว่า



http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000010911

ขอเถอะได้โปรดอย่าหาเรื่องชวนทะเลาะ จะเอาฮาไปไหนแมงสาบพวกนี้

 
 
 

 

guest

Post : 2013-01-27 21:40:48.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ระนาดเอก

 

 

                          *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

 

                                    "ลุ้นระทึก!!..."

 

 

 

 

 

 

                                               

 

 

 

 

 

 

 

....โอยตายเเล้ว หากลืมตา เป็นบ้าเเน่

 

น้ำหนักเเย่ เพิ่มสองขีด รีดไงหนอ?

 

อุตสาห์กิน จำปาดะ มะละกอ

 

คุมจนท้อ ลดไม่ลง ปลงเลยเรา

 

 

 

 

 

....เพี้ยงสาธุ ลืมตามา ถ้าผิดหวัง

 

เปลี่ยนตาชั่ง ลงกระโถน โยนไปเผา

 

ลดลำบาก หากไม่ลง คงไม่เอา

 

เป็นเพราะเจ้า ตาชั่งเอียง เหวี่ยงทิ้งเลย....

 

 

 

 

 

 

 

                     

 

 

 

 

 

 

 

      เยอรมันเอาจริง! ธนาคารกลางเมืองเบียร์ประกาศถอนทองคำกลับประเทศ

          รอบแรกเกือบ 700 ตัน มูลค่าทะลุ 1 ล้านล้าน อ้าง “เผยเหตุผลไม่ได้”

 

 

 

 

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- ธนาคารกลางเยอรมนี (Deutsche Bundesbank) ประกาศเดินหน้าแผนดึงทองคำสำรองปริมาณมหาศาลกลับมาไว้ในประเทศ ถือเป็นการ “ยืนยันความถูกต้อง” ของรายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่มีการเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์ด้านธุรกิจและการเงินรายวัน “ฮันเดิลสบลัตต์” เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา


รายงานข่าวล่าสุดเมื่อวันจันทร์ (21) จากนครแฟรงก์เฟิร์ต ซึ่งอ้างโมริตซ์ เอากุสต์ ราช โฆษกของ บุนเดสบังก์ ระบุว่า เยอรมนีจำเป็นต้องถอนทองคำสำรองที่ฝากไว้ในต่างประเทศกลับคืนมาด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง
 


“ผมขอยืนยันว่า เรามีความจำเป็นต้องนำทองคำของเยอรมนีกลับประเทศ ด้วยเหตุผลหลายประการด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราจำเป็นต้องปกป้องทองคำของเรา และยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการถอนทองคำกลับประเทศครั้งนี้” โฆษกธนาคารกลางเยอรมนีกล่าว



ท่าทีล่าสุดของโฆษกบุนเดสบังก์มีขึ้นเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจาก “ดีทรอยต์ ฟรี เพรสส์” หนังสือพิมพ์รายวันเก่าแก่ในมลรัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ที่มียอดจำหน่ายกว่าวันละ 234,580 ฉบับ ตีพิมพ์รายงานข่าวที่ระบุว่า ธนาคารกลางเยอรมนี เตรียมเดินหน้าแผนการถอนทองคำของตนชุดแรก ที่มีปริมาณมหาศาลถึง 674 ตันจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รวมถึง ที่ตั้งธนาคารกลางฝรั่งเศสในกรุงปารีส เพื่อนำทองคำจำนวนดังกล่าวกลับมาเก็บไว้ภายในที่ทำการของบุนเดสบังก์ในนครแฟรงก์เฟิร์ต



โดยในจำนวนทองคำ 674 ตันของเยอรมนีที่จะถูกถอนกลับประเทศครั้งนี้ คิดเป็นทองคำที่ฝากไว้ในมหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ 300 ตัน ส่วนอีก 374 ตันที่เหลือเป็นทองคำที่ฝากไว้กับธนาคารกลางฝรั่งเศส และทองคำล็อตนี้ที่เยอรมนีจะดึงกลับประเทศมีมูลค่าสูงถึง 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.07 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็นกว่า 1 ใน 5 ของทองคำสำรองทั้งหมดของเยอรมนี



ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์รายวัน “ฮันเดิลสบลัตต์” ของเยอรมนีรายงานว่า บุนเดสบังก์มีแผนนำทองคำของตนจำนวนมากที่ฝากไว้ในประเทศอื่น ทั้งในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและสหรัฐฯ กลับประเทศเร็วๆ นี้เพื่อความมั่นคงทางการคลัง โดยระบุถือเป็นหนึ่งในการโยกย้ายทองคำระหว่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก หลังจากรัฐบาลเยอรมนีในอดีตโดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาต่างมีนโยบายนำทองคำของตนไปฝากไว้ในต่างแดนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในยุค “สงครามเย็น” เนื่องจากรัฐบาลเยอรมนีในเวลานั้นเกรงว่า ทองคำของตน จะถูกสหภาพโซเวียตยึดครองเข้าสักวันหนึ่ง



ตามข้อมูลที่สื่อดังอย่าง “ฮันเดิลสบลัตต์” รายงาน ระบุว่า ขณะนี้ 45 เปอร์เซ็นต์ของทองคำของเยอรมนีถูกนำไปฝากไว้ในธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะที่อีก 13 เปอร์เซ็นต์ และ 11 เปอร์เซ็นต์ ถูกนำไปเก็บไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษ และธนาคารกลางฝรั่งเศสตามลำดับ ส่งผลให้มีปริมาณทองคำเพียงแค่ 31 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ถูกเก็บไว้ภายในสำนักงานใหญ่ของบุนเดสบังก์ หรือธนาคารกลางเยอรมนี ในนครแฟรงก์เฟิร์ต



รายงานข่าวยังระบุว่า ทองคำของเยอรมนีทั้งหมดที่นำไปฝากไว้ในฝรั่งเศส จะเป็นทองคำส่วนแรกที่รัฐบาลเยอรมนีต้องดึงกลับมาไว้ในประเทศ ขณะที่ทองคำบางส่วนที่ฝากไว้ในอังกฤษ และสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องคงอยู่ตามเดิมต่อไปก่อนอีกระยะหนึ่ง เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
 


ทั้งนี้ ธนาคารกลางเยอรมนีได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือครองทองคำสำรองรายใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ โดยปริมาณทองคำในความครอบครองของบุนเดสบังก์นั้นมีกว่า 3,396.3 ตันเมื่อสิ้นปี 2011 หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 133,000 ล้านยูโร (ราว 5.3 ล้านล้านบาท)



ก่อนหน้านี้ ในช่วงปี ค.ศ.1998-2001 มีข้อมูลว่า ธนาคารกลางของเยอรมนีได้เคยถอนทองคำล็อตใหญ่ปริมาณกว่า 850 ตันที่ฝากไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษในกรุงลอนดอนมาแล้วเช่นกัน ท่ามกลางข่าวลือในขณะนั้นว่า วิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียที่เริ่มต้นในประเทศไทยเมื่อปี 1997 อาจลุกลามมาถึงยุโรป

 

 

 

*****************************

ผมมองว่า เยอร์มันคงจะกลัวว่าหากเกิดวิกฤติหนักขึ้นตัวเองจะไม่มีเงินเพราะเนื่องจาก อียู คงไม่มีเงินคืนในเวลาอันสั้นแน่

 

เลยน่าจะถอดเงินออกไปเพื่อให้สามารถสู้กับวิกฤติการณ์ที่ อียู กำลังประสพอยู่

 

ผมว่า อียูตอนนี้เริ่มให้สัญญาณ มาแล้วว่า ควบคุมไม่อยู่แล้ว ทั้ง ฝรั่งเศล หรือ เยอร์มัน

 

 

 

เมื่ออาทิตย์ก่อน มีการเลือกตั้งท้องถิ่นของรัฐ Niedersachsen (lower saxony) เมืองหลวงของรัฐนี้คือเมือง Hannover

ผลการเลือกตั้งปรากฎว่า พรรคฝ่ายค้านมีพรรค SPD กับพรรค Green ชนะพรรครัฐบาล พรรค CDU กับพรรค FDP

ด้วยจำนวน สส 69 ต่อ 68 พรรคฝ่ายค้านทั้งสองพรรค มี สส มากกว่าพรรคร่วมรัฐบาลเพียงคนเดียว แต่ก็จะดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป

โดยไม่เอาพรรคอื่นมาร่วม

 

 

ตอนนี้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในเยอรมันรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ภาษีของพวกเขาถูกใช้ไปในการแก้ไขปัญหาของ EU มากกว่าที่จะมาดูแลพวกเขาเอง

ทำให้ตอนนี้การเลือกตั้งท้องถิ่นในหลายรัฐที่ผ่านมา ฝ่ายค้านมีสัดส่วนที่นั่งในสภามากขึ้น เนื่องจากความไม่พอใจที่รัฐบาลสนับสนุนการช่วยเหลือ EU ต่อไป

 

เดวิด คาเมรอน เค้าบอกว่าถ้าพรรคเค้าชนะการเลือกตั้งในปี 2015 เค้าให้สัญญาว่าจะมีการจัดทำประชามติว่าจะให้อังกฤษออกจาก EU หรือไม่ภายในปี 2017 ค่ะ อนาคต EU คงหนีไม่พ้นจะต้องล่มสลายแน่ๆ

 

 

เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว ธนาคารกลางของเยอรมัน /Bundesbank) ได้เปิดเผยรายละเอียดของทองคำที่ฝากไว้ในประเทศต่างๆ มี

1536 ตัน (45%) ฝากไว้ที่ Notenbank Fed in New York,U.S.A

.450 ตัน (13%) ฝากไว้ที่ Bank of England in London

374 ตัน (11%) ฝากไว้ที่ Banque de France in Paris

1036 ตัน หรือประมาณ 31% เก็บไว้ที่ในเยอรมนี

 

 

ผมว่ามันเริ่มเข้าสู่สงครามทางการเงินที่ชัดเจนขึ้นทุกที่ อเมริกาปั๊มเงินเข้าระบบการเงินหวังแก้เศรษฐกิจที่บ้านตัวเอง แต่เงินส่วนใหญ่กลับไหลเวียนออกมาเพื่อลงทุนทางการเงินในหลายรูปแบบนอกประเทศ คล้ายกับติดกระสุนให้พวกนักเก็งกำไรทางการเงินได้ออกมาทำกำไรครั้งใหญ่ ในขณะเดียวกันค่าเงินตัวเองก็อ่อนค่าลง ทำให้ทุกประเทศที่ถือเงินยูเอสเป็นทุนสำรองต้องเพิ่มสัดส่วนของยูเอสมากขึ้น เพื่อรักษาค่าเงินตัวเองไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่นและจีน ญี่ปุ่นและจีนก็เริ่มดิ้นแล้วเช่นกัน จีนก็พยายามรักษาค่าเงินที่อ่อนให้อ่อนต่อเนื่อง โดยโยกเงินออกนอกไปลงทุนคล้ายที่ญี่ปุนทำเมื่อต้นปี70 โดยให้เงินที่ไหลเข้าไหลออกไปให้ตัวเป็นแค่ทางผ่าน ญี่ปุ่นก็มีโครงการปั๊มเงินเข้าตลาดเช่นกัน ด้วยจำนวนที่ไม่น้อย เพื่อรักษาค่าเงิน ผมว่าเยอรมันคงจะต้องการเสริมความแข็งแกร่งของค่าเงินของตัวเองก่อนในเวลานี้ เพราะก่อนสงครามเกิด การไปถอนทองออกจากธนาคารก็ควรเป็นสิ่งที่ควรทำ คลื่นสึนามิทางการเงิน โดยเงินท่วมโลก งวดนี้ ผมว่าถ้ามันเกิด มีเงิน(ถือเงิน)ยังมีสิทธิ์เจ๊ง การมีหลักประกันดูน่าจะอุ่นใจกว่า

 

ขนาด EU ที่ว่า "เศรษฐกิจแน่ๆ" ยังทำท่าว่าจะ "ไปไม่รอด"

 

แล้วอย่างนี้ AEC ที่ดันทุรังจะให้มีในปี 2558 จะเกิดอะไรขึ้น

 

อีกอย่างนะครับ มีใครพอจะบอกได้ไหมว่าจะมี "ประโยชน์"

 

อะไรกับ "ประเทศไทย" มั่งครับ...!!! -_- -_-

 

 

EU ที่มีปัญหา เพราะประเทศที่เข้าใหม่แถวยุโรปใต้ เศรษฐกิจไม่แข็งแรงพอครับ

เมื่อเข้ากลุ่ม EU แล้ว ทาง EU จะมีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ นัยว่าให้เศรษฐกิจประเทศยุโรปใต้พัฒนาทัดเทียมกับสมาชิกดั้งเดิม

แต่ปัญหาคือ ประเทศยุโรปใต้ส่วนใหญ่เอาเงินไปทำโครงการประชานิยมซะงั้น ฝีมันก็เลยบานทะโรมาตอนนี้ไงละครับ

 

ส่วน AEC ดีหรือไม่ ตอบเลยว่าดีครับ แต่ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมตัวเองด้วย

ตามทำเลแล้วไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในส่วนที่เป็นแผ่นดิน

เกริ่นก่อนนะครับ อาเซียนแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ ส่วนแผ่นดิน และส่วนทะเล

ส่วนแผ่นดิน ประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว เขมร เวียดนาม

ส่วนทะเล ประกอบด้วย มาเลเซีย สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์

การทำ AEC คืออะไร ตอบง่ายๆ คือ การลดกำแพงภาษี, ข้อจำกัดต่างๆ ด้านการลงทุนและการจ้างงาน

ดังนั้นผลของการเปิด AEC คือ สินค้าไทยเข้าไปตามตลาดต่างๆ ได้มากขึ้น นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศได้ง่าย แรงงานต้นทุนต่ำจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่แหล่งงานได้ง่ายขึ้น

แต่ตอนนี้ประเทศไทย การเตรียมของภาครัฐยังไม่ชัดเจนแม้จะเหลือเวลาเพียงแค่ 2 ปีแล้ว

การเป็นศูนย์กลางโดยทำเลนั้น ผลประโยชน์จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่อยเมื่อคุณเตรียมการ Logistic ให้ดี

ตอนนี้รัฐบาลยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนเรื่อง Logistic เสียดายโครงการของรัฐบาลที่แล้วเรื่องรถไฟรางคู่ทั่วประเทศ

ถ้าทำได้จริง ตัวนั้นละคือสิ่งที่ลด cost อย่างมีนัยสำคัญของ Logistic ในประเทศนี้

ส่วนเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงาน จะมีผลตามมามากมาย ต่อไปฝ่ายความมั่นคงต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดในการป้องกันประเทศซะใหม่

เพราะสงครามในรูปแบบจะมีโอกาสเกิดได้น้อยลง แต่สงครามในรูปแบบอสมมาตรจะมีมากขึ้น จากการเคลื่อนย้ายของแรงงาน

ทั้งการก่อการร้าย ปัญหายาเสพติด สินค้าหนีภาษี การค้ามนุษย์ นี่เป็นรูปแบบใหม่ที่ฝ่ายความมั่นคงต้องตระหนักและเตรียมการรับมือในอีก 2 ปีข้างหน้า

 

 

 

ประเทศไทยใน 5 ปีนี้คงไม่มีอะไรมาก เพราะการเปิด AEC คงช่วยแบ่งเบาความรุนแรงของผลกระทบจากความตกต่ำของเศรษฐกิจโลกไปได้

แต่หลังจากนั้น เศรษฐกิจโลกดูแววแล้วมีความมืดมนมาก

 

อเมริกา แม้จะผ่านหน้าผาทางเศรษฐกิจไปได้ก็จริง แต่การฟื้นตัวยังอ่อนแอมาก แล้วการแก้ปัญหาหนี้ด้วยการเพิ่มวงเงินการก่อหนี้มากขึ้น ก็ไม่ต่างอะไรจากการดับไฟด้วยการใส่ฟืน ซักวันเมื่อถึงเวลาที่อเมริกาก่อหนี้เพื่อมาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ เมื่อนั้นละจะเป็นการล้มละลายครั้งใหญ่ของโลก

 

ญี่ปุ่น ปัญหาเศรษฐกิจนั้น บอกตรงๆ ไร้ทางแก้ไข เพราะปัจจัยปัญหาจริงๆ คือ อัตราการเกิดที่ต่ำ ทำให้ภาระวัยพึ่งพิงต่อวัยแรงงานมีอัตราส่วนมากขึ้น ผนวกกับคนแก่ในญี่ปุ่นมีอายุยืนมากๆ ทำให้ภาระของวัยแรงงานมีแต่จะเพิ่มขึ้น

 

EU คงยังทรงๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่แตกซะก่อน ก็อาจกอดคอกันตายหมู่ เพราะประเทศผู้ออกเงินคือเยอรมัน เริ่มไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ต้องแบกรับปัญหาที่ไม่ใช่ตนเองเป็นคนก่อ

 

จีน อัตราการเจริญเติบโตของ GDP เริ่มลดลง เพราะตลาดส่งออกชะลอตัว ตอนนี้คงต้องเร่งการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น แต่ปัญหาต่อไปของจีนคือ นโยบายลูกคนเดียว เพราะต้องหาเวลาที่เหมาะสมในการยกเลิกนโยบายนี้ ขณะนี้เศรษฐกิจเติบโตได้ เพราะวัยแรงงานที่มีจำนวนมาก เมื่อใดที่วัยแรงงานเริ่มลดลงจากนโยบายลูกคนเดียวแล้ว ยังแก้ไขไม่ได้ จุดจบคงไม่แตกต่างจากญี่ปุ่นในตอนนี้

 

 ******************************************

 

 

 

 

1. ทำงานเข้ากับสก. สข. ไม่ได้ ถ้าได้ก็เฉพาะสก.ปชป.บางคน

2. ทำงานเข้ากับรัฐบาลไม่ได้ เพราะทีมงานเต็มไปด้วย พธม. ยึดสนามบิน

3. เผลอๆ ทำงานเข้ากับข้าราชการไม่ได้ เพราะงานกทม. มีแต่งานชัก% ถ้าไม่ตามน้ำก็ต้องแตกหักกัน ถ้าตามน้ำ แล้วที่หาเสียงไว้ว่า "ซื่อสัตย์สุจริต" มันก็คงจะเหมือนกฎสนิมเหล็ก 9 ข้อ ของปชป.นั่นแหละ ที่ตั้งขึ้นมาหลอกสาวกว่าตนเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ความจริงมันก็ชัก%มาตั้งแต่ไหนแต่ไรละว๊า.... จริงไหมครับป๋าเทพเทือก ณ โรงพัก 369 แห่ง

4. ฝ่ายการเมือง และฝ่ายข้าราชการประจำข้างต้นใส่เกียร์ว่าง ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วละครับ คนกรุงเทพฯ ก็ซวยปายยยยย

และตามสไตล์ของเสรีฯ พอเขาใส่เกียร์ว่าง ก็คงไปเด้งเขา คราวนี้ก็ทะเลาะกันยกใหญ่ ไม่ต้องเป็นอันทำงานกัน

วันๆ สื่อทั้งหลายก็คงทำแต่ข่าวทะเลาะกันทุกวัน

 

 

ตอนเป็นผบ.ตร ทำรีสอร์ทบุกรุกแม่น้ำแคว ด่าลูกน้องในที่สาธารณะว่าเป็นควาย

แสดงนิสัยลุแก่อำนาจ

จบเห่

guest

Post : 2013-01-26 21:52:10.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ก่อนเเต่งงาน

 

 


 

 

 

 

 

                                 *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

 

                                               "พังหมดเเล้ว..."

 

 

 

 

 

                                               

 

 

 

 

 

 

....ไหลมาเหอะ น้ำตา อย่าช้านัก

 

สะดุดพัก อยู่ทำไม? ให้ใจหมอง

 

จะทำให้ ตาสว่าง ระหว่างมอง

 

เลือกคู่ครอง คิดว่าใช่ ใยฆ่ากัน?

 

 

 

....ฝันไว้ว่า ฝากชีวิต ลิขิตรัก

 

จะฟูมฟัก โบกบินคู่ สู่สวรรค์

 

ล่มสลาย มลายสิ้น ไม่กี่วัน

 

รักเเสนสั้น ทรยศ กบฎใจ....

