Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2013-01-12 21:10:24.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เบื้องหลัง Google

 

                        



จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้อยู่ที่ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) อีกหนึ่งสุดยอดแห่งมหาวิทยาลัยด้านไอที (จริงๆแล้ว Stanford ก็จัดว่าเป็นอันดับต้นๆของโลกในสาขาอื่นๆอีกมากมาย ด้วยเช่นกัน) มหาวิทยาลัยแห่งนี้ นอกจากจะเป็นต้นกำเนิดของสุดยอด 2 ไอเดียออนไลน์ระดับโลกอย่าง Yahoo! และ Google แล้ว มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นต้นกำเนิดของคอมพิวเตอร์ที่เราใช้ๆกันอยู่ด้วยซ้ำไป ที่นี่เป็นที่ที่ คุณ John von Neuman (จอห์น วอน นูแมน) คิดและประิดิษฐ์คอมพิวเตอร์ที่มีสถาปัตยกรรมที่เหมือนกับที่เราใช้อยู่นี่แหล่ะ เป็นคนแรกของโลก (แม้จะไม่ใช่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกก็ตาม – สับสนมั้ยครับ – คืออย่างงี้ครับ คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกชื่อว่า ENIAC ซึ่งเป็นเครื่องที่มีความซับซ้อนสูง ต่อมาคุณ von Neuman ซึ่งก็ช่วยงานในการสร้างคอมพิวเตอร์ ENIAC อยู่ด้วย แกเสนอว่า เราน่าจะแยกส่วนของคอมพิวเตอร์ออกเป็น หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ หน่วยรับเข้าและส่งข้อมูล ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากคอมพิวเตอร์เครื่องแรก และเป็นสถาปัตยกรรมที่เรายังใช้มาอยู่จนในปัจจุบัน หลายสถาบันก็เลยยกย่องให้ von Neuman เป็นบิดาของคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว) แหม! พูดถึงมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดซะยืดยาวเลย พักไว้แค่นี้ก่อน เดี๋ยวหาใครที่กำลังเรียนแถวนั้นมาบรรยายสรรพคุณของ Stanford ต่อ ตอนนี้เข้าเรื่องกูเกิ้ลดีกว่าครับ เดี๋ยวกระดาษจะหมดซะก่อน


 


Sergey Brin (เซอร์เก บริน1)



เรื่ิิองก็เริ่มตอนปิดเทอมภาคฤดูร้อนปี 1995 ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้แหละครับ ตอนนั้น Sergey Brin (เซอร์เก บริน1) 1 ใน 2 ของผู้ก่อตั้ง กูเกิ้ล เป็นแค่นักเรียนปริญญาเอก ที่กำลังจะขึ้นปี 2 ของภาควิชา วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer Science) ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่อาสาเข้ามาเป็นนักศึกษาช่วยงาน Open House

โดยปกติทุกๆปีในช่วงก่อนเปิดเทอมนี้ มหาวิทยาลัยต่างๆเค้าจะมีการเปิดบ้านต้อนรับผู้มาเยือน เราเรียกว่า Open House (ที่เมืองไทยก็เห็นมีบ้างแล้วหลายมหาวิทยาลัย) คือว่าใครที่สนใจที่จะเรียนในมหาิวิทยาลัยไหน คณะไหน ก็จะไปงาน Open House ของที่นั่น ที่จะมีคนมาคอยพาทัวร์ และแนะนำสถานที่ แนะนำคณะ แนะนำ Lab แนะนำครูอาจารย์ เป็นปกติเหมือนทุกๆปี แต่ปีนี้เองพระเอกคนที่สองของเรา คือคุณ Larry Page (ลาร์รี่ เพจ) ก็โผล่มาในงาน Open House ในปีนี้ หลังจากได้ดีกรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (Michigan
University
) มาหยกๆ


 


Larry Page (ลาร์รี่ เพจ)



ทั้งสองเจอกันเพราะ Larry Page ไปอยู่ในกลุ่มทัวร์ ที่มี Sergey Brin เป็นหัวหน้ากลุ่มทัวร์พอดี

ดูท่าว่างานนี้ไม่ใช่รักแรกพบครับ เพราะระหว่างทางที่เดินทัวร์มหาวิทยาลัย และเมือง San Francisco อยู่ ทั้งสองคนนี้ก็มีเรื่องให้ถกเถียงกันได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องของการจัดผังเมืองของ San Francisco (??!!??)

Page เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นเค้าจำได้ว่า Sergey Brin เป็นคนที่มีความคิดที่ค่อนข้างจะติดยึด
เป็นคนที่ไม่ค่อยโสภาที่น่าจะอยู่ใกล้เท่าไหร่ ถ้าคิดว่าตัวเองถูกละก็จะเีถียงหัวชนฝา ซึ่งบังเอิญว่า ตัวเอง (Page) ก็เป็นคนแบบนั้น ส่วน Sergey ก็บอกว่าจริงๆแล้ว Larry ก็ออกจะแปลกๆอยู่เหมือนกันแหละ เถียงหัวชนฝา ไม่ค่อยยอมใคร (เอากันเข้าไป มิน่าหล่ะ เถียงกันได้ทั้งวัน)


เอาเป็นว่า ทั้งคู่ถกเถียงกันเรื่องต่างๆทั้งวันที่เดินทัวร์ แม้จะไม่ลงรอยด้วยดี แต่ทั้งคู่ก็จำกันได้ดีก่อนจะแยกจากกันในตอนเย็น (แหม! พล็อตยังกับหนังไทยเลยครับ พระเอกกับนางเอกเจอกันครั้งแรกจะต้องมีทะเลาะตบตี ต่างคนต่างบอกว่าเกลียด แต่ในใจคิดถึงอยู่)

อีก 2-3 เดือนถัดมา มหาวิทยาลัยก็เปิดเทอมครับ Page ก็เข้ามารายงานตัว และเลือก Prof. Terry Winograd ผู้เชี่ยวชาญด้านการโต้ตอบระหว่างคอมพิวเตอร์และมนุษย์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา และก็เริ่มมองหาหัวข้อวิทยานิพนธ์

พ่อของ Larry Page (ขณะนั้นเป็นอาจารย์ด้าน Computer Science อยู่ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน) บอกว่า Thesis ปริญญาเอก จะเป็นเหมือนกรอบ ที่จะคอยกำหนดอนาคต ด้านวิชาการของเราไปทั้งชีวิต ก่อนจะตัดสินใจเลือกทำให้ไตร่ตรองให้ดี ทำให้ Page ใช้เวลาอยู่นานในการเลือกหัวข้อทำวิทยานิพนธ์ หลังจากลองนึกๆดูสิบกว่าเรื่อง สุดท้ายก็มาลงที่เรื่อง World Wide Web นี่เอง


และแล้วจุดเริ่มต้นของไอเดียเล็กๆ ก็กลายเป็นไอเดียที่เปลี่ยนโลกอินเตอร์เน็ตทั้งใบ จุดกำเนิดของยักษ์ใหญ่ในวงการซอฟท์แวร์อีกตน ก็เริ่มขึ้นที่นี่ …


Remark1 ชื่อ Surgey Brin อ่านออกเสียง ว่า เซอร์เก บริน โดย Assoc. Prof. Stanislav Makanov (อาจารย์ชาวรัสเซีย ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
 

Page เริ่มหัวข้อวิจัยเกี่ยวกับเว็บก็จริง แต่ไม่ได้เริ่มมองหาวิธีที่จะค้นหาข้อมูลบนเว็บ แต่สิ่งที่เค้ามองเห็นกลับเป็น มุมมองทางด้านคณิตศาสตร์ของเว็บไซท์มากกว่า คือ Page มองแบบนี้ครับ...

ถ้าหากมองว่า 1 เซอร์ฟเวอร์ หรือ 1 เว็บไซท์ เช่น วิชาการ.คอม หรือ 1 คอมพิวเตอร์ เป็นเพียง จุด (Node, Vertex) จุดหนึ่งบนกราฟ (Graph) และ ลิ๊งค์ (link) เช่น www.ipst.ac.th ที่ วิชาการ.คอม เชื่อมต่อไปยังเว็บไซท์อื่นๆ เหมือนกับเป็นทางเชื่อมต่อกัน หรือ ขอบ(Edge) ระ่หว่างจุดเหล่านั้น หรือ พูดง่ายๆว่า Page มองเห็น อินเตอร์เน็ตเป็นกราฟ นั่นเอง (แฮ่ะๆ แบบนี้เรียกว่ามันอยู่ในสัญชาติญาณ มองอินเตอร์เน็ตเป็นกราฟ ทำได้ไงเนี่ย) ซึ่งบ้านเรา นิสิต นักศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านทางสายวิทย์ มักจะได้เรียนเรื่อง กราฟ ประเภทนี้ในเรื่อง ทฤษฏีกราฟ (Graph Theory) แถวๆปีต้นๆ (ซึ่งน้องๆตัวเล็กๆอาจสับสนนิดนึง เพราะกราฟที่คุ้นเคยอาจจะหมายถึง กราฟที่เป็นตัวแทนของข้อมูล เช่น กราฟแท่ง กราฟเชิงเส้น ซะมากกว่า)

ถ้าไม่ใช่ในวิชาคณิตศาสตร์ ก็จะเป็นวิชา Algorithm โดยเฉพาะพวกที่เรียน วิทยาการคอมพิวเตอร์ ก็น่าจะผ่านหูผ่านตากันมาแล้วทุกคน (ถ้าไม่ใส่ไหคืนอาจารย์ไปหมดแล้วซะก่อน) (มีอาจารย์และนักคณิตศาสตร์ ในเมืองไทยหลายคน ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Graph Theory เช่น ดร.จริยา อุ่ยยะเสถียร ภาควิชาคณิตศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จบปริญญาเอกเรื่องนี้มาโดยเฉพาะ เดี๋ยวจะลองเกี้ยวมาช่วยเขียน เรื่อง Graph Theory อีกซักบทความ)


 


ตัวอย่างกราฟ สมมติให้จุดแต่ละจุด แทนคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง และเส้นเชื่อมแทนลิงค์ที่เชื่อมหากัน


 

แต่คราวนี้ลองใช้จินตนาการดูกันหน่อยนะครับ ว่าแน่นอนเว็บไซท์หนึ่งเว็บ ก็ลิงค์ไปยังหลายร้อย หลายพันเว็บ และมีเว็บไซท์หลายๆเว็บ ที่ลิงค์มายังเว็บไซท์หนึ่งๆ และปัจจุบันเรามีกันเป็น พันๆ ล้านเว็บ เพราะฉนั้น กราฟ ที่เราใช้แทน อินเตอร์เน็ต ก็จะเป็นกราฟขนาดมหึมา และมีความซับซ้อน มีเส้นโยงกันไปโยงกันมาอย่างยุ่งเหยิง

ซึ่งตรงนี้แหละที่ Page มองแล้วเห็นว่ามันช่างน่าตื่นเต้น น่าสนใจ น่าติดตาม เสียเหลือเกิน Page เคยบอกว่า Internet คือ กราฟที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น และมันก็ยังจะเติบโต ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ทุกๆวัน ด้วยอัตราเร็วในการเติบโตสูงมาก โอ! มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจทำวิทยานิพนธ์เหลือเกิน (ถ้าเป็นคนสามัญชนคนไทยธรรมดา ก็อาจจะบอกว่า โอ! มันซับซ้อนเหลือเกิน ไม่มีทางทำได้หรอก ทำไปเดี๋ยวไม่จบ หนีดีกว่า) ซึ่ง Prof. Winograd อาจารย์ที่ปรึกษาของเค้าก็เห็นด้วย และเห็นว่าน่าจะศึกษาเรื่องของโครงสร้างของกราฟของเว็บ เป็นการเริ่มต้นวิทยานิพนธ์

Page ทำการศึกษาด้วยตัวเองอยู่ไม่นาน เค้าก็เจอปัญหาแรกเข้าให้...

โอเคตรงนี้เราเข้าเรื่อง graph theory กันนิดนึง (เอาเป็นว่าผมพยายามวงเล็บภาษาอังกฤษของคำไทยไว้ด้วยครับ จะได้ช่วยให้คนทีคุ้นเคยกับคำอังกฤษในวิชานี้แล้ว ได้เห็นภาพง่ายขึ้นนะ) คืออย่างนี้ ในกราฟปกติ ขอบของกราฟ (Edge) จะเป็นตัวบ่งถึงความสัมพันธ์กันระหว่าง จุด (Vertex) ซึ่งโดยปกติแล้ว เราจะรู้และนับจำนวนได้ว่า จากจุดจุดหนึ่ง มีขอบ หรือ เส้นลากไปยังจุดอื่นๆ อีกกี่จุด และมีกี่จุดที่ลากมาหาตัวเอง แต่หน้าเว็บเพจกลับไม่เป็นแบบนั้นซะทีเดียว เพราะ ที่หน้าเว็บเพจหนึ่งๆ (สมมติว่าเว็บ 1 หน้าเป็น 1 จุดในกราฟ) เรารู้ครับว่า จากจุดที่เราอยู่ปัจจุบัน มันลิงค์ไปยังหน้าไหนบ้าง คือ เรารู้ว่ามันมี จำนวนขอบที่วิ่งออกไป (Out Degree) จากตัวเองกี่ขอบกี่เส้น และไปที่ไหนบ้าง แต่ที่เราไม่รู้นี่คือว่า มีเว็บเพจใดบ้าง กี่หน้า ที่ลิงค์มาหาหน้าที่เราสนใจ

โอยสับสนใช่มั้ยครับ ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบแบบนี้ก็แล้วกัน ถ้าผมถามคุณว่าคุณรู้จักคนกี่คน คุณอาจจะต้องนั่งไล่นับนิ้วไปเรื่อยๆ แต่คุณก็บอกได้ว่าคุณรู้จักใครบ้าง และคล้ายๆกัน ผมถามว่า "คุณรู้มั้ยว่ามีใครในโลกนี้รู้จักคุณบ้าง?" (เปรียบกับ "รู้มั้ยว่ามีเว็บไหนลิงค์มาที่เราบ้าง") คำตอบคือ ไม่รู้ จะไปรู้ได้ยังไงว่าใครรู้จักเราบ้าง

โอเค เริ่มเห็นภาพนะครับ ลองนึกตามแบบนี้นะครับ ว่าหน้าเว็บที่คุณอ่านอยู่ตอนนี้เนี่ย ลิงค์มาจากหน้าไหน URL อะไรบ้าง ถ้าคุณไม่กด Back มีข้อมูลตรงไหนบอกมั้ยครับ ? หรือแม้แต่คุณจะกด Back คุณก็รู้แค่ลิงค์เดียวที่ลิ๊งค์มาหาหน้านี้ แต่ที่จริง อาจจะมีหน้าเว็บอื่นๆอีกเป็นร้อยๆ ที่มีลิ๊งค์มาหาหน้านี้ ที่เราไม่รู้ คำถามคือ แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ?

ซึ่งตรงนี้หล่ะยาก เพราะอินเตอร์เน็ตไม่ได้ให้ข้อมูลนี้มา และตรงนี้เองที่ Page คิดว่า มันน่าจะดี ถ้าหากว่าเรารู้ (หรืออย่างน้อย มีวิธีการที่จะทำให้รู้) ว่าใครลิงค์หาใครบ้าง หรือ มีใครลิงค์มาหาหน้านี้บ้างกี่คน Page ก็เลยเลือกเอาปัญหานี้ มาทำเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก และตั้งชื่อเล่นโปรเจ็คของเค้าว่า "BackRub Project" (โครงการ "ถูหลัง" - แหม! ผมแปลตรงตัวไปหน่อยหรือปล่าวเนี่ย - สงสัยว่า Page คงอยากรู้ว่า ตอนที่อาบน้ำนี่ ใครถูหลังให้เค้าบ้าง - เอ้า ! ว่าไปโน่น)

โอเค งั้นกลับมาที่คำถามเดิม ถ้าเราอยากจะรู้ว่ามีใครรู้จักเราบ้างกี่คน เราจะทำอย่างไร จริงๆคำตอบนี้ง่ายมากครับ คุณก็ถามคนทุกๆคนทั่วทั้งโลกนี้เลยซิครับว่าเค้ารู้จักใครบ้าง ด้วยวิธีนี้ พอคุณถามครบทุกคนทั้งโลก คุณก็จะรู้ว่าทั้งโลกนี้มีคนรู้จักคุณกี่คนใช่ป่าวครับ แหม! คิดได้ไง ง่ายจัง

คล้ายๆกัน เพื่อจะรู้ว่าใครลิงค์มาที่หน้าเว็บนี้บ้าง Page ก็เริ่มจากการไล่ไปที่ละหน้าเว็บแล้วดูว่าหน้านั้นลิงค์ไปที่ไหนบ้าง (เหมือนว่าหน้านั้นรู้จักใครบ้าง) แล้วเก็บลิงค์ทั้งหมดในหน้านั้นมาเข้าคิวไว้ เพื่อจะได้ไล่ถามไปเรื่อยๆ (ตรงนี้แหล่ะครับที่เรียกว่า Crawler - หน้าถัดไปจะอธิบายอีกที) Page คิดว่าแหมไล่ไปเรื่อยๆแบบนี้ ซักอาทิตย์นึงก็เก็บเว็บหมดจากทั่วโลกแล้ว ... น้าน.... ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ Backrub โปรเจ็คนั่นเอง




back rub line - ถ้ามองไปข้างหน้าอย่างเดียว เราไม่มีทางรู้ว่าใครกำลังถูหลังเราอยู่


 

จาก BackRub Project ที่ค่อยๆ เติบโตมา ด้วยน้ำมือของนักศึกษา 2 คน ที่ใช้ห้องนอนที่หอพักนักศึกษา ทำเป็น ห้อง Server และ ห้องเขียนโปรแกรม ได้กลายเป็น Google Project โปรแกรม Search Engine ขนาดจิ๋ว ที่ดูดทรัพยากร Network ของมหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด ที่ได้ชื่อว่า Network ที่เร็วเป็นอันดับต้นๆของโลก ได้อย่างไร

Page เริ่มที่จะคิดว่า เราจะทำไงถึงจะรู้ว่า ลิงค์ใดบ้างที่ลิงค์มาัยังเว็บหนึ่งๆ หลังจากที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไม่นาน(ไม่กี่เดือน) Page ก็พบว่า จริงๆแล้ว เรื่องของการลิงค์ไปลิงค์มาของเอกสารนี่ มีกันมานานแล้วในวงการวิชาการ ก็คือเรื่องของ ผลงานวิชาการ นั่นเอง คือโดยปกติแล้ว หากนักวิชาการท่านใด คิดทฤษฎีอะไรออกมาได้ใหม่ๆ หรือค้นพบอะไรใหม่ หรือต้องการจะแก้ไขสิ่งที่มีอยู่แล้ว ก็จะทำการตีพิมพ์ผลงานของตนเองในวารสารวิชาการ (Journal) โดยจะต้องอ้างอิงถึงที่มาของความรู้ หรือ ผลงานที่มีมาก่อนของคนอื่น หรือที่ใกล้เคียง ก็เพื่อให้องค์ความรู้ใหม่ที่ตีพิมพ์ มีรากฐานจากองค์ความรู้ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว (ตีพิมพ์แล้ว) นั่นเอง ดังนั้น ผลงานวิชาการ ไหนที่ได้รับการอ้างถึง (Citation) บ่อยๆ จาก นักวิชาการคนอื่นๆ แสดงว่า ผลงานวิชาการชิ้นนั้นได้รับการยอมรับอย่างจริง ในวงการวิชาการเรามีตัวชี้วัดกันเลยว่า ผลงานหนึ่งๆ มีการถูกอ้างถึงมากน้อยเพียงใด เราเรียกดัชนีตัวนี้ว่า Citation index ซึ่งการอ้างอิงด้านวิชาการถือเป็นเรื่องใหญ่ ใหญ่ขนาดไหนครับ ก็ใหญ่พอที่จะมีิวิชาที่ว่าด้วยเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย คือวิชา bibliometrics (ผมเองก็ไม่เคยเรียนครับ แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นทางกลุ่มนักศึกษา วารสาร หรือ บรรณารักษ์ หรือ สารสนเทศ - เดี๋ยวจะค้นมาให้ว่าที่ไหนสอนบ้างในเมืองไทย)


 

• Kiattisin Kanjanawanishkul and Bunyarit Uyyanonvara, Novel fast color reduction algorithm for time-constrained applications, Journal of Visual Communication and Image Representation, Volume 16, Issue 3, June 2005, pp. 311-332 (2005) • Y. Sirisathitkula, S. Auwatanamongkola and Bunyarit Uyyanonvara, Color Image Quantization using Adjacent Colors’ Line Segments. Pattern Recognition Letters, Vol 25/9 pp 1025-1043. (2004) • Lloyd Bender, David J. Spalton, Bunyarit Uyyanonvara, James Boyce, Catherine Heatley, Romina Jose and Jaheed Khan, POCOman: New system for quantifying posterior capsule opacification, Journal of Cataract & Refractive Surgery, Volume 30, Issue 10, October 2004, Pages 2058-2063 (2004)


ตัวอย่างของการอ้างอิงทางวิชาการ


 

ตอนที่ Tim Berners-Lee (ตอนนี้ได้รับการแต่งตั้ง เป็น Sir Tim Berners-Lee เรียบร้อยแล้ว) วิศวกรอิสระของ CERN คิดค้น World Wide Web ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก (ไว้วันหลังค่อยเขียนเรื่อง จุดกำเนิดของ WWW อีกทีแล้วกัน) คุณ Tim แกก็คิดว่า เราน่าจะมีวิธีที่ละลิงค์ผลงานวิชาการของนักวิชาการเข้าด้วยกันเลย ไม่ต้องมานั่งกำหนดรูปแบบที่ยุ่งยาก (เหมือนที่เห็นในกรอบด้านบน) คุณ Tim ก็เลย คิดเรื่องของ Hypertext ขึ้นมา แต่สิ่งที่ Page กำลังทำเป็นการ Reverse Engineer ของ WWW เพราะเค้าต้องการค้นหาถึงที่มา ต้นตอของเอกสารที่ิลิงค์กันนั่นเอง ด้วยความรู้นี้ งานของเค้าก็ง่ายขึ้นเยอะครับ (แม้ที่เหลือก็จะยังสุดหินก็ตาม) ที่เหลือก็คือว่าเค้าจะต้องหาให้ได้ ว่า ใคร อ้างอิงจาก ใคร โดยอัตโนมัติ พูดง่ายๆ ว่าเค้าต้องวาด กราฟของอินเตอร์เน็ต ขึ้นมา บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเค้านั้นเอง แน่นอนว่า กราฟที่เค้าจะสร้างขึ้น จะมีความซับซ้อนสูง และการคำนวนจำนวนลิงค์ ที่เชื่อมหากันก็ทำได้ยาก เนื่องจากกราฟมีการเจริญเติบโตเรื่่อยๆ เพราะความซับซ้อนของข้อมูลสูง ดังนั้นสูตรการคำนวณเพื่อให้คะแนนแต่ละหน้า ก็จะมีความซับซ้อนด้วย ตรงนี้นี่เอง ที่ทำให้ Brin กระโดดเข้ามาในโปรเจ็คนี้


 


Page และ Brin ในช่วงเริ่มต้นโปรเจ็ค google ที่หอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย (ภาพจากวารสาร WIRED )


 

ด้วยพื้นเพ back ground เดิมของ Brin ที่เป็นนักคณิตศาสตร์ ที่จัดว่าเข้าขั้นเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง มีเชื้อสายเป็นคนรัสเซีย เกิดที่รัสเซีย มีพ่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ที่ทำงานที่องค์การ NASA และ เป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ (University of Maryland) โดยครอบครัวเค้าอพยบ มาอยู่ทีอเมริกา ตอนที่ Brin อายุแค่ 6 ขวบ Brin เรียนจบ ม.ปลาย 1 ปีก่อนชาวบ้าน และหลังจากจบปริญญาตรี ที่แมรี่แลนด์ Brin ก็มาต่อเอกทันทีที่ Stanford ตัว Brin เองก็ต้องมองหาโปรเจ็คปริญญาเอก ด้วยเช่นกัน แต่เค้าเลือกไปเลือกมา่เกือบ 2 ปีแล้ว ก็ยังหาหัวข้อลงตัวไม่ได้ จนได้เข้ามคลุกคลีกับโปรเจ็คของ Page ก็เกิดความสนใจ ที่จะเข้ามาทำในส่วนคณิตศาสตร์ ของโปรเจ็คนี้ และอีกสาเหตุก็คือเค้าชอบ Page (ฮั่นแน่! กะแล้ว เหมือนหนังไทยไม่มีผิด)

การสร้างกราฟของอินเตอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ เป็นจุดเริ่มให้ Page เขียนโปรแกรมเล็กๆ ประเภท Crawler ขึ้นมาตัวหนึ่ง ในห้องนอน ตอนที่ Page เริ่มเขียน crawler นี่ จำนวนหน้าเว็บทั่วโลกก็มีอยู่ประมาณ 10 ล้านหน้าเห็นจะได้ แต่จำนวนลิงค์ที่เชื่อมกันอยู่นี่คงนับไม่ถ้วน โดยหวังจะให้เจ้า Crawler ไต่ไปเก็บข้อมูลมาสร้างเป็นกราฟโดยอัตโนมัติ ในตอนนั้น เค้าอาจจะยังไม่รู้หรอก ว่าโปรแกรมเล็กๆที่เค้าเริ่มเขียนในห้องนอน จะเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ต่อจาก Internet ....

หลายคนคงอาจจะยังไม่คุ้นกับคำว่า Crawler ผมขยายความให้อีกนิด Crawler เป็นโปรแกรมเล็กๆโปรแกรมนึง ที่ทำหน้าที่ไปดึงเว็บเพจต่างๆมา ซึ่งปกติแล้วข้อมูลแสดงหน้าเว็บไซท์ที่เราเห็นนี่ เป็นแค่ text file หรือ ข้อมูลตัวอักษรธรรมดาๆนี่เอง (ลองกดที่เมนู view->source ดูนะครับ นั่นแหละคือข้อมูลของหน้าเว็บที่แท้จริง) พอโปรแกรมประเภท บราวเซอร์ เช่น IE หรือ FireFox ได้รับข้อมูลพวกนี้แล้วมันก็ทำการแปล และแสดงให้เป็นสิ่งที่คุณเห็นบนหน้าจอตอนนี้อีกที)

หลังจากที่โปรแกรมประเภท crawlwer ได้รับข้อมูลมาแล้ว มันก็จะทำการแยกข้อมูล และลิงค์(ที่จะไปหน้าอื่น) ออกมา

สมมุติว่าหน้าที่คุณอ่านอยู่ตอนนี้นี่ มีลิงค์ออกจากมันไป อีกประมาณ 30 ลิงค์ เจ้าตัว crawler ก็จะทำการจัดการเอาลิงค์เหล่านี้มาเข้าคิวเรียงกันไว้ แล้วก็ไล่ไต่ไปทีละลิงค์ตามคิว แล้วก็ไปดึงข้อมูลหน้านั้นมา แล้วแยกลิงค์แบบเดิมอีก แล้วลิงค์ที่ได้จากหน้าถัดไปนี้ก็จะเอามาเข้าคิว เรียงต่อกันไป เรื่อยๆ เพื่อจะทำการไปดึงข้อมูลมาในเวลาถัดๆไป เพราะฉะนั้นมันก็เลยให้ความรู้สึกคล้ายๆกับว่า เจ้า crawler มันค่อยๆคืบคลานออกจากจุดเริ่มต้นไปทีละน้อย ทีละน้อย

และแล้ว ในเดือนมีนาคม 1996 (เพียงแค่ไม่ถึงปีจากที่เค้าเริ่มศึกษา) Page ก็ปล่อยเจ้า crawler ตัวแรกให้เริ่มทำงาน โดยไต่จากหน้าเว็บเพจของเค้าเอง ที่อยู่บนเว็บไซท์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เจ้า crawler เวอร์ชั่นแรกของ Page ไต่ไปตามเว็บเพื่อเก็บแค่ ชื่อเว็บ และ ข้อมูลใน header เท่านั้นเอง แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเิริ่มอย่างเป็นรูปธรรมของ Google (ที่ในปัจจุบันกลายเป็น ซุปเปอร์อภิมหาอมตะนิรันดร์กาล crawler ไปแล้ว เพราะมันไต่ไปเก็บข้อมูลทุกอย่าง ของทุกหน้าเว็บ) เพราะตอนนั้นขืนเก็บทุกอย่าง ทรัพยากรของระบบ เช่น memory หรือ ฮาร์ดดิสต์ ที่จะต้องใช้ในการจัดการกับข้อมูลเหล่านี้ ก็คงต้องมีขนาดใหญ่มหึมา และมันก็มากเกินกว่าจะเป็นโปรเจ็คของเด็กนักเรียนคนนึง

โปรแกรมเล็กๆ ที่ถูกปล่อยออกจากห้องนอนที่หอพักนักศึกษาคนนึง ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ ที่ใหญ่ที่สุด รองจากการคิดค้นอินเตอร์เน็ต

Page และ Brin ได้ร่วมกันคิดหาสูตร หรือ วิธีคำนวณว่า จะให้คะแนนแต่ละหน้าเว็บเพจอย่างไรดี

เว็บเพจหนึ่งหน้า ถ้ามองให้ดีมันก็เป็นเหมือนผลงานวิชาการชิ้นนึง ภายในผลงานวิชาการนี้ ก็จะมีการอ้างอิงผลงานคนอื่น (หรือลิงค์ไปหาคนอื่นนั่นเอง) (แต่บ้านเราอาจจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะบ้านเรา ถ้าเห็นว่าเรื่องไหนดี ก็ใช้วิธี cut-paste เนื้อหานั้นไปเลย โดยไม่ได้อ้างอิงที่มา นอกจากจะละเมิดลิขสิทธิแล้ว ยังถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างรุนแรงด้วยครับ แม้ว่าจะนำไปใช้ในทางไม่ก่อรายได้ ที่อาจจะไม่ผิดลิขสิทธิในบางกรณี แต่ก็น่าจะมีมารยาทในการอ้างอิงถึงที่มาของเนื้อหานั้นด้วย ช่วยๆกันผลักดันให้มันไปในทางถูกต้องมากขึ้นนะครับ) เพราะฉนั้นหากหน้าเว็บใดมีคนอ้างอิงถึง (ลิงค์) ถึงหน้านั้นเยอะ ก็น่าจะแสดงว่าหน้านั้นมีข้อมูลที่ดี หรือ น่าเชื่อถือ ซึ่งหากมีการให้คะแนนแต่ละหน้าเว็บ Page คิดว่าการอ้างถึงจากเว็บอื่นก็จะมีส่วนสำคัญต่อคะแนน

 


PageRank


 



ภายหลังเค้าตั้งชื่อเล่นระบบคิดคะแนนของเค้า ว่า Pagerank (ซึ่งล้อคำ 2 ความหมาย คำแรกคำว่า Page หมายถึงได้ทั้งหน้าเว็บ หรือ หมายถึงชื่อของเค้าเอง) ซึ่งก็ล้อเลียนการคิดคะแนนมาจากการอ้างอิงกันของผลงานวิชาการ เพราะเค้ารู้ว่า การอ้างอิงกันของเอกสารทำอย่างไร มีการให้คะแนน Citation Index อย่างไร และเค้าก็ได้เพิ่มเรื่องของการให้และลดคะแนนพิเศษด้วย หากว่าลิงค์ที่ลิงค์มาหาหน้าใดหน้าหนึ่ง เป็นลิงค์ที่มีคะแนนสูง เป็นเว็บที่มีความน่าเชื่อถือ เว็บที่ถูกลิงค์ ก็จะย่อมได้คะแนนสูงด้วย และหากนำเว็บมาเรียงลำดับกัน เว็บที่ได้คะแนนสูงกว่า ก็จะอยู่ลำดับต้นๆ ส่วนเว็บที่มีคะแนนต่ำก็จะอยู่ท้ายๆ

