Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2013-03-15 21:44:30.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  วิธีเล่นเฟอร์บี้

 

 

 

 

 

 

การกลับมาของ ตุ๊กตาเฟอร์บี้

 

การกลับมาของ ตุ๊กตาเฟอร์บี้

 

ตุ๊กตาเฟอร์บี้ถือกำเนิดเมื่อประมาณ 14 ปีก่อน เป็นของเล่นที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น เรียกได้ว่าทำให้ทั้งโลกฮือฮากันเลยทีเดียว ด้วยเพราะเหตุว่าตุ๊กตาเฟอร์บี้นี้ เป็นตุ๊กตาหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ใช่แค่ตุ๊กตาหุ่นยนต์ธรรมดา แต่เป็นตุ๊กตาสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์ ซึ่งนอกจากจะสามารถขยับตา ขยับปากพูดได้แล้ว ยังสามารถเต้นได้อีกด้วย (ถ้าเต้นท่ากังนัมไสตล์ได้คงดังไปถึงดาวอังคาร...)

 

 

หลังจากนั้นหลายปีผ่านไป เจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ก็หนีไม่พ้นสัจจะธรรมที่คลื่นลูกใหม่ต้องเข้ามาแทนคลื่นลูกเก่า ดังนั้นความนิยมของเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้จึงเริ่มเลือนหายไปจากความทรงจำของเด็กๆ รวมทั้งผู้ใหญ่ที่ชอบเด็ก อุ๊ย!!... ผู้ใหญ่ที่ชอบของเล่นเด็กด้วย



แต่บริษัทผู้คิดค้นเจ้าเฟอร์บี้ ก็ไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่ตัวเองคิดมากับมือเลือนหายไปกับกาลเวลา เพราะนี่คือผลงานชิ้นโบว์แดง เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดโปรไฟล์ของบริษัทก็ว่าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำการยกเครื่องเจ้าเฟอร์บี้ใหม่ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น เป็นการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งของตุ๊กตาเฟอร์บี้ สุดยอดสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์

 

 


หากเอ่ยชื่อบริษัท Hasbro ในวงการของเล่นต่างรู้กันดีว่า ชื่อนี้คือชื่อของบริษัทผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่ที่ผลิตของเล่นนานาชนิดส่งขายทั่วโลกและเป็นผู้ที่สร้างความฮือฮาให้กับตลาดของเล่นโดยในปี 2541 หรือเมื่อประมาณ 14 ปีที่แล้ว ได้มีการเปิดตัวสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์เสมือนจริงคือเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้รุ่นแรกนั่นเอง



เจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ โดยหน้าตาเหมือนนกฮูกผสมกับหนูแฮมสเตอร์ สูงประมาณ 5 นิ้ว และมีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนสัตว์เลี้ยงจริงๆ ซึ่งในการเปิดตัวเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ครั้งนั้น ได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม เพราะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ในวงการของเล่น โดยได้รับการบันทึกว่าเป็นของเล่นที่มียอดจำหน่ายสูงสุดถึง 40 ล้านตัวทั่วโลกเลยทีเดียว



ปัญหาของเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ในยุคแรกๆ คือภาษาที่ใช้พูดคุยสื่อสารระหว่างตุ๊กตากับเจ้าของนั้นไม่ค่อยจะรู้เรื่องกันเท่าไร เพราะเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ ดันมีภาษาของตัวเอง ชื่อว่าภาษาเฟอร์บิช (furbish) ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของผู้ผลิตหรือเปล่าที่ต้องการให้สินค้าของตัวเองมีเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อให้มีผลต่อความรู้สึกต่อลูกค้า และง่ายต่อการทำการตลาด



แต่ผลที่ตามมาคือ ทำให้ผู้เล่นบางส่วนรู้สึกว่าภาษาเฉพาะของเจ้าเฟอร์บี้นี้ช่างเป็นอุปสรรคในการสื่อสารเหลือเกิน จะสั่งอะไรทีก็ต้องมานั่งศึกษาก่อนว่าจะต้องออกเสียงอย่างไร ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความนิยมในตัวเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้จึงค่อยๆ ลดความนิยมลงดไป



แต่บริษัท Hasbro ผู้ผลิตเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ก็ไม่ได้ย่อท้อ และไม่ยอมให้เจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้หายไปกับกาลเวลา เพราะถือได้ว่าเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้นี้เป็นผลงานชิ้นเอกระดับสุดยอดโปรไฟล์ของบริษัท หากปล่อยให้เสื่อมความนิยมไปเฉยๆ ก็จะเสียของเปล่าๆ จึงมีแผนการพัฒนาปรับปรุงเจ้าเฟอร์บี้ขึ้นมาใหม่ให้ทันสมัยและสามารถสื่อสารกับผู้เล่นได้มากขึ้น

 


 

 

จุดเด่นของเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ในเวอร์ชั่นใหม่นี้ ได้มีการเปลี่ยนจากดวงตาพลาสติกมาเป็นจอ LCD และเรืองแสงได้ แต่ยังคงมีเปลือกตาที่เปิดปิดได้เหมือนรุ่นก่อน ส่วนขนาดลำตัวจะใหญ่กว่ารุ่นเก่าเล็กน้อย และมีการติดตั้งจุดเซ็นเซอร์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ตุ๊กตาเฟอร์บี้รุ่นใหม่ยังสามารถรับรู้ และเคลื่อนไหวได้มากกว่ารุ่นเก่า โดยที่ลำตัวตัวของมันจะปกคลุมด้วยขนนุ่มๆ มีหู และเท้า เป็นพลาสติก มีจะงอยปากที่เปิดปิดได้พร้อมกับลิ้นไว้รับรู้การป้อนอาหาร



ส่วนปัญหาในเรื่องของภาษาในรุ่นแรกๆ มาในเวอร์ชั่นนี้ก็หมดกังวลกับเรื่องดังกล่าวไปได้เลย เพราะตุ๊กตาเฟอร์บี้รุ่นใหม่นี้จะมีแอพพลิเคชั่นให้ดาวน์โหลดฟรีใน iOS ซึ่งมีทั้งระบบแปลภาษา, ระบบควบคุม และมีระบบสำหรับให้อาหารเฟอร์บี้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถใช้แอพพลิเคชั่นใน iPhone หรือ iPad ผ่าน Furby app เพื่อสั่งงานเฟอร์บี้ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เฟอร์บี้รุ่นนี้ไม่มีสวิตช์สำหรับปิดเครื่องเหมือนเช่นเคยเพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงจริงๆ ซึ่งถ้าเราปล่อยมันทิ้งไว้นาน ๆ เจ้าเฟอร์บี้ก็จะหลับไปเอง และเราก็สามารถปลุกมันได้ด้วยการลูบตัวตามปกติ เรียกได้ว่าให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงได้สมจริงยิ่งขึ้น



ตุ๊กตาเฟอร์บี้เป็นของเล่นที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่รักสัตว์แต่ไม่สามารถเลี้ยงได้จริง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็สามารถเลี้ยงเจ้าเฟอร์บี้ไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาได้ โดยที่ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นภาระ



การกลับมาของตุ๊กตาเฟอร์บี้ ถือเป็นการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ของตุ๊กตาสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์ ซึ่งดูแล้วก็น่าจะถูกใจคนรุ่นใหม่เพราะไม่ใช่แค่ตุ๊กตาธรรมดาแต่เป็นตุ๊กตาสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์ที่มีทั้งความน่ารัก สดใส และเทคโนโลยีที่ทันสมัยผสานออกมาเป็นหนึ่งเดียวนามว่า เฟอร์บี้ นั่นเอง

 

ราคาประมาณ 3000-4000 บาท

 

**********************************************************************

guest

Post : 2013-03-14 22:08:20.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เขมรเเดง

 

 

 

          คดีเขมรแดงอืดจัด 'เอียงสารี'ชิงตาย

 

 

 

 

ชิงลาโลกเป็นไปอีกหนึ่งราย "เอียง สารี" อดีตผู้นำระบอบเขมรแดงที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อนร่วมชาติ 1.7 ล้านชีวิต เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 87 เหลือจำเลยตัวเอ้ในศาลพิเศษที่ผลาญงบไปร่วม 5,190 ล้านบาทอีกแค่สอง


การเสียชีวิตของอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศผู้นี้เมื่อวันพฤหัสบดี ยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นว่าจำเลยที่เหลืออีก 2 รายซึ่งชราภาพพอกัน คือ นวน เจีย "พี่ชายหมายเลข 2" วัย 86 และเขียว สัมพัน อดีตประธานาธิบดีวัย 81 จะมีชีวิตอยู่ไม่ทันชดใช้ความผิดในคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ


ลาร์ส โอลเซ็น โฆษกของคณะตุลาการพิเศษแห่งศาลกัมพูชาที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างองค์การสหประชาชาติและรัฐบาลกัมพูชา แถลงว่า เอียง สารี เสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อเช้าวันที่ 14 มีนาคม หลังจากถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 4 มีนาคม "น่าเสียใจที่คดีนี้ เราไม่สามารถดำเนินการตามกฎหมายให้เสร็จสิ้นได้"


ด้านเอลิซาเบธ ซิมงโน ฟอร์ด ทนายความของเหยื่อระบอบเขมรแดง กล่าวว่า สำหรับเหยื่อแล้ว การตายของเขาทำให้ขอบเขตของการพิจารณาคดีแคบลงและจำกัดการค้นหาความจริงและความยุติธรรม "เราพูดได้ว่า การตายทำให้เอียง สารี หนีพ้นความยุติธรรม" ส่วนยุก ชาง จากศูนย์เอกสารหลักฐานกัมพูชา กล่าวว่า การตายของเอียง สารี ไม่ใช่ชัยชนะและแทบไม่มีคุณค่าต่อเหยื่อระบอบเขมรแดงที่รอคอยความยุติธรรมอย่างอดทน


นับแต่ก่อตั้งขึ้นด้วยเงินบริจาคจากนานาชาติที่ถึงสิ้นปีที่แล้วศาลพิเศษแห่งนี้ใช้งบประมาณไปแล้ว 175 ล้านดอลลาร์ (ราว 5,190 ล้านบาท) ศาลเขมรแดงแห่งนี้เพิ่งตัดสินจำคุกจำเลยไปแค่ 1 รายคือ กัง เก็ก เอียว หรือสหายดุช ผู้คุมเรือนจำตวลสเลงที่สังหารผู้คนมากกว่า 14,000 คน การเสียชีวิตของเอียง สารี ยิ่งขับเน้นปัญหาความล่าช้าของศาลพิเศษนี้ ซึ่งถูกรุมเร้าด้วยปัญหาเงินทุนและการแทรกแซงของรัฐบาลนายกฯ ฮุน เซน อดีตนายทหารเขมรแดง


นอกจากเอียง สารี มีเพียงเขียว สัมพัน เพียงคนเดียวที่อาจมีชีวิตอยู่ชดใช้ความยุติธรรม เนื่องจากนวน เจีย สุขภาพทรุดโทรมต้องเข้า-ออกโรงพยาบาลมาตลอดหลายปี ส่วนเอียง ธิริต อดีตรัฐมนตรีสังคมผู้เป็นภรรยาของเอียง สารี จำเลยคนที่ 4 ในคดีเดียวกัน รอดตัวไปเมื่อปีที่แล้วเมื่อศาลประกาศว่านางมีปัญหาสภาพจิตทำให้ไม่สามารถไต่สวนได้


เอียง สารี สำเร็จการศึกษาจากปารีสพร้อมกับพล พต ผู้นำเขมรแดงซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 2541 เขารับตำแหน่งรองนายกฯ ดูแลด้านต่างประเทศของระบอบนี้ระหว่างปี 2518-2522 กระทั่งกองทัพเวียดนามบุกโค่นระบอบเขมรแดงได้ ต่อมากษัตริย์นโรดมสีหนุพระราชทานอภัยโทษเขา แต่เขาถูกจับกุมในปี 2550 เพื่อดำเนินคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติและละเมิดอนุสัญญาเจนีวา.

 

 

 

                                                                           เขมรเเดง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

 

ธงแดงรูปค้อนเคียวของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (ต่อมาคือพรรคกัมพูชาประชาธิปไตย)

 

เขมรแดง (เขมร : ខ្មែរក្រហម; แขฺมรกฺรหม ; อ่านว่า คแมร์กรอฮอม /ฝรั่งเศสและอังกฤษ : Khmer Rouge[1]) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กองทัพแห่งชาติกัมพูชาประชาธิปไตย” (Armée nationale du Kampuchéa démocratique) คือ กองกำลังลัทธิคอมมิวนิสต์กัมพูชา ที่เคยปกครองราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นถูกเปลี่ยนชื่อเป็นกัมพูชาประชาธิปไตย ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ถึง พ.ศ. 2522

 

เขมรแดงถือเป็นตัวแทนความสำเร็จเชิงอำนาจของพรรคการเมืองลัทธิคอมมิวนิสต์ในกัมพูชา ที่ต่อมาได้พัฒนาไปเป็น “พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา” (Parti communiste du Kampuchéa – PCK) และ “พรรคกัมพูชาประชาธิปไตย” (Parti du Kampuchéa démocratique)

 

รูปแบบการปกครองของเขมรแดงมีจุดประสงค์เพื่อสร้าง "สังคมใหม่" โดยใช้รากฐานทางอุดมการณ์ที่เรียกว่า "อุดมการณ์ปฏิวัติแบบเบ็ดเสร็จ" (idéologie de révolution totale) ที่มีการรักษาเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ เป็นตัวขับเคลื่อน[2]

 

สิ่งแรกที่เขมรแดงกระทำหลังจากได้รับอำนาจ คือ การกวาดต้อนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดจากกรุงพนมเปญและเมืองสำคัญอื่น ๆ มาบังคับให้ทำการเกษตรและใช้แรงงานร่วมกันในพื้นที่ชนบท เพื่อจำแนกประชาชนที่ถือว่าเป็น "ศัตรูทางชนชั้น" ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ข้าราชการ เชื้อพระวงศ์ ผู้มีการศึกษา หรือผู้มีวิชาชีพเฉพาะในด้านต่าง ๆ ออกมาเพื่อขจัดทิ้ง[3] การกระทำดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ประชาชนชาวกัมพูชาต้องเสียชีวิตจากการถูกสังหาร ถูกบังคับใช้แรงงาน และความอดอยาก เป็นจำนวนประมาณ 850,000 ถึง 3 ล้านคน ซึ่งเมื่อเทียบอัตราส่วนของประชาชนที่เสียชีวิตต่อจำนวนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดในขณะนั้น (ประมาณ 7.5 ล้านคน ใน พ.ศ. 2518) ถือได้ว่าระบอบการปกครองของเขมรแดงเป็นหนึ่งในระบอบที่มีความรุนแรงที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20

 

หลังจากที่เขมรแดงปกครองกัมพูชาเป็นระยะเวลา 4 ปี ใน พ.ศ. 2522 อำนาจการปกครองของเขมรแดงก็สิ้นสุดลง เนื่องจากการบุกยึดกัมพูชาของกองกำลังจากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการเคลื่อนไหวแบบต่อต้านของเขมรแดง โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันตกของกัมพูชา ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในราชอาณาจักรไทย ก็ยังคงดำเนินต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 90 จนกระทั่ง พ.ศ. 2539 พล พต หัวหน้าขบวนการในขณะนั้น ก็ยุติการทำงานของเขมรแดงลงอย่างเป็นทางการ หลังจากที่มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพ

 

พล พต ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2541 โดยที่ยังไม่ได้รับการพิจารณาคดีสังหารหมู่ประชาชนในช่วงที่เขมรแดงยังมีอำนาจอยู่แต่อย่างใด[4] เช่นเดียวกันกับตา ม็อก อดีตผู้บัญชาการเขมรแดง ที่ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ระหว่างการควบคุมตัวจากรัฐบาลกัมพูชาเพื่อรอพิจารณาคดี[5] ปัจจุบัน มีเพียงคัง เค็ก เอียว (หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ดุช”) อดีตหัวหน้าค่ายกักกันตวล สเลง และนวน เจีย อดีตสมาชิกระดับผู้นำ เท่านั้นที่ถูกนำตัวมาพิจารณาโทษจากศาลพิเศษซึ่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคดีของอดีตกลุ่มผู้นำเขมรแดงโดยเฉพาะ[6][7][8] โดยได้เริ่มการพิจารณาตั้งแต่ พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป

 

ต้นกำเนิด

 กัมพูชาฝ่ายซ้าย

 

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 โฮจิมินห์ได้ประกาศจัดตั้ง "พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม" (Parti communiste vietnamien หรือ Việt Nam Cộng Sản Đảng) ขึ้น ด้วยการรวมเอาพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม จากแคว้นตังเกี๋ย อันนัม และเทนินห์ (โคชินจีน) จำนวน 3 กลุ่ม เข้าไว้ด้วยกัน แต่ต่อมาไม่นาน ชื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนามก็ถูกเปลี่ยนเป็น "พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน" (Parti communiste indochinois – PCI) [9][10] และได้รับเอากลุ่มปฏิวัติคอมมิวนิสต์จากกัมพูชาและลาวเข้ามาเป็นสมาชิกด้วย ในช่วงแรก สมาชิกในพรรคส่วนใหญ่ยังเป็นชาวเวียดนาม จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ชาวกัมพูชาจึงเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม อิทธิพลที่สมาชิกชาวกัมพูชามีต่อการเคลื่อนไหวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนและการพัฒนาภายในกัมพูชานั้น ยังอยู่ในระดับต่ำ

 

ในช่วงที่กัมพูชากำลังทำสงครามเรียกร้องเอกราชกับฝรั่งเศส กองกำลังเวียดมินห์ จากเวียดนาม ก็เริ่มเข้ามาสนับสนุนให้เกิด “การต่อสู้เพื่อปลดปล่อย” ขึ้นในกัมพูชา พร้อมกันนั้น รัฐบาลพลเรือนที่ปกครองราชอาณาจักรไทยช่วง พ.ศ. 24892490 ก็มีนโยบายสนับสนุนกองกำลัง “เขมรอิสระ” (Khmer Issarak) ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านฝรั่งเศส ให้ปฏิบัติการตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และพื้นที่ใต้การยึดครองของไทยในขณะนั้น ซึ่งได้แก่ เสียมราฐและพระตะบอง ได้ ต่อมาใน พ.ศ. 2493 (25 ปีก่อนที่กองกำลังเขมรแดงจะบุกยึดกรุงพนมเปญ) กลุ่มเขมรอิสระได้จัดการประชุมสมัชชาแห่งชาติเป็นครั้งแรก ในวันที่ 17 เมษายน ผลจากการประชุมครั้งนั้น นำไปสู่การก่อตั้ง สมาคมเขมรอิสระ (United Issarak Front) โดยมีผู้นำกลุ่มคือเซิง งอกมิญ ร่วมกับกลุ่มแกนนำที่ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนเชื้อสายเขมร เมื่อเวลาผ่านไป กองกำลังเขมรอิสระภายใต้การควบคุมของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก็เติบโตมากขึ้น จนกระทั่งใน พ.ศ. 2495 เขมรอิสระ ซึ่งปฏิบัติการร่วมกับขบวนการเวียดมินห์ ก็สามารถครองพื้นที่ได้ประมาณหนึ่งในหกของกัมพูชา และขยายอาณาเขตคลอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศได้ ในอีก 2 ปีต่อมา ในช่วงที่มีการประชุมนานาชาติที่เมืองเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส[11]

 

ใน พ.ศ. 2494 หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนยุบตัวลง ก็ได้มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เอกเทศขึ้น 3 พรรค ได้แก่ พรรคกรรมกรเวียดนาม (parti des travailleurs du Viêt Nam) ในเวียดนาม พรรคลาวอิสระ (Lao Itsala) ในลาว และพรรคปฏิวัติประชาชนเขมร (Parti révolutionnaire du peuple du Kampuchea – PRPK) ในกัมพูชา โดยพรรคที่ถือว่ามีบทบาทในการเคลื่อนไหวมากที่สุดคือพรรคกรรมกรเวียดนาม

 

พรรคปฏิวัติประชาชนเขมรถือเป็นต้นกำเนิดของขบวนการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในกัมพูชา ผู้นำของพรรค คือ เซิง งอกมิญและ ตู สามุต ในช่วงแรกสมาชิกของพรรคส่วนใหญ่คือคนเชื้อสายเวียดนามที่อาศัยอยู่ในกัมพูชา ส่วนชาวกัมพูชาพื้นถิ่นจริง ๆ ที่เข้าร่วมกับพรรคมีจำนวนค่อนข้างน้อย พรรคปฏิวัติประชาชนเขมรได้ปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังเขมรอิสระอื่น ๆ เข้าควบคุมพื้นที่ชนบทของประเทศได้อย่างกว้างขวาง แต่หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหนุ สามารถเรียกร้องเอกราชของกัมพูชาคืนจากฝรั่งเศสได้สำเร็จ พระองค์ก็ใช้เวทีการประชุมว่าด้วยปัญหาอินโดจีน ที่จัดขึ้นใน พ.ศ. 2497 ณ เมืองเจนีวา ต่อต้านข้อเรียกร้องของขบวนการคอมมิวนิสต์ ซึ่งที่ประชุมเองก็รับรองเอกราชของกัมพูชาภายใต้การนำของพระองค์ และไม่รับรองสถานะและกำหนดเขตที่ตั้งของฐานที่มั่นฝ่ายคอมมิวนิสต์ให้เช่นกัน จากมติการประชุมดังกล่าว ส่งผลให้ขบวนการคอมมิวนิสต์ รวมถึงพรรคปฏิวัติประชาชนเขมร สูญเสียบทบาททางการเมืองในกัมพูชา และต้องลี้ภัยไปอาศัยในเวียดนามเหนือตามข้อตกลงเจนีวา จำนวนผู้ลี้ภัยในขณะนั้นมีประมาณ 2,000 คน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นมีซัน ง็อก มินห์ รวมอยู่ด้วย[12]

 

ในช่วงปลาย พ.ศ. 2497 ขบวนการคอมมิวนิสต์ที่ยังอาศัยอยู่ในกัมพูชาได้จัดตั้งพรรคการเมืองถูกกฎหมาย โดยใช้ชื่อพรรคว่า “กรมประชาชน” (Krom Pracheachon; กร็อมปราเจียจ็วน) หรือ “กลุ่มประชาชน” เพื่อลงเลือกตั้งสภาใน พ.ศ. 2498 ซึ่งผลปรากฏว่า พรรคประชาชนได้รับคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งครั้งนั้นเพียงร้อยละ 3.5 เท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติได้ ส่วนพรรคที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดคือ พรรคสังคมราษฎร์นิยม (Sangkum Reastr Niyum) หรือ "กลุ่มสังคม” ของเจ้าสีหนุ [13]

 

หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง สมาชิกของพรรคประชาชนก็โดนกลุ่มของเจ้าสีหนุกดดันและตามจับกุมจนต้องหลบหนีไปอยู่ใต้ดิน เช่นเดียวกันกับพรรคประชาธิปไตยที่ถูกเจ้าสีหนุกดดันจนต้องสลายตัวไปก่อนหน้านั้น เนื่องจากพระองค์กล่าวหาว่าพรรคเป็นอันตรายต่อนโยบายของพระองค์[14] การหลบหนีของพรรคประชาชนในครั้งนั้น ส่งผลให้พรรคไม่ได้ลงเลือกตั้งครั้งต่อมา ใน พ.ศ. 2505 ในช่วงนี้เอง ที่เจ้าสีหนุเริ่มเรียกกลุ่มฝ่ายซ้ายที่แฝงอยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วยชื่อว่า “เขมรแดง”[15]

 

ช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 พรรคปฏิวัติประชาชนเขมรได้แบ่งคณะกรรมการพรรคเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ คณะกรรมการฝ่ายเมือง นำโดยเตา สมุธ และคณะกรรมการฝ่ายชนบท นำโดยเซียว เฮง ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างให้การสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติเหมือนกัน แต่เป้าประสงค์ของแต่ละฝ่ายนั้นต่างกัน ฝ่ายเมือง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือ มองว่าการที่เจ้าสีหนุ ดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบเป็นกลางและไม่ได้รับความไว้วางใจจากสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น[16] จะทำให้เกิดประโยชน์ในการต่อสู้เพื่อ “ปลดปล่อย” เวียดนามใต้ และมีแนวโน้มว่าพระองค์จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายเป็นแบบฝ่ายซ้ายแทน ส่วนฝ่ายชนบท ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังที่ในท้องที่ชนบทต่าง ๆ กลับสนับสนุนในมีการต่อสู้เพื่อล้มล้าง “ระบบขุนนาง” ของเจ้าสีหนุโดยเร็วที่สุด

 