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

 

เครดิตจาก http://www.love4home.com

 

 

 

ตรวจร่างกาย ก่อนแต่งงาน


การแต่งงานหรือการมีชีวิตคู่นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและสำคัญต่อชีวิตของคู่หญิง-ชายมากนัก เนื่องเพราะก่อนแต่งงานต่างฝ่ายต่างเคยใช้ชีวิตตามวิถีที่ตนพอใจมาโดยตลอด แต่ครั้นเมื่อต้องมาใช้ชีวิตคู่ ความแตกต่างในชาติกำเนิด เศรษฐกิจ วัฒนธรรมของแต่ละครอบครัว อุปนิสัยส่วนตัว พันธุกรรม โรคภัยไข้เจ็บประจำตัว และอื่นๆ จึงถือเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันให้ได้ก่อนแต่งงาน เพราะความแตกต่างเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายครอบครัวต้องล่มสลาย แม้แต่เรื่องที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้

ยกตัวอย่างเช่น การนอนกรนของพ่อเจ้าคุณสามีอาจสร้างความรำคาญให้แก่ภรรยาโดยไม่รู้ตัวการใช้เครื่องใช้ร่วมกันในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งอาจไม่มีวัฒนธรรมนี้มาแต่เดิมหรือแม้แต่การชอบชนิดหรือรสชาติของอาหารที่แตกต่างกัน เหล่านี้ก็ทำให้เกิดปัญหา “บ้านแตก” ได้

“บทความพิเศษ” ฉบับนี้ จึงขอพาท่านผู้อ่านมาพบกับเรื่องราวบางส่วนซึ่งมีความจำเป็นต่อการเริ่มต้นชีวิตคู่ในอนาคต นั่นคือ การตรวจร่างกายก่อนแต่งงาน

ตรวจร่างกายเพื่อ..คนที่คนรัก

ทุกคนรู้ดีว่าการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวอย่างราบรื่นโดยไม่มีอุปสรรคนั้น คงเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนี้คู่รักทุกคู่จึงควรเรียนรู้ที่จะเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับปัญญาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ดังเช่นที่ภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” สุขภาพกายและจิตมีความสำคัญต่อการเริ่มต้นชีวิตคู่ ในที่นี้จะขอพูดถึงเฉพาะสุขภาพกายก่อน ด้วยทั้งสองต่างก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาหรือเธอมีสิ่งใดที่จะอุปสรรคต่อการเริ่มต้นชีวิตคู่หรือไม่ นอกจากจะจูงมือกันไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย

กรณีนี้เมื่อมีการร้องขอให้อีกฝ่ายหนึ่งไปตรวจ ข้างฝ่ายที่ถูกขออาจจะคิดว่าคนรักของตนไม่ไว้ใจหรือไร จึงต้องให้ไปตรวจร่างกายก่อน จนถึงขนาดบางคู่ที่ไม่สามารถทำความเข้าใจจุดนี้ได้ ก็อาจจะแหนงแคลงใจ พร้อมๆ กับคิดว่าหากไม่ไว้ใจกันก็อย่าแต่งไปโน่นเลยก็มี นั่นเป็นลักษณะการมองเหตุการณ์แบบคนที่มีจิตใจคับแค้น เพราะถ้าหากคุณเปิดใจให้กว้างคุณจะรู้สึกว่าเป็นการดีเสียอีกที่มีการตรวจร่างกายกันก่อนที่จะรวมใจรวมกายเป็นหนึ่งเดียว หากไม่เช่นนั้นแล้ว อะไรๆ ที่เคยเป็นจุดด้อยของคุณคนเดียว ก็จะเพิ่มขยายจำนวนแตกหน่อผลไปสู่คนที่คุณรักด้วย ถ้าไม่รู้ตัวและป้องกันไว้ก่อน

หากมองโลกในแง่ดี คุณจะเห็นข้อดีของการตรวจร่างกายก่อนการแต่งงาน อาทิ

- เป็นการแสดงความจริงใจต่อกัน เพราะการยอมไปตรวจร่างกายเป็นการบ่งบอกถึงความรักที่มีต่ออีกฝ่ายหนึ่ง และแสดงให้เห็นว่า คุณพร้อมที่จะตรวจร่างกายเพื่อเธอ (เขา) และหากพบโรคใดที่อาจติดต่อไปถึงเธอ(เขา)หรือลูก ก็พร้อมที่จะรักษา เพื่อป้องกันไว้ก่อน

- เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างครอบครัว คือ เป็นการตรวจเพื่อหาว่าคู่รักขงอคุณมีโรคติดต่อที่จะเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์หรือไม่ เพื่อจะได้ป้องกันรักษาไว้ก่อนเพราะคุณเองก็คงไม่อยากเห็นลูกน้อยที่จะเกิดมาต้องมีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งพิการเป็นแน่

แพทย์จะตรวจอะไรบ้าง

เมื่อตกลงใจจะไปพบแพทย์ด้วยกัน นอกจากแพทย์จะตรวจร่างกายโดยทั่วๆ ไปให้แล้ว ยังจะตรวจเลือดให้ด้วย เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจจะแฝงอยู่ คือ

1. กลุ่มเลือด (Blood groub) เพื่อจะได้ทราบว่าเป็นเลือดกลุ่ม A,B,AB และ O

2. ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง (Hematocrit,Hemoglobin) เพื่อดูว่ามีโลหิตจางหรือไม่ หากมีภาวะโลหิตจาง ก็จะทำการตรวจหาสาเหตุต่อไป

3. ซิฟิลิส (Syphilis) หรือที่นิยมเรียกว่า เลือดบวก จัดว่าเป็นกามโรคชนิดหนึ่ง อาจไม่เคยมีอาการใดๆ เลยก็ได้ แต่สามารถตรวจพบได้โดยการตรวจเลือด

4. เริม โรคนี้จะเป็นๆ หายๆ ยังไม่มียาขนาดใดที่จะรักษาเริมซึ่งเป็นเชื้อไวรัสให้หายขาดได้

5. ตับอักเสบไวรัสบี (HbsAg,Ab)

- หากพบว่า มีเชื้อตับอักเสบไวรัสบี ก็จะได้ดูแลตนเอง และป้องกันมิให้แพร่เชื้อกระจาย

- หากพบว่า ไม่เคยได้รับเชื้อตับอักเสบไวรัสบี ก็ควรฉีดวัคซีนตับอักเสบไวรัสบี

- หากพบว่า มีภูมิคุ้มกันแล้วก็จะเกิดความสบายใจได้

6. เชื้อไวรัสเอดส์ (AIDS-HIV) สำหรับการตรวจหาเชื้อเอดส์นี้แล้วแต่ความสมัครใจของคู่สมรสว่าต้องการตรวจหรือไม่ แต่คนที่รู้ตัวว่าอยู่กลุ่มเสี่ยง (หญิงอาชีพพิเศษ พวกรักร่วมเพศ) ก็ควรที่จะตรวจไว้ก่อนดีกว่า นั่นเพราะทุกคนทราบดีว่ามัจจุราชที่มีชื่อ ว่า “เอดส์” นั้น น่าสะพรึงกลัวเพียงใด ไม่ว่าจะร่วมเพศร่วมเลือดกับใครที่มีเชื้อเอดส์นี้ คุณก็มีโอกาสเป็น “สมาชิกใหม่” ได้ทั้งนั้น

7. ตรวจร่างกายทั่วไป แพทย์จะทำการวัดความดันเลือด เอกซเรย์ปอด (แต่ไม่จำเป็นหากไม่มีประวัติเกี่ยวกับโรคปอดของคนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิด) และตรวจหาโรคบางอย่างที่สงสัยหรืออาจจะเป็นเฉพาะราย เช่น โรคทางพันธุกรรม ที่พบได้บ่อย คือ ธาลัสซีเมีย และปัญญาอ่อน (ดาวน์ซินโดรม)

ว่าที่คุณแม่เตรียมตัวให้พร้อม

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือสิ่งจำเป็นจะต้องตรวจทั้ง ชาย-หญิง และโดยเฉพาะเพศหญิง ซึ่งต้องทำหน้าที่ “แม่” ในอนาคต ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้ คือ

หัดเยอรมัน

ถ้าแม่ติดเชื้อหัดเยอรมันระหว่างมีครรภ์ เชื้อไวรัสในเลือดจะทำอันตรายต่ออวัยวะของระบบต่างๆ เช่น เป็นต้อกระจก หูหนวก โรคหัวใจ หรือ บางรายอาจะเป็นปัญญาอ่อน ก่อให้เกิดความพิการ ถ้ารุนแรงอาจจะแท้งหรือตายตั้งแต่แรกคลอด ถ้าแม่ติดเชื้อตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์อ่อนเดือน จะพบความพิการได้มากในเดือนแรกมีโอกาสพบทารกพิการ ประมาณร้อยละ 50-80 เดือนที่ 2 มีโอกาสพบความพิการร้อยละ 20-35 เดือนที่ 3 มีโอกาสพบร้อยละ 6-15 เดือนที่ 4 ร้อยละ 1-5

ถ้าคุณไม่เคยเป็นหรือไม่เคยฉีดวัคซีน ป้องกันโรคนี้มาก่อน ก็ต้องรีบตรวจหาภูมิคุ้มกันว่าเคยเป็นหรือยัง หรือฉีดวัคซีนเสียก่อนจะสวมชุดเจ้าสาวหรือก่อนตั้งครรภ์ หลังฉีดวัคซีนควรคุมกำเนิดไว้ก่อน 3 เดือน(บางรายได้รับวัคซีนหัดเยอรมันแล้วมีครรภ์ พบว่า วัคซีนไม่ทำอันตรายต่อทารกในครรภ์) ดังนั้น หากคุณต้องการความปลอดภัยสำหรับลูกอันเป็นที่รัก และเพื่อความสบายใจสำหรับตัวคุณเอง ก็อย่าละเลยหรือมองข้ามวัคซีนหัดเยอรมันไปเสีย

ปัญหาเฉพาะคุณผู้หญิง

หากเกิดกรณีเช่นนี้ควรรีบไปปรึกษาแพทย์

- เลือดประจำเดือนออกมากผิดปกติ มานานผิดปกติเกิน 7 วัน ปวดท้องน้อยขณะมีประจำเดือน (ปวดท้องเมนส์)

- ปวดท้องน้อย คลำพบก้อนในช่องท้อง

- ตกขาว หรือสิ่งผิดปกติออกทางช่องคลอด

- ปัสสาวะผิดปกติ เช่น บ่อยมากขึ้นๆ ไม่สะดวก รู้สึกขัดๆ

- เมื่อสงสัยว่ามีการติดเชื้อที่อุ้งเชิงกราน

- เมื่อวางแผนไว้ว่าต้องการจะมีบุตร

ถ้าคุณมีปัญหาดังกล่าวข้างต้น ข้อใดข้อหนึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกาย โดยอาจจะตราจภายในเพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูกซึ่งพบได้บ่อยๆ หรือเนื้องอกหรือมะเร็งของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน อ่านแล้วอย่าเพิ่งกลัวการแต่งงานเสีย เพราะการรู้จักโรค รู้จักการป้องกัน ก็เสมือนเป็นภูมิคุ้มกันให้เราสุขภาพดี ถึงแม้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคจะยังไม่มียารักษาใดที่รักษาให้หายขาด หรือมีวัคซีนที่สามารถป้องกันได้ แต่ก็ยังมีทางอื่นช่วยได้หากรู้ล่วงหน้า ก็โดยการตรวจร่างกายก่อนแต่งงาน ทั้งนี้เพื่อมิให้โรคถ่ายทอดไปสู่คู่สมรสทางเพศสัมพันธ์ หรือสู่ลูกน้อยในครรภ์ทางเลือด

เพศกับชีวิตคู่

เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ดูเหมือนไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่า “ความรัก” คนในวัยนี้มันจะมองความรักว่าเป็นสิ่งที่ทำให้โลกสดใส หัวใจสดชื่น มีความสุข รู้สึกอบอุ่นและอยากให้มีใครสักคนคอยอยู่ใกล้ๆ ให้ความช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน สิ่งที่ตามมากับความรักเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องการมีสัมพันธ์ทางเพศเพราะเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกซึ่งความรักวิธีหนึ่ง แต่หลายๆ คนก็พบว่า ตนเองมีปัญหาในการแสดงความรักวิธีนี้

อันที่จริงถ้าเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ เรื่องเพศก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเราที่อาจจะมิได้ลงตัวราบรื่นเสมอไป ในช่วงหนึ่งของชีวิตคู่ใครๆ ก็อาจประสบปัญหาทางเพศได้ ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา หากเกิดปัญหาขึ้นมา คนใกล้ชิดของคุณนั่นแหละที่จะช่วยได้ ควรพูดกันอย่างตรงไปตรงมาค้นหาสาเหตุของปัญหา ถ้าพูดอ้อมไปอ้อมมา ก็หาสาเหตุไม่พบ ขนาดเรื่องอื่นๆ ที่มีการพูดตรงๆ ยังเสียเวลาแก้อยู่ตั้งนาน แล้วเรื่องเซ็กส์จะพูดอ้อมได้อย่างไร

ถึงวันนี้การอยู่ร่วมกันมิใช่โดยอาศัยเพียงแค่ความรักที่มีต่อกัน หรือความคิดที่ว่า ความรักเท่านั้นที่จะผูกพันชีวิตคู่ให้ยืนยาวได้ตลอดไป แต่ต้องประกอบด้วยหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกันดังที่กล่าวมาแล้ว
การเรียนรู้และเข้าใจจิตเวทเรื่องเพศ ความเหมือนความต่างของเพศ การรู้จักใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน การปรับตัวเข้าหากันทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ มีความอดทน มีความเมตตากรุณาต่อกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นคุณค่าที่ดี ถูกต้อง และสร้างความเข้าใจอันดีตลอดไป

  • ซิฟิลิส

ซิฟิลิสจัดเป็นโรคที่พบบ่อยอีกโรคหนึ่ง อาการที่พบ คือ แผลมีลักษณะสะอาด ก้นแผลเรียบ ติ่มน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต กดไม่เจ็บ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เชื้อโรคจะลุกลามเข้าทางหลอดเลือด ทำให้มีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยตัว คัดจมูก น้ำมูกไหล มีผื่นขึ้น (ออกดอก) ไม่คันไม่ปวด หากปล่อยทิ้งไว้อีก จะมีอาการซีด อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลด ผมร่วง และเชื้อลุกลามไปสู่อวัยวะอื่นๆ ได้ทั่วร่างกาย

การตรวจเลือดจะบอกได้แน่นนอนว่าเป็นซิฟิลิสหรือไม่ ส่วนใหญ่หญิงที่จะตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อซิฟิลิสก่อน เพราะเชื้อนี้สามารถติดต่อไปยังทารกในครรถ์ ทำให้ทารกพิการหรือเสียชีวิตได้

  • เริม

โรคนี้เป็นๆ หายๆ ยังไม่มียาขนานใดที่จะรักษาเริมซึ่งเป็นเชื้อไวรัสให้หายขาดได้ อาการเริ่มแรกของโรคเริมจะเป็นตุ่มเล็กๆ ใสๆ แล้วแตกเป็นแผลเจ็บ หากมีการร่วมเพศในช่วยที่โรคกำเริบจะติดต่อไปสู่คู่สมรสได้ และถ้าแม่มีโรคเริมกำเริบที่ช่องคลอดขณะใกล้คลอดก็อาจติดทารกขณะคลอดได้ ทำให้ทารกเป็รโรคเริมขั้นร้ายแรงได้ แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องแทน

  • ตับอักเสบไวรัสบี

อันว่าตับอักเสบไวรัสบีนั้น เป็นโรคติดต่อหรือสามารถถ่ายทอดถึงลูกได้ โรคนี้อาจทำให้เกิดจับอักเสบชนิดเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ในระยะยาวอาจทำให้โรคตับแข็ง มะเร็งตับ ส่วนเด็กที่ได้รับเชื้อตั้งแต่แรกเกิดอาจทำให้เกิดโรคตับอักเสบ มะเร็งของตับเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน ผู้ติดเชื้อวัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่จะหายและมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น แต่บางคนจะยังคงมีเชื้ออยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงออก และเป็น “พาหะ” ที่จะแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น

  • เอดส์

โรคเอดส์เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และทางเลือดที่ร้ายแรง มีอันตรายถึงชีวิต และยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือยาที่จะรักษาให้หายขาดได้ ไวรัสเอดส์เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปทำลายเม็ดเลือดขาวของร่างกายซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคเสื่อมลง ง่ายต่อการเกิดโรค ติดเชื้อแทรกแทรกช้อนและมะเร็งบางชนิด และสุดท้ายผู้ป่วยก็จะเสียชีวิตจากโรคแทรกช้อนเหล่านั้น สำหรับแม่ที่ติดเชื้อ อาจติดต่อถึงลูกขณะตั้งครรภ์ และเด็กมักจะตายในเวลาต่อมา จึงนับว่าเป็นโรคที่ร้ายแรง

  • ธาลัสซีเมีย

จากการสำรวจพบว่า คนไทย 18 ล้านคนเป็นพาหะโรคนี้โดยไม่รู้ตัว! ธาลัสซีเมียเป็นโรคซีดชนิดหนึ่งที่เกิดจากเม็ดเลือดแดงผิดปกติ เกิดขึ้นโดยการถ่ายทอดจากพ่อและ/หรือแม่ทางกรรมพันธุ์ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเหลีย ไม่เติบโตตามวัย เจ็บป่วยบ่อยๆ ซีด ตับ-ม้ามโต บางครั้งจำเป็นต้องให้เลือดบ่อยๆ ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นพาหะ โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคแสดงอาการ (เป็นโรค) เท่ากับร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 และมีโอกาสที่ลูกจะเป็นพาหะถึงร้อยละ 50 หรือ 1 ใน 2 ถ้าพ่อหรือแม่เป็นพาหะเป็นเพียงคนเดียว โอกาสที่ลูกจะเป็นเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 1 ใน 2 โอกาสที่จะมีลูกปกติเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 1 ใน 2 การซักประวัติครอบครัวและการตรวจเลือดด้วยวิธีพิเศษของแพทย์จะช่วยให้ทราบว่าเป็นพาหะของโรคนี้หรือไม่

  • ปวดท้องเมนส์

ผู้หญิงหลายคนต้องพบกับความทุกข์ทรมานทุกๆ รอบเดือน แต่นั่งคงไม่กระไรนัก หากอาการปวดท้องเมนส์ยังเป็นเสมือน “ลางร้าย” สำหรับคนที่อยากมีลูกได้ในบางครั้งอีกด้วย รู้จักกับอาการนี้กันก่อนดีกว่า จะได้ไม่ต้องกลัวเกินเหตุ

ปวดท้องเมนส์คืออะไร

เป็นอาการปวดหน่วงๆ ถ่วงที่ท้องน้อยขณะมีรอบเดือน ปวดเป็นระยะๆ บางทีก็ปวดตลอด หรือปวดร้าวไปที่หลัง ต้นขา หรือสะโพก อาจรู้สึกปวดหรือถ่วงๆ บริเวณช่องคลอดและมดลูก บางครั้งจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดเมื่อยตามตัวทั่วไป เป็นไข้

ทำไมถึงปวด

มดลูกประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่บีบรัดและคลายตัวได้เป็นจังหวะๆ ขณะมีรอบเดือนกล้ามเนื้อมดลูกจะบีบรัดตัวแรงกว่าในช่วงปกติ ทำให้รู้สึกปวดได้ การบีบรัดของกล้ามเนื้อมดลูกนี้เกิดจากการกระตุ้นของสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งมีอยู่ที่มดลูกและส่วนอื่นบางแห่งของร่างกาย หากมีการกระตุ้นทำให้บีบรัดตัวแรงๆ และบ่อยๆ ก็จะขัดขวางการไหลของเลือดที่เลี้ยงกล้ามเนื้อมดลูก เกิดภาวะขาดเลือดชั่วขณะทำให้เกิดความเจ็บปวดซึ่งก็คือ “ปวดท้องเมนส์”

การปวดท้องเมนส์มี 2 แบบ คือ ปฐมภูมิ (Primary) และทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea)

แบบปฐมภูมิ พบได้บ่อยกว่า เป็นผลจากการบีบรัดตัวของมดลูก ไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ มักเริ่มต้นเป็นในวัยรุ่น หรืออาจจะเป็นในช่วงหลังจากคลอดบุตร เมื่ออายุมากขึ้น จะปวดน้องลงหรือเหมือนเดิม แต่บางทีก็เป็นมากขึ้น

แบบทุติยภูมิ ปวดท้องเมนส์ที่เป็นผลมาจากสาเหตุอื่น เช่น เนื้องอก ภาวะติดเชื้อ มีเลือดประจำเดือนตกค้างในอุ้งเชิงกราน หรือมีโรคของมดลูก ปีกมดลูก และรังไข่ มักเป็นหลังจากที่เคยมีประจำเดือนปกติมาก่อน ระยะเวลาปวดท้องอาจอยู่นานกว่า 2-3 วันตามปกติปวดท้องน้อยแบบนี้อาจปวดในช่วงอื่นที่มีไข่ช่วงระยะมีประจำเดือนก็ได้ หรือขณะมีเพศสัมพันธ์

สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่

1. โรคเยื่อบุมดลูกขึ้นผิดที่ (Endometriosis) อาจพบได้ที่อุ้งเชิงกราน รังไข่ ลำไส้ เมื่อถึงแต่ละรอบเดือนก็จะมีเลือดออดเหมือนเยื่อบุมดลูกที่อยู่ในโพรงมดลูกตามปกติ เลือดที่ออกจะสะสมรวมกันเป็นตุ่มเป็นก้อน บวมเจ็บ โรคนี้จะมีอาการปวดท้องเมนส์หลายๆ วันก่อนมีรอบเดือน บางครั้งก็มีเลือดออกกะปริดกะปรอย โรคนี้สัมพันธ์กับการมีบุตรยากและเจ็บปวดบริเวณช่องคลอดหรือท้องน้อยขณะมีเพศสัมพันธ์ด้วย

2. อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease –PID) มักเป็นผลมาจากการอับเสบติดเชื้อกามโรค ปวดนานอยู่หลายวัน อาจเกิดก่อนหรือหลังมีรอบเดือนก็ได้

3. เนื้องอกของมดลูก (Leiomyoma)

4. ใส่ห่วงยางอนามัย อาจทำให้เกิดปวดท้องน้อยได้

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะปวดท้องเมนส์แบบใดก็ตาม ขอแนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์-สูตินรีแพทย์ อย่ามามัวอดทนทรมาน เสียการเสียงาน เสียความรู้สึกอยู่เลย แพทย์มีทางแก้ไขรักษาให้คุณ

  • โรคปัญญาอ่อน

หากจะถามถึงสาเหตุของโรคปัญญาอ่อน (ดาวน์ซินโดรน) นั้น ก็คงยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่อาจพอสรุปได้ว่ามีปัจจัยที่สัมพันธ์กับความผิดปกติของโครโมโซม คือ อายุของแม่ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นสาเหตุที่สำคัญของการให้กำเนิดทารกที่มีลักษณะปัญญาอ่อน ดังนี้

แม่อายุ 20 ปี พบ 1 ต่อ 1,925

แม่อายุ 30 ปี พบ 1 ต่อ 85

แม่อายุ 35 ปี พบ 1 ต่อ 365

แม่อายุ 40 ปี พบ 1 ต่อ 110

แม่อายุ 45 ปี พบ 1 ต่อ 32

แม่อายุ 48 ปี พบ 1 ต่อ 16

โดยภาพรวมแล้วความพิการ-ปัญญาอ่อนเป็นผลจากโครโมโซนที่ผิดปกติ ปัจจุบันนี้การตรวจหาสาเหตุเมื่อมีความพิการ-ปัญญาอ่อนสามารถทำได้หลายๆ แห่ง เพื่อค้นหาสาเหตุและป้องกันมิให้เกิดภาวะดังกล่าวเกิดขึ้น ดังนั้น ควรมีการตรวจโครโมโซมในกรณีต่อไปนี้

1. มารดาที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุเกิน 35 ปีขึ้นไป

2. เคยมีประวัติครอบครัวว่ามีคนในครอบครัวมีความผิดปกติ

3. ตัวเตี้ยมากเมื่อเปรียบเทียบกับพี่น้องคนอื่นๆ

 

 

 




 

 

การเดินทางไปเยือนประเทศมาเลเซีย ของ "ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในวันที่ 28 มกราคม 2556 มีวาระสำคัญคือการพบปะกับ ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อหารือถึงการผลักดัน เมืองยางพารา (Rubber City) ให้เกิดขึ้นกับพื้นที่ทางภาคใต้ของไทย เชื่อมโยงกับทางตอนเหนือของมาเลเซีย โดยฝ่ายไทยมีปัจจัยสนับสนุนการเกิดขึ้นของโครงการนี้ก็คือ เพื่อรองรับการที่ไทยอยู่ในฐานะประเทศที่ผลิตยางพาราเป็นอันดับหนึ่งของโลก มีรายได้ในภาคการส่งออกต่อปีกว่า 4 แสนล้านบาท จึงมีความจำเป็นต่อการที่จะรักษาความเป็นผู้นำในเชิงปริมาณ การสร้างมูลค่า และโอกาสเพิ่มรายได้จากภาคการส่งออก



โครงการเมืองยางพารา อันเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เริ่มมีความเด่นชัดมากขึ้นในการขับเคลื่อน นับตั้งแต่ นาจิบ อับดุล ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้หารือนอกรอบกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ระหว่างที่ผู้นำทั้งสองฝ่าย ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่ประเทศรัสเซีย ในเดือนกันยายน 2555 ถ้อยแถลงของผู้นำมาเลเซียต่อโครงการนี้คือ ทั้งมาเลเซียและไทย กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะร่วมกันพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกยางพารา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยางพารา โดยให้น้ำหนักไปยังบริเวณพื้นที่ตามแนวชายแดนที่เป็นเขตติดต่อระหว่างรัฐเกดะห์ ทางตอนเหนือของมาเลเซีย กับ จ.สงขลาและจ.ยะลา