สมมุติว่าตอนนี้มีคนลิงค์มาหา เว็บ วิชาการ.คอม อยู่ 1000 ลิงค์ ในขณะเดียวกัน มีคนลิงค์ไปที่เว็บ ของเด็กชาย ก. จากจังหวัดสงขลา เพียง 10 ลิงค์ ทำให้ ณ ตอนนี้ ถ้าดูแค่จำนวนลิงค์เฉยๆ เว็บของ วิชาการ.คอม จะมีคะแนน สูงกว่า เว็บของ เด็กชาย ก และ ต่อจากนั้น ถ้า เว็บ วิชาการ.คอม มีลิงค์ไปยังเว็บของ สสวท. และ เว็บของเด็กชาย ก ก็ลิงค์มายังเว็บของ สสวท เช่นกัน ดังนั้น เว็บของ สสวท ก็จะไ้ด้คะแนน จาก เว็บของ วิชาการ.คอม มากกว่า จากเว็บของ เด็กชาย ก. ด้วยนั่นเอง (คือไม่ได้นับเฉพาะจำนวนของลิงค์) ซึ่ง Google ก็ทำการให้คะแนน แต่ละหน้าของเว็บ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ จนวนเกือบครบทั้งโลก คะแนนของแต่ละหน้า ก็ขึ้นอยู่กับคะแนนของหน้าทีลิงค์มาหามัน คะแนนของหน้าทีลิงค์มาหามัน ก็ขึ้นกับ คะแนนของหน้าทีลิงค์มาหามันก่อนหน้านี้ คะแนนของหน้าทีลิงค์มาหามันก่อนหน้านี้ ก็ขึ้นกับ คะแนนของหน้าทีลิงค์มาหามันก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้ ไปเรื่อยๆ

จินตนาการออกมั้ยครับว่า คณิตศาสตร์สำหรับคำนวณคะแนนของ Google Pagerank จะซับซ้อนขนาดไหน นั่นหล่ะของเล่นของนาย Surgey Brin เค้าหล่ะ
 


 


ภาพตัวอย่าง สมมติให้หน้ายิ้มแต่ละอันแทนแต่ละเว็บ ขนาดของหน้ายิ้มแทนความสำคัญของเว็บ


 

สังเกตุว่า เว็บสีแดงด้านบนจะมีขนาดใหญ่กว่าเว็บสีเขียวด้านล่าง แม้จะมีลิงค์เข้ามาแค่ 1 ลิงค์ จากสีส้ม เท่านั้น แต่เพราะเว็บสีส้มมีความสำคัญสูง เพราะได้รับการลิงค์มาจากหลายที่ เว็บสีแดงด้านบนก็เลย มีความน่าเชื่อถือด้วย (ดังนั้นถ้าเว็บไซท์ไหน ได้รับการลิงค์จากเว็บที่เป็นที่ยอมรับ ก็จะได้รับความยอมรับด้วย)

งงมั้ยครับ เอางี้ เปรียบเทียบง่ายๆอีกตามเคย การจัดอันดับเว็บก็เหมือนกับการจัดอันดับความสำคัญของคน สมมุติว่าเมืองไทยมีคนชื่อ คุณลำไย หลายคนมาก เอาเป็นว่า สมมุติเป็น คุณลำไย A กับ คุณลำไย B ก็แล้วกัน คุณลำไย A เป็นที่รู้จักกันทั่วในหมู่เด็กอนุบาล มีเด็กอนุบาล 50 กว่าคนที่รู้จักคุณลำไย A แต่ ในขณะเดียวกัน มีเพียง 3 คน คือ ท่านนายกทักษิณ คุณอภิสิทธ์ และ หมอพรทิพย์ เท่านั้นที่รู้จัก คุณลำไย B แต่จะเห็นได้ว่า คนที่รู้จักคุณลำไย B ได้รับการยอมรับจากคนทั้งประเทศว่ารู้จัก ว่ามีชื่อเสียง ดังนั้นเวลาคนค้นหาคำว่า คุณลำไย ใน Google คุณคิดว่า Google จะเอาชื่อคุณลำไย A หรือ คุณลำไย B ขึ้นก่อนกัน คำตอบคือ คุณลำไย B ครับ เพราะ Google คิดว่าคุณลำไย B ได้รับการยอมรับ จากคนที่ได้รับการยอมรับแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นคุณลำไย ที่ผู้ใช้ต้องการค้นหานั้นเอง (เหมือนเว็บที่ได้ใหญ่ๆลิงค์มาที่เรา เราก็ได้คะแนนดีกว่า เว็บเล็กๆหลายเว็บลิงค์มาที่เรา นั่นเอง)

ตอนที่ทั้งสองคนคิดระบบให้คะแนนนี้ขึ้น ทั้งสองคนไม่ได้คิดถึงเรื่องของการค้นหาข้อมูลบนเว็บเลย ที่คิดอยู่ในหัวก็มีแต่เรื่องที่ว่า จะค้นหาให้ได้ว่าใครลิงค์มาที่เว็บเพจหน้าหนึ่งๆบ้าง (ฺBacklinks) โดยที่ทั้งสอง ทำโปรเจ็ค Backrub นี้ มาจนถึงขั้นที่ รับ ลิงค์ (URL) มาหนึ่งลิงค์ มันก็จะให้ ผลลัพธ์ มาเป็น ลิงค์ที่ลิงค์มาหา (backlinks) ทั้งหมดที่ลิงค์มาหาหน้าที่กำหนด โดยเรียงลำดับตามความสำคัญ (เช่นถ้าใส่ เว็บ สสวท ไป ก็จะได้ทั้งเว็บ วิชาการ.คอม และ เว็บเด็กชาย ก. และเว็บอื่นๆ ที่ลิงค์มาหา สสวท เป็น ผลการค้นหา แต่เว็บ วิชาการ.คอม จะอยู่ด้านบนกว่า เว็บของ เด็กชาย ก. เป็นต้น)

ซึ่งเค้าก็พบว่าจริงๆแล้ว มันสามารถประยุกต์ ไปทำเป็น Search Engine น่าจะได้ หลังจากเล่นไปเล่นมากับ กราฟของเว็บ ที่ทั้งคู่สร้างขึ้นมา พบว่า การค้นหาข้อมูลทำได้รวดเร็ว และ ถูกต้อง อย่างไม่น่าเชื่อ ชนิดที่ทั้งสองคนยังงงว่าทำไม ไอเดียที่จะใช้เรื่องนี้ทำ Search Engine ถึงไม่ผุดมาในหัวตั้งแต่ต้น เพราะมันชัดเจนเหลือเกิน

หลังจากทดลองปรับแต่ง Backrub ให้กลายเป็น โปรแกรม Search engine ทำการค้นหาข้อมูล บนหน้าเว็บหน้าใดหน้าหนึ่ง (ผมละเชื่อเค้าเลย สองคนนี้ ปกติแล้วเรื่อง การค้นหาข้อมูลใน document นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ได้ค้นกันแบบ เอาคำเทียบคำ แต่ต้องมีการแปลงรูปแบบของ ข้อมูลให้เป็นเมตริกซ์ ทั้ง SVM กับ LSI (Latent Sematic Indexing - เป็นวิธีการที่กำลังมาแรง) ก็สุดหิน ที่อยู่ในวิชา Information Retrieval - แต่สองคนนี้เล่นเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ชนิดที่ประมาณว่า ชั่วข้ามคืน) เค้าพบว่าผลการค้นหา ดีกว่า search engine ที่มีอยู่ในตอนนั้น เช่น AltaVista หรือ Excite มาก โดย Search Engine ที่มีอยู่นั้นมักจะให้ผลการค้นหา ที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องการหาจริงๆ เพราะอาศัยเพียงแค่การจับคู่คำ ไม่คำนึงถึงสัญญาณ หรือข้อมูลอื่นๆที่ใกล้เคียง search engine ใหม่ของพวกเค้า ไม่เพียงว่าผลการค้นหาจะดี แต่ ระบบการให้คะแนนนี้จะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเว็บโตขึ้นเรื่อยๆ กราฟของเว็บโตขึ้นเรื่อยๆ ผลการค้นหาก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะมีตัวให้คะแนนซึ่งกันและกัน เยอะขึ้น ตรงนี้นี่เองที่

ทั้ง Brin และ Page รู้ว่าเค้า สะดุดขุมทรัพย์ มหึมาเข้าให้แล้ว...


และแล้ว โปรเจ็ค search engine โดยนักศึกษา 2 คน ... ก็เริ่มเป็นรูปร่างที่ชัดเจน เค้าเริ่มขอบริจาคเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าๆที่มหาวิทยาลัยไม่ได้ใช้แล้วมาต่อกันเป็น server เค้าเริ่มจะหาเงินมาซื้อ harddisk เพิ่มเติม เพราะตอนนี้ข้อมูลที่ clawler เก็บมามันโตขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งสองคนจึงตั้งชื่อ search engine ตัวใหม่ของเค้าว่า Google ที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่สะกดผิด เพี้ยนมาจากคำว่า googol (ที่แปลว่า เลข หนึ่ง ตามด้วย ศูนย์ 100 ตัว - สังเกตุสัญลักษณ์ของ Gooooooooooooooooooooogle)


 


Server ของ Google เมื่อปี 1998 สมัยที่ยังอยู่ที่ Stanford เป็นเครื่องที่ได้จากการบริจาคทุกเครื่อง
(ปัจจุบัน Search Engine ของ Google ทำงานอยู่บน Linux Server Farm จำนวนประมาณ 250,000 เครื่อง)


 

และ Google เวอร์ชั่นแรก ถูกปล่อยออกสู่สาธารณะชน ไว้บนเว็บของมหาวิทยาลัย Stanford เป็นครั้งแรก ตอนเดือนสิงหาคม 1996 - เพียง 1 ปี หลังจากที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรก - เพียงไม่กี่เดือนนับจากเริ่มศึกษาปัญหา - โอ จอร์จ ทำได้ยังไงเนี่ย ! ! ! ! อัจฉริยะจริงๆ ! ! !
 

บทความโดย:
ผศ.ดร.บุญญฤทธิ์ อุยยานนวาระ
สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT)
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นักเขียนประจำ วิชาการ.คอม


 

 

 

 

 

                            *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

 

    

 

                             "งอนซิท่า?!!....."

 

 

 

 

 

       

 

 

 

 

 

 

....เเหมเเค่นี้ นิดหน่อย น้อยใจเหรอ?

 

ก็เเค่เผลอ อยากจะหลับ กับความฝัน

 

เอียงเเก้มซ้าย ก่ายหนุนนอน ตอนกลางวัน

 

เพียงเเค่นั้น ไม่งอเเง เเหมใจดำ

 

 

 

 

....ทำหงุดหงิด ฟึดฟัด ดีด"หมัด"ใส่

 

ปล่อย"ตัวไร" กระโดดเต้น เล่นถลำ

 

นะพี่หมา หันหน้า มาสักคำ

 

เดี๋ยวให้หม่ำ "เพดดีกรี" มีเยอะเลย (น๊า!!..)

 

 

    

 

 

               ข้าวไทยปีนี้อาจจะไม่พอส่งต่างประเทศ...

             เพียงแค่ต้นปีส่งออกมากกว่าปีที่แล้วเกือบ 43%

 

 

พาณิชย์ เผย 8 วันแรก ส่งออกข้าวคึก ได้แล้ว 1.5 แสนตัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ 73,000 ตัน คาดยอดส่งออกข้าวไทยเดือน ม.ค.ทะลุ 500,000 ตัน

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. นายทิฆัมพร นาทวรทัต รองกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า บรรยากาศส่งออกข้าวสัปดาห์แรกของปีนี้มีความคึกคักต่อเนื่อง โดยวันที่ 1-8 ม.ค.56 มียอดส่งออกแล้ว 150,000 ตัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ 73,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 43% เพราะหลายประเทศ อย่างจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เร่งนำเข้าเพื่อนำไปใช้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน และคาดว่ายอดส่งออกข้าวไทยในเดือนม.ค.จะเกิน 500,000 ตัน จึงมั่นใจว่าการส่งออกข้าวปีนี้จะได้ 8.5 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อนได้ที่ 6.931 ล้านตัน

************************************************************************

 

8 วัน ก็ประมาณ 1 สัปดาห์ ส่งออกได้ 1.5 แสนตัน

ปีนึง 52 สัปดาห์ ก็จะได้แค่ 7.8 ล้านตัน

ปีที่แล้วตอนต้นปี รัฐมนตรียังบอกว่าจะได้ 9.5 ล้านตัน ลดลงเหลือ 8.5 ล้านตัน ประมาณปลายปี ก็ยังปากแข็งว่าจะได้ 7.5 ล้านตัน

ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่กลางปี เอกชนบอกว่าจะได้ประมาณ 6.5 ล้านตัน

สุดท้ายได้ 6.9 ล้านตัน ก็พอมองเห็นว่าใครประมาณการ ใครเดามั่ว ระหว่างเอกชนกับรัฐบาล

ก็ยังมองไม่เห็นตัวเลข 43% ที่เพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกจะบอกอะไร



ยิ่งการพูดมูลค่าเฉลี่ย 700 เหรียญ ยิ่งไปใหญ่

เพราะข้าวก้อนใหญ่ ๆ ที่ส่งออกก็มีข้าวหอมมะลิ กับข้าวสารเจ้า ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 1,200 เหรียญ กับ 600 เหรียญ

เพราะตัวเลข 700 เหรียญเป็นค่าเฉลี่ยทั้งกอง ไม่ได้แยกตัวใดตัวหนึ่ง ก็ดูไม่ออกอยู่ดีว่า ได้ราคาดีหรือไม่ดีอย่างไร

 

ก็นี่แหละครับ รัฐบาลมุ่งที่การประชาสัมพันธ์ มากกว่า ผลสัมฤทธิ์ของงาน

ตัวเลขอะไรที่แสดงให้เห็นว่า เพิ่มขึ้นเยอะ ก็ทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่โต ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีอะไร

เพิ่งผ่านไป 8 วัน ก็เปิดตัวเลขส่งออกได้มากกว่าปีก่อน 43% แล้ว คุณว่ามันมีเหตุผลอะไร นอกจากเอาตัวเลข 43% มาทำให้ดูดี

แต่ไม่รู้ว่า จะมีประโยชน์ในเรื่องจริงเท่าไหร่

guest

Post : 2013-01-11 21:28:27.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เลี้ยงลูกให้ฉลาด.....

 

                มากระตุ้นสมองลูกให้ฉลาด (อย่างถูกวิธี) กันเถอะ

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 

 

ทุกวันนี้ ปฏิเสธได้ยากว่า หัวข้อการกระตุ้นพัฒนาการด้านสมองของลูก เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนให้ความสนใจกันมาก แต่ทว่าบางคนในจำนวนหลายคนนั้น ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจนนำไปสู่การกระตุ้นพัฒนาการเด็กอย่างไม่ถูกทาง


บอกเล่าได้จาก พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ นายกสมาคมนักวิจัยไทยเพื่อการพัฒนาเด็ก และครอบครัว หนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกงานวิจัยเรื่องสมองเด็กไทย ที่มองว่า คุณพ่อคุณแม่จำนวนไม่น้อยเลี้ยงลูกผิดวิธี ส่งผลให้เด็กยิ่งเติบโตพัฒนาการด้านต่าง ๆ ยิ่งลดต่ำลง



"ตอนนี้เราฝึกเด็กแบบไม่ประณีต ชุ่ย ๆ แบบสำเร็จรูป บางคนเลี้ยงลูกด้วยโทรทัศน์ แต่หารู้ไม่ว่า โทรทัศน์ไปทำลายสมองส่วนหน้า ทำให้เด็กเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบคิด และกลายเป็นเด็กสมาธิสั้น" พญ.จันทร์เพ็ญกล่าวไว้ในงานอบรม อ่านสมอง ช่องทางสร้างเด็กฉลาด Smart Kids จัดโดยมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก และบริษัทแปลน ฟอร์ คิดส์ จำกัด



สอดรับกับงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นที่เปรียบเทียบระดับไอคิวของเด็กที่ดูโทรทัศน์วันละ 1 ชั่วโมงกับเด็กที่ไม่ดูโทรทัศน์เลย พบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ระดับพัฒนาการของเด็กที่ดูโทรทัศน์จะต่ำกว่าเด็กที่ไม่ดูอย่างชัดเจน



ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจพัฒนาการของลูก ด้วยการพูด และอ่านหนังสือกับลูกบ่อย ๆ รวมทั้งเด็กก่อน 6 ขวบควรได้สัมผัสของจริงมากกว่าการดูจากโทรทัศน์ เพราะจะเป็นพื้นฐานต่อยอดให้เด็กเข้าใจความหมายที่เป็นนามธรรมได้ดีขึ้น ที่สำคัญความอ่อนโยน ละเมียดละไมจากสัมผัส และน้ำเสียงของพ่อแม่จะเป็นแรงกระตุ้นวงจรในสมองเด็ก ทำให้ลูกเติบโตอย่างสวยงาม และมีความฉลาดทางอารมณ์

 

อย่างไรก็ดี พญ.จันทร์เพ็ญ มีข้อแนะนำในทางปฏิบัติให้คุณพ่อคุณแม่นำไปช่วยลูกปฐมวัย หรือก่อน 6 ขวบเพื่อกระตุ้นสมอง และพัฒนาการทางภาษาอย่างถูกวิธี ตามแนวทางดังต่อไปนี้



- คุยกับลูกอย่างสนุกสนาน ลูกต้องคุ้นเคย และได้ยินเสียงคุณพ่อคุณแม่บ่อยที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ บอกเขาว่า คุณคือใคร คุณกับลูกอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่ และอธิบายถึงสิ่งรอบตัวที่ลูกเห็น ได้ยินเสียง และสัมผัสได้ เริ่มจาก สิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัว ไปสู่สิ่งที่ใหญ่ขึ้น และไกลตัวออกไป รวมถึงการทักทายเด็กตั้งแต่ตื่นนอนเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับโอบกอด หอมแก้ม หรือหยอกล้อไปด้วยจะยิ่งกระตุ้นสมองมากขึ้น

 

 
 

 

        - รับฟังลูกอย่างอดทน และตั้งใจ แม้ในช่วงแรก ๆ จะยังไม่เข้าใจภาษา หรือคำพูดที่ลูกใช้ แต่เมื่อลูกรับรู้ว่ามีคนตั้งใจฟังเขา จะเป็นแรงกระตุ้นให้เขาอยากฝึกออกเสียง หรือเปล่งคำพูดใหม่ ๆ มากขึ้น และอย่าเบื่อที่จะตอบคำถามลูก เพราะการขยันตอบคำถามลูกวัยเด็กเล็กก็เพื่อกระตุ้นสมองให้เด็กเป็นคนกล้าคิด ทำให้เกิดวงจรเรียนรู้แบบถาวร



- ให้เวลาลูกตอบสนองหรือตอบคำถาม เพราะต้องไม่ลืมว่าเด็กเล็ก ๆ ต้องการเวลาทำความเข้าใจ เพื่อเรียบเรียงความคิดก่อนที่จะสามารถสื่อสารกับคุณได้ ดังนั้นอย่าใจร้อน เร่งรัด หรือพูดแทน หรือพยายามเติมคำในช่องว่างเวลาที่ลูกพูดกับเรา ควรให้เขาได้พยายามคิด และพูดออกมาด้วยตัวเอง


- พูดคำง่าย ๆ สั้น ๆ และช้า ๆ เพราะในสมองลูกยังมีคำจำกัด อายุเขาต่างจากเรามาก ความเข้าใจในถ้อยคำต่าง ๆ จึงยังมีไม่มาก หากต้องอธิบายอะไรให้ลูกเข้าใจ ต้องปรับประโยคให้ง่าย สั้น ชัดเจน พูดทีละเรื่อง แล้วลูกจะเรียนรู้คำต่าง ๆ ได้รวดเร็ว



- ตอบสนอง และชื่นชมกับความพยายามของลูกที่จะสื่อสารกับเรา ไม่จำเป็นต้องคอยแก้ไขคำพูดที่ลูกพูดผิด แต่สิ่งที่ควรทำคือ ทบทวนคำ หรือประโยคที่ลูกพูดให้ถูกต้อง เช่น ลูกพูดว่า "แม่ไปหลาด" แทนที่จะตำหนิว่า "ไม่ใช่ ๆ ลูกพูดผิด" ควรทวนโยคของลูกด้วยประโยคที่ถูกต้อง คือ "จ้ะ แม่ไปตลาด"



- เล่าให้นิทานให้ลูกฟัง ลองคิดเรื่องขึ้นเอง เด็กเล็กชอบฟังเรื่องที่มีตัวเขาเป็นผู้แสดง หรือเกี่ยวกับเรื่องที่เขาคุ้นเคยในกิจวัตรประจำวัน อ่านหนังสือกับลูกทุกวัน พูดคุยกับเขา อธิบายรูปภาพ สี รูปทรง จำนวน และคำต่าง ๆ ที่ปรากฎอยู่ในหน้าหนังสือ เชื่อมโยงภาพเข้ากับคำ ทั้งนี้ยังสามารถใช้งานศิลปะง่าย ๆ เช่น ปั้นแป้งโด ใช้สีเทียนแท่งโต ๆ วาดภาพขณะที่อ่านหนังสือ และคุยกับลูกไปพร้อม ๆ กันก็ได้



ดังนั้น ถ้าอยากให้ลูกฉลาด ทำได้ไม่ยาก คุณพ่อคุณแม่ต้องขยันตั้งใจจริง ที่สำคัญต้องมีความรักเป็นองค์ประกอบเสมอครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                            **** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

 

 

 

 

                      "กล่อมหอ..."

 

 

 

 

     

 

 

 

 

 

 

....เหอะขอผม อีกสักเเก้ว เเล้วค่อยกลับ

 

ยังพอรับ ได้ไหว ไม่ต้องถาม

 

รินมาเถิด ขอเพียวๆ เดี๋ยวน้ำตาม

 

เพื่อหญิงงาม เเต่งงานไป เเฟนใหม่ดี

 

 

 

 

....สมใจนะ เห็นเขา เคล้าคลอคู่

 

เดินเข้าสู่ เรือนหอใส ใหม่สดศรี

 

ส่วนไอ้ฉัน ไม่ล้ำค่า ราคามี

 

จบตรงนี้ อย่างเเพ้พ่าย ตายทั้งเป็น!!!...

 

 

 

 

   

           ฮุนเซ็น ประกาศจะอภัยโทษให้ราตรี และจะลดโทษให้วีระ

                           ตามคำขอของนายกฯยิ่งลักษณ์

 

 

Posted Image

 

 

 

 

-Posted Image

 

นายสุริยะใส กตะศิลา

เมื่อ วันที่ 10 มกราคม นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวถึงกรณีกัมพูชาเตรียมปล่อยตัวน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ และลดโทษให้นายวีระ สมความคิด 6 เดือนว่า ถือเป็นเรื่องดีที่ทั้ง 2 คนจะได้รับอภัยโทษ ซึ่งการช่วยเหลือครั้งนี้สามารถลดแรงเสียดทานทางด้านการเมืองได้ ทำให้ประชาชนเห็นว่า
รัฐบาลตั้งใจจะช่วยเหลือทั้ง 2 คนนี้อย่างจริงจัง รวมถึงทำให้กระแสการรวมตัวเคลื่อนไหวในเรื่องกรณีพิพาทเขาพระวิหารลดลงด้วย

 


ผู้ สื่อข่าวถามว่า มองการการปล่อยตัวนายวีระ และ น.ส.ราตรี ที่มีขึ้นในช่วงที่กรณีพิพาทปราสาทพระวิหารกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง นั้น รัฐบาลมีการวางแผนคุยกับทางกัมพูชาไว้ก่อนหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า การที่รัฐบาลมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศกัมพูชานั้น การช่วยเหลือ บุคคลทั้ง 2 น่าจะสามารถทำได้เร็วกว่านี้ จำได้ว่าช่วงที่รัฐบาลรับตำแหน่งใหม่ๆ มีความพยายามทำเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็เงียบไป



ถามว่าการปล่อยตัวน.ส.ราตรีและการลดโทษให้นายวีระ ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบตอนขึ้นศาลโลกกลางปีนี้หรือไม่ นายสุริยะใสกล่าวว่า ประเทศไทยเสียเปรียบตั้งแต่วันที่ ทั้ง 2 คนถูกจับไปแล้ว เพราะ ขณะนั้นทั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และในรัฐบาลนี้ไม่เคยมีใครคัดค้านว่า ทั้ง 2 คนนี้ถูกจับอยู่ในเขตแดนของประเทศไทย ซึ่งประเด็นนี้จะทำให้เราเสียเปรียบในการสู้คดีในศาลโลกครั้งต่อๆ ไปด้วย

 

v   

guest

Post : 2013-01-10 20:38:38.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เขมรผลิตรถยนตร์เอง.....

 

 

  

วันพระ
 
 
วันพระ เเรม 14 ค่ำ เดือนอ้าย วันที่ชาวพุทธเข้าวัดปฏิบัติธรรม

 

 



 
เงินแลกกับปัญญา
 


ครั้งหนึ่ง ขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังซ่อมกำแพงที่ถล่มลงมา หลังจากฝนตกลงมาอย่างหนัก เขาได้ขุดพบทองคำก้อนใหญ่ ก้อนหนึ่ง เลยกลายเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตา



ชายคนนั้นรู้ตัวเองดีว่า ตัวเองค่อนข้างโง่ จึงไปปรึกษากับหลวงพ่อท่านหนึ่ง หลวงพ่อแนะนำว่า เจ้ามีเงิน ผู้อื่นมีปัญญา เจ้าทำไมไม่ใช้เงินไปซื้อปัญญาของคนอื่น



ชายคนนั้นจึงเข้าไปในเมืองเจอพระรูปหนึ่ง ชายนั้นจึงถามพระรูปนั้นว่า ท่านจะขายปัญญาของท่านให้แก่ข้าพเจ้าได้หรือเปล่าพระนั้นตอบว่า "ปัญญาของอาตมาแพงนะ เจ้าสู้ไหวหรือ?”ขอเพียงซื้อปัญญาได้แพงเท่าไหร่ ข้าพเจ้าก็สู้ชายนั้นตอบ



เมื่อเจ้าพบสิ่งที่ยากลำบากใจ เจ้าอย่าเพิ่งเร่งรีบตัดสินใจ ให้เดินไปข้างหน้า 3 ก้าว หลังจากนั้นเดินถอยไปข้างหลัง 3 ก้าว ทำซ้ำอย่างนี้ อีก 3 ครั้ง เจ้าก็จะได้ปัญญา



ปัญญา ง่ายอย่างนี้หรือ?” ชายคนนั้นทำท่าไม่เชื่อและลังเล กลัว พระรูปนั้นจะหลอกเอาเงิน พระรูปนั้นอ่านสายตานั้นออก จึงพูดว่า



เจ้ากลับไปก่อน ถ้าหากเจ้ารู้สึกว่าปัญญาของข้าพเจ้าไม่คุ้มกับเงินเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว หากเจ้าคิดว่าคุ้ม เจ้าค่อยกลับมา


เมื่อกลับถึงบ้านในตอนค่ำมืด ชายคนนั้นเห็นเหมือนกับภรรยา กำลังนอนอยู่กับคนอื่น จึงถืออีโต้เข้าไปหวังจะฆ่าคนนั้น แต่ทันใดนั้นนึกถึงคำพูดของพระรูปนั้นในตอนกลางวัน


จึงเดินไปข้างหน้า 3 ก้าว เดินถอยหลัง 3 ก้าว ทำซ้ำอีก 3 ครั้ง ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น คนที่นอนอยู่กับภรรยาของเขาพูดขึ้นว่าลูกเอ๊ย ดึกๆอย่างนี้ทำอะไรอยู่นั่น?”



ชายคนนั้นเมื่อรู้ว่าเป็นเสียงมารดาของตนเอง จึงคิดในใจว่า หากกลางวันนี้ไม่ซื้อปัญญามา วันนี้คงจะฆ่าแม่ของตนเองแล้ว



วันรุ่งขึ้นจึงรีบนำเงินไปถวายพระรูปนั้นแต่เช้า................


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

           

 

 

 

                 *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

 

 

 

 

                  เรากลัวจริงๆนะ!!!...

 

 

 

 

      

 

 

 

 

 

 

 

 ....โอ้ตายเเล้ว มายก๊อด กล้วยทอดเน่า

 

เธอยัดเข้า ท้องอย่างไร? ใจอยากถาม?

 

ขนมถ้วย ละเอียดยิบ นับสิบชาม

 

สวาปาม ปานผีปอบ หอบตาลอย

 

 

 

 

....ตกกะใจ เลี้ยงยังไง ไหวมั๊ยเนี่ย?

 

ตาละเหี่ย บอกว่ารู้ สู้ไม่ถอย

 

ขอบอกลา บ๊ายบาย ไม่ต้องคอย

 

กลัวเธอสอย กินตัวฉัน หวั่นใจจริง!!!....

 

 

 

 

 

 

 

 

Posted Image

 

 

เขมรมีรถที่ผลิตเองภายใต้ยี่ห้อของตัวเองแล้วนะครับ
ในชื่อ อังกอร์ โดยรถที่ผลิตใช้เป็นรถขนาดเล็กใช้พลังงานไฟฟ้า
Angkor EV 2013


ทำความเร็วสูงสุด ๖๐ กม./ชม. วิ่งได้ ๓๐๐ กม. ต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง
ผลิตโดยเฮง ดีเวลลอปเมนต์ ลงทุนด้านโรงงานร่วม ๓๐๐ ล้าน

ตั้งอยู่ที่ตาคะเมา จ.กณดาล ที่สุเทพไปคุยกะฮุนเซ็นเรื่องน้ำมันในอ่าวไทย
ราคาขายอยู่ราว ๆ ไม่เกิน ๓ แสนบาทครับ
รถคันนี้ออกแบบทั้งหมดโดยคนเขมรเอง

 

 

Posted Image

Posted Image

 

Posted Image

 

 

 

บ้านเรามันมีเจ้าพ่อที่ฮุบเอาธุรกิจด้านนี้ไว้ ไม่ยอมให้คนไทยเอามาประกอบอาชีพแข่งขัน
ไปดูธุรกิจรถยนต์มิตซูบิชิ ฮอนด้า โตโยต้า หรือแม้แต่รถไถนาคูโบต้า สิครับ...


มีใครเป็นเจ้าพ่อคุมกิจการไว้...มาตรการทางด้านภาษี มาตรฐานสินค้า กฎ ระเบียบต่างๆ
มันถูกสร้างไว้ให้บีบรัดคนไทยเพื่อไม่ให้มีธุรกิจแบบนี้แข่งกับเจ้าพ่อรายนี้ได้


เช่นเดียวกับธุรกิจน้ำมัน...ปตท. นั่นแหละครับ
อย่าไปว่าคนไทยทั่วไปเลย...