ใน พ.ศ. 2502 เซียว เฮง ได้ละทิ้งรัฐบาล และให้อำนาจแก่กองกำลังรักษาความปลอดภัยเพื่อเข้าทำลายโครงสร้างของพรรคฝ่ายชนบทให้มากกว่าร้อยละ 90 ของทั้งหมด จากการกระทำดังกล่าว ส่งผลให้ใน พ.ศ. 2503 จำนวนกองกำลังคอมมิวนิสต์ในกรุงพนมเปญและเมืองอื่น ๆ ของกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นอยู่ภายใต้เขตอำนาจของเตา สมุธ เป็นส่วนใหญ่ เหลืออยู่ไม่กี่ร้อยคน

 

 กลุ่มปัญญาชนปารีส

 

ซาลอธ ซาร์ (พล พต)

 

 

เอียง ซารี

 

 

เขียว สัมพัน (ซ้าย) ถ่ายคู่กับเจ้าสีหนุ (ขวา)

 

 

ซอน เซน

 

 

กลุ่มปัญญาชนปารีส (Paris Student Group) คือ กลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายชาวกัมพูชา ที่ได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลกัมพูชาให้มาศึกษาต่อในกรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ในช่วงทศวรรษที่ 1950 พวกเขาได้ร่วมกันจัดตั้งขบวนการคอมมิวนิสต์ ลัทธิมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ของตนเองขึ้น ก่อนที่จะเดินทางกลับสู่แผ่นดินเกิดและเป็นกำลังสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์เขมร กลุ่มเขมรแดง ในการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลลอน นอล ใน พ.ศ. 2518 ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งระบอบกัมพูชาประชาธิปไตยในเวลาต่อมา

 

ปัญญาชนคนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มดังกล่าวนี้ ได้แก่[17]

 

  • เขียว สัมพัน เกิดเมื่อ พ.ศ. 2474 ได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยศรีสวัสดิ์เช่นกัน มีความเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์อย่างมาก คู่แข่งทางพรสวรรค์ของเขา คือ ฮู ยวน นักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มปัญญาชนปารีสอีกคนหนึ่ง ฮู ยวน เกิดเมื่อ พ.ศ. 2473 ศึกษาต่อทางด้านเศรษศาสตร์และกฎหมายในฝรั่งเศส ทั้งเขียว สัมพันธ์ และฮู ยวน ต่างสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีสเหมือนกัน
  •  
  • ฮู นิม เกิดเมื่อ พ.ศ. 2475 เดินทางไปศึกษาต่อและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางด้านกฎหมายในฝรั่งเศส และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยพนมเปญ เขามีความสนใจในเรื่องบทบาทการเงินของกัมพูชาที่ถูกภายนอกครอบงำ
  •  

นอกจากสมาชิกที่เป็นผู้ชายแล้ว ในกลุ่มปัญญาชนปารีสยังมีสมาชิกผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ทางการสมรสกับสมาชิกฝ่ายชายอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น เขียว พอนนารี ภรรยาของซาลอธ ซาร์ เขียว ธิริธ ภรรยาของเอียง ซารี หรือยุน ยาต ภรรยาของซอน เซน สมาชิกหญิงเหล่านี้ต่างก็มีบทบาทสำคัญในระบอบการปกครองกัมพูชาประชาธิปไตย ที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติของเขมรแดง แทบทั้งสิ้น

 

สาเหตุที่ทำให้คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้เชื่อมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์ มีแนวโน้มมาจากบริบททางการเมืองโลกในขณะนั้น ที่การเคลื่อนไหวตามแนวทางคอมมิวนิสต์กำลังเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น การยืนหยัดต่อสู้ของขบวนการคอมมิวนิสต์ในกัมพูชาต่อฝรั่งเศสในฐานะเจ้าอาณานิคม การได้รับชัยชนะของลัทธิคอมมิวนิสต์ในจีน การเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ในเกาหลี หรือการเข้าสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความไม่เสมอภาคทางชนชั้นและความไม่เป็นธรรมในสังคมที่นักศึกษาบางคนประสบในอดีต ก็อาจเป็นสาเหตุสำคัญเช่นกัน ดังเช่นกรณีปัญหาครอบครัวของเขียว พอนนารี และเขียว ธิริธ ที่บิดาของเธอทั้งสองหนีตามเจ้าหญิงแห่งกัมพูชาไปอยู่จังหวัดพระตะบอง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทิ้งให้มารดาของพวกเธอทำหน้าที่ดูแลครอบครัวเพียงผู้เดียว กรณีดังกล่าวนี้ เดวิด พี. แชนด์เลอร์ นักประวัติศาสตร์และนักการทูตชาวอเมริกัน กล่าวว่า อาจเป็นสาเหตุสำคัญให้พวกเธอมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อชนชั้นเจ้าของกัมพูชา จนนำไปสู่การต่อต้านก็เป็นได้[18]

 

ขณะที่ศึกษาอยู่ในฝรั่งเศส กลุ่มปัญญาชนกลุ่มนี้ได้มีโอกาสศึกษาสำนักคิด/ลัทธิทางด้านสังคมศาสตร์หลาย ๆ แขนง เช่น ลัทธิสังคมนิยม ลัทธิชาตินิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิต่อต้านจักรวรรดินิยม และลัทธิอาณานิคมใหม่ เป็นต้น[19] พร้อมกันนั้น พวกเขายังได้ประกอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์เอาไว้หลายระดับ นับตั้งแต่การรวมกลุ่มการเมืองย่อย ๆ ในหมู่นักศึกษา ที่เรียกกันว่า “วงมาร์กซิสต์” เพื่อนำงานเขียนแนวอุดมการณ์มาร์กซิสต์มาถกเถียงกัน[20] จนถึงการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศสและพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย และยังรวมไปถึงการเป็นตัวแทนสมาคมนักศึกษาเขมรในกรุงปารีส เข้าร่วมการประชุมเยาวชนนานาชาติ ณ เบอร์ลินตะวันออก ที่ซึ่งพวกเขาได้พบเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกัน และได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้ของขบวนการคอมมิวนิสต์ในกัมพูชา และการก่อตั้งพรรคปฏิวัติประชาชนเขมรเป็นครั้งแรก[21]

 

นอกจากนั้น พวกเขายังพยายามขยายอุดมการณ์ของกลุ่มให้ครอบคลุมทั้งสมาคมนักศึกษาเขมร ซึ่งเป็นแหล่งรวมปัญญาชนชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ในปารีส ด้วยการล้มล้างอิทธิพลของผู้นำนักศึกษาแนวอนุรักษนิยม[22]และเปลี่ยนให้กลายเป็นองค์กรสำหรับนักชาตินิยมและนักสังคมนิยมแทน

 

หลังจากที่เจ้าสีหนุก่อรัฐประหาร ประกาศยุบสมัชชาแห่งชาติ และเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ใน พ.ศ. 2495[23] กลุ่มปัญญาชนปารีสก็เคลื่อนไหวต่อต้านการกระทำดังกล่าว ด้วยการออกแถลงการณ์วันที่ 6 กรกฎาคม ประณามการกระทำของพระองค์และเรียกร้องให้พระองค์สละราชสมบัติ[24] พร้อมกันนั้น ซาลอธ ซาร์ ยังได้เขียนบทความชื่อ “ราชาธิปไตยหรือประชาธิปไตย?” (Monarchy or Democracy?) ลงในนิตยสารสำหรับนักศึกษาชาวกัมพูชา ฉบับพิเศษ เพื่อวิพากษ์การกระทำของเจ้าสีหนุอีกด้วย จากการกระทำเหล่านี้ ส่งผลให้พวกเขาโดนระงับทุนการศึกษา[25] และทางการฝรั่งเศสยังออกคำสั่งปิดสมาคมนักศึกษาเขมรในปีต่อมา

 

อย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ. 2499 ฮู ยวน และเขียว สัมพันธ์ ได้ช่วยกันก่อตั้งกลุ่มใหม่ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “สหภาพนักศึกษาเขมร” (Khmer Students' Union) ซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มนักศึกษาในวงมาร์กซิสเช่นเดิม

 

เส้นทางสู่อำนาจ

 

กลับกัมพูชา

 

หลังจากที่กลุ่มปัญญาชนปารีสเดินทางกลับสู่กัมพูชา สมาชิกในกลุ่มต่างก็แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพและกิจกรรมต่าง ๆ ซาลอธ ซาร์ (กลับมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2496) เดินทางออกจากกรุงพนมเปญเพื่อเข้าร่วมกับกองกำลังเขมรอิสระในพื้นที่ใกล้จังหวัดกำปงสปือ และขบวนการเวียดมินห์ในพื้นที่ชนบทของจังหวัดกำปงจาม[26] เอียง ซารี ประกอบอาชีพครูประจำภาควิชาการเมืองและปรัชญาที่วิทยาลัยศรีสวัสดิ์และวิทยาลัยกัมพูบต เช่นเดียวกับฮู ยวน[27] และเขียว สัมพัน (กลับมาใน พ.ศ. 2502) ประกอบอาชีพอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพนมเปญ และผลิตหนังสือพิมพ์แนวสังคมนิยมเป็นภาษาฝรั่งเศส ชื่อ “ล็อบแซร์วาเตอร์[28] ซึ่งได้รับความนิยมจากวงนักวิชาการกลุ่มเล็ก ๆ ในพนมเปญ

 

หลังจากที่ดำเนินการผลิตมาได้ 1 ปี กิจการหนังสือพิมพ์ของเขียว สัมพัน พร้อมกับหนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายฉบับอื่น ๆ ที่ตีพิมพ์ในกัมพูชาขณะนั้น ก็ถูกหน่วยรักษาความมั่นคงของรัฐบาลเจ้าสีหนุปิด ส่วนตัวเขียว สัมพัน เองก็ถูกนำไปประจารต่อสาธารณชนโดยการเฆี่ยนตี จับเปลื้องผ้า และถ่ายรูปเก็บไว้ หลังจากนั้นจึงถูกนำตัวไปควบคุมพร้อมกับสมาชิกขบวนการฝ่ายซ้ายอีก 17 คน[29] แต่อย่างไรก็ตาม ต่อมาเขียว สัมพัน ก็ได้รับการปล่อยตัว และร่วมมือกับเจ้าสีหนุต่อต้านกิจกรรมของสหรัฐอเมริกาในเวียดนามใต้

 

ทั้งเขียว สัมพัน ฮู ยวน และฮู นิม ต่างก็เป็นปัญญาชนแนวสังคมนิยมที่เจ้าสีหนุเชิญให้เข้ามาร่วมรัฐบาลสังคมราษฎร์ของพระองค์ด้วย โดยฮู ยวน ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์และอุตสาหกรรม ฮู นิม ได้รับตำแหน่งสำคัญในสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา[30] และเขียว สัมพัน ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจ[31]

 

การได้ประกอบอาชีพเป็นครู/อาจารย์ในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง และได้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐบาล ทำให้สมาชิกกลุ่มปัญญาชนปารีสบางคนสามารถแทรกซึมแนวคิดคอมมิวนิสต์เข้าไปยังหมู่ชนชั้นกลางที่อยู่ในเมือง และฐานมวลชนในเขตเลือกตั้งของตนได้[32]

 

 การประชุมสมัชชาพรรคปฏิวัติประชาชนเขมร และการเปลี่ยนแปลง

 

สถานีรถไฟกรุงพนมเปญ สถานที่ที่เคยใช้จัดประชุมสมัชชาพรรคปฏิวัติประชาชนเขมรอย่างลับ ๆ

 

 

วันที่ 30 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม พ.ศ. 2503 พรรคปฏิวัติประชาชนเขมรได้จัดการประชุมสมัชชาพรรคขึ้นอย่างลับ ๆ ในห้องว่าง ณ สถานีรถไฟกรุงพนมเปญ โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการนำประเด็นที่ว่า พรรคควรจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรหรือเลือกเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าสีหนุ มาถกเถียงกันด้วย หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง ที่ประชุมได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อพรรคเป็นชื่อ “พรรคแรงงานแห่งกัมพูชา” โดยแต่งตั้งตู สามุต ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ และนวน เจีย ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ นอกจากนั้นซาลอธ ซาร์ และเอียง ซารี ก็เข้าร่วมเป็นแกนนำของพรรคนี้ด้วย[33]

 

การหายตัวไปอย่างลึกลับของเตา สมุธ (สันนิษฐานกันว่าถูกสังหาร) ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ทำให้พรรคตกอยู่ใต้การควบคุมของซาลอธ ซาร์ แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งต่อมาซาลอธ ซาร์ ก็ได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการพรรคอย่างเป็นทางการ หลังจากที่มีการเลือกตั้งคณะกรรมการกลางของพรรคชุดใหม่ ในการประชุมสมัชชาพรรครอบพิเศษ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2506 โดยมีนวน เจีย และเอียง ซารี ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ และมีโซ พิม กับวอน เวต เป็นแกนนำของพรรค[34] หลังจากนั้นมา ซาลอธ ซาร์ และสหายปัญญาชนปารีสของเขา ก็สามารถควบคุมศูนย์กลางของพรรคได้ทั้งหมด ส่วนกลุ่มสมาชิกเก่าแก่ที่สนับสนุนนโยบายเป็นกลางของรัฐบาล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายเวียดนาม นั้น ก็ถูกลดอำนาจในพรรคลง

 

ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2506 ซาลอธ ซาร์ กับสมาชิกคณะกรรมการกลางของพรรคส่วนใหญ่ ได้ทยอยเดินทางออกจากกรุงพนมเปญ เพื่อไปสร้างกองกำลังกบฏของตนเองขึ้นในบริเวณชายแดนของจังหวัดกำปงจามกับประเทศเวียดนาม[35] ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา ก่อนหน้านั้นไม่นาน เจ้าสีหนุได้รณรงค์ต่อต้านฝ่ายซ้าย และประกาศรายชื่อบุคคล 34 คนที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้ที่วางแผนโค่นล้มรัฐบาลของพระองค์ ซึ่งในจำนวนนั้น มีชื่อของซาลอธ ซาร์ กับครูฝ่ายซ้ายอีกหลายคนติดอยู่ด้วย เจ้าสีหนุได้เรียกตัวบุคคลในรายชื่อเหล่านี้มาพบ เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับรัฐบาลของพระองค์ และปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีต่อพระองค์ ทุกคนที่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าวจะถูกติดตามด้วยตำรวจของพระองค์ตลอด 24 ชั่วโมง มีเพียงซาลอธ ซาร์ และเอียง ซารี เท่านั้น ที่ไม่ถูกติดตาม และสามารถหลบหนีออกมาจากกรุงพนมเปญได้[36]

 

การล่มสลายของรัฐบาลฝ่ายสาธารณรัฐ และการขึ้นสู่อำนาจของเขมรแดง

 

ระหว่าง พ.ศ. 25082509 ซาลอธ ซาร์ และเพื่อนร่วมงานของเขา ได้เดินทางไปเยือนเวียดนามเหนือและสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เวียดนามเหนือ พวกเขาได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ทั้งที่เป็นชาวเวียดนามและชาวกัมพูชาที่อพยพเข้าไปอยู่ในเวียดนามตั้งแต่ พ.ศ. 2498 ซึ่งยังอาจได้รับการฝึกฝนทางการเมืองบางด้านจากที่นั่น[37] ส่วนในจีน พวกเขาได้ไปแสดงจุดยืนของพรรคและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจต่อผู้บริหารระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็น เติ้ง เสี่ยวผิง หรือหลิว เสาฉี เป็นต้น[38] (ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นพันธมิตรกับเจ้าสีหนุ แต่ทางการจีนก็ปิดข่าวการเดินทางมาเยือนของกลุ่มคอมมิวนิสต์กัมพูชาในครั้งนั้นไม่ให้พระองค์ทราบ)

 

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2509 พรรคแรงงานแห่งกัมพูชาได้รับการเปลี่ยนชื่ออย่างลับ ๆ เป็น "พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา" (Communist Party of Kampuchea – CPK) ซึ่งในช่วงปลายปีเดียวกัน ศูนย์บัญชาการของพรรคก็ต้องถูกย้ายไปอยู่ในพื้นที่จังหวัดรัตนคีรี เนื่องจากฐานที่มั่นเดิมถูกจู่โจมโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐอเมริกา[38]

 

ในปีต่อมา ด้วยความช่วยเหลือทางด้านอาวุธและที่พักจากฝ่ายเวียดนามเหนือ พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ที่ประกอบด้วยกลุ่ม 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเขมรแดง (กลุ่มปัญญาชนปารีส) กลุ่มเขมรเวียดมินห์ และกลุ่มเขมรคอมมิวนิสต์[39] ก็เริ่มใช้กำลังต่อต้านรัฐบาลเจ้าสีหนุ โดยเริ่มจากการโจมตีฐานที่มั่นของฝ่ายพระองค์ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือก่อน ขณะเดียวกัน บรรดานักศึกษาและครูในเมืองจำนวนมากก็รู้สึกไม่พอใจกับวิธีการปกครองของเจ้าสีหนุ และหันมาศรัทธาต่อความสำเร็จจากการต่อสู้ทางการเมืองในจีน (การปฏิวัติวัฒนธรรม) และฝรั่งเศส (การลุกฮือเดือนพฤษภาคม 1968) ว่าเป็นขบวนการทางเลือกที่ควรจะมาแทนการปกครองแบบเจ้าสีหนุ[40]

 

อดีตนายกรัฐมนตรีลอน นอล ผู้ร่วมก่อการรัฐประหารยึดอำนาจเจ้าสีหนุ

 

 

เจ้าสีสุวัตถิ์ สิริมาตะ ผู้ร่วมก่อการรัฐประหารยึดอำนาจเจ้าสีหนุ

 

 

ต่อมา หลังจากเหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจเจ้าสีหนุในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2513 โดยเจ้าสีสุวัตถิ์ สิริมาตะ ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสีหนุ และลอน นอล นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในขณะนั้น กลุ่มพลังฝ่ายขวา หรือฝ่ายสาธารณรัฐเขมร ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับขบวนการคอมมิวนิสต์ ก็สามารถเข้ากุมอำนาจทางการเมืองของกัมพูชาได้แทบทั้งหมด พวกเขาได้ร่วมมือกับกองทัพอเมริกากดดันและปราบปรามขบวนการคอมมิวนิสต์ในเขตชนบทอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ภายในช่วงเวลา 4 ปีของการดำรงอำนาจ รัฐบาลฝ่ายสาธารณรัฐก็ต้องเผชิญปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพกัมพูชา เวียดนามใต้ และอเมริกา กับกองทัพเวียดนามเหนือในกัมพูชา ปัญหาการขาดประสิทธิภาพของกองทัพ ปัญหาการขาดผู้นำที่เข้มแข็ง และปัญหาการทุจริตในกลุ่มนายทหารฝ่ายสาธารณรัฐเอง เป็นต้น ตรงกันข้ามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ถึงแม้ว่าจะถูกกดดันโดยภาวะสงคราม แต่ก็ยังเป็นฝ่ายที่สามารถเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในกัมพูชาได้มากกว่าฝ่ายรัฐบาล[41] และหลังจากที่เจ้าสีหนุเปลี่ยนจุดยืนมาสนับสนุนการต่อสู้ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ และตั้งรัฐบาลแนวร่วมแห่งชาติกัมพูชา (Royal Government of National Union of Kampuchea – GRUNK) [42] เพื่อต่อต้านลอน นอล และเจ้าศรีสวัสดิ์ ความนิยมในเขตชนบทที่มีต่อพระองค์ก็เพิ่มมากขึ้น จนเป็นผลให้การขยายอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเป็นไปอย่างง่ายดาย

 

ตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2515 ถึงต้น พ.ศ. 2516 กองกำลังคอมมิวนิสต์เริ่มทดลองนำโครงการนารวมและระบบสหกรณ์รวมมาใช้กับประชาชนในเขตยึดครองของตนเอง และเริ่มมีข่าวลือว่า หลังจากที่พวกเขายึดหมู่บ้านหรือเมืองได้แล้ว พวกเขาจะบังคับให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่นั้นเข้าไปอยู่ในป่าแทนการจับเป็นเชลย[43]

 

ต้น พ.ศ. 2518 กองกำลังคอมมิวนิสต์ได้วางระเบิดตัดเส้นทางชายฝั่งแม่น้ำที่ใช้ลำเลียงอาหารและอาวุธเข้าสู่กรุงพนมเปญ[44] และนำกำลังปิดล้อมเมืองหลวงเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อเตรียมการบุกยึด ในที่สุด หลังจากการหลบหนีออกจากกัมพูชาของนายกรัฐมนตรีลอน นอล ในเดือนมีนาคมของปีเดียวกัน และความพยายามของสหรัฐอเมริกา ที่จะนำฝ่ายคอมมิวนิสต์มาเจรจากับฝ่ายรัฐบาล ไม่เป็นผล กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ที่นำโดยกลุ่มเขมรแดงของซาลอธ ซาร์ ก็เข้าบุกยึดกรุงพนมเปญ ในเช้าตรู่วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 ซึ่งตรงกับวันปีใหม่ของชาวกัมพูชา (เหตุที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เลือกวันนี้เป็นวันบุกยึด เพราะต้องการให้ปีใหม่ปีนั้นเป็นปีเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของกัมพูชาใหม่ทั้งหมด) [45]

 

กัมพูชายุคเขมรแดง

 

 การประกาศใช้รัฐธรรมนูญกัมพูชาประชาธิปไตย

ธงชาติกัมพูชาประชาธิปไตย

 

 

ภาพสมาชิกระดับผู้นำของเขมรแดง - พล พต หรือซาลอธ ซาร์ หัวหน้าขบวนการ ยืนอยู่ตำแหน่งซ้ายมือสุด (ภาพนี้ถูกแสดงในพิพิธภัณฑ์ตวล สเลง)

 

 

หลังจากที่บุกยึดกรุงพนมเปญและสาธารณรัฐกัมพูชาได้สำเร็จ เขมรแดงได้เปลี่ยนระบอบการปกครองของกัมพูชาให้เป็นระบอบสังคมนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีคณะผู้ปกครองหลักคือ พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา หรือพรรคกัมพูชาประชาธิปไตย[46] และมีกลุ่มผู้ปกครองสูงสุดที่เรียกตนเองว่า "อังการ์เลอ" (Angkar Loeu) หรือ "องค์การจัดตั้งระดับสูง" ซึ่งชื่อ "อังการ์เลอ" นี้ ถูกนำมาใช้เพื่ออำพรางตนเองจากการรับรู้ของชาวกัมพูชารวมไปถึงสมาชิกระดับล่างของพรรค[47] ภารกิจต่าง ๆ ของฝ่ายบริหารจะอยู่ในความรับผิดชอบของบุคคลในคณะกรรมาธิการประจำ (กรมการเมือง) ซึ่งเป็นองค์กรหลักภายในคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ในขณะที่คณะกรรมการของพรรคจะมีหน้าที่ควบคุมทุกระดับของการจัดตั้ง นับตั้งแต่กลุ่มที่ประกอบด้วยครอบครัว 10 ครอบครัว กระทรวง สำนักงานของรัฐ และเขตการปกครองต่าง ๆ ของกัมพูชา[48]

 

กลุ่มคอมมิวนิสต์ประกาศยกเลิกรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชาพลัดถิ่น ทำให้กัมพูชาไม่มีรัฐบาลจนกระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญกัมพูชาประชาธิปไตยเมื่อ 5 มกราคม พ.ศ. 2519 เขมรแดงได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญกัมพูชาฉบับใหม่ ภายในนั้นได้มีการบัญญัติชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศกัมพูชาว่า "กัมพูชาประชาธิปไตย" (Democratic Kampuchea) [47] แทนชื่อ "สาธารณรัฐกัมพูชา" พระนโรดม สีหนุยังคงเป็นประมุขรัฐจนกระทั่งพระองค์ลาออกไปเมื่อ2 เมษายน พ.ศ. 2519 พระองค์ถูกกักบริเวณอยู่ในพนมเปญ จนกระทั่งเกิดสงครามกับเวียดนาม พระองค์จึงไปสหรัฐก่อนจะลี้ภัยในประเทศจีนในเดือนมกราคม 2519

 

ศูนย์กลางอำนาจของกัมพูชาในขณะนั้นอยู่ที่ "พล พต" หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมว่าซาลอธ ซาร์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2519 โดยมีเอียง ซารี ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกิจการต่างประเทศ วอน เวต ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกิจการเศรษฐกิจ และซอน เซน ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกิจการกลาโหม[49] สมาชิกของพรรคส่วนใหญ่ ได้แก่ กองกำลังติดอาวุธทั้งชายและหญิงจากครอบครัวชาวนาในชนบทอันห่างไกล ซึ่งทั้งยากจนและขาดโอกาสในการศึกษา[50] โดยส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่เจ็บปวดและโกรธแค้นจากการที่ต้องสูญเสียบ้าน การงาน และครอบครัวเพราะระเบิดของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามกลางเมือง[51]

 