ทั้งนี้ นาจิบ อับดุล ราซัค ประเมินว่า "เมืองยางพารา" จะเป็นผลดีต่อทั้งมาเลเซียและไทย เพราะนี่คือเครื่องมือที่จะทำให้ราคายางพารามีเสถียรภาพ ซึ่งผู้นำมาเลเซีย ได้แต่งตั้งให้ ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เข้ามารับหน้าที่เป็นประธานคณะทำงานฝ่ายมาเลเซียเพื่อศึกษาถึงการจัดตั้ง "เมืองยางพารา" ปัจจัยที่สนับสนุนการเกิดขึ้นของโครงการนี้ก็คือ การที่ทวีปเอเชียเป็นแหล่งปลูกยางพาราที่สำคัญที่สุดของโลก คิดเป็น 94% ของพื้นที่เพาะปลูกทั่วโลก และทั้งไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ล้วนแต่เป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ที่สุด 3 อันดับแรก จำเป็นที่จะต้องสร้างความร่วมมือระหว่างกัน



"ในการเข้าพบกับ อะนิฟาห์ อามาน รัฐมนตรีต่างประเทศ และเยี่ยมคารวะ นาจิบ อับดุล ราซัค นายกรัฐมนตรี ได้หารือถึงการจัดตั้งเมืองยางพารา เพื่อสร้างเสถียรภาพราคายางพาราของ 3 ประเทศ ที่ปลูกยางพารารายใหญ่ ทั้งนี้จะผลักดันให้มีความคืบหน้าโดยเร็วที่สุด ขั้นตอนต่อไป จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างรัฐมนตรี 3 กระทรวง คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมของ 3 ประเทศ เพื่อกำหนดกรอบความร่วมมือและแนวทางที่จะนำมาใช้ในการผลักดันโครงการนี้" สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2555



แรงขับเคลื่อนสำคัญต่อเมืองยางพารา หรือนิคมอุตสาหกรรมยางพาราแบบครบวงจร ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า มาจากท่าทีของนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ที่นำเสนอเรื่องนี้ต่อฝ่ายไทย ในเดือนกันยายน 2555 ด้วยแนวทาง ที่ต้องการเห็นทั้ง 3 ประเทศข้างต้นร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ อันหมายถึงการรักษาเสถียรภาพทางด้านราคาร่วมกัน ทั้งยังเป็นโครงการต่อเนื่องจากภาคีความร่วมมือไตรภาคียาง 3 ประเทศ และกลไกของบริษัทร่วมทุนยาง
 


ทั้งนี้ ฝ่ายมาเลเซีย กำหนดให้พื้นที่รัฐเกดะห์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญของมาเลเซียในรัฐภาคเหนือ และมีพรมแดนติดต่อกับอ.หาดใหญ่ และ อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นฐานการผลิตที่สำคัญ สามารถเชื่อมโยงท่าเรือน้ำลึกปีนัง และท่าเรือน้ำลึกสงขลา ทั้งยังมีโครงข่ายมอเตอร์เวย์เชื่อมพื้นที่เหนือ-ใต้ของประเทศที่ติดกับภาคใต้ของไทยและสิงคโปร์

 

 "ปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดก็คือในระดับนโยบาย ยังไม่มีความชัดเจนในการเห็นความสำคัญต่อยุทธศาสตร์เรื่องยาง การที่มาเลเซียกระตือรือร้นต่อเรื่องของการผลักดันเมืองยางพารา ผมว่านี่คือการสะท้อนของการเห็นความสำคัญ ต่อการสร้างโอกาสให้แก่พืชเศรษฐกิจรายนี้ ทั้งเมืองยางพาราหรือนิคมอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจร เป็นประเด็นที่พูดกันมาอย่างยาวนาน ผมว่าสิ่งที่รัฐบาลควรจะตอบคำถามเฉพาะหน้าก็คือ จะใช้จังหวัดใด เป็นฐาน

 

เพราะตัวเลือกขณะนี้ ไม่ได้มีเพียงสงขลา ยังมีระยอง หนองคาย เลย บึงกาฬ พิษณุโลก แม้แต่เชียงราย ที่ประกาศตัวขอตั้งนิคมอุตสาหกรรมยางพารา หรือแม้แต่โครงการเพิ่มพื้นที่ปลูกยาง 8 แสนไร่ ซึ่งล่าสุด ก็มีท่าทีจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ยุทธพงศ์) ที่ต้องการให้ล้มโครงการเพิ่มพื้นที่ปลูกยาง 8 แสนไร่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยด้านลบต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ยางพารา การเจรจากับมาเลเซีย สำหรับผมแล้วนั่นการที่เพื่อนบ้านจะสร้างความได้เปรียบให้แก่ตัวเองมากขึ้น" เพิก เลิศวังพง ประธานชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยให้ความเห็น


เป็นภาพรวมของก้าวเดินต่อแนวคิดผลักดันให้เกิด "เมืองยางพารา" ที่กำลังจะขับเคลื่อนอีกครั้งโดยมีแรงสนับสนุนสำคัญมาจากมาเลเซีย
 

 

guest

Post : 2013-01-25 21:03:11.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เรื่องของผี

ขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ วันนี้วันพระ

 

                                                  

                                                        

                                                                         เรื่องของผี

 

                                   โพสท์ในเวปกองทัพพลังจิต โดยคุณ Kamen rider เมื่อ 10-01-2005

 

                                             

 

 

นานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่งรักกันมาก ต่อมาภรรยาเกิดล้มป่วยหนักจะไม่รอดแล้ว จึงได้ขอร้องสามีว่า ถ้านางตายจากไปแล้วขออย่าได้ไปมีหญิงอื่นอีก ถ้าไม่เชื่อนางก็จะเป็นผีมารบกวนไม่หยุด หลังจากภรรยาตายไปแล้ว ชายผู้นั้นก็ได้ปฏิบัติตามคำขอร้องด้วยดี จนเวลาล่วงเลยไปกว่า 3 เดือน ก็ได้พบรักกับหญิงคนใหม่จนถึงกับทำการหมั้นหมายกัน

 

เมื่อเป็นเช่นนั้น พอตกกลางคืนผีภรรยาเดิม ก็มาตัดพ้อต่อว่าต่างๆ นานา แม้ชายผู้นั้นจะชี้แจงอย่างไร ผีภรรยาเดิมก็ไม่ยอม เขาไปทำอะไรๆ มาแม้จะลับอย่างไรผีภรรยาก็รู้หมด เป็นเช่นนี้ทุกคืน เขาจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอม ญาติมิตรก็ได้แต่ปลอบโยน แต่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ จนสุดที่จะทน ชายผู้นั้นจึงได้ไปหารือกับอาจารย์เซ็น ซึ่งอยู่วัดใกล้ๆ บนเขา ท่านอาจารย์นั่งฟังอย่างเห็นใจ ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าผีภรรยาที่มาหาเขาทุกคืนนั้นคืออะไร แต่จะอธิบายให้เขาฟังคงยาก

 

"โอ ผีเมียเจ้านี่ช่างรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเลยรึ ตอนนี้ถ้ามันมาอีกเจ้าลองให้มันทายปัญหาดู และสัญญาไว้เลยว่า ถ้าหากผีตอบปัญหาได้ เจ้าจะยอมถอนหมั้นและอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต"หลวงพ่อแนะ

"จะให้ผมถามอะไรล่ะครับ?" ชายผู้นั้นสงสัย

 

 "เจ้าจงหาเมล็ดถั่วไว้กำมือใหญ่ แล้วให้ผีทายว่ามีกี่เมล็ด หากผีทายไม่ได้ เจ้าจะได้รู้เสียที ว่าผีที่เจ้ารู้เห็นนั้นคืออะไร"

ตกคืนนั้นผีก็มาอีก ชายผู้นั้นก็กล่าวยกย่องว่าผีฉลาด รู้อะไรไปเสียหมดทุกอย่าง

"แน่ละซี วันนี้เธอไปหาอาจารย์บนเขาฉันยังรู้เลย" ผีรับคำ

 

ชายผู้นั้นจึงรีบถามคำถามที่หลวงพ่อแนะนำมา

"เธอรู้ดีอย่างนั้น ลองบอกมาซิว่า ถั่วในกำมือนี้มีกี่เมล็ด ?"

ในที่สุด ชายผู้นั้นก็ทราบว่า "ผี" ที่มาหลอกทุกคืนนั้นคืออะไร ผีตอบไม่ได้ เพราะตัวเขาเองไม่ได้นับถั่วไว้ก่อนนั่นเอง

 

                                

guest

Post : 2013-01-24 21:56:42.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ใครฆ่า จอมโจรตี๋ใหญ่กันเเน่?!!..

 

 

 

                      ใครฆ่า จอมโจรตี๋ใหญ่กันเเน่?!!..

 

 

(24.00)

 

 

                                    

                                                      ภาพถ่ายตัวจริงของตี๋ใหญ่

    

 

ตี๋ใหญ่ มีชื่อจริงว่า กรประเสริฐ ช่างเขียน เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน เกิดเมื่อปลายปี พ.ศ. 2495 ที่ อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เดิมมีชื่อว่า "ไพโรจน์" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น กรประเสริฐ เป็นลูกชายคนโตในจำนวนลูก ๆ ทั้ง 7 คนของครอบครัว เมื่อยังเด็ก ตี๋ใหญ่เป็นคนนิสัยสุภาพเรียบร้อย ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นอาชญากรได้เลย จนกระทั่งเรียนจบ ป.4 แม่ได้ส่งเข้ามาทำงานที่กรุงเทพที่ตลาดมหานาค ณ ที่นั่นตี๋ใหญ่ถูกนักเลงเจ้าถิ่นรังแก เลยทำให้เป็นคนสู้คนขึ้นมา จนกระทั่งก่ออาชญากรรมได้ในที่สุด ซึ่งเมื่อพ่อของตี๋ใหญ่ทราบว่าลูกชายเป็นโจร ก็ประกาศตัดขาดความเป็นพ่อ-ลูกกันและไม่ยอมให้ตี๋ใหญ่กลับเข้าบ้านอีกเป็นอันขาด

 

 

ตี๋ใหญ่ โด่งดังจากการเป็นโจรปล้นฆ่าชื่อเสียงโด่งดัง ในราวก่อนปี พ.ศ. 2520 โดยจะปล้นฆ่าไปทั่วแถบบริเวณ จ.ราชบุรีและหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง และบางส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้แล้ว ตี๋ใหญ่ ยังถือเป็นโจรใจเด็ด เพราะเคยหนีตำรวจโดยกระโดดลงจากรถไฟมาแล้ว และสลัดกุญแจมือด้วยการซ่อนตัวอยู่ใต้สะพานให้รถไฟทับให้ขาด ในขณะที่ถูกควบคุมตัวบนขบวนรถไฟจากกรุงเทพไปขึ้นศาลที่เชียงใหม่จากคดีปล้นร้านทองที่เขตภาษีเจริญ เมื่อปี พ.ศ. 2518 และยังเคยบุกปล้นคุกเพื่อช่วยลูกน้อยที่ติดคุกอยู่อีกด้วย และนอกจากนี้ยังเชื่อว่ากัน ตี๋ใหญ่ เป็นโจรจอมขมังเวทย์ มีคาถาอาคมกำบังหายตัวได้ จึงทำให้หลุดรอดจากการจับกุมของทางการอยู่เสมอ ๆ

 

 

นอกจากนี้แล้ว ตี๋ใหญ่ ยังเป็นโจรเจ้าชู้ กล่าวกันว่ามีภรรยาหลายคน เพราะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง โดยตี๋ใหญ่โกหกชื่อตน ว่าชื่อแจ็คบ้าง ไพโรจน์บ้าง เป็นต้น โดยที่ภรรยาเหล่านี้บางคนยังไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่า สามีของตนนั้นเป็นโจร ปัจจุบันบุตรชายของตี๋ใหญ่มีเพียงคนเดียว

 

 

ตี๋ใหญ่มักจะอยู่ไม่เป็นที่ ต้องคอยหลบหนีตลอด โดยเวลานอนจะจุดธูปหนีบไว้ที่นิ้วเท้าเมื่อธูปหมดดอก ก็จะย้ายไปที่อื่น ตี๋ใหญ่มีเอกลักษณ์ประจำตัวคือ มักจะแต่งกายด้วยเสื้อเชิร์ตลายสก๊อต กางเกงยีนส์สีดำ สวมแว่นตาดำ และรองเท้าผ้าใบ เวลาตี๋ใหญ่ออกปล้นมักจะฆ่าเจ้าทรัพย์ด้วยความโหดเหี้ยม โดยจะส่งเสียงขู่ด้วยน้ำเสียงที่น่าหวาดกลัว แต่ก็เสียงเล่าลือกันอีกว่า ในบางครั้งตี๋ใหญ่ก็ปล้นแต่เฉพาะคนรวย และใครเคยช่วยเหลือก็ไม่เคยลืมบุญคุณและจะนำทรัพย์สินที่ปล้นได้มาแบ่งให้ โดยวางทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นที่เล่าลือของตี๋ใหญ่คือ เมื่อหลบหนีตำรวจ จะใช้วิธีดำน้ำโดยการใช้ปากดูดอากาศจากก้านบัวเหมือนหลอด ซึ่งตี๋ใหญ่เคยทำแบบนี้มาตั้งแต่สมัยยังเด็ก ๆ เพราะสภาพแวดล้อมแถวบ้านเป็นเรือกสวนไร่นาและลำคลอง

 

 

ตี๋ใหญ่ได้เสียชีวิตในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 โดยตำรวจโดยการนำของ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ (ยศในปัจจุบัน-อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล) เล่ากันว่าที่ตี๋ใหญ่เสียชีวิตนั้น เพราะกำลังหลบหนี ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันได้ให้ลูกน้องขับรถกระบะไปรับเพื่อไปหาพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่ง คือ พระครูสมุทรธรรมสุนทร (สุด สิริธโร) หรือหลวงพ่อสุด วัดกาหลง ที่ จ.สมุทรสาคร เพื่อไปขอพระจากท่านเพราะของเดิมถูกเพื่อนขโมยไปทั้งตะกรุดและพระ แต่ไม่พบ ขณะที่เดินทางกลับ ได้ถูกเพื่อนร่วมเดินทางซึ่งเป็นลูกน้องหักหลังยิงตี๋ใหญ่จนตาย แล้วรีบออกจากรถ หลังจากตำรวจมาถึงรถที่ตี๋ใหญ่ตายอยู่ในรถก็ได้ระดมยิงถล่มรถอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าตี๋ใหญ่ได้ตายอยู่ในรถก่อนหน้านี้แล้ว แต่ทว่าจากคำบอกกล่าวของลูกน้องคนนึงของตี๋ใหญ่ กล่าวว่า ตี๋ใหญ่ถูกลูกน้องคนนี้หักหลัง ด้วยถูกตำรวจจ้างด้วยเงิน 200,000 บาท พร้อมให้สัญญาจะช่วยในคดีฆ่าคนตาย 2 คดีให้หลุดพ้น ซึ่งตี๋ใหญ่ไม่ได้ถูกตำรวจฆ่าตายเลย

 

 

ภายหลังจากการเสียชีวิตแล้ว ยังมีเสียงเล่าลือกันว่า ตี๋ใหญ่แท้จริงยังไม่ตาย บ้างก็ลือกันว่าตี๋ใหญ่ได้หนีไปอยู่สหรัฐอเมริกา บ้างก็เชื่อว่าที่ตี๋ใหญ่เสียท่าแก่ตำรวจ เพราะได้หลบไปซ่อนอยู่ใต้ผ้าถุง อาคมในตัวจึงเสื่อม เป็นต้น เรื่องราวของตี๋ใหญ่ยังถูกเล่าขานต่อ ๆ กันมา จึงได้ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์ 3 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2528 ทางช่อง 5 ผู้ที่รับบทตี๋ใหญ่ คือ ฉัตรชัย เปล่งพานิช พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ รับบทโดย ฐาปกรณ์ ดิษยนันท์ ครั้งที่ 2ในปี พ.ศ. 2543 ทางช่อง 3 ผู้รับบทตี๋ใหญ่ คือ ศรราม เทพพิทักษ์ และ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ รับบทโดย ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์ และครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2556 ทางช่อง 8 อินฟินีตี้ ผู้ที่รับบทตี๋ใหญ่ คือ รัฐภูมิ โตคงทรัพย์

 

 

 

 

                            *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

                      "อย่าลืมล่ะ?!.."

 

 

 

 

              

 

 

 

 

 

....โทรมานะ เบอร์ให้ไว้ อย่าให้หาย

 

เดี๋ยวจะกลาย ว่าเรารอ ขอเถิดหนา

 

ถึงบ้านปุ๊ป ก็โทรปั๊บ จับเวลา

 

ให้รู้ว่า เรายังคอย น้อยใจเป็น

 

 

 

....เเม่มาตาม เท่านี่้พอ พ่อให้กลับ

 

ต้องลาลับ กลับเดี๋ยวนี้ ที่เธอเห็น

 

นะอย่าลืม โทรมา อย่าใจเย็น

 

หลบหลีกเร้น ห้ามลืมเลย เฉยไม่เอา!!...

 

 

 

 

             "สาธิต"โดนสวดยับ โพสต์เฟซบุ๊กเหน็บ 4 นักการเมือง

                    "ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น" !!

 

วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 15:44:35 น.

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ "สาธิต ปิตุเตชะ" โดยเป็นการโพสต์รูปของ 4 นักการเมือง ประกอบด้วย นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา นายชุมพล ศิลปอาชา อดีตรองนายกฯ และรมว.การท่องเที่ยวฯ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พร้อมข้อความของภาพว่า "อนิจจัง สังขารไม่เที่ยงแท้" ซึ่งบนรูปภาพของแต่ละคนมีข้อความที่เป็นคำแสดงมรณสติ ระบุไว้ด้านบนของภาพ
 
โดยภาพนายสมัครมีคำว่า "ไปไม่กลับ" พล.ต.สนั่น มีคำว่า "หลับไม่ตื่น" นายชุมพลมีคำว่า "ฟื้นไม่มี" และ พ.ต.ท.ทักษิณมีคำว่า "หนีไม่พ้น" ทั้งนี้ ในช่องแสดงความเห็นมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและคัดค้านการโพสต์รูปดังกล่าว รวมทั้งฝ่ายตรงข้ามได้เข้ามาแสดงความเห็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการโพสต์รูปดังกล่าว และขอให้ลบภาพนี้ออกไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเล่นกับความตายของคนอื่นและไม่สร้างสรรค์
 
ขณะที่นายสาธิตได้โพสต์ข้อความแรกในภาพเพื่อชี้แจงว่า "ผมแอดมินขอชี้แจงกรณีนี้ครับว่า มิได้มีเจตนาที่จะลบหลู่ หรือเอาญาติผู้ใหญ่ใครเล่นสนุกเลย เป็นการพูดถึงสัจธรรมของชีวิตสื่อความหมายว่าจะอย่างไรก็เท่านี้ปลายทางชีวิต มิได้มีข้อความว่าใครทั้งสิ้น แต่เพื่อความสบายใจนะครับ ผมขออภัยหากใครคิดมากไปถึงไหนอย่างไร และไม่มีเจตนาอย่างที่เข้าใจเลย"
 
จากนั้นมีการโพสต์อีกหลายครั้ง อาทิ "ประสบความสำเร็จ พวกควายแดงและไม่ควายแดงเผยโฉมมาเพียบ พี่น้องที่เป็นกลางและมีสติผมขอโทษไปแล้ว แต่สำหรับพวกสันดานด่าหยาบคายเราทำดีแค่ไหนพวกนี้ก็หาเรื่องด่าได้ไม่ต้องเป็นห่วง เอาว่าแยกไม่ออกระหว่างความรักทักษิณ กับความชั่วที่ทำต่อประเทศชาติอันนี้ก็ชัดแล้ว" รวมทั้ง "จะยังไงผมไม่เคยโกงชาติ ด่าหรือบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง" และ"ที่สำคัญผมไม่โกงชาติ ไม่บ่อนทำลายหรือด่าสถาบัน ที่ทำเพื่อประเทศครับ"

rHXeIM.JPG

 

 

 

guest

Post : 2013-01-23 23:00:07.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  รักต่างศาสนา

 

  

 