ด่าไอ้เจ้าพ่อเฮงซวยนั่นแหละถึงจะถูกครับ...

 

สำหรับประเทศไทย เป็นได้เเค่เพียงงานวิจัย
ไม่ต้องพูดถึง ผลิตรถยนต์เป็นของตนเอง
มอเตอร์ไซค์ยังไม่มีให้ได้ชมเลย...

 

 

ผมเคยได้ข่าวนานมาแล้วนะ ประมาณ 30 - 40 ปี ก่อน

ว่าประเทศไทยผลิตรถยนต์ได้เอง ตอนนั้นไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน

แถมได้คำตอบอีกด้านหนึ่่งว่า ทำได้จริง แต่ส่งนอกหมด รู้สึก

จะเป็นแคนนาดา หรืออะไรเนี่ย คือไม่ได้กรองข่าวครับ แค่รับรู้

และก็ได้รับทราบเหตุผลว่า ทำไมทำได้แล้วไม่ขายคนไทยเอง

ให้คนไทยมีรถใช้ในราคาถูกบ้าง ..ก็คือ กลัวรถเต็มถนนติดมโหฬาร

เลยให้คนไทยซื้อรถในราคาแพงไปดีกว่า สร้างกำแพงภาษีนำเข้ารถไว้

ให้เยอะๆ .. คนในประเทศที่ร่ำรวย กระจุกตัวอยู่ในคนกลุ่มเล็ก ๆ

มีปัญญาซื้อรถได้ไม่มาก ..จนกระทั่งอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์เข้ามา

ตั้งฐานการผลิตในไทย เราก็ยิ่งได้รู้ว่า คนไทยมีฝีมืออยู่แล้วในด้านนี้

แต่ประชาชนคนไทย ไม่มีโอกาสได้โงหัวใช้รถราคาถูก ใช้น้ำมัน

ในราคาถูก และสิ่งอื่นๆ ในราคาถูก ทั้ง ๆ ที่ควรได้รับโอกาสนั้น

ใครรู้บ้างว่าเพราะอะไร หรือว่าข่าวที่ทราบมาเป็นเท็จ ?... ช่วยตอบที

 

เฮ้ออออ!!..เรายังทะเลอะกันยังไม่เลิก..คงทำได้แค่สากกะเบือเเค่นั้นเเหละ........

 

 

 

 

guest

Post : 2013-01-09 20:44:54.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สายลับ C.I.A

 

 

                    

 

                                                                          สายลับซีไอเอ

 

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com






 

 

 

 

 

 

 

 

 

   

 


หน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (Central Intelligence Agencies) หรือ ซีไอเอ เป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติราชการด้านข่าวกรองของสหรัฐ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 26 ก.ค. ปี 2490 โดยประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน และเริ่มปฏิบัติการอย่างเป็นทางการเมื่อ 18 ก.ย. ปี 2490 เพื่อการสืบหาข่าวกรองทางด้านการทหาร ข้อมูลลับในต่างประเทศที่ส่งผลต่อความมั่นคงต่อสหรัฐ อเมริกา



หน่วยข่าวกรองของสหรัฐเริ่มมีตั้งแต่ในสมัยที่นายจอร์จ วอชิงตัน เป็นประธา นาธิบดีคนแรกของสหรัฐ ต่อมาเริ่มประสานงานในระดับรัฐบาลอย่างกว้างขวางตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีโครงการเด่นๆ 3 โครงการ ได้แก่ การศึกษาข่าวกรองร่วมกองทัพบกและกองทัพเรือ การสำรวจข่าวกรองแห่งชาติ และหนังสือความจริงของโลกซึ่งเป็นข่าวกรองที่หน่วยซีไอเอสืบมา




ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลสหรัฐผ่านกฎหมายให้ซีไอเอบริหารการเงินเองและมีสิทธิในการคัดเลือกพนักงานได้เองโดยไม่ต้องนำเสนอข้อมูลรายงานต่อทางการ ชาวซีไอเอจึงมีอาชีพหลากหลายทั้ง นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักเศรษฐศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ เลขานุการ นักบัญชี หรือผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ เป็นต้น เนื่อง จากสายลับต้องมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับภารกิจนั้นๆ


 

 



นอกจากนี้ งานของซีไอเอยังมีหลายฝ่าย หลายหน้าที่ ได้แก่ การกรองข่าวสารและวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารให้แก่หน่วยสืบราชการลับอื่นๆ การวิจัย การเขียนรายงาน จัดการงานเอกสาร และบางครั้งก็ต้องทำหน้าที่สืบสวนหาข่าวในทางลับเพื่อส่งต่อให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจ แต่ในความเป็นจริง สายลับของซีไอเอ จะปฏิบัติภารกิจพิเศษต่อเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำตามคำสั่งเท่านั้น ไม่ได้ไปล้วงความลับโดยพลการเหมือนที่เห็นในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด

 



สำหรับผู้ที่จะผ่านการคัดเลือกให้เป็นพนักงานซีไอเอได้นั้นต้องเป็นคนที่เรียนเก่ง สมองดี เต็มใจย้ายมาอยู่ในกรุงวอชิงตัน และต้องมีสุขภาพดี ส่วนผู้อำนวยการซีไอเอจะได้รับการคัดเลือกชื่อโดยประธานาธิบดีและผ่านการรับรองจากวุฒิสภา อีกทั้งยังมีพนักงานที่ไม่ใช่คนอีกด้วย แต่เป็นสุนัข หรือ เค-ไนน์ เอาไว้ทำหน้าที่ที่คนทำไม่ได้ เช่น ดมกลิ่นระเบิด



ปัจจุบัน สถานการณ์เปลี่ยนไปจากเมื่อแรกเริ่มก่อตั้งซีไอเอ หน้าที่และขอบเขตการรับผิดชอบของซีไอเอจึงกว้างขึ้น โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 9/11 ที่มีผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบินชนตึกแฝดหรืออาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ เมื่อปี 2544 ทำให้ซีไอเอต้องทำงานหนักและรอบคอบยิ่งขึ้น



เว็บไซต์ของซีไอเอ ยังมีหน้าพิเศษสำหรับเด็กๆ ที่จะหาข้อมูล อยากรู้จักซีไอเอหรือเล่นเกมสนุกๆ เช่น เกมจับผิดภาพเพื่อฝึกความไวในการสังเกต เกมถอดรหัส คลิกเข้าไปสนุกกันได้ที่ https://www. cia.gov/kids-page/

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       

 

 

                         

 

 

 

                         *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

                                    

                                     เกือบหายดีเเล้ว...

 

 

  

 

              

 

 

 

  

 

....ก็คิดว่า ต้องผ่านได้ ในวันนี้

 

อาจจะมี ริ้วรอยบ้าง กว่าจางหาย

 

เจ็บครั้งนี้ ยอมรับว่า เเทบบ้าตาย

 

ที่โชคร้าย เจอชายทราม หยามเหยียบจม

 

 

 

....สมน้ำหน้า ปัญญาด้อย คอยเเต่รัก

 

หลายคนทัก ไม่นำพา เลยสาสม

 

บทเรียนนี้ ใจหนาวเหน็บ เจ็บระทม

 

ทรุดเซล้ม ผ่านพรุ่งนี้ ไม่มีทาง!!....

 

 

 

 

 

 

 

    ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์"ปลุกม็อบนัดรวมพล 21 ม.ค. ลั่นม้วนเดียวจบ

 

 

วันนี้ ( 6 ม.ค.) ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค แนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน นำโดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมคนไทย รักชาติรักษาแผ่นดิน นายไพศาล พืชมงคล อดีตสนช. ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการ ได้ร่วมจัดรายการ หักศอกนอกทำเนียบ ภาคพิเศษ "ตั้งหลักประเทศไทย หยุดประชาธิปไตยสามานย์" มีการอภิปรายถึงข้อพิพาทและแนวทางการต่อสู้ของรัฐบาลต่อกรณีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลโลกเตรียมชี้ขาดในเดือนต.ค.-ธ.ค.นี้

 

ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวว่า รัฐบาลได้ออกมาพูดว่าจะสู้ แต่จะสู้ในหนทางใด เมื่อทางกัมพูชาร้องเพื่อให้รองรับแผนที่ของทางฝรั่งเศส 1 ต่อ 2 แสน ตารางกิโลเมตร ซึ่งรัฐบาลทราบว่าเราจะเสียพื้นที่แน่นอน เพราะเป็นเหมือนการยอมรับเรื่องเขตแดนตามคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 และไทยจะต้องสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารทันที ส่วนเอ็มโอยู 43 ที่กัมพูชาพูดถึงเป็นในยุคของนายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ ที่มีการเป็นเซ็นรับรองไปแล้ว ขอให้เชื่อมั่นในกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ เมื่อฝ่ายบริหารไม่ทำหน้าที่แล้ว เราจะใช้พลังประชาชนเข้าไปกดดันทุกวิถีทาง

 

ด้าน พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวว่า ประเด็นของเขาพระวิหาร ขอตั้งข้อสังเกตถึง เจ๊ ด.ที่ก่อนหน้านี้ประมาณ 2 เดือน บอกว่าจะไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับนักการเมืองกัมพูชา แต่ผ่านไปไม่นานก็กลับยกลูกสาวให้เขาไป ไม่รู้จะเกี่ยวข้องอะไรกับผลประโยชน์ปมเขาพระวิหารหรือไม่

 

นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำกลุ่มคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน กล่าวว่า วันที่ 14 ม.ค. ทางกลุ่มจะไปยื่นฟ้องกล่าวหารัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศต่อศาลอาญา เนื่องจากเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จกรณีไทย – กัมพูชา ต่อสาธารณะชน และในวันที่ 21 ม.ค.จะนัดชุมนุมใหญ่ เพื่อเดินขบวนยื่นหนังสือเรียกร้อง พร้อมกับรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยต่อประธานศาลฎีกา และต่อผู้นำเหล่าทัพ โดยมีรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยประมาณ 5.7 แสนรายชื่อ และคาดว่าภายในวันที่ 21 ม.ค.จะมีรายชื่อผู้เห็นด้วยประมาณ 1 ล้านรายชื่อ ซึ่งจะมีการชุมนุมที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เริ่มเวลา13.00น. เป็นการชุมนุมแบบม้วนเดียวจบ

 

 

แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ท้งหม่อมนักวิชาเกิน ทั้งพลเอก ทั้งแนวร่วม

ถามจริงๆเหอะ 1 : 200,000 น่ะ ใครไปยินยอมไว้ก่อนนี้ ไม่ด่ามันล่ะ

เสธ.อ้ายม้วนเดียวจบกลับบ้านไปแล้ว

ก็เห็นม้วนเดียวจบมา 20 ครั้งแล้วมั๊ง
ไม่เห็นมันจะจบซักที

ก็มาที่เดิมนั้นแหละ สะพานมาร์ค๊ะวาฬ แล้วไปยึดเขาพระวิหารที่เมืองโบราญ สมุทรปราการ ไม่กล้าไปชายแดนจริง ๆ หรอก เพราะคงกลัวเหมือน วีระ กะ ราตรี

 

ไปที่บ้านภูมิซรอลที่ชายแดนเลยนะพ่อคุณ

อย่ามาทำให้คนไม่เกี่ยวข้องแถวนี้มาเดือดร้อน

 

 

 

guest

Post : 2013-01-08 23:01:28.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ฉนวนกาซา

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ข้อมูลจากเว็บไซต์วิกิพีเดีย ระบุว่า ฉนวนกาซ่า (Gaza Strip) เป็นชื่อเรียกอาณาบริเวณแคบๆ ขนาด 362 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในตะวันออกกลาง ทางเหนือและตะวันออกติดอิสราเอล ทางใต้ติดคาบสมุทรไซนายของอียิปต์

ชื่อกาซ่านั้นมาจากเมืองกาซ่า ซึ่งเป็นเมืองหลักในเขตนี้

มีผู้คนเข้าไปตั้งรกรากตั้งแต่ 3,000 กว่าปีมาแล้ว



อาณาจักรออตโตมานเคยปกครองฉนวนกาซ่าหลายร้อยปี จนกระทั่งตกเป็นดินแดนใต้อาณัติของอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาถูกอียิปต์ยึดครองในปี 2491 ในช่วงสงครามอาหรับ-อิสราเอล ก่อนที่จะถูกอิสราเอลยึดไปในสงคราม 6 วัน ปี 2510



ปัจจุบันยังไม่มีชาติใดให้การรับรองฉนวนกาซ่าว่าเป็นดินแดนที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง บางส่วนถือว่าเป็นดินแดนภายใต้การปกครองของอิสราเอล ซึ่งอิสราเอลปฏิเสธหลังจากถอนทหารไปเมื่อปี 2548



มีประชากรชาวปาเลสไตน์อาศัยอยู่ราว 1.4 ล้านคน และเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มฮามาส นับเป็นดินแดนที่มีผู้คนอยู่แออัดที่สุดแห่งหนึ่งในโลก คือเฉลี่ยถึง 2,350 คนต่อ 1 ตารางกิโลเมตร



โดยราว 900,000 คน เป็นครอบครัวผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ที่หนีภัยสงครามระหว่างชาติอาหรับกับอิสราเอล ซึ่งฝ่ายหลังเป็นผู้ชนะและนำไปสู่การตั้งประเทศอิสราเอลในปี 2491



ส่วนใหญ่ยากจนเพราะอิสราเอลปิดพรมแดน ทำให้การค้าและการเดินทางออกไปทำงานนอกพื้นที่ถูกปิดกั้น เนื่องจากพรมแดนของฉนวนกาซ่าถูกแบ่งโดยกองทัพอิสราเอลและอียิปต์



ปี 2536 อิสราเอลและปาเลสไตน์เซ็นสนธิสัญญาออสโล อนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์มีอำนาจในการปกครองตัวเอง (อย่างจำกัด) ในเขตฉนวนกาซ่า



ปี 2548 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีแอเรียล ชารอน อิสราเอลถอนทหารและประชาชนชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซ่าทั้งหมด ซึ่งหมายถึงการหมดอำนาจปกครองของอิสราเอลที่ยาวนานมาถึง 36 ปี



ปัจจุบันอิสราเอลยังควบคุมการเข้าออกฉนวนกาซ่าจากภายนอก ส่วนสถานะทางการเมืองระหว่างประเทศของฉนวนกาซ่ายังไม่ได้ข้อยุติ



คำว่า ฉนวน แปลว่า วัตถุที่ไม่ยอมให้ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่านได้ จึงสกัดกั้นความร้อนไม่ให้ส่งผ่านจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งได้ง่าย



ที่เรียกว่า ฉนวนกาซ่า เพราะกาซ่าเป็นดินแดนกันชนระหว่างอิสราเอล กับปาเลสไตน์ ที่มีเรื่องขัดแย้งกัน



เหมือนไทยในอดีตที่เป็นกันชนระหว่างอาณานิคมของอังกฤษกับฝรั่งเศสบนดินแดนสุวรรณภูมิ

 

             

 

                  ฉนวนกาซา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 
 
แผนที่ฉนวนกาซา

ฉนวนกาซา (อังกฤษ: Gaza Strip อาหรับ: قطاع غزة ฮิบรู: רצועת עזה‎ ) เป็นชื่อเรียกอาณาบริเวณแคบๆ ขนาด 360 ตร.กม. ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในตะวันออกกลาง ชื่อ "กาซา" นั้นมาจากเมืองกาซาซึ่งเป็นเมืองหลักในอาณาเขตนี้

 

โดยมีประชากรชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ประมาณ 1.7 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพลี้ภัย โดยในการสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2005 ประชากรถึง 1 ล้านคนได้จัดอยู่ในฐานะของผู้ลี้ภัย ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในพื้นที่ฉนวนกาซา และอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ซึ่งอพยพมาในปี ค.ศ. 1948 ซึ่งเป็นผลหลังจากสงครามอาหรับ-อิสราเอล ค.ศ. 1948 โดยประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม นิกายซุนนีย์ และมีอัตราการเติบโตของประชากรราวร้อยละ 3.2 ต่อปี หรือคิดเป็นอันดับที่ 7 ของประเทศที่มีอัตราการเติบโตประชากรสูงที่สุดในโลก

 

ปัจจุบันยังไม่มีชาติใดให้การรับรองฉนวนกาซาว่าเป็นดินแดนที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง บางส่วนได้ถือว่าฉนวนกาซาเป็นดินแดนภายใต้การปกครองของอิสราเอล ซึ่งอิสราเอลได้ให้การปฏิเสธหลังจากถอนทหารไปเมื่อ ค.ศ. 2005 อย่างไรก็ตามอิสราเอลได้ควบคุมการเข้าออกฉนวนกาซาทั้งทางน้ำและทางอากาศ

 

 ภูมิศาสตร์

ในทางภูมิศาสตร์ ฉนวนกาซาถือเป็นดินแดนของปาเลสไตน์ โดยมีอาณาเขตทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นความยาวประมาณ 11 กิโลเมตรติดกับประเทศอียิปต์ ทางเหนือและตะวันออกติดกับประเทศอิสราเอลเป็นระยะทางราว 51 กิโลเมตร ทางตะวันตกติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นระยะทางชายฝั่งประมาณ 41 กิโลเมตร

 

สภาพภูมิอากาศในบริเวณนี้มีความชื้นในอากาศต่ำ และมีช่วงฤดูหนาวที่ค่อนข้างอุ่น และฤดูร้อนอาจจะส่งผลรุนแรงถึงวิกฤตการณ์ภัยแล้งได้ ด้านทรัพยากรณ์ธรรมชาติ รวมถึงพื้นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก (ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด) และไม่นานนี้ได้มีการขุดพบก๊าซธรรมชาติด้วย

 

 ประวัติศาสตร์

 

พรมแดนของฉนวนกาซาถูกแบ่งโดยกองทัพอิสราเอลและอียิปต์หลังจากสงครามอาหรับ-อิสราเอล ค.ศ. 1948 ซึ่งส่งผลทีหลังให้สหราชอาณาจักรเลิกการครอบครองปาเลสไตน์ หลังจากนั้นฉนวนกาซาถูกปกครองโดยอียิปต์ (อิสราเอลได้ครอบครองเป็นเวลาสั้นๆ คือ 4 เดือน ในช่วงวิกฤตการณ์คลองสุเอซ) แต่เมื่ออิสราเอลชนะสงครามหกวัน ใน ค.ศ. 1967 ฉนวนกาซาเป็นหนึ่งในดินแดนที่อียิปต์เสียให้อิสราเอลด้วย

 

ค.ศ. 1993 อิสราเอลและปาเลสไตน์ได้ตกลงกันเซ็นสนธิสัญญาออสโล ซึ่งมีใจความว่าอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์มีอำนาจในการปกครองตัวเอง (อย่างจำกัด) ในเขตฉนวนกาซา ใน ค.ศ. 2005 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีอาเรียล ชารอน อิสราเอลได้ดำเนินการถอนทหารและประชาชนชาวอิสราเอล ที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซาทั้งหมด ซึ่งหมายถึงการหมดอำนาจปกครองของอิสราเอลที่ยาวนานมาถึง 36 ปี

 

ปัจจุบันอิสราเอลยังควบคุมการเข้าออกฉนวนกาซาจากภายนอก ส่วนสถานะทางการเมืองระหว่างประเทศของฉนวนกาซายังไม่ได้ข้อยุติ โดยสามารถมองได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของชาวปาเลสไตน์

 

 

 

 

 

 

                              *** กลอนหวานผ่านใจ ****

 

 

 

 

 

                        

                         "ไม่ไปได้มั๊ย?!!..."    

 

 

 

 

 

 

 

 

....คุณจะไป เเล้วใช่ไหม? ใจให้ถาม

 

พยายาม เหนี่ยวรั้งไว้ ไม่ให้หนี

 

หมดสิ้นเเล้ว วาจา ทุกท่าที

 

จบตรงนี้ กับคำลา ว่าจะไป

 

 

 

....สารภาพ ต่อเเต่นี้ ที่จะอยู่

 

ผมไม่รู้ จะอยู่นาน สักเเค่ไหน?

 

สมานเเผล ใจที่ร้าว สักเท่าใด?

 

สิ้นเเรงไร้ บอบช้ำนัก รักหลุดลอย!!...

 

 

 

 

 

สว. ติงรถเมล์ NGV คันละ 4ล้าน แพงกว่าความเป็นจริง

 

 


Posted Image
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข่าว
 

 

 

แนะเปิดราคากลางการประมูล เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขัน


จากกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมจะพิจารณาอนุมัติโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี จำนวน 3,183 คัน มูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนั้น

 

วันนี้ (7ม.ค.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ก็ได้ออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยที่ทางการจะเปลี่ยนรถเมล์ใหม่จากการใช้น้ำมันดีเซลมา เป็นรถเติมก๊าซ NGV แทน แต่ขอติงว่า ราคารถเมล์ที่ตกคันละ 4 ล้านบาทนั้นสูงเกินไป

 


ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะอยู่ที่คันละ 3ล้านจะดีที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังเป็นห่วงในเรื่องของการประมูล เพราะเข้าข่ายการล็อคสเปค จำกัดจำนวนผู้มาประมูล เนื่องจากมีเพียงสัญญาเดียว
ดังนั้นทางที่ดีรัฐบาลควรนำความเห็นของป.ป.ช. ที่เคยได้แจ้งไปก่อนหน้านี้มาพิจารณา กล่าวคือควรแบ่งการประมูลออกเป็น 10 สัญญาๆ ละ 300 คัน และเปิดเผยราคากลางในการประมูลออกมาด้วย

 

เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และป้องกันไม่ให้รัฐบาลตกเป็นจำเลยสังคม เหมือนกับนโยบายจำนำข้าวที่ยังไร้ความโปร่งใสอยู่ในตอนนี้

 

โครงการ "ซื้อ" รถเมล์เอ็นจีวี ของ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 3,183 คัน ราคา 13,000 บาท

โครงการ "เช่า" รถเมล์เอ็นจีวี ของ รัฐบาลอภิสิทธิ์ 4,000 คัน ราคา 63,000 บาท

สมัย ปชป ค่าเช่าซื้อ คันละ 10ล้านบาท สว ลากตั้งเงียบ
แต่
สมัย พท ซื้อเลย คันละ 4ล้านบาท สว บอกแพงไป ต้องทำโน่นนั่นนี่

 

 รถเมล์ คันละ 4 ล้าน ท่านมาต่อเหลือ 3 ล้าน !!! ๕๕๕๕๕
แต่ ทีรถรัฐบาลก่อนๆ คันละ 16 ล้าน ท่านบอกว่า “เหมาะสมแล้วครับท่านฯ” !!!
เราจะได้เอาไปวิ่ง “บนถนนที่ไร้ฝุ่น” อีก ตระหาก !!! ๕๕๕๕๕
“อภิมหาสวาปาม” กันทั่วหน้า (รอดูเถอะ “ตอ” จะโผล่ไม่นานนี้หรอก) !!! ๕๕๕๕๕


ส่วนทักษิณเลี่ยงภาษีแต่ โดนยึด “สี่หมื่นหกพันล้าน” !!!
“สามีคุณ ตั๊ก บงกช” ขายหุ้นพร้อมทักษิณ ไม่เสียภาษีและไม่โดนยึดเลย “สักบาท” !!!
“แบบนี้เรียกว่าอะไรครับ” ?????? ๕๕๕๕๕

 

 

guest

Post : 2013-01-07 20:10:39.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สังคมโรคจิต

 

 

                                                          สังคมโรคจิต

 

 

    

                                                              

 

 

 

 

 

 

    

 

 

 

 

                                             **** กลอนหวานผ่านใจ ****

 

 

 

                                 เดียวดาย....

 

 

 

 

          

 

 

 

 

 ....เคยอวดช่อ ล้อลม ชมว่าสวย

 

ภมรช่วย เพิ่มสีสรร วันฟ้าใส

 

สบัดกิ่ง ถนอมเเรง เเกว่งก้านไกว

 

ฟุ้งพุ่งไกล เด่นสง่า พากันชม

 

 

 

 

 

....พิโธ่เอ๋ย กาลเวลา มาเร็วเเท้

 

เพียงเหลือบเเล เเค่จ้องมอง กองทับถม

 

เคยเปล่งปลั่ง สูงค่ายิ่ง ทิ้งเหยียบจม

 

เขี่ยถุยถ่ม เมื่อหมดค่า น่าเสียดาย......

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Posted Image

 

 

(6ม.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลง ถึงนโยบายการขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ว่า เป็นไปแบบพรวดพราดขาดมาตรการรองรับ ทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไร้มาตรการรองรับ จนเกิดปัญหาจึงออกมาตรการ 5 ข้อ แบบฉุกละหุก จาก การสำรวจแรงงานนอกระบบปี 53 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มีจำนวนผู้ทำงานแรงงานทั้งสิ้น 38.7 ล้านคน แยกเป็นผู้ทำงานในระบบหรือแรงงานในระบบ จานวน 14.6 ล้านคน คิด เป็น 37.7% และเป็นผู้ทำงานที่ไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการ ทำงาน หรือ แรงงานนอกระบบ จำนวน 24.1 ล้านคน คิดเป็น 62.3% แรงงานนอกระบบมีมากกว่าในระบบ

 

ซึ่ง “แรงงานนอกระบบ หรือคนระดับรากหญ้า 24.1 ล้านคน ไม่ได้รับประโยชน์จากโยบายนี้ เช่น คนขับรถสิบล้อ ชาวนา มอเตอร์ไซค์รับจ้าง พ่อค้าขายบนรถเข็น แม่ค้าส้มตำรถเข็น คนขายพวงมาลัย คนขายตามแผงลอย แต่พวกเขากลับต้องร่วมแบกรับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อ ของแพง โดยที่รายได้ของพวกเขาไม่ได้เพิ่มขึ้น นโยบายนี้จึงฆ่าคนจนให้ตายทั้งเป็น ประมาณ 24.1 ล้านคน



น.ส.มัลลิกา กล่าวอีกว่า นอก จากนี้อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ก็ทยอยปิดตัว เพราะแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว ดังนั้นนโยบายนี้จึงหักดิบหนุ่มสาวโรงงานมีฝีมือให้ตกงานกระทันหัน เป็นการฆาตกรรมหมู่ประมาณ 14.6 ล้านคน อีกทั้งยังส่งผลให้ของแพงขึ้น

 

กลายเป็นส่วนหนึ่งที่กระชากค่าครองชีพของคนไทยทั้งชาติให้สูงขึ้น “จีงเรียกได้ว่านโยบายนี้เป็นนโยบายฉาบฉวย ประโคมโฆษณาเพื่อการตลาดเลือกตั้งอย่างไร้ความรับผิดชอบ และกลายเป็นปรากฎการณ์ "ประเทศไทยของเรา มันเผาซ้ำ กระทำชำเราชาติ" โดยทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ปูตีกรรเชียง” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว.

 

*************************

ในสายตาพรรค ปชป. ไม่ว่ารัฐจะทำอะไรก็ล้วนเป็นแต่เรื่องเสียหายให้กับชาติบ้านเมืองทั้งนั้น แต่ตอนที่ตัวเองเป็นรบ.เห็นแจกเงิน 2พัน ไข่ชั่งกิโล ทุกจริตงบอาชีวะ ถนนไร้ฝุ่น แถมเทงบกระจาดเป็นแสนล้านในการประชุม ครม.นัดส่งท้ายแบบมาราธอนคืนเดียวจบ ล้วนแต่เป็นเรื่องดี น่าจดจำทั้งนั้น

 

Posted Image

 

 

guest

Post : 2013-01-04 19:53:10.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  จิตใจที่งดงาม...

 

 

                                      

 

                                                      เพื่อจิตใจงดงาม

 

                                    

 

 

 

                                           

 

 

 

เเรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย..วันนี้เป็นวันพระ

 

 

ดึกสงัด ขโมยคนหนึ่ง ถือมีดย่องเข้าไปในอาราม ข่มขู่อาจารย์หลวงพ่อว่า

"เอาเงินออกมาเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะฆ่าเสีย"

หลวงพ่อกล่าวว่า "อย่ามารบกวน อาตมาทำสมาธิภาวนา เงินอยู่ในลิ้นชัก ไปหยิบเอง!"

 

 

ขโมยคนนั้นรีบไปค้นที่ลิ้นชัก เก็บเอาเงินไปหมด

ขณะที่จะจากไปหลวงพ่อกล่าวว่า "อย่าเอาไปหมดนะ เหลือไว้หน่อยให้อาตมาซื้อดอกไม้ไหว้พระพรุ่งนี้"

ขโมยจึงทิ้งเงินเล็กน้อยไว้ในลิ้นชัก พอหันหลังจะจากไปหลวงพ่อก็กล่าวอีกว่า "ไม่ขอบคุณสักคำหรือ?"

 

 

ขโมยจึงกล่าวขอบคุณก่อนสาวเท้าจากไป

หลังจากนั้น ขโมยผู้นี้ได้ก่อคดีขึ้นอีก กระทั่งถูกตำรวจจับตัวไว้ได้ ขโมยให้การว่าเคยปล้นเงินของหลวงพ่อมาก่อนด้วย

ขณะที่ตำรวจเรียกตัวหลวงพ่อไปให้การชี้ตัวจำเลย หลวงพ่อกลับให้การว่า "เขาไม่ใช่ขโมย เขาไม่ได้ปล้นอาตมา อาตมาให้เงินเขาเอง เขาขอบคุณอาตมาแล้ว"

 

 

คำให้การของหลวงพ่อช่วยให้ขโมยผู้นี้ได้ลดหย่อนผ่อนโทษ

เมื่อขโมยผู้นี้พ้นโทษจึงปลงผมออกบวชขอเป็นศิษย์จากหลวงพ่ออย่างซาบซึ้งตื้นตันและยินยอมพร้อมใจ

 

 

เห็นได้ชัดว่าหลวงพ่อเป็นพระที่แท้จริง ท่านมิเพียงละกิเลส บำเพ็ญธรรม เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากสังสารวัฏเท่านั้น พระคุณเจ้ายังชักนำผู้อื่นสู่หนทางหลุดพ้นด้วยจิตใจเมตตาการุณย์ เปี่ยมด้วยปฏิภาณและสติปัญญาอันเฉียบแหลม

 

 

คนเราถ้าช่วยตัวเองให้อยู่สุขสบายได้แล้ว ควรจะช่วยเหลือผู้อื่นด้วย เพราะการช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ก็เท่ากับสร้างบุญกุศลให้ตัวเอง ถึงไม่ได้หวังผลตอบแทนก็ตาม.............