สถาบันหลักทางการเมืองของกัมพูชาประชาธิปไตย คือ “สภาผู้แทนประชาชนกัมพูชา” (Kampuchean People’s Representative Assembly) มีสมาชิก 250 คน ที่ประกอบด้วย 1) ฝ่ายนิติบัญญัติ ที่มาจากการเลือกตั้งอย่างลับ ๆ ทุก 5 ปี (ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ใช้ในขณะนั้น) 2) ฝ่ายบริหาร ที่มาจากการคัดเลือกของสมาชิกสภาผู้แทนประชาชน มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อสภา และ 3) ฝ่ายตุลาการ ที่ทำหน้าที่โดยศาลประชาชน นอกจากนั้นยังมี “สภาเปรสิเดียม” ที่ประกอบด้วยประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี 2 คน ที่ได้รับการคัดเลือกโดยสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนเช่นเดียวกับฝ่ายบริหาร เพื่อทำหน้าที่ตัวแทนของรัฐทั้งในและต่างประเทศ[52] การเลือกตั้งครั้งแรกและครั้งเดียวมีขึ้นเมื่อ 20 มีนาคม พ.ศ. 2519 โดยประชาชนใหม่ไม่ได้เข้าร่วม ผู้บริหารได้รับเลือกเข้าสู่สภาซึ่งถือเป็นสภาเปรซิเดียมของรัฐ หลังจากพระนโรดม สีหนุลาออก ตำแหน่งประมุขรัฐคือประธานาธิบดี ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งคือ เขียว สัมพัน ระบบศาลเป็นการประชาชนซึ่งควบคุมโดยสภา และไม่ได้ระบุถึงการปกครองส่วนท้องถิ่น

 

สิทธิและหน้าที่ของพลเมืองมีกล่าวถึงในมาตราที่ 12 ของรัฐธรรมนูญ ชายและหญิงมีความเสมอภาคกัน และจะไม่มีคนว่างงานในกัมพูชาประชาธิปไตย หลักการเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศถูกระบุไว้ในมาตราที่ 21 โดยระบุถึงความเป็นเอกราช สันติภาพและเป็นกลาง ประกาศสนับสนุนการต่อต้านจักรวรรดินิยมในประเทศโลกที่สาม แม้จะมีการโจมตีแนวชายแดนของไทย ลาว และเวียดนาม แต่ในรัฐธรรมนูญกล่าวว่ารักษาความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรและใกล้ชิดกับประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกัน

 

เขมรแดงได้ประกาศยกเลิกการแบ่งเขตจังหวัดแบบเดิม และแทนที่ด้วยการแบ่งเขตจำนวน 7 เขต คือ เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออก ตะวันตก ตะวันตกเฉียงใต้ และเขตศูนย์กลาง มีเขตพิเศษ 2แห่งคือ เขตพิเศษกระแจะ หมายเลข 105 และเขตพิเศษเสียมราฐ หมายเลข 106 ซึ่งคงอยู่ถึง พ.ศ. 2520 แต่ละเขตแบ่งย่อยเป็นตำบล ซึ่งถูกกำหนดด้วยหลายเลข หมายเลข 1 อยู่ที่บริเวณสัมลต ในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ตำบลถูกแบ่งย่อยเป็นสรุก ขุม และพู ( (หมู่บ้าน) หมู่บ้านประกอบด้วยคนหลายร้อยคน ภายในหมู่บ้านแบ่งเป็นกรม ที่ประกอบด้วย 10 – 15 หลังคาเรือน การบริหารประกอบด้วยคณะที่มีสมาชิกสามคน สมาชิกพรรคควบคุมการบริหารในระดับสูง การบริหารระดับขุมและหมู่บ้านปกครองโดยคนในท้องถิ่น ส่วนน้อยที่เป็นประชาชนใหม่ ในแต่ละเขตการปกครองจะมีคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาประจำอยู่ เพื่อทำหน้าที่ตัดสินใจทั้งในด้านการเมืองและการทหารในเขตพื้นที่ของตน และรอรับคำสั่งจากศูนย์กลางพรรคเพื่อนำไปตีความและประยุกต์ใช้อีกครั้งตามความเหมาะสมของแต่ละท้องที่[53]

 

การอพยพออกจากเมือง

 

ทันทีที่เข้ายึดพนมเปญได้ เขมรแดงได้สั่งให้อพยพประชาชนทั้งหมดออกจากเมืองหลวงไปสู่พื้นที่ชนบท พนมเปญที่เคยมีประชากรถึง 2.5 ล้านคนกลายเป็นเมืองร้าง ถนนที่ออกจากเมืองเต็มไปด้วยประชาชนที่ถูกบังคับให้เดินทางออกจากเมือง ลต ฉาย พี่ชายของพล พตที่ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ตายระหว่างการอพยพอกจากพนมเปญ โรงพยาบาลในพนมเปญว่างเปล่า ไม่มีผู้ป่วย เขมรแดงอนุญาตให้ใช้พาหนะได้เฉพาะคนแก่และคนพิการ ในระหว่างการอพยพคนออกจากเมืองนี้ เขียว สัมพันกล่าวว่ามีคนตายราว 2,000 - 3,000 คน ชาวต่างชาติราว 800 คนถูกกักตัวไว้ในสถานทูตฝรั่งเศส และในช่วงปลายเดือนนั้น คนต่างชาติเหล่านี้ ถูกส่งมายังชายแดนไทยด้วยรถบรรทุก หญิงชาวเขมรที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ จะได้รับอนุญาตให้ออกไปได้ แต่ชายชาวเขมรไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามภรรยาออกไป

 

หลังจากที่เขมรแดงขึ้นมามีอำนาจแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือ ประกาศให้ชาวเขมรทุกคนทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เงินทอง หรือแม้แต่คนที่ตัวเองรักทั้งหลาย เพื่อมาทำงานให้กับคอมมูน คอมมูนคือหน่วยย่อยของเขมรแดง มีคอมมูนละ 10,000 คน หน้าที่ที่คนในค่ายต้องทำทุกวันคือทำงานเกี่ยวกับการเกษตรทั้งหมด ตามแต่ที่คอมมูนใดจะสั่งลงมา แต่ทุกคอมมูนเหมือนกันหมดคือทำงานโดยใช้แรงงานคนทั้งหมดโดยไม่มีเครื่องมือใด ๆ ช่วยทุ่นแรง และต้องทำงานเป็นเวลา 11 ชั่วโมง เป็นเวลา 9 วันติดใครทำงานช้าหรืออิด ๆ ออด ๆ จะถูกลงโทษอย่างหนัก ส่วนวันที่ 10 ต้องมานั่งฟังพวกเขมรแดงอบรมเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์

 

 ความน่าหวาดกลัว

 

หน่วยรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่าสันติบาลที่จัดตั้งขึ้นหลังจาก 17 เมษายน พ.ศ. 2518 นำโดย ซอน เซน รัญมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาประชาธิปไตย เขาได้มอบหมายให้ดุจ เป็นผู้ดำเนินการหน่วยนี้ ในช่วงแรก เขาใช้บริเวณเมืองหลวงเป็นที่กักขังนักโทษ ต่อมา ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2519ดุจได้ย้ายสถานที่คุมขังมาที่คุกตวล แซลงที่คุมขังนักโทษได้ถึง 1,500 คน รัฐบาลเขมรแดงได้สั่งให้จับกุมและประหารชีวิตบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเป็นศัตรูของรัฐ ได้แก่

 

  • ทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรหรือรัฐบาลต่างชาติ
  • ผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ รวมทั้งทุกคนที่มีการศึกษาหรือแม้แต่คนที่สวมแว่นตา
  • ผู้มีความชำนาญในศิลปะ นักดนตรี นักเขียน นักแสดงถูกประหารชีวิต เช่น รส เสรีโสทา แปน โรน และสิน ศรีสมุท
  • ชนกลุ่มน้อยที่มีเชื้อสายเวียดนาม จีน ไทย และชนกลุ่มน้อยบางส่วนในพื้นที่สูงทางตะวันออก ชาวกัมพูชาที่นับถือศาสนาคริสต์หรืออิสลาม พระสงฆ์
  • พ่อค้าในเมืองที่ไม่มีความสามารถในการทำการเกษตร
  •  

มีประชาชนประมาณ 17,000 คนที่เคยเข้าคุกตวลซแลง ส่วนใหญ่ถูกประหารชีวิต มีเพียงราวพันคนที่รอดชีวิตออกมาได้ จำนวนประชากรที่เสียชีวิตในช่วงที่เขมรแดงครองอำนาจยังเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาที่ครองอำนาจสืบต่อจากเขมรแดงระบุว่ามีคนตายไป 3.3 ล้านคน แต่ยังหาตัวเลขที่เป็นการสรุปแน่นอนไม่ได้ งานวิจัยสมัยใหม่ที่ศึกษาทางด้านนี้ระบุว่าคนที่เสียชีวิตน่าจะอยู่ที่ 1.4 - 2.2 ล้านคน มีทั้งที่ถูกฆ่าและตายเพราะขาดอาหารและโรคระบาด โครงการวิจัยทางด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชาระบุว่ามีผู้เสียชีวิตราว 1.2 – 1.7 ล้านคน ส่วนข้อมูลของเขมรแดงเอง พล พตระบุว่ามีคนตาย 800,000 คน ส่วนเขียว สัมพันระบุว่าถูกฆ่าไปราว 1 ล้านคน

 

การเปลี่ยนแปลงสังคม

 

ประชากรที่อพยพออกจากเมืองจะถูกเรียกว่าประชาชนใหม่ ส่วนประชาชนที่อยู่ในเขตชนบทดั้งเดิมถูกเรียกว่าประชาชนเก่า ในระดับล่างสุดของสังคมคือกรม ประกอบด้วย 10 – 15 ครอบครัว กรมบริหารโดยคณะกรรมการสามคน ประธาน พรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้เลือก มีหน้าที่เผยแพร่ความเป็นสังคมนิยมแก่ประชาชนและรายงานขึ้นไปเป็นลำดับชั้น ในระยะแรกมีประชาชนใหม่อยู่ราว 2.5 ล้านคน ประชาชนใหม่ถูกบังคับให้ใช้แรงงานในพื้นที่ที่ยากลำบาก เช่น ในป่า ที่สูงและที่ลุ่ม และมักเกิดปัญหาขัดแย้งกับประชาชนเก่า สมาชิกในครอบครัวถูกแบ่งแยก เพราะต้องทำงานตามอายุและเพศ และมีการแบ่งไปทำงานยังส่วนต่าง ๆ ของประเทศ ประชาชนเก่าจะได้รับการปฏิบัติจากเขมรแดงดีกว่า

 

จากการสัมภาษณ์ผู้อพยพของไมเคิล วิกกอรี ผู้เขียนหนังสือ Cambodia 1975–1982 กล่าวว่าการตายเกิดขึ้นในพื้นที่ด้อยพัฒนาและเกิดกับประชาชนใหม่ที่ถูกส่งไปบุกเบิกพื้นที่ในบริเวณนั้น ในเขตตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้นิยมเวียดนามอยู่มาก และอิทธิพลของพล พตไม่ได้เข้าไปถึงอย่างเต็มที่ การปฏิบัติต่อประชาชนเก่าและประชาชนใหม่เป็นธรรมกว่าและการประหารชีวิตเกิดขึ้นน้อยกว่า ประชาชนใหม่จะไม่ถูกบีบบังคับถ้าให้ความร่วมมือที่ดี ในภาคตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือเป็นบริเวณที่มีความอดอยากมากกว่า เพราะเป็นพื้นที่ที่ต้องส่งข้าวเข้าสู่พนมเปญ เขตเหนือและเขตกลาง ส่วนใหญ่ถูกประหารชีวิตมากกว่าเป็นเหยื่อของความอดอยากส่วนข้อมูลในเขตตะวันออกเฉียงเหนือมีจำกัด

 

ปกติในภาษาเขมรจะมีคำที่แสดงถึงระดับชั้นของสังคม ในสมัยเขมรแดง ประชาชนถูกบังคับให้เรียกคนอื่นว่าสหาย (ภาษาเขมร: មិត្ដ) และงดเว้นการแสดงความเคารพ เขมรแดงได้สร้างคำใหม่ขึ้นใช้ในภาษา เช่น ประชาชนกล่าวว่าพวกเขาต้องทำปลอม (lot dam) ลักษณะของนักปฏิวัติ เพราะพวกเขาเป็นเครื่องมือ (opokar) ขององค์กร การคิดถึงช่วงเวลาก่อนการปฏวัติเป็นความทรงจำที่เจ็บป่วย (chheu satek arom) ซึ่งจะทำให้องค์กรมานำตัวไปสู่ตชค่ายกักกันได้

 

เขียว พอนนารี ภรรยาของพล พตเป็นผู้นำของสมาคนสตรีประชาธิปไตยเขมร และน้องสาวคือเขียว ธิริทธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสังคม ยุน ยัต ภรรยาของซอน เซนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการศึกษา หลาน ๆ ของพล พตทำงานในกระทรวงการต่างประเทศหลายคน ลูกสาวของเอียง ซารีเป็นประธานโรงพยาบาลแม้จะไม่จบชั้นมัธยมศึกษา หลานของเอียง ซารีเป็นผู้แปลภาษาอังกฤษของสถานีวิทยุพนมเปญแม้จะรู้ภาษาอังกฤษน้อยมาก

 

ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านและการล่มสลาย

 

ระหว่างการมีอำนาจเหนือกัมพูชา ผู้นำเขมรแดงฝันจะรื้อฟื้นจักรวรรดิเขมรเมื่อพันปีก่อนโดยการเข้าครอบครองดินแดนบางส่วนของไทยและเวียดนาม หลังจากที่ได้ครองอำนาจใน พ.ศ. 2518 ได้มีการปะทะระหว่างทหารเขมรแดงกับทหารเวียดนาม เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2518 ทหารกัมพูชาโจมตีทหารเวียดนามบนเกาะฟู้โกว๊กและเกาะโถเจาและล้ำเขตเข้าไปในจังหวัดตามแนวชายแดนเวียดนาม ในปลายเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาโจมตีโรงกลั่นน้ำมันที่กำปงโสมทางอากาศและเหตุการณ์มายาเกวซ ทหารเวียดนามได้เข้าโจมตีกัมพูชาที่เกาะปูโลไว ทำห้พล พตและเอียง ซารีต้องไปเยือนฮานอย และได้ลงนามในสนธิสัญญาแสดงถึงความเป็นมิตรของทั้งสองประเทศ เวียดนามยังคงยึดครองเกาะนั้นไว้ในเดือนสิงหาคม และยังมีความขัดแย้งเกี่ยวกับแนวพรมแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในระหว่างที่เขมรแดงครองอำนาจในกัมพูชานี้ ชาวเวียดนามจำนวนมากได้อพยพออกจากกัมพูชา

 

ทางเขมรแดงได้ติดต่อกับเวียดนามเหนือตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2518 เพื่อแก้ไขปัญหาพรมแดนและการยอมรับกัมพูชาในฐานะประเทศเอกราช เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามถือว่าเขมรแดงเป็นเพียงสาขาหนึ่งของตนและพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเป็นพรรคคอมมิวนิสต์หนึ่งเดียวในอินโดจีนอย่างไรก็ตาม ฝ่ายเวียดนามไม่สามารถตกลงกับเขมรแดงได้ เพราะเวียดนามไม่ยอมถอนทหารออกจากบริเวณที่เขมรแดงถือว่าล้ำเข้ามาในดินแดนของกัมพูชา และไม่ยอมรับแนวเบรวิเญ่ ที่ใช้แบ่งเขตน่านน้ำของทั้งสองประเทศ แนวนี้กำหนดโดย จูลส์ เบรวิเญ่ ข้าหลวงใหญ่แห่งสหภาพอินโดจีน เมื่อ พ.ศ. 2482 ทั้งที่ แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียดนามใต้กับสมเด็จพระนโรดม สีหนุได้เคยตกลงกันให้ใช้แนวเบรวิเญ่เป็นแนวพรมแดนระหว่างกันตั้งแต่ พ.ศ. 2509

 

ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและกัมพูชาดีขึ้นใน พ.ศ. 2519 เพราะพล พตมีความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งภายในพรรค ในเดือนพฤษภาคมมีการส่งตัวแทนไปเจรจาเรื่องความขัดแย้งตามแนวชายแดน แต่การเจรจายุติลงโดยไม่สามารถตกลงกันได้ ความขัดแย้งของทั้งสองประเทศรุนแรงขึ้นอีกในปีเดียวกันนั้นเมื่อทางเวียดนามได้ประกาศรวมชาติอินโดจีน และแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับลาวเพื่อให้เขมรแดงทำตาม เมื่อพล พตขึ้นมาเป็นผู้นำใน พ.ศ. 2520 ความสัมพันธ์กับเวียดนามแย่ลงในเดือนเมษายน พ.ศ. 2520 กองทัพเขมรแดงได้บุกโจมตีหมู่บ้านตินห์เบียว ในจังหวัดอันยางของเวียดนาม เวียดนามโต้ตอบด้วยการส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในกัมพูชา เขมรแดงจึงบุกโจมตีจังหวัดไตบินห์และจังหวัดฮาเตียนเป็นการโต้ตอบในเดือนกันยายน [54]

 

นอกจากนั้น กองกำลังเขมรแดงยังโจมตีตามแนวชายแดนลาวและโจมตีหมู่บ้านในบริเวณชายแดนไทยด้านจังหวัดปราจีนบุรี (ในขณะนั้น ปัจจุบันคือจังหวัดสระแก้ว) หลายครั้ง วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2520 มีกลุ่มชาวเขมรข้ามแดนมาปล้นสะดมที่บ้านน้อยป่าไร่ บ้านกกค้อ และบ้านหนองดอ อำเภออรัญประเทศ โดยกองกำลังเขมรเข้าโจมตีบ้านหนองดอก่อน จากนั้นจึงโจมตีบ้านกกค้อที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทำให้ที่บ้านหนองดอ มีผู้เสียชีวิต 21 ศพ ที่บ้านกกค้อ มีผู้เสียชีวิต 8 ศพ กองกำลังเขมรที่เข้าโจมตีที่บ้านน้อยป่าไร่ ซึ่งกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนประจำการอยู่ เกิดการปะทะกัน ทำให้ฝ่ายไทยเสียชีวิต 1 ศพคือ จ.ส.ต. ภิรมย์ แก้ววรรณา ในที่สุดกองกำลังฝ่ายเขมรได้ล่าถอยไป[55]วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2520 กองกำลังกัมพูชาข้ามแดนเข้ามาโจมตีที่บ้านสันรอจะงันและบ้านสะแหง อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี ทำให้มีการปะทะกับตำรวจตระเวนชายแดนและทหารไทย โดย พ.อ. ประจักษ์ สว่างจิตรเป็นผู้นำทหารไทยในการผลักดันกองกำลังกัมพูชาออกไป[55]

 

ในเวลาใกล้เคียงกัน หมู่บ้านตามแนวชายแดนในเวียดนามถูกโจมตี ทำให้เวียดนามหันมาโจมตีทางอากาศต่อกัมพูชาเป็นการสั่งสอน ในเดือนกันยายน ชาวตามแนวชายแดนเสียชีวิต 1,000 คน ทำให้ในเดือนต่อมา เวียดนามนำทหาร 20,000 นายเข้ามาต่อต้านการโจมตีของเขมรแดง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำเขมรแดงกับเวียดนามเลวร้ายลง เพราะเขมรแดงต้องการทำสงคราม และจีนน่าจะอยู่ฝ่ายเขมรแดงระหว่างความขัดแย้งนี้ ในขณะเดียวกันก็เกิดความขัดแย้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ซึ่งเวียดนามได้ตกลงใจใจช่วงต้น พ.ศ. 2521 ที่จะสนับสนุนฝ่ายต่อต้านพล พต ในที่สุด ได้เกิดการลุกฮือนำโดยโส พิมในภาคตะวันออกในเดือนพฤษภาคม ในระหว่างเวลาดังกล่าว สถานีวิทยุพนมเปญได้ประกาศปลุกระดมให้ชาวกัมพูชาลุกขึ้นต่อสู้กับเวียดนาม โดยกล่าวว่าถ้าทหารกัมพูชา 1 คน ฆ่าชาวเวียดนามได้ 30 คน ทหารกัมพูชาที่มีอยู่ราว 2 คน จะเพียงพอในการฆ่าชาวเวียดนาม 50 ล้านคน และเพียงพอในการยึดดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงกลับมาเป็นของกัมพูชา หลังการลุกฮือของโส พิมไม่สำเร็จ ทำให้เกิดการสังหารหมู่ชาวเวียดนามในภาคตะวันออกตามมา ในเดือนพฤศจิกายน วอน เว็ตได้ก่อรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ ทำให้มีทั้งชาวกัมพูชาและชาวเวียดนามจำนวนมากลี้ภัยเข้าไปยังเวียดนาม

 

ในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2521 วิทยุฮานอยได้ประกาศการจัดตั้งแนวร่วมสามัคคีประชาชาติกู้ชาติกัมพูชา ซึ่งเป็นกลุ่มผสมระหว่างพวกที่นิยมและไม่นิยมคอมมิวนิสต์ที่ไปลี้ภัยในเวียดนาม และต้องการโค่นล้มระบอบของพล พตโดยมีเวียดนามหนุนหลัง เวียดนามเริ่มบุกรุกเข้ามาในกัมพูชาเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2521 และใช้เวลาไม่นานก็สามารถยึดพนมเปญได้ในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2522 พล พตและกองกำลังเขมรแดงหลบหนีมายังแนวชายแดนไทยในเขตป่าเขาเพื่อฟื้นฟูกองกำลังขึ้นใหม่ ส่วนแนวร่วมที่เวียดนามหนุนหลังได้จัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาเพื่อฟื้นฟูประเทศในด้านต่าง ๆ ต่อไป

 

หลังสูญเสียอำนาจ

 

หลังสูญเสียอำนาจ เขมรแดงหนีมาใช้ชายแดนไทยเป็นเขตพักพิงและได้รับความช่วยเหลือจากจีนทำให้กลุ่มนี้ฟื้นตัวขึ้นอีก ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2522 กองกำลังเขมรแดงนำโดยพล พตยอมให้นักข่าวชาวญี่ปุ่นเข้าไปสัมภาษณ์ได้ คณะนักข่าวญี่ปุ่นจำนวน 8 คนได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2522 เพื่อเดินทางเข้าสู่กัมพูชาที่ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ พล พตได้ให้สัมภาษณ์ว่าต้องการร่วมมือกับกัมพูชาทุกฝ่ายเพื่อรวมประเทศและปฏิเสธข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คณะนักข่าวชาวญี่ปุ่นเดินทางกลับสู่ประเทศไทยเมื่อ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2522 เมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกไป ฝ่ายของเฮง สัมรินได้ออกแถลงการณ์โจมตีการพบปะของเขมรแดงกับนักข่าวญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2522 ว่าเป็นความร่วมมือของจีน ญี่ปุ่น ไทยและอาเซียนในการสนับสนุนเขมรแดง [56]

 

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525 เขมรแดงเข้าร่วมในรัฐบาลผสมแนวร่วมเขมรสามฝ่ายภายใต้การนำของสีหนุเพื่อต่อต้านเวียดนามและรัฐบาลพนมเปญ เขมรแดงเข้าร่วมในสภาสูงสุดแห่งชาติกัมพูชาโดยตัวแทนคือเขียว สัมพัน และซอนเซน และได้เข้าร่วมในการเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีสเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2534 และร่วมลงนามในข้อตกลง ในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 เกิดเหตุการณ์จลาจลต่อต้านผู้นำเขมรแดง ประชาชนเข้าทำร้ายนายเขียว สัมพันที่เดินทางมาร่วมประชุมสภาสูงสุดแห่งชาติกัมพูชาจนบาดเจ็บ ทำให้การประชุมสภาสูงสุดแห่งชาติต้องเลื่อนออกไป[57] เขมรแดงได้จัดตั้งพรรคการเมืองคือพรรคสามัคคีแห่งชาติกัมพูชาเพื่อเตรียมเข้าร่วมการเลือกตั้ง[58] แต่เกิดความหวาดระแวงว่าอาจเป็นกลลวงให้วางอาวุธเพื่อจับตัวไปดำเนินคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์[59] จึงประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้ง โดยเขมรแดงถอนตัวออกจากการเจรจาสันติภาพ และไม่เข้าร่วมการเลือกตั้ง ไม่ยอมปลดอาวุธและไม่ยอมให้ประชาชนในเขตของตนลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2536[60] จุดยืนของเขมรแดงที่ไม่เข้าร่วมในประบวนการสันติภาพ ตามที่เขียวสัมพันระบุ คือ[61]

 

  • ยังมีทหารเวียดนามจำนวนมากในกัมพูชา โดยปลอมตัวเป็นพลเรือน
  • อันแทคร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาลกัมพูชามากกว่าสภาสูงสุดแห่งชาติกัมพูชา โดยไม่สามารถถ่ายโอนอำนาจบริหารในกระทรวงสำคัญคือกลาโหม ต่างประเทศ การคลัง มหาดไทยและข่าวสารจากรัฐบาลพนมเปญได้ และยังไม่พอใจกฎหมายเลือกตั้งที่อนุญาตให้คนที่มีเชื้อชาติเวียดนามที่มีพ่อหรือแม่เกิดในกัมพูชาเข้าร่วมการเลือกตั้งได้
  • เขมรแดงต้องการยุบเลิกรัฐบาลพนมเปญและให้สภาสูงสุดแห่งชาติกัมพูชาขึ้นมามรอำนาจในการบริหารประเทศก่อนการเลือกตั้ง
  •  