(cradit:http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?)

~~~~**ขอถามสาวๆที่เป็นมุสลิม หรือผู้รู้ค่ะ**~~~~
มีเรื่องสงสัยรบกวนขอคำตอบ ดังนี้ค่ะ



1. สาวมุสลิมในปัจจุบันยุค 2010 นี่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับชายคนรักก่อนแต่งงานได้หรือไม่ ผิดจารีตหรือไม่(รวมถึงกรณีอยู่กินกันก่อนด้วย)

2.สาวมุสลิมสามารถแต่งงานกับชายที่เป็นไทยพุทธได้หรือไม่ (หากชายคนนั้นไม่เปลี่ยนไปนับถือมุสลิม จะมีผลอะไรหรือไม่)

3.สาวมุสลิมสามารถไปร่วมงานบวชของชายคนรักหรือสามีได้หรือไม่

4.หากสาวมุสลิมมีบุตรกับชายที่นับถือพุทธ ต้องให้บุตรนับถือศาสนาอิสลามเท่านั้นหรือไม่

5.สาวมุสลิมสามารถร่วมพิธีทางสงฆ์กับครอบครัวของคนรักได้หรือไม่ (งานบวช,งานแต่ง,ขึ้นบ้านใหม่,งานศพ เป็นต้น)

6.สาวมุสลิมหากแต่งงานกับคนศาสนาอื่น ต้องทำพิธีแต่งงานทางศาสนาอิสลามเท่านั้นหรือไม่

7.สาวมุสลิมสามารถดิ่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ได้หรือไม่

8. สาวมุสลิมสามารถไปเที่ยวตามสถานที่เที่ยวกลางคืนได้หรือไม่

คือมันสงสัยหน่ะค่ะ รบกวนหาคำตอบให้ด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ

จากคุณ : คนไม่รักดี
-------------------------------------------------

สวัสดีครับ คุณคนไม่รักดี
คุณน่าจะไปโพสต์ ในหมวดศาสนา - ปรัชญา นะครับ จะได้คำตอบมากว่านี้แน่นอน เพราะเหล่าผู้รู้ศาสนาทั้งหลายเค้าจำศีลอยู่ที่นั่นกันครับ

สำหรับคำถามของคุณขออนุญาตตอบดังนี้

1. สาวมุสลิมในปัจจุบันยุค 2010 นี่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับชายคนรักก่อนแต่งงานได้หรือไม่ ผิดจารีตหรือไม่(รวมถึงกรณีอยู่กินกันก่อนด้วย)
>>> ไม่ว่า เวลาจะหมุนผ่านไปนานเท่าใด หลักการอิสลามยังคงเดิมเสมอครับ เพศสัมพันธ์ในอิสลาม ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หรือความสนุกชั่วครั้งคราว การแต่งงานก็เช่นกัน

ในศาสนาอิสลามการแต่งงาน ไม่ถือเป็นประเพณี แต่มันอยู่ในหลักการของ หลักชารีอะฮ์ หรือประมวลนิติศาสตร์อิสลาม นั่นก็คือ การแต่งงานถือเป็นหนึ่งในกฎหมายอิสลาม และนี่ก็คือเหตุผลที่การแต่งงานของอิสลามจะต้องประกอบด้วยพยานบุคคลอย่างน้อย 2 คน...ความสัมพันธ์ระหว่างชาย หญิงคู่หนึ่ง จะถูกยอมรับว่าถูกต้องเมื่อผ่านการแต่งงานเท่านั้น การที่ชายหญิงอยู่ร่วมกันโดยไม่ได้แต่งงานให้ถูกต้อง ถือเป็นซีนา หรือความผิดในข้อหา ล่วงประเวณี

การอ้างว่า อยู่ก่อนแต่ง เพื่อศึกษานิสัยใจคอนั้น เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากการศึกษานิสัย ใจคอนั้น ไม่จำเป็นต้องเอาร่างกายเข้าแลก การเอาร่างกายเข้าแลกเป็นเพียงข้ออ้างของการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น...มันจึงเป็นเพียงข้ออ้าง ข้าง ๆ คู ๆ ของคนที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจตนเอง ไม่สามารถเอาชนะอารมณ์ไฝ่ตำของตนได้

แต่หากว่า ชาย หญิงคู่ใด สำนึกตัวและเสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไปและกลับมาแต่งงานให้ถูกต้องตามหลักศาสนา พระผู้เป็นเจ้าก็พร้อมอภัยให้เสมอ (หากพระองค์ทรงประสงค์)

2.สาวมุสลิมสามารถแต่งงานกับชายที่เป็นไทยพุทธได้หรือไม่ (หากชายคนนั้นไม่เปลี่ยนไปนับถือมุสลิม จะมีผลอะไรหรือไม่)
>>>หากเขาไม่หันมานับถืออิสลาม การแต่งงานตามหลักอิสลามก็ไม่มีผล เมื่อไม่มีผล การแต่งงานกับบุคคลต่างศาสนิก จึงไม่เป็นที่อนุมัติ

"และพวกเจ้าจงอย่าแต่งงานกับหญิงมุชริก จนกว่านางจะศรัทธา และทาสหญิงที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดียิ่งกว่าหญิงที่เป็นมุชริก แม้ว่านางได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม และพวกเจ้าจงอย่าให้แต่งงานกับบรรดาชายมุชริก จนกว่าพวกเขาจะศรัทธา และทาสชายที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดีกว่าชายมุชริก และแม้ว่าเขาได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม ชนเหล่านี้แหละจะชักชวนไปสู่ไฟนรกและอัลลอฮ์นั้นทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์ และไปสู่การอภัยโทษ ด้วยอนุมัติของพระองค์ และพระองค์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึกกันได้" (กุรอาน 2:221)

3..สาวมุสลิมสามารถไปร่วมงานบวชของชายคนรักหรือสามีได้หรือไม่
>>>ไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากงานบวช เป็นพิธีกรรมทางศาสนา กระทำไปด้วยเหตุผลทางศาสนา ไม่ใช่เพื่อการสงเคราะห์เหลือช่วยเหลือสังคม ดังนั้นจึงไม่เป็นที่อนุญาตให้มุสลิมเข้าร่วมพิธีการของศาสนาอื่น

4.หากสาวมุสลิมมีบุตรกับชายที่นับถือพุทธ ต้องให้บุตรนับถือศาสนาอิสลามเท่านั้นหรือไม่
>>>อิสลามนั้นถือว่า เด็กเกิดมาด้วยความบริสุทธิ์ เหมือนผ้าขาว บุพการีนั้นแหละคือผู้ที่จะทำให้เด็กกลายเป็นผ้าสีอื่น ๆ หากคุณพอใจที่จะให้เขาได้รับรู้อิสลาม คุณก็จงสอนเขา หากคุณต้องการให้เขาเป็นพุทธ คุณก็จงสอนเขา แต่ตัวเขาจะเป็นผู้เลือกเองในที่สุด (หากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์)

5.สาวมุสลิมสามารถร่วมพิธีทางสงฆ์กับครอบครัวของคนรักได้หรือไม่ (งานบวช,งานแต่ง,ขึ้นบ้านใหม่,งานศพ เป็นต้น)
>>>ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่า พิธีการใดเป็นไปเพื่อศาสนา ไม่อนุมัติให้กระทำ แต่หากเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็เป็นที่อนุโลม เช่น ในงานศพ คุณอาจช่วยเหลือเจ้าภาพ ในการทำอาหารเลี้ยงผู้มาคาราวะศพได้ แต่คุณไม่อาจเข้าร่วมงานสวดพระอภิธรรมได้ เป็นต้น

6.สาวมุสลิมหากแต่งงานกับคนศาสนาอื่น ต้องทำพิธีแต่งงานทางศาสนาอิสลามเท่านั้นหรือไม่
>>>ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หากคุณยังยึดแนวทางของอิสลามอยู่ คุณก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอิสลาม

7.สาวมุสลิมสามารถดิ่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ได้หรือไม่
>>>ไม่เป็นที่อนุมัติ ให้ดื่ม หรือบริโภคสิ่งใดที่ทำให้ร่างกายขาดสติ หรือทำให้ร่างกายมึนงง ควบคุมตนเองไม่ได้ รวมถึง สิ่งใดก็ตามที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ร่างกาย

8.สาวมุสลิมสามารถไปเที่ยวตามสถานที่เที่ยวกลางคืนได้หรือไม่
>>>ไม่เป็นที่อนุมัติอีกเช่นกัน...มุสลิม คือผู้ที่วางตนอยู่บนหลักของเหตุผล วางตนอยู่บนความสมถะ เดินอยู่ในเส้นทางสายกลาง การปล่อยตัว ปล่อยใจ กระทำอะไรก็ตามเพียงเพื่อคำว่า สนุกสนาน เฮฮา ไม่ไช่สิ่งที่มีสาระ การเที่ยวกลางคืน มีประโยชน์อันใด ล้วนแต่จะนำคุณให้เดินไปในแนวทางของผู้ที่ประมาทในชีวิต นำคุณสู่การดื่มเหล้าเมามาย นำคุณสู่อบายมุขอื่น ๆ และการผิดประเวณี

หากคุณสงสัยสิ่งใดเพิ่มเติม ไปโพสต์ไว้ในหัวข้อ ศาสนา-ปรัชญา นะครับ หรือเมล์มาถามผมได้ ที่ kheedes@yahoo.com ครับ

ด้วยจิตคารวะ

cradit:http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/library/topic/K2906024/K2906024.html
 

 

 

 

 

                         *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

                                     จะไปต่อ...

 

 

 

 

 

                        

 

 

 

 

 

 

 

....ถึงจะผิด พลาดพลั้งไป เเต่ใจสู้

 

น่าอดสู ที่เผลอไผล ไหลถลา

 

เจ็บยิ่งนัก เหมือนตอกทำ ย้ำน้ำตา

 

รู้ดีว่า ไม่ทันเเน่ เเพ้ยับเยิน

 

 

 

 

....หน่อยเพียงนิด ให้นั่งได้ จะไปต่อ

 

จะไม่ขอ ให้ใครช่วย ด้วยขัดเขิน

 

อาจช้านิด ไม่ต้องคอย จะค่อยเดิน

 

เวลาเกิน ผิดมหันต์ ฉันก็ไป......

 

 

 

 

 

 

 

 

หม่อมอุ๋ย'จัดหนักจวกรบ.ใช้'ประชานิยมน'หาเสียงแบบมักง่าย

 

 

วันนี้ (23 ม.ค.) สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี ภายใต้หัวข้อเรื่อง "โจทย์ท้าทาย อนาคตเศรษฐกิจไทยปี 2556" เมื่อ 08.30-12.00 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

 

ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล อดีต รมว.คลัง กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ "โจทย์ท้าทาย อนาคตเศรษฐกิจไทย" ว่า โจทย์ท้าทายอนาคตเศรษฐกิจไทย มีอยู่ 2 ด้าน คือ ด้านหนทางเศรษฐกิจจะเจริญเติบโตต่อไปได้อย่างไร และด้านการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งต้องย้อนกลับไปดูว่า ปัจจัยที่หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมาจากอะไร โดยก่อนปี 2500 ประเทศไทยเจริญเติบโตด้วยภาคเกษตรกรรม มีการส่งออกพืชผลและแร่ มีการค้าขายในประเทศ โดยเศรษฐกิจมีการเติบโตไม่ถึง 5%

 

แต่หลังจากปี 2500-2525 ไทยเปิดประเทศมากขึ้นมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศ มีการเพิ่มอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า (ปลายน้ำ) ส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป และธุรกิจบริการอื่นๆ ซึ่งเศรษฐกิจโตถึง 6-7% และเมื่อปี 2525-2550 ประเทศไทยเดินหน้าอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบมีอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เป็นส่วนของ Supply Chain ของภูมิภาคและโลก ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดอย่างมาก มีการส่งออกสินค้าหลากหลายประเภททุกรูปแบบ ธุรกิจบริการก้าวหน้า โดยเศรษฐกิจช่วงนั้นโต 8-10% แต่หลังปี 2550 เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง 4-5% เนื่องจากแรงงานเริ่มขาดแคลนทำให้ต้องจ้างแรงงานต่างชาติ พื้นที่สำหรับลงทุนมีจำกัดลง



ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวด้วยว่า ารบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ไม่ดูแลรักษาเรื่องวินัยการเงินการคลังให้ดี นโยบายประชานิยมที่นำมาใช้เป็นการหาคะแนนนิยม ด้วยวิธีการที่มักง่าย ขาดความละอายต่อบาป (หิริโอตัปปะ) ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายต่องบประมาณของแผ่นดิน โดยผลเสียจะไปตกกับรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารงานต่อจากรัฐบาลนี้ และคงเป็นเรื่องยากที่จะหาแนวทางป้องกันไม่ให้มีการนำงบประมาณไปใช้ในการสร้างคะแนนนิยมให้กับตัวเอง



ทั้งนี้ ยอดหนี้สาธารณะก่อนขาดทุนรับจำนำข้าวอยู่ที่ 8.6 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าหากดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป หนี้สาธารณะ ณ สิ้น เดือนกันยายน ปี 2562 จะอยู่ที่ 10.3 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63.7% ของ GDP

 

 

 

 

อุ๋ยร้อยจุดก็ใช่ย่อย แทรกแซงค่าเงินบาท จนเสียหาย 800,000 ล้านบาท ในเวลาไม่ถึงเดือน แต่ค่าเงินบาทก็แข็งค่าเหมือนเดิม แก้ปัญหาไม่ได้ไม่พอ ยังทำประเทศเกือบเจ๊ง

 

 

หม่อมอุ๋ย เป็น รมว คลัง สมัย รบ.ขิงแก่ ตอนนั้นแทรกแซงค่าเงินบาท จนหุ้นลงไป 100 จุด ธปท รายงานว่าทำให้เสียหายไป แปดแสนล้าน แล้วหม่อมรู้ตัวว่า ทำผิด เลยยอมถอย

 

 

 

guest

Post : 2013-01-22 20:35:11.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  มหาสมุทรลึกที่สุดในโลก

 

 

พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - ยานสำรวจน้ำลึก "ทรีเอสต์" ดำลงไปถึงจุดที่ลึกที่สุดในมหาสมุทรมาเรียนาเทรนช์ ความลึก 10,916

เมตร (35,813 ฟุต)

 

 

                   
 
 
 
 
             ยานทรีเอสต์กำลังเตรียมทำการดำลงสู่ก้นมหาสมุทรที่ลึกที่สุดเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2503
 
 
 
 

                       

                                          ตำแหน่งของร่องลึกบาดาลมาเรียนา

 

ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา (อังกฤษ: Mariana Trench, Marianas Trench) เป็นชื่อธรณีวิทยาทางทะเลของร่องลึกก้นสมุทรที่ลึกที่สุดในโลก และเป็นจุดที่ต่ำที่สุดของเปลือกโลกเท่าที่ทราบกันในปัจจุบัน ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนามีตำแหน่งอยู่ที่ก้นมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และอยู่ในแนวตะวันออกและแนวใต้ของหมู่เกาะมาเรียนาพิกัด 11° 21’ เหนือ และ 142° 12’ ตะวันออก ใกล้เกาะกวม

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ลักษณะ

ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาเป็นแนวเขตที่แผ่นธรณีแปรสัณฐาน หรือที่เรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า "Tectonic Plates" สองแผ่นมาชนกัน ณ บริเวณเขตมุดตัวของเปลือกโลก (subduction zone) โดยแผ่นธรณีแปซิฟิก เป็นฝ่ายลอดลงไปใต้แผ่นธรณีมาเรียนา ก้นของร่องลึก ณ จุดนี้ที่มีชื่อเรียกว่า "แชลเลนเจอร์ดีป" (Challenger Deep) อยู่ลึกกว่าความสูงของยอดเขาเอเวอเรสต์ที่อยู่บนแผ่นดิน ความลึกมากสุดของร่องที่วัดได้ ณ จุดนี้ ลึกมากถึง 10,911 เมตรจากระดับน้ำทะเล และหากวัดละติจูดและ ส่วนอ้วนจากแรงเหวี่ยงแถบเส้นศูนย์สูตร (equatorial bulge) จะได้ระยะของจุดลึกสุดของร่องได้ 6,366,400 เมตรจากจุดใจกลางของโลก ในขณะที่มหาสมุทรอาร์กติกซึ่งมีความลึกมากที่สุดประมาณ 4,500 เมตร แต่เมื่อวัดพื้นผิวก้นมหาสมุทรถึงจุดใจกลางโลกกลับได้ระยะ 6,353,000 เมตร ใกล้จุดใจกลางโลกมากกว่าร่องลึกบาดาลมาเรียนาถึง 13 กิโลเมตร

[แก้] การสำรวจ

แผ่นธรณีแปซิฟิกที่มุดตัวลงไปใต้แผ่นธรณีมาเรียนา, ในส่วนที่เป็นร่องลึกมาเรียนา, และ (เพิ่มเติมเกี่ยวกับ)ส่วนโค้งของร่องลึก เป็นน้ำพุร้อนจะถูกปล่อยออกมาพร้อมกับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และ เกิดการระเบิดขึ้นในรูปแบบของภูเขาไฟใต้สมุทร.

ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนานี้ได้รับการสำรวจพบในปี พ.ศ. 2494 โดยเรือราชนาวีอเมริกันชื่อแชลเลนเจอร์ซึ่งได้ใช้ชื่อเรือนี้เรียกจุดลึกสุดดังกล่าว เรือแชลเลนเจอร์ 2 ใช้เครื่องวัดเสียงสะท้อน (echo sounding) วัดความลึกได้ 5,960 ฟาทอม (11,022 เมตร) ณ พิกัด 11° 19’ เหนือ 142° 15’ ตะวันออก การวัดเสียงสะท้อนนี้ได้กระทำซ้ำโดยใช้หูฟังเสียงสะท้อนกลับในขณะที่เข็มเสียงลากผ่านระยะความลึกที่ความเร็วของเสียงค่อย ๆ ต่างกันตามความหนาแน่นของน้ำตามความลึก ในขณะเดียวกันที่ตัวเครื่องวัดเสียงสะท้อนก็ได้ใช้นาฬิกาจับเวลาชนิดมือถือจับด้วย ด้วยวิธีที่ฉลาดนี้ทำให้ต้องหักความลึกจากการคำนวณความต่างออกไป 20 ฟาทอม ตัวเลขเป็นทางการจึงได้รับการรับรองที่ 5,940 ฟาทอม หรือ 10,863 เมตร

ในปี พ.ศ. 2500 เรือของสหภาพโซเวียตชื่อ วีเตียซ (Vityaz) ได้รายงานความลึกที่ 10,034 เมตร โดยตั้งชื่อว่า "หลุมกลวงมาเรียนา" (Mariana Hollow) ในปี พ.ศ. 2503 สเปนเซอร์ เอฟ. แบร์ด บันทึกความลึกมากสุดได้ 10,915 เมตร ใน พ.ศ. 2527 รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเรือสำรวจที่ออกแบบพิเศษชื่อ "ทะกุโย" (Takuyō - 拓洋) ลงไปสำรวจร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาและเก็บข้อมูลโดยใช้ลำแสงแคบหลายลำแสง ร่วม ได้ความลึกที่ 10,924 เมตร ความลึกที่แม่นยำที่สุดได้จากการสำรวจของเรือดำนำลึกอีกลำหนึ่งชื่อ "ไคโก" (Kaikō - かいこう) เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2538 ได้ความลึกที่ 10,911 เมตร

ยานทรีเอสต์กำลังเตรียมทำการดำลงสู่ก้นมหาสมุทรที่ลึกที่สุดเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2503

 

 

 

ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาเป็นแนวเขตที่แผ่นธรณีแปรสัณฐาน หรือที่เรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า "Tectonic Plates" สองแผ่นมาชนกัน ณ บริเวณเขตมุดตัวของเปลือกโลก (subduction zone) โดยแผ่นธรณีแปซิฟิก เป็นฝ่ายลอดลงไปใต้แผ่นธรณีมาเรียนา ก้นของร่องลึก ณ จุดนี้ที่มีชื่อเรียกว่า "แชลเลนเจอร์ดีป" (Challenger Deep) อยู่ลึกกว่าความสูงของยอดเขาเอเวอเรสต์ที่อยู่บนแผ่นดิน ความลึกมากสุดของร่องที่วัดได้ ณ จุดนี้ ลึกมากถึง 10,911 เมตรจากระดับน้ำทะเล และหากวัดละติจูดและ ส่วนอ้วนจากแรงเหวี่ยงแถบเส้นศูนย์สูตร (equatorial bulge) จะได้ระยะของจุดลึกสุดของร่องได้ 6,366,400 เมตรจากจุดใจกลางของโลก ในขณะที่มหาสมุทรอาร์กติกซึ่งมีความลึกมากที่สุดประมาณ 4,500 เมตร แต่เมื่อวัดพื้นผิวก้นมหาสมุทรถึงจุดใจกลางโลกกลับได้ระยะ 6,353,000 เมตร ใกล้จุดใจกลางโลกมากกว่าร่องลึกบาดาลมาเรียนาถึง 13 กิโลเมตร

การสำรวจ

ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนานี้ได้รับการสำรวจพบในปี พ.ศ. 2494 โดยเรือราชนาวีอเมริกันชื่อแชลเลนเจอร์ซึ่งได้ใช้ชื่อเรือนี้เรียกจุดลึกสุดดังกล่าว เรือแชลเลนเจอร์ 2 ใช้เครื่องวัดเสียงสะท้อน (echo sounding) วัดความลึกได้ 5,960 ฟาทอม (11,022 เมตร) ณ พิกัด 11° 19’ เหนือ 142° 15’ ตะวันออก การวัดเสียงสะท้อนนี้ได้กระทำซ้ำโดยใช้หูฟังเสียงสะท้อนกลับในขณะที่เข็มเสียงลากผ่านระยะความลึกที่ความเร็วของเสียงค่อย ๆ ต่างกันตามความหนาแน่นของน้ำตามความลึก ในขณะเดียวกันที่ตัวเครื่องวัดเสียงสะท้อนก็ได้ใช้นาฬิกาจับเวลาชนิดมือถือจับด้วย ด้วยวิธีที่ฉลาดนี้ทำให้ต้องหักความลึกจากการคำนวณความต่างออกไป 20 ฟาทอม ตัวเลขเป็นทางการจึงได้รับการรับรองที่ 5,940 ฟาทอม หรือ 10,863 เมตร