 

 

 

 

 

                                                           *** มุมการเมือง ***

 

 

 

Posted Image


 

 

 

ประสงค์ ชี้ ปี 56 ไทยเสี่ยงเจอวิกฤติต้มยำปู แรงกว่าต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจไทยอาจล้มละลาย เหตุหนี้ครัวเรือนจากนโยบายประชานิยมพุ่ง หวั่นเกิดจลาจลใน กทม. อีก เพราะคนทนรัฐบาลไม่ไหว



เมื่อวันที่ 4 มกราคม น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ได้ไปร่วมบรรยายเรื่อง "การพัฒนาการเมืองไทย" ให้ผู้เข้าศึกษาอบรมหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 4 ของ กกต. รับฟัง โดยตอนหนึ่ง น.ต.ประสงค์ วิเคราะห์ว่า มี 3 สาเหตุที่จะทำให้การเมืองไทยล้มเหลว คือ



1. สภาพเศรษฐกิจและสังคมภายใต้การจัดการของผู้มีอำนาจ เพราะประชานิยมจะทำให้คนเกิดความโง่เขลา และความจน ณ ตอนนี้หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น งบประมาณที่ใช้ในโครงการรถคันแรกก็มาจากภาษีของประชาชนเอง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เศรษฐกิจไทยจะก้าวเข้าสู่ความหายนะ อาจเกิดการล้มละลายทางเศรษฐกิจคล้ายกับประเทศกรีซ ถ้าในปี 2556 นี้ยังไม่เกิดการปรับปรุง



2. เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน ฐานะที่เคยเป็นผู้ร่างก็ไม่ได้ห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีบทบัญญัติมาตราไหนที่ระบุให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทั้งฉบับ หากจะแก้ไขต้องแก้ไขเป็นรายมาตราเท่านั้น ดังนั้น อยากให้กลับไปอ่านมาตรา 165 ให้ดี เพราะการทำประชามติจะขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ และกำหนดไว้ชัดว่า การทำประชามติต้องมีเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้ใช้สิทธิ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยาก



ในประเด็นนี้ น.ต.ประสงค์ ยังเสริมด้วยว่า หากให้ตนทำประชามติ ตนจะถามประชาชนว่า เห็น ด้วยหรือไม่ที่นำเงิน 7.5 ล้านบาทไปจ่ายให้คนเผาบ้านเผาเมือง และเห็นด้วยกับการให้นักการเมืองที่มีอำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้อยู่ต่อไปหรือไม่ ก็เชื่อว่าจะมีคนออกมาใช้สิทธิเกินกว่า 24 ล้านคน มากการการทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่นอน



และสาเหตุที่ 3 คือ วัฒนธรรมทางการเมืองและทัศนคติของประชาชนที่มีต่อผู้ใช้อำนาจเป็นอย่างไร



ทั้งนี้ อดีต ส.ส.ร. ยังเตือนให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือกับปี 2556 ที่บ้านเมืองจะเผชิญกับวิกฤติทุกด้าน โดย เฉพาะปัญหาค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จะทำให้ฐานะเศรษฐกิจของประเทศล้มละลายได้ และเมื่อปัญหาทวีมากขึ้น สุดท้ายประชาชนจะทนไม่ได้ออกมารวมตัวกัน อาจเกิดจลาจลขึ้นในกรุงเทพมหานครได้อีกครั้ง รวมทั้งปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังแก้ไขไม่ได้ ข้อพิพาทกับประเทศกัมพูชาเรื่องพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร และในพื้นที่อ่าวไทย ซึ่งปัญหาทุกอย่างจะกลายเป็นวิกฤตต้มยำปู ที่น่าจะรุนแรงกว่าวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540

 

 

สมัยนั้นน่ะ มันยุคใคร .. ตอบให้เลยว่า ยุคนายชวน เชื่องช้า

เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน กู้เงินแหล่งทุนของต่างชาติได้ง่ายเกินไป

ด้วยภาระดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า แหล่งเงินทุนในประเทศ .. คนมันก็เล่นกู้

แบ้งค์ต่างชาติดอกเบี้ยต่ำ เพลินกับฟองสบู่ ที่ทำกำไรกับอัตราดอกเบี้ย

ตอนนั้นเงินไหลเข้ามากมาย แต่ทั้งรัฐ และเอกชน ไม่รู้ว่าภัยจะมาถึงตัว

จนฟองสบู่ แตกโพล๊ะ .. ทุกอย่างก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ....

 

 

... แต่ครั้งนี้ เขามีประสบการณ์แล้ว เขาใช้เหตุผลประกอบการพิจารณา

เขาระมัดระวัง เขาไม่ปล่อยให้หลงระเริงกับเงินที่ไหลเข้ามาคราวนี้

อย่างง่ายดายอีกต่อไปแล้ว ... เพราะฉะนั้นตอบได้ว่า มันก็เหมือนกับ

ลากรถถังออกมารัฐประหาร ที่เขามีประสบการณ์มาครั้งหนึ่งแล้ว มันไม่

ง่ายที่จะเสียรู้กันอีกหรอกท่านซีไอเอ.....

 

 

 

 

ปีชง 2556 เริ่มนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน หรือวันตรุษจีน 2556 ดูดวงปี2556 คนที่มีปีเกิดตรงกับ ปีชง 2556 และ ควรแก้ ปีชง 2556 ไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย คือ คนที่เกิดในปี นักษัตร 4 ปีนี้


ปีชงเสริมดวงปี2556


 

 

- คนเกิดปีกุน (ปีหมู) เป็น ปีชง 2556 เป็นปีปะทะ ปีชง 100%

 

คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ คนที่เกิด ปี2490(อายุ 66ปี) ปี2514(อายุ 42ปี) ปี2550(อายุ 6ปี)

 

 

 Posted Image

 

 

 

 

 

 

 

guest

Post : 2013-01-02 20:03:58.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สวดมนต์ข้ามปี

 

 

                                                                       สวดมนต์ข้ามปี

 

                      

 

 

โดย พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ

 

การสวดมนต์ข้ามปีนั้นเป็นประเพณีนิยมของชาวไทยมาแต่เดิม โดยก่อนสิ้นปี พระสงฆ์จะไปเจริญพระพุทธมนต์บทนพเคราะห์ที่กรมประชาสัมพันธ์ จากนั้นก็จะรอเวลาเที่ยงคืนเพื่อเจริญพระพุทธมนต์บทชัยมงคลคาถา ออกอากาศไปทั่วประเทศ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ต่อมา เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้นำคณะสงฆ์วัดสระเกศ ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ข้ามปีขึ้น ณ พระอุโบสถ วัดสระเกศ โดยอนุวัติตามโบราณพระราชประเพณีแห่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เคยประกอบพิธีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อันเป็นประเพณีปีใหม่ของไทยที่มีมาแต่เดิม

 

การสวดมนต์ข้ามปี จึงถือได้ว่าเริ่มจัดขึ้นที่วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เป็นครั้งแรก และ ในปีพุทธศักราช ๒๕๔๙ กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ได้เห็นความสำคัญของการสวดมนต์ข้ามปี จึงได้ร่วมกับคณะสงฆ์วัดสระเกศ จัดสวดมนต์ข้ามปีขึ้นอย่างเป็นทางการ และ ต่อมา คณะสงฆ์มีความเห็นร่วมกันว่า การสวดมนต์ข้ามปีเป็นที่นิยมของประชาชนอย่างแพร่หลาย และเป็นค่านิยมที่งดงาม ควรแก่การส่งเสริม ที่ประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ ณ ตำหนักสมเด็จฯ วัดสระเกศ จึงได้มีมติให้วัดทุกวัดจัดสวดมนต์ข้ามปี โดยมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นศูนย์กลางการอำนวยการ และให้วัดเจ้าคณะจังหวัดเป็นศูนย์กลางการสวดมนต์ของจังหวัดนั้น ๆ

 

สำหรับวัดสระเกศนั้น เป็นวัดที่เกี่ยวข้องกับความร่มเย็นเป็นสุขของประเทศชาติบ้านเมืองมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ได้ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ที่บริเวณสระน้ำวัดสะแก ซึ่งเป็นที่ตั้งวัดสระเกศในปัจจุบัน เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน จากนั้นจึงประกอบพิธีมูรธาภิเษก ก่อนปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ผ่านพิภพเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

 

ภายหลังเมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ทรงเปลี่ยนนาม “วัดสะแก” เป็น “วัดสระเกศ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติให้ต้องตามสถานที่ที่พระองค์ประกอบพิธีมูรธาภิเษก วัดสระเกศจึงถือได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และราชวงศ์จักรี

 

คณะสงฆ์วัดสระเกศได้รักษาประเพณีการเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อประกอบพิธีทำน้ำพระพุทธมนต์ในวาระที่สำคัญ ตามโบราณพระราชประเพณีแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ สืบต่อมา

 

ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระองค์โปรดฯ ให้มีการฟื้นฟูพิธีเจริญพระพุทธมนต์ บทมหาสมัยสูตร ให้มีระเบียบแบบแผนมากขึ้น โดยโปรดฯ ให้ประกอบพิธีที่พระวิหารพระอัฏฐารส วัดสระเกศ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อันเป็นเทศกาลปีใหม่ตามธรรมเนียมโบราณของชาวไทย เพื่อนำน้ำพระพุทธมนต์ไปแจกจ่ายให้กับประชาชน ได้นำไปประพรมให้ลูกหลานบ้านเรือน เรือกสวนไร่นา ให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข

 

ก่อนหน้าที่ชาวไทยกำหนดเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ พิธีเจริญพระพุทธมนต์บทมหาสมัยเป็นพิธีสวดมนต์ใหญ่ประจำปี เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ ถือว่าเป็นพิธีที่สำคัญที่ทางบ้านเมืองจะต้องร่วมกันจัดขึ้นเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล และเกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ สำหรับประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ พอถึงวันสงกรานต์ต่างก็จัดให้มีพิธีสวดมหาสมัยขึ้นในหมู่บ้านหรือชุมชนของตนเช่นกัน แตกต่างกันไปตามความนิยมของท้องที่นั้นๆ

 

ต่อมา ทางราชการบ้านเมืองกำหนดวันขึ้นปีใหม่ จากวันสงกรานต์ไปใช้ตามความนิยมของสากล เพื่อให้สอดคล้องกับนานาประเทศ พิธีเจริญพระพุทธมนต์บทมหาสมัยก็ลดความสำคัญลง และเริ่มเลือนหายไปจากวิถีชีวิตของคนไทย

 

การที่รัชกาลที่ ๓ โปรดฯ ให้ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์บทมหาสมัยที่พระวิหารพระอัฏฐารส วัดสระเกศ ด้วยพระองค์ทรงปรารภว่า พระอัฏฐารส เป็นพระพุทธรูปที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ในมหาสมัยสูตร สืบเนื่องมาจากพระประยูรญาติของพระพุทธองค์เกิดความแตกแยกกันอย่างรุนแรง จนถึงขั้นยกกองทัพมาประจันหน้าจะทำสงครามกัน เพราะแบ่งผลประโยชน์เรื่องน้ำไม่ลงตัว พระพุทธองค์จึงเสด็จมาห้ามทัพ ทำให้สงครามแย่งน้ำยุติลง

 

พระอัฏฐารส เป็นพระพุทธรูปปางประทับยืน ศิลปะสกุลช่างสมัยสุโขทัยตอนต้น อายุไม่น้อยกว่า ๗๐๐ ปี หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ โดยไม่มีการเชื่อมต่อ มีความสูงถึง ๒๑ ศอก ๑ นิ้ว นับว่าเป็นการหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะ ที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์ชนชาติไทย เดิมประดิษฐานอยู่วัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นวัดประจำพระราชวังจันทน์ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต่อมา รัชกาลที่ ๓ ดำริที่จะให้มีพระอัฏฐารสไว้ประจำพระนคร จึงโปรดฯ ให้ไปเสาะหาตามกรุงสุโขทัย และกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่าชำรุดมาก และได้ไปพบที่วัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่พระวิหารวัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร

 

ธรรมเนียมการสร้างพระอัฏฐารส พระพุทธรูปยืนไว้ประจำพระนคร ของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุขปราศจากสงคราม ป้องกันความแตกแยกของคนในชาติ ให้คนในชาติเกิดความรักความสามัคคี และให้ประเทศชาติสถิตสถาพรมั่นคงยั่งยืนนาน ประหนึ่งพระพุทธปฏิมากรประทับยืนสถิตสถาพรเป็นนิรันดร์

 

เมื่อครั้งย้ายพระอัฏฐารสมากรุงเทพนั้น ได้ล่องแพมาตามคลองน้ำ เนื่องจากพระอัฏฐารสมีขนาดใหญ่จึงกดทับแพให้จมน้ำมองเห็นเฉาะองค์พระ คนก็ลืออันว่าพระลอยน้ำ ผ่านมาถึงไหน ประชาชนสองฝากฝั่งที่ทราบข่าวก็มารอรับเป็นจำนวนมาก จนมาถึงท่าที่จะขึ้นที่กรุงเทพ ปรากฏว่ามีประชาชนหลั่งไหลมาดูพระลอยน้ำและมาช่วยกันชักพระขึ้นเป็นจำนวนมาก ว่ากันว่าคนที่มาเหลือจะคณานับได้ จนเป็นคำพูดติดปากว่า มีคนถึงสามแสนคน ท่าน้ำที่ชักพระอัฏฐารสขึ้นจึงเรียกท่า “สามแสน” ต่อมา จึงกลายเป็น “สามเสน” ซึ่งเป็นชื่อย่านในปัจจุบัน

 

ต่อมา เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ให้จัดมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์รับปีใหม่ หรือที่เรียกว่า สวดมนต์ข้ามปีขึ้น โดยถือตามคตินิยมปีใหม่แบบสมัยปัจจุบัน และทางวัดได้นำน้ำพระพุทธมนต์บทมหาสมัยสูตรมาแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่มาพิธี ตามธรรมเนียมเทศกาลปีใหม่โบราณของชาวไทยด้วย

 

การฟังการเจริญพระพุทธมนต์ในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ ที่จุดเริ่มต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า เสมือนความเจริญรุ่งเรืองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และพระบรมสารีริกธาตุบนองค์พระเจดีย์ภูเขาทอง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่สำคัญยิ่ง ของชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา จะช่วยคุ้มครองปกปักรักษาชีวิตและครอบครัวให้มีความร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                *** มุมการเมือง***

 

 

                              

 

 

            

ปุชฉา.....

'สดศรี'ชี้'พงศพัศ'เสี่ยงถูกร้องเรียน

'สดศรี' เตือน 'พงศพัศ' ออกสื่อฯ-ขึ้นป้ายโครงการบ้านอุ่นใจ สุ่มเสี่ยงถูกร้องเรียน แอบแฝงหาเสียงลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.

 

1 ม.ค. 56 นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะส่ง พ.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงสมัครผู้ว่าฯกทม. และช่วงนี้ได้มีการออกสื่อฯ พร้อมขึ้นป้ายโครงการบ้านอุ่นใจ ทั้งที่ยังไม่มีการประกาศชัดเจน อาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ ว่า

 

เรื่องดังกล่าวต้องดูให้ดี เพราะการออกสื่อฯต่างๆ ต้องดูว่าออกในฐานะอะไร และออกเพื่ออะไร ถือเป็นการแอบแฝงในการหาเสียงหรือไม่ คงต้องพิจารณาให้รอบคอบ รวมถึงการขึ้นป้ายโครงการบ้านอุ่นใจ ถือเป็นการทำตามนโยบายและทำในหน้าที่ตำแหน่งปัจจุบันของเขาหรือไม่ แต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็อาจสุ่มเสี่ยงให้มีผู้ยื่นร้องต่อกกต.ได้ เนื่องจากในอดีตในการเลือกตั้งท้องถิ่น เคยมีการหาเสียงก่อนที่จะประกาศตัวผู้สมัคร ซึ่งกกต.ก็เคยรับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณาวินิจฉัย แต่ทั้งนี้การวินิจฉัยก็คงต้องดูเป็นกรณีไป

 


นางสดศรี กล่าวด้วยว่า สำหรับค่าใช้จ่ายในการหาเสียงของผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในปีนี้ กำหนดไว้ไม่เกิน 49 ล้านบาท ซึ่งในส่วนการออกสื่อฯ หรือขึ้นป้ายโครงการบ้านอุ่นใจของ พ.ต.อ.พงศพัศ ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะลงสมัครผู้ว่าฯกทม.หรือไม่ การขึ้นป้ายโครงการบ้านอุ่นใจ ต้องดูว่าเขาทำในหน้าที่ในฐานะข้าราชการหรือไม่ ซึ่งงบประมาณตรงนี้ก็ยังเป็นงบประมาณที่อยู่ในงานที่เขารับผิดชอบ ก็อาจจะยังไม่ถือว่าอยู่ในเรื่องของงบประมาณค่าใช้จ่ายในการหาเสียงก็เป็น ได้

 


ผู้สื่อข่าวถามว่าหากพ.ต.อ.พงศพัศ ลงสมัครผู้ว่าฯกทม.จริง และแพ้การเลือกตั้ง จะสามารถกลับไปรับหน้าที่ในตำแหน่งเดิมได้หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของกรมตำรวจ คงต้องไปดูกฎระเบียบข้อบังคับของต้นสังกัดว่าสามารถกลับไปรับราชการใน ตำแหน่งเดิมได้หรือไม่หากแพ้การเลือกตั้ง แต่ที่ผ่านมาในอดีตก็เคยมีข้าราชการสังกัดอื่นเคยลงสมัครส.ส.และแพ้การเลือก ตั้ง ก็สามารถกลับเข้ารับราชการได้

 

วิสัชนา......

ถ้า กกต.เอาผิด ก็ต้องไปเอาผิดฟักมาร์คกับฟักเทือกด้วย ที่ไปปราศรัยห้ามคนมาลงประชามติ ตอนนั้นอ้างว่ายังไม่ออกกฏหมายลงประชามติ

 

อ้าว..เขายังเป็นตำรวจอยู่ ทำตามหน้าที่มันผิดตรงไหน อย่ามั่ว กกต.พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ ออกสื่อฯ-ขึ้นป้ายโครงการบ้านอุ่นใจในขณะทำหน้าที่งานประจำในฐานะ รอง ผบ ตร. ยังไม่ประกาศลงสมัคร ผว. กทม 

"ที่เค้าทำนี่เค้าทำในฐานะที่ยังเป็นรองผบตร.อยู่...

แล้วเรื่องนี้ คุณพงศพัศเค้าก็ทำต่อเนื่องมาหลายปีแล้วด้วย...

อีกอย่าง "ตอนนี้เค้าก็ "ยังไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่า" อย่างเป็นทางการ"...

จะไปเอาผิดเค้าได้ยังไงกันล่ะ???...

 

แต่คุณชายสุขุมพันธ์ ขึ้นป้ายโฆษณาผลงาน ป้ายรณรงค์ฯลฯ ได้ จะเอายังไงกันเเน่ล่ะคุณป้าสดศรี!!!......

 

guest

Post : 2012-12-31 09:19:14.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สุดระทึก จับงู อนาคอนด้า เอาคนเป็นเหยื่อล่อ

 

 

 

                                 

 

 

 

 

 

                                   

                                                ประวัติความเป็นมา วันปีใหม่ 



วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี



ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน



เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน



และในวันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกเป๋ง วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมง เท่ากัน เรียกว่า วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March)



แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่เป็นต้นมา



ความเป็นมาของ วันขึ้นปีใหม่ไทย


ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน


การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก



การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์



ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป



เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย



กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ
วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น



กิจกรรมใน วันขึ้นปีใหม่
วันที่ 1 มกราคม ของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย



เพลงวันปีใหม่ (เพลงพรปีใหม่ เพลงพระราชนิพนธ์ในหลวง)

ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ


สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์
ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย
ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดี
ตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ



เกี่ยวกับ เพลงพรปีใหม่


เพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 13 ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2494 เมื่อเสด็จนิวัตพระนคร และประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต มีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานพรปีใหม่ แก่บรรดาพสกนิกรไทยด้วยเพลง จึงทรงพระราชนิพนธ์เพลง "พรปีใหม่" และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องเป็นคำอำนวยพรปีใหม่ แล้วพระราชทานแก่วงดนตรี 2 วง คือ วงดนตรีนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำออกบรรเลง ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวงดนตรีสุนทราภรณ์ นำออกบรรเลง ณ ศาลาเฉลิมไทย ในวันปีใหม่ วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2495

 

guest

Post : 2012-12-28 22:06:24.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  โรฮิงยา

 

.
28 ธันวาคม...วันพระเจ้าตากสินมหาราช
................................................................................​...................
*ถอดรหัส หางม้าทรง*

...อนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า ที่วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี
น่าแปลกไหม อนุสาวรีย์หล่อตั้งแต่ ปี 2480 ยุคพระยาพหลพลพยุหเสนา
แต่กว่าจะได้ติดตั้ง ต้องใช้เวลาต่อสู้กับกลุ่มอำมาตย์เก่า อยู่นานถึง 17 ปี

มาสำเร็จเอาในปี 2497 ยุครัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม
และแม้จะทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปแล้ว
แต่ก็ยังไม่วาย ถูกขุนนางผู้ดีในยุคนั้น ทั้งสายสถาปนิก นักวิจารณ์ศิลปะ
และสัตวแพทย์หลายคน โจมตี

เหตุเพราะม้ายืนตรง แต่กลับทำหางชี้สูง ไม่ลู่ลง
โวยวายจนเป็นข่าว ลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งหลายฉบับว่า

...เป็นม้าที่ดูอุบาทว์ ประดักประเดิด...

สี่ขายืนสงบนิ่ง ไม่ได้ทำท่ากระโจนสักนิด แต่กลับยกหางสั่น
เหมือนพวกขี้ครอกขึ้นวอ

...ท่าเช่นนี้เหมือนม้ากำลังขี้...( ยุคนั้น ใช้คำว่าขี้ ชัดเต็มปากเต็มคำ )

อ.ศิลป์ พีระศรี ผู้ออกแบบ โดนรุมประณามว่ามั่วนิ่มปั้น

ซึ่งที่จริงแล้ว อ.ศิลป์ ท่านให้ความสำคัญกับม้าทรงชิ้นนี้ ยิ่งกว่างานปั้นใดๆ
ถึงกับลงทุน ปีนนั่งร้านที่สูงกว่า 3 เมตร ขึ้นไปปรับแต่งปั้นดิน
จนถึงพอกปูนทุกขั้นตอน เป็นเหตุให้พลัดตกลงมาแขนขาหัก ต้องเข้าเฝือก

อีกทั้ง อ.ศิลป์ ท่านยังคิดถึงเรื่องสายพันธุ์ของม้า ซึ่งต้องเป็นม้าไทยเท่านั้น

พวกที่วิจารณ์ก็คือ กลุ่มผู้ลากมากดีสยาม ที่ดูถูกชาวจีนว่าเป็นคนต่างด้าว
จึงจ้องแต่จะทับถมเกียรติภูมิ ของพระเจ้าตากสิน ผ่านการกดหางม้าทรงไว้

.......ไม่ให้ผยองผองขน

ข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผย จากเอกสารต่างชาติก็คือ เมื่อครั้งที่มีการจ้าง
ศิลปินชาวฝรั่งเศส หล่อพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 นั้น ทางสยาม
ต้องการให้ม้าทรง อยู๋ในท่ายกขาหน้าเหมือนม้าของ นโปเลียน

แต่ทางโรงหล่อที่ยุโรป ได้แย้งกลับมาว่า ท่าม้าเผ่นผยองยกขาหน้า
ตามธรรมเนียมสากล มีไว้สำหรับ จักรพรรดิที่เป็นนักรบเท่านั้น

ไม่อาจปั้นให้ได้ จึงปั้นในท่าทรงม้าสงบนิ่ง อย่างที่เราเห็น

สำหรับพระเจ้าตากสินมหาราช อ.ศิลป์ ท่านเป็นคนยุโรป ย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดี
เมื่อเริ่มต้นปั้น ก็ได้ปั้นม้าอยู่ในท่าผาดโผนโจนทะยาน แต่แล้วสุดท้าย

อำนาจพิเศษ ได้เข้ามากำกับ ไม่ต้องการให้มหาราชพระองค์นี้

............ดูโดดเด่นเกินหน้าเกินตา

ทำให้ต้องแก้ไข แบบของม้าทรงถึง 5 ครั้ง ในเมื่อไม่สามารถปั้นให้
ม้าทรงยกขาหน้าได้ อ.ศิลป์ จึงแอบซ่อนรหัสนัย ไว้ที่หางม้าให้ตระหวัดขึ้น
เป็นท่าของม้า ที่อยู่ในลักษณะพร้อมที่จะออกวิ่งทะยานอยู่ทุกขณะ

...รอว่าเมื่อไหร่องค์จอมทัพ จะกระชับบังเหียนให้สัญญาณเท่านั้น...

ปากที่เผยอจนเห็นฟัน และหางที่เป็นพวงชี้สูงขึ้น
นับว่าสอดคล้องกันแล้ว กับความตื่นคะนองของม้าศึก

ผู้ลากมากดีสยามทั้งหลาย จึงควรสำเหนียกกันไว้ด้วยว่า ม้าทรงตัวนี้

กำลังประกอบวีรกรรม ........กอบกู้ชาติ !

*บางส่วนจากงานเขียนของ เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์
................................................................................​...................

ไม่มีพระเจ้าตาก

ไม่มีประเทศไทย ในแผนที่โลก


                                             

 

 

 

                                         โรฮิงยา...

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เข้าเว็บไซต์ไทยเอ็นจีโอ มีบทความโดย ปกป้อง เลาวัณย์ศิริ เรื่อง โรฮิงยา ประชาชนที่ถูกลืมในพม่า สรุปความได้ว่า ประเทศพม่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีประชาชนที่เป็นคนเชื้อชาติพม่า กะเหรี่ยง มอญ คะฉิ่น อารากัน ฯลฯ แต่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับการพูดถึงมากมายในเวทีวิชาการพม่าจนถึงในขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย คือ กลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกว่า "โรฮิงยา" (Rohingyas)



ชาวโรฮิงยาส์เป็นประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐอารากัน (ยะไข่) ในตอนเหนือของประเทศพม่า ติดกับชายแดนประเทศบังกลาเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมือง Maungdaw, Buthidaung, Rathedaung,

Akyab และ Kyauktaw ชาว โรฮิงยาส์มีภาษาเป็นของตัวเอง คือ ภาษาอินดิค (Indic language) ที่มีความคล้ายกับภาษาเบงกาลีที่ใช้พูดในประเทศบังกลาเทศและอินเดีย ประชากรของชาวโรฮิงยาส์มีประมาณ 7 แสนถึง 1.5 ล้านคนในรัฐอารากันที่มีประชากรมากถึง 3 ล้านคน

 



ประวัติศาสตร์ของชาวโรฮิงยายังมีความหลากหลายมากในปัจจุบัน มีรายงานและงานวิจัยหลายส่วนที่ให้ข้อมูลไว้ว่าเป็นผู้คนที่อยู่ในตอนเหนือรัฐอารากันมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 7-12 และ นับถือศาสนาอิสลามเนื่องจากพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐอารากันมีพ่อค้าชาวอาหรับเข้ามาค้าขายเป็นเวลายาวนาน แต่ในมุมมองของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ชาวโรฮิงยาส์เป็นประชาชนที่ "ลี้ภัยอย่างผิดกฎหมาย" และอพยพมาจากประเทศบังกลาเทศในสมัยที่พม่าตกอยู่ภายใต้อาณา นิคมของจักรวรรดินิยมอังกฤษ ดังนั้น ด้วยทัศนคติเช่นนี้ของรัฐบาลทำให้ประชาชนชาวโรฮิงยาไม่ได้รับการรวมเข้าไปในกลุ่มชนพื้นเมือง (Indigenous groups) ในรัฐธรรมนูญพม่า ส่งผลให้ไม่ได้รับสัญชาติพม่า

 



การที่ชาวโรฮิงยาไม่ได้รับสัญชาติทำให้ไม่ได้รับการคุ้มครองใดๆ จากรัฐบาล ทั้งยังถูกคุกคามอย่างต่อเนื่องมากกว่าชนกลุ่มน้อย หรือประชาชนเชื้อชาติอื่นๆ โดยเฉพาะจากความแตกต่างทางศาสนาและเชื้อชาติ ถูกเลือกปฏิบัติในทุกระดับ ซึ่ง รวมถึงสิทธิที่จะนับถือศาสนา การเข้าถึงการศึกษา สิทธิในการรักษาโรค จนถึงไม่สามารถแต่งงานได้ ถูกบังคับให้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน และไม่สามารถเดินทางเพื่อไปประกอบอาชีพนอกพื้นที่ได้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากจนมาก เป็นชนกลุ่มน้อยที่มีสถานการณ์ความเป็นอยู่ที่เลวร้ายที่สุดในพม่า

 



นอกจากนี้ ชุมชนชาวโรฮิงยายังต้องผจญกับการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง โดยมีเหตุการณ์สำคัญในปีค.ศ.1962 ค.ศ.1978 และ ค.ศ.1991 ทำให้มีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยาส์หลบหนีภัยเข้าไปในบังกลาเทศ ปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย เป็นหลัก โดยที่ประเทศรองลงมาคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย และประเทศไทย ซึ่งจำนวนประชากรชาว โรฮิงยาในไทยไม่ได้มีจำนวนมากเท่าในบังกลาเทศหรือในมาเลเซีย มีจำนวนประมาณ 10,000-15,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ที่จังหวัดระนองและมหาชัย

 



และเนื่องจากพม่าไม่ได้ให้การรับรองว่าเป็นประชาชนของพม่า การให้สถานภาพทางการเมืองกับชาวโรฮิงยาจึงเป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากชาวโรฮิงยาไม่ได้อยู่ในกลุ่มเชื้อชาติที่กระทรวงมหาดไทยจะให้สถานภาพทางการเมือง เช่น แม้ว่าชาวพม่าทั่วไปจำนวนหนึ่งจะสามารถลงทะเบียนเป็นแรงงานต่างด้าวได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ชาวโรฮิงยาไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้มีความรู้ในส่วนนี้และไม่เข้าใจว่าประชาชนชาวโรฮิงยาเป็นคนพม่า และหลายครั้งเข้าใจผิดว่าเป็นคนบังกลาเทศ ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวโรฮิงยา ถูกกดขี่มากกว่าแรงงานพม่า

 

 โรฮินญา เป็นประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามในรัฐอาระกัน ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในรัฐ ถูกเหยียดหยามและเลือกปฏิบัติโดยรัฐบาลทหารพม่าอย่างต่อเนื่อง และถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมากโดยรัฐบาลทหารพม่า ตั้งแต่การบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ตามกฎหมายสัญชาติพม่าปี 1982 (Burma Citizenship Law) ต้องขออนุญาตจากรัฐบาลทหารถ้าจะออกจากพื้นที่ และต้องจ่ายเงินถ้าจะออกจากพื้นที่

 

 

ทำให้มีสถานภาพความเป็นอยู่ที่ต่ำมาก เนื่องจากไม่สามารถหางานทำหรือค้าขายได้ ซ้ำร้ายยังถูกละเมิดไม่ให้รับสิทธิที่จะได้รับสัญชาติ ห้ามแต่งงานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลทหารพม่า

 

 

นับว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีสถานการณ์ความเป็นอยู่ที่เลวร้ายที่สุดในพม่า ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวโรฮิงญาต้องหนีภัยจากพม่าเป็นจำนวนมาก หากพิจารณาเหตุปัจจัยเหล่านี้ ชาวโรฮิงญาจึงน่าจะมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งโดยหลักปฏิบัติของนานาชาติแล้ว ผู้ลี้ภัย หรือผู้หนีภัยความตาย จะต้องไม่ถูกส่งกลับเพื่อไปเผชิญหน้ากับภาวะความเสี่ยงต่อชีวิต และจะต้องได้รับการช่วยเหลือคุ้มครองจากประเทศที่เข้าไปลี้ภัยด้วยหลักมนุษยธรรมในฐานะมนุษยชนคนหนึ่ง

 

  

 