หลังการเลือกตั้ง หลังการเลือกตั้ง เขมรแดงเข้ายึดปราสาทพระวิหารจากฝ่ายของฮุน เซนเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 และขอเปิดการเจรจากับฝ่ายของสีหนุ โดยฝ่ายเขมรแดงยื่นข้อเรียกร้องเข้าร่วมในการบริหารแห่งชาติและตำแหน่งที่ปรึกษาของรัฐบาลใหม่แลกกับการคืนปราสาทพระวิหารและมอบดินแดนที่ยึดไว้คืนให้ฝ่ายรัฐบาล สมเด็จสีหนุทรงเห็นด้วยที่จะรับเขมรแดงเข้าร่วมรัฐบาล แต่ฮุน เซนและนโรดม รณฤทธิ์ไม่เห็นด้วย สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาแทรกแซงโดยประกาศจะตัดความช่วยเหลือกัมพูชา หากมีเขมรแดงร่วมรัฐบาล[62] การเจรจาเพื่อการปรองดองแห่งชาติตามนโยบายของสมเด็จพระนโรดม สีหนุที่เสนอให้เขมรแดงเข้าร่วมในการบริหารประเทศโดยต้องยอมคืนพื้นที่หนึ่งในสามของประเทศให้แก่รัฐบาลและยุบเลิกกองกำลังทั้งหมด แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากการเจรจาครั้งสุดท้ายเมื่อ 27 – 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 ที่กรุงเปียงยาง เกาหลีเหนือล้มเหลว ฝ่ายรัฐบาลจึงออกกฎหมายให้เขมรแดงเป็นกลุ่มนอกกฎหมายด้วยคะแนนเสียง 103 ต่อ 0[63]

 

เมื่อรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชาประกาศให้พรรคการเมืองของเขมรแดงเป็นพรรคที่ผิดกฎหมาย เขมรแดงได้ตอบโต้โดยจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อสหภาพแห่งชาติและการปลดปล่อยแห่งชาติกัมพูชา[64] ที่จังหวัดไพลินและจังหวัดพระวิหารเขมรแดง พยายามเข้ามามีบทบาทเป็นที่ปรึกษาในรัฐบาลใหม่แต่ก็ยังประกาศต่อต้านรัฐบาลใหม่ด้วยอาวุธด้วย รัฐบาลพนมเปญส่งกำลังทหารเข้าปราบเขมรแดงใน พ.ศ. 2537 แต่กองกำลังของเขมรแดงยังยันกำลังฝ่ายรัฐบาลไว้ได้ เขมรแดงพยายามตอบโต้รัฐบาลโดยลักพาตัวชาวบ้านเข้าไปเป็นแรงงานเพื่อเตรียมสู้กับฝ่ายรัฐบาล เช่น ในช่วง 24 ตุลาคม – 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 เขมรแดงเข้ามาลักพาตัวชาวบ้านในจังหวัดเสียมราฐไปราว 150 คน เพื่อนำไปซ่อมสร้างถนนและขนอาวุธให้เขมรแดง [65] การรบของเขมรแดงเน้นการรบแบบจรยุทธ์ ส่วนกลยุทธของฝ่ายรัฐบาลคือพยายามขยายนำความเจริญเข้าไปสู่พื้นที่ห่างไกล เพื่อไม่ให้ตกอยู่ใต้อิทธพลของเขมรแดง และพยายามชักนำให้ทหารระดับล่างของเขมรแดงแปรพักตร์มาร่วมกับฝ่ายรัฐบาล โดยใน พ.ศ. 2536 มีทหารเขมรแดงมอบตัวราว 1,000 คนและใน พ.ศ. 2537 มีทหารเขมรแดงในจังหวัดกำปอตมอบตัวอีกประมาณ 150 – 200 คน[65] ในขณะเดียวกัน รัฐบาลพนมเปญมักจะกล่าวหาทหารไทยว่าให้ความช่วยเหลือเขมรแดงเมื่อเกิดเหตุปะทะกันตามแนวชายแดน ตัวอย่างเช่น ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 ทหารไทยกับทหารกัมพูชาปะทะกันที่ช่องพระประไล อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ โดยทหารกัมพูชาล้ำแดนเข้ามาและซุ่มโจมตีรถบรรทุกทหารในฝั่งไทย ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 2 นาย ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าทหารไทยล้ำแดนกัมพูชาและส่งเสบียงให้เขมรแดง[66]

 

ใน พ.ศ. 2539 เริ่มมีความแตกแยกอย่างรุนแรงในกลุ่มเขมรแดงซึ่งถึงแม้จะต่อสู้กับรัฐบาลด้วยกำลังทหารได้แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไป ความแตกแยกเห็นได้จากการหันมาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลพนมเปญของเอียง สารี และทหารเขมรแดงกว่า 3,000 คน ที่เข้ามอบตัวต่อฝ่ายรัฐบาลเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2539 และจัดตั้งพรรคการเมืองของตัวเองคือขบวนการสหภาพแห่งชาติประชาธิปไตย[67] ในขณะที่วิทยุเขมรแดงออกมาโจมตีเอียง ซารีว่าฉ้อโกงเงินจากกองทัพเขมรแดงจำนวน 400 ล้านบาท และไม่ยอมนำรายได้จากการค้าพลอยและไม้เข้าสู่กองทุนรวมของพรรค[63] และการที่พอล พต สั่งฆ่าซอน เซนและครอบครัวเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2540[68] เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 เขมรแดงนำโดยเขียว สัมพัน ตา มก ตา มุต และตา มิตยังเข้าช่วยฝ่ายของพระนโรดม รณฤทธิ์ในการต่อสู้กับทหารฝ่ายของฮุน เซนแต่สุดท้ายฝ่ายของพระนโรดม รณฤทธิ์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้[69] ต่อมาใน พ.ศ. 2540 นี้เอง เขียว สัมพันได้แยกตัวออกจากเขมรแดงไปจัดตั้งพรรคการเมืองของตนเองคือพรรคเอกภาพแห่งชาติเขมร เพื่อเข้าร่วมในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541

 

หลังจากการเสียชีวิตของพอล พต เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2541 กองกำลังเขมรแดงส่วนใหญ่ได้ยอมวางอาวุธ เขียว สัมพัน กับนายเจียยอมจำนนต่อฮุน เซนเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2541 ทำให้เหลือเพียงกองกำลังติดอาวุธจำนวนน้อยของตาม็อกเท่านั้น เขียว สัมพันและตาม็อกประกาศยกเลิกรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อสหภาพแห่งชาติและการปลดปล่อยแห่งชาติกัมพูชาหลังการเสียชีวิตของพล พต ใน พ.ศ. 2541 ตาม็อกถูกฝ่ายรัฐบาลจับได้เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ตาม็อกและกังเก็กเอียงที่เป็นผู้บัญชาการคุกต็วล ซแลง ที่ใช้คุมขังนักโทษการเมืองในขณะที่เขมรแดงเรืองอำนาจ ถูกตั้งข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

 

การพิจารณาคดีอดีตผู้นำเขมรแดง

 

ใน พ.ศ. 2540 รัฐบาลกัมพูชาได้เริ่มดำเนินการที่จะดำเนินคดีกับผู้นำเขมรแดงในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่กระบวนการเกิดขึ้นช้า ซึ่งรัฐบาลกล่าวว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ดีและชาดแคลนเงินทุน หลายประเทศได้ให้เงินสนับสนุนรวมทั้งอินเดียและญี่ปุ่น แต่จนเดือนมกราคม พ.ศ. 2549 เงินทุนก็ยังไม่เพียงพอ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549 ศาลสูงของกัมพูชาได้ตัดสินว่าผู้นำเขมรแดง 30 คนมีความผิด และสหประชาชาติเสนอให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่

 

ใน พ.ศ. 2550 นายเอียง ซารีและนางเขียว ธิริธภรรยา ถูกจำคุกที่ศาลนานาชาติกรุงพนมเปญตามคำสั่งของสมเด็จ ฮุน เซนนายกรัฐมนตรีและส่วนนั้นยังไม่มีผู้รายงานมาดำเนินคดี มีเพียงเหลือแต่เขียว สัมพัน อายุ 75 ปี และคัง เค็ค เอียว หรือ สหายดุช อดีตหัวหน้าเรีอนจำตวนสเลง เท่านั้น ที่จะดำเนินคดีล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมร กัง เก็ก เอียวหรือสหายดุจ อดีตผู้ควบคุมคุกตวลแซลงถูกดำเนินคดีเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ในคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชากว่า 1.7 ล้านคน

 

 

 

******************************************************************************

 

 

 

              

ถ้ารักสุขภาพก็น่าจะลองอ่านดูนะครับ...แต่ถ้าเห็นไม่สำคัญก็ไม่จำเป็นต้องอ่าน..
เรื่องราวที่สำคัญระดับโลกและควรแชร์มากที่สุดในโลก!!!<br />
================================ </p>
<p>เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่าเป็นความสำคัญระดับโลก <br />
ซึ่งผมWellness 2012ได้พยายามเผยแพร่แนวคิดและความรู้ด้านนี้มาตั้งแต่ 20 สิงหาคม 2012เป็นต้นมา     <br />
แนวคิดและความรู้ด้านนี้เป็นการพลิกโต๊ะ…..ล้มกระดาน….ล้มคว่ำอวิชชา ..ความหลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า60ปี<br />
แน่นอนว่าต้องฝืนกระแส  ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที่คนจะเปิดสมองเปิดใจรับอย่างดุษฎี</p>
<p>แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ….แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าหากคุณไม่เชื่อ….คุณต้องกล้าเผชิญความเสี่ยงโดยเอาชีวิตและสุขภาพของคุณเองเป็นเดิมพัน….ถูกคืออะไร  ผิดคืออะไร<br />
ไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกันแทนตัวคุณเองได้ </p>
<p>และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลักMain stream Medicine จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า60ปี</p>
<p>     นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา  เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า25ปี  เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจมาหลายหมื่นเส้น  ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่ </p>
<p>      “ แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell)ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า  ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกับสาเหตูตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง  วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที   ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย  สัมมนาวิชาการ  วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตูโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่านๆมานั้นไม่ถูกต้อง !!!!!” </p>
<p>      “ ครับเป็นเวลากว่า60ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว   ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว   แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์  ไม่เป็นความจริง  และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “<br />
“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน  โรคหัวใจ  โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด” </p>
<p>เอาล่ะตอนนี้ผมจะขมวดสาระสำคัญที่นายแพทย์ Dr. Dwight Lundellได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ  จดจำเป็นกรอบความคิด  เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆกันไปได้ง่ายขึ้น </p>
<p>1.	จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆดังกล่าว  มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ60ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไปหมด   อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน  เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค  สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว  นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ <br />
2.	ทั้งๆที่มีประชากร(โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)ประมาณ 25%ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหารLow fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย  แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า   มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา60ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์   ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริการายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน  มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า20 ล้านคน   มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes)กว่า57 ล้านคน    ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆว่า  อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายูน้อยลงๆ  (เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก )    มีคำถามตัวโตๆว่าทำไม?? <br />
3.	คำตอบที่ง่ายๆสั้นๆที่สุดก็คือ  หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย  ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้  หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี     การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!<br />
4.	การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร   มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส  พิษต่างๆ    แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย  กำจัดไม่ได้  จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง(ซ้ำแล้วซ้ำเล่า)   การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง <br />
5.	พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(polyunsaturated fats)ทีอยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด  น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ  และน้ำตาลสูงๆในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง      ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา60ปีที่ผ่านมา <br />
6.	ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด25ปีที่ผ่านมา    แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆโดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆอันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆบริเวณท้องแขน  ถูไปมาจนค่อยๆแดง เลือดซิบๆ  นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆเข้า หากยังคงอัเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม  จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก <br />
7.	ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆไปขัดถู  แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่  ไม่เกินโควตา( ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย )  ทันที่ที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า    ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน    แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว  อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆชนิดในเลือด   กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ    การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆมื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า    ผมอยากจะย้ำๆกับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น    ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแช็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ  จนบวมปูด  เลือดไหลแต่อย่างใด   ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆมื้อ  หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก  อักเสบเรื้อรัง <br />
8.	นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด  น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ     โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลกหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป  เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม  ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3: 1 แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว    จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว  อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหนกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก    เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี    ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง   เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย  ฟาสต็ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช( โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ???? ทั้งๆที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย   แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพธ์ที่ว่า” ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????<br />
9.	ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง(ทำนองแม่ปูเดินนำลูกปู) ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ   ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง  สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1  ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง <br />
10.	ปํญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน  ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป  ทานน้ำตาลมาก  ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ   ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจนกลายไปเป็นโรคเบาหวาน  ความดันสูง  โรคหัวใจ  หลอดเลือดตีบตัน  เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์  อัลไซเมอร์ ฯลฯ     ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนษย์ประดิ่ษฐ์ขึ้นมา  ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 7,280 mg  น้ำมันถั่วเหลือง1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 6,940 mg   ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6ไม่เกิน20%</p>
<p>11.	 ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด  ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้   ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย  ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี( ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆจึงไม่เหม็นหืน???) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน  </p>
<p>12.	 นับจากนี้ไป  คำว่าคาร์โบไฮเดรตนั้นหมายถึงให้ทานแต่คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่เมื่อย่อยในร่างกายแล้วค่อยๆกลายเป็นน้ำตาลอย่างช้าๆ ไม่ท่วมเลือดทันที เช่นถั่ว  ธัญพืช  ข้าวกล้อง  ผัก ผลไม้ ไม่ใช่แป้งขัดขาว ไม่ใช่น้ำตาลทราย   ทานโปรตีนเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ   หากต้องการใช้น้ำมันปรุงอาหารให้คิดถึงน้ำมันมะกอก </p>
<p>13.	ถ่ายถอน  โล๊ะทิ้งสารพัดข้อมูลซึ่งท่วมทับเราที่ผ่านๆว่า “ ไขมันอิ่มตัวทำให้เป็นโรคหัวใจ”  “ ไขมันอิ่มตัวทำให้ระดับคลอเลสโตรอลในเลือดสูงขึ้น” เหล่านี้เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไปแล้ว    ถึงเวลาที่วงการแพทย์ต้องออกมาแสดงความรับผิด ในความผิดพลาดเหล่านี้  จนทำให้ไขมันอิ่มตัวกลายเป็นผู้ร้ายแต่ทำให้ไขมันโอเมก้า-6กลายเป็นพระเอก จนทำให้โรดร้ายแรงทั้งหลายแพร่ระบาดไปทั้งโลกทั่งๆที่ไม่ใช่โรคติดต่อ !!!!</p>
<p>เขียนโดย นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell<br />
แปลเรียบเรียงโดย Wellness 2012
เรื่องราวที่สำคัญระดับโลกและควรแชร์มากที่สุดในโลก!!!
================================

 

เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่าเป็นความสำคัญระดับโลก
ซึ่งผมWellness 2012ได้พ

ยายามเผยแพร่แนวคิดและความรู้ด้านนี้มาตั้งแต่ 20 สิงหาคม 2012เป็นต้นมา
แนวคิดและความรู้ด้านนี้เป็นการพลิกโต๊ะ…..ล้มกระดาน….ล้มคว่ำอวิชชา ..ความหลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า60ปี
แน่นอนว่าต้องฝืนกระแส ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที่คนจะเปิดสมองเปิดใจรับอย่างดุษฎี

แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ….แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าหากคุณไม่เชื่อ….คุณต้องกล้าเผชิญความเสี่ยงโดยเอาชีวิตและสุขภาพของคุณเองเป็นเดิมพัน….ถูกคืออะไร ผิดคืออะไร
ไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกันแทนตัวคุณเองได้

และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลักMain stream Medicine จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า60ป

นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า25ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจมาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่

“ แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell)ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกับสาเหตูตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตูโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่านๆมานั้นไม่ถูกต้อง !!!!!”

“ ครับเป็นเวลากว่า60ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “
“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด”

เอาล่ะตอนนี้ผมจะขมวดสาระสำคัญที่นายแพทย์ Dr. Dwight Lundellได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ จดจำเป็นกรอบความคิด เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆกันไปได้ง่ายขึ้น

1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ60ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ
 

2. ทั้งๆที่มีประชากร(โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)ประมาณ 25%ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหารLow fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา60ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริการายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes)กว่า57 ล้านคน ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายูน้อยลงๆ(เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก ) มีคำถามตัวโตๆว่าทำไม??


3. คำตอบที่ง่ายๆสั้นๆที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!


4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง(ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง


5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(polyunsaturated fats)ทีอยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา60ปีที่ผ่านมา


6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด25ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆโดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆอันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆบริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆแดง เลือดซิบๆ นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆเข้า หากยังคงอัเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก


7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควตา( ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย ) ทันที่ที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆมื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า ผมอยากจะย้ำๆกับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแช็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆมื้อ หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง


8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลกหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3: 1 แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหนกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต็ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช( โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ???? ทั้งๆที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพธ์ที่ว่า” ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????


9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง(ทำนองแม่ปูเดินนำลูกปู) ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1 ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง


10. ปํญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจนกลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนษย์ประดิ่ษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 7,280 mg น้ำมันถั่วเหลือง1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 6,940 mg ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6ไม่เกิน20%

11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี( ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆจึงไม่เหม็นหืน???) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน

12. นับจากนี้ไป คำว่าคาร์โบไฮเดรตนั้นหมายถึงให้ทานแต่คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่เมื่อย่อยในร่างกายแล้วค่อยๆกลายเป็นน้ำตาลอย่างช้าๆ ไม่ท่วมเลือดทันที เช่นถั่ว ธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ ไม่ใช่แป้งขัดขาว ไม่ใช่น้ำตาลทราย ทานโปรตีนเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ หากต้องการใช้น้ำมันปรุงอาหารให้คิดถึงน้ำมันมะกอก

13. ถ่ายถอน โล๊ะทิ้งสารพัดข้อมูลซึ่งท่วมทับเราที่ผ่านๆว่า “ ไขมันอิ่มตัวทำให้เป็นโรคหัวใจ” “ ไขมันอิ่มตัวทำให้ระดับคลอเลสโตรอลในเลือดสูงขึ้น” เหล่านี้เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาที่วงการแพทย์ต้องออกมาแสดงความรับผิด ในความผิดพลาดเหล่านี้ จนทำให้ไขมันอิ่มตัวกลายเป็นผู้ร้ายแต่ทำให้ไขมันโอเมก้า-6กลายเป็นพระเอก จนทำให้โรดร้ายแรงทั้งหลายแพร่ระบาดไปทั้งโลกทั่งๆที่ไม่ใช่โรคติดต่อ !!!!

เขียนโดย นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell
แปลเรียบเรียงโดย Wellness 2012ดูเพิ่มเติม

 

 

             

guest

Post : 2013-03-09 21:46:15.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  คนที่รักคุณจริง..

 

 

 

               

 

 

 

 

                

 

 

 

 

 

 

 