ในปี พ.ศ. 2500 เรือของสหภาพโซเวียตชื่อ วีเตียซ (Vityaz) ได้รายงานความลึกที่ 10,034 เมตร โดยตั้งชื่อว่า "หลุมกลวงมาเรียนา" (Mariana Hollow) ในปี พ.ศ. 2503 สเปนเซอร์ เอฟ. แบร์ด บันทึกความลึกมากสุดได้ 10,915 เมตร ใน พ.ศ. 2527 รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเรือสำรวจที่ออกแบบพิเศษชื่อ "ทะกุโย" (Takuyō - 拓洋) ลงไปสำรวจร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาและเก็บข้อมูลโดยใช้ลำแสงแคบหลายลำแสง ร่วม ได้ความลึกที่ 10,924 เมตร ความลึกที่แม่นยำที่สุดได้จากการสำรวจของเรือดำนำลึกอีกลำหนึ่งชื่อ "ไคโก" (Kaikō - かいこう) เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2538 ได้ความลึกที่ 10,911 เมตร

 

สำหรับการดำน้ำลึกที่ไม่เคยมีมาก่อนทำโดยยานสำรวจน้ำลึก (bathyscaphe) ของกองทัพเรืออเมริกันชื่อ "ทรีเอสต์" (Trieste) โดยสามารถดำลงถึงก้นร่องลึกได้สำเร็จเมื่อเวลา 13.06 น. ของวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2503 โดยนายทหารเรือชื่อเรือตรีดอน วอลช์ (Don Walsh) และลูกเรือชื่อ ชาก ปีการ์ (Jacques Piccard) มีการใช้ลูกเหล็กกลมเป็นตัวอับเฉาและใช้น้ำมันเบนซินเป็นตัวทำให้ลอย อุปกรณ์บนยานแสดงความลึกที่ 11,521 เมตร แต่ได้ปรับแก้ภายหลังเป็น 10,916 เมตร ณ จุดท้องร่องลึก ทั้งสองประหลาดใจที่มองเห็นปลาตัวแบนขนาดยาวประมาณ 30 เซนติเมตร รวมทั้งกุ้ง ปีการ์ให้ความเห็นว่าพื้นร่องลึกแลดูเบาและใสที่เกิดจากซากไดอะตอมดึกดำบรรพ์ที่ปูดขึ้นมา

ความกดดันของน้ำที่ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนามีแรงกดดันประมาณ 1,086 บาร์ หรือบรรยากาศ (15,751 psi) หรือประมาณมากกว่า 1,000 เท่าของบรรยากาศทั่วไปบนผิวโลกที่ระดับน้ำทะเล

guest

Post : 2013-01-21 23:06:26.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สวัสดี

 

 

 

 

 

 

 (จากวิกิพิเดีย)

 

22 มกราคม พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) - รัฐบาลไทยกำหนดให้ใช้คำว่า " สวัสดี " เป็นคำทักทายเมื่อพบเจอกันหรือลาจาก

 

สวัสดี เป็นคำทักทายของคนไทย โดยจะใช้เมื่อแรกพบกัน หรือ เมื่อต้องการบอกลา โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของคำว่า "สวัสดี (สวัสดิ์)" ว่าหมายถึง ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และความปลอดภัย[1]

 

สวัสดี" หมายถึง ความดี ความงาม ความปลอดภัย ความเจริญรุ่งเรือง การอวยชัยให้พร คำทักทาย หรือพูดขึ้นเมื่อพบหรือจากกัน

 

ผู้ที่ริเริ่มใช้คำว่า "สวัสดี" คือ พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) โดยพิจารณามาจากศัพท์ "โสตถิ" ในภาษาบาลี หรือ "สวัสติ" ในภาษาสันสกฤต โดยได้เริ่มใช้เป็นครั้งแรก ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะที่พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เป็นอาจารย์อยู่ที่นั่น หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2486 จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นเห็นชอบให้ใช้คำว่า "สวัสดี" เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม เป็นต้นมา[2]

 

"สวัสดี" เป็นภาษาสันสกฤต มาจากคำว่า "สุ" เป็นคำอุปสรรค (คำเติมหน้าศัพท์ที่ทำให้ความหมายของศัพท์เปลี่ยนแปลงไป) แปลว่า ดี งาม หรือ ง่าย และคำว่า "อสฺติ" เป็นคำกิริยาแปลว่า มี แผลงคำว่า "สุ" เป็น "สว" (สฺวะ) ได้โดยเอา "อุ" เป็น "โอ" เอา "โอ" เป็น "สฺว" ตามหลักไวยากรณ์ แล้วสนธิกับคำว่า "อสฺติ" เป็น "สวสฺติ" อ่านว่า สะ-วัด-ติ แปลว่า "ขอความดีความงามจงมี (แก่ท่าน)"

 

พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ได้ปรับเสียงของคำว่า "สวสฺติ" ที่ท่านได้สร้างสรรค์ขึ้นให้ง่ายต่อการออกเสียงของคนไทย จากคำสระเสียงสั้น (รัสสระ) ซึ่งเป็นคำตาย มาเป็นคำสระเสียงยาว (ทีฆสระ) ซึ่งเป็นคำเป็น ทำให้ฟังไพเราะ รื่นหูกว่า จึงกลายเป็น "สวัสดี" ใช้เป็นคำทักทายที่ไพเราะและสื่อความหมายดีๆ ต่อกันของคนไทย ส่วนคำว่า "ราตรีสวัสดิ์" ซึ่งเป็นคำแปลจากคำว่า "good night" ซึ่งเป็นคำลาในภาษาอังกฤษ ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เช่นกัน โดยกำหนดให้คนไทยทักกันตอนเช้าว่า "อรุณสวัสดิ์" มาจากคำว่า "good morning" และให้ทักกันในตอนบ่ายว่า "ทิวาสวัสดิ์" มาจากคำว่า "good afternoon" ส่วนตอนเย็นให้ทักกันว่า "สายัณห์สวัสดิ์" มาจากคำว่า "good evening" แต่เนื่องจากต้องเปลี่ยนไปตามเวลา จึงไม่เป็นที่นิยม คนไทยนิยมใช้คำว่า "สวัสดี" มากกว่า เพราะใช้ได้ตลอดเวลา แต่กระนั้น คนไทยก็ยังคงใช้อยู่บ้างบางคำคือ คำว่า อรุณสวัสดิ์ และราตรีสวัสดิ์

 

คำว่าสวัสดีนั้นจะทำหน้าที่ทั้งการทักทาย และอวยพรไปในคราวเดียวกัน และเมื่อเรากล่าวคำว่าสวัสดี คนไทยเรายังยกมือขึ้นประนมไหว้ตรงอก มือทั้งสองจะประสานกันเป็นรูปดอกบัวตูม เหมือนสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายถึงสิ่งสูงค่าที่เป็นมงคล เพราะชาวไทยใช้ดอกบัวในการสักการะผู้ใหญ่ บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนการวางมือไว้ตรงระดับหัวใจนั้น เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกให้เห็นว่า การทักทายนั้นมาจากใจของผู้ไหว้

 

ดังนั้น เมื่อกล่าวคำว่าสวัสดีพร้อมกับการยกมือขึ้นประนม จึงแฝงให้เห็นถึงความมีจิตใจที่งดงามของคนไทย ที่หวังให้ผู้อื่นพบเจอแต่ในสิ่งที่ดี ซึ่งการกระทำที่งดงามของคนไทยที่หวังให้ผู้อื่นพบเจอแต่ในสิ่งที่ดี ซึ่งการกระทำที่งดงามดังกล่าวนี้ ถือเป็นมงคลต่อทั้งตัวผู้พูดและผู้ฟัง และยังสามารถเพิ่มสเน่ห์ในตัวบุคคลได้อีกด้วย

 

 

 

 

 

                     *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

                          เล็กกว่านี้มีมั้ย?!!.......

 

 

 

 

            

 

 

 

 

 

....ก็ไม่รู้ อันใหญ่ ไปไหนหมด?

 

เท่าขามด กรรไกรจิ๋ว เบาหวิวสวย

 

เผลอไม่ได้ สติมั่น ไม่งั้นซวย

 

คุณพระช่วย ตัดผิดพลาด อาจถึงตาย

 

 

 

 

 

....อย่างเรานี้ เล็บด๊ำดำ ทำเลอะเทอะ

 

มือไปเปรอะ อะไรมา น่าเสียหาย

 

ดูซิน่ะ เล็บก็เเตก เเปลกเเยกลาย

 

นิ้วสุดท้าย เชื้อโรคตรึม ซึมเลยเรา......

 

 

 

 

 

 ร่อนหนังสือเชิญ..คาดโทษ ใครไม่มาต้อนรับ ครม.สัญจร มีโทษทางวินัย

 

 

 

556000000740001.JPEG

ทน.แม่สอดสั่งระดมคนแต่งเต็มยศรับ “ปู-ชัจจ์”-

คาดโทษฝ่าฝืนเจอสอบ “วินัย”

มีรายงานจาก อ.แม่สอด จ.ตาก แจ้งว่า เทศบาลนครแม่สอด

ได้มีหนังสือเวียนภายในแจ้งให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างในสังกัดทุกคน

เข้าร่วมต้อนรับ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย และ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ที่จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการสำคัญของ อ.แม่สอด ในวันที่ 19-20 ม.ค.นี้ด้วย

โดยได้มีกำหนดการแต่งกายในวันที่ 20 ม.ค.

ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางมาที่ศูนย์การท่องเที่ยวและศูนย์การประชุมนั้น

ให้พนักงานเทศบาลแต่งเครื่องแบบกากีคอพับแขนยาว ส่วนลูกจ้างประจำ

พนักงานจ้าง ให้แต่งเครื่องแบบกากี

“การเดินทาง มาตรวจพื้นที่ของนายกฯ และ รมช.มหาดไทย

เป็นการปฏิบัติราชการที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาล แม่สอด

จึงให้ถือว่าการต้อนรับเป็นวันปฏิบัติราชการปกติ หากไม่มาร่วมต้อนรับดังกล่าวโดยไม่มีเหตุผลอันควร

จะมีการพิจารณาโทษทางวินัยตามสมควรแก่กรณีไป” หนังสือเวียนระบุไว้

 

 

แล้วทำไมไม่ไปวันทำงาน
นี่เป็นเวลาของครอบครัว
บางคนต้องจ้างคนมาดูแลเด็ก-ผู้สูงอายุ

ใครจ่ายหากเขาต้องไปในวันหยุดของเขา

 

วันเสาร์อาทิตย์ เป็นวันหยุดราชการ ข้าราชการเขาจะมีกิจธุระและพักผ่อนบ้าง ยังไปเกณฑ์เขามาต้อนรับอีก
คิดว่าคนจ.ตากตเขารักและชื่นชมรบ.นี้ทุกคนหรือ น่าสงสารที่เขาต้องฝืนใจไปต้อนรับ และยังกำหนดการแต่งกายให้เป็นไปตาม
ประกาศอีกด้วย มันน่าทุเรศสิ้นดี

 

 

guest

Post : 2013-01-19 20:13:52.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เงินบาทเเข็งตัว ใครได้ใครเสีย

 

 

 

   เงินทุนไหลเข้ากดดันเงินบาทแข็งค่าที่สุด นับตั้งแต่ปี 2011

 

 

ประเด็นที่ทุกคนให้ความสนใจช่วงนี้ก็คือ ปัญหาเงินไหลเข้าและแนวโน้มค่าเงินบาท ซึ่งยิ่งเงินบาทเข้าใกล้แนว 30 บาทเท่าไร คนก็ยิ่งสนใจอยากรู้ว่า “แนวโน้มเงินบาทต่อไปจะเป็นอย่างไร” และ “เราจะปกป้องความเสี่ยงได้อย่างไร”

ในประเด็นนี้ ถ้าจะตอบสั้น ๆ ก็ต้องบอกว่า “เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในระยะยาว” ระยะสั้นอาจผันผวนไปมา ซึ่งในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ความผันผวนระหว่างเงินสองสกุลหลักของโลก คือ เงินยูโร และเงินดอลลาร์ ที่ค่าเงินยูโรที่เด้งขึ้น แข็งค่าอย่างรวดเร็วจาก 1.30 ดอลลาร์ต่อยูโร ไปที่ 1.34 ดอลลาร์ต่อยูโร แล้วกระทบมาที่ค่าเงินดอลลาร์ และค่าเงินเอเชีย รวมถึงไทย เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าเงินของเราปรับแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน จาก 30.40 ลงมาอยู่ที่ 30 บาท ในเวลาไม่กี่วัน

การแข็งค่าครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงช่วงสั้น ซึ่งค่าเงินที่แข็งขึ้นรอบนี้ อาจจะปรับเปลี่ยนไปมาได้ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นที่เราต้องเตรียมการรองรับไว้ให้ดีก็คือ แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะยาว ที่จะแข็งขึ้นจากระดับปัจจุบัน ไปอยู่ที่ต่ำกว่า 30 บาท และมีแนวโน้มแข็งต่อไปในช่วงข้างหน้า

ทำไมจึงมั่นใจเช่นนั้น

ที่มั่นใจเช่นนี้ก็เพราะปัจจัยสำคัญ 3 ด้าน

ปัจจัยแรก – เศรษฐกิจของเอเชียและไทยกำลังขยายตัวดี กำลังมีการลงทุนรอบใหม่ ขณะที่โลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจหลัก ๆเช่น สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ยังมีปัญหาในการขยายตัว ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศที่ขยายตัวดี มีความต้องการที่จะสั่งซื้อสินค้าบริโภค และลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ก็มักจะพบว่าค่าเงินของตนจะแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

ปัจจัยที่สอง – ขณะนี้โลกกำลังมีสภาพคล่องล้นเอ่อ กำลังหาที่ไปอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งผลตอบแทนที่สูง โอกาสที่ดีในการลงทุนภายในเอเชียและไทย จะเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ หลั่งไหลเข้ามาในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรง การลงทุนในพันธบัตร การลงทุนในหุ้น การลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆเป็นต้น ซึ่งช่วงที่เงินเหล่านี้ไหลเข้ามา ก็จะมีแรงกดดันต่อค่าเงินให้แข็งค่าขึ้นเพิ่มเติม และยิ่งสหรัฐออกมาประกาศพิมพ์เงินเพิ่มผ่าน QE3 และ QE4 ญี่ปุ่นอัดฉีดเพิ่มเติม อังกฤษ ยุโรปยังคงปล่อยสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ สภาพคล่องใหม่เหล่านี้ก็จะพากันไหลเข้ามาท่วมเอเชีย และทำให้ค่าเงินของเราแข็งขึ้นไปด้วย

ปัจจัยที่สาม – ทิศทางที่ชัดเจนขึ้นของค่าเงิน จากความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกที่ลดลง ถ้ายังจำกันได้ เมื่อปีที่แล้ว หลายคนยังกล้า ๆ กลัว ๆ เกี่ยวกับยุโรป กังวลว่าจะมีแบงก์ล้ม ประเทศล้ม มีคนออกจากยูโร และสหรัฐเอง หลายคนก็มีความไม่แน่ใจเรื่องการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม ว่า Fed จะทำเพิ่มหรือไม่ อีกมากน้อยเท่าไร ความไม่แน่นอนเหล่านี้ ทำให้ค่าเงินสกุลหลักของโลกเมื่อปี 55 ผันผวนไปมา ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ค่าเงินบาทเมื่อปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีทิศทางชัดเจนเช่นกัน ปรับตัวไปมาในช่วงไม่กว้างนัก 30.5-31.9 บาท

เวลาที่ค่าเงินมีทิศทางไม่ชัดเจนเช่นในปี 55 นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรของเรากว่า 8.5 แสนล้านบาท ก็มักจะลงทุนอย่างระวัง หลายคนก็เลือกที่จะปิดความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน มุ่งหน้ากินกำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ยเป็นสำคัญ

แต่ปีนี้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปพอสมควร ค่าเงินหลักของโลกที่ผันผวนน้อยลง จะทำให้ค่าเงินบาทมีทิศทางชัดเจนว่า “จะแข็งค่าขึ้น” ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ นักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนในไทย ก็จะเปลี่ยนวิธีการลงทุน โดยรอบนี้หวังกินกำไรส่วนต่างดอกเบี้ย และขณะเดียวกันก็หวังเก็งกำไรค่าเงินไปพร้อมกัน กระทั่งเงินเก่า 8.5 แสนล้านบาทที่เข้ามาเมื่อปีที่แล้ว บางส่วนก็อาจจะลงทุนต่อ โดยไม่ปิดความเสี่ยงเรื่องค่าเงินอีกต่อไป

หากเป็นเช่นนี้ ค่าเงินบาทก็จะมีแรงกดดันให้แข็งค่าขึ้น และยิ่งค่าเงินในเอเชียอื่น ๆ กำลังแข็งค่าเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินวอนของเกาหลี เงินดอลลาร์สิงคโปร์ เงินดอลลาร์ไต้หวัน เงินริงกิตมาเลเซีย และเงินหยวนจีน เงินบาทก็คงยากที่จะต้านทานแรงกดดันไว้ได้ ก็จะต้องแข็งขึ้นในที่สุด

ก็ขอให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ตั้งราคาสินค้าล่วงหน้าโดยคิดเผื่อว่าถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้น เราจะยังมีกำไรอยู่ได้ และทำการปกป้องความเสี่ยงเรื่องค่าเงินตามความเหมาะสม ปีที่แล้ว ผมคิดว่าเราโชคดีเรื่องค่าเงิน ที่ไม่ได้เป็นประเด็นมากมาย แต่ปีนี้ค่าเงินบาทจะเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย ขอเอาใจช่วยทุกคนครับ

หมายเหตุ สนใจอ่านเพิ่มเติม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอแนะได้ที่ “Blog ดร.กอบ” ที่ www.kobsak.com ครับ.

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของค่าเงินประจำวันที่ 14-18 มกราคม 2556 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (14/1) ที่ 30.28/30 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวันศุกร์ (11/1) ที่ระดับ 30.26/27 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ตลอดสัปดาห์ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กล่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐ ยังคงไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และส่งสัญญาณว่าทางะนาคารกลางสหรัฐจะยังคงดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป รวมทั้งประธานธนาคารกลางสหรัฐยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านการคลัง โดยเฉพาะการเพิ่มเพดานหนี้สาะารณะเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดลดงบประมาณอัตโนมัติ ซึ่งมีกำหนดในช่วงต้นเดือนมีนาคม

 

ทั้งนี้หากรัฐสภาสหรัฐไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะได้ การตัดลดงบประมาณอาจจะกดดันให้เศรษบกิจสหรัฐกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง ทั้งนี้ตลอดสัปดาห์คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ ต่างออกมาพูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐว่า ยังคงเป็นไปอย่างล่าช้า ในขณะที่คาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 7.4% ปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักทั่วโลก ทั้งนี้ทำให้ค่าเงินสกุลเอเชียแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 16 เดือน นับตั้งแต่ปี 2011 จากกระแสเงินทุนไหลเข้าทั้งในตลาดตราสารทุนและตราสารหนี้ โดยในวันพฤหัสบดี (17/1) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องออกมาแถลงว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะจำเป็น ทั้งนี้ตลอดทั้งสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 29.74-30.29 บาท/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดวันศุกร์ (18/1) ที่ระดับ 29.78/79 บาท/ดอลลาร์ โดยเป็นการแข็งค่าขึ้นกว่า 1.8% ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์

 

เงินบาทแข็งค่าขึ้น

ผู้นำเข้า -->

ผู้นำเข้าใช้เงินบาทจำนวนเท่าเดิม สามารถซื้อสินค้านำเข้าได้มากขึ้น

ผู้ส่งออก -->

ลูกค้ามองว่าสินค้าแพงขึ้น เพราะลูกค้าต้องใช้เงินมากขึ้น เพื่อซื้อสินค้าจำนวนเท่าเดิม

เงินบาทอ่อนค่าลง

ผู้นำเข้า -->

ผู้นำเข้าใช้เงินบาทจำนวนมากขึ้น ในการซื้อสินค้านำเข้าเท่าเดิม

ผู้ส่งออก -->

ลูกค้ามองว่าสินค้าถูกลง เพราะลูกค้าใช้เงินจำนวนเท่าเดิม แต่ได้สินค้ามากขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                  ของเขาดีจริงๆ...

 

 

 

ศัลยกรรมเกาหลี ของเขาดีจริง เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว ก่อน-หลัง ศัลยกรรม รู้กันดีอยู่แล้วว่า ศัลยกรรมเกาหลี ของเขาดีสุดๆไปเลย เพราะแต่ละคนที่ได้ ทำศัลยกรรม มาแล้วล้วนแต่มีหน้าตาที่เปลี่ยนไปคนละคน มองไม่ออกเลยว่าหน้าตาก่อนหน้านี้เป็นยังไง

 

 

 

 

 

 

เริ่มอภิปรายเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วง 0.22.13 ในคลิปครับ

 

  •  

    9440_323258447784527_1326606370_n.jpg

    pIToIq.png

     

 

สรุป รัฐชุดก่อน ตั้งโครงการใหญ่ เกินพันล้าน ต้องนายกฯเซ็นต์ เลยต้องจ้างรอบเดียว เลยได้เจ้าเดียวเจตนา ไม่ค่อยจะดี

 

รัฐชุดใหม่มา จะล่อรัฐชุดที่แล้ว สั่งหยุดจ่ายเงิน อ้างอาจมีการทุจริต ผู้รับเหมา ไม่มีตังค์ ต้องหยุด

 

เริ่มสอบมาตั้งแต่ต้นปี 55 ครบหนึ่งปี หาคนทุจริตยังไม่ได้ ..เพราะ พวกตัวก็โดนเยอะ ในกรมตำรวจ ....กลัวผู้รับเหมาฟ้อง.... ข่าวก็ดัง

 