โรฮินญา เป็นประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามในรัฐอาระกัน ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในรัฐ ถูกเหยียดหยามและเลือกปฏิบัติโดยรัฐบาลทหารพม่าอย่างต่อเนื่อง และถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมากโดยรัฐบาลทหารพม่า ตั้งแต่การบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ตามกฎหมายสัญชาติพม่าปี 1982 (Burma Citizenship Law) ต้องขออนุญาตจากรัฐบาลทหารถ้าจะออกจากพื้นที่ และต้องจ่ายเงินถ้าจะออกจากพื้นที่

 

 

ทำให้มีสถานภาพความเป็นอยู่ที่ต่ำมาก เนื่องจากไม่สามารถหางานทำหรือค้าขายได้ ซ้ำร้ายยังถูกละเมิดไม่ให้รับสิทธิที่จะได้รับสัญชาติ ห้ามแต่งงานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลทหารพม่า

 

 

นับว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีสถานการณ์ความเป็นอยู่ที่เลวร้ายที่สุดในพม่า ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวโรฮิงญาต้องหนีภัยจากพม่าเป็นจำนวนมาก หากพิจารณาเหตุปัจจัยเหล่านี้ ชาวโรฮิงญาจึงน่าจะมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งโดยหลักปฏิบัติของนานาชาติแล้ว ผู้ลี้ภัย หรือผู้หนีภัยความตาย จะต้องไม่ถูกส่งกลับเพื่อไปเผชิญหน้ากับภาวะความเสี่ยงต่อชีวิต และจะต้องได้รับการช่วยเหลือคุ้มครองจากประเทศที่เข้าไปลี้ภัยด้วยหลักมนุษยธรรมในฐานะมนุษยชนคนหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

วีระ-ราตรี ยิ้ม หลัง สุรพงษ์ เปรยเตรียมพากลับบ้าน

Posted Image

 

 

พร้อมเปิดสายด่วน ช่วยนักท่องเที่ยวต่างชาติถูกเอาเปรียบ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ กล่าวถึง การให้ความช่วยเหลือ นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนไพบูลย์ 2 คนไทยที่ถูกจำคุกในกัมพูชา นั้น


นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว,ต่างประเทศ ระบุว่า ขณะนี้ น.ส.ราตรี รับโทษจะครบ 1 ใน 3 แล้ว เร็วๆ นี้ จะมีการดำเนินการเพื่อขอโอนตัวนักโทษต่อไป
ซึ่งการโอนตัวนักโทษอาจมีข้อจำกัดเรื่องฐานความผิด จึงต้องไปดูรายละเอียดต่อไป ทั้งนี้เชื่อว่าการโอนตัวนักโทษจะทำได้ง่ายกว่าการขอพระราชทานอภัยโทษที่จะ ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ก่อน


ส่วนกรณีประเทศออสเตรเลีย ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังเกี่ยวกับถูกรีดไถ โดยเฉพาะเจ็ทสกี ซึ่งเคยมีเหตุการณ์ในอดีตมาก่อน และให้หลีกเลี่ยงการเที่ยวในยามวิกาล เพราะอาจเสียงต่อการถูกชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกาย ว่า


ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพราะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว โดยได้นำเรื่องนี้หารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กำชับทุกหน่วยงาน ให้ดูแลอย่างเข้มงวด เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยจำนวนมากในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งอาจดูแลได้ไม่ทั่วถึง


นอกจากนี้ ขอร้องคนไทยในพื้นที่ท่องเที่ยว ให้ช่วยดูแลนักท่องเที่ยวและให้ความช่วยเหลือเมื่อพบว่านักท่องเที่ยวประสบ เหตุ ที่สำคัญขอฝากมิจฉาชีพคนไทย อย่าทำร้ายนักท่องเที่ยว เพราะจะเสียภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย


สำหรับปีนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยแล้วกว่า 21 ล้านคน ซึ่งมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว 4 ล้านคน โดยหากนักท่องเที่ยวมีปัญหาสามารถโทรเข้าสายด่วน 1672 ,1155 , 02-1344077, 02-356 0650 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และจะมีผู้รับสายพูดภาษาอังกฤษด้วย และตนเองจะฝากเบอร์ทั้งหมดให้กับสถานทูตต่างๆ เพื่อความสะดวกในการประสานงานต่อไป

 

 

 

[ภาพ: 14698_10200302836879402_1731284324_n.jpg]

 

 

 

สิทธ์ในการประกันตัว นั่นคือพื้นฐานสิทธิมนุษย์ชนเลยนะครับท่านผู้พิจารณา

guest

Post : 2012-12-27 20:39:56.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  หลวงพ่อกับขอทาน

 

 

 

พระเซนกับขอทาน

方丈与乞丐

 

 

มีขอทานพิการเหลือแขนเพียงข้างเดียวผู้หนึ่ง เดินทางเข้าไปยังวัด เพื่อขอรับบริจาคทาน ทว่าเมื่อเอ่ยปาก หลวงพ่อเจ้าอาวาสกลับชี้มือไปยังกองอิฐและบอกกับขอทานแขนเดียวว่า “ท่านช่วยย้ายอิฐกองนั้นไปยังหลังวัดก่อนเถอะ”

 

ขอทานแขนเดียวได้ยินครั้งแรกก็ไม่พอใจ กล่าวว่า “ข้าเหลือแขนเพียงข้างเดียวจะย้ายอิฐได้อย่างไร ข้ามาขอทาน หากท่านไม่อยากให้ทานก็ไม่เป็นไร ไฉนต้องล้อเลียนผู้อื่นถึงเพียงนี้”

 

หลวงพ่อไม่เอ่ยโต้ตอบ เพียงแต่เดินไปยกก้อนอิฐโดยใช้แขนเพียงข้างเดียว จากนั้นค่อยกล่าวเรียบๆ ว่า”งานประเภทนี้ แม้มีแขนข้างเดียวก็สามารถทำได้”

 

เมื่อเห็นดังนั้น ขอทานจึงได้แต่ทำตาม โดยค่อยๆ ย้ายก้อนอิฐไปยังหลังวัด ทีละก้อน ทีละก้อน ใช้เวลาพักใหญ่จึงย้ายก้อนหินได้หมดกอง จากนั้นหลวงพ่อจึงมอบเงินค่าตอบแทนให้กับขอทานจำนวนหนึ่ง ขอทานเห็นดังนั้นก็ดีใจมากพลางกล่าวคำ “ขอบคุณท่าน ขอบคุณท่าน” ไม่หยุด

 

หลวงพ่อจึงตอบว่า “ไม่ต้องขอบคุณเรา เพราะเงินนี้มาจากน้ำพักน้ำแรงของท่านเอง”

 

ขอทานจึงเอ่ยด้วยความสำนึกว่า “ข้าจะจดจำวันนี้เอาไว้” จากนั้นจึงก้มตัวค้อมคำนับด้วยความตื้นตันก่อนเดินทางจากไป

 

ผ่านไปหลายวัน มีขอทานอีกผู้หนึ่งเดินทางมาขอทานที่วัดนี้ หลวงพ่อก็พาขอทานผู้นี้เดินมาที่หลังวัดจากนั้นชี้ไปยังกองอิฐและกล่าวว่า “ท่านช่วยย้ายอิฐกองนั้นไปยังหน้าวัดก่อนเถอะ” ทว่าขอทานผู้มีแขนขาครบผู้นี้กลับไม่สนใจคำกล่าวของหลวงพ่อ ได้แต่หันกายจากไปโดยพลัน

 

บรรดาสานุศิษย์ในวัดเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามหลวงพ่อว่า “คราวก่อนท่านอาจารย์ให้ขอทานย้ายอิฐมายังหลังวัด ไฉนวันนี้กลับประสงค์ให้ขอทานอีกผู้หนึ่งย้ายอิฐกลับไปหน้าวัดเล่า ที่แท้แล้วท่านอาจารย์อยากให้นำก้อนอิฐไปไว้ที่ใดกันแน่?”

 

หลวงพ่อจึงตอบศิษย์เพียงสั้นๆ ว่า “อิฐวางไว้หน้าวัดหรือหลังวัดล้วนไม่ต่างกัน ทว่าจะย้ายหรือไม่ย้ายต่างหาก...ที่สำคัญสำหรับขอทานเหล่านั้น

 


วันเวลาผ่านไปหลายปี วันหนึ่งปรากฏคนผู้หนึ่งท่
าทางภูมิฐานเดินทางมาที่วัด คนผู้นี้มีแขนเพียงข้างเดียว ที่แท้แล้วคือขอทานแขนเดียวเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนับตั้งแต่วันที่เขาพบกับหลวงพ่อในครั้งนั้น เขาจึงค่อยได้รู้ถึงคุณค่าในตัวเอง จากนั้นจึงหาทางประกอบสัมมาอาชีพที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย จนในที่สุดได้พบกับความสุข สำเร็จในชีวิต…ส่วนขอทานอีกผู้หนึ่งนั้น ยังคงเป็นขอทานอยู่เรื่อยมา

 

ปัญญาเซน : เชื่อมั่นในตนเอง รู้คุณค่าในตนเอง และพึ่งพาตนเอง คือคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการเป็นมนุษย์

 

 

 

 

 

 

 

                           ***** มุมการเมือง *****

 

 

 

 

 

ปชป. มอบถ้วยแชมป์ คอร์รัปชั่น - ขี้ข้าทักษิณ ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์

ปชป. มอบถ้วยแชมป์ คอร์รัปชั่น - ขี้ข้าทักษิณ ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์
 

 

ส.ส.ประชาธิปัตย์ เข้ามอบถ้วยรางวัล คอร์รัปชั่น - ขี้ข้าทักษิณ ให้แก่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่รัฐสภา

 

 

 

 

 

 

วันนี้ (27 ธันวาคม) ที่รัฐสภา นายบุญยอด สุขถิ่นไทย และนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้นำถ้วยรางวัลแชมป์คอร์รัปชั่นสร้างสภาใหม่ 20% และถ้วยรางวัลแชมป์ทุจริตคอร์รัปชั่นงบน้ำท่วม 40% มามอบให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดย นายวัชระ กล่าวว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ขอมอบรางวัลนี้ให้แก่นายกรัฐมนตรี ที่ทำงานเพื่อพี่อย่างแสนสาหัส มีการทุจริตอย่างมหาศาล เป็นสถิติของประเทศ

 

 

นอกจากนี้ นายบุญยอด และนายวัชระ ยังมอบถ้วยรางวัลลักษณะเป็นกระโถนขับถ่ายของเด็ก ให้แก่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี, นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ (ดีเอสไอ) และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ในฐานะ ขี้ข้าทักษิณ พ่วงด้วยกลอนทิ้งท้ายอีกว่า
 
 
ถ้วยนี้ท่านได้แต่ใดมา ทำชอบสิ่งใดนา วานบอก
 
 
เหลิมเป็นขี้ข้าทักษิณไซร้ ดูไบให้ รางวัล
 
 
ข่าวบอกว่าสมัยที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมีการโกงกันมโหฬาร เงินไหลออกไปฝากเเบงค์ต่างประเทศ สามเเสนล้านบาท ไม่รู้ของใครมั่ง
 

ถ้าทำเป็นถ้วยใบใหญ่ ๆ แล้วสลักไว้ที่ถ้วยว่า "แชมป์ทุจริตสูงสุดตลอดกาล และขี้ข้าเผด็จการอมาตย์" ตั้งโชว์ไว้ที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งน่าจะตรงกับความเป็นจริงที่สุด

อีกใบขนาดใหญ่พอ ๆ กัน สลักว่า "แชมป์วิ่งราว ตำแหน่งนายกฯ"

และอีกใบ ใบนี้ใหญ่ที่สุด สลักว่า "หนึ่งเดียวในจักรวาล ไม่เคยเป็นทหารแต่มียศร้อยตรี" ผมว่ามันก็จะดีไม่ใช่น้อย!!!........

 
 

guest

Post : 2012-12-26 21:41:28.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  กรรมติดจรวด

 

 

 

 

 

                         อดีตไล่ล่า กรรมติดจรวด

 

 

 

 

                                              

                                                       อดีตประธานาธิบดีโอโรโย่ ของฟิลิปปินส์

 

บทความจาก เดอะไทยนิวส์

 

ในการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้นำจีนได้เตือนว่าประเทศจีนอาจล่มจมได้หากไม่จัดการปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นอย่างเด็ดขาด เพราะปัญหานี้แพร่กระจายกว้างขวางมากขึ้นทั้งที่รัฐบาลได้จัดการจับกุมลงโทษบุคคลสำคัญระดับชาติไปมากมาย อย่างไรก็ดี นอกจากการทุจริตคอรัปชั่นแล้ว ยังมีอีกคำหนึ่งที่ใช้ควบคู่กันไปคือ การประพฤติมิชอบ แม้ยังไม่ถึงกับการทุจริตคอรัปชั่น แค่ประพฤติมิชอบก็ถือว่ามีความผิดแล้ว วันนี้ เราใช้เรดาห์สอดส่องไปทั่วโลกถึงพฤติกรรมของผู้นำ อดีตผู้นำ ครอบครัวที่ทุจริตประพฤติมิชอบ ที่ถูกลงโทษทางกฎหมายและทางสังคม บางทีผู้นำนั้นก็จัดการคนในครอบครัวของเขาเสียเองก่อนที่บ้านเมืองและตัวเขาจะเสียหายไปมากกว่านี้

 


เกาหลีใต้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เอาจริงกับการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างยิ่ง สื่อมวลชนและคนเกาหลีใต้มีความตื่นตัวในเรื่องนี้และตรวจสอบพฤติกรรมของนักการเมืองอย่างจริงจัง ล่าสุด อัยการขอให้สำนักงานภาษีแห่งชาติตรวจสอบข้อมูลด้านภาษีของนายลีซีฮยอง บุตรชายคนเดียวของประธานาธิบดีลีเมียงบัก รวมทั้งอดีตหัวหน้าสำนักงานความมั่นคงของประธานาธิบดี พี่ชาย และภรรยาของผู้นำเกาหลีใต้ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อที่ดินแปลงหนึ่งทางตอนใต้ของกรุงโซลเพื่อเตรียมสร้างบ้านพักหลังพ้นตำแหน่งของประธานาธิบดีเพราะมีความไม่ชอบมาพากลและเป็นเรื่องอื้อฉาวในลักษณะมีการเอาเงินหลวงไปซื้อในราคาสูง แต่ครอบครัวประธานาธิบดีซื้อต่อในราคาที่ถูก เรื่องนี้อื้อฉาวมากจนประธานาธิบดีเกาหลีใต้ต้องยกเลิกโครงการสร้างบ้านพักดังกล่าว พรรคฝ่ายค้าน สำนักงานอัยการ หน่วยตรวจสอบภาษี สื่อมวลชน ตรวจสอบจริงจังในเรื่องนี้มาก โดยไม่กลัวอิทธิพลและตำแหน่งของประธานาธิบดี เรื่องนี้จะกระทบต่อคะแนนนิยมของลีเมียงบักแน่ ๆ เพราะเขาจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่งในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นใน 19 ธันวาคม 2555 นี้

 


ส่วนอดีตผู้นำประเทศที่ทำอะไรไม่ดีไว้ในช่วงดำรงตำแหน่ง พอพ้นตำแหน่งก็โดนตามล้างตามเช็ด เรียกว่าในระหว่างมีอำนาจมีการทุจริตคอรัปชั่นและประพฤติมิชอบเพราะไม่มีใครกล้าทำอะไร หน่วยงานรัฐรวบรวมหลักฐานไว้คิดบัญชีตอนพ้นตำแหน่ง เช่น ศาลฎีกาไต้หวันเพิ่มโทษจำคุกอดีตประธานาธิบดีเฉินสุยเปี่ยนที่ถูกจับกุมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 หลังพ้นตำแหน่ง และศาลตัดสินจำคุกข้อหารับสินบน 2 กระทรวง เพิ่มอีก 1 ปีรวมเป็น 18 ปี 6 เดือนหลังพบความผิดเพิ่มเติมในข้อหาฟอกเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐ นายเฉินโทษว่าฝ่ายตรงข้ามและจีนแผ่นดินใหญ่แก้แค้นเขา แต่ไม่ยอมดูตัวเองว่าตัวเองและครอบครัวทำผิดจริงหรือไม่

 


เช่นเดียวกับอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ นางอาร์โรโย่ ที่พ้นตำแหน่งไปแล้วก็เจอวิบากกรรมในข้อหาทุจริตคอรัปชั่นหลายกระทง ล่าสุดเจอคดียักยอกเงินจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 366 ล้านเปโซ (ประมาณ 272 ล้านบาท) ซึ่งเป็นคดีที่ 3 หากศาลพิพากษาว่าผิดจริง นางอาจถูกจำคุกตลอดชีวิต โดยก่อนหน้านางเจอข้อหามาแล้วหลายกระทง เช่น ยักยอกเงินกองทุนสาธารณะ รับสินบนจากบริษัทโทรคมนาคมจากประเทศจีน โกงเลือกตั้ง ซึ่งคดีกำลังอยู่ในชั้นพิจารณาของศาล เช่นเดียวกัน นางอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งโดยประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นายเบนินโญ อากิโน (ที่สาม)


นางอาร์โรโยมีประวัติคล้ายกับนางอิเมลดา มาร์กอส อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอรัปชั่นและเป็นอดีตผู้นำที่ขี้โกงอันดับต้น ๆ ของโลก นางก็เจอคดีหลายคดีเหมือนกัน สมัยก่อน ฟิลิปปินส์เคยเป็นประเทศที่คนไทยยกย่อง นักเรียนคนไหนสอบเข้าในมหาวิทยาลัยไม่ได้ พ่อแม่ก็ส่งไปเรียนฟิลิปปินส์เพราะใกล้ไทย ค่าเล่าเรียนไม่แพง เศรษฐกิจใช้ได้ แต่ใครไปฟิลิปปินส์วันนี้จะพบว่าฟิลิปปินส์แย่กว่าสมัยก่อนมากมาย คนตกงานเยอะ ไปทางไหนก็เจอขอทานที่อายุน้อย บ้านเรือนทรุดโทรม รถเป็นรุ่นเก่า ๆ ไม่มีรถป้ายแดงออกใหม่แบบเมืองไทย พอถามคนฟิลิปปินส์ว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เขาบอกว่า ความร่ำรวยของประเทศถูกตระกูลมาร์กอสฉกฉวยเอาไปจากประชาชนฟิลิปปินส์หมด โดยเฉพาะเข้าคุมธุรกิจที่เป็นหัวใจสำคัญของประเทศหมด

 


ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านอดีตผู้นำทุจริตคอรัปชั่นติดลำดับต้น ๆ ของโลก คือ อดีตประธานาธิบดีมาร์กอส ซึ่งนาจะอยู่ในลำดับ 1 และนายโจเซฟ เอสตราดา อดีตประธานาธิบดีอดีตพระเอกหนังขวัญใจคนจน ที่ติดลำดับ 10 ของโลก ประธานาธิบดีคนต่อมาเช่น อาร์โรโย ก็โดนคดีคอรัปชั่นเช่นกัน

 


ทั้งสองคดีสะท้อนให้เห็นว่า ศาลไต้หวันและฟิลิปปินส์เอาจริงเอาจังในเรื่องทุจริตคอรัปชั่นมาก ศาลปฏิเสธคำขอของนางอาร์โรโยที่ขอไปรักษาอาการปวดคอในต่างประเทศ เพราะเกรงว่านางไปแล้วจะไปลับ ไปแล้วไม่ยอมกลับมาฟิลิปปินส์อีก ดังมีตัวอย่างของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศให้เห็นแล้ว

 


ไปทางยุโรปบ้าง ที่อิตาลี ศาลตัดสินจำคุกนายแบร์ลุสโคนี อดีตนายกรัฐมนตรีคนดังซี่งมีเรื่องอื้อฉาวทางเพศ การทุจริตคอรัปชั่น เป็นเวลา 4 ปีฐานโกงภาษีโดยการยักย้ายถ่ายเทเงินทองและเสียภาษีน้อยลง เปิดบัญชีลับในต่างประเทศ ตบแต่งบัญชีเพื่อลดผลกำไร จะได้เสียภาษีน้อยลง ศาลสั่งให้นายแบร์ลุสโคนีจ่ายเงินชดเชยคืนแก่กรมสรรพากรเป็นเงิน 10 ล้านยูโร (ประมาณ 400 ล้านบาท) ชดเชยภาษีที่รัฐสูญเสียไป แต่ศาลลดโทษให้เหลือ 1 ปี เพื่อลดความแออัดของเรือนจำ และถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี นอกจากนี้ คนสนิทของเขาซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น คือ นายฟรังโก ฟิโอริโด และเป็นแกนนำในการหาเสียงให้ในแคว้นลาซิโอ ถูกอัยการสั่งยึดทรัพย์มูลค่า 1,300 ล้านยูโร (ประมาณ 52,000 ล้านบาท) ในข้อหาฉ้อฉลเงินสนับสนุนพรรคเสรีประชาชนของนายแบร์ลุสโคนี ศาลสั่งยึดรถยนต์หรูหลายคันเพราะเขาชอบสะสมรถหรู

 


เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้นำประเทศที่ครองอำนาจนาน ๆ เช่น มาร์กอส แบร์ลุสโคนี พวกนี้จะเข้ายึดกุมธุรกิจที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจประเทศทั้งหมด เช่น พลังงาน ไฟฟ้า ประปา สื่อสารโทรคมนาคม บางคนรวยมาก่อนแล้วเล่นการเมืองเช่นแบร์ลุสโคนี่ เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเร็ว โลดโผน หรือหวา ถูกอกถูกใจชาวอิตาลีจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลายสมัยนานกว่าคนอื่น เมื่อมีอำนาจก็ใช้อำนาจเพิ่มพูนผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง ยักย้ายถ่ายเทหุ้น เลี่ยงภาษี พอหมดอำนาจวาสนาก็โดนคิดบัญชีย้อนหลัง และเช่นเดียวกับอดีตผู้นำคนอื่นที่โดนแบบเดียวกัน ที่มักจะโวยว่าถูกการเมืองกลั่นแกล้ง แต่ไม่เคยดูพฤติกรรมของตนเอง อย่างไรก็ดี นายแบร์ลุสโคนีหนีออกนอกประเทศไม่ทัน คงต้องติดคุกอยู่ในประเทศ
ผู้นำหลายคนกำลังถูกอดีตไล่ล่าอยู่ในขณะนี้ หลายคนโดนกรรมติดจรวด โดยไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า

 


อย่างไรก็ดี ยังมีผู้นำที่ใจซื่อมือสะอาดและไม่ยอมให้คนในครอบครัวอาศัยอำนาจหน้าที่ของตนแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่ผู้นำในประเทศพัฒนาตะวันตกแต่อย่างใด แต่เป็นประธานาธิบดีฟรังซัวร์ โบรซิเซ แห่งสาธารณะรัฐแอฟริกากลาง ซึ่งเป็นชาติที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่สั่งให้ตำรวจจับบุตรชายของตัวเองที่เข้าพักโรงแรมห้าดาวในเมืองหลวงและเบี้ยวไม่ยอมจ่ายค่าโรงแรมและค่าอาหาร ค่าบริการ เป็นเงินกือบ 8 ล้านฟรังซ์ (กว่า 474,000 บาท) โดยขู่ว่าเป็นบุตรชายของประธานาธิบดี แต่ข่าวไม่ได้แจ้งว่านายคนนี้ชอบเบ่งคุยทับว่า “ มึงรู้ไม๊พ่อกูเป็นใคร” ที่ไม่มีใครอยากตอบคำถาม เพราะขนาดพ่อตัวเองยังไม่รู้ว่าเป็นใคร เที่ยวไปถามคนอื่น ก็คงไม่อยากมีใครไปตอแยด้วย แต่ทางโรงแรมไม่ยอม แจ้งให้ประธานาธิบดีทราบ ประธานาธิบดีจึงสั่งตำรวจให้ไปนำตัวผู้จัดการโรงแรมและบุตรชายมาสอบถาม บุตรชายอ้างว่าจ่ายเงินแล้ว แต่ผู้จัดการโรงแรมบอกว่ายังไม่จ่าย เรื่องชักจะจบไม่สวยเมื่อประธานาธิบดีสั่งขังทั้งคู่ แต่พอปรากฎภายหลังว่าบุตรชายพูดไม่จริง ผู้จัดการโรงแรมจึงได้รับการปล่อยตัวไป

 


หลังเกิดเรื่องดังกล่าว ทำให้ประธานาธิบดีฟรังซัวร์ทราบว่า นายทหารและตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายรายที่ไปใช้บริการที่โรงแรมนี้เบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงินหรือติดค้างไว้ ประธานาธิบดีจึงมีคำสั่งให้คนเหล่านี้จ่ายหนี้ให้โรงแรมทันที มิฉนั้น จะถูกจับกุมตัว พวกนี้จึงต้องตาลีตาเหลือกเอาเงินไปจ่าย สำหรับโรงแรมก็คงรอดจากการเจ๊งไปได้ แต่ไม่รู้ว่าหากประธานาธิบดีฟรังซัวร์พ้นอำนาจ โรงแรมจะอยู่ได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี โรงแรมนี้อาจเป็นการลงทุนของชาวต่างชาติตะวันตก จึงกล้าหาญชาญชัยไม่กลัวอิทธิพล

 


เมื่อไรคนไทยเราจะโชคดีที่ผู้นำและนักการเมืองขี้โกงถูกศาลตัดสินจำคุกแบบนี้บ้าง และเมื่อไรเราจะมีผู้นำที่ดีที่กล้าแม้แต่จะดำเนินคดีกับคนในครอบครัวหากทำผิดเพื่อรักษาชื่อเสียงของตนเองไว้ เพราะที่ผ่านมา เรามักมีนักการเมืองขี้โกงที่หลุดรอดคดีไปได้แทบทุกครั้ง และมีนักการเมืองที่ให้ท้าย ปกป้องลูกไม่ว่าลูกจะไปทำระยำตำบอนเพียงใด ก็ถือว่าเป็นกรรมของคนไทย

 

 

 

                  ***** มุมการเมือง *****

 

 

 

 

 

 

 

 

          ว.วชิรเมธี ออกมาแจงแล้ว...ข้อเขียนอร่อยจนลืมกลับวัด/กับลายเซ็นต์.

                                               ไม่ผิดวินัยสงฆ์นะ!!!...

 

 

 

ท่าน ว.วชิรเมธี


 

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก ว.วชิรเมธี (W.Vajiramedhi)

 

ท่าน ว.วชิรเมธี แจง เขียนข้อความ อร่อยจนลืมกลับวัด ไม่ผิดวินัยสงฆ์ เผย แค่เขียนให้กำลังใจลูกศิษย์ ไม่ได้ต้องการเพิ่มมูลค่าทางการตลาด หลังคนตีความไปไกลจนเกิดกระแสในโลกไเบอร์ 

                                                   

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกไซเบอร์ขณะนี้ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่มีภาพถ่ายของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ท่าน ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดัง คีบตะเกียบฉันอาหาร และมีข้อความเขียนใต้รูปว่า "อร่อยจนลืมกลับวัด" พร้อมลายเซ็นของท่าน ว.วชิรเมธี อยู่ในกรอบรูปที่ประดับอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทำให้ชาวเน็ตตั้งคำถามว่า หากรูปภาพ และลายเซ็นดังกล่าวเป็นของจริง ถือเป็นการเหมาะสมหรือไม่ แล้วจะผิดต่อวินัยสงฆ์หรือไม่ เพราะเหมือนกับว่าพระสงฆ์เชิญชวนให้มาชิมร้านอาหารดังกล่าว

 

เกี่ยวกับประเด็นนี้ เว็บไซต์ วอยซ์ ทีวี ได้สอบถามไปยัง ท่าน ว.วชิรเมธี ทันที ซึ่ง ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวชี้แจงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถือเป็นการผิดวินัยสงฆ์ โดยการเขียนข้อความดังกล่าว เพื่อให้ขวัญกำลังใจกับลูกศิษย์ เป็นข้อความที่เขียนกันทีเล่นทีจริง ตามประสาครูอาจารย์ ลูกศิษย์อย่าตีความกันเลยเถิดไป

 

พระนักเทศน์ชื่อดัง ยังยืนยันอีกด้วยว่า ข้อความดังกล่าวไม่ใช่การการันตีเหมือนรายการเชลล์ชวนชิม ไม่ได้ต้องการเพิ่มมูลค่าทางการตลาดอะไร ไม่มีวัตถุประสงค์อะไรมากไปกว่าการให้กำลังใจลูกศิษย์เท่านั้น ดังนั้น เรื่องที่วิจารณ์กันนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอย่างยิ่ง

 

 

 

ทำไปแล้ว...จะแก้ตัวยังไงสังคมตัดสินไปแล้ว

***ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว***

 

บวชเพื่อละโลกธรรมทั้ง8

ไม่ใช่บวชเพื่อหนทางสู่โลกธรรม

 

โลกธรรม 8 หมายถึง ธรรมดาของโลก เรื่องของโลก ธรรมชาติของโลกที่ครอบงำสัตว์โลกและสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมดานี้ 8 ประการอันประกอบด้วย

 

โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ พอใจของนุษย์ เป็นที่รักเป็นที่ปรารถนา

 

  1. ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้มาซึ่งทรัพย์
  2. ยศ หมายความว่า ได้รับฐานันดรสูงขึ้น ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต
  3. สรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกยอ เป็นที่น่าพอใจ
  4. สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ความเบิกบาน บันเทิงใจเริงใจ

 

โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ความไม่พอใจของมนุษย์ ไม่เป็นที่ปรารถนา

 

  1. เสื่อมลาภ หมายความว่า เสียลาภไป ไม่อาจดำรงอยู่ได้
  2. เสื่อมยศ หมายถึง ถูกลดอำนาจความเป็นใหญ่
  3. นินทาว่าร้าย หมายถึง ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี ถูกติฉินนินทา หรือถูกกล่าวร้ายให้เสียหาย
  4. ทุกข์ คือ ได้รับความทุกขเวทนา ทรมานกาย ทรมานใจ[1]

 

มีพระองค์ไหนมั่งที่อุตริธรรม เขียน" ชอบ ติดใจ รสอาหาร" พระแท้ๆ จะไม่ติ..ชม ว่าอาหารที่โยมถวาย อร่อยหรือไม่อร่อย

พระที่เคร่งบางรูป ยังฉันอาหารรวมๆกัน ในบาตรเลย เพื่อไม่ให้มีจิต ยินดี ยินร้ายในรสอาหาร ถือว่าเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง

อาจมี พวกห่มผ้าเหลืองมาอาศัยข้าววัดกินที่ มีกิเลสหนา พูด..แถมเขียน ชมซะอีกว่า " อร่อยซะ...."

 

guest

Post : 2012-12-25 19:43:30.0     Forum: ข้อคิด-คำคม  >  เห็นฉันเป็นสัตว์เหรอ?..

     

 

                             

 

                                                      เห็นฉันเป็นสัตว์เหรอ?...