จะแต่งงานแล้วหรือยังไม่ได้แต่ง ก็ควรจะอ่านนี่ ...</p><p>"เมื่อผมกลับถึงบ้านในคืนนั้น ภรรยาของผมกำลังเสิร์ฟอาหารมื้อค่ำ ผมถือมือของเธอและพูดว่า ผมมีบางสิ่งบางอย่างที่จะบอกคุณ เธอนั่งลงและกินอย่างเงียบ ๆ เป็นอีกครั้งที่ผมสังเกตเห็นความเจ็บปวดในสายตาของเธอ ทันใดนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดต่อไปยังไง ผมแค่รู้ว่าผมจะต้องบอกเธอในสิ่งที่ผมคิดให้ได้ “ผมต้องการหย่า” ผมเริ่มบทสนทนาอย่างเรียบๆ เธอดูไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของผม แต่กลับถามผมอย่างสงบ “ทำไม?”</p><p>ผมหลีกเลี่ยงคำถามของเธอ และนั่นทำให้เธอโกรธ เธอโยนตะเกียบทิ้งและตะโกนมาที่ผม “หน้าตัวเมีย!” คืนนั้นเราไม่ได้พูดคุยกัน เธอร้องไห้ ผมรู้ว่าเธอต้องการที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแต่งงานของเรา แต่ผมคงไม่สามารถจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเธอได้ เธอได้สูญเสียความรักของผมให้กับเจน ผมไม่ได้รักเธออีกต่อไป ผมแค่สงสารเธอ!</p><p>ผมร่างข้อตกลงการหย่าด้วยความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวง สัญญาระบุว่าเธอจะเป็นเจ้าของบ้านของเรา รถของเราและสัดส่วนการถือหุ้น 30% บริษัท ของผม เธออ่านมันเผินๆแล้วฉีกมันเป็นชิ้น ผู้หญิงที่ได้ใช้เวลาสิบปีที่ผ่านมาในชีวิตของเธอให้กับผมได้กลายเป็นคนแปลกหน้า ผมรู้สึกเสียใจสำหรับเวลาที่เสียไปของเธอ แต่ผมก็ไม่สามารถกลับคำพูดที่ผมได้ขอหย่ากับเธอ เพราะผมเองก็รักเจนมาก ในที่สุดเธอก็ปล่อยโฮออกมาต่อหน้าผม อย่างที่ผมนึกคาดไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับผมการร้องไห้ของเธอเป็นเหมือนการปลดปล่อย ความคิดของการหย่าร้างซึ่งทำให้ผมสับสนมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ตอนนี้ดูเหมือนจะแน่ชัดและชัดเจนขึ้น</p><p>วันรุ่งขึ้น ผมกลับมาถึงบ้านดึกมากและพบว่าเธอกำลังเขียนบางอย่างอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่ได้ทานอาหารมื้อเย็น แต่ตรงไปยังที่นอนและหลับลงอย่างรวดเร็ว เพราะผมเหนื่อยหลังจากวันที่แสนยุ่งกับเจน เมื่อผมตื่นขึ้นมาเธอยังคงนั่งเขียนอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่อยากจะสนใจเธอผมจึงพลิกตัวหนีเพื่อจะนอนต่อ</p><p>ในตอนเช้า เธอยื่นเงื่อนไขการหย่าร้างของเธอ เธอไม่ได้ต้องการอะไรจากผม แค่ผมจะต้องบอกให้เธอรู้หนึ่งเดือนก่อนที่ผมจะหย่ากับเธอ เธอขอร้องว่าในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนั้น เราทั้งคู่จะพยายามดำเนินชีวิตคู่อย่างปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอให้เหตุผลง่ายๆว่า เพราะลูกชายของเรากำลังจะสอบ และเธอไม่อยากให้การหย่าของเรากระทบกระเทือนการสอบของเขา</p><p>นี่คือข้อตกลงของเธอกับผม เธอขอให้ผมระลึกถึงวันแต่งงานของเราทั้งคู่และขอให้ผมระลึกถึงช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอเข้าเรือนหอในวันที่เราแต่งงานกันโดยการให้ผมอุ้มเธอออกจากห้องนอนของเราไปยังประตูหน้าบ้านทุกวัน ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนสุดท้ายของชีวิตแต่งงานของเรา ผมคิดว่าเธอบ้าไปแล้วแต่ก็ตกลงยอมรับคำขอของเธอ</p><p>ผมบอกเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขการหย่าร้างของภรรยาของผม เจนหัวเราะเสียงดังและคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่ว่าภรรยาของผมจะใช้มารยาอะไรที่เธอมี มันก็ไม่ทำให้เธอหลีกเลี่ยงการหย่าร้างได้ เจนกล่าวอย่างเหยียดหยาม</p><p>ผมและภรรยาไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวกันมาตั้งแต่ผมแสดงความตั้งใจเรื่องการหย่า ดังนั้นเมื่อผมอุ้มเธอออกไปที่ประตูบ้านเป็นวันแรก เราทั้งคู่จึงดูงุ่มง่าม ลูกชายของเราปรบมืออยู่ด้านหลัง “กำลังอุ้มแม่อยู่เหรอครับ” คำกล่าวของเขาทำให้ผมรู้สึกปวดใจ ระยะทางตั้งแต่ห้องนอนไปที่ห้องนั่งเล่นจนเลยไปที่ประตู ผมเดินกว่าสิบเมตรพร้อมกับเธอในอ้อมแขนของผม เธอปิดตาของเธอและพูดเบา ๆ ; อย่าบอกลูกของเราเกี่ยวกับเรื่องหย่า ผมพยักหน้ารู้สึกอารมณ์เสียบ้าง ผมปล่อยเธอลงที่ด้านนอกประตู เธอไปรอรถประจำทางเพื่อไปทำงาน ผมขับรถคนเดียวไปยังสำนักงาน</p><p>ในวันที่สอง เราทั้งคู่ต่างเกร็งน้อยลง เธอโน้มตัวบนหน้าอกของผม ผมได้กลิ่นหอมจากเสื้อของเธอ ผมตระหนักว่าผมไม่เคยจ้องมองที่ผู้หญิงคนนี้อย่างละเอียดเป็นเวลานานแล้ว ผมรู้สึกตัวขึ้นมาว่าเธอไม่ได้อ่อนเยาว์อีกต่อไป มีริ้วรอยจางๆบนใบหน้าของเธอ ผมของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีเทา! การแต่งงานของเราได้ทำให้เธออ่อนแรงลงไป นาทีนั้นผมถามตัวเองว่า ผมทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้อย่างไร</p><p>ในวันที่สี่ เมื่อผมได้อุ้มเธอขึ้น ผมรู้สึกว่าความผูกพันของเรากำลังย้อนกลับมา นี่คือผู้หญิงที่ได้มอบชีวิตตลอดสิบปีที่ผ่านมาของเธอให้ผม ในวันที่ห้าและหก ผมตระหนักว่าความผูกพันของเรายิ่งมากขึ้นไปอีก ผมไม่ได้บอกเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยิ่งนานวันผ่านไป การอุ้มเธอไปที่หน้าประตูก็ยิ่งรู้สึกง่ายดายขึ้น บางทีการออกกำลังกายกับเธอในอ้อมแขนทุกเช้าอาจทำให้ผมแข็งแรงขึ้น</p><p>เธอเลือกชุดที่เธอจะใส่ในเช้าวันหนึ่ง เธอลองใส่ตัวนั้นตัวนี้อยู่พักใหญ่แต่ก็หาที่ถูกใจไม่ได้ จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ “ชุดของฉันหลวมไปหมด” ในตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าร่างกายของเธอนั่นเองที่ได้ผ่ายผอมลง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงสามารถอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น</p><p>ทันใดนั้นผมก็เข้าใจทุกอย่าง ในหัวใจของเธอซ่อนความเจ็บช้ำและขมขื่นไว้มากมาย มือของผมยื่นไปแตะศรีษะของเธอโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ</p><p>ลูกชายของเราได้เข้ามาขัดจังหวะ เขาพูดว่าถึงเวลาที่ผมต้องอุ้มเธอออกไปแล้ว การที่ลูกชายของผมได้เห็นผมอุ้มแม่ของเขาออกไปกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปเสียแล้ว ภรรยาของผมกวักเรียกเขาเข้ามาแล้วกอดเขาไว้แน่นผมหันหน้าหนีเพราะกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจเรื่องการหย่าในนาทีสุดท้าย ผมเข้าไปโอบเธอขึ้นมา อุ้มเธอออกไปจากห้องนอน ผ่านห้องนั่งเล่นจนถึงประตู มือของเธอคล้องคอของผมอย่างแผ่วเบาและเป็นธรรมชาติ ผมกอดเธอไว้แน่น ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับวันแต่งงานของเรา</p><p>แต่น้ำหนักที่เบาโหวงของเธอทำให้ผมเศร้าใจ ในวันสุดท้ายเมื่อผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน ผมแทบจะไม่เดินไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ลูกชายของเราไปโรงเรียนแล้ว ผมกอดเธอไว้แน่นและกล่าวว่าผมไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าชีวิตของเราขาดความใกล้ชิด จากนั้นผมรีบขับรถไปที่สำนักงาน กระโดดออกมาจากรถอย่างรวดเร็วโดยยังไม่ทันจะได้ล็อคประตู ผมกลัวหากผมมัวชักช้า ผมจะเปลี่ยนใจอีก ...ผมเดินขึ้นไปที่ชั้นบน เจนเป็นคนเปิดประตูและผมบอกกับเธอ “ผมขอโทษเจน แต่ผมเปลี่ยนใจเรื่องหย่าแล้ว”</p><p>เธอมองผมด้วยความงุนงง จากนั้นจึงเอื้อมมือแตะที่หน้าผากของผม คุณไม่สบายรึเปล่า? เธอถาม ผมดึงมือของเธอออก “ขอโทษนะ เจน แต่ผมจะไม่หย่ากับภรรยาของผม ชีวิตแต่งงานของผมมันอาจจะเปลี่ยนเป็นน่าเบื่อเพราะหล่อนและผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดชีวิตของเรา แต่ผมไม่ได้เบื่อชีวิตคู่เพราะเราทั้งสองไม่ได้รักกันแล้ว ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ในเมื่อผมโอบกอดเธอไว้ในวันแต่งงานของเรา ผมก็ควรที่จะโอบกอดเธอจนความตายจะพรากเราจากกัน เจนดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างในทันที เธอตบผมฉาดใหญ่แล้วกระแทกประตูปิด เจนทรุดลงทั้งน้ำตา ผมเดินลงมาชั้นล่างและขับรถออกไป มาถึงที่ร้านดอกไม้ ผมซื้อดอกไม้ช่อหนึ่งเพื่อภรรยาของผม พนักงานสาวที่ร้านถามผมว่าจะให้เธอเขียนข้อความบนบัตรว่าอะไร ผมยิ้มและเขียนว่า “ผมจะอุ้มคุณออกไปที่ประตูทุกเช้า จนกว่าเราจะตายจากกัน”</p><p>เย็นวันนั้น ผมกลับบ้าน ผมถือดอกไม้ไว้ในมือ ผมมีรอยยิ้มบนใบหน้า ผมวิ่งขึ้นบันได...เพียงเพื่อจะพบภรรยาของผมนอนอยู่บนเตียง เธอไม่หายใจ ภรรยาของผมได้ต่อสู้กับโรคมะเร็งเป็นเวลาหลายเดือน ในขณะที่ผมมัวยุ่งอยู่กับเจนเกินกว่าที่จะรับรู้อาการผิดปกติของเธอ เธอรู้ว่าเธอกำลังจะตายและเธอก็อยากจะช่วยให้ผมหลุดพ้นจากความรู้สึกแย่ๆของลูกชายที่เขาจะมีต่อผมหากว่าเราหย่าจากกัน เพราะว่าอย่างน้อย...ในสายตาของลูกชายผม ผมก็จะยังเป็นสามีที่รักใคร่ดูแลเธอ</p><p>จริงๆแล้ว รายละเอียดเล็กๆน้อยๆในชีวิตของคุณ คือสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตไม่ใช่คฤหาสถ์หลังใหญ่ ไม่ใช่รถไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองในธนาคาร สิ่งเหล่านี้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีความสุข แต่ไม่สามารถให้ความสุขในตัวของมันเอง</p><p>ดังนั้น หาเวลาที่จะอยู่เป็นเพื่อนคนข้างๆคุณ และทำสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นให้แก่กัน ขอให้มีชีวิตคู่ที่มีความสุข!<br />หากคุณไม่ได้เผยแพร่ข้อความนี้ออกไป คุณก็ไม่ได้เสียหายอะไร</p><p>แต่ถ้าคุณทำ คุณก็อาจจะช่วยชีวิตคู่ไว้อีกหลายคู่ คนหลายๆคนยอมแพ้ในเรื่องชีวิตคู่ของเขาโดยที่เขาไม่มีทางได้รู้ว่าพวกเขาอยู่ใกล้ความสุขแค่เอื้อม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                     คนที่รักคุณจริง...

 

จะแต่งงานแล้วหรือยังไม่ได้แต่ง ก็ควรจะอ่านนี่ ...

 

"เมื่อผมกลับถึงบ้านในคืนนั้น ภรรยาของผมกำลังเสิร์ฟอาหารมื้อค่ำ ผมถือมือของเธอและพูดว่า ผมมีบางสิ่งบางอย่างที่จะบอกคุณ เธอนั่งลงและกินอย่างเงียบ ๆ เป็นอีกครั้งที่ผมสังเกตเห็นความเจ็บปวดในสายตาของเธอ ทันใดนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดต่อไปยังไง ผมแค่รู้ว่าผมจะต้องบอกเธอในสิ่งที่ผมคิดให้ได้ “ผมต้องการหย่า” ผมเริ่มบทสนทนาอย่างเรียบๆ เธอดูไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของผม แต่กลับถามผมอย่างสงบ “ทำไม?”

 

ผมหลีกเลี่ยงคำถามของเธอ และนั่นทำให้เธอโกรธ เธอโยนตะเกียบทิ้งและตะโกนมาที่ผม “หน้าตัวเมีย!” คืนนั้นเราไม่ได้พูดคุยกัน เธอร้องไห้ ผมรู้ว่าเธอต้องการที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแต่งงานของเรา แต่ผมคงไม่สามารถจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเธอได้ เธอได้สูญเสียความรักของผมให้กับเจน ผมไม่ได้รักเธออีกต่อไป ผมแค่สงสารเธอ!

 

ผมร่างข้อตกลงการหย่าด้วยความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวง สัญญาระบุว่าเธอจะเป็นเจ้าของบ้านของเรา รถของเราและสัดส่วนการถือหุ้น 30% บริษัท ของผม เธออ่านมันเผินๆแล้วฉีกมันเป็นชิ้น ผู้หญิงที่ได้ใช้เวลาสิบปีที่ผ่านมาในชีวิตของเธอให้กับผมได้กลายเป็นคนแปลกหน้า ผมรู้สึกเสียใจสำหรับเวลาที่เสียไปของเธอ แต่ผมก็ไม่สามารถกลับคำพูดที่ผมได้ขอหย่ากับเธอ เพราะผมเองก็รักเจนมาก ในที่สุดเธอก็ปล่อยโฮออกมาต่อหน้าผม อย่างที่ผมนึกคาดไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับผมการร้องไห้ของเธอเป็นเหมือนการปลดปล่อย ความคิดของการหย่าร้างซึ่งทำให้ผมสับสนมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ตอนนี้ดูเหมือนจะแน่ชัดและชัดเจนขึ้น

 

วันรุ่งขึ้น ผมกลับมาถึงบ้านดึกมากและพบว่าเธอกำลังเขียนบางอย่างอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่ได้ทานอาหารมื้อเย็น แต่ตรงไปยังที่นอนและหลับลงอย่างรวดเร็ว เพราะผมเหนื่อยหลังจากวันที่แสนยุ่งกับเจน เมื่อผมตื่นขึ้นมาเธอยังคงนั่งเขียนอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่อยากจะสนใจเธอผมจึงพลิกตัวหนีเพื่อจะนอนต่อ

 

ในตอนเช้า เธอยื่นเงื่อนไขการหย่าร้างของเธอ เธอไม่ได้ต้องการอะไรจากผม แค่ผมจะต้องบอกให้เธอรู้หนึ่งเดือนก่อนที่ผมจะหย่ากับเธอ เธอขอร้องว่าในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนั้น เราทั้งคู่จะพยายามดำเนินชีวิตคู่อย่างปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอให้เหตุผลง่ายๆว่า เพราะลูกชายของเรากำลังจะสอบ และเธอไม่อยากให้การหย่าของเรากระทบกระเทือนการสอบของเขา

 

นี่คือข้อตกลงของเธอกับผม เธอขอให้ผมระลึกถึงวันแต่งงานของเราทั้งคู่และขอให้ผมระลึกถึงช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอเข้าเรือนหอในวันที่เราแต่งงานกันโดยการให้ผมอุ้มเธอออกจากห้องนอนของเราไปยังประตูหน้าบ้านทุกวัน ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนสุดท้ายของชีวิตแต่งงานของเรา ผมคิดว่าเธอบ้าไปแล้วแต่ก็ตกลงยอมรับคำขอของเธอ

 

ผมบอกเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขการหย่าร้างของภรรยาของผม เจนหัวเราะเสียงดังและคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่ว่าภรรยาของผมจะใช้มารยาอะไรที่เธอมี มันก็ไม่ทำให้เธอหลีกเลี่ยงการหย่าร้างได้ เจนกล่าวอย่างเหยียดหยาม

 

ผมและภรรยาไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวกันมาตั้งแต่ผมแสดงความตั้งใจเรื่องการหย่า ดังนั้นเมื่อผมอุ้มเธอออกไปที่ประตูบ้านเป็นวันแรก เราทั้งคู่จึงดูงุ่มง่าม ลูกชายของเราปรบมืออยู่ด้านหลัง “กำลังอุ้มแม่อยู่เหรอครับ” คำกล่าวของเขาทำให้ผมรู้สึกปวดใจ ระยะทางตั้งแต่ห้องนอนไปที่ห้องนั่งเล่นจนเลยไปที่ประตู ผมเดินกว่าสิบเมตรพร้อมกับเธอในอ้อมแขนของผม เธอปิดตาของเธอและพูดเบา ๆ ; อย่าบอกลูกของเราเกี่ยวกับเรื่องหย่า ผมพยักหน้ารู้สึกอารมณ์เสียบ้าง ผมปล่อยเธอลงที่ด้านนอกประตู เธอไปรอรถประจำทางเพื่อไปทำงาน ผมขับรถคนเดียวไปยังสำนักงาน

 

ในวันที่สอง เราทั้งคู่ต่างเกร็งน้อยลง เธอโน้มตัวบนหน้าอกของผม ผมได้กลิ่นหอมจากเสื้อของเธอ ผมตระหนักว่าผมไม่เคยจ้องมองที่ผู้หญิงคนนี้อย่างละเอียดเป็นเวลานานแล้ว ผมรู้สึกตัวขึ้นมาว่าเธอไม่ได้อ่อนเยาว์อีกต่อไป มีริ้วรอยจางๆบนใบหน้าของเธอ ผมของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีเทา! การแต่งงานของเราได้ทำให้เธออ่อนแรงลงไป นาทีนั้นผมถามตัวเองว่า ผมทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

 

ในวันที่สี่ เมื่อผมได้อุ้มเธอขึ้น ผมรู้สึกว่าความผูกพันของเรากำลังย้อนกลับมา นี่คือผู้หญิงที่ได้มอบชีวิตตลอดสิบปีที่ผ่านมาของเธอให้ผม ในวันที่ห้าและหก ผมตระหนักว่าความผูกพันของเรายิ่งมากขึ้นไปอีก ผมไม่ได้บอกเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยิ่งนานวันผ่านไป การอุ้มเธอไปที่หน้าประตูก็ยิ่งรู้สึกง่ายดายขึ้น บางทีการออกกำลังกายกับเธอในอ้อมแขนทุกเช้าอาจทำให้ผมแข็งแรงขึ้น

 

เธอเลือกชุดที่เธอจะใส่ในเช้าวันหนึ่ง เธอลองใส่ตัวนั้นตัวนี้อยู่พักใหญ่แต่ก็หาที่ถูกใจไม่ได้ จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ “ชุดของฉันหลวมไปหมด” ในตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าร่างกายของเธอนั่นเองที่ได้ผ่ายผอมลง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงสามารถอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น

 

ทันใดนั้นผมก็เข้าใจทุกอย่าง ในหัวใจของเธอซ่อนความเจ็บช้ำและขมขื่นไว้มากมาย มือของผมยื่นไปแตะศรีษะของเธอโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ

 

ลูกชายของเราได้เข้ามาขัดจังหวะ เขาพูดว่าถึงเวลาที่ผมต้องอุ้มเธอออกไปแล้ว การที่ลูกชายของผมได้เห็นผมอุ้มแม่ของเขาออกไปกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปเสียแล้ว ภรรยาของผมกวักเรียกเขาเข้ามาแล้วกอดเขาไว้แน่นผมหันหน้าหนีเพราะกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจเรื่องการหย่าในนาทีสุดท้าย ผมเข้าไปโอบเธอขึ้นมา อุ้มเธอออกไปจากห้องนอน ผ่านห้องนั่งเล่นจนถึงประตู มือของเธอคล้องคอของผมอย่างแผ่วเบาและเป็นธรรมชาติ ผมกอดเธอไว้แน่น ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับวันแต่งงานของเรา

 

แต่น้ำหนักที่เบาโหวงของเธอทำให้ผมเศร้าใจ ในวันสุดท้ายเมื่อผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน ผมแทบจะไม่เดินไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ลูกชายของเราไปโรงเรียนแล้ว ผมกอดเธอไว้แน่นและกล่าวว่าผมไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าชีวิตของเราขาดความใกล้ชิด จากนั้นผมรีบขับรถไปที่สำนักงานกระโดดออกมาจากรถอย่างรวดเร็วโดยยังไม่ทันจะได้ล็อคประตู ผมกลัวหากผมมัวชักช้า ผมจะเปลี่ยนใจอีก ...ผมเดินขึ้นไปที่ชั้นบน เจนเป็นคนเปิดประตูและผมบอกกับเธอ “ผมขอโทษเจน แต่ผมเปลี่ยนใจเรื่องหย่าแล้ว”

 

เธอมองผมด้วยความงุนงง จากนั้นจึงเอื้อมมือแตะที่หน้าผากของผม คุณไม่สบายรึเปล่า? เธอถาม ผมดึงมือของเธอออก “ขอโทษนะ เจน แต่ผมจะไม่หย่ากับภรรยาของผม ชีวิตแต่งงานของผมมันอาจจะเปลี่ยนเป็นน่าเบื่อเพราะหล่อนและผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดชีวิตของเรา แต่ผมไม่ได้เบื่อชีวิตคู่เพราะเราทั้งสองไม่ได้รักกันแล้ว ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ในเมื่อผมโอบกอดเธอไว้ในวันแต่งงานของเรา ผมก็ควรที่จะโอบกอดเธอจนความตายจะพรากเราจากกัน เจนดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างในทันที เธอตบผมฉาดใหญ่แล้วกระแทกประตูปิด เจนทรุดลงทั้งน้ำตา ผมเดินลงมาชั้นล่างและขับรถออกไป มาถึงที่ร้านดอกไม้ ผมซื้อดอกไม้ช่อหนึ่งเพื่อภรรยาของผม พนักงานสาวที่ร้านถามผมว่าจะให้เธอเขียนข้อความบนบัตรว่าอะไร ผมยิ้มและเขียนว่า “ผมจะอุ้มคุณออกไปที่ประตูทุกเช้า จนกว่าเราจะตายจากกัน”

 

เย็นวันนั้น ผมกลับบ้าน ผมถือดอกไม้ไว้ในมือ ผมมีรอยยิ้มบนใบหน้า ผมวิ่งขึ้นบันได...เพียงเพื่อจะพบภรรยาของผมนอนอยู่บนเตียง เธอไม่หายใจ ภรรยาของผมได้ต่อสู้กับโรคมะเร็งเป็นเวลาหลายเดือน ในขณะที่ผมมัวยุ่งอยู่กับเจนเกินกว่าที่จะรับรู้อาการผิดปกติของเธอ เธอรู้ว่าเธอกำลังจะตายและเธอก็อยากจะช่วยให้ผมหลุดพ้นจากความรู้สึกแย่ๆของลูกชายที่เขาจะมีต่อผมหากว่าเราหย่าจากกัน เพราะว่าอย่างน้อย...ในสายตาของลูกชายผม ผมก็จะยังเป็นสามีที่รักใคร่ดูแลเธอ

 

จริงๆแล้ว รายละเอียดเล็กๆน้อยๆในชีวิตของคุณ คือสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตไม่ใช่คฤหาสถ์หลังใหญ่ ไม่ใช่รถไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองในธนาคาร สิ่งเหล่านี้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีความสุข แต่ไม่สามารถให้ความสุขในตัวของมันเอง

 

ดังนั้น หาเวลาที่จะอยู่เป็นเพื่อนคนข้างๆคุณ และทำสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นให้แก่กัน ขอให้มีชีวิตคู่ที่มีความสุข!
หากคุณไม่ได้เผยแพร่ข้อความนี้ออกไป คุณก็ไม่ได้เสียหายอะไร

 

แต่ถ้าคุณทำ คุณก็อาจจะช่วยชีวิตคู่ไว้อีกหลายคู่ คนหลายๆคนยอมแพ้ในเรื่องชีวิตคู่ของเขาโดยที่เขาไม่มีทางได้รู้ว่าพวกเขาอยู่ใกล้ความสุขแค่เอื้อม

 

 

***********************************************************************

 

 

 

สุขุมพันธุ์ กระทำผิดมาตรา 57 DSI เรียกเข้ารับทราบข้อหา 14 มีนา นี้

 

 

 



กรมสอบสวนคดีพิเศษ เตรียมเรียกว่าที่ผู้ว่าฯ กทม.รับทราบข้อหาหักเงินเดือน ส.ส.เข้าบัญชีพรรคประชาธิปัตย์ ขัด พ.ร.บ.พรรคการเมือง 14 มี.ค.นี้ ส่วน ส.ส.อีก 46 คน รอเปิดประชุมสภาฯ ก่อน ยันไม่ได้กลั่นแกล้งหรือเตะตัดขา อ้างก่อนหน้านี้เจ้าตัวมีภารกิจหาเสียงผู้ว่าฯ จึงยอมปล่อยไปก่อน
 


วันนี้ (8 มี.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีการจ่ายเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองให้กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยวิธีการให้สภาผู้แทนราษฎรหักเงินเดือน ส.ส.เข้าบัญชีพรรคว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีจำนวน ส.ส.หักบัญชีเงินเดือนเข้าพรรคประชาธิปัตย์รวมทั้งสิ้น 48 ราย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 2550 มาตรา 57 วรรค 2 ซึ่งระบุว่า การบริจาคแก่พรรคการเมืองตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไปจะต้องบริจาคโดยวิธีการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงิน หรือเช็คขีดคร่อม โดยในจำนวนบุคคลที่บริจาคเงินเข้าพรรคด้วยการหักบัญชีเงินเดือน มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ ในส่วนนายอภิสิทธิ์ได้แจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว ส่วน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตนเพิ่งส่งหนังสือเชิญให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 14 มี.ค. เวลา 09.30 น.



พ.ต.อ.นิรันดร์กล่าวต่อว่า หลังการแจ้งข้อกล่าวหาและเปิดโอกาสให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ชี้แจงแล้ว ตนในฐานะหัวหน้าคณะทำงานจะสรุปความเห็นสั่งฟ้องเสนอต่ออธิบดีดีเอสไอทันที คาดว่าจะสรุปสำนวนเสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน ส่วน ส.ส.อีก 46 คนที่หักบัญชีเงินเดือนเข้าพรรคด้วยนั้นจะรอให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 20 เม.ย.ก่อนจึงจะทยอยเรียกเข้ารับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การเรียก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในช่วงนี้ยืนยันว่าดีเอสไอไม่มีเจตนากลั่นแกล้งหรือต้องการให้เกิดผลกระทบต่อการรับรองตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. แต่ดำเนินการตามขั้นตอนปกติ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์มีภารกิจหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ดีเอสไอจึงเห็นควรให้ชะลอการเรียกเข้ารับทราบข้อกล่าวหาหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นไปครั้งหนึ่งแล้ว



พ.ต.อ.นิรันดร์กล่าวต่อว่า สำหรับการหักเงินเดือน ส.ส.เข้าบัญชีพรรคการเมืองมีจำนวนผู้หักเงินเข้าพรรคทั้งสิ้น 48 ราย ตั้งแต่ช่วงปี 2551-2554 รวมเป็นเงินบริจาคที่ได้จากการหักบัญชีเงินเดือนประมาณ 15 ล้านบาท ในจำนวนนี้พบว่านายอภิสิทธิ์ ได้หักบัญชีเงินเดือนตนเองจำนวน 21 ครั้ง ส่วน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์หักเงินไปจำนวน 5 ครั้ง เป็นเงินประมาณ 1 แสนบาท สำหรับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญพรรคการเมือง ระบุโทษจากการกระทำผิดมาตรา 57 ว่าต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ที่ให้แก่พรรคการเมืองหรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปีด้วย

 

 

 

เงินส่วยผิดกฎหมายจ่ายให้พรรค ก็ต้องใช้วิธี เอาชื่อสส รับแล้วจ่ายแทน เพื่อหลบการสืบค้นร่องรอย

กระทู้คำถาม
ถ้าเงินมันมีที่มาอย่างบริสุทธิ์

ใครจะไปเลือกใช้ วิธีประหลาดแบบนี้

ก็ควักเช็คสั่งจ่าย ตัดจากบัญชีตัวเอง

เล่นตามกฎหมาย

เป็นวิธีที่ ปลอดภัยต่อตัวเองมากที่สุด

สำหรับพรรคที่เล่นแต่กฎหมายมาทั้งชีวิต

ก็ย่อมรู้ว่าทางเล็ดรอดอย่างไร กับการ

รับเงินจากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามเข้าพรรค

โดยใช้ชื่อ สส เป็นคนบริจาคแทน แตกแบ็งค์

ย่อยไม่ให้เห็นความผิดปรกติ

แล้วให้สืบคนไม่ได้ ว่ามาจากใคร ที่สำคัญ หลบเลี่ยงไม่ให้คนบริจาคตัวจริง

ถูกตรวจสอบว่าเป็นใคร

ถ้ามีเรื่องราว ถูกตรวจสอบขึ้นมา ก็ไม่ติด

ร่างแห เพราะมันถูกตัดตอน ที่ สสเสียก่อน

นี่คือที่มาของการที่ สส ไม่ยอมจ่าย

เป็นเช็ค บริจาคให้พรรค โดยใช้เงิน
 
 
 
 
ผมเดาว่า คนที่หยิบเรื่องนี้มาเล่น ต้องรู้ว่าใส้ในมันคืออะไร

ข้อหาที่ตั้ง มันเพียงเปลือก เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ถ้า สาว

ขุด เด๊่ยวจะได้รู้ว่า ในรังนี้มันมีอะไรบ้าง เดี๋ยวได้เห็นแน่ ตามข่าว

กันต่อไป
 
 


สดแทน หรือเปล่า
 
 
 


เพราะ เงินก้อนนี้ไม่มีอยู่ในมือตัวเองจริง

จะให้คนบริจาคออกเป็นเช็คได้อย่างไร

วิธีนี้ มันสืบร่องรอยย้อนไม่ได้ เคลียร์ไหม

 

guest

Post : 2013-03-08 20:11:05.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  กลอนหวานๆ เศร้าๆ..