เอาธาริต เข้ามา สอบใหม่...ลากให้ยาว ....เพื่อ ส่วนหนึ่งสำหรับ...ผู้ว่ากทมฯ

 

ปชป..ก็ไม่เล่น เพราะเล่นไป ก็ตัวมีตำหนิ

 

เพื่อไทย ก็เล่นแต่ข่าว จะเอาจริงก็ ..อย่างว่า ..555

 

 

ประเทศ...ไทย

 

 

 

" สำนักงานส่งกำลังบำรุง สตช เป็น หน่วยงานที่ทำสัญญาจ้าง "

 

อ่านแล้วพิจารณาเอาเอง

 

 

ว่า ควรจะถาม ปชป หรือ สตช

 

guest

Post : 2013-01-18 22:42:21.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สุขอยู่ตรงไหน?..

 

 

 

                                                                 

 

 

 

มีนักธุรกิจผู้หนึ่งจบปริญญา ทาง MBA จาก Havard หลังจากที่เขา ออกมาทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ ร่ำรวยมหาศาล เมื่อมีเวลา เขาก็มักจะเดินทางไปพักผ่อนที่ชายทะเลอยู่เป็นประจำ

วันหนึ่งขณะที่ เขากำลังนอนอาบแดดอยู่ที่ชายหาดนั้นเอง เขาก็เหลือบ ไปเห็นชายหาปลาผู้หนึ่ง กำลังนั่งตกปลาอยู่ สักพักชายหาปลาผู้นั้นก็ลุกเดินผ่านเขาไป นักธุรกิจรีบทัก

"ลุง ๆ ตกปลามาได้กี่ตัวละ" ชายหาปลาก็ เปิดถังใส่ปลาที่เขาหามาได้ให้ดู ข้างใน ก็มีปลาอยู่สี่ตัว แล้วบอกว่า "ก็ได้มาสี่ตัว กะว่าจะเก็บไว้กินสองตัว เอาไปแจกเพื่อนฝูงสักตัว เหลือ อีกตัวก็ว่าจะเอาไปขายที่ตลาด"

"แล้วกว่าจะจับปลาได้สี่ตัวนี่นานหรือปล่าวละ" นักธุรกิจถาม

"อ๋อ ไม่นานหรอก พักเดียวแหละ" ชายหาปลาตอบ

"อ้าว แล้วเวลาที่เหลือ ลุงทำอะไรละ"

"ก็นอนพักผ่อน ตื่นมาก็เดินเล่นคุยกับเพื่อน พอหิวก็มานั่งตกปลานี่แหละ"

 

 

นักธุรกิจรีบออกความเห็น "ทำไมลุงไม่ทำอย่างนี้ละ แทนที่จะจับปลาสามสี่ตัว ลุกก็จับให้มัน เยอะหน่อย แล้วก็เอาไปขายที่ตลาด พอได้ เงินมา ลุงก็เอาเงินไปซื้อเรือสักลำ เพื่อจะได้ออกไป จำปลากลางทะเล จะได้ได้ปลามาเยอะๆ"

"แล้วยังไง" ชายหาปลาถามแทรก

"ก็พอได้ปลามาเยอะๆ ลุงก็เอาไปขาย ได้เงินมามากเข้ามากเข้า ลุงก็ซื้อเรือลำใหญ่ขึ้น หลายๆ ลำ เพื่อจะได้จับปลาได้มากขึ้น"

"แล้วยังไง" ชายหาปลาถามอีก

"ทีนี้ลุงก็ต้องสร้างตู้แช่แข็งเป็นของตัวเอง ลุงจะได้เอาไว้เก็บปลาที่หามาได้ ไม่เสียของ จะได้เก็บไว้ขายได้ ถ้าขายไม่หมดลุงก็ตั้งโรงงานปลากระป๋อง เพื่อแปรรูป ก็จะนำ กลับไปขายได้อีก"

"แล้วยังไง" ชายหาปลาถามอยู่คำเดียว

"อ้าว จะยังไงลุงก็จะร่ำรวย มีเงินทองเหลือใช้จนไม่ต้องทำงานอีกต่อไป ลุงก็จะมีเวลา มาพักผ่อนชายหาด เหมือนผมตอนนี้ ว่างๆ ลุงก็เดินไปคุยกับเพื่อน ตกปลาเล่นบ้าง นอนพักผ่อนบ้าง ไม่ต้องดิ้นรนอีกต่อไป"

"หึ หึ" ชายหาปลาไม่พูดอะไร ได้แต่หัวเราะเงียบอยู่ในใจ

 

 

"แล้วข้าจะได้อะไรต่อไป"

"ปัดโธ่ ลุงนี้ช่างโง่จริง ๆ เมื่อลุงร่ำรวยเหมือนข้าผม ลุงก็จะได้มีความสุข มีความสบาย ลุงจะได้ชื่นชมกับชีวิตไงล่ะ"

 

"แล้วท่านคิดว่าตอนนี้ข้าไม่ชื่นชมหรือมีความสุขกับชีวิตอย่างไร" ชาวประมงถามลอย ๆ

"หรือจะให้ข้าเหมือนกับท่านที่แก่จนป่านนี้ยังไม่รู้จักเข้าใจความสุขที่แท้จริง ยังต้องทนทุกข์ทรมานสังขารของตัวเอง"

"คนเราทุกวันนี้คิดง่าย ๆ เช่นนี้ไม่เป็นหรอก คิดเป็นแต่เรื่องยุ่งยาก ที่จริงนั้นการที่เราไม่ทำอะไรมาก ไม่คิดอะไรมากต่างหาก ที่จะทำให้เราได้สิ่งที่ดีงามมากกว่าเก่า"

"ไม่ทำอะไรจะได้อะไรมากได้อย่างไร"

"ได้ความอิสระมากขึ้น และที่สำคัญได้ความสันโดษ ความพอใจต่อสิ่งที่ตนมีอยู่มากขึ้น มันก็คงจะเพียงพอเเล้วกระมัง ท่านเศรษฐี..."

 

 

guest

Post : 2013-01-17 20:48:37.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ตองอูล่มสลาย....

 

 

 

                                                พระเจ้านันทบุเรง

 

 

 

                                             

 

 

 

 (จากวิกิพิเดีย)

พระเจ้านันทบุเรง  เป็นพระราชโอรสพระองค์โตของพระเจ้าบุเรงนองและอัครมเหสีอดุลศรีมหาราชเทวี (พระพี่นางของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ พระนามเดิมว่า ตะเคงจี) มีชื่อที่เรียกในภาษาพม่าว่า "นานเตี๊ยะบาเยง" ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2124 ภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าบุเรงนอง เมื่อขึ้นครองราชย์ มีพระนามว่า "หานตาวดี เซงยูงาซีเชง" แปลว่า "พระเจ้าหงสาวดีช้างเผือกทั้ง 5" พระเจ้านันทบุเรงมีพระประสงค์จะขยายอำนาจของอาณาจักรหงสาวดีให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยทำสงครามกับเมืองใหญ่น้อยต่าง ๆ รอบข้างรวมทั้งพิษณุโลกและอยุธยาด้วย ซึ่งผิดแผกไปจากพระเจ้าบุเรงนอง พระราชบิดาของพระองค์ เนื่องจากหลักการปกครองของพระเจ้าบุเรงนองจะเป็นไปในลักษณะเมืองใหญ่ปกครองเมืองน้อย ดูแลเมืองที่ขึ้นเป็นประเทศราชต่าง ๆ และผูกสัมพันธ์ไมตรีเอาไว้

 

 

พระองค์มีมีพระอัครมเหสีพระนามว่า เมงพยู พระองค์มีราชโอรสองค์โตชื่อ "เมงกะยอชวา" (ไทยและมอญเรียกว่า มังสามเกียด) ที่เจริญชันษามาพร้อมกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และได้สถาปนาขึ้นเป็นพระมหาอุปราชา ต่อมา เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง เมื่อปี พ.ศ. 2127 พระเจ้านันทบุเรงได้ทำสงครามกับอาณาจักรอยุธยาหลายต่อหลายครั้ง เช่น ปี พ.ศ. 2129 ที่พระองค์ยกทัพมาเองพร้อมกำลังทหารราว 2 แสน ปิดล้อมกรุงศรีอยุธยานานถึง 6 เดือน แต่ไม่สามารถหักตีเข้าได้ และในปี พ.ศ. 2135 ที่พระองค์ส่งพระมหาอุปราชยกทัพเข้ามาในขอบขัณฑสีมาของอยุธยา และได้กระทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จนถึงขั้นสิ้นพระชนม์ขาดคอช้าง พระเจ้านันทบุเรงเมื่อทราบข่าว ทรงพิโรธมาก ทรงเข้าไปหาพระสุพรรณกัลยาที่ยังคงอาศัยอยู่ในกรุงหงสาวดีและใช้พระขรรค์ฟันพระนางพร้อมพระธิดาจนสิ้นพระชนม์ทั้ง 2 พระองค์

 

 

และเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทราบข่าวนี้ ก็ทรงพิโรธ ยกทัพมาด้วยความฮึกเหิม หมายจะเผากรุงหงสาวดีให้ราบคาบเพื่อเป็นการแก้แค้น แต่ก่อนหน้านั้น พระเจ้าอังวะได้แข็งเมืองได้วางแผนซ้อนกลลวงให้พระเจ้านันทบุเรงเสด็จออกจากเมืองไปเสียก่อน หงสาวดีเลยกลายเป็นเพียงเมืองร้าง และพระเจ้านันทบุเรงก็ได้ถูกจับกุมตัวไว้

 

 

วาระสุดท้ายของพระเจ้านันทบุเรง ถูกพระเจ้าตองอูหรือนัดจิงหน่องแย่งชิงราชบัลลังก์ สิ้นพระชนม์เพราะถูกวางยาพิษ ในปี พ.ศ. 2142 พระองค์จบพระชนชีพลงอย่างน่าอนาถเพราะเป็นนักโทษในคุกของพระเจ้าตองอู

 

 

ภายหลังการสิ้นพระชนม์ อาณาจักรหงสาวดีที่เคยยิ่งใหญ่ก็อ่อนอำนาจลง เนื่องจากถูกศูนย์กลางแห่งอำนาจได้สูญเสียผู้นำที่เข้มแข็งลง ประกอบกับพระราชโยบายของพระเจ้าบุเรงนองที่เคยประนีประนอมกับหัวเมืองต่าง ๆ ได้ถูกทำลายลงในรัชสมัยของพระเจ้านันทบุเรง จนในที่สุดก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ และนำไปสู่การแตกสลาย มอญก็ขึ้นมาเป็นใหญ่ ก่อนที่จะถูกสถาปนาขึ้นเป็นอาณาจักรใหม่ในสมัยพระเจ้าอลองพญา ในอีกหลายปีต่อมา

 

 

พระเจ้านันทบุเรง มีพระนามที่ชาวไทยจะรู้จักดีในนาม "มังไชยสิงห์" หรือ "มังเอิน" ซึ่งเป็นนามที่ได้รับการตั้งโดยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ เมื่อสามารถช่วยเหลือบิดาตนเอง คือ มหาอุปราชบุเรงนอง ระหว่างที่กำลังเพลี่ยพล้ำต่อทหารอยุธยาในคราวสงครามคราวเสียสมเด็จพระสุริโยทัย ในปี พ.ศ. 2091 โดยที่มีอายุเพียง 11 ขวบเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นกษัตริย์นักรบที่เก่งกาจอีกพระองค์หนึ่งของพม่า พระองค์เองก็เคยทำยุทธหัตถีชนะพระเจ้าแปรได้ แต่ทว่าพระราชโยบายการปกครองของพระองค์เป็นไปอย่างแข็งกร้าว ไร้ไมตรี จึงนำมาสู่การล่มสลายของอาณาจักรในที่สุด

 

หมายเหตุ 

วันกองทัพไทย เป็นวันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า โดยถือเอาวันที่ 18 มกราคม ของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย ตามการคำนวณจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่ระบุว่า พระองค์กระทำยุทธหัตถี ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จ.ศ. 954 คำนวณได้ ตรงกับวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135 (บางตำราว่า ปี พ.ศ. 2136)

 

 

 

                            *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

                                  "ไม่ได้ขู่นะเว้ย!!..."

 

 

 

                 

 

 

 

 

 

....เฮ้ยปล่อยนะ เดี๋ยวพ่อกัด ฟัดนิ้วขาด

 

หนอยบังอาจ บีบข้าไว้ เดี๋ยวได้สวย

 

รู้หรือเปล่า? ว่าเงาหัว ตัวจะซวย

 

จำซะด้วย จับใครมา? อย่านะเอ็ง

 

 

 

 

....อย่ามาหยอก บอกให้รู้ "ปูฮิปโป้"

 

ไม่ได้โม้ ก้ามเเทงพุ่ง สะดุ้งเหย็ง

 

หากไม่วาง อย่าหาว่า ข้าไม่เกรง

 

ได้ตะเบ็ง เเหกปากก้อง ร้องจนตาย!!!...

 

 

 

 

 

ถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา 17 กม ปักเสาลงแม่น้ำ..........พูดและคิดแล้วใช่ไหม?พงศพัศ

 

424443_326746000760073_1416893902_n.jpg

 

 

พล.ต.อ.พงศพัศ ให้ สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ย่านเยาวราช ว่า บริเวณดังกล่าวถือเป็นชุมชนที่มีความเก่าแก่ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ปรับปรุงสภาพแวดล้อม จึงมีนโยบายทำถนนเลียบแม่น้าเจ้าพระยา บริเวณท่าน้ำราชวงศ์ ทั้งสองฝั่งเป็นระยะทาง 17 กิโลเมตรให้เป็นที่พักผ่อนสาธารณะเพิ่มคุณภาพชีวิต

 

เริ่มตั้งแต่สะพานพระราม 8 ถึงสะพานสาธร โดยไม่มีการเวนคืนที่ดิน แต่ใช้วิธีปักเสาลงในแม่น้ำซึ่งสามารถทำได้จริง โดยจะขอนุมัติจากกรมเจ้าท่า พร้อมฟื้นรถรางติดแอร์ให้บริการรอบเกาะรัตนโกสินทร์ เชื่อมโยงถึงเยาวราชเพื่อลดความแออัดด้านการจราจรรวมทั้งเป็นการส่งเสริมการ ท่องเที่ยวด้วย

 

แกใช้คำว่า "ถนน" มันก็ใหญ่

ถ้าแค่ walkway ยังพอว่า

คือเมืองไทยมีที่..ทางกทม.ได้จัดทำไว้เพื่อปรับปรุงและเพิ่มภูมิทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

เป็นทางเดินริมน้ำที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

ทอดยาวเชื่อมตั้งแต่สวนสันติชัยปราการผ่านท่าพระอาทิตย์ไปจนถึงท่าพระปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นทางที่จะเดินต่อไปยังท่าพระจันทร์ได้...

 

น่าจะเอามาให้หมดนะว่าโครงการนี้เสนอเมื่อไหร่ ใครเสนอ และตอนนี้คนคนนั้นอยู่พรรคไหน

 

ผมบอกแล้วโครงการนี้ไม่ใหม่ เสนอเมื่อไป 2536

 

20 ปีที่แล้ว โดย พันเอกวินัย สมพงษ์ และถูกต่อต้านยังไง อะไร แบบไหน

 

และเคยคิดไหม? ทำไม ปชป เจ้าพรรคไม่เคยปัดฝุ่นมันขึ้นมา

 

เขารู้!!............

 

guest

Post : 2013-01-16 22:18:11.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  กังขา ศิลาจารึก?!..

 

 

 

                                                           

 

                          พิริยะ ไกรฤกษ์ จับ "พิรุธ" ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

 

 

 

 

พ.ศ. 2376 (ค.ศ. 1834) - เจ้าฟ้ามงกุฎฯ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงพบศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง


มันน่าแปลกไหม จารึกสุโขทัยมีไม่รู้ตั้งกี่หลักทำมั้ย? จึงมีคนคอยจองล้างจองผลาญกับศิลาจารึก หลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงอยู่เพียงหลักเดียว ทำไม?

ก็เพราะว่า เป็นจารึกที่น่าสงสัย มีพิรุธมากมายซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด ระหว่างอักษรน่ะซี

จึงเกิดปุจฉาขึ้นมาว่า แท้จริงแล้วจารึกหลักนี้ใครแต่งกันแน่?

เมื่อราว ๑๐ ปีก่อน อ.พิริยะ ไกรฤกษ์ แห่งคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาประกาศตูมว่า ศิลาจารึก หลักที่ ๑ นี้เป็นของปลอม! พ่อขุนรามคำแหงมิได้แต่งขึ้น ผู้ที่แต่งคือ รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ต่างหาก (ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีนักวิชาการออกมาแสดงข้อกังขาจารึกหลักนี้อยู่แล้วเช่น ม.จ.จันทร์จิรายุ รัชนี และ Michael Vickery)

เกิดการโต้แย้งทางวิชาการกันยกใหญ่ แล้วก็หายไปในสายลมประวัติศาสตร์ หลังจากนั้นจะมีการกล่าวขวัญถึงจารึกหลักนี้ก็เพียงประเด็นย่อย ๆ ไม่มีอะไรคืบหน้านักจนกระทั่งทุกวันนี้ และในสำนึกการรับรู้ประวัติศาสตร์ไทยของคนส่วนใหญ่ยังคงว่า ศิลาจารึก หลักที่ ๑ พ่อขุนรามคำแหงทรงแต่งขึ้น และพระองค์ทรงประดิษฐ์ "ลายสือไทย" เป็น "วรรณคดีเล่มแรกของไทย" อยู่เช่นเดิม

มาวันนี้ น้ำในแอ่งจารึกคงจะนิ่งมานาน อ.พิริยะ ไกรฤกษ์จึงออกมากวนอีกครั้ง เสียงเคาะจารึกนี้ดังขึ้นที่มหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อต้นเดือนตุลาคมนี้เอง

อ.พิริยะยังยืนยันเจตนารมณ์เดิมและดูจะหนักแน่นขึ้นกว่าเดิมที่ว่า รัชกาลที่ ๔ ทรงแต่งศิลาจารึกหลักที่ ๑ โดยจับ "พิรุธ" ต่าง ๆ ของจารึกมาเผยดังนี้


๑.
ขนาดของศิลาจารึก จารึกพ่อขุนรามฯ นั้นมีขนาดเล็กมากเป็นพิเศษ ผิดธรรมดา ต่างจากศิลาจารึกที่อายุใกล้เคียงกันคือ จารึกปราสาทพระขรรค์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ซึ่งมีขนาดใหญ่มากเกือบ ๒ เมตร นอกจากนั้นศิลาจารึกรุ่นหลัง ๆ เช่น หลักที่ ๒ และ หลักที่ ๔ ก็มีขนาดใหญ่เช่นกัน


๒.
ไม่มีการเขียนภาษาไทยที่อื่นใดที่มีสระพยัญชนะอยู่บนบรรทัดเดียวกัน ยกเว้นจารึกหลักที่ ๑ แต่อย่าลืมว่า พ่อขุนรามฯ ไม่ได้ประดิษฐ์ลายสือไทย แต่ลายสือไทยที่เห็นเป็นตัวอักษรที่ขอยืมมาจากจารึกของพระมหาธรรมราชาลิไทย ยกเว้นแต่เขียนบนบรรทัดเดียวกัน และเอาเข้าจริง ๆ แล้วก็มี ๒ พระองค์ในประวัติศาสตร์ไทยที่ประดิษฐ์อักษรแบบสระพยัญชนะอยู่บนบรรทัดเดียวกัน พระองค์หนึ่งคือ พ่อขุนรามคำแหงที่ประดิษฐ์อักษรไทย อีกพระองค์หนึ่งคือ รัชกาลที่ ๔ ที่ทรงประดิษฐ์อักษรอริยกะเพื่อใช้เขียนภาษาบาลีที่วัดบวรณ แต่ไม่มีใครสนุกด้วยจึงยกเลิกไป มีจารึกให้เห็นแห่งเดียวเท่านั้นที่ใช้อักษรอริยกะ คือจารึกวัดราชประดิษฐ์ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๔


๓.
ในศิลาจารึก หลักที่ ๑ นี้มีเนื้อหาไม่สอดคล้องกับโลกทัศน์สมัยสุโขทัยที่เราทราบจากจารึกหลักอื่น ๆ เช่น

- คำว่า รามคำแหง นั้นไม่ปรากฏในจารึกสุโขทัยหลักอื่น ๆ เลย จะมีแต่ในหลักที่ ๑ เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่มีจารึกอีกหลายหลักที่กล่าวถึงราชวงศ์พระร่วงและโปรดสังเกตว่า รามคำแหง จะใกล้กันมากกับชื่อพระรามคำแหง ซึ่งเป็นตำแหน่งพระอัยการนาทหารหัวเมือง ซึ่งปรากฏอยู่ในกฎหมายตราสามดวง สมัยรัชกาลที่ ๑

- ชื่อช้างของขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดชื่อ มาสเมือง คล้ายกับช้างทรงของรัชกาลที่ ๒ ที่ชื่อ มิ่งเมือง และช้างของพ่อขุนรามคำแหงชื่อ รูจาครี ก็คล้ายกับชื่อ คีรีเมฆ เทพคีรี จันคีรี ในพระราชนิพนธ์ช้างเผือกของรัชกาลที่ ๔ แต่ในหลักที่ ๒ ช้างของมหาเถรศรีศรัทธาชื่อ อีแดงเพลิง ซึ่งฟังเป็นสุโขทัย

- การตกแต่งช้างของพ่อขุนรามฯ ตกแต่งด้วยระยาง (พุ่ที่ห้อยอยู่หน้าหูช้างเพื่อกันผี) เหมือนกับช้างเผือกของรัชกาลที่ ๔ ก็ตกแต่งด้วยระยาง แต่ช้างทรงในภาพจำหลักที่ปราสาทบายน สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ซึ่งไม่ห่างจากสมัยพ่อขุนรามฯ นัก ไม่มีการตกแต่งด้วยระยางเลย แต่จะสวมกะบังหน้าแล้วก็มงกุฎ ฉะนั้นหากจารึกหลักที่ ๑ เขียนในสมัยพ่อขุนรามฯ การตกแต่งช้างทรงก็น่าจะกล่าวถึงกะบังหน้าและมงกุฎ ซึ่งมันรับกับโลกทัศน์สมัยนั้น ไม่ใช้โลกทัศน์สมัยรัตนโกสินทร์ที่ห้อยระยาง


๔.
ตรีบูรสามพันสี่ร้อยวา หรือประมาณ ๖,๘๐๐ เมตร กรมศิลปกากรขุดค้นที่กำแหงเมืองสุโขทัยแล้ววัดกำแพงได้ความยาวดังนี้ กำแพงชั้นใน ๖,๑๐๐ เมตร ชั้นกลาง ๖,๕๐๐ เมตร และชั้นนอก ๖,๘๐๐ เมตร แล้วก็เสนอว่า กำแพงชั้นในเท่านั้นที่สร้างในสมัยสุโขทัย ส่วนชั้นกลางและชั้นนอกน่าจะสร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวร ดังนั้น ตรีบูรสามพันสีร้อยวาที่กล่าวในจารึกก็คือ กำแพงเมืองสุโขทัยชั้นนอก ซึ่งเป็นไปไม่ได้


๕.
เป็นจารึกที่แปลกกว่าหลักอื่น ๆ ที่ไม่มีการระบุชื่อชัด ๆ ไม่มีชื่อวัดสักวัดเดียวในจารึกหลักนี้ ทั่วไปแล้วจารึกจะกล่าวถึงวัดอะไรจะบอกชื่อเสมอ ส่วนอรัญญิก หมายถึงนอกเมือง ไม่ได้ระบุชื่อวัดในอรัญญิก

"เมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม" คือผู้เขียนพยายามเขียนให้มันกลาง ๆ อะไรก็ได้ มันก็ถูกทั้งนั้น เพราะมันไม่มีอะรไรที่จะระบุว่ามันไม่มี


๖.
พระพุทธรูปหลายองค์ที่กล่าวถึงในจารึกหลักที่ ๑ ดูตามรูปแบบศิลปะแล้วไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสมัยสุโขทัยหรือร่วมสมัยกับพ่อขุนรามคำแหงเลย พุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนกลางทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพระอัฎฐารส หรือพระอจนะ ซึ่งมาจากคำว่า อัจละ แปลว่า ไม่หวั่นไหว ซึ่งยอร์ช เซเดส์ ก็บอกว่าไม่น่าจะหวั่นไหว เพราะก่อด้วยอิฐหรือเคลื่อนย้ายไม่ได้


๗.
รูปแบบและวิธีการเขียนจารึกหลักที่ ๑ มีความเคยชินและมีลักษณะขอยืมมาจากจารึกสุโขทัยหลักอื่น ๆ เช่น

"จารึกอันหนึ่มีในเมือง...จารึกอันหนึ่งมีในถ้ำ" ก็มาจากหลักที่ ๓"ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว", "เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พีน เห็นสีนท่านบ่ใคร่เดือด", "หัวพุ่งหัวรบก็บดีบ่ฆ่าบ่ตี" ก็มาจากหลักที่ ๔

แล้วเมื่อลอกแล้วก็เอาศิลาจารึกเหล่านี้ไปซ่อนไว้ตามที่ต่าง ๆ หลักที่ ๓ ไปไว้ที่กำแพงเพชร หลักที่ ๕ ไว้ที่อยุธยา หลักที่ ๒ ไปไว้ในอุโมงค์วัดศรีชุม แต่ผู้แต่งจารึกหลักที่ ๑ ก็ยังดีกว่ากษัตริย์พม่าที่ลอกแล้วทุบทิ้งเลย