 

 

 

                                             

 

 

 

 

 

....ก็เป็นคน เหมือนกัน ฉันรู้สึก

 

มีสำนึก ร้อนหนาว วัยสาวใส

 

ประเพณี ความเชื่อ เจือที่ใจ

 

มั่นคงไว้ หลักชีวิต คิดเดินตาม

 

 

 

....เเล้วพวกเมือง อย่างท่าน เเลฉันเเปลก

 

อายเเทบเเทรก รุมกันจ้อง มองซักถาม

 

เเย่งถ่ายรูป เกาะติด ชิดทุกยาม

 

ประพฤติทราม หัวเราะเยาะ เพราะอะไร?

guest

Post : 2012-12-25 18:52:48.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สึนามิถล่มภูเก็ต

 

 

 แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547

 

แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 เป็นแผ่นดินไหวใต้ทะเลซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเวลา 07:58:50 ของวันที่ 26 ธันวาคมพ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) ตามเวลาในประเทศไทย (หรือเวลา 00:58:50 UTC) มีศูนย์กลางอยู่ในมหาสมุทรอินเดียบริเวณด้านตะวันตกของหัวเกาะสุมาตราประเทศอินโดนีเซีย แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ทำให้พื้นที่บริเวณเกาะสุมาตราได้รับความเสียหาย

แผ่นดินไหวเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกใต้มหาสมุทรอินเดีย กระตุ้นให้เกิดคลื่นสึนามิสูงราว 30 เมตร[1] เข้าท่วมทำลายบ้านเรือนตามแนวชายฝั่งโดยรอบมหาสมุทรอินเดีย ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ใน 14 ประเทศมากกว่า 230,000 คน นับเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ประเทศที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย รองลงมาคือประเทศศรีลังกาประเทศอินเดีย และประเทศไทย ตามลำดับ

ความรุนแรงของแผ่นดินไหวอยู่ระหว่าง 9.1 ถึง 9.3 โมเมนต์แมกนิจูด ทำให้แผ่นดินไหวครั้งนี้นับเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงเป็นอันดับที่สามตามที่เคยวัดได้จากเครื่องวัดแผ่นดินไหว (Seismometer) นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นแผ่นดินไหวที่มีคาบเวลายาวนานที่สุด โดยการสังเกตคาบเวลาอยู่ที่ประมาณ 8.3 ถึง 10 นาที ส่งผลให้แผ่นดินทั่วทั้งผืนโลกเคลื่อนตัวไปถึง 1 เซนติเมตร [2] และยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวในจุดอื่นๆของโลกอีกด้วย [3]

 

ภาพเคลื่อนไหวของคลื่นสึนามิสุมาตรา (ที่มา: องค์การสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา

 

สรุปความเสียหายและจำนวนผู้เสียชีวิต

ประเทศที่ได้รับความเสียหาย ยืนยัน โดยประมาณ ได้รับบาดเจ็บ สูญหาย Displaced
อินโดนีเซีย 130,736 167,799 n/a 37,063 500,000+
ศรีลังกา2 35,322 35,322 21,411 n/a 516,150
อินเดีย 12,405 18,045 n/a 5,640 647,599
ไทย 5,395 8,212 8,457 2,817 7,000
โซมาเลีย 78 289 n/a n/a 5,000
พม่า 61 400–600 45 200 3,200
มัลดีฟส์ 82 108 n/a 26 15,000+
มาเลเซีย 68 75 299 6 n/a
แทนซาเนีย 10 13 n/a n/a n/a
หมู่เกาะเซเชลส์ 3 3 57 n/a 200
บังกลาเทศ 2 2 n/a n/a n/a
แอฟริกาใต้ 2 2 n/a n/a n/a
เยเมน 2 2 n/a n/a n/a
เคนย่า 1 1 2 n/a n/a
มาดากัสการ์ n/a n/a n/a n/a 1,000+
รวม ~184,167 ~230,273 ~125,000 ~45,752 ~1.69 million

  • มีผู้เสียชีวิตจำนวน 230,000 ราย
  • มูลค่าความเสียหายประมาณ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

 

ผลกระทบในประเทศไทย

แผนที่แสดงประเทศที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิ

 

ความเสียหายด้านชีวิตและทรัพย์สิน

ข้อมูล ณ วันที่ 10 มกราคมพ.ศ. 2548 มีจำนวนผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญหาย ในประเทศไทย มีจำนวนทั้งหมด 5,309 คน ผู้สูญหายจำนวนทั้งหมด 3,370 คน ต่อมาได้มีการรับแจ้งจากญาติพี่น้องของผู้ประสบภัยภายหลังการเกิดเหตุ จำนวนดังกล่าวนี้ลดลงเพราะได้พบผู้ที่รับแจ้งว่าสูญหายบางคนแล้ว นอกจากนี้ยังมีการค้นพบศพผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีการตรวจสอบเอกลักษณ์ของศพที่เก็บรักษาไว้เพื่อให้ทราบว่าเป็นผู้ใด ในรายงานของกระทรวงมหาดไทยที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2548

นอกจากมีผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญหายเป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีความเสียหายในด้านทรัพย์สิน ได้แก่ บ้านเรือนของราษฎร โรงแรม บังกะโล เกสต์เฮาส์ ร้านค้า ร้านอาหาร ทรัพย์สินส่วนตัวของนักท่องเที่ยว ยานพาหนะ ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคต่างๆ อาทิ ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ถนน เป็นมูลค่ากว่าพันล้านบาท [4]

ความเสียหายด้านเศรษฐกิจ

ด้านเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ภูเก็ตพังงา และกระบี่ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเสียชีวิต และบาดเจ็บมากที่สุด มีแหล่งท่องเที่ยวได้รับความเสียหายมาก จำนวน 7 แห่ง คือ

 

ภาพเหตุการณ์ประชาชนกำลังวิ่งหนีคลื่นสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ที่จังหวัดภูเก็ต
  • ชายทะเลเขาหลักในอุทยานแห่งชาติเขาหลัก ลำรู่ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา (เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวเสียชีวิตและบาดเจ็บมากที่สุด)
  • เกาะสิมิลัน อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
  • หาดราไวย์ ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดภูเก็ต
  • หาดกะรน ตำบลกะรน อำเภอเมืองฯ จังหวัดภูเก็ต
  • หาดกมลา ตำบลกมลา อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต
  • หาดป่าตอง ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต
  • เกาะพีพี ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ รวมอีกทั้ง จังหวัดระนอง

 

 

 

 

แผนที่วงแหวนแห่งไฟ
การปะทุของภูเขาไฟเซนต์เฮเลนส์ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1980

 

วงแหวนแห่งไฟ (อังกฤษ: Pacific Ring of Fire หรือ the Ring of Fire) เป็นบริเวณในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง มีลักษณะเป็นเส้นเกือกม้า ความยาวรวมประมาณ 40,000 กิโลเมตร และวางตัวตามแนวร่องสมุทร แนวภูเขาไฟและบริเวณขอบแผ่นเปลือกโลก โดยมีภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ภายในวงแหวนแห่งไฟทั้งหมด 452 ลูก และเป็นพื้นที่ที่มีภูเขาไฟคุกกรุ่นอยู่กว่า 75% ของภูเขาไฟคุกกรุ่นทั้งโลก[1] ซึ่งบางครั้งจะเรียกว่า circum-Pacific belt หรือ circum-Pacific seismic belt

 

แผ่นดินไหวประมาณ 90% ของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นทั่วโลกและกว่า 80% ของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เกิดขึ้นในบริเวณวงแหวนแห่งไฟ นอกจากวงแหวนแห่งไฟ ยังมีแนวแผ่นดินไหวอีก 2 แห่ง ได้แก่ แนวเทือกเขาอัลไพน์ ซึ่งมีแนวต่อมาจากเกาะชวาสู่เกาะสุมาตรา ผ่านเทือกเขาหิมาลัย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แนวแผ่นดินไหวแห่งนี้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น 17% ของทั้งโลก และอีกแห่งคือ แนวกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น 5-6% ของทั้งโลก[2][3] วงแหวนแห่งไฟเป็นผลมาจากการเคลื่อนที่และการชนกันของแผ่นเปลือกโลก[4] แบ่งเป็นส่วนวงแหวนทางตะวันออก มีผลมาจากแผ่นนัซกาและแผ่นโกโกส ที่มุดตัวลงใต้แผ่นอเมริกาใต้ ส่วนของแผ่นแปซิฟิกที่ติดกับแผ่นฮวนดีฟูกา ซึ่งมุดตัวลงแผ่นอเมริกาเหนือ ส่วนทางตอนเหนือที่ติดกับทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นแปซิฟิก มุดตัวลงใต้บริเวณเกาะเอลูเชียนจนถึงทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น และส่วนใต้ของวงแหวนแห่งไฟเป็นส่วนที่มีความซับซ้อนของแผ่นเปลือกโลก มีแผ่นเปลือกโลกขนาดเล็กมากมายที่ติดกับแผ่นแปซิฟิก ซึ่งเริ่มตั้งแต่หมู่เกาะมาเรียนา ประเทศฟิลิปปินส์ เกาะบูเกนวิลล์ ประเทศตองกา และประเทศนิวซีแลนด์ แนววงแหวนแห่งไฟยังมีแนวต่อไปเป็นแนวแอลไพน์ ซึ่งเริ่มต้นจากเกาะชวา เกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย รอยเลื่อนที่มีชื่อเสียงที่ตั้งบนวงแหวนแห่งไฟนี้ ได้แก่ รอยเลื่อนแซนแอนเดรอัสในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กอยู่เป็นประจำ รอยเลื่อนควีนชาร์ลอตต์ ทางชายฝั่งตะวันตกของหมู่เกาะควีนชาร์ลอตต์รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ซึ่งทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 3 ครั้ง ได้แก่ แผ่นดินไหวขนาด 7 ริกเตอร์เมื่อ ค.ศ. 1929 แผ่นดินไหวขนาด 8.1 ริกเตอร์ในปี ค.ศ. 1949 (แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศแคนาดา) และแผ่นดินไหวขนาด 7.4 ริกเตอร์ในปี 1970[5]

 

ภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่ในวงแหวนแห่งไฟ เช่น ภูเขาไฟบียาร์รีกา ประเทศชิลี ภูเขาไฟเซนต์เฮเลนส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยเกิดการระเบิดครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 ได้พ่นเถ้าถ่านออกมากว่า 1.2 ลูกบาศก์กิโลเมตร ภูเขาไฟฟุจิ ประเทศญี่ปุ่น ระเบิดครั้งล่าสุดเมื่อ ค.ศ. 1707 ภูเขาไฟพินาตูโบมายอนทาล และคานลายอน ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งภูเขาไฟพินาตูโบเคยเกิดระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1991 ภูเขาไฟแทมโบราเคลูด และเมราปี ในประเทศอินโดนีเซีย ภูเขาไฟลูอาเปทู ประเทศนิวซีแลนด์ และภูเขาไฟเอริบัสทวีปแอนตาร์กติกา

 

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในแนววงแหวนแห่งไฟนี้ เช่น แผ่นดินไหวคาสคาเดีย มีขนาด 9 ริกเตอร์ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1700 แผ่นดินไหวโลมาพรีเอตา ในแคลิฟอร์เนีย แผ่นดินไหวภาคคันโต ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1923 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 130,000 ศพ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในฮันชินในปี 1995 และครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกไว้ คือแผ่นดินไหวเมื่อ ค.ศ. 2004 บริเวณมหาสมุทรอินเดีย ขนาด 9.3 ริกเตอร์ ทำให้เกิดคลื่นสึนามิพัดถล่มบริเวณโดยรอบ โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่ถูกถล่มด้วยคลื่นขนาด 10 เมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 230,000 ศพ

 

ประเทศที่ตั้งหรือมีพื้นที่บางส่วนอยู่ในแนววงแหวนแห่งไฟ ได้แก่ ประเทศเบลีซโบลิเวียบราซิลแคนาดาโคลัมเบียชิลีคอสตาริกาเอกวาดอร์ติมอร์ตะวันออกเอลซัลวาดอร์ไมโครนีเซียฟิจิกัวเตมาลาฮอนดูรัสอินโดนีเซียญี่ปุ่นคิริบาตีเม็กซิโกนิวซีแลนด์นิการากัวปาเลาปาปัวนิวกินีปานามาเปรูฟิลิปปินส์รัสเซียซามัวหมู่เกาะโซโลมอนตองกาตูวาลู และสหรัฐอเมริกา

 

 

 

 

 

 

แก๊สหุงต้ม
 





ชาวบ้านอ่วม!LPGจ่อขึ้น8บาท อารักษ์ ฟุ้งเตรียมพร้อมช่วยเหลือ (ไอเอ็นเอ็น)

กระทรวงพลังงาน ส่งสัญญาณทยอยปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนไตรมาสที่ 4 ชี้ต้องเป็นราคาเดียวกันภายในเมษายนปี 2556 คาดราคาขึ้นกว่า 8 บาทต่อกิโลกรัม



นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมต.พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้เสนอแนวทางลดผลกระทบกับประชาชน จากกรณีราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา โดยให้ทยอยปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เป็นราคาเดียวกันทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในภาคครัวเรือนจะทยอยปรับราคาให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงในไตรมาส 4 ของปี 2555 (กันยายน - ธันวาคม) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจะทยอยปรับในอัตราที่เท่าไหร่ แต่ทั้งนี้กระทรวงพลังงานจะมีมาตรการช่วยเหลือภาคครัวเรือนให้ใช้ราคาเดิม 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555



ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนก่อนถึงไตรมาส 4 กระทรวงพลังงานจะเปิดลงทะเบียนกลุ่มครัวเรือนที่แท้จริงคาดว่าจะมีประมาณ 20 ล้านครัวเรือน เพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาจ่ายชดเชยแทน ในเบื้องต้นได้เตรียมไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนวิธีดำเนินการการนั้นอาจใช้แนวทางการจ่ายเงินเข้าบัญชีประชาชนสำหรับชดเชยราคาแอลพีจีที่ปรับสูงเกินกว่า 18.13 บาทต่อกิโลกรัม


สำหรับในส่วนของกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)รวมถึงผู้ค้าข้าวแกงรถเข็นต่างๆ กระทรวงพลังงานจะพิจารณาให้การช่วยเหลือตามข้อเท็จจริง โดยนำเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานไปช่วยเหลือ พร้อมทั้งให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ต้องอนุรักษ์พลังงานร่วมด้วย หรือหากกลุ่มใดต้องการความช่วยเหลือด้านสินเชื่อ กระทรวงพลังงานจะเป็นตัวกลางเจรจาช่วยเหลือตามความเหมาะสมต่อไป ส่วนในกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกนั้น กระทรวงพลังงานได้เตรียมเงิน 50 ล้านบาท ช่วยเหลือกลุ่มเซรามิกที่เหลืออีก 200 แห่งต่อไป



"ราคาแอลพีจีในภาคอุตสาหกรรมและขนส่งได้ทยอยปรับขึ้นแล้ว แต่ในภาคครัวเรือนจะเริ่มปรับขึ้นไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และจะทยอยขึ้นไปจนถึงราคากลางที่กระทรวงพลังงานกำหนด คือ ราคาที่ไม่ทำให้เกิดการขายข้ามภาค ไม่เกิดการลักลอบไปจำหน่ายต่างประเทศ และสอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) โดยราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนจะไปเท่ากับราคาภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่งในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม ปี 2556 ที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม" นายอารักษ์ กล่าว



สำหรับราคาแอลพีจี ปัจจุบันแบ่งเป็น 3 ราคา คือ ราคาภาคขนส่งอยู่ที่ 20.13 บาทต่อกิโลกรัม ราคาภาคอุตสาหกรรม 30.13 บาทต่อกิโลกรัม และภาคครัวเรือน 18.13 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม หากปรับขึ้นตามราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนให้สะท้อนราคาตลาดโลกที่ปัจจุบัน 884 เหรียญสหรัฐต่อตัน จะทำให้ราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนต้องปรับขึ้นเป็น 26.164 บาทต่อกิโลกรัม หรือปรับขึ้น 8.03 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาปัจจุบัน 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ การปรับขึ้นราคาแอลพีจี สุดท้ายนั้นจะต้องพิจารณาราคาแอลพีจีในตลาดโลกเป็นหลักด้วย



นายอารักษ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปตัวเลขครั้งสุดท้าย โดยจะมีการประชุมอีกครั้งระหว่างผู้ประกอบการ กระทรวงพลังงาน และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เป็นผู้ศึกษาโครงสร้างราคาเอ็นจีวี โดยตนจะเข้าร่วมประชุมเพื่อสรุปผลกันในเร็วๆ นี้ ส่วนมาตรการช่วยเหลือด้านราคาค่าไฟฟ้านั้น นายกรัฐมนตรีจะพิจารณาอีกครั้งในวันนี้ (1 พฤษภาคม) โดยเบื้องต้นจะกำหนดให้ผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ได้เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าฟรี แทนกฎเกณฑ์เดิมที่กำหนดไว้ที่ 90 หน่วยต่อเดือน เนื่องจากพิจารณาแล้วว่าเป็นกลุ่มครัวเรือนที่ยากจนและควรได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริง

 

 

 

 

ที่มา จากเฟชบุ๊คคุณ สมศักดิ รักสนุก

Posted Image

เทคนิคอย่างนึงที่กระทรวงพลังงานของไทย
พยายามอำพรางคนไทยคือเขียนอะไรเพื่อให้เข้าใจอะไรยากๆ
ดูประเด็นที่ผมจับจากร่างสัญญาซื้อขายก๊าชไทย-มาเลย์ดูนะครับจากภาพและจากเว็ป

35,000 BTU = 1 Kg
1,000,000 BTU = 1,000,000 / 35,000 = 28.257 Kg

หมายความว่า ก๊าชที่มาเลย์ซื้อจากไทยในปี 2538
28.257 Kg ขายที่ราคา 2.30 เหรียญสหรัฐ

(ไม่รู้อัตราแลกเปลี่ยนช่วงนั้นจริงๆ เดาว่า 25 บาท/เหรียญ 25*2.3 = 57.5 บาท
คิดก๊าช/กก.
57.5 / 28.257 = 2.012 บาท ผมอาจพลาดเพราะค่าแลกเปลี่ยนเงิน

เพิ่มให้ไปเป็น 2.50 บาท/กก.ไปเลย (นี่ผมช่วยปตท.ไปมากแล้วนะนี่)
สรุปว่าผมประมาณปตท.ขายก๊าชให้ปิโตรนาสของมาเลย์ที่ กก.ละ 2.50 บาท

 

ปัญหามันมีดังนี้ครับ
1. สัญญานี้เป็นสัญญาการซื้อก๊าชธรรมชาติของปตท.
และปิโตรนาสส่งโดยทางท่อ หมายความว่าไทยกับมาเลย์ใช้ก๊าชแหล่งเดียวกัน

แต่ทำไมมาเลย์ไปขายให้ประชาชนของเขาที่กก.ละ 6.50 บาท
แล้วปิโตรนาสของมาเลเซียเขาอยู่ได้
แล้วทำไมราคาก๊าชเอ็นจีวีขณะนี้ `10.50 บาท/กก.

เฮียเพ้งรมต.จึงบอกว่าอยู่ไม่ได้ ต้องขึ้นไปให้ถึง 14.50 บาท

2. ปตท.ขายให้มาเลย์ถูกมาก แล้วทำไมปตท.
จึงไปซื้อก๊าชจากพม่าที่กก.ละ 12 บาทมาให้คนไทยใช้
ทั้งใช้ผลิตไฟฟ้าและใช้กับรถยนต์

สรุปคือ ก๊าชบ่อเดียวกันแหล่งเดียวกัน แต่พอเลี้ยวซ้ายไปมาเลย์

มาเลย์ไปขายต่อให้ประชาชนของตัวเองกก.ละ 6.50 บาทมีกำไร
แต่พอเลี้ยวขวาเข้ามาไทย10.50 บาท/กก.
ปตทบอกขาดทุนต้องขึ้นให้ถึง 14.50 บาท/กก. ปตท.จึงพอจะอยู่ได้


ท่านเชื่อหรือครับว่าพม่าเขาได้ค่าก๊าชที่ 12บาท/กก.
จริงๆหากจริงพม่าก็คงจะเป็นประเทศแรกของโลก
ที่ขายก๊าชธรรมชาติได้ราคาขนาดนี้เพราะที่อเมริกาขาย
ให้ประชาชนไม่เกินกก.ละ 3บาท เรื่องนี้เดี๋ยวมีแฉ

guest

Post : 2012-12-24 21:22:54.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  วันประสูติพระเยซู

 

 

 

                  

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                     

                                                                    การประสูติของพระเยซู

 

คำว่า '"Christmas" ในภาษาอังกฤษ เกิดขึ้นเป็นคำประสมหมายถึง "มิสซาของคริสต์" มาจากคำในภาษาอังกฤษยุคกลาง Christemasse ซึ่งมาจากคำว่า Cristes mæsse ในภาษาอังกฤษโบราณอีกทอดหนึ่ง คำนี้พบครั้งแรกในเอกสารที่บันทึกใน ค.ศ. 1038[2] คำว่า Crīst (แสดงความเป็นเจ้าของ Crīstes) มาจากภาษากรีก Christos ซึ่งเป็นคำแปลของ Māšîaḥ (เมสสิยาห์) ในภาษาฮีบรู และ "mæsse" มาจากภาษาละติน missa คือ การเฉลิมฉลองศีลมหาสนิท รูปแบบ "Christenmas" ยังพบใช้ในอดีตเช่นกัน แต่ปัจจุบันถูกมองว่าโบราณและเฉพาะถิ่น[15] คำดังกล่าวมาจากภาษาอังกฤษยุคกลางว่า Cristenmasse อันมีความหมายตามอักษรว่า "มิสซาคริสเตียน"[16] "Xmas" เป็นการย่อคำว่า คริสต์มาส ส่วนใหญ่พบในสื่อตีพิมพ์ มาจากอักษรตัวแรก Χ ในคำว่า Khrīstos (Χριστός) ภาษากรีก ซึ่งหมายถึง "คริสต์" แม้รูปแบบการเขียนหลายแห่งไม่สนับสนุนการใช้[17] การใช้นี้มีแบบอย่างในภาษาอังกฤษยุคกลาง Χρ̄es masse (โดยที่ "Χρ̄" เป็นการย่อ Χριστός)[16]

 

 

วันที่พระเยซูประสูติจริง ๆ นั้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์คะเนไว้ระหว่าง 2 ปีก่อน ค.ศ. และ ค.ศ. 7 ไม่เป็นที่ทราบ[7] ในช่วงต้นถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 4 ศาสนาคริสต์ตะวันตกกำหนดวันคริสต์มาสครั้งแรกไว้ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งวันที่ดังกล่าวศาสนาคริสต์ทางตะวันออกได้รับไปภายหลัง

 

ตามความเชื่อที่ได้รับความนิยม การประสูติมีขึ้นในคอกม้า ล้อมรอบด้วยสัตว์ในไร่นา แม้ทั้งคอกม้าหรือสัตว์ต่าง ๆ จะมิได้ถูกกล่าวถึงอย่างเจาะจงในบันทึกไบเบิล อย่างไรก็ดี มีการกล่าวถึงรางหญ้าในลูกา 2:7 ซึ่งเขียนไว้ว่า มารีย์ "เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม" การแทนการประสูติของพระเยซูทางประติมาวิทยาช่วงแรกได้วางสัตว์และรางหญ้าไว้ในถ้ำ (ซึ่งตามความเชื่อตั้งอยู่ใต้คริสตจักรการประสูติในเบธเลเฮม) มากกว่าคอกม้า

คนเลี้ยงแกะในทุ่งหญ้าใกล้กับเบธเลเฮมได้รับการบอกเล่าถึงการประสูติโดยทูตสวรรค์ และเป็นคนกลุ่มแรกที่มาพบพระกุมารเยซู[35] ตามความเชื่อที่ได้รับความนิยมยังมีว่า กษัตริย์สามพระองค์หรือนักปราชญ์สามคน คือ เมลชอร์ แคสปาร์ และบัลธาซาร์ ได้เดินทางมาเยี่ยมพระกุมารเยซูในรางหญ้า แม้ความเชื่อนี้จะไม่ตรงตามคัมภีร์ไบเบิลอย่างเคร่งครัดก็ตาม แต่ในพระธรรมมัทธิวเล่าว่า มีผู้วิเศษหรือโหราจารย์มาพบโดยไม่ระบุจำนวน หลังจากที่พระเยซูประสูติแล้ว ขณะที่ครอบครัวอาศัยอยู่ในเรือน(มัทธิว 2:11)และได้ถวายของขวัญเป็นทองคำ,กำยานและมดยอบแก่พระกุมารเยซู แขกผู้มาเยือนนั้นได้รับทราบจากดาวประหลาด ซึ่งมักรู้จักกันในชื่อ ดาวแห่งเบธเลเฮม เชื่อกันว่าดาวนี้ประกาศการประสูติของกษัตริย์แห่งยิว พิธีฉลองการมาเยือนนี้ งานสมโภชการเสด็จมาของพระเยซู เฉลิมฉลองในวันที่ 6 มกราคม และเป็นวันสิ้นสุดเทศกาลคริสต์มาสในบางคริสตจักร

 

 

 

 

 

 

 

 

บุคคลให้ของขวัญตามตำนาน

ดูบทความหลักที่ ซานตาคลอส

มีหลายคนทั้งที่ถือกำเนิดขึ้นตามแบบคริสต์และตามตำนานเกี่ยวข้องกับคริสต์มาสและการ

ให้ของขวัญตามเทศกาล ในบรรดาบุคคลเหล่านี้มี ซานตาคลอส, ปิแอร์ นอแอล (Père

Noël) และไวนัคท์สมันน์ (Weihnachtsmann), นักบุญนิโคลัสหรือซินเทอร์กลาส

(Sinterklaas), คริสต์คินด์ (Christkind), คริส ครินเกิล (Kris Kringle), จูลูปูกี

(Joulupukki), บับโบ นาตาเล (Babbo Natale), นักบุญบาซิล (Saint Basil) และฟา

เธอร์ฟรอสต์

 

บุคคลซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดและรู้จักกันแพร่หลายที่สุดในบรรดาชื่อเหล่านี้ในการเฉลิมฉลอง

สมัยใหม่ทั่วโลกคือ ซานตาคลอส ผู้ให้ของขวัญตามตำนาน แต่งกายชุดแดง โดยที่มานั้น

มีเรื่องเล่าหลากหลาย ชื่อซานตาคลอสสามารถสืบย้อนไปยังคำภาษาดัตช์ว่า ซิ

นเทอร์กลาส ซึ่งมีความหมายอย่างง่ายว่า นักบุญนิโคลัส นิโคลัสเป็นบิชอปแห่งไมรา ใน

ตุรกีปัจจุบัน ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 4 ในบรรดาคุณลักษณะอย่างนักบุญอื่น ๆ เขาถูกจด

จำสำหรับการดูแลเด็ก ความเอื้อเฟื้อและการให้ของขวัญ งานสมโภชเขาในวันที่ 6

ธันวาคมจึงมีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศด้วยการให้ของขวัญ[55]

 

นักบุญนิโคลัสตามประเพณีปรากฏในเครื่องแต่งกายของบิชอป ร่วมกับผู้ช่วยเหลือ สอบ

ถามถึงพฤติกรรมของเด็กในช่วงปีที่ผ่านมาก่อนตัดสินใจว่าพวกเขาสมควรได้รับของขวัญ

หรือไม่ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 นักบุญนิโคลัสเป็นที่รู้จักกันในดีในเนเธอร์แลนด์ และ

การปฏิบัติให้ของขวัญในชื่อของเขาได้แพร่ขยายไปยังส่วนอื่นของยุโรปกลางและใต้ ใน

ห้วงการปฏิรูปศาสนาในยุโรปคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ผู้นับถือโปรแตสแตนท์หลายคน

เปลี่ยนผู้นำของขวัญไปเป็นคริสต์ไชล์ (Christ Child) หรือคริสต์คินล์ (Christkindl) แผลง

ในภาษาอังกฤษเป็นคริส ครินเกิล และวันที่ให้ของขวัญเปลี่ยนจากวันที่ 6 ธันวาคมมาเป็น

วันคริสต์มาสอีฟ[55]

 

 

 
ภาพลักษณ์ซานตาคลอสที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน คือ มีเคราขาว สวมชุดแดง และให้ของขวัญแก่เด็กดี

 

 

 

อย่างไรก็ดี ภาพลักษณ์สมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมของซานตาคลอสนี้ถูกสร้างขึ้นในสหรัฐ

อเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในนิวยอร์ก การเปลี่ยนรูปดังกล่าวประสบความสำเร็จด้วย

ความช่วยเหลือของผู้มีส่วนสำคัญ รวมทั้งนักวาดการ์ตูน โธมัส แนสต์ (ค.ศ. 1840-1902)

หลังสงครามปฏิวัติอเมริกัน ผู้อยู่อาศัยบางคนในนครนิวยอร์กมองหาสัญลักษณ์ของนคร

ในอดีตที่มิใช่อังกฤษ นิวยอร์กแต่เดิมก่อตั้งขึ้นเป็นเมืองอาณานิคมดัตช์ชื่อ นิ

วอัมสเตอร์ดัม และประเพณีซินเทอร์กลาสของดัตช์ได้ถูกนำเสนอใหม่เป็นนักบุญนิโคลัส

 

 

ใน ค.ศ. 1809 สมาคมประวัติศาสตร์นิวยอร์กชุมนุมกันและให้ชื่อแซนค์เตคลอส (Sancte

Claus) เป็นนักบุญผู้ปกปักษ์รักษานิวอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นชื่อดัตช์ของนครนิวยอร์ก อันมี

ผลย้อนหลัง[57] ในภาพลักษณ์อย่างอเมริกันครั้งแรกของเขาใน ค.ศ. 1810 ซานตาคลอส

ถูกวาดในชุดคลุมบิชอป อย่างไรก็ดี เมื่อศิลปินคนใหม่เข้ามา ซานตาคลอสได้พัฒนามา

เป็นเครื่องแต่งกายทางฆราวาสมากขึ้น[58] แนสต์วาดภาพใหม่ของซานตาคลอสทุกปี เริ่ม

ตั้งแต่ ค.ศ. 1863 จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1880 ซานตาของแนสต์ได้พัฒนาไปเป็นสวมชุด

คลุม แต่งกายด้วยชุดเฟอร์ อันเป็นรูปที่คุ้นเคยกันในปัจจุบัน ซึ่งบางทีอาจนำมาจากบุคคล

ฟาเธอร์คริสต์มาสของอังกฤษ รูปดังกล่าวได้รับการสร้างมาตรฐานโดยนักโฆษณาใน

คริสต์ทศวรรษ 1920[59]

 

ฟาเธอร์คริสต์มาส ชายมีเคราผู้ร่าเริงที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีผู้เป็นแบบอย่างจิตวิญญาณ

แห่งของความชื่นชมยินดีในวันคริสต์มาส เกิดขึ้นก่อนตัวละครซานตาคลอส เขาได้รับ

บันทึกครั้งแรกในอังกฤษต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่ยังเกี่ยวข้องกับการทำสนุกและความ

มึนเมาช่วงเทศกาลมากกว่าการนำของขวัญมาให้[45] ในสมัยวิกตอเรีย ภาพลักษณ์ของเ

ขาถูกนำเสนอใหม่ให้ตรงกับของซานตา ปิแอร์ นอแอลของฝรั่งเศสได้วิวัฒนาในแนว

คล้ายกัน จนสุดท้ายได้รับเอาภาพลักษณ์แบบซานตามา ในอิตาลี บับโบ นาตาเลประพฤติ

เฉกเช่นซานตาคลอส ขณะที่ลา เบฟานา (La Befana) เป็นผู้นำของขวัญและมาถึงมาใน

วันก่อนการเสด็จมาของพระเยซู กล่าวกันว่าลา เบฟานาเดินทางมาเพื่อนำของขวัญไปให้

พระกุมารเยซู แต่เกิดหลงระหว่างทาง ปัจจุบัน เธอนำของขวัญมาให้แก่เด็กทุกคน ในบาง

วัฒนธรรม ซานตาคลอสเกี่ยวข้องกับอัศวินรูเพิร์ต (Knecht Ruprecht) หรือปีเตอร์ดำ

(Black Peter) ในเวอร์ชันอื่น พวกเอลฟ์ทำของเล่น ภรรยาของเขาเรียกกันว่า คุณนาย

คลอส

 

มีฝ่ายที่คัดค้านการบรรยายการวิวัฒนาซานตาคลอสเป็นซานตายุคใหม่ของอเมริกัน ซึ่งก็

มีการให้เหตุผลว่า สมาคมนักบุญนิโคลัสนั้นยังไม่ถูกจัดตั้งขึ้นกระทั่ง ค.ศ. 1835 นับเป็น

เวลาเกือบครึ่งศตวรรษหลังสงครามประกาศอิสรภาพสิ้นสุดลง[60] ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษา

"หนังสือเด็ก วารสารและวารสารวิชาการ" ของนิวอัมสเตอร์ดัม โดยชาลส์ โจนส์ ได้เปิด

เผยว่าไม่มีการอ้างถึงนักบุญนิโคลัสหรือซินเทอร์กลาสเลย[61] อย่างไรก็ดี มิใช่นักวิชาการ

ทั้งหมดจะเห็นด้วยกับการค้นพบของโจนส์ ซึ่งเขากล่าวซ้ำอีกครั้งในการศึกษาใน ค.ศ.