 

 

 

 

               อวยพรให้...

 

 

          

 

 

 

 

....ไปเถอค่ะ เเม่ลูก คงอยู่ได้

 

กังวลใจ มีอยู่บ้าง ห่างคงหาย

 

สองชีวิต คิดว่า ถ้าไม่ตาย

 

เรื่องผู้ชาย พอกันที ไม่มีทาง

 

 

  

....ถนนนั้น สว่างไสว ไปต่อเถิด

 

เรื่องที่เกิด ผ่านพ้นปล่อย ค่อยสะสาง

 

รักสดใส กับหญิงใหม่ อย่าให้จาง

 

อย่าให้ร้าง เหมือนเเม่ลูก ถูกทิ้งเลย....

 

 

 

 

 

******************************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

***********************************************************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นของสหรัฐฯ ได้จัดอันดับประเทศที่หยาบคายกับนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก โดยอิงจากข้อมูลของ Skyscaner เว็บท่องเที่ยวชื่อดัง ที่เปิดให้ผู้ใช้งานเว็บจากทั่วโลกร่วมโหวต ปรากฏว่าประเทศที่หยาบคายกับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุด ก็คือประเทศที่ต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก นั่นก็คือฝรั่งเศส ได้คะแนนไปมากถึงร้อยละ 20 ของผลโหวตทั้งหมด สาวนประเทศไทยอยู่เกือบท้ายของผลโหวตเพราะมีความเป็นมิตร



สำหรับเหตุผลที่ฝรั่งเศสได้ครองแชมป์ประเทศที่ไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยว ผู้ร่วมโหวต รวมถึงกูรูด้านการท่องเที่ยวจากซีเอ็นเอ็นให้เหตุผลว่าเป็นเพราะคนฝรั่งเศสมักมีกิริยามารยาทห้วนๆ ไม่ถ้อยทีถ้อยอาศัย โดยเฉพาะกับชาวต่างชาติ นอกจากนี้ชาวฝรั่งเศสยังมีความภูมิใจในภาษาของตัวเองมากจนเมื่อนักท่องเที่ยวสั่งอาหารหรือถามทางด้วยภาษาต่างชาติ ก็มักจะไม่ได้รับคำตอบ หรือเป็นการตอบแบบไม่เต็มใจที่ดูไม่สุภาพ



นอกจากนี้ สนามบินชาล เดอ โกลของกรุงปารีส ยังได้รับการโหวตให้เป็นสนามบินที่นักท่องเที่ยวเกลียดมากที่สุดอีกด้วย เนื่องจากพนักงานที่ไม่เป็นมิตร และยังเป็นสนามบินที่แออัดจอแจมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก



ส่วนประเทศที่ขึ้นชื่อในด้านความไม่มีอัธยาศัยไมตรีกับชาวต่างชาติเป็นอันดับสอง ก็คือรัสเซีย ดินแดนหมีขาวที่ผู้คนดูเย็นชาดุดัน ตามด้วยอังกฤษ และเยอรมนี ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าผู้คนเย็นชาไม่ค่อยมีอัธยาศัยไมตรี



ส่วนประเทศในเอเชียที่ขึ้นชื่อด้านความหยาบคายมากที่สุดในสายตานักท่องเที่ยว ก็คือจีน โดยในขณะที่สาวเสิร์ฟในปารีสมักมองว่าตัวเองสูงส่งกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ สวาเสิร์ฟหรือพนักงานขายของในจีนมักเป็นเด็กสาวจากชนบทที่ขี้อาาย และมักไม่กล้าพูดคุยกับลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นกิริยาที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้สึกไม่พอใจ นอกจากนี้ เรื่องของการแซงคิว ยังเป็นสิ่งที่ชาวจีนมีชื่อเสียมากที่สุดอีกด้วย



สำหรับประเทศที่อยู่ที่โหล่ของการจัดอันดับประเทศหยาบคายนี้ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นประเทศที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก ก็คือบราซิล ดินแดนแห่งสายลมแสงแดดที่ผู้คนเป็นมิตรและสนุกสนานเฮฮาอยู่ตลอดเวลา ส่วนประเทศไทยเองก็ติดอันดับประเทศที่เป็นมิตรกับชาวต่างชาติเช่นกัน โดยอยู่ในลำดับเกือบสุดท้ายของการจัดอันดับนี้เลยทีเดียว

 

 

 

*************************************************************************

 

 

(จากคุณ เคจิ บอร์ดสนทนา IF)

[IMG]

 

     ม๊อบ ทวงคืน ปตท.ในเฟสบุ๊ค ครับ


ผลงานเชิงประจักษ์ ของพวกเรา ได้เห็นกันแล้ว จากการลดราคาน้ำมัน กลุ่มเบนซิน ลงมา 2 ครั้ง รวม 0.80 บาท และ กรณี หุ้น กลุ่มพลังงาน ขอ...ง ปตท. สวนตลาด ปิดลบ หลายวันทั้งที่ดัชนี ตลาดหลักทรัพย์พุ่งร้อนแรง


๐ จากยอดหมั่นใส้ เฉียดแสน และยอดแชร์ม๊อบทวง คืน ปตท. ในเฟสบุ๊ค ที่ขึ้นไป แสนกว่าๆ บอกแล้วว่า "พวกเราจะได้เห็นผลเชิงประจักษ์" และถ้า แชร์กัน หลายแสนเรือนล้าน ล่ะครับพี่น้อง ไม่ต้องวางแผนไปปิดถนน ยึดตึกอะไร เราช่วยกันในสื่อออนไลน์ ของ ปชช.ตรงนี้ ช่วยกันแชร์ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง "แค่ช่วยกันแชร์ ก็แก้ไข แพงทั้งแผ่นดิน เพราะ ปตท. ได้" ... ช่วยกันไม่ต้องรอใคร ครับ พี่น้อง!

เขาไม่น่ามาลองดูหรือลองดีกับประชาชนที่ขณะนี้เริ่มรู้ระแคะระคายมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาฉลาดเขาต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ โดยไม่เอาเปรียบจนน่าเกลียดอย่างที่แล้วมาซึ่งมันนานเกินพอที่ควรจะหยุดได้แล้ว ให้คิดใหม่ว่า ได้กินบ้างดีกว่าจะไม่ได้กินเลย จะเอาแบบไหนขอให้บอกมา เดี๋ยวจัดให้ จัดหนักด้วย

 

 

                   ประเทศไทย ... เบนซิน 95 = 48.25  ค่าเเรงขั้นต่ำชั่วโมงละ = 37.5 บาท

 

 ผมยัง งง กับโฆษณา ปตท.ผู้นำด้านพลังงานไทยไม่หาย
ทีมสำรวจพลังงานดั้นด้นลุยทะเลทราย ฝ่าพายุหิมะ เพื่อไปสำรวจหาแหล่งพลังงาน
แล้วยังไงครับ...สำรวจเจอแล้วเขาจะให้เราขุดเอาเหรอ สมบัติเขา..แล้วใครจะขุด...
นอกจากจ้างฝรั่งขุดให้อีก แล้วแบ่งกับเจ้าของประเทศเขาหรือยังไง...
(ในประเทศก็มีให้สำรวจ แต่..แมร่งยกให้ฝรั่งไปหมดแล้ว สัมปทานยาว 99 ปี.....พ่อง..)

อย่าบอกนะว่าไม่มีโนวอาว ในการขุดเป็นของตนเอง ฝรั่งมันสอนวิธีสำรวจอย่างเดียวรึยังไง
มันสอนให้เอาไม้แหย่รูดูว่าในรูมีปูมีกบ มีหนู มีงู เท่านั้นหรือ... มันไม่ให้จอบให้เสียมมาด้วยรึไง
ถ้างั้น... ปตท. ก็ไม่เจ๋งไปกว่าคนแหย่ไข่มดแดง ที่มีลำไม้ไผ่ ตะกร้า เป็นของตนเอง..
แล้วมาอ้างเรื่องต้นทุนสูง..

ประเทศนี้มันป่วย .....สินค้านำเข้าอันดับหนึ่งคือน้ำมัน..
แต่สินค้าออกอันดับหนึ่ง ก็คือน้ำมันเหมือนกัน.......ฮ่วย...!..ถ้ามรึงไม่บ้า กรูก็เมา..

  1. นี่คือตารางราคาขายน้ำมันเบนซิน และดีเซลของประเทศยุโรป
    ซึ่งถ้าประเปรียบเทียบไปแล้ว ราคาใกล้เคียงกับที่คนไทยต้องจ่าย
    ทั้งๆที่รายได้ต่อหัวของประชากรไทย ยังถือว่าแตกต่างจากประเทศเหล่านี้มากมาย
    อย่างเช่นที่ (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ยูโร = 38.50 บาท)

    ประเทศออสเตรีย ราคาเบนซินขายอยู่ที่ประมาณ ลิตรละ 46.50 บาท แต่ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ ชั่วโมง ละ 8 ยูโร(ประมาณ 308 บาท)

    ประเทศ ฝรั่งเศษ ,, ,, 55.82 บาท ค่าแรงขั้นต่ำ ชั่วโมงละ 7.61 ยูโร ( 293 บาท)

    ประเทศ ลักซัมเบิร์อก ,, ,, 45.81 บาท ค่าแรงขั้นต่ำ ชั่วโมงละ 8.48 ยูโร ( 326 บาท)

    ประเทศ เบลเยี่ยม ,, ,, 53.82 บาท ค่าแรงขั้นต่ำ ชั่วโมงละ 7.35 ยูโร ( 283 บาท)

    ประเทศ เยอรมนี ,, ,, 53.20 บาท ค่าแรงขั้นต่ำ ชั่วโมงละ 8.50 ยูโร ( 327 บาท)

guest

Post : 2013-03-07 20:00:26.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  จอดรถ

 

 

                        

 

                   พ่อกะล่อนทอง..

 

 

 

 

           

 

 

 

 

 

....พูดจริงเหรอ? เมื่อคืนนี้ ที่ไม่ดึก

 

เห็นทำคึก กลับตีสอง ย่องเบาหวิว

 

อยู่ข้างนอก ลอยละล่อง ดั่งฟองปลิว

 

เจ๊หน้านิ่ว รอเฮียกลับ หลับไปเลย

 

 

  

....ตื่นเช้ามา ทำขยัน ฉันล่ะเบื่อ

 

ตูละเชื่อ เฮียทำได้ หน้าตาเฉย

 

บอกเมื่อคืน สามทุ่มครึ่ง บึ่งมาเลย

 

เดี๋ยวผมเผย บอกความจริง เจ๊ยิงตาย!!..

 

 

 

 

 

 

 

 

*************************************************************

 

 

 

 

          

 

 

 

 

***********************************************************************

 

 

                                       การตั้งชื่อตามหลักทักษา

 

 

 

 

 คนเกิดวันไหน ให้เอาอักษรวรรคนั้นนำหน้า


วัน 1 (อาทิตย์) อะ อา อิ อี อึ อื อุ อู เอ โอ อักษรที่ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ (กาลกิณี) ศ ษ ส ห ฬ
วัน 2 (จันทร์) ก ข ค ฆ ง อักษรที่ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ (กาลกิณี) อะ อา อิ อี อึ อื อุ อู เอ โ
วัน 3 (อังคาร) จ ฉ ช ซ ฌ ญ อักษรที่ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ (กาลกิณี) ก ข ค ฆ ง
วัน 4 (พุธ) ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ อักษรที่ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ (กาลกิณี) จ ฉ ช ซ ฌ ญ
วัน 5 (พฤหัสบดี) บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม อักษรที่ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ (กาลกิณี) ด ต ถ ท ธ น
วัน 6 (ศุกร์) ศ ษ ส ห ฬ ฮ อักษรที่ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ (กาลกิณี) ย ร ล ว
วัน 7 (เสาร์) ด ต ถ ท ธ น อักษรที่ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ (กาลกิณี) ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
วัน 8 (พุธกลางคืน) ย ร ล ว อักษรที่ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ (กาลกิณี) บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม

พิเศษ :
ผู้ชาย ควรใช้วรรค เดช, ศรี นำหน้า แต่ถ้าในชื่อนั้นมีอักษรที่เป็นเดชและศรีอยู่แล้ว อยากให้มี ทุนทรัพย์ หรือมรดก ก็ให้ใช้วรรคมูละนำหน้าได้ ถ้าอยากให้มีความขยันหมั่นเพียร การประกอบกิจการค้า หรือการเกษตรกรรม อุตสาหกรรมให้เกิดผลสำเร็จ จากความมีมานะ ก็ใช้วรรคอุตสาหะนำหน้าได้

ผู้หญิง ควรช้วรรค ศรี นำหน้า

* สำหรับคุณเกิดวัน 8 (พุธกลางคืน) ควรระวังในการตั้งชื่อ ไม่ควรใช้วรรค 4 ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ในการตั้งชื่อถึงจะไม่เป็นกาลกิณีก็ตาม เพราะ ราหู กับ พุธ เป็นศัตรูกัน

เผยชื่อ สกุล สุดแปลก มีอยู่จริงในประเทศไทย ...(ตายนานแล้ว ลืมจำไม่ได้ .. ลำเทียน จ้องผสมพันธุ์) ช่วงเซ็งการเมือง

 

 

 

เผยชื่อ สกุล สุดแปลก มีอยู่จริงในประเทศไทย


หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูล ตัวเลขของ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยพบว่าประชากรของไทยล่าสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.2554 มีทั้งสิ้น 64,076,033 คน โดยในจำนวนดังกล่าวมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ถึง 1,017,737 คน


ในกว่า64 ล้านคนเหล่านี้ ก็จะมีการตั้งชื่อ สกุลที่แตกต่างกันไป โดยจะมีการซ้ำกันในชื่อจำนำนวนมาก โดยพบว่า ชื่อที่มีคนนิยมใช้มากที่สุด โดยได้มาจดไว้กับสำนักทะเบียนราษฎร คือ สมชาย จำนวน 240,000 คน ซึ่งบุคคลสำคัญในประเทศไทยก็ใช้ชื่อ สมชาย รวมอยู่ด้วย ทั้ง อดีตนายกรัฐมนตรี ดารา นักแสดง เป็นต้น


ขณะเดียวกัน ชื่อที่มีผู้ใช้น้อย และไม่ซ้ำกันนั้น มักจะเป็นชื่อที่มีความแปลกประหลาด ทั้งการตั้งใจและไม่ตั้งใจใช้ชื่อดังกล่าว โดยรายชื่อต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ถูกรวบรวมไว้ ซึ่งปรากฎอยู่จริงในประเทศไทย

 

 

 

ตายนานแล้ว ลืมจำไม่ได้
จิรายุ บินทะลุบ้าน
วริศรา รอดคงรวย
จรัสวิภา กล้านอนหงาย
กิตติมา ฆ่าไม่ตาย
สังหาร สาหัส
หล่อ พิลึก
ไชโย โห่สามที
สัญญา ชอบโกหก
แสง บาดตาสาว
ประสบ อุบัติเหตุ
เชื้อ ร้ายแรง
ปัญญา อ่อน
สมศักดิ์ หวังกระแทกคาง
หวังนที จู๋ยืนยง
ณรงค์ นัดใช้ปืน
กันภัย สูญสิ้นภัย
อูโน่ หลาวทอง
อธิป จู๋กระจ่าง
ศักดิพันธ์ ชอบนอนหงาย
บรรจง หนึ่งในยุทธจักร
กนกกร เม่งเวหา
รรรรรร (อ่านว่า ระ – รัน – รอน)
ท่านฮ่องเต้ สมลุนาวัน
นารัตน์ พัดลม
พล.อ.การุณ เก่งระดมยิง
ลำเทียน จ้องผสมพันธุ์
มนศักดิ์ กางมุ้งคอย
สร้อยเหม็น ฟางน้อย
ไพรัตน์ หม้อน้ำร้อน
ภาคภูมิ ด้วนรู้ที่
หรูหรา ออมตอง
วรุณนาโศรก จันทรคดี
หรินาท ปรปักษ์เป็นจุล
ชัยยศ พรหมจารีย์พินาศ
ชาติหมา(ชา – ติ – หะ – มา)
วรต อกระโทก
(ชื่อ )บริสุทธิ์ (ตอนโทรศัพท์ มักถามว่า… บริสุทธิ์อยู่ไหม?)
ติ๊บ บุญนำ
แคน อัครฮาก
บรรพต เจ็ดพี่น้องร่วมใจ
ชาติชาญ เล่นเอาขำ
จันมี โถรองมูล
(ชื่อ) สามศร
นนนที ปล้ำกะโทก
การหาญ โดนอม (อ่านว่า โด – นอม)
สายใจ เกาะมหาสนุก
ณรงค์ นัด ใช้ปืน

Thank you credit = สหายจันดี@IF

 

 

 

ความหมายของทักษา

 

บริวาร หมายถึง บุตร สามี ภรรยา ข้าทาสบริวารชายหญิง คนในบ้านผู้ที่อยู่ในอุปการะ ผู้ใต้บังคับบัญชา รวมไปจนถึงเพื่อนและมิตรสหายของตน


อายุ หมายถึง อายุ ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตที่ต้องเพื่อให้มีอายุยืนยาว หรือมีอายุมั่นขวัญยืน หากนำตัวอักษรที่มีทักษานี้มาตั้ง เชื่อกันว่าทำให้มีอายุยืนยาว


เดช หมายถึง อำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง มีความสามารถในการควบคุมบังคับบัญชาคน


ศรี หมายถึง สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา


มูละ หมายถึง ทุนทรัพย์ หรือมรดก ราคาและคุณค่าที่จะเพิ่มพูนให้แก่ตนเองในปัจจุบันและภายภาคหน้า

อุตสาหะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร การประกอบกิจการค้า หรือการเกษตรกรรม อุตสาหกรรมให้เกิดผลสำเร็จ จากความมีมานะ อุตสาหะและความพยายามของตนเอง


มนตรี หมายถึง ความเป็นใหญ่ หรือประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน


กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

guest

Post : 2013-03-04 19:21:11.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ชาล้นถ้วย

 

 

 

                                                        

                ปธน. ‘ฮูโก้ ชาเวซ‘ แห่งเวเนซุเอลาถึงแก่อสัญกรรมลงแล้ว

 

                              

  

ประธานาธิบดี ''ฮูโก ชาเวซ'' แห่งเวเนซุเอลา ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว หลังสู้กับโรคมะเร็งร้ายมาอย่างยาวนาน ประชาชนเศร้าโศกร่ำไห้ทั้งประเทศ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รองประธานาธิบดี นิโกลัส มาดูโร คนสนิทของ ประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา ออกมายืนยันว่า นายชาเวซ วัย 58 ปี ซึ่งต่อสู้กับโรคมะเร็ง มาเป็นเวลา 18 เดือน ได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เมื่อช่วงดึกของวันอังคารที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น

 


"ปีศาจพึ่งก้าวลงไปจากแท่นปราศรัยแห่งนี้ ข้าพเจ้ายังได้กลิ่นกำมถันอยู่จางๆ" ประธานาธิบดี ฮูโก ซาเวซ แห่งเวเนซุเอลาซึ่งขึ้นไปปราศรัยต่อจากประธานาธิบดี จอร์ช W บุช กล่าวขึ้นต้น ณ ที่ประชุม UN

แค่นี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่า ฮูโก ซาเวซ มีนิสัยอย่างไร และอเมริกาจะไม่พอใจเขาถึงขนาดไหน

ฮูโกชาเวสเกิดในครอบครัวยากจน พ่อแม่เป็นคู่โรงเรียนประถมที่ค่อนข้างยากจน จะว่าไปแล้วความยากจนเป็นเรื่องปรกติของเป็นเรื่องปรกติของเวเนซุเอลา

สภาพสังคมของเวเนซุเอลา ประกอบด้วยชาวผิวดำ กับลูกผสมระหว่างชนเผ่าท้องถิ่นกับชาวผิวขาว ซึ่งมีถานะยากจนราว 80% ในขณะที่ชาวผิวขาวที่เป็นคนรวยมีเพียง 20% สภาพชีวิตของคนทั้งสองชนชั้นแตกต่างกันอย่างมาก ในขณะที่จนอยู่ในบ้านที่สร้างจากสังกะสีและไม้ คนรวยกลับอยู่อย่างหรูหราจากการขายน้ำมัน

เมื่อชาเวสเข้าเรียนทหาร เขาและเพื่อนๆ นายทหารได้เห็นความแตกต่างนี้ด้วยตาของตนเอง

ครั้งหนึ่งเมื่อชาเวซถูกสั่งให้ไปกวาดล้างกองทัพจรยุทธฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ชาเวซเห็ยทหารของเขาทุบนักโทษด้วยไม้เบสบอลซึ่งพันด้วยผ้าขนหนู ชาเวสโกรธมาก และสั่งห้ามทำเช่นนี้อีก พออีกสองสามวันต่อมาเขากลับเป็นทหารฝ่ายเดียวกันถูกฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยิงตาย คืนนั้นเขานอนถามตัวเองว่า "ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี้ เพื่อมาเห็นชาวนาใส่ชุดหทาทรมาณชาวนาที่เป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาล? แล้วก็เห็นชาวนาฝ่ายต่อต้านรัฐบาลฆ่าชาวนาที่ใส่ชุดทหาร?"

วันรุ่งขึ้นซาเวสก็ตัดสินใจก่อตั้งขบวนการลับเพื่อต่อต้านรัฐบาล เขาเข้ารับตำแหน่งครู่ฝึกทหารรุ่นใหม่ และพยายามสร้างแนวร่วมที่นั้น

ในที่สุดจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้น ในปี 1989 เกิดเหตุการที่เรียกว่า เหตุการณ์คารากาโซขึ้น ในครั้งนั้น ประชาชนไม่พอใจที่อยู่ๆ ค่ารถเมล์ และเครื่องอุปโภคบริโภคก็แพงขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า จนเกิดเป็นจราจลขึ้น

ผู้ชุมนุมประท้วง ยึดซุปเปอร์มาเก็ต นำสินค้ามาแจกจ่ายกัน ชาเวสและเหล่าทหารคนอื่นๆ ถูกสั่งให้ไปปราบจราจล

แน่นอนว่าต้องนองเลือด ประชาชนตายไปประมาณ 3000 คน และบาดเจ็บอีกหลายพัน แต่ก็มีทหารบางนายเข้ารวมกับฝ่ายจราจล เมื่อถูกสั่งให้ไปปราบจราจลพันตรี ฟรานซิสโก คาร์เดนา ถามพลหทารใต้บังคับบัญชาว่า "ใครเป็นสมาชิกคันทรีคลับ (สโมสรของคนรวย) ยกมือขึ้น" แน่นอนว่าเงียบ "ประชาชนที่อยู่ที่นี้ก็เหมือนพวกเรา พวกเขาเป็นชาวบ้าน เป็นพี่น้องเรา ถ้าไม่มีคำสั่งห้ามยิงเด็ดขาด!"