๘.
คำที่ใช้ในจารึกหลักที่ ๑ เป็นคำที่นิยมใช้ในสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น

- ตระพังโพยสี ไม่ปรากฏที่อื่นเลย ยกเว้นในพระราชพงศาวดารฉบับกรุงสยาม ซึ่ง อ.พิริยะมั่นใจว่าเขียนสมัยรัชกาลที่ ๔ แต่ลงเวลาย้อนหลังในสมัยรัชกาลที่ ๑ ตระพังโพยสี คือการขุดสระให้เป็นสีมา มีอุโบสถอยู่กลางน้ำ อันเป็นเอกลักษณ์ของพุทธศาสนานิกายสิงหลภิกขุที่เข้ามาใน พ.ศ. ๑๙๖๙ และนิยมสร้างนทีสีมา

- หมากม่วง การเขียนมะม่วงให้เป็นหมากม่วงเป็นการเขียนให้ดูเก่า สมัยสุโขทัยจะเขียนว่าไม้ม่วง ซึ่งคำว่าหมากม่วงนี้ปรากฎใน "นางนพมาศ"

- พุทธศาสนา สมัยสุโขทัยไม่มีการใช้คำว่า พุทธศาสนา แต่จะเรียกว่า ศาสนาพระเจ้า หรือ ศาสนาพระเป็นเจ้า

- พนมดอกไม้ คือการจัดดอกไม้เป็นพุ่ม เป็นลักษณะการจัดดอกไม้แบบวัดบวรนิเวศ คำนี้เป็นคำเฉพาะไม่มีในจารึกหลักอื่น ๆ สมัยอยุธยาก็ไม่มี แต่มีใน "นางนพมาศ" และใน "มหาชาติ" พระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๔ การจัดดอกไม้แบบนี้ไม่มีใครทำมาก่อนเลย นอกจากนางนพมาศในสมัยรัชการที่ ๓

- ทั้งมากาวลาวแลไทเมืองใต้หล้าฟ้า ในจารึกหลักที่ ๑ บอกว่าพ่อขุนรามฯ เป็นลูกใคร มีประวัติอย่างไร และปกครองชนเผ่าไหนบ้าง คือใช้เผ่าเป็นตัวกำหนด อันเป็นวิธีเขียนแบบเดียวกับพระราชสาสน์ของรัชกาลที่ ๔ ที่ทรงมีถึงประธานาธิบดีสหรัฐ ที่สำคัญคือ เผ่ากาว คือคนที่อยู่ในภาคบูรพาของอีสานนี้ไม่ใช่โลกทัศน์ของพ่อขุนรามคำแหง


๙.
เมื่อรัชกาลที่ ๔ เสด็จสวรรคต สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดและเคารพบูชารัชกาลที่ ๔ มาก ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเรื่องหนึ่งชื่อ อภินิหารการประจักษ์ ตีพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณ ตอนที ๓๖ เดือนกันยายน ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) เล่าถึงพระราชประวัติตอนทรงผนวชและเสด็จประพาสเมืองเหนือ แล้วพบศิลาจารึกและพระแท่นมนังคศิลา จนเสด็จขึ้นครองราชย์และตอนท้ายกล่าวถึงความในจารึกโดยสังเขป ตอนที่เสด็จประพาสเมืองสุโขทัยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖ มีความว่า

"เดินขึ้นไปเมืองศุโขทัย ถึงเวลาเยนอยู่ที่นั้นสองวัน เสด็จไปเที่ยวประภาษพบแท่นสีลาแห่งหนึ่งพังลงมาตะแคงอยู่ ที่เหล่านั้นชาวเมืองเขาเครพย์สำคัญเปนสานเจ้า เขามีมวยสมโพธทุกปี...รับสั่งให้ฉลองลงมาก่อเปนแท่นขึ้นไว้ใต้ต้นมะขามที่วัดสมอราย กับเสาสิลาที่จารึกเป็นหนังสือเขมรที่อยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้น เอามาคราวเดียวกับแท่นสีลา"

อ.พิริยะชี้ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ไม่ได้กล่าวว่าเอาจารึกหลักที่ ๑ มาด้วย เอามาแต่ ๒ อย่างคือ พระแท่ามนังคศิลากับจารึกหลักที่ ๔ ภาษาเขมร แต่ในตอนจบของอภินิหารการประจักษ์ อยู่ ๆ พระองค์ก็รับสั่งว่า หนังสือเสาศิลานี้แก่กว่าหนังสือเสาศิลาที่จารึกเป็นหนังสือเขมร ๖๔ ปี น่าสงสัยต่อมารัชการที่ ๕ ก็รับสั่งว่าจารึกหลักที่ ๑ นี้เอามาคราวเดียวกัน แต่ที่จริงไม่ได้เอามา


๑๐.
อ.พิริยะให้ข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า ปีเหตุการณ์ในจารึกหลักที่ ๑ นั้น ถ้าอ่านเป็น พ.ศ. ก็เป็นชีวประวัติของพ่อขุนรามคำแหง แต่ถ้าอ่านเป็น ค.ศ. จะเป็นชีวประวัติของรัชกาลที่ ๔ เนื่องจากพระองค์โปรดการใช้คริสต์ศักราช เช่น

ค.ศ. ๑๘๓๐ รัชกาลที่ ๔ โปรดฯ ให้ขุดลูกนิมิตวัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) เพื่อปรับเป็นธรรมยุตินิกาย

พ.ศ. ๑๘๓๐ พ่อขุนรามคำแหงทรงให้ขุดเอาพระธาตุมาบำเรอแล้วฝังที่เดียวกัน

ค.ศ. ๑๘๓๖ รัชกาลที่ ๔ เสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศเป็นเจ้าอาวาส

พ.ศ. ๑๘๓๕ (อาจคลาดเคลื่อนได้ปีสองปี) พ่อขุนรามคำแหงทรงให้ปลูกไม้ตาลได้ ๑๔ ปีจึงฟันพระแท่นมังคศิลาบาตร (รัชกาลที่ ๔ ทรงจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรฯ ๑๔ ปีเสด็จขึ้นครองราชย์)

ค.ศ. ๑๘๕๑ รัชกาลที่ ๔ เสด็จขึ้นครองราชย์

พ.ศ. ๑๘๕๑ พ่อขุนรามคำแหงเสด็จขึ้นครองราชย์เช่นกัน

ตอบจบของอภินิหารการประจักษ์ มีโคลงอยู่บทหนึ่งซึ่ง อ.พิริยะตีความว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงแต่งไว้แบบอยากจะพูดเต็มประดาแต่ไม่กล้าพูด จึงเสนอเป็นปริศนาไว้ ดังนี้


ศักราชคิดดั่งนี้ ชอบขยัน

มืดลับชนสามัญ ห่อนแจ้ง

ไทยถือว่าสำคัญ กลเลข

แยบยนต์คนเก่าแกล้ง กล่าวอ้างคนไกล


คนเก่าก็คือรัชกาลที่ ๔ กล่าวอ้างคนไกลไม่ใช่การตรงโดยบังเอิญ ทุกอย่างมีระบบของเขา แต่ละเรื่องรับกันโดยไม่มีความบังเอิญเลย

ก่อนจบ อ.พิริยะได้เฉลยไว้ว่า ทำไมรัชกาลที่ ๔ ต้องทำศิลาจารึก หลักที่ ๑

ในสมัยนั้นอิทธิพลตะวันตกเริ่มเข้ามาระลอกใหญ่ การจะปรับเปลี่ยนขนบประเพณีนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ เพราะถือกันมาแต่โบราณว่าพระมหากษัตริย์ต้องรักษาโบราณราชประเพณี รัชการที่ ๔ ทรงทำจารึกหลักที่ ๑ ก็เพื่อเป็นราโชบายที่ทรงใช้ในการเปลี่ยนแปลงขนบประเพณีให้รับกับอารยธรรมตะวันตก โดยมีพุทธศาสนาเป็นพื้นฐานของสังคมไทย เช่น

การปรับเปลี่ยนภาษีตามสนธิสัญญาเบาริ่งที่จะให้สยามลดภาษี ก็ไม่ใช้เรื่องยากเย็นอีกต่อไป ในเมื่อสมัยพ่อขุนรามฯ ไม่เก็บภาษีเลย หรือ รัชกาลที่ ๔ ทรงเห็นความสำคัญของการรับฟังฎีกาจากพสกนิกร จึงมีการเอากระดิ่งไปแขวนไว้ซึ่งไม่มีในประวัติศาสตร์ไทย แต่มีในสมัยพ่อขุนรามฯ กับสมัยรัชกาลที่ ๔

รัชกาลที่ ๔ ต้องการจะแยกการนับถือผีออกจากพระพุทธศาสนาโดยสิ้นเชิง จึงยกเอาพระขพุงผีขึ้นมา แล้วท่านก็สร้างพระสยามเทวาธิราชให้เป็นผีที่ใหญ่กว่าทุกผีในเมืองสยาม

หรือต้องการเปลี่ยนขนบประเพณีของการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา "ให้ฝูงท่วยลูกเจ้าลูกขุนฝูงท่วยถือบ้านถือ" คือ ลูกเจ้าก็ถือน้ำ ลูกขุนก็ถือน้ำ และพระองค์ก็ทรงถือน้ำด้วย ซึ่งไม่เคยมีมาเลยในประวัติศาสตร์สยาม

ไม่ว่าศิลาจารึก หลักที่ ๑ จะเป็นของจริงหรือของปลอมก็ตาม แต่การถกเถียงกันเรื่องนี้ให้บทเรียนที่ดีว่าก่อนจะนำเอาหลักฐานใด ๆ มาใช้ศึกษาอ้างอิงนั้น ควรจะมีการตรวจสอบว่าหลักฐานชิ้นนั้นเขียนขึ้นเมื่อใด ใครเป็นผู้เขียน และมีจุดประสงค์อย่างไร

เพราะสังคมทุกวันนี้สลับซับซ้อนเสียจนแทบไม่รู้ว่า

อะไรจริง? อะไรปลอม?
 

 

 

 

 

                        *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

 

                            "เป็นไงบ้างครับ?!.."

 

 

 

 

           

 

 

 

 

 

 

.... อย่าโกรธเลย นะพ่อ ผมขอโทษ

 

จงได้โปรด คลายโทษา อย่าหุนหัน

 

ก็ไม่รู้ ระวังเตรียม เตี๊ยมบอกกัน

 

เมื่อคืนนั้น พ่อเเอบย่อง ห้องไหนมา?

 

 

 

 

....ก็พี่เเจ๋ว เเกร้องไห้ ใจจึงอ่อน

 

ผมเลยย้อน เล่าเเม่ฟัง มั่งละหนา

 

ก็ไม่เห็น เเม่จะเอ่ย เผยวาจา

 

เเต่เเววตา ผมสยอง มองเเล้วกลัว!!!...

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                 484867_447598705305239_2140798999_n.jpg

 

 

 

เมื่อวันที่ 15 ม.ค.56 น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว โดยมีรูปภาพและเรื่องเกี่ยวกับ "จักรยานสีแดง" จำนวนมากมาย อันสืบเนื่องมาจากการจัดงานวันเด็ก เมื่อวันเสาร์ที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา

 

โดยจักรยานเหล่านั้นอยู่ในสภาพเรียงชิดติดกัน และล้อมไว้ด้วยโซ่ขนาดใหญ่ โดยอดีต ส.ส.ลพบุรี ของพรรคประชาธิปัตย์ อ้างว่า มีคนส่งจดหมายร้องเรียนมาว่า จักรยานเหล่านี้ใช้งบประมาณของรัฐสภา เพื่อนำมาใช้แจกเด็กๆ ในงานวันเด็กแห่งชาติที่ผ่านมา แต่การแจกเป็นไปด้วยเงื่อนไขที่วางกรอบไว้แน่นหนาเกินความจำเป็น และความสามารถของเด็กที่มาร่วมงานหนาแน่น ทำให้จักรยานเหล่านี้เหลือตกค้างมาถึงวันนี้มากมาย

 

ทั้งนี้ มีกระแสข่าวว่า จะถูกนำมาระบายไปยังเด็กๆ เป้าหมายทางการเมือง ดังที่ น.ส.ผ่องศรี ได้เขียนไว้ว่า

“มีคนส่งรูปนี้มาให้...
พร้อมมีคำถามมากมายถึงผู้ใหญ่ในสภาฯ วันนี้"จักรยานสีแดง"นับร้อยๆคัน วางเรียงรายที่ลานจอดรถรัฐสภา ควันหลง(ที่ไม่ใช่ของเหลือแต่เป็นของกั๊ก) จากงาน"วันเด็กแห่งชาติที่รัฐสภาฯ"


เด็กน้อยที่มาร่วมงานถามผู้ใหญ่ว่า "เก็บจักรยานไว้ทำไม ทำไมไม่แจก" "จักรยานคันแรก"ของหนูๆ โฆษณาบอกว่าแจกจักรยาน1,000คัน จะแจกให้กับ…เด็กคนไหนมาก่อนได้ เด็กคนไหนมีคูปองจับสลากได้ เด็กคนไหนอยู่รอจนจบงานฯได้ มีเด็กน้อยแถวสภาฯหลายสิบคนรออยู่จนมืดค่ำแต่ผิดหวังนั่งตาปริบๆ

เสียงผู้ใหญ่ใกล้สภาฯ เมาท์กระจายเขาว่า "ที่ไม่แจกเพราะ เขาว่าจะเก็บไว้บริจาค เพื่อเอาไว้ไปมอบให้ลูกหลานเครือข่ายคนที่สีเดียวกับสีจักรยาน" งานนี้ประธานรัฐสภา (สีจักรยาน) รับไปเต็มๆ

ฤางานวันเด็กฯที่สภาฯ ก็แค่เป็นอีก"ฉาก"บัง ถ้าเป็นจริงก็คงแย่ แม้แต่งานของเด็กก็ไม่เว้น


เวรกรรม...จริงๆ

guest

Post : 2013-01-15 20:43:57.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ครูข้างถนน

 

 >

                                          

 

 

 

อีกด้านหนึ่งที่บริเวณสี่แยก อสมท สี่แยกขนาดใหญ่ที่มีชุมชนหลากหลายทั้งชุมชนร่มเกล้า-มีนบุรี ชุมชนน้องใหม่ คลองเตย ชุมชนพัฒนาใหม่ ชุมชนริมทางรถไฟอโศกฯ อยู่ในย่านนั้น และมักจะมีเด็กออกมาขายพวงมาลัยและเช็ดกระจกอยู่เสมอ

 

เป็นจุดหนึ่งที่ "ครูเซฟ" อรุณ ถนอมธรรม จากมูลนิธิการส่งเสริมพัฒนาบุคคล หรือ เมอร์ซี่ ผู้ที่ทำงานด้านเด็กเร่ร่อนมานานกว่า 10 ปี ผู้เกาะติดและทำงานกับเด็กเร่ร่อนในย่านนี้ จากการเห็นสภาพปัญหาและมีเพื่อนทำงานอยู่มูลนิธิสร้างสรรค์เด็กอยู่ก่อนหน้านี้ จึงสนใจทำงานช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนและด้อยโอกาสอย่างเต็มตัว

 

ทุกวันจะเห็นครูเซฟพร้อมเป้คู่ใจที่บรรจุอุปกรณ์ต่างๆ ในการสอนทักษะให้กับเด็ก ขนมและของฝากต่างๆ เดินย่ำไปตามฟุตบาท เด็กจะออกมาในช่วงประมาณ 1 ทุ่มถึงเที่ยงคืน โดยเฉพาะช่วงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เป็นเวลาที่จะเจอเด็กได้ง่าย

 

ครูเซฟได้บอกเล่าหลากหลายเรื่องราวในการช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน เช่น เรื่องของโดมิโนกันกับน้องสาวที่อาศัยอยู่ในชุมชนแห่งหนึ่งแถวสี่แยก อสมท เขามีพี่น้องทั้งหมด 5 คน เด็กสองคนนี้เป็นเด็กฝรั่งที่ออกมาเช็ดกระจกอยู่ตามสี่แยก มีรายได้ต่อคืนประมาณ 200-300 บาท โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปดูแม่และน้อง เพราะเห็นถึงความลำบากของเด็กในการดิ้นรนเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวของเด็ก จึงได้เข้าไปสอบถามว่าต้องการอะไร ขาดสิ่งใด และพยายามจัดหามาให้

 

หรือกรณีของน้องปุ้ย ครูเซฟบอกว่า เห็นตั้งแต่เป็นเด็กเร่ร่อนตอนอายุ 12 ปี ต่อมาน้องปุ้ยมีลูก 4 คน ครูเซฟช่วยเหลือโดยให้น้องปุ้ยพาลูกๆ 3 คนไปเรียนที่ศูนย์เด็กเล็กของมูลนิธิฯ ส่วนคนเล็กเขาเลี้ยงเอง พอช่วงกลางคืนปุ้ยเขาต้องออกไปทำงานเช็ดกระจก ก็จะฝากคนข้างห้องเลี้ยง ส่วนแม่กับน้องชายเขาติดคุก ครูเซฟก็พาน้องปุ้ยไปเยี่ยมแม่กับน้องชายบ้างบางครั้ง

 

การดูแลของครูเซฟ เป็นเหมือนเป็นการดูแลคนในครอบครัว ไม่มองข้ามรายละเอียดในชีวิต ไม่ปล่อยให้พวกเขาเผชิญชีวิตตามลำพัง เวลาที่ครูเซฟจะไปไหนมาไหน มักจะเป็นห่วงเด็กๆ เสมอ ทุกวันไม่ว่าจะค่ำมืดแค่ไหนก็จะต้องกลับมาลงพื้นที่เพื่อพบเด็กๆ เสมอ

 

การลงพื้นที่เป็นเรื่องที่ครูเซฟทำเป็นประจำ ครูเซฟบอกว่า เพราะไม่รู้ว่าเด็กจะต้องการให้ช่วยเหลือตอนไหน และในแต่ละวันเด็กต้องเผชิญกับเรื่องราวใดบ้าง การได้พูดคุย ได้เห็นหน้า รู้ว่าแต่ละวันพวกเขาเป็นอยู่อย่างไร จึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตครูเซฟ

 

เราต้องเดินเข้าไปหาเขา เข้าไปพูดคุยทำความรู้จักและสร้างความไว้วางใจ ให้เขารู้ว่าเราตั้งใจมาช่วยเขาจริงๆ เพราะส่วนหนึ่งของชีวิตเด็กเร่ร่อนที่ถูกทำร้าย ทารุณ ถูกบังคับให้ทำงาน หรือไม่ได้รับการเอาใจใส่จากครอบครัว เพราะเด็กได้เรียนรู้ว่า สังคมนี้ไม่มีใครให้ความรัก ใส่ใจดูแลเขา แม้กระทั่งพ่อแม่คนที่ควรไว้ใจมากที่สุด ดังนั้นกว่าที่เด็กบางคนจะยอมคุยหรือเปิดใจเล่าเรื่องราวของตัวเองต้องใช้เวลานาน เป็นเดือน เป็นปี หรือหลายปีจึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

 

ครูเซฟบอกว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสถานการณ์ปัญหาเด็กเร่ร่อนในปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก ตามความซับซ้อนของสังคมสมัยใหม่ ความเปลี่ยนแปลงของเด็กที่เข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ การบังคับให้เด็กเร่ขายของให้กับนักท่องเที่ยวและนักท่องราตรี บ้างถูกจับไปใช้แรงงานในโรงงาน การท่องเที่ยวของไทยที่เฟื่องฟูมาพร้อมกับธุรกิจการค้าบริการทางเพศทั้งเด็กชายและหญิงที่เพิ่มขึ้น

 

การแบกเป้ไปสอนหนังสือเด็กๆ ในพื้นที่เหมือนแต่ก่อนจึงไม่เพียงพอ การสอนต้องเพิ่มเรื่องการให้เด็กรู้จักเอาตัวรอด รู้เท่าทันเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ รวมถึงให้ความรู้เรื่องการป้องกัน การดูแลสุขภาพ

 

นอกจากนี้ยังได้ครูเซฟยังได้ประ สานเครือข่ายที่ทำงานด้านเด็ก เช่น องค์กรที่ทำงานด้านการค้ามนุษย์ การขายบริการทางเพศ องค์กรผู้หญิง องค์กรด้านโรคเอดส์ เข้าไปให้ความรู้ให้ความช่วยเหลือเด็กๆ เหล่านี้ ทำให้คนทำงานกับเด็กเร่ร่อนมีโอกาสแลกเปลี่ยน เรียนรู้กันมากขึ้น

 

ที่สำคัญคือการพยายามชักจูงเข้ามาอยู่ในบ้านพักทั้งบ้านเมอร์ซี่ บ้านสร้างสรรค์เด็ก ฯลฯ หรือแม้แต่บ้านของภาครัฐ เพื่อดึงให้เด็กห่างไกลจากวงจรปัญหาเหล่านี้ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการแสวงหาผลประโยชน์ของผู้ใหญ่ในรูปแบบต่างๆ ให้เด็กได้รับการคุ้มครอง ให้มีชีวิตอยู่รอดและสามารถพัฒนาตามวัยได้อย่างเต็มตามศักยภาพ

 

ครูเซฟบอกด้วยความภาคภูมิในว่า งานครูข้างถนน เป็นงานที่ต้องเสียสละ ทุ่มเท แต่ก็สนุก ให้ความสุขและคุณค่าทางจิตใจสูง เพราะการที่เราได้ช่วยเหลือเด็กได้คนหนึ่งให้รอดพ้นจากสิ่งไม่ดี เป็นความยิ่งใหญ่สูงสุดในชีวิต ได้ความอิ่มใจที่หาค่าตอบแทนไม่ได้

 

สิ่งที่ครูข้างถนนมอบให้แก่เด็ก มีตั้งแต่การสร้างความไว้วางใจ ให้คำปรึกษา สอนทักษะชีวิต ฝึกอาชีพเพื่อให้เด็กได้เลี้ยงตัวเองได้ รวมไปถึงคอยประสานงานให้เด็กกลับคืนสู่ครอบครัว โรงเรียน หรือบ้านแรกรับ บ้านพัฒนาเด็ก หรือสถานสงเคราะห์เพื่อให้เด็กสามารถมีที่พักพิงและมีที่อยู่อาศัยแน่นอน

 

"ครูข้างถนน" จึงสมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เสียสละ เพราะสิ่งที่ครูได้รับตอบแทนแทบจะไม่มีอะไรนอกไปจากความภาคภูมิใจ และความรักความไว้ใจ ที่เด็กเร่ร่อนได้มอบให้ครูข้างถนน

 

 

 

 

 

                                           *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

                                 ไม่มีทาง...

 

 

 

 

      

 

 

 

 

 

....มีอีกมั๊ย? บททดสอบ จากสวรรค์

 

ที่ลงทัณฑ์ กระหน่ำซัด พัดจนเป๋

 

พายุใหญ่ โหมกระหน่ำ ทำซะเซ

 

กะเท่เร่ เอียงจนทรุด หยุดหายใจ

 

 

 

 

....มรสุม รุมครอบครัว จนหัวปั่น

 

ก็ไม่หวั่น คิดหลบลี้ หนีไปไหน

 

ยืนหยัดอยู่ ทั่วหล้ารู้ สู้ต่อไป

 

ถึงสิ้นไร้ จะไม่ขอ ง้อฟ้าดิน......

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

"ที่ไหนที่พี่น้องประชาชนมีความท­ุกข์ ที่นั้นคือที่ทำงานของผม
เวลาใดก็ตามที่พี่น้องประชาชนปร­ะสบปัญหา ต้องการความช่วยเหลือ
ต้องการกำลังใจ

เวลานั้นคือเวลาทำงานของผม..........."

 

 

 

 

กกต.พร้อมสอบพงศพัศเคยโดนคดีขโมยวิทยุ-เปลี่ยนชื่อขอพระราชทานยศ ขณะปชป.ขยับบอกประเด็นน่าสนใจ


(15 ม.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทีนิวส์ กรณีข้อพิพาทของ พลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่กำลังจะลงสมัครชิงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคเพื่อไทย แต่เคยมีประวัติติดคุกคดีอาญาโทษฐานขโมยวิทยุ ที่สหรัฐอเมริกา สมัยได้ทุนศึกษาวิชาอาชญวิทยา

 


โดยไทยได้ดำเนินการทางการทูต จนถูกปล่อยตัวกลับมาแบบมีมลทิน และถูกคัดค้าน จากสำนักพระราชวัง ครั้งเสนอชื่อขอพระราชทานยศ พลตำรวจตรี แต่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น พงศพัศ และสอดไส้โผแต่งตั้ง ทำเอกสารเท็จทูลเกล้าฯ จนได้รับเลื่อนเป็น พลตำรวจตรี ซึ่งกรณีนี้จัดว่า เป็นความผิดฐานกราบบังคมทูล ข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งนี้ นางสดศรี ระบุว่าในกรณีดังกล่าวต้องมีผู้ร้องและยื่นหลักฐานกับกกต.ก่อนจึงจะทำการตรวจสอบได้

 


และเห็นว่า ในตำแหน่งผู้นำท้องถิ่น อย่างผู้ว่าฯกทม.แล้วจะต้องไม่มีประวัติเสื่อมเสีย ในขณะที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยกับสำนักข่าวทีนิวส์ว่า ทางพรรครู้สึกสนใจในประเด็นดังกล่าว และทราบมาก่อนว่า พล.ต.อ.พงศพัศ เคยต้องคดีและเปลี่ยชื่อ ก่อนได้รับยศ พลตำรวจตรี ซึ่งพรรคต้องตรวจสอบหาหลักฐานข้อเท็จจริงก่อน หากจะมีการยื่นเรื่องร้องเรียนกับ กกต.ต่อไป



เรื่องนี้มีมูลแน่ เพราะผู้สื่อข่าวก็ถามเรื่องนี้กับ พงศพัศ โดยได้คำตอบว่า ไม่กังวลใจ

guest

Post : 2013-01-14 22:34:46.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สุขมหาศาล รออยู่

 

 

 

ดีท็อกซ์ร่างกาย ล้างพิษสมอง ชำระขยะใจ รับ "สุขมหาศาล" ทั้งปี 2556
+โพสต์เมื่อวันที่ : 2 ม.ค. 2556