1978[62] ฮาวาร์ด จี. แฮเกมัน แห่งโรงเรียนศาสนาเทววิทยานิวบรันสวิก ยังสนับสนุน

ประเพณีการเฉลิมฉลองซินเทอร์กลาสในนิวยอร์กยังมีชีวิตและยังดีอยู่นับแต่การตั้งถิ่นฐาน

แรกเริ่มในฮัดสันวัลเลย์เป็นต้นมา[63]

 

ประเพณีปัจจุบันในหลายประเทศละตินอเมริกา (เช่น เวเนซุเอลาและโคลัมเบีย) ถือว่า

ซานตาเป็นผู้สร้างของเล่น จากนั้นเขาถวายแด่พระกุมารเยซู ซึ่งเป็นผู้ส่งของเล่นมายัง

บ้านของเด็ก ๆ ที่แท้จริง ซึ่งเป็นการผสมผสานความเชื่อทางศาสนาแต่เดิมกับประติมาน

วิทยาของซานตาคลอสซึ่งรับมาจากสหรัฐอเมริกา

 

ในไทรอลใต้ (อิตาลี) ออสเตรียสาธารณรัฐเช็ก เยอรมนีตอนใต้ ฮังการีลิกเตนสไตน์สโล

วาเกียและสวิตเซอร์แลนด์ คริสต์คินด์เป็นผู้นำของขวัญ เด็กชาวกรีกได้รับของขวัญจากนัก

บุญบาซิลในวันสิ้นปี วันก่อนหน้างานสมโภชพิธีกรรมของนักบุญนั้น[64] นักบุญนิโคเลาส์

ของเยอรมันไม่เหมือนกับไวนัคท์สมันน์ (ซึ่งเป็นซานตาคลอส/ฟาเธอร์คริสต์มาสเวอร์ชัน

เยอรมัน) นักบุญนิโคเลาส์สวมเครื่องแต่งกายบิชอปและยังนำของขวัญเล็ก ๆ มาให้ (มัก

เป็นลูกกวาด ถั่วและผลไม้) ในวันที่ 6 ธันวาคม และมาด้วยกันกับอัศวินรูเพิร์ตและผู้ให้ของ

ขวัญคนอื่น บางคนปฏิเสธการปฏิบัตินี้ โดยมองว่าเป็นการสร้างความเข้าใจผิด[65]

 

 

 

 

 

 

[ภาพ: EfTHX0.jpg] 

 

 

 

 

 

 

 

 โถ....คิดว่าถนนในประเทศไทยมาจากเงินภาษีของตระกูลท่านตระกูลเดียวอย่างนั้นหรือไง??​?

ไปถามบ้านท่านดีกว่าพ่อดาราใหญ่ ว่าไปซื้อรถแพงๆทำไมมากมาย เอามาจอดทิ้งเอาไว้
หมู่บ้านเมืองทองธานีแจ้งวัฒนะ ตระกูลพ่อดาราใหญ่จะซื้อทำไมเยอะแยะตั้งหลายหลัง ทั้งๆที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน บ้านเลขที่สวยๆทุกหลังด้วย แต่ละหลังใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม มีปัญญานอนหมดทุกหลังหรือเปล่า?

ที่กรุงเทพฯรถติด มันมีมานานแล้ว และเริ่มมาจากพวกของท่านทำให้เกิดรถติดมาก่อน ไม่ใช่เพิ่งจะมาติดเอาตอนนี้

แม้คนรากหญ้าจะไม่รวยอย่างบรรพบุรุษของพ่อดาราใหญ่ แต่เวลาไปซื้อสินค้าเขาก็เสียภาษี 7 % เท่ากับท่าน ยังไม่เคยออกมาโวยวายหาเรื่องว่าถูกเอาเปรียบเลย แล้วเอ็งจะออกมาบ่นทำโด๊ยอะไรฮ้า

 เขาไม่ได้บังคับซื้อ แค่เป็นทางเลือกสำหรับคนรายได้ธรรมดา คงไม่เหมือนบ้านท่านมั้ง ที่มีรถหลายคันจนเลือกใช้ไม่ถูก

ดาราท่านนี้นี่เคยแม้กระทั่งชกผู้หญิงมาแล้ว และคดีก็เงียบเหมือนเป่าสากไป น่ารังเกียจจริงๆ พวกผู้ดีแปดสาแหรก ทำตัวตีนไม่ติดดิน  สังคมแห่งความดัดจริต

 

 

 

guest

Post : 2012-12-23 19:40:38.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ทำไมเราถึงล้าหลัง

 

  ทำไมไทยเราไปไม่ถึงไหน?

 

จากคุณ สุทธิชัย หยุ่น

ทำไมไทยเราไปไม่ถึงไหน?

 

ผู้หวังดีท่านหนึ่งส่งข้อความมาให้อ่านว่าด้วยเรื่องการ "ปฏิรูป" ประเทศอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

ไม่ใช่แค่คุยโม้โอ้อวดหรือใช้เพียงวาทกรรมให้ฟังดูดี

ผมอ่านแล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง และเชื่อว่าคนไทยไม่น้อยก็ต้องการจะหาทางออกให้บ้านเมือง ในยามที่ใครต่อใครดูเหมือนจะเห็นว่าเรามาถึงทางตันที่ไม่มีใครยอมใคร

ทุกคนฟังแต่สิ่งที่ตนเองอยากได้ยิน ไม่มีใครฟังเสียงใคร ไม่มีใครอยากฟังความเห็นอีกด้านหนึ่ง และใครพูดในสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วย ก็จะพาลหาเรื่องว่าเป็นศัตรูกันเสียอีก

 

ผมจึงดีใจมากที่ได้อ่านข้อความที่เพื่อนคนนี้ส่งมาให้อ่านว่า ความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศด้อยพัฒนานั้น มันอยู่ตรงไหนกันแน่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเคยเสียเอกราชให้ใครในอดีตหรือเปล่า

เขายกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นและเยอรมนี ที่แม้จะแพ้สงครามโลก แต่ก็กลับมายิ่งใหญ่ในเศรษฐกิจโลก ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเก่าแก่ด้วยอารยธรรมหรือไม่ ตัวอย่างเช่น อินเดีย กับ อียิปต์ ซึ่งมีอารยธรรมยาวนานกว่า 3,000 ปี แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจน ไร้ความหวังอยู่

เขายกตัวอย่าง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ว่าเป็นประเทศเล็กๆ ที่เมื่อแค่ 100 ปีก่อนนี้ไม่มีศักยภาพอะไรเลยล้าหลังกว่าไทยแน่นอน

แต่วันนี้เขากลับพัฒนาเป็นประเทศร่ำรวย ก้าวหน้าและมีความมั่นคง

 

 

หรือจะอ้างว่าความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศด้อยพัฒนานั้น อยู่ที่ทรัพยากรของประเทศนั้นๆ หรือเปล่า?ก็เปล่าอีก

ญี่ปุ่น มีพื้นที่เกษตรกรรมน้อยมาก กว่า 80% ของพื้นที่เป็นภูเขา ไม่เหมาะกับการทำการเกษตรเลย แต่เขากลับสร้างตนเองเป็นประเทศส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรอันดับต้นๆ ของโลก

ยกตัวอย่าง สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีอากาศหนาวจัด ปีหนึ่งทำการเกษตรได้เพียง 4 เดือน และไม่มีการทำไร่โกโก้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำช็อกโกแลตส่งออกรายใหญ่ของโลก

อีกทั้งยังนำเอาความซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา และมีระเบียบของคนในสังคมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ จนเป็นที่ยอมรับว่าเขามีธนาคารที่มีมาตรฐานอาชีพที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

หรือความแตกต่างเกิดจากสีผิวและเผ่าพันธุ์...ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ

 

 

แรงงานที่เคยเกียจคร้านในประเทศของตนเอง พอย้ายไปหากินประเทศที่เจริญแล้ว ก็กลับกลายเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็งและมีคุณภาพขึ้นมาทันที เช่นกัน

เพราะว่าบรรยากาศในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะไม่อนุญาตให้ใครขี้เกียจหรือเกาะคนอื่นกินเป็นอันขาด

เขาถึงถามว่า แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนากับประเทศที่ยังล้าหลัง?คำตอบ ไม่ได้อยู่ที่ประวัติศาสตร์หรือทรัพยากรของประเทศนั้นๆ

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่เขาบอกว่าที่ทำให้เกิดความแตกต่างนั้น คือ "ทัศนคติ"

 

 

ทัศนคติที่เกิดจากการหยั่งรากลึกนานปีของระบบการศึกษา และการอบรมปลูกฝังที่กลายเป็น "ค่านิยม" ของคนในสังคมส่วนใหญ่ ที่ต้องยึดมั่นเพื่อสร้างสรรค์สังคมให้แข็งแกร่งบนพื้นฐานแห่งจริยธรรม เขาวิเคราะห์พฤติกรรมของคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็สรุปได้ว่าคนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตบนหลักปรัชญา เช่น

1. ใช้จริยธรรมนำชีวิต2. ความซื่อสัตย์3. ความรักในงาน4. ความรับผิดชอบต่อหน้าที่5. จิตใจมุ่งมั่น สู่ความเป็นที่หนึ่ง6. เคารพต่อกฎระเบียบ7. เคารพสิทธิของผู้อื่น8. ตรงต่อเวลา9. อดออมและสนใจในการลงทุนอย่างมีเหตุมีผล

 

คนไทยเราขาดทัศนคติที่ถูกต้องและเอาจริงเอาจังกับชีวิตอย่างนี้ จึงเหมือนรถไฟสมัยโบราณที่ "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง"

มิหนำซ้ำ ยังมีค่านิยมทางเลวร้ายเกิดขึ้นมา เพราะวัฒนธรรม "บริโภคนิยม" และ "ความมักง่าย"

อะไรที่ได้มายากเย็นหรือต้องทำงานหนัก ก็จะกลายเป็นเรื่องไม่พึงปรารถนา ไม่มีใครอยากทำ

ด้วยความมักง่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่งนี่เอง เราก็เริ่มจะได้ยินว่าเด็กไทยสมัยนี้เห็นความซื่อสัตย์และเสียสละ เป็นคุณสมบัติที่ไม่มีความหมาย และไร้ความสำคัญ

ถึงขั้นที่การสำรวจวิจัยหลายสำนักยืนยันตรงกันอย่างน่าตกใจ ว่า คนรุ่นใหม่เห็นว่านักการเมืองหรือข้าราชการหรือนักธุรกิจนั้น สามารถฉ้อราษฎร์บังหลวง และกระทำการเข้าข่ายคอร์รัปชันได้ ตราบใดที่ทำแล้วมีคนเห็นว่าเก่ง หรือสามารถจะสนองตอบเป้าหมายทางวัตถุได้

 

นี่คือ สัญญาณอันตรายอย่างยิ่งของสังคมไทย ที่ "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" เห็นการทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม ผิดหลักจริยธรรมเป็นเรื่องธรรมดา ที่ "ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น"ดังนั้น หากวันนี้มีใครบ่นให้คุณฟังว่าบ้านเมืองเราทำไมจึงล้าหลัง ทำไมไม่สามารถเอาตัวเองออกจากความขัดแย้ง ทำไมยังมีความยากจนอย่างกว้างขวาง ทำไมความเหลื่อมล้ำในสังคมยังมีให้เห็นกันมากมาย

ก็ต้องตอบกันตรงๆ ว่า เพราะเราหลงเข้าใจผิดว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เรามีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เรามีความโอบอ้อมอารี เรา (คิดว่าเรา) เป็นพุทธศาสนิกชน ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็จะต้องช่วยให้เราพัฒนาโดยอัตโนมัติ

เผลอๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ถ้าเราเชื่อว่ามีจริง) ก็อาจจะย้อนถามเราได้ว่า "คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?"อาจจะเพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่เราอ้างว่าเรามีนั่นแหละ ที่เป็นสาเหตุแห่งความด้อยพัฒนาของเรา

จึงต้องไม่ลืมที่ "ขงจื๊อ" เคยกล่าวไว้ว่า"หากเจ้าวางแผนไว้ 1 ปี...จงปลูกข้าวหากวางแผน 10 ปี...จงปลูกต้นไม้หากวางแผน 100 ปี...จงให้ความรู้แก่บุตรหลาน"

ทุกวันนี้คนไทยไม่น้อยที่คิดว่าทำงานแค่ 1 ปี แต่จะขอให้มีผลงานยืนยาวถึง 100 ปีฝันไปหรือเปล่า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พรรคการเมืองในบ้านเราในอดีตที่ผ่านมา
ด้วยความเป็นนักกฏหมายมากกว่านักธุรกิจ การคิดนโยบายแบบซับซ้อนเพื่อให้ประเทศชาติเกิดความเจริญก้าวหน้าจึงไม่มี พวกก็เลยนิยมใช้วิธีลอกแผนการบริหาร ที่ราชการทำไว้แล้ว แล้วก็มาแต่งเติมด้วยการไล่แจกเพื่อเรียกคะแนนนิยมแบบง่าย ๆ ....เขาทำกันได้เพียงแค่นี้..... ด้วยเวลากว่า 60 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองจึงไม่เดินไปถึงไหน

ต่อเมื่อมีนักธุรกิจอาสา ก้าวเข้ามาทำงานการเมือง นโยบายแบบเป็นรูปธรรมจึงเริ่มมีขึ้น
แล้วนักการเมืองเก่าแก่ที่ชินกับการไม่มีนโยบายของตนเอง จะเอาอะไรไปสู้......เขาก็ต้องเลือกใช้วิธีที่ง่ายที่สุดคือ "ปาก" ถ่มน้ำลายรดคู่ต่อสู้ไปวัน ๆ ....เป็นวิธีที่่ง่ายที่สุดสำหรับการลดความสำคัญของคู่ต่อสู้ทางการเมือง .... ซึ่งเห็นว่าเหมาะกับสังคมคนไทยในยุคนี้ที่ไม่ชอบค้นหาข้อเท็จจริง ชอบฟังเรื่องประโลมโลกที่ใส่สีเสกสรรสร้างตัวร้ายเหมือนนิยายน้ำเน่าที่ยังขายได้และมีคนดูตั้งแต่นายจ้างยันแจ๋วในบ้านจนถึงในตลาดสด

หากสังคมยังไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตจากแนว
เดิม ๆ เชื่อเถอะคนอย่างมาร์คและกรณ์ ยังก็ขายได้

 

 

 

เรื่องกล่าวหาที่อยู่ระหว่างดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง
เลขรับ /วันที่รับเรื่อง : เลขรับที่ 27825 รับวันที่ (29/03/2554)
เลขดำที่ : 54331658, 52631820, 54630201
ข้อมูลผู้ถูกกล่าวหา : นางพรทิวา นาคาศัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารและคณะทำงานเพื่อดำเนินการเปิดประมูลระบายข้าวสารในสต๊อครัฐบาล - ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ - ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี
รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) - ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายมนัส สร้อยพลอย
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะทำงานระบายข้าวสาร กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
พฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหา: ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีเอื้อประโยชน์ในการประมูลข้าวของกระทรวงพาณิชย์ (ข้าวเจ้า) กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานร่วมกันอนุมัติให้ความเห็นชอบขายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดมาก เอื้อประโยชน์ให้บ
ครั้งที่มีมติ : คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ 278-25/2554
วันที่มีมติ : 29/03/2554
ขั้นตอนการดำเนินการปัจจุบัน : กรณีทุจริต ไต่สวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน
รายละเอียดขั้นตอนการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ดำเนินการ
การดำเนินการ
ขั้นตอนการไต่สวนข้อเท็จจริง
มีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบการที่คณะกรรมการป.ป.ช.เป็นองค์คณะไต่สวนและประชุมไต่สวนนัดแรก กำหนดแนวทางไต่สวน
 
สรุปสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
 
เสนอสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา
 
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ
ไต่สวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน
 
พิจารณาพยานหลักฐานที่รวบรวมได้
 
แจ้งข้อกล่าวหา
 
ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
 
รวบรวมพยานหลักฐานที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างหรือพยานหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติม
 
สรุปสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง
 
เสนอคณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง
 
ไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
 

 

 

 
 

 

 

 
 

 

vv

 
 

 

 
 

 

 

 

 

 
 

 

 
 

 

 

 
 

 

 

guest

Post : 2012-12-22 19:37:58.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  มันอยู่ที่ใจ

 

          ฮือฮา! สื่อนอกตีข่าวหนุ่มอังกฤษสุดมุ่งมั่นลดความอ้วนกว่า 100 กก.

               หลังฝึกมวยไทยที่ “ภูเก็ต” แม้หมอเคยบอกจะตายใน 5 ปี

 

 

   

 

 

 

 

 

 



 


 

 

 เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - สื่อต่างประเทศรายงาน “เจมส์ เมสัน” หนุ่มเมืองผู้ดี สามารถลดความอ้วนได้กว่า 100 กิโลกรัม หลังเดินทางมาฝึก “มวยไทย” ที่จังหวัดภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวชื่อดังทางภาคใต้ของไทยไม่ถึงปี

รายงานข่าวซึ่งมีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “เดลีเมล์” ของอังกฤษ รวมถึงสื่ออีกหลายสำนักในยุโรป ระบุว่า เจมส์ เมสัน หนุ่มวัย 27 ปี จากแคว้นเอสเซกส์ ซึ่งเป็นโรคอ้วนขั้นร้ายแรง เดินทางมายังจังหวัดภูเก็ตเมื่อ 9 เดือนก่อน และตัดสินใจสมัครเรียนมวยไทยที่ค่าย “ไทเกอร์” เพื่อต้องการ
ลดความอ้วน หลังจากเมื่อปีที่แล้วแพทย์ที่อังกฤษลงความเห็นว่า เมสันที่มีน้ำหนักถึง 250 กิโลกรัมจะต้องทนทุกข์กับปัญหาสุขภาพร้ายแรงหลายอย่าง และจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี

รายงานข่าวระบุว่า เมสันตั้งใจฝึกมวยไทยอย่างจริงจังเพื่อรักษาชีวิตไม่ให้เป็นไปตามคำพูดหมอ สามารถ
ลดความอ้วนจนเหลือ 147 กิโลกรัม ภายในเวลาเพียง 9 เดือน

เมสันซึ่งเคยประกอบอาชีพเป็นเซลส์ขายรถยนต์ระบุ น้ำหนักตัวของเขาเป็นผลมาจากวิถีชีวิตแบบไม่ใส่ใจสุขภาพสมัยอยู่ที่อังกฤษ โดยเขามักรับประทานอาหารเต็มไปด้วยไขมัน ของทอด และรับประทานพร่ำเพรื่อไม่เป็นเวลา จนส่งผลให้เขามีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง รวมถึงอาการหายใจติดขัด และขาบวม

หนุ่มเมืองผู้ดีรายนี้ยอมรับว่า ในวินาทีที่เขาเริ่มตระหนักว่าตนเองอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เขาก็เริ่มค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต จนได้รู้จักกับค่ายมวยไทย “ไทเกอร์” ที่จังหวัดภูเก็ต จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำและเดินทางมาประเทศไทยทันที ทั้งที่สภาพร่างกายในขณะนั้นย่ำแย่ถึงขั้นแทบก้าวขาเดินไม่ได้

อย่างไรก็ดี กว่าที่เมสันจะสามารถ
ลดความอ้วน
ได้ เขาต้องเผชิญอุปสรรคหลายประการ รวมถึงการล้มป่วยจากการถูกเชื้อจุลินทรีย์กัดกินร่างกาย, การต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลของไทยนานกว่า 3 เดือน และต้องกลับไปพักฟื้นร่างกายที่อังกฤษกว่าครึ่งปี ก่อนจะได้กลับมาฝึกมวยไทยอย่างจริงจังที่ภูเก็ต

หลังจากเข้ามาอยู่ที่ค่ายมวยไทยดังกล่าว เมสันต้องออกกำลังกายด้วยการวิ่งเป็นระยะทางถึง 10 กิโลเมตรทุกวันในตอนเช้า และต้องรับประทานข้าวซ้อมมือ รวมถึงอาหารที่เน้นผักและผลไม้เป็นหลัก ตลอดจนต้องฝึกการต่อสู้ด้วยมวยไทยนาน 3-4 ชั่วโมงต่อวัน

ด้านวิลล์ เอลเลียต ผู้อำนวยการของค่ายไทเกอร์ ออกมายอมรับว่า ความมุ่งมั่นและผลสำเร็จของเมสันถือเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอย่างเหลือเชื่อ และเรื่องราวของเมสันยังถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายคนในการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิต

รายงานข่าวระบุว่า พ่อแม่และเพื่อนๆ ของเมสันต่างตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อเขากลับไปเยี่ยมบ้านที่อังกฤษ โดยหลายคนถึงขั้นเดินสวนโดยจำไม่ได้ว่าเขาคือใคร

ทั้งนี้ เมสันซึ่งเพิ่งเดินทางกลับไปฉลองคริสต์มาสที่บ้านเกิด ประกาศจะกลับมายังประเทศไทยอีกเพื่อปั่นจักรยานระยะทางไกลหลายร้อยกิโลเมตรจากภูเก็ตมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ ในเดือนมกราคมปีหน้า เพื่อระดมเงินบริจาคช่วยเหลือเด็กพิการในประเทศไทย

“ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะมวยไทย และกำลังใจมหาศาลที่ผมได้รับจากคนไทยหลายคน ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมต้องทำอะไรบางอย่างให้แก่แผ่นดินไทยบ้าง” เมสันกล่าว

 

 

                                                             พายุสุริยะ

 

ปรากฏการณ์ "พายุสุริยะ" คือปรากฎการณ์ที่ทำให้ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานประจุไฟฟ้าออกมายังโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ซึ่งประจุไฟฟ้าที่ ส่งออกมาคือสิ่งที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของ "ภูมิอากาศ" และ "ระบบธรณีวิทยา" บนโลก
แล้วปรากฏการณ์พายุสุริยะเกิดขึ้นได้อย่างไร !
การจะเกิดพายุสุริยะได้ต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ
1) ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว
2) เกิดปรากฏการณ์เรียงตัวกันเป็นระนาบในทางช้างเผือก และ
3) มีรังสีคอสมิก

จากข้อมูลขององค์การนาซ่าแห่งสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเจ้าพ่อใหญ่แห่งวงการอวกาศโลก ชี้แจงว่าทุกๆ 11 ปี ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะกลับหัวกลับหางจากเหนือเป็นใต้ เป็นเหตุให้ "จุดดับ" บนผิวดวงอาทิตย์ออกฤทธิ์เปล่งพลังงานมหาศาลออกมาในอวกาศในลักษณะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก่อให้เกิดรังสีต่างๆได้แก่ รังสีแกมม่า และรังสีเอ็กเรย์ ซึ่งมีผลต่อโลกในสามระดับ กล่าวคือ

1.ระดับรุนแรงที่สุด (X-Class) ทำให้คลื่นวิทยุสื่อสารล้มเหลวทั้งโลกเป็นเวลานาน อุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้การติดต่อผ่านดาวเทียมและระบบคอมพิวเตอร์จะเข้าสู่ภาวะ Blackout เรียกง่ายๆว่าระบบอิเล็กโทรนิคทั้งหลายเป็นใบ้สิ้นเชิง เราๆท่านๆที่ฝากวิถีชีวิตไว้กับโลก "ออนไลน์" คงต้องทำใจกลับไปสู่ยุคไปรษณีย์จดหมายธรรมดา นักบินมือหนึ่งที่เคยชินกับการนำร่องโดยระบบคอมพิวเตอร์และจีพีเอส ก็คงต้องหันกลับมาบังคับเครื่องแบบ "ตาดู หูฟัง" ท่านที่นิยมทำธุรกรรมออนไลน์คงต้องกลับมาสู่ระบบส่งดร๊าฟทางไปรษณีย์ และที่แน่ๆการประมูลโครงก่อสร้างระดับบิ๊กๆมหาโปรเจคหมื่นล้านที่กระทรวงการคลังคุยนักคุยหนาว่า "อี อ๊อกชั่น" คงต้องกลับมาใช้วิธียื่นซองเหมือนเดิม ส่วนบรรดาผู้มีรสนิยมไฮโซชอบเล่น 3G 4G และ Facebook คงต้องระงับความอยากไว้ชั่วคราว

2.ระดับปานกลาง (m-class) เป็นอาการเดียวกับข้อแรกแต่เกิดแบบชั่วคราว เราๆท่านๆที่เป็นนักออนไลน์ และฝากชีวิตไว้กับสื่ออิเลคโทรนิค ต้องยุติความทันสมัยชั่วคราวคงไม่ถึงกับลงแดง

3. ระดับอ่อน (c-class) ไม่มีผลอะไรเลย แบบที่วัยรุ่นเรียกว่า "ชิว ชิว"

ขณะเดียวกัน เมื่อปี 2551 องค์การนาซาได้ตรวจพบ "รูรั่ว" ในสนามแม่เหล็กโลกที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เคยคาดไว้ และยังพบชั้นบรรยากาศของโลกที่หดตัวลงมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้เปรียบเสมือนสิ่งที่เป็นเกราะป้องกันรังสีจากนอกโลกไว้
ประเด็นคือยิ่งปริมาณ "รังสีคอสมิก" เข้ามามากเท่าไหร่ จะเกิดความแปรปรวนของภูมิอากาศในโลก จะมีน้ำก่อตัวมากขึ้น ที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อปี 1978 มีนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสท่านหนึ่งเคยคาดการณ์ล่วงหน้าว่า ในช่วงเร็ว ๆ นี้ระบบสุริยะที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าสู่กลุ่มก๊าซขนาดใหญ่ในอวกาศ ทำให้มี "รังสีคอสมิก" เข้ามาในระบบสุริยะมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศบนดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะ

สมมติฐานนี้ได้ถูกคอนเฟิร์มแล้ว เมื่อปี 2009 จากข้อมูลของดาวเทียม voyager 1 และ 2 ของนาซาที่โคจรอยู่บริเวณขอบของระบบสุริยะ จึงตั้งข้อสังเกตว่า หลายประเทศ ทั่วโลกที่กำลังมีความเคลื่อนไหว อาทิ พม่าย้ายเมืองหลวงไปที่เนปิเดา ห่างชาย ฝั่งทะเล 400 กิโลเมตร เนเธอร์แลนด์สร้างบ้านลอยน้ำ อเมริกากำลังสร้างเมืองลอยน้ำ นอรเวย์ย้ายฐานทัพทหารลงใต้ดิน รัสเซียกำลัง สร้างฐานทัพและหลุมหลบภัยใต้ดิน 5 พันแห่ง ฯลฯ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ !

สัญญาณบอกเหตุ 1-3 วัน
ย้อนกลับมาดูผลศึกษาเหตุการณ์ในอดีต พบว่าเมื่อปี 1859 พายุสุริยะเคยเกิดขึ้นทำให้ระบบสายส่งโทรเลขขัดข้อง มีเจ้าหน้าที่ถูกไฟฟ้าชอร์ตเพราะพลังงานเหล่านี้ถูกส่งผ่านจากชั้นบรรยากาศ

ถัดมายุคปัจจุบัน เริ่มจากวิกฤตอุทกภัยในภาคกลางของประเทศไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าเมื่อ วันที่ 22 กันยายน 2554 ได้เกิดพายุสุริยะขึ้น เป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์มีการระเบิดอย่างรุนแรง โดยหน่วยงาน spaceweather.com ของสหรัฐทำนายว่า ในวันที่ 26 กันยายน จะเกิดประจุไฟฟ้ามาตกกระทบที่ขอบโลก ด้านนอก และตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน ปริมาณน้ำก็เพิ่มขึ้นมากและเกิดน้ำท่วมต่อมา และในวันเดียวกันที่ประเทศสเปนยังมีภูเขาไฟระเบิดอีกด้วย

ล่าสุดกับ "น้ำท่วมภาคใต้" ปรากฏว่าตรวจพบพายุสุริยะเมื่อ 26 ธันวาคม จากนั้น 28 ธันวาคม 2554 เกิดฝนตกหนัก และวันที่ 30-31 ธันวาคม 2554 น้ำก็ท่วม ส่วนการเกิดคลื่นสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ปีที่ผ่านมา ก็ตรวจพบดวงอาทิตย์มีการระเบิดอย่างรุนแรง ทำให้ "จุดดับ" บนดวงอาทิตย์เกิดการหดหรือขยายตัว จึงมีการตั้งข้อสังเกต หากจุดดับบนดวงอาทิตย์หดหรือขยายตัว จะสัมพันธ์กับการเกิดแผ่นดินไหวบนโลก นั่นหมายความว่า ก่อนจะเกิดปรากฏการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ จะมีพายุสุริยะหรือการระเบิดของดวงอาทิตย์เกิดขึ้นก่อน เฉลี่ย 1-3 วัน

ระหว่างปี 2012-2015 ยังมีโอกาสที่ดวงอาทิตย์จะเกิดปฏิกิริยาพายุสุริยะได้ตลอด แต่ ไม่ขอฟันธงว่า ภัยพิบัติธรรมชาติจะเกิดขึ้นในเมืองไทยหรือประเทศอื่น แต่เชื่อว่าแนวโน้มสภาพอากาศ แปรปรวน ปัญหาน้ำท่วมยังคงมีอยู่ และมีโอกาสจะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม หลังจากปี 2015 ความถี่การเกิดพายุสุริยะจะลดลง จนกว่าจะผ่านไปอีก 11 ปี ที่วงรอบการเกิดพายุสุริยะถี่จะกลับมา ระหว่างนี้ คนไทยจึงไม่ควรประมาทกับภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้น "สำหรับประเทศไทย ปัญหาน้ำท่วม บอกไม่ได้ ว่าเกิดที่ไหน รุนแรงเท่าใด แต่ความเสี่ยงยังมีอยู่ ช่วงระหว่างปี 2012-2015 เมื่อคำนวณจากปรากฏการณ์พายุสุริยะ"

 

 

 

ส.ส.นราฯจวกรัฐอ่อนแอ ปล่อยเผา อบต.กลางวันแสกๆ

 
 
Pic_314911

 

 

 

'เจะอามิง' จวกยับอำนาจรัฐอ่อนแอ ปล่อยให้โจรใต้บุกเผา อบต.บาเจาะ วอดทั้งหลังกลางวันแสกๆ ปัญหาใหญ่ที่ควรแก้เพื่อประชาชน แต่ดันให้ความสำคัญกับการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อคนๆ เดียวมากกว่า...