สามปีหลังจากนั้น ชาเวสก่อรัฐประหารแต่ล้มเหลว ทว่ามันกลับทำให้ผู้คนนิยมในตัวเขามากขึ้น เมื่อรู้ว่าแพ้ ชาเวสประกาศยอมแพ้เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อทางโทรทัศน์ในทันที ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ของคนจนในเวเนซุเอลา

หลังจากนั้น 2 ปี ซาเวซได้รับอภัยโทษ เขาถูกปล่อยตัวและเริ่มตั้งพรรคการเมือง ก่อนจะได้รับเลือกเป้นประธานาธิบดีในปี 1998

หลังจากขึ้นเป็นประธานาธิบดี ชาเวสร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ให้ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น จัดตั้งชมรมโบลิวาร์ ซึ่งเป็นชมรมการเมืองในหมู่รากหญ้า ใช้ทหารสร้างบ้านให้คนจน ปฏิรูปที่ดิน ให้การศึกษา และพยามปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทน้ำมัน และเศรษฐกิจใหม่

การปฏิรูปนั้นก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนรวย เกิดการหยุดงานประท้วงของกลุ่มนายจ้าง ผู้บริหาร และนายทุน สื่อมวลชน พนักงานในบรรษัทน้ำมันที่นักการเมืองเก่าควบคุมอยู่! จนเกิดเป็นรัฐประหารขึ้นในวันที่ 11 เมษายน ปี 2002

วันรุ่งขึ้น ผู้สนับสนุนชาเวซร่วมล้านคน ออกมาเดินขบวนประท้วงเรียกร้องให้ชาเวซกลับมา วันต่อมาฝ่ายชาเวซรัฐประหารกลับได้เป็นผลสำเร็จ ชาเวซกลับสู่อำนาจอีกครั้ง

หลังจากการรัฐบประหารที่ล้มเหลวทำให้กลุ่มต่อต้านชาเวซเสื่อมอำนาจลง แต่ยังเหลือกลุ่มบรรสัทน้ำมันที่เป็นแหล่งเงินใหญ่ของเวเนซูเอลา เหล่าช่างเทคนิคพร้อมใจกันหยุดคอมที่ควบคุมการเจาะน้ำมัน ชาเวซต้องระดมช่างเทคนิคเก่า และช่างเทคนิคที่สนับสนุนเขามาแก้ไข และพบว่าระบบการควบคุมการเจาะน้ำมันถูกควบคุมโดยดาวเทียมของอเมริกา! ต้องใช้เวลาเป็นเดือนถึงจะกู้ระบบกลับมาได้

ทันทีที่กู้ระบบสำเร็จ ชาเวสอ่านรายชื่อเหล่าผู้มีอำนาจในบรรสัทน้ำมันออกอากาศทีละชื่อ ก่อนจะเป่าหนกหวีด และประกาศว่า "พวกคุณถูกไล่ออกแล้ว!" บ่อน้ำมันถูกควบคุมโดยชาเวสอย่างสมบูรณ์

ปัจจุบันความขัดแย้งของชาเวซกับอเมริกา และคนรวยกับคนจนในเวเนซุเอลายังไม่สงบลง โดยเฉพาะหลังจากที่ชาเวสประการยึดน้ำมันคืนเป็นสมบัติของชาติไม่ส่งขยให้อเมริกาอีกต่อไป

 

 

 

******************************************************************************

 

 

 

จัดเต็ม สภากทม.เตรียมบินดูงานยุโรป งบฯ 97 ล้านบาท

 

 

สภากทม.จัดหลักสูตรพัฒนาบุคลากรกว่า 600 ชีวิต บินไปศึกษางานที่ เช็ก-ตุรกี 7 วัน งบประมาณ 97 ล้านบาท

วันที่ 6 มี.ค. มีรายงานว่า สภากรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดโครงการอบรมผู้ช่วยสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.)

และสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) โดยจัดเป็นหลักสูตรชื่อว่า “การพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน” มีสถาบันที่ปรึกษาเพื่อ

พัฒนาประสิทธิภาพในราชการ เป็นผู้จัดอบรม

โดยในหลักสูตรดังกล่าวจะมีการอบรมในประเทศ 4 วันและไปศึกษาดูงานต่างประเทศ 7 วัน ซึ่งในการอบรมได้กำหนด

ไปดูงานที่สาธารณรัฐเช็ก และประเทศตุรกี มีสมาชิกสภาเขต ปัจจุบันมี ทั้งหมด 361 คน และผู้ช่วย ส.ก.อีก 244 คน

มีกำหนดเดินทางไปศึกษาดูงาน ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.–พ.ค.นี้ใช้งบประมาณในการจัดการอบรมรวมการศึกษาดูงานรวม

ประมาณ 97 ล้านบาท

ทั้งนี้การไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศเป็นโครงการที่จัดทุกปีอยู่แล้วและครั้งนี้ทางผู้บริหารของสภา กทม.ได้จัดโปรแกรม

ให้เดินทางไปดูงานยุโรปเหมือนกันทั้ง 2 ส่วนคือคณะ ส.ก.และ ส.ข. กับ คณะผู้ช่วย ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าการไป

ศึกษาดูงานดังกล่าวเป็นการพักผ่อนหลังจากการทำงานเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่ผ่านมา

       

ไปดูทำไมเชคโกสโลวาเกีย กับ ตุรกี ผู้คนอพยพหนีประเทศตัวเองมากมาย

มาดูนี่เดนมาร์ค สวีเดน ประชากรอยู่ดีกินดีรัฐบาลช่วยเหลือเอาใจใส่อย่างไร

ลูกหลานเรียนกันอย่างไร

                                              

 **************************              

 

                      ชาล้นถ้วย

 

                                        

 

 

หลวงพ่อเเก่ๆวัดบ้านนอกรูปหนึ่ง ได้ต้อนรับศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ผู้ไปสอบถามเกี่ยวกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้า เพื่อจะได้ยึดถือเป็นเเนวทางปฎิบัติให้ถูกต้องต่อไป


หลวงพ่อเลี้ยงน้ำชาอาคันตุกะผู้นี้ด้วยตนเอง ท่านรินน้ำชาใส่ถ้วยจนล้นถ้วย แล้วยังรินต่ออยู่อย่างนั้นไม่หยุด ท่านศาสตราจารย์มองดูอดรนทนไม่ได้ จึงร้องขึ้นว่า


"มันล้น แล้วครับท่าน รินต่อไปอีกไม่ได้แล้ว"
 

หลวงพ่อตอบว่า
"เช่นเดียวกันแหละ เจริญพร ท่านเองก็เต็มไปด้วยทฤษฎีต่างๆ อาตมาจะสอนธรรมะให้ท่านได้อย่างไร ถ้าท่านไม่ทำให้ถ้วยของท่านว่างเปล่าเสียก่อน"

 

 

ท่านศาสตราจารย์ก็กล่าวถามต่อว่า หลวงพ่อขอรับ“ มีคนพูดกันว่า การบูชาใดๆต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงในสากลโลก ก็ไม่เท่ากับการบูชาต่อผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งมรรคเพียงคนเดียว ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเป็นอย่างไร ? คนเดินตามทางเดินแห่งมรรคมีบุญกุศลใด “

หลวงพ่อกล่าวตอบเบา ว่า

“ เพียงแค่มีเมฆหมอกมาบดบัง นกก็ยังหลงทางบินกลับรัง "

" เป็นเพราะว่ามีเมฆหมอกมาปิดทางกลับรังของนก นกจึงหาทางกลับรังไม่ถูก ถ้าเรามัวแต่บูชาพระพุทธองค์ จิตย่อมจดจ่อและยึดติดอยู่กับองค์พระ ทำให้ตัวเองกลับเดินหลงทาง ผู้ที่เดินตามทางแห่งมรรคย่อมทำให้จิตตัวเอง สะอาด และสว่างกลับมารู้จักตัวเอง จิตจึงไม่หลงทาง “

 

“หลวงพ่อครับ เมื่อปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านก็ได้ ทำไมถึงต้องออกบวชอีก “

หลวงพ่อกล่าวตอบว่า

“ นกยูงแม้จะมีปีกที่สวยงาม แต่ก็บินได้ไม่สูงเฉกเช่นนกอื่น “

" การปฏิบัติธรรมที่บ้านเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อบวชแล้วย่อมจะตั้งมั่น และแน่วแน่กว่า ย่อมจะไปได้ไกลกว่า “

 

เมื่อได้ฟังธรรมะที่จับจิตจับใจจากหลวงพ่อเเก่ๆรูปหนึ่งที่ไร้ซึ่งยศฐาบรรดาศักดิ เเต่มีความถึงพร้อมที่จะดำเนินตามรอยพระพุทธบาทของพระองค์อย่างไม่หลงทาง ท่านศาสตราจารย์จึงตัดสินใจปฎิบัติธรรมอยู่กับหลวงพ่อจนครบเจ็ดวัน

 

จนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนจะลากลับ ท่านศาสตราจารย์ได้กราบนมัสการหลวงพ่อ ช่วยเขียนคาถาอวยพรให้ครอบครัวของเขามีความเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยตลอดกาลนาน หลวงพ่อหากระดาษแผ่นใหญ่มาแผ่นหนึ่งแล้วเขียนลงไปว่า
"ขอให้พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย"


"ผมบอกให้ท่านเขียนคำอวยพรให้ครอบครัว ของผมมีความสุข ทำไมท่านจึงมาเขียนเรื่องอัปมงคลเช่นนี้"

หลวงพ่ออธิบายว่า


"ไม่ใช่เรื่องอัปมงคล ถ้าลูกโยมตายก่อนโยมโยมย่อมจะเศร้าโศกเสียใจมาก ถ้าหลานโยมตายก่อนโยมและลูก ทั้งโยมและลูกย่อมจะเศร้าโศกปิ่มว่าสายใจจะขาด ที่นี้ถ้าแต่ละคนตายไปตามลำดับ ดังที่อาตมาเขียนไว้นี้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามธรรมดาของชีวิต สิ่งนี้แหละอาตมาว่าเป็นความเจริญที่แท้จริง"

 

 

 

 

 

 

guest

Post : 2013-03-03 19:54:21.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  wifi อันตรายที่ผู้ชายพึงระวัง

 

 

 

                    ผู้ว่า กทม.

 

 

 

               

 

 

 

 

 

....การยืนหยัด ต่อสู้ ดูเข้มข้น

 

เเต่ละคน เกินร้อย ไม่ถอยหนี

 

สุดกำลัง ทุ่มเข้า เท่าที่มี

 

เพียงหวังที่ ขออาสา มาทำงาน

 

 

 

 

....รู้ทั้งรู้ ว่าเเพ้ เเต่ไม่หวั่น

 

ขอสู้กัน นโยบาย บริหาร

 

โลกรู้ไว้ ฟ้าดินเห็น เป็นตำนาน

 

เพื่อสืบสาน ประชาธิปไตย ให้คนกรุง....

 

 

 

 

*********************************************************

 

 

 

 

 

 

       wifi อันตรายที่ผู้ชายพึงระวัง

 

 

 

wifi อันตรายที่ผู้ชายพึงระวัง

 

 

 

 

Fertility and Sterility เจอร์นัลตีพิมพ์ผลการวิจัยของกลุ่มนักวิจัยในอาร์เจนติน่าซึ่งได้ทำการทดสอบทฤษฎีนี้ด้วยการนำอสุจิที่สมบูรณ์แข็งแรงมาวางไว้ใกล้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่กำลังดาวน์โหลดข้อมูลอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป 4 ชั่วโมง จึงพบว่า ¼ ของอสุจิหยุดว่าย โดยเมื่อเปรียบเทียบกับอสุจิที่นำไปวางไว้ห่างจากคอมพิวเตอร์แล้ว มีเพียงร้อยละ 14 เท่านั้นที่หยุดว่าย นอกจากนี้ก็ยังเกิดความเสียหายขึ้นกับดีเอ็นเอของอสุจิที่วางไว้ใกล้กับคอมพิวเตอร์ ร้อยละ 9 อีกด้วย นับว่ามากกว่าปริมาณของอสุจิอีกกลุ่มถึงสามเท่า


นักวิทยาศาสตร์ให้เหตุผลว่า ตัวการที่ทำให้เกิดความเสียหายต่ออสุจิก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอินเทอร์เน็ตไร้สายนั่นเอง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ได้สรุปผลการทดลองนี้ว่าเป็นผลลัพธ์สิ้นสุด และจะต้องมีการทำการวิจัยเพิ่มเติมต่อไปอีก

ส่วนผลการทดลองอีกครั้งหนึ่งที่ตีพิมพ์ไว้ในเจอร์นัลฉบับเดียวกันก็ระบุว่า นักวิจัยชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งได้นำเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิไปตั้งไว้ใกล้กับถุงอัณฑะของผู้ชาย 29 คน และให้ผู้ชายทั้ง 29 คนนั้นตั้งคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปเอาไว้บนตัก เมื่อเวลาผ่านไป 10-15 นาทีก็พบว่า อุณหภูมิที่ถุงอัณฑะเพิ่มขึ้นสูงถึงระดับที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อการผลิตอสุจิของเพศชาย

การผลิตอสุจิจะสามารถทำได้เต็มประสิทธิภาพถ้าหากอัณฑะมีอุณหภูมิที่เย็นกว่าอุณหภูมิร่างกายประมาณ 1-2 องศา โดยที่การใช้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปจะทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 องศาเซลเซียภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง

Dr. Yefim Sheynkin ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปัสสาวะจาก University of New York ได้ให้คำแนะนำว่า วิธีแก้ปัญหาก็คือให้ใช้โต๊ะทำงาน หรือใช้แผ่นรองคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปและนั่งแยกขาออกจากกัน แต่วิธีนี้สามารถช่วยได้เพียง 20 นาทีเท่านั้น หลังจากนั้นอัณฑะก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับที่สามารถฆ่าอสุจิได้

 

**************************************************************************

 

              ฮุนไดคันเร่งค้าง..

 

 

 ค่ายรถยนต์เกาหลีแม้จะได้รับการพูดถึงมากเรื่องคุณภาพการประกอบ การออกแบบ และรถยนต์ที่สวยเตะตากรรมการแบบ เห็นแล้วโดนใจ ทั้งปรับแบรนด์เป็นคุ้มค่าคุ้มค่า มากกว่ารถราคาถูกๆ แต่ดูเหมือนเรื่องคันเร่งค้างจะยังเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง และมันยังเป็นปริศนา

 

เรื่องราวคันเร่งค้างใน Hyundai กลายเป็นมหากาพย์โลกยานยนต์อีกครั้งที่ยังหาตัวจับไม่ได้ และล่าสุดในอเมริกา ก็มีเหตุการณ์คันแร่งค้างในฮุนไดเกิดขึ้นในรถยนต์ Hyundai Elantra ใหม่ ที่มีการวางจำหน่ายในตลาดอเมริกา ซึ่งส่งให้วัยรุ่นเจ้าของรถคว่ำกลางถนนหลวงที่ความเร็วกว่า 180 ก.ม./ช.ม.

 

เหตุการณ์นี้รายงานโดย สำนักข่าวช่อง 8 หลังมีรายงานระบุว่า พบรถ Hyundai Elantra ปี 2011 ขับรถเร็วผิดปกติ แต่ภายหลังหน่วยงานฉุกเฉินก็ได้รับการแจ้งจากเจ้าของรถที่ขับขี่อยู่ว่า รถของเขาคันเร่งค้าง โดย Lushaj วัย 16 ปี ตอบโต้จากเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินผ่านทางโทรศัพท์ว่า เขาไม่สามารถทำอะไรกับรถได้ ไม่ว่า จะบิดกุญแจดับเครื่องหรือเหยียบเบรก รถก็ยังคงเร่งและเพิ่มความเร็วเรื่อยๆ

 

 

 

 

หลังรับแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในทางหลวงเร่งรุดตรวจสอบ และด้วยความที่ไม่สามารถทำอะไร เจ้า Hyundai Elantra ที่แล่นมาด้วยความเร็วสูง โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายได้ ทางเจ้าหน้าที่ จึงเตือนและเคลียร์เส้นทางเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ต่อผู้ใช้ทางตนอื่น โดยหวังว่ามันจะน้ำมันหมดและหยุดในท้ายที่สุด

 

ทว่า นักขับวัย 16 ปี ผู้ติดใน Hyundai คันเร่งค้างก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งหลังเหตุการณ์ผ่านไป 90 นาที เมื่อเขาพยายามหลบรถพ่วง แต่เกิดตกถนนและพลิกคว่ำ 3-4 ตลบ ที่ความเร็วราวๆ 180 ก.ม./ช.ม. ก่อน Hyundai Elantra ใหม่ จะจอดแน่นิ่ง เป็นซากที่ข้างทางแต่เคราะห์ดีที่นักขับวัย 16 ปี ไม่เป็นอะไร เพียงแต่ขาหัก 4 ท่อนเท่านั้น

 

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า มันน่ากลัวมาก และโชคดีที่ผู้ขับขี่ค่อนข้างมีประสบการณ์ที่ดี ทำให้ สามารถควบคุมรถได้ดี โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ทางคนอื่น ในขณะที่ Hyundai เองก็เข้ามารับทราบกรณีดังกล่าว โดย นาย จิม เทรเนอร์ โฆษกของ Hyundai Motor America กล่าวว่า เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นหรือเป็นไปได้ แต่ทางบริษัทยินดีที่จะร่วมตรวจสอบหาสาเหตุที่เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีรายงานว่า ทางครอบครัวผู้ขับขี่จะเอาผิดกับฮุนได หรือไม่ โดยครอบครัวเด็กผู้รอดตายจากคันเร่งค้าง เปิดเผยว่า พวกเขาดีใจแล้วที่ลูกของพวกเขารอดชีวิตโดยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

อ้างอิงความคิดเห็นที่:13

ผมคิดว่าเป็นเกียร์ออโต้เหมือนกัน แต่ทำไมเวลาคันเร่งค้าง 1.ไม่เอาเท้างัดคันเร่งมันขึ้นมา 2.ลดเกียร์ไป D3 D2 D1 ตามลำดับ มันก็น่าจะช่วยไม่ให้วิ่งเร็วได้แล้วนิ เครื่องจะพัง เกียร์จะพังก็ช่างมัน ยังไงศูนย์ก็ต้องรับผิดชอบ



คันเร่งไฟฟ้า ถ้าค้าง ใช้เท้างัดคันเร่งขึ้นมาได้ แต่ ลิ้นปีกผีเสื้อที่หน้าเครื่องก็ไม่เด้งกลับ

ดึงเกียร์ จาก D มาที่ N แค่นั้น ไม่ต้อง เชนเกียร์ ลงไปถึง D1 หรอก

เว้นแต่ว่า คันเกียร์เป็นระบบเซ็นเซอร์แบบไม่ใช้สลิงดึง แล้ว ECU ดันมา Error ในการจับจังหวะคันเกียร์ แล้วเกิดอาการคันเร่งค้างขึ้นมาพอดี ก็คงทำอะไรไม่ได้แบบในคลิปนี้

อ้อเคยเป็นกับรถรุ่นใหม่คันนึง เกียร์ ออกโต้ แบบไม่ใช้สลิงดึง เข้าเกียร์เดินหน้าได้หมด แต่เข้าเกียร์ถอยไม่ได้ ลองเช็คดูเป็นที่เซ็นเซอร์ เสีย

 

ถ้ารถวิ่งอยู่ ไม่เหียบเบรค ก็ปลดเกียร์ จาก D ไปที่ N ได้ ลองดูสิ

ไม่เหียบ เข้าเกียร์ D หรือ R ไม่ได้เฉพาะ ตอนที่เข้า P จอดเท่านั้น

1. โยกคันเกียร์มาเข้าเกียร์ N หรือเกียร์ว่างไว้ 2. ไม่ควรปิดกุญแจ เนื่องจากจะทำให้พวงมาลัยแข็ง แล้วล๊อคได้ในขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่

 

 

guest

Post : 2013-02-28 22:19:06.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  จอดรถผิดฝั่ง ตร.โหดจับลากถึงตาย

 

 

                            เดี๋ยวสวย...

 

 

 

 

         

 

 

 

 

 

 

 

....ประเดี๋ยวเหอะ คงได้รู้ หมู่หรือจ่า

 

ทำเป็นมา เเทะโลม โน้มน้าวฉัน

 

อ้อนออเซาะ ฉอเลาะ เพราะกลัดมัน

 

จับตรงนั่น โอบตรงนี่ เดี๋ยวตีตาย

 

 

 

....พ่อไก่อ่อน ไปนอนเสีย เดี๋ยวเมียด่า

 

หรี่จ้องตา หวังสะท้าน พาลใจหาย

 

โธ่เด็กๆ เพิ่งหัดขัน มันน่าอาย

 

เเค่ผู้ชาย ปากเสีย หนีเมียมา....

 

 

 

 

 

********************************************************

 

 

 

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

 
จังหวัดอุทัยธานี
ตราประจำจังหวัดอุทัยธานี
ตราประจำจังหวัด
 
อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี ปลาแรดรสดี ประเพณีเทโว ส้มโอบ้านน้ำตก มรดกโลกห้วยขาแข้ง แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ตลาดนัดดังโคกระบือ
ข้อมูลทั่วไป
ชื่ออักษรไทย อุทัยธานี
ชื่ออักษรโรมัน Uthai Thani
ชื่อไทยอื่นๆ อุทัย, อุไทย, อู่ไทย
ผู้ว่าราชการ นายวันชัย โอสุคนธ์ทิพย์
(ตั้งแต่ พ.ศ. 2553)
ISO 3166-2 TH-61
ต้นไม้ประจำจังหวัด สะเดา
ดอกไม้ประจำจังหวัด สุพรรณิการ์
ข้อมูลสถิติ
พื้นที่ 6,730.246 ตร.กม.[1]
(อันดับที่ 29)
ประชากร 328,034 คน[2] (พ.ศ. 2554)
(อันดับที่ 68)
ความหนาแน่น 48.74 ตร.กม.
(อันดับที่ 72)
ศูนย์ราชการ
ที่ตั้ง ศาลากลางจังหวัดอุทัยธานี ถนนศรีอุทัย ตำบลอุทัยใหม่ อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี 61000
โทรศัพท์ (+66) 0 5651 1063
เว็บไซต์ จังหวัดอุทัยธานี
แผนที่
 
แผนที่ประเทศไทย เน้นจังหวัดอุทัยธานี

สารานุกรมประเทศไทย ส่วนหนึ่งของสารานุกรมประเทศไทย

จังหวัดอุทัยธานี เป็นจังหวัดในภาคกลางของประเทศไทย

 สัญลักษณ์ประจำจังหวัด

  • ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกสุพรรณิการ์ (Cochlospermum regium)
  • ต้นไม้ประจำจังหวัด: สะเดา (Azadirachta indica v. siamensis)
  • คำขวัญประจำจังหวัด: อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี ปลาแรดรสดี ประเพณีเทโว ส้มโอบ้านน้ำตก มรดกโลกห้วยขาแข้ง แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ตลาดนัดดังโคกระบือ

 

 

 ประวัติ

เมืองอุทัยธานีมีหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากรยืนยันไว้ว่า เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 3,000 ปี มาแล้ว โดยพบหลักฐานยืนยันในหลายพื้นที่ เช่น โครงกระดูก เครื่องมือหินกะเทาะจากหินกรวด ภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์บนหน้าผา (เขาปลาร้า) เป็นต้น

 

ตำนานเก่าเล่าว่า ในสมัยกรุงสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองนั้น ท้าวมหาพรหมได้เข้ามาสร้างเมืองที่บ้านอุทัยเก่า คือ อำเภอหนองฉางในปัจจุบันนี้ แล้วพาคนไทยเข้ามาอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านคนมอญและคนกะเหรี่ยง จึงเรียกว่า "เมืองอู่ไทย" ตามกลุ่มหรือที่อยู่ของคนไทยซึ่งพากันตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น มีพืชพันธุ์และอาหารอุดมสมบูรณ์กว่าแห่งอื่น ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินและเกิดกันดารน้ำ เมืองอู่ไทยจึงถูกทิ้งร้าง จนในที่สุด พะตะเบิดได้เข้ามาปรับปรุงเมืองอู่ไทย โดยขุดที่เก็บกักน้ำไว้ใกล้เมือง และพะตะเบิดได้เป็นผู้ปกครองเมืองอู่ไทยเป็นคนแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา

 

เมืองอู่ไทยต่อมาได้เรียกกันเป็น "เมืองอุไทย" คาดว่าเพี้ยนไปตามสำเนียงชาวพื้นเมืองเดิม ได้มีฐานะเป็นหัวเมืองด่านชั้นนอก มีพระพลสงครามเป็นนายด่านแม่กลอง และพระอินทรเดชเป็นนายด่านหนองหลวง (ปัจจุบันแม่กลองคืออำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก และหนองหลวงคือตำบลหนองหลวง อำเภออุ้มผาง) คอยดูแลพม่าที่จะยกทัพมาตามเส้นทางชายแดนด่านแม่ละเมา

 

ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2148-2163) ได้โปรดเกล้าฯ ให้บัญญัติอำนาจการใช้ตราประจำตำแหน่ง มีบัญชาการตามหัวเมืองนั้น ได้ระบุในกฎหมายเก่าลักษณะพระธรรมนูญว่า "เมืองอุไทยธานี เป็นหัวเมืองขึ้นแก่มหาดไทย"

 

เมืองอุไทยธานีเป็นเมืองที่อยู่บนที่ดอนและลึกเข้าไป ไม่มีแม่น้ำสายใหญ่และไม่สามารถติดต่อทางเรือได้ ดังนั้นชาวเมืองจึงต้องขนข้าวบรรทุกเกวียนมาลงที่แม่น้ำ จึงทำให้พ่อค้าพากันไปตั้งยุ้งฉางรับซื้อข้าวที่ริมแม่น้ำจนเป็นหมู่บ้านใหญ่ เรียกว่าหมู่บ้าน "สะแกกรัง" เนื่องจากเป็นพื้นที่มีป่าสะแกขึ้นเต็มริมน้ำและมีต้นสะแกใหญ่อยู่กลางหมู่บ้าน บ้านสะแกกรัง ชาวจีนเรียกเพี้ยนเป็น "ซิเกี๋ยกั้ง" เป็นตลาดซื้อข้าวที่มีพ่อค้าคนจีนนิยมไปตั้งบ้านเรือนและยุ้งฉาง ต่อมาในระยะหลังได้มีเจ้านายและขุนนางมาตั้งบ้านเรือนอยู่ เพราะความสะดวกในการกะเกณฑ์สิ่งของส่งเมืองหลวงซึ่งเป็นจำพวกมูลค้างคาว ไม้ซุง กระวาน และช้างป่า อีกทั้งยังมีช่องทางในการค้าข้าวอีกด้วย

 

ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ (พ.ศ. 2251-2275) นั้น จมื่นมหาสนิท (ทองคำ) ซึ่งย้ายมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสะแกกรังนั้น ได้รับแต่งตั้งเป็นพระยาราชนกูล และต่อมาได้กำเนิดบุตรชายคนโตชื่อ "ทองดี " เกิดที่สะแกกรัง สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกฯ พระนามเดิม ทองดี เดิมทรงรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระเจ้าบรมโกศ) ได้ดำรงตำแหน่งพระอักษรสุนทร เสมียนตรากรมมหาดไทย ถึงรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (พระเจ้าเอกทัศ) พม่ายกกองทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา เกิดการระส่ำระสายแตกสามัคคีในพระนคร จึงทรงอพยพครอบครัวไปรับราชการกับเจ้าเมืองพิษณุโลก ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ สมุหนายกอัครมหาเสนาบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ

 

ต่อมาทรงพระประชวร สิ้นพระชนม์ในเมืองพิษณุโลก บุตรชายชื่อ "ทองด้วง" ภายหลังได้รับราชการเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ปราบจลาจลในกรุงธนบุรี และสถาปนาเป็นกษัตริย์ราชวงศ์จักรีปกครองแผ่นดินทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" ทรงอัญเชิญพระอัฐิส่วนหนึ่งประดิษฐาน ณ หอพระในพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการถวายบังคมในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาในฐานะสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกแห่งราชวงศ์จักรี พระอัฐิอีกส่วนหนึ่ง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท อัญเชิญเข้าประดิษฐานในพระเจดีย์ทองในพระมณฑปวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ มีประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งเครื่องทองน้อย เพื่อสักการบูชาทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนิน

 

พ.ศ. 2376 ข้าราชการชาวกรุงเทพฯ ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาอุไทยธานี เจ้าเมืองอุไทยธานีในสมัยนั้น ได้เห็นว่าบ้านสะแกกรังเป็นตลาดใหญ่ มีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่กันอย่างหนาแน่น อีกทั้งเป็นสถานที่ที่ชาวอุไทยธานีติดต่อค้าขายข้าวและไม้ซุงกับพ่อค้าที่นั่นมานานแล้ว จึงคิดตั้งบ้านเรือนเพื่อค้าขาย ประจวบกับเวลานั้น เจ้าเมืองไชยนาทเป็นเพื่อนกัน จึงขอตั้งบ้านเรือนที่ริมแม่น้ำสะแกกรัง เนื่องจากผู้คนมาติดต่อราชการและมาค้าขายกันมาก ทั้งนี้ เนื่องจากเจ้าเมืองไม่กล้าขึ้นไปเมืองอุไทยธานีเก่า อ้างว่ากลัวไข้ป่า จึงเป็นเหตุให้พากันอพยพมาอยู่กันมากขึ้น

 

พ.ศ. 2391 ได้มีการแบ่งเขตดินแดนเมืองอุไทยธานีและเมืองไชยนาท โดยตัดเขตบ้านสะแกกรังทางฝั่งคลองฟากใต้ ตั้งแต่ท้ายบ้านสะแกกรังไปจดเมืองอุไทยธานีเก่า โอนที่นั่นจากเมืองไชยนาทเป็นของเมืองอุไทยธานี ดังนั้นเมืองอุไทยธานี จึงตั้งอยู่ที่ปลายสุดเขตแดนเมืองมโนรมย์ ข้างใต้บ้านลงมาสักคุ้งน้ำหนึ่งก็เป็นแดนเมืองไชยนาท

 

พ.ศ. 2441 เมืองอุไทยธานีขึ้นกับมณฑลนครสวรรค์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนไปขึ้นกับมณฑลอยุธยา สุดท้ายมีการประกาศเลิกมณฑลปี พ.ศ. 2476 และจัดให้จังหวัดเป็นหน่วยปกครองส่วนภูมิภาคที่สำคัญที่สุด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

 

 

*************************************************************************

 

 

 

 

การกรนเกิดจากการสั่นพริ้วสะบัดของลิ้นไก่ และเพดานอ่อนที่สั่นมากกว่าปกติขณะกำลังนอนหลับ โดยมีสาเหตมาจากมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ลมหายใจไม่สามารถผ่านลงสู่หลอดลม และปอดได้อย่างสะดวก ทำให้กระแสลมที่ถูกปิดกั้นนั้น เกิดการหมุนวนไปทำให้ลิ้นไก่ และเพดานอ่อนเกิดการสั่นมากกว่าปกติ ทำให้เกิดเป็นเสียงกรนขึ้น

 

 นอนกรนแก้ไขได้

นอนกรน, นอน, ผักผ่อน, สุขภาพ, ทางเดินหายใจ



นอนกรน เป็นภาวะผิดปกติอย่างหนึ่งของการนอนที่ไม่ควรละเลย เพราะผลกระทบจากการนอนกรนสร้างปัญหาต่อการดำเนินชีวิตและปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพมากมาย การนอนกรนมีทั้งประเภทที่อันตรายและไม่อันตราย ซึ่งมีลักษณะดังนี้

๑. ประเภทที่ไม่อันตราย คือการกรนที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน ซึ่งจัดเป็นชนิดไม่อันตราย ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ กลุ่มนี้มักมีการอุดกลั้นทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อย


๒. ประเภทที่อันตราย เกิดจากการที่มีทางเดินหายใจแคบมากเวลาหลับ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเสียงกรนไม่สม่ำเสมอ เมื่อยังหลับไม่สนิทจะยังเป็นการกรนที่สม่ำเสมอ แต่เมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ มีเสียงกรนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยจะมีช่วงที่กรนเสียงดังและค่อยสลับกันเป็นช่วงๆ และจะกรนดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะมีช่วงหยุดกรนไปชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการหยุดหายใจ


อันตรายจากการนอนกรนที่มีการหยุดหายใจขณะหลับ

๑. ร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกนอนไม่พอ ทำให้เกิดอาการง่วงนอน ซึ่งเป็นผลเสียต่อการเรียน การทำงาน หรือเกิดอุบัติเหตุในการขับรถหรือการควบคุมเครื่องจักรกล


๒. ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความสามารถในการจดจำลดลง หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ


๓. มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆมากขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง เช่น อัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด (อาจทำให้เสียชีวิตทันที เพราะหัวใจทำงานผิดปกติขณะเกิดภาวะหยุดหายใจในช่วงนอนหลับ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าไหลตาย) ได้มากกว่าคนปกติ เป็นเหตุให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร


๔. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ



การรักษาการนอนกรน


๑. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์


๒. ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายและกล้ามเนื้อแข็งแรง


๓. หลีกเลี่ยงการนอนหงาย โดยพยายามนอนในท่าตะแคงข้าง และนอนศีรษะสูงเล็กน้อย


๔. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือยานอนหลับ หรือยากล่อมประสาทก่อนนอน


๕. กรณีที่เป็นการนอนกรนชนิดอันตรายที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย รักษาโดย


- เครื่องช่วยหายใจ เป็นเครื่องครอบจมูกขณะหลับ เพื่อทำให้หายใจสะดวกขึ้น วิธีนี้ปลอดภัยและได้ผลดีในผู้ป่วยเกือบทุกราย
- จี้กระตุ้นให้เพดานอ่อนหดตัวลง โคนลิ้นหดตัวลง
- การผ่าตัวเอาส่วนที่ยืดยานออก

อาการนอนกรนไม่ได้เป็นเพียงการส่งเสียงที่สร้างความรำคาญเท่านั้น แต่อันตรายจากการนอนกรนอาจรุนแรงถึงขั้นหยุดหายใจและนำมาซึ่งการเสียชีวิตได้ หากสังเกตุเห็นคนใกล้ตัวมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการนอนกรนควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและเข้ารับการรักษา

โดย: พี่ทิพ

 

 

*************************************************************************

 

 

 

 

 

 

 

**********************************************************************************

 

 

 

       ตัดสินคดีกันตอนใก้ลเลือกตั้งแบบนี้

             มีหงายเงิบกันบ้างแหละ

 

 

 

กระทู้ข่าว พันทิป
ศาลแพ่ง สั่ง บ.เทเวศประกันภัย จ่าย 3.7 พันล้านบาท ให้เซ็นทรัลเวิลด์ จากเหตุเพลิงไหม้ระหว่างชุมนุม นปช. ปี 2553 ชี้ไม่เข้าข่ายก่อการร้าย

ศาลแพ่ง อ่านคำพิพากษาในคดีที่กองทุนรวมธุรกิจไทย 4 และห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กับพวก ฟ้องร้องบริษัทเทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้รับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากอัคคีภัย เหตุเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในเหตุการณ์กระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งก่อนหน้านี้ทางเทเวศประกันภัย ปฏิเสธจ่ายค่าชดเชยโดยต่อสู้ว่า เหตุเพลิงไหม้เกิดจาดการก่อการร้ายซึ่งกรมธรรม์ไม่คุ้มครอง

โดยศาลแพ่งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัทเทเวศประกันภัย ต้องรับผิดชอบตามกรมธรรม์ เพราะเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ไม่ใช่กรณีก่อการร้ายหรือกรณีอื่นที่อยู่ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์แต่อย่างใด ดังนั้นจึงพิพากษาให้ บ.เทเวศประกันภัย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนกว่า 3,700 ล้านบาท ทั้งกรณีความเสียหายต่อทรัพย์สิน และความเสียหายต่อธุรกิจหยุดชะงัก พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 31 มีนาคม 2554 จนกว่าจะชำระครบถ้วน

 
 
 
 

 

ตัดสินมางี้ก็ฟันเฟิร์มได้แน่นอนว่าไม่ใช่เสื้อแดงเผา

เพราะฉะนั้นเหตุเกิดได้2กรณีคือ
1. เจ้าหน้าที่เผา 2. อุบัติเหตุ

แล้วถ้าเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่เผา
1. มันต่างจากก่อการร้ายยังไง
2. บริษัทประกันภัยสามารถเรียกร้องจากรัฐได้หรือไม่
3. ถ้าเรียกร้องได้ รัฐบาลต้องเป็นผู้จ่าย หรือเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้จ่าย

 

ผู้ก่อการร้าย พวกเผาบ้านเผาเมือง ที่เอามาอ้างหากินตลอด...
ความจริงเริ่มเปิดเผยมาเรื่อยๆ
ต่อให้ร้องไห้เป็นเต่าเผา
ก็ช่วยกลบความชั่วช้าที่สั่งฆ่าประชาชนไม่ได้

guest

Post : 2013-02-27 19:39:31.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  คุณพระช่วย

 

                                   

                เดี๋ยวก็คงถูกสักข้อ..

 

 

 

 

      

 

 

 

 

 

....อะไรวะ อ่านมา ไม่มีออก

 

รู้งี้ลอก ใส่กระเป๋า เอามาเขียน

 

ยากตายชัก เเต่ละข้อ ล่อซะเอียน

 

เล่นปราบเซียน เวียนตาลาย ตายเเน่เรา

 

 

 

 

....เทอมสุดท้าย น่าจะปล่อย คอยเสริมส่ง

 

เล่นฉุดลง จนปวดหัว มั่วอายเขา

 

ก.ข.ค. ต้องสักข้อ ขอมั่วเอา

 

นั่งจับเจ่า เสียเวลา น่ารำคาญ....

 

 

 

 

 

*****************************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

*********************************************************************************************

 

 

 

 

                 ที่สุดในประเทศไทย

 

 

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอดีตอันยาวนาน มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งสมัยอดีต ดังนั้นประเทศไทยของเราจึงมีเรื่องราวที่เป็น “ที่สุด” ที่น่าสนใจมากมาย เว็บ ความรู้รอบตัว.net ของเราได้รวบรวมมาไว้เป็นหมวดๆ ให้เพื่อนๆได้อ่านกันแล้วครับ :)

หมวดพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์

พระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย – พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอาณาจักรสุโขทัย (พระราชบิดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช)
มหาราชพระองค์แรกของประเทศไทย – พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
พระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดของประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือในหลวงองค์ปัจจุบัน ทรงครองราชย์จนถึงปัจจุบัน 66 ปี
พระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลาสั้นที่สุด - สมเด็จพระเจ้าทองลัน ในสมัยอยุธยา ครองราชย์อยู่เพียง 7 วัน
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารเป็นพระองค์แรกของไทย - สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมมราชินี พระพันวสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จย่าของรัชกาลปัจจุบัน)

การเมืองการปกครอง

อาณาจักรแรกของไทย – อาณาจักรสุโขทัย เริ่มตั้งอาณาจักรเมื่อปี พ.ศ.1792 และสิ้นสุดเมื่อปี พ.ศ.2127
อาณาจักรของไทยที่เป็นราชธานีนานที่สุด - อาณาจักรอยุธยา เป็นราชธานีนาน 417 ปี มีพระมหากษัตริย์ 33 พระองค์
อาณาจักรของไทยที่เป็นราชธานีสั้นที่สุด - อาณาจักรกรุงธนบุรี เป็นราชธานีนาน 15 ปี มีพระมหากษัตริย์ 1 พระองค์
นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย - พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475
นายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด - จอมพลแปลก พิบูลสงคราม อยู่ในตำแหน่งนาน 14 ปี 11 เดือน 18 วัน
นายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุด - ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ดำรงตำแหน่งเมื่ออายุ 40 ปี
นายกรัฐมนตรีอายุมากที่สุด - นายสมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งขณะอายุ 72 ปี
รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย - พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
ประธานรัฐสภาคนแรกของไทย - เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
การรัฐประหารครั้งแรกในประเทศไทย - วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2476 โดยพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง - นายธรรมนูญ เทียนเงิน ได้รับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2518

ภูมิศาสตร์ ภูเขา แม่น้ำ ธรรมชาติ อุทยานแห่งชาติ

ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย – ดอยอินทนนท์ มีความสูง 2,599 เมตร จากระดับน้ำทะเล
เทือกเขาที่ยาวที่สุดในประเทศไทย – เทือกเขาตะนาวศรี ยาวประมาณ 834 กิโลเมตร
แม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย – แม่น้ำมูล มีความยาว 726 กิโลเมตร
ส่วนที่แคบที่สุดของแผ่นดินไทย – ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กว้าง 10.6 กิโลเมตร
เกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย – เกาะภูเก็ต มีเนื้อที่ 543 ตารางกิโลเมตร
อุทยาแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย – อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี มีเนื้อที่ทั้งหมด 2,915 ตารางกิโลเมตร
อุทยานแห่งชาติที่ขึ้นทะเบียนแห่งแรกของไทย – อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จัหวัดนครราชสีมา
น้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทย – น้ำตกทีลอซู จังหวัดตาก มีความสูงประมาณ 300 เมตร
ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย – ทะเลสาบสงขลา
ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุด – บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ มีเนื้อที่ทั้งหมด 132,737 ไร่
จุดที่อยู่เหนือที่สุดของประเทศไทย – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
จุดที่อยู่ใต้ที่สุดของประเทศไทย – อำเภอเบตง จังหวัดยะลา

หมวดจังหวัด

จำนวนจังหวัดในประเทศไทย – 77 จังหวัด
จังหวัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย – จังหวัดนครราชสีมา มีพื้นที่ 20,494 ตารางกิโลเมตร
จังหวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย – จังหวัดสมุทรสงคราม มีพื้นที่ 417 ตารางกิโลเมตร
จังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศไทย – กรุงเทพมหานคร มีประชากรทั้งสิ้น 5,674,843 คน (ข้อมูลถึง 31 ธันวาคม 2554)
จังหวัดที่มีประชากรน้อยที่สุดในประเทศไทย – จังหวัดระนอง มีประชากรทั้งสิ้น 183,849 คน (ข้อมูลถึง 31 ธันวาคม 2554)
จังหวัดที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากที่สุด – จังหวัดเชียงราย สูงจากระดับน้ำทะเล 2,575 เมตร
จังหวัดที่มีเขื่อนมากที่สุดจังหวัดกาญจนบุรี มี 3 เขื่อนคือ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ และเขื่อนแม่กลอง

บุคคล

รัฐบุรุษคนแรกของไทย – ดร.ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูญธรรม ได้รับตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ.2488
จอมพลคนแรกของไทย – จอมพลสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
ประธานองคมนตรีคนปัจจุบัน – พลเอกเปรม ติณสูรานนท์ รัฐบุรุษ
นางงามจักรวาลคนแรกของไทย – นางสาวอาภัสรา หงสกุล ได้รับเมื่อปี พ.ศ.2499
นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกคนแรกของไทย – เรือเอกสมรักษ์ คำสิงห์ ได้รับเหรียญทองจากการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น ในกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 26 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2539

วัดวาอาราม

วัดประจำรัชกาลที่ 1 – วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
วัดประจำรัชกาลที่ 2 – วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
วัดประจำรัชกาลที่ 3 – วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร
วัดประจำรัชกาลที่ 4 – วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
วัดประจำรัชกาลที่ 5 – วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
วัดประจำรัชกาลที่ 6 – ไม่มีวัดประจำรัชกาล
วัดประจำรัชกาลที่ 7 – วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
วัดประจำรัชกาลที่ 8 – ไม่มีวัดประจำรัชกาล
วัดประจำรัชกาลที่ 9 – วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
วัดที่ไม่มีพระจำพรรษา – วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระนอนองค์ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย – พระพุทธไสยาส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์ ท่าเตียน) มีความยาวทั้งสิ้น 46 เมตร
พระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย – หลวงพ่อพระสุโขทัยไตรมิตร วัดวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร

หมวดอื่นๆ

ศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุดในประเทศไทย – ศาสนาพุทธ มีผู้นับถือประมาณ 95% ของประชากรไทย
ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย – ตึกใบหยก 2 มีความสูงทั้งหมด 304 เมตร จำนวนชั้น 88 ชั้น อยู่จังหวัดกรุงเทพมหานนคร
ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย – ห้างเซ็นทรัลเวิล์ด (ห้างเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์เดิม) อยู่ที่แยกราชประสงค์ กรุงเทพมหานคร
มหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาเรียนมากที่สุด – มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีนักศึกษาทั้งหมดมากกว่า 400,000 คน
ตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย – ตลาดนัดสวนจตุจักร มีเนื้อที่ทั้งหมด 68 ไร่ มีจำนวนแผงค้าราว 8,000 แผงค้า
ทางรถไฟสายที่ยาวที่สุดในประเทศไทย – ทางรถไฟสายใต้ โดยเริ่มจากสถานีธนบุรี ถึงสถานีสุไหงโกลก ยาวทั้งสิ้น 1,144 กิโลเมตร
ทางหลวงแผ่นดินสายที่ยาวที่สุดในประเทศไทย – ถนนเพชรเกษม (สายใต้) ยาวทั้งสิ้น 1,352 กิโลเมตร
สะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย – สะพานติณสูลานนท์ มีความยาวทั้งหมด 2,640 เมตร
อักษรไทยเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด – สมัยอาณาจักรสุโขทัย โดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรก – บริษัท แบงก์สยามกัมมาจล จำกัด หรือ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดของไทย – ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มีสินทรัพย์ทั้งหมดประมาณ 1.67 ล้านล้านบาท

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าข้อมูลที่เป็น “ที่สุด” ของประเทศไทยแล้วว่ามีมากมายจริงๆ

 

 

************************************************************************

 

 

เมื่อวานนี้ ป.ป.ช. แถลงข่าว การอายัดทรัพย์ พลเอกเสถียร เพิ่มทองอินทร์ 65 ล้านบาท สมัยเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมีเงินไหลเข้าบัญชีตัวเอง ภริยา และบุตรบุตรธรรมกว่า 100 ล้านบาท

 

 

 

แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ มีการนำเงินไปฝาก อาจารย์ธรรมศาสตร์ กว่า 20 ล้านบาท ป.ป.ช. อ้างว่า อาจารย์คนดังกล่าว เป็นนอมินีของ พลเอกเสถียร

 

 

 

อาจารย์ ท่านนั้นคือ ดร. สมบัติ จันทรวงศ์

 

 

ล่าสุด นายสมบัติ จันทรวงศ์ อาจารย์คณะสหวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ "มติชน" ว่า ไม่รู้จักกับ พล.อ.เสถียร เป็นการส่วนตัว แต่รู้จักกับนางณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์ ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ และลูกสาวคือ น.ส.ณิชาพัฒน์ เพิ่มทองอินทร์ ที่เรียนอยู่ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ รู้จักกันมา 7-8 ปีแล้ว

 

 

กระทั่งปี 2554 เป็นช่วงที่บอกว่ามีปัญหาในครอบครัว เป็นปัญหาเรื่องผู้หญิงที่ถึงขั้นมีลูกกัน แต่ไม่ได้ไปซักถามอะไร จนมีอยู่คืนหนึ่งนางณัฐณิชาช์ โทรศัพท์มาหาแล้วบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษา จากนั้นหอบเงิน 18 ล้านบาท มาให้ บอกว่ามีปัญหาเรื่องครอบครัว อาจจะต้องหย่าร้างกัน ไม่อยากให้เงินก้อนนี้รั่วไหลไป เลยขอฝากไว้ พอดีช่วงนั้นต้องไปต่างจังหวัด รู้สึกไม่สบายใจที่มีเงินหลายล้านบาทอยู่ที่บ้าน เลยเอาเงินจำนวนนี้ไปฝากไว้ที่ธนาคารใกล้ๆ ที่ละ 2-3 ล้านบาท หลายๆ ธนาคาร ในชื่อของตนเอง


"หลังจากนั้นไม่นาน นางณัฐณิชาช์มาขอเงินคืน โดยบอกว่าจะนำไปลงทุนซื้อที่ดิน แต่ยังขอให้ใช้ชื่อผมเป็นหุ้นส่วนเจ้าของเงิน 18 ล้านบาท เพราะไม่งั้นมันจะกลายเป็นสินสมรส แล้วเขาก็เงียบหายไปเลย

 

 

 

ผมก็คิดว่าจบแล้ว ปรากฏว่าเขาขายที่ให้กับบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทจ่ายค่าที่ดินตามสัญญา ออกเงินเป็นชื่อผม 27 ล้านบาท เขาก็เอาเงิน 27 ล้าน มาให้ผม ผมไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเอาเงินไปเข้าสหกรณ์ธรรมศาสตร์ แล้วก็ทยอยคืนให้ ตั้งแต่ประมาณปลายปี 2555 จนกระทั่ง ป.ป.ช.เรียกสอบเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

 

ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่รู้เลยว่าเขามีคดีความอะไร ไม่รู้ว่าสามีเขาถูกสอบสวนอะไร เพราะมันไม่เป็นข่าว ถ้าผมรู้ก่อนคงไม่รับฝาก

 

 

รู้เเต่เขาทำธุรกิจซื้อขายที่ดิน จนกระทั่ง ป.ป.ช.เรียกสอบ ผมก็ต้องให้การตามความจริง ผมก็คุยกับภรรยาเขาว่า ป.ป.ช.เรียกสอบ ผมจะต้องตอบตามความเป็นจริง ยืนยันว่าผมไม่ใช่นอมินี พล.อ.เสถียร และไม่เคยรู้จักกันเลย" นายสมบัติกล่าว

 

 

 

รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่น ว่าอยู่ใน ขบวนการ การฟอกเงิน

-จู่ๆ ลูกศิษย์ เอาเงินมากฝาก เป็นจำนวนเงินมากมายถึง 18 ล้าน คุณจะรับฝากหรือไม่ ?

หากมันเป็นเงินที่มาจากของผิด กฏหมายละ ?

- เอาละถ้าไหนๆ ก็รับฝากแล้ว ก็ต้องกำหนดเวลาให้เจ้าของมาเอาคืนด่วนเลย วันนี้พรุ่งนี้ มะรืนนี้

เพราะมันเป็นของร้อนไม่ใช่ของตัวเองไม่ปลอดภัย หากเกิดอะไรขึ้นก็ซวยไปด้วย

กลับเป็นธุระ ทยอยนำไปฝากเข้าบัญชีของตัวเองให้เสร็จสรรพ ที่ละล้านสองล้าน

( น่าจะรู้ กฏหมาย ปปง นะเลยไม่เอาเข้าทั้งก้อนทีเดียว เพราะกลัวว่าบัญชีของตัวเองมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ)

- เป็นนอร์มินี่ซื้อขายที่เดินโดยใช้ชื่อตัวเองรับหน้าเสื่อ ขายที่ได้ 27 ล้านก็น่าจะคืนเจ้าของได้แล้ว

แต่ก็ยังเอาไปฝากต่อที่ สหกรณ์ให้อีก

 

อย่างนี้มองเป็นตาสีตาสา อ้างไม่รุ้เรื่