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

.....

 

 แตลอด ทั้งปี เชื่อว่าทุกคนคงจะพบเจอกับเรื่องราวมากมาย มีดีบ้าง แย่บ้าง จนบางครั้งทำให้สุขภาพอ่อนแอลง จิตใจไม่เบิกบาน รวมทั้งการเงินขาดสภาพคล่อง

เอาล่ะ....เริ่มต้นปีใหม่ครานี้ หากใครตั้งใจอยาก "ปรับเปลี่ยน" ตัวเองเสียใหม่ ทั้งร่างกาย จิตใจ และการเงิน ลองอ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ดู หากชอบก็ลองนำไปทำตามดู ไม่เสียหลาย เป็นการดีท็อกซ์ร่างกายให้สุขภาพดี ล้างพิษสมองจากความคิดแย่ๆ และชำระจิตใจจากอารมณ์ขุ่นเมา

ถ้าทำได้ ได้กับตัวเอง เพราะความสุขเป็นเรื่องที่หาซื้อไม่ได้ ถ้าอยากได้ก็ต้องลงมือทำเอง!!

′สุขภาพฟิตเปรี๊ยะ′

"ร่าง กาย" นะ ไม่ใช่ "เครื่องจักร" ซึ่งเครื่องจักรเวลาเสีย ซ่อมแป๊บเดียวก็กลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ร่างกาย บางครั้งเสียแล้วเสียเลย ซ่อมไม่ได้!!

นพ.สุวินัย บุศราคัมวงศ์ แพทย์อายุรกรรมสมอง โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทย บอกว่า ที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพสักเท่าไหร่ มีคนป่วยมากขึ้น และโรคที่เป็นส่วนใหญ่เป็นโรคที่ป้องกันได้

"คนมักคิดว่า ไม่สบายรักษาด้วยการกินยาง่ายกว่า ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง"

ดังนั้น การป้องกัน "ดีกว่า" การรักษาแน่นอน!

"หัวใจ สำคัญของสุขภาพที่ดี ต้องทำสม่ำเสมอ ทำให้เป็นนิสัย ถึงจะเห็นผล" นพ.สุวินัยกำชับ ก่อนแจกแจงวิธีการดูแลสุขภาพด้วยอาหารการกินที่ง่ายนิดเดียว

เริ่ม จาก "อาหาร" รับประทานให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด มันจัด แนะนำให้รับประทาน "ปลา" ให้มากขึ้น โดยเฉพาะปลาทะเล เพราะมีสารโอเมก้า 3 ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง เลือดไหลเวียนดี ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

พร้อมทั้งหมั่นรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วย "ไฟเบอร์ กากใยต่างๆ" โดยมีในผักผลไม้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดการเกิดมะเร็งลำไส้

รับ ประทาน "เต้าหู้" โดยเฉพาะสตรี ซึ่งเต้าหู้มีสารคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะหญิงสูงอายุ จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ระบบไหลเวียนดี ช่วยให้เซลล์แข็งแรง ผิวพรรณดี

สำคัญที่สุด เน้นดื่มน้ำให้เยอะขึ้น อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพราะน้ำช่วยล้างสิ่งสกปรกสารพิษต่างๆ ออกไปจากร่างกาย และเป็นตัวช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานดีขึ้น

ดูแลเรื่องอาหารแล้ว "ออกกำลังกาย" ก็ขาดไม่ได้

นพ.สุวินัยแนะนำว่า ถ้าอยากให้ร่างกายแข็งแรง ต้องออกกำลังกายโดยเน้นให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง

"ปัจจุบัน มีโรคหลายโรค ถ้าไม่ตรวจ ไม่รู้ว่าเป็น เพราะไม่มีอาการ การตรวจสุขภาพประจำปี ปีละครั้งเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะคนที่มีพ่อแม่เป็นโรคเรื้อรัง เพราะสามารถสืบทอดทางกรรมพันธุ์ได้ เช่น เบาหวาน ความดัน หรือคนที่สูบบุหรี่ กินเหล้า เป็นประจำก็ควรมาตรวจไว้ ปัจจุบันโลกวิ่งไปด้วยความเร็วสูง ถ้าเราจะวิ่งตามให้ทันต้องกลับมาดูแลตัวเอง ซึ่งวิธีที่แนะนำมาเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด และไม่ต้องลงทุนอะไรเลย"

365 วัน รับทรัพย์อู้ฟู่

จะ ทำอย่างไรให้ "กระเป๋าตุง" รับทรัพย์แต่ต้นปี "อุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง" ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนการเงินส่วนบุคคล สายงานธุรกิจลูกค้าบุคคลและเครือข่ายบริการ ธนาคารกสิกรไทย ให้คำแนะนำดีๆ สำหรับการเริ่มต้นปีอย่าง "เศรษฐี" ว่า

"มนุษย์เงินเดือนทุกคน ต้องจำไว้ก่อนเลยว่า รายรับมีครั้งเดียว แต่รายจ่ายมีต่อเนื่อง ก่อนจะเริ่มเก็บเงินต้องรู้จักทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายเสียก่อน เพื่อที่จะรู้ว่ารายจ่ายส่วนไหนที่เป็นรูรั่วของเรา ที่สำคัญคืออาจทำให้รู้ว่ารายจ่ายเล็กๆ แต่ทุกวัน อย่างค่ากาแฟ ช็อปปิ้ง หรือแฮงค์เอาต์ยามดึก อาจกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้เช่นกัน"

ส่วนจะทำอย่างไรให้ "อู้ฟู่" ตลอดปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแนะนำเคล็ด(ไม่)ลับ ดังต่อไปนี้

1.กัน เงินไว้สำหรับเงินทุนสำรอง เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อใด ตกงาน น้ำท่วม ไฟไหม้ ถือเป็นเหตุไม่คาดฝันที่ต้องใช้เงินทั้งสิ้น จึงควรเตรียมเงินไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

2.เก็บเงินจากรายได้อย่าง น้อย 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินสะสมเผื่อไว้ใช้ในการลงทุน หากมีสุขภาพการเงินที่ดีขึ้นแล้ว ก็ควรเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ต่อปี แต่คนที่ไม่มีวินัยและใจไม่แข็งพอ อาจต้องฝากเงินกินดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ เพื่อให้มีเงินก้อน

3.จัดสรรเงินลงทุน เมื่อเราอยากรวย เราก็จำเป็นต้องนำเงินไปลงทุนให้งอกเงย ที่สำคัญคือไม่ควรนำเงินที่มีไปลงไว้ที่เดียว ควรจะกระจายความเสี่ยงออกไป เพื่อที่จะให้ได้ผลสำเร็จมากที่สุด ซึ่งในปีหน้าหุ้นไทยยังอยู่ในแนวบวก ทองคำ ตราสารหนี้ รวมถึงหุ้นในตลาดการเงินของจีน ก็มีทิศทางสดใสให้นักลงทุนทุกคน แต่ต้องรู้จักศึกษาความเสี่ยงก่อน การจะลงทุนระยะสั้นหรือยาว และอย่าจัดเต็ม เพราะการลงทุนยังมีความผันผวนอยู่เสมอ เนื่องจากโลกของเราได้เชื่อมเป็นแห่งเดียวกันแล้ว

ทิ้งขยะจิตใจ ชีวิตเปลี่ยน

จิต ใจที่ไม่เบิกบาน หงุดหงิด โกรธ เกลียด เศร้า เบื่อ เหงา ซึม นอยด์ แซด ทุกข์ และอีกสารพัดจะ "รมณ์บ่จอย" ซึ่งอารมณ์ลบๆ แบบนี้ รู้ไหมว่าเป็น "ขยะ" ที่ไม่เป็นผลดีกับชีวิตเลย (ขอบอก)

"สิริลักษณ์ ตันศิริ" นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ โค้ชพัฒนาศักยภาพและความสำเร็จ เจ้าของหนังสือขายดี "เมื่อยักษ์ตื่น" และ "เร่งสปีดความสำเร็จ" ผู้ที่พูดสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนเปลี่ยนชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นมาแล้ว มากมาย เริ่มต้นด้วยการบอกว่า คนในสังคมเก็บขยะไว้ในใจเยอะมาก (ลากเสียงยาว)

"ขยะในใจคือ อารมณ์ลบๆ ทั้งหลาย ถ้าเรามีแต่อารมณ์ลบๆ ตลอดเวลา ใครทำอะไรให้ผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจ ก็เอามาเสียใจ เบื่อ เซ็ง หรือคิดว่า ฉันไม่เก่ง ฉันล้มเหลว ยิ่งเก็บอารมณ์แบบนี้มาไว้ในใจเรื่อยๆ มันก็ยิ่งตอกย้ำสิ่งไม่ดีกับตัวเอง เศร้าบ่อย ผิดหวังบ่อย สุดท้ายก็หมดพลังชีวิต"

"คนที่ชีวิตไม่มีความสุข อะไรที่คิดแล้วทำให้ใจขุ่นมัว นั่นแปลว่า กำลังวางความคิดไม่ถูกต้อง"

ซึ่ง คนส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่อย่าง "เบื่อๆ" ไปวันๆ ไม่สุขแต่ก็ไม่ทุกข์ อยู่ไปวันๆ ซึ่งแบบนี้ใช่ว่าจะดี เพราะเป็นการมีชีวิตอยู่อย่างเรื่อยเปื่อย ไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่เบิกบานใจ ทำงานก็ทำงานไปงั้นๆ พอตกเย็นก็กลับบ้านดูทีวีนอน ชีวิตมีอยู่แค่นี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ โค้ชจึงอยากขอร้องว่า "เปลี่ยนจากเบื่อให้เป็นบุญ" จะดีกว่าไหม?

"ด้วย วิธีแสนง่าย ไม่ว่าจะทำอะไรให้ใส่ความรัก ความเอาใจใส่ลงไป เช่น ที่ผ่านมา อาจจะทำงานเหมือนหุ่นยนต์ ทำแบบเบื่อๆ ลองเปลี่ยนเบื่อให้เป็นบุญ มองให้เห็นคุณค่าในงาน ทุกครั้งที่ทำงานให้ใส่ใจ ใส่ความรักลงไปในงานทุกวัน"

ยกตัวอย่าง การทำงานของช่างก่อสร้างกำแพงวัด 3 คน

คนที่ 1 ทำงานด้วยความหงุดหงิด ความทุกข์ ได้เงินน้อย แดดก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย รำคาญในงาน

คนที่ 2 ทำงานได้ แลกกับค่าตอบแทน ทำไปงั้นๆ ดีกว่าไม่มีงานทำ

คนที่ 3 ทำงานด้วยความสุข เห็นคุณค่าในงานที่ทำ สร้างกำแพงวัดอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะงานที่ทำช่วยบำรุงพระศาสนา

"ทั้ง 3 คนทำงานเหมือนกัน แต่ทำด้วยใจที่ต่างกัน ทำด้วยทัศนคติแนวคิดที่แตกต่างกัน ถามว่าคนไหนจะมีผลงานออกมายอดเยี่ยมมากกว่ากัน ก็คนที่ 3 คนไหนที่มีโอกาสเติบโตก้าวหน้ามากกว่า ก็คนที่ 3 คนไหนมีความสุขในการทำงานมากกว่า ก็คนที่ 3 คนไหนได้บุญมากกว่า ก็คนที่ 3 เห็นไหม พอทำด้วยความตั้งใจ ด้วยความรัก ด้วยการเห็นคุณค่า ได้หมดทุกอย่าง"

แต่การเปลี่ยนโดยฉับพลันทันทีอาจจะทำยากสำหรับบางคน

"วิธี ลดความเคยชินเดิมๆ ให้ลองทำสิ่งแปลกใหม่บ้าง เริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น เคยใส่แต่เสื้อผ้าแบบนี้ ก็เปลี่ยนมาใส่แบบใหม่ หรือเคยทำงานแบบเดิมๆ ก็ลองสร้างสรรค์งานในรูปแบบใหม่ๆ หรือ คนที่ไม่ค่อยยิ้ม ก็เปลี่ยนมายิ้มบ้าง แล้วเวลาทำอะไรก็ให้ทำอย่างกระฉับกระเฉง เวลาที่เราเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความรวดเร็ว และยิ้มแย้มแจ่มใส พลังงานด้านบวกจะเกิดขึ้น ยิ่งทำ สิ่งดีๆ ก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามา สมองจะแจ่มใส ศักยภาพด้านบวกจะเกิดจากการทำอะไรรวดเร็ว"

"เปรียบ เหมือนเราตีกอล์ฟ แค่หันหน้าไม้กอล์ฟเอียงนิดเดียว ทิศทางก็เปลี่ยนแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ คนละเลย มองข้ามการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งสำคัญมาก"

สุดท้าย เคล็ดลับความสุขที่หลายคนรู้ แต่ไม่ค่อยเห็นคุณค่า นั่นคือ "คิดบวก พูดบวก ทำบวก ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น"

"ต่อ ตนเอง คิดบวก คือ คิดว่าเราเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่หลงตัวเอง เป็นการคิดที่การเชียร์ให้พลังตัวเอง, พูดบวก คือ พูดแต่สิ่งที่ดี ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้ ฉันเป็นคนโชคดี, ทำบวก คือ ฝึกตัวเองให้ยิ้มแย้มแจ่มใส และกระตือรือร้นเสมอ"

"ส่วนต่อคนอื่น คิดบวก พูดบวก คือ การมองแต่ละคนในแง่ดี ชื่นชมในสิ่งดีๆ อย่าไปมองสิ่งที่ไม่ดี พูดชมเชยและพูดขอบคุณเยอะๆ ซึ่งเป็นคำพูดที่ทรงพลังสุดสุด"

"ลองดูในแต่ละวัน ชื่มชมแฟนที่ดูแลเรา ขอบคุณแม่ที่ทำอาหารให้เราทุกวัน ขอบคุณเจ้านายที่สอนงานเรา แล้วดูว่าจะได้ความรักจากคนรอบข้างขนาดไหน เขาจะรัก จะรู้สึกดีกับเรา แต่การชื่นชมก็ต้องออกมาจากใจด้วย คอยดูเถอะ สิ่งดีๆ จะหลั่งไหลเข้ามา"

"และทำบวกต่อผู้อื่น คือ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน ช่วยเหลือผู้อื่นและเป็นผู้ให้ เรายอมเหนื่อยกายเพิ่มนิดเดียว แต่สิ่งที่ได้กลับมามหาศาลมากๆ เวลาช่วยไม่ต้องหวังผล สิ่งดีๆ จะกลับมาเอง จะเร็วจะช้าก็แล้วแต่ ไม่ต้องนั่งคอย"

"ทั้งหมดนี้คือหลักการที่ทรงพลังมหาศาล"

"ซึ่ง คนแทบทั้งนั้น อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังทำทุกอย่างเหมือนเดิม คิดแบบเดิม พูดแบบเดิม ทำแบบเดิม แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร เคล็ดลับความสุขง่ายๆ เพียงมองสิ่งต่างๆ ในแง่ดี บวกไว้ ชื่นชมสิ่งที่มี ขอบคุณสิ่งที่ได้รับมา ลดความคาดหวังให้น้อย ปล่อยวางให้เร็ว ไม่ยึดติด ไม่หมายมั่นกับสิ่งต่างๆ สร้างประโยชน์ สร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น เท่านี้ ทำได้ ก็ยิ้มเยอะ!!!" โค้ชสิริลักษณ์ทิ้งท้าย

ทำสิ!! สุขมหาศาลรออยู่...

 ที่มา ประชาชาติธุรกิจ              

 

 

 

 

 

 

           "คุณหญิงชัชนี" แฉ! 61 เหลี่ยม "แม้ว" ทำไทยวิบัติ

 

 

นายอานันท์ ปัณยารชุน ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกฯรัฐมนตรี (ช่วงปี 2535) ได้เซ็นขายโรงกลั่นน้ำมันของไทย ทั้ง 2 แห่ง

ให้กับ "เกษม จาติกวนิช." เพื่อนสนิท ในราคาเพียง 8000 ล้านบาท ในขณะที่ราคาขายจริงในขณะนั้น อยู่ในราคา เกือบ 50000 ล้านบาท

อีกทั้งเป็นการเซ็นอนุมัติการขาย ในขณะที่ นายอานันท์ เองเป็นนายกรัฐมนตรี รักษาการณ์ (เพราะได้มีการยุบสภาไปแล้ว)

ทั้งยังไม่ได้มีการเปิดประมูลให้กับผู้ซื้อรายอื่นใดๆทั้งสิ้น เป็นการเซ็นอนุมิติการขายให้แบบงุบงิบ

 

อีกทั้ง นายเกษม ยังใช้ "เช็คส่วนตัว" ในการซื้ออีกด้วย

ซึ่งในการซื้อขายโรงกลั่นของรัฐ ที่มูลค่ามหาศาลเช่นนี้ กลับมีการยินยอมให้ใช้เช็คส่วนตัว ซื้อขาย

ซึ่งปกติ การซื้อขายแค่รถยนต์ เรายังต้องใช้ "cashier cheque" ในการซื้อ

"cashier cheque" เป็นเช็คที่ออกโดยธนาคาร รับประกันว่า ใน "cashier cheque" ของเจ้าของบัญชีนั้น มีเงินอยู่ในบัญชีจริงตามจำนวน

 

แต่นี่เป็นการซื้อขายโรงกลั่นน้ำมัน ราคา 8000 ล้านบาท (ราคาจริง 50000 กว่าล้านบาท) รัฐบาลนายอานันท์ กลับอนุมัติการซื้อขาย

อีกทั้งยังเป็นการซื้อขายแบบไม่มีการเปิดประมูลให้กับผู้ซื้อรายอื่นเลย

 

 

นี่เป็นเพียง 1 ในผลงานอันโปร่งใส ของ รัฐบาลนายอานันท์ ที่ได้ชื่อว่า เป็นนายกฯแสนดี - รัฐบาลโปร่งใส

 

ถามหน่อยนะ- นางชะนี เอ๊ย นางชัชนี - ไอ้ 61 ข้อ ที่หล่อนเขียนหน่ะ เทียบได้ กับความโสมม แค่ข้อเดียวของ เกษม จาติกวณิช ผัวหล่อน

ที่เป็นต้นเหตุ สาเหตุ ปฐมบทของประชาชนคนไทย ที่ต้องใช้น้ำมันแพงอย่างเช่นปัจจุบัน- ได้ไม๊

 

 

(ปล --- ขอให้ทุกคนช่วยกันกระจายเรื่องนี้ เพราะเรื่องความเลวในการซื้อโรงกลั่นของนายเกษม นี้

ได้ถูกลบ และหายไปจาก สารบท-

หากคุณ google ถึงเรื่อง นี้ จะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก

ส่วนใหญ่ถูกลบไปหมดแล้ว

 

นอกจากคุณจะมีข้อมูลเก่าๆเก็บไว้

ฉนั้น คนรุ่นใหม่ จะไม่ค่อยมีใครทราบเรื่องราวเลวๆ นี้เลย

พวก ปชป ถึงหลอกพวกเด็กรุ่นใหม่ได้ง่าย เพราะการค้นข้อมูลจาก net ในส่วนที่เรื่องราวเลวๆ ของพวกมัน ได้ถูกลบ ไปเกือบหมด)

 

 

 

 

                                                

 

เว็บเพจ สถาบันพัฒนาการเมืองและคุณภาพคน ได้โพสต์ข้อมูล วีรกรรม -ผลงาน อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งผุ้นำประเทศไทย และอยู่เบื้องหลังรัฐบาลหลายๆ ชุด ที่ผ่านมา โดย สถาบันพัฒนาการเมืองและคุณภาพคน ได้ระบุว่า "ทักษิณ ในมุมมองของคุณหญิงชัชนี จาติกวณิช" ผู้บริหารกลุ่ม "ล็อกซเล่ย์" เมื่อวันเสาร์ ที่ 12 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา โดย คุณหญิงชัชนี ระบุ บทความดังกล่าว เป็นบทความที่ Link มาจาก FB ที่มีคนส่งต่อๆมา ซึ่งให้อยากเตือนความทรงจำหลายๆคนว่าคนคนนี้ทำอะไรมาบ้าง พร้อมทั้งระบุไว้ตอนท้ายว่า ยืนยันว่า ไม่ใช่เหลืองหรือแดง แต่เป็นคนไทยที่ต้องการให้คนไทยทั้งประเทศหยิบยื่นโอกาสให้กับประเทศไทยอีก ครั้งด้วยการเลือกคนที่คิดว่าจะนำประเทศให้พ้นวิกฤตไปได้

ซึ่งหลังจากที่ข้อความได้ถูกโพสต์ขึ้น ปรากฎว่า มีคนเข้ามากดไลท์ ถูกแชร์กันในโลกออนไลน์ เป็นจำนวนมาก

 

guest

Post : 2013-01-13 20:47:37.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  อาชีพที่เครียดที่สุด

 

            

 

 
 

 เผย 10 อันดับ อาชีพเครียดมาก – เครียดน้อย ที่สุด

 

 

      

 

อาชีพเครียดมากที่สุด

เว็บไซต์ careercast.com เผย10 อันดับอาชีพที่เครียดที่สุด และ 10 อันดับอาชีพที่เครียดน้อยที่สุด ประจำปี 2013โดยพบว่า ทหารเป็นอาชีพที่เครียดมากที่สุด ขณะที่ อาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นอาชีพที่เครียดน้อยที่สุด โดยมีอันดับ ต่อไปนี้

อาชีพเครียดมากที่สุด,ทหาร

 

 

10 อันดับงานที่มีความเครียดมากที่สุดในสหรัฐประจำปี 2556
1. ทหาร
2. ผู้บัญชาการทางทหาร
3. นักดับเพลิง
4. นักบินสายการบินพาณิชย์
5. เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์
6. ผู้บริหารบริษัทอาวุโส
7. ช่างภาพสื่อ
8. นักข่าวหนังสือพิมพ์
9. คนขับรถแท๊กซี่
10. ตำรวจ

 

 

อาชีพเครียดน้อยที่สุด,ครูมหาวิทยาลัย

 

 

10 อันดับงานที่มีความเครียดน้อยที่สุดในสหรัฐประจำปี 2556
1. อาจาร์ยมหาวิทยาลัย
2. ช่างตัดเย็บเสื้อผ้า
3. นักเทคนิคระเบียนการแพทย์
4. ช่างทำอัญมนี
5.นักเทคนิคการแพทย์
6. นักแก้ไขการได้ยิน
7. นักโภชนาการ
8. ช่างทำผม
9.บรรณารักษ์
10. ช่างเจาะในโรงงาน

สำหรับเหตุผลที่ ทหารเป็นอาชีพที่เครียดที่สุด เพราะ ทหารจากทุกกองทัพทั่วโลก ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด เป็นอาชีพที่้ต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ แต่เงินเดือนที่ประจำการมายาวนานกว่า 8 ปีขึ้นไปอยู่ที่ราว 4.19 หมื่นเหรียญสหรัฐ (ราว 1.29 ล้านบาท) เท่านั้น

ขณะที่อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยนั้นเป็นอาชีพที่มีโอกาสก้าวหน้าในการทำงาน และได้รับผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ย 6.25 หมื่นเหรียญสหรัฐ (ราว 1.93 ล้านบาท) อีกทั้งยังเป็นอาชีพที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีไม่เสี่ยงต่อการเสียสุขภาพจิตเหมือนอาชีพอื่นๆ

 

 

 

 

 

 

 

      *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

 

 

                "จะได้จำซะที...."

 

 

 

     

 

 

 

 

 

 

 ....ไม่เป็นไร ผงเข้าตา ก้มหน้านิด

 

คงเป็นพิษ ฝุ่นละออง มองไม่เห็น

 

เเสบปวดร้อน จนน้ำตา พร่ากระเซ็น

 

ร่วงไหลเร้น จากในสุด หยุดไม่ทัน

 

 

 

....อย่าห่วงเลย เคยเป็นบ่อย ค่อยๆสร่าง

 

เดี๋ยวก็จาง บาดเเผลนิด สะกิดหัน

 

อาจต้องใช้ เวลาหน่อย ก็ปล่อยมัน

 

เจ็บเเค่นั้น ไม่ถึงตาย ต้องหายเอง!!.....

처음 이전 ... 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>