 

วันที่ 21 ธ.ค.55 นายเจ๊ะอามิง โต๊ะตาหยง ส.ส.จังหวัดนราธิวาส พรรค ปชป. ไปตรวจที่เกิดเหตุและดูซากอาคาร อบต.บาเจาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ที่ถูกโจรใต้บุกเผาวอดทั้งหลังกลางวันแสกๆ เหตุเกิดเมื่อวานนี้ พร้อมกล่าวว่า เหตุที่โจรใต้ 7 คน บุกเข้าไปข่มขู่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ อบต. 13 คน และถามหาข้าราชการชาวไทยพุทธ คล้ายต้องการฆ่าทิ้ง โชคดีที่ลาหยุดไม่มาทำงาน จากนั้นคนร้ายได้ทำการเผาอาคาร อบต.วอดทั้งหลังตอนเที่ยงวัน แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของอำนาจรัฐ และเมื่อย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในระยะนี้ เป็นการสะท้อนถึงความอ่อนแอที่สุดของการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่

 

แม้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะเกิดจากสถานการณ์ความไม่สงบ หรือเป็นการทำลายหลักฐานของทางราชการเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มที่ต้องรอการพิสูจน์ แต่จากเหตุที่เกิดขึ้นในเวลากลางวัน ในขณะที่หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงก็ยังคงปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ แต่เหตุใดจึงปล่อยให้เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นได้ และจากการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวชาวบ้านได้แสดงความหวาดกลัวจนไม่สามารถดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามปกติสุข เนื่องจากไม่มั่นใจว่าเหตุร้ายจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจะเกิดขึ้นกับตนเองเมื่อใด

 

ทั้งนี้นายเจ๊ะอามิง โต๊ะตาหยง เชื่อว่าความรุนแรงของสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในขณะนี้ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบพยายามท้าทายอำนาจรัฐด้วยวิธีการต่างๆ เนื่องจากเห็นว่ากลไกของรัฐไม่ได้มีความพร้อมในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแท้จริง อีกทั้งยังหวังให้มวลชนหวาดกลัวจนไม่กล้าให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้นจะสร้างบาดแผลที่รุนแรงในระยะยาว หากภาครัฐโดยเฉพาะรัฐบาลไม่พยายามขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุกในการแก้ปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบ ทั้งงานในเชิงจิตวิทยามวลชนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน รวมถึงการตรวจสอบเชิงลึกว่าขณะนี้เราต่อสู้อยู่กับใคร เพื่อผลประโยชน์อะไร

 

การควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบไม่ให้มีการขยายวงกว้างจากการทำร้ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ประชาชนผู้บริสุทธิ์ มาถึงข้าราชการครู และขณะนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุดก็ยังถูกรังแก ซึ่งในขณะที่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีสภาพจิตใจย่ำแย่อย่างหนักจากความหวาดกลัวไฟใต้ แต่รัฐบาลกลับเอาจริงเอาจังกับการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ให้กับบุคคลเพียงคนเดียว สิ่งที่ดำเนินการอยู่นี้เรียกว่าเป็นความชอบธรรมหรือไม่ในการบริหารประเทศ ที่ต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชนทั้งประเทศอย่างทั่วถึงเป็นหลัก.

guest

Post : 2012-12-20 22:11:46.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เมตตาธรรม

 

 

                           

 

                           เมตตาธรรม

 

ธรรมดาน้ำ" เมื่อถูกต้อง "คนดีและคนเลว" ย่อมเสมอกันด้วยความเย็น ชำระล้างมลทินคือความสกปรกได้เสมอกัน ฉันใด จงแผ่เมตตาไปให้เสมอกัน ในสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีความเกื้อกูลคือผู้ที่เป็นมิตรกัน และไม่มีความเกื้อกูลคือเป็นศัตรูกัน ฉันนั้น

เมตตา หมายถึง ความรัก ความปรารถนาดี ที่ไม่เจือด้วยราคะ ปรารถนาความสุขความเจริญต่อผู้อื่น เป็นภาวะของจิตที่มีเยื่อใยไมตรี ปราศจากความอาฆาตพยาบาทโกรธเคือง

เมตตา แสดงทางกายด้วยกิริยางดงาม ใบหน้าสายตาแช่มชื่น แสดงออกทางวาจาด้วยถ้อยคำไพเราะ น่ารัก น่าสนทนา น่าฟัง แสดงถึงดวงจิตที่เอิบอิ่มเต็มไปด้วยความปรารถนาดี เมตตาธรรมที่มีอยู่ในจิตใจ ทำให้เยือกเย็นสงบ มีความสุข หากใจขาดเมตตาธรรม จะมีแต่ความเดือดร้อน ทำให้เกิดความคิดโกรธแค้นขัดเคือง ความคิดมุ่งร้ายเบียดเบียน ริษยา สะสมบ่มความทุกข์อยู่ในใจ

เมตตา เป็นธรรมข้อแรกในพรหมวิหารธรรม คือ เป็นคุณธรรมของบิดามารดาหรือผู้ใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่คณะ ผู้มีเมตตาเป็นคุณธรรมเป็นเหมือนพระพรหมผู้มีเมตตาต่อสรรพสัตว์

เมตตา เป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในใจของเราทุกคน นอกจากตนเองจะมีเมตตาอยู่แล้วยังต้องการจะได้รับเมตตาจากผู้อื่นอีก คือปรารถนาดีต่อผู้อื่นแล้ว ต้องให้ผู้อื่นมีความรักความปรารถนาดีต่อตนเองบ้าง ผู้มีเมตตาจึงควรแผ่เมตตาไปยังผู้อื่นสัตว์อื่นอยู่เสมอ ๆ วิธีแผ่เมตตาคือการมองโลกในแง่ดี เหมือนมารดาบิดารักเอ็นดูบุตรธิดาของตน หรือนึกถึงตัวเองว่าเรารักสุขเกลียดทุกข์ ฉันใด ผู้อื่น สัตว์อื่น รักสุขเกลียดทุกข์ ฉันนั้น ดังคำที่ว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือใจเขาใจเรา เมื่อนึกอยู่เช่นนี้เมตตาจะมีมากขึ้น ความสุขความสงบจะเกิดขึ้น ระงับความเดือดร้อนความโกรธเคืองได้

การแผ่เมตตามี 2 อย่าง คือ แผ่เมตตาโดยเจาะจงผู้ที่อยู่ใกล้ชิดอย่างหนึ่ง แผ่เมตตาออกไปยังคนและสัตว์กว้างออกไปอย่างไม่มีประมาณจำกัดอย่างหนึ่ง การแผ่เมตตามิใช่เฉพาะตนและคนซึ่งเป็นที่รัก หรือเฉพาะหมู่คณะของตนเท่านั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้แผ่เมตตากว้างออกไป เปรียบเหมือนน้ำที่จะดับไฟที่เผาใจ เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรด้วยเมพึงแผ่เมตตาออกไปทุกทิศ ปรับจิตให้ปราศจากพยาบาทจองเวร เมื่อทุกคนมีเมตตาต่อกัน ย่อมจะอยู่กันอย่างมีความสุข ความเจริญ โลกร่มเย็นได้ เพราะเมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก

บุคคลผู้ปรารถนาความรักและความร่มเย็นเป็นสุข จึงควรเจริญเมตตาให้เกิดขึ้นด้วยวิธีที่ว่า ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข ไม่มีความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความลำบาก ไม่มีความเดือดร้อนขอให้มีความสุข รักษาตนให้พ้นภัยเถิด แผ่เมตตาให้กว้างออกไปในสรรพสัตว์ด้วยวิธีที่ว่า ขอให้สรรพสัตว์ จงมีความสุข ไม่มีความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความลำบาก ไม่มีความเดือดร้อน ขอให้มีความสุข รักษาตนให้พ้นภัยเถิด

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสอานิสงส์แห่งการเจริญเมตตาไว้ 11 ประการ คือ
1. นอนหลับมีความสุข
2. ตื่นอยู่มีความสุข
3. นอนหลับไม่ฝันร้าย
4. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
5. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
6. เทวดารักษา
7. ไม่มีอันตราย เพราะ ไฟ ยาพิษ หรือศัตราวุธ
8. จิตมีสมาธิตั้งมั่นเร็ว
9. สีหน้าผ่องใส
10. ไม่หลงในขณะใกล้เสียชีวิต
11. เมื่อยังไม่บรรลุธรรมอันสูงยิ่ง ย่อมเกิดในพรหมโลก


++ พระราชสุธี (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
 
จำนำข้าวทำพิษ! ปิดตำนานข้าวถุง มาบุญครอง
 
 
ข้าวถุงยี่ห้อมาบุญครอง ประกาศเลิกขาย หลังเจอพิษนโยบายรับจำนำข้าว ผู้บริหารเล็งขายธุรกิจข้าวให้ผู้สนใจ หันทำศูนย์การค้าและอสังหาฯ เต็มตัว

 

หลังจากผลิตและจำหน่ายข้าวสารถุงยี่ห้อ "มาบุญครอง" มายาวนานกว่า 30 ปี โดยเป็นยี่ห้อข้าวถุงที่ติดตลาดเป็นอย่างมาก ด้วยสโลแกน "สะอาดทุกถุง หุงขึ้นหม้อ" แต่ในวันนี้กลับถึงเวลาที่ข้าวถุงมาบุญครองจะปิดฉากลง

 

โดย นายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม บี เค ในฐานะผู้บริหารศูนย์การค้าเอ็มบีเค ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ และผู้บริหารกิจการข้าวถุงมาบุญครอง เปิดเผยว่า ทางบริษัทกำลังต้องการขายกิจการข้าวถุงมาบุญครอง เนื่องจากในปัจจุบันมีผลกำไรลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยจากเดิมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทเคยมีผลกำไรสูงสุดอยู่ที่ 10% แต่ปัจจุบันมีกำไรเพียง 2-3% เท่านั้น
 
 
ทั้งนี้ ผู้บริหารยอมรับว่า นโยบายรับจำนำข้าวก็มีส่วนทำให้เกิดผลกระทบต่อราคาข้าวในประเทศ และมีส่วนในผลประกอบการที่ลดลง อีกทั้งธุรกิจข้าวยังมีการแข่งขันค่อนข้างสูง จึงทำให้ต้องขายกิจการข้าวและหันไปเน้นที่ธุรกิจหลักของบริษัทแทน นั่นคือ ศูนย์การค้ามาบุญครอง, ศูนย์การค้าเดอะไนน์ พระราม 9 รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจไฟแนนซ์ และอื่น ๆ แทน
 
 
 
 ถ้าจำนำข้าวพ่นพิษ มันต้องเจ๊งทุกยี่ห้อสิ ปัญหาคือชาวบ้านเขาฉลาดเลือก มีหลายยี่ห้อที่คุณภาพเท่ากัน แต่ราคาถูกกว่า เขาเลยไปกินยี่ห้ออื่นเท่านั้นแหละ
 
 

มาบุญครอง กำลังรื้อโรงสีข้าว ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงปากเกร็ด ปทุมธานีเพื่อทำมารีน่า และ โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ กำไร มากกว่าสีข้าวขาย และ ทำ สนามกอฟล์เสร็จไป สองสามปีแล้ว ไม่เกี่ยวใด ๆ กับการรับจำนำข้าวใดๆเลย ครับ

 

"คุณรวยจากกิจการข้าวนี้มาากแล้ว ตอนนี้กำไรจากธุรกิจที่ทำมา คุณจะไม่ได้เป็นกอบเป็นกำ อย่างแต่ก่อน ...

คุณจึงคิดที่จะเบนเข็มไปทำธุรกิจอย่างอื่นแทน แทนที่คุณจะยอมรับว่าถึงมันจะกำไรลดลงแต่คุณก็มีความชำนาญ...

และมีตลาดเป็นของตัวเองอยู่แล้ว พอจะลำบากขึ้นมาสักหน่อย คุณก็ไม่คิดที่จะช่วยเหลือชาวนาที่ทำกำไรให้กับคุณ...

จนร่ำรวยมหาศาลมาจนทุกวันนี้...คุณนี่มัน ยอด.....(เห็นแก่ตัว)......เลยจริงๆ!!!"...

guest

Post : 2012-12-19 20:58:31.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ไถต่างด้าว...

 

                 

                               แท็กซี่รับผู้โดยสารต่างด้าวแล้วถูกตำรวจจับ

 

                           

(บทความจาก ทนายคลายทุกข์)

รายการทนายคลายทุกข์ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเพื่อนสมาชิกแท็กซี่หลายคนว่า ได้รับผู้โดยสารย่านชานเมืองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น แถวรังสิต มหาชัย ปากน้ำ นครปฐม เป็นต้น

 

ส่วนใหญ่เป็นคนงาน เขมร ลาว พม่า แท็กซี่ก็ไม่ทราบว่าคนเหล่านี้เข้าเมืองโดยถูกกฎหมายหรือไม่ หรือมีใบอนุญาตทำงานหรือไม่ หรือเดินทางออกนอกเขตที่ทางราชการกำหนดหรือไม่

 

 

 

 

 

 

ในทางปฏิบัติเมื่อตำรวจเรียกรับแล้ว มีตำรวจบางคนรีดไถเงินกับแท็กซี่ ครั้งละ 50,000 บาท เป็นอย่างต่ำ ถ้าไม่ยอมจ่ายก็จะจับตัวเข้าห้องขังและส่งฟ้องศาล โดยแจ้งข้อหาตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 ซึ่งบัญญัติผู้ใดนำหรือพา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้ใดให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักร โดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้เข้ามาพักอาศัย โดยสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักร โดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าตนไม่รู้โดยได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำเพื่อช่วยบิดา มารดา บุตร สามี หรือภริยาของผู้กระทำ ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้

 

 

 

ผมเชื่อเหลือเกินว่าคนขับแท็กซี่มิได้มีเจตนาที่จะกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง การกระทำของตำรวจดังกล่าวถ้าใช้ดุลยพินิจจับกุมแบบเข้มงวด มันจะเป็นการสร้างบาปสร้างกรรม

 

 

 

 

 

 

จากกรณีที่รัฐบาลปรับฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ทำให้ผู้มีรายได้น้อยต้องจ่ายภาษีเพิ่มจากเดิมไม่ต้องจ่ายแต่ฐานภาษีใหม่ต้องจ่ายและผู้มีเงินได้ชนชั้นกลางกับเศรษฐีต้องจ่ายภาษีน้อยลง นี้คือวิธีหาเงินจากคนจนไปจ่ายคืนเงินภาษีรถยนต์ให้กับคนมีสตังค์ป่าวครับ

 

 

 

 

 

guest

Post : 2012-12-18 20:02:34.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  มันบ้าไปเเล้ว

 

   

   เผยมือปืนกราดยิง ร.ร.คอนเนตทิคัตเคยเป็นนักเรียนดีเด่น คาดป่วยทางจิตรุนแรง

 

 

อดัม แลนซา วัย 20 ปี ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุสังหารแม่ของตัวเอง และกราดยิงโรงเรียนประถมแซนดี ฮุค ในคอนเนตทิคัต

 

เอเจนซีส์ - เจ้าหน้าที่ตำรวจเผย มือปืนกราดยิงโรงเรียนประถมในเมืองนิวตัน มลรัฐคอนเนตทิคัต ซึ่งคร่าชีวิตเด็กไป 20 ราย และผู้ใหญ่อีก 8 คน นั้นเคยเป็นถึงนักเรียนดีเด่น อาศัยอยู่กับมารดาในย่านคนรวย ทว่า กลับเป็นเด็กซึมเศร้า เก็บกด และน่าจะมีปัญหาทางจิตขั้นร้ายแรง

อดัม แลนซา วัย 20 ปี ตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุสังหารแม่ของตัวเอง และกราดยิงโรงเรียนประถมแซนดี ฮุค ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย ในจำนวนนั้นเป็นเด็กถึง 20 คน ก่อนจะปลิดชีพตัวเองตายตามไป

เจ้าหน้าที่บังคับคดีกล่าวว่า แลนซา อาจมีปัญหาความผิดปกติทางบุคลิกภาพ โดยพวกเขาจะพยายามสืบสวนความจริงเกี่ยวกับตัวมือปืนรายนี้ให้ได้มากที่สุด และสอบปากคำพี่ชายของเขา ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีสะเทือนขวัญครั้งนี้แต่อย่างใด

แลนซาสังหารแม่ของตัวเองที่บ้านของเขาก่อนที่จะขับรถของเธอไปยังโรงเรียนประถมดังกล่าว พร้อมอาวุธปืนพกอย่างน้อย 2 กระบอก เพื่อก่อเหตุสังหารหมู่ในวันศุกร์ (14) ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระบุ โดยเสริมว่ายังพบปืนกระบอกที่ 3 ซึ่งเป็นปืนไรเฟิล .223 ในรถ และปืนอีกหลายกระบอกภายในสถานที่เกิดเหตุด้วย

จนถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่เปิดเผยเกี่ยวกับแรงจูงใจในการก่อเหตุของผู้ต้องสงสัยรายนี้แต่อย่างใด โดยพยานผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างบอกว่า มือปืนไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

ทั้งนี้ แลนซา และแม่ของเขา แนนซี อาศัยอยู่ในย่านผู้มีอันจะกินของเมืองนิวตัน ชุมชนซึ่งมีผู้อาศัยอยู่ราว 27,000 คน ห่างจากมหานครนิวยอร์กไปเพียง 60 ไมล์ ขณะที่ โดโรธี แฮนสัน วัย 78 ปี ยายของคนร้าย ซึ่งอยู่ ณ เมืองบรูกส์วิลล์ ฟลอริดา ก็โศกเศร้าเสียใจมากเกินกว่าที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ กับผู้สื่อข่าว

ด้าน แคเธอรีน เออร์โซ ซึ่งเข้าร่วมพิธีไว้อาลัยในเย็นวันศุกร์ เผยว่า ลูกชายของเธอรู้จักกับฆาตกร และจำเขาได้จากลักษณะที่โดดเด่น ทั้งร่างกายที่ผอมมากๆ ไม่สุงสิงกับใคร และเป็นสาวกเพลงร็อก

เจ้าหน้าที่บังคับคดีรายหนึ่งกล่าวว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนเชื่อว่าแลนซาเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้เมื่อหลายปีก่อน แต่ปัจจุบันไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับสถานที่แห่งนี้แล้ว ส่วนแม่ของเขา ผู้ปกครองของเด็กรายหนึ่งบอกว่า เธอเป็นครูชั่วคราว แต่ไม่อยู่ในรายชื่อพนักงาน ทำให้ยังไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโรงเรียนแห่งนี้ได้

สำหรับ ไรอัน แลนซา วัย 24 ปี พี่ชายของมือปืนคลั่ง ซึ่งอยู่ในนิวเจอร์ซีย์ ก็ถูกเจ้าหน้าที่สอบปากคำอยู่ โดยเจ้าตัวเชื่อว่า น้องชายของเขามีความผิดปกติทางบุคลิกภาพ เจ้าหน้าที่รายหนึ่งเปิดเผย โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต แต่เขาก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดเพิ่มเติม และยังไม่ชัดเจนว่า แลนซามีความผิดปกติประเภทใดกันแน่

ยิ่งไปกว่านั้น สื่อท้องถิ่นหลายสำนักได้ตัดคลิป ที่อ้างชื่อของ อดัม แลนซา ปรากฏในทำเนียบนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนมัธยม นิวตัน ไฮสกูล ที่เขาร่ำเรียนอยู่ ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาด้วย

ขณะที่เพื่อนบ้านของครอบครัวแลนซาเผยว่า แม่ของคนร้ายเป็นคนนิสัยดี เป็นที่ชื่นชอบของคนในละแวกบ้านทั้งหมด และก็ไม่เคยมีใครรู้เกี่ยวกับปัญหาภายในบ้านหลังนี้มาก่อน

อย่างไรก็ตาม ญาติรายหนึ่งเผยกับสถานีโทรทัศน์เอบีซีนิวส์ว่า อดัม "ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด" ส่วนเพื่อนๆ ของครอบครัวหลายคนก็บอกว่า เด็กหนุ่มน่าจะเก็บกด เนื่องจากแม่ของเขาเป็นคนเข้มงวดมากๆ

ส่วน ปีเตอร์ แลนซา ผู้เป็นพ่อซึ่งหย่ากับแม่ของเขาในปี 2009 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานจีอี แคปิตอล และเป็นพาร์ทเนอร์ของบริษัทตรวจสอบบัญชียักษ์ใหญ่ เอิร์นต์ แอนด์ ก็ได้เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในนิวเจอร์ซีย และเอฟบีไอแล้ว

 

ไรอัน แลนซา พี่ชายของมือปืนถูกตำรวจรวบตัวไว้สอบปากคำ

 

 

 

คุณเป็นพ่อแม่ประเภทไหน


 

 

 

สิ่งแวดล้อมและการอบรมเลี้ยงดูลูกตลอดจนทัศนคติของพ่อแม่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการของลูกมาก ฉะนั้นการที่เด็กจะเติบโตขึ้นมีบุคลิกภาพเช่นใดนั้น นอกจากพันธุกรรมแล้ว การอบรมเลี้ยงดูเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก เด็กถูกเลี้ยงดูมาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ทำให้เขามีบุคลิกภาพที่ดีมีการปรับตัวต่อปัญหาต่างๆ ได้ มีอารมณ์ที่มั่นคงแต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเด็กถูกเลี้ยงดูอย่างไม่เหมาะสมก็ทำให้เด็กมีพัฒนาการ และบุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสม จะเป็นปัญหาต่อการปรับตัว และเป็นผลทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตได้ง่าย มาดูว่าคุณเข้าข่ายเป็นพ่อ-แม่ แบบนี้หรือเปล่า….


 

    • พ่อแม่ที่รักมากและปกป้องมากเกินไป
คือการให้ความรักแก่ลูกมาก ทะนุถนอมมากเกินไปปฏิบัติตัวเหมือนเป็นเด็กเล็กๆ ทั้งที่ลูกก็โตแล้ว พ่อแม่ก็นั่งประคบประหงมเหมือนไข่ในหิน ไม่ยอมให้ห่างสายตา ไม่ยอมให้ทำอะไรเลย เพราะกลัวจะเป็นอันตราย ลูกไม่ต้องคิดหรือตัดสินใจทำอะไรเลย พ่อแม่จะเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด

 

เกิดอะไรขึ้น การเลี้ยงดูลูกแบบนี้ ทำให้ทักษะในการช่วยเหลือตัวเองช้า การที่จะพัฒนาไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจในตัวเองมีน้อยมาก เพราะไม่เคยตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองเลย ทำให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนเด็กคือเลี้ยงเท่าไรก็ไม่รู้จักโต

 


 

    • พ่อแม่ที่ไม่ต้องการลูก
      •  
    พ่อแม่ที่มีทัศนคติแบบนี้ก็จะไม่รักลูก และพาลเกลียดลูก ซึ่งอาจเนื่องมาจากการมีลูกทำให้พ่อแม่ต้องลำบากยิ่งขึ้นอีก หรือขณะแม่ตั้งครรภ์มีอาการไม่สบายมากทำงานไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าลูกคนนี้นำความทุกข์มาให้ อาจจะเกิดตั้งแต่ตั้งครรภ์ หรือภายหลังคลอดลูกแล้วก็ได้ พ่อแม่ก็ซัดทอดว่าเป็นเพราะลูกคนนี้ทำให้ครอบครัวลำบาก นอกจากนี้พ่อแม่อาจจะเกลียดลูกซึ่งตนโทษว่าเป็นเหตุให้แม่หรือพ่อบังเอิญมาตายระหว่างตั้งครรภ์

     

    เกิดอะไรขึ้น พ่อแม่ที่มีความรู้สึก เช่นนี้ ก็จะปฏิบัติกับลูกด้วยความรุนแรง ทั้งวาจา พฤติกรรม และสีหน้า และไม่สนใจลูกทำให้ลูกพัฒนาไปเป็นเด็กที่กระด้าง ก้าวร้าว ชอบทะเลาะอาละวาด หงุดหงิด และมีลักษณะต่อต้านสังคม อาจเกิดปัญหาสุขภาพจิต ติดยาเสพติด ติดเหล้า ติดการพนัน ลักขโมย เป็นต้น


     

      • พ่อแม่เจ้าระเบียบจัด
    พ่อแม่แบบนี้จะเป็นคนระเบียบจัดต้องการให้ทุกอย่างเรียบร้อย เป็นระเบียบถูกต้อง ทุกอย่างไม่รู้จักผ่อนปรนให้ ต้องคอยชี้แจงซ้ำซากตลอดเวลา ถ้าลูกทำไม่ได้ดังใจก็จะโกรธและตำหนิรุนแรง และคอยจุกจิก จู้จี้กับลูก แม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

     

    เกิดอะไรขึ้น การเลี้ยงลูกแบบนี้จะทำให้เด็กพัฒนาไปเป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง และมีปมด้อย เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดี ไม่มีความสามารถ เพราะทำอะไรไม่เคยถูกใจพ่อแม่เลย


     

      • พ่อแม่ที่ตามใจมากจนไม่มีขอบเขต
    พ่อแม่มักจะตามใจลูกทุกอย่าง โดยเฉพาะทางวัตถุ ลูกจะได้ทุกอย่างตามที่เขาต้องการเท่าที่ฐานะทางเศรษฐกิจของพ่อแม่จะอำนวย และไม่รู้จักอบรมลูกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกอะไรควรอะไรไม่ควรปฏิบัติ ปล่อยให้ลูกทำตามใจตัวเองตามความพอใจ

     

    เกิดอะไรขึ้น ผลเสียก็คือ เมื่อลูกออกสู่สังคมนอกบ้าน ก็จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้ยากทำให้เกิดปัญหาในปรับตัว เอาแต่ใจตัวเองและขาดความอดทน มีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นที่ไม่ราบรื่น เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย


     

      • พ่อแม่ที่วิตกกังวลหวาดกลัวมากเกินกว่าเหตุ
    พ่อแม่ที่มักจะตีตนไปก่อนไข้แสดงความวิตกกังวลในตัวลูกมากเกินกว่าเหตุ เช่น กลัวว่าลูกจะได้รับอุบัติเหตุ ลูกจะถูกหลอกไป ไม่ค่อยยอมให้ออกไปเที่ยวข้างนอกกลัวโดนแดดหรือกรำฝนจะไม่สบาย เวลาลูกไม่สบายเจ็บป่วยเพียงน้อยก็แสดงความวิตกกังวลมากย้ำถามย้ำปฏิบัติ

     

    เกิดอะไรขึ้น การเลี้ยงลูกแบบนี้จะทำให้ลูกเติบโตเป็นเด็กที่มีความวิตกกังวลหวาดกลัว ห่วงใยในเหตุการณ์ต่างๆ จนไม่มีความสุข และขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง

     

    การที่พ่อแม่จะอบรมเลี้ยงดูอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพอารมณ์ของพ่อแม่ ความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสของพ่อแม่ ลักษณะเฉพาะของลูกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตครอบครัวนั้นๆ ประสบการณ์ที่พ่อแม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูและการเลี้ยงดูลูกคนแรกด้วยปัจจัยดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเด็กแต่ละคนจะมีพัฒนาทางบุคลิกภาพไม่เหมือนกัน เนื่องจากสาเหตุดังกล่าว ฉะนั้น วิธีการอบรมเลี้ยงดูลูกที่ถูกต้องของพ่อแม่เป็นปัจจัยอันหนึ่งที่ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสมพ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการอบรมเลี้ยงดูลูกที่จะทำให้เกิดผลเสียดังกล่าว แต่ควรปฏิบัติเลี้ยงดูโดยทางสายกลางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คือไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป ควรอบรมเลี้ยงดูลูกให้เหมาะสมกับความสามารถและวัยของเด็ก ไม่ควรใช้อารมณ์ แต่ควรอบรมสั่งสอนลูกอย่างมีเหตุผลมีวินัยที่ดี แต่ต้องไม่เข้มงวดจนเกินไป และไม่ควรตามใจเกินไปหรือปล่อยปละละเลยจนเกินไป

     

    พ่อแม่ควรให้ความรักอย่างเหมาะสมและมีเหตุผลไม่ใช่รักมากอย่างไม่มีขอบเขตตลอดจนพ่อแม่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กได้เลียนแบบ ความผาสุกในชีวิตแต่งงานของพ่อแม่ การปฏิบัติต่อกันของพ่อแม่ด้วยความรัก ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจกัน จะทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น มั่นคง อันจะเป็นรากฐานของการที่เด็กจะเจริญเติบโตมาด้วยความผาสุข และความพอใจอันจะมีผลดีทั้งต่อตัวเด็กเอง และสังคมต่อไปในอนาคต.

 

 

 

กทม.เผย บัตรประชาชนหมดสต็อก!! ใช้ใบเหลืองแทนไม่มีกำหนด

http://st2.mthcdn.com/mthai2012/bof/uploaded/20121218/02ece096b179dff1806681fd639931091c4b7708.jpg

สำนักข่าวไทย รายงานว่า นางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับหัวหน้าฝ่ายปกครองและหัวหน้าฝ่ายทะเบียน 50 เขตของ กทม.ว่า

ได้รับแจ้งจากกรมการปกครองเมื่อเวลา 09.30 น. ยืนยันว่าไม่สามารถจัดสรรบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ กทม.ได้ เนื่องจากบริษัทเอกชนส่งมอบบัตรให้แก่กรมการปกครองไม่ทันตามกำหนดวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้บัตรหมดสต็อกแล้ว ซึ่งทางกรมการปกครองได้พยายามจัดสรรให้กับ กทม.อย่างเต็มที่มาโดยตลอด เพราะเป็นศูนย์กลางที่มีความต้องการใช้อย่างมาก

ในวันนี้จะมีการส่งมอบบัตรให้ 15 เขต เขตละ 100 ใบ เป็นครั้งสุดท้ายของล็อตนี้ โดยภายหลังบัตรที่เก็บอยู่ที่สำนักงานเขตต่าง ๆ หมดลง ก็จะย้อนกลับไปสู่การใช้ใบแทนบัตรประชาชน หรือใบเหลืองไปก่อน จนกว่าจะได้รับบัตรประชาชนมาจากกรมการปกครอง

 

เริ่มแล้ว ครับ

 

55555555555

 

 

หาทางแก้แล้วกัน พรรคเพื่อไทย

มุขนี้ ใช้ได้มาหลายครั้งแล้ว 

... พอใกล้เลือกตั้งปุ๊บ บัตรหมดทันทีเลยนะ แค่บัตรพลาสติค  กทม.ยังไม่มีปัญญา หามาให้ประชาชนใช้ อนาถหนอ

 

처음 이전 ... 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 | ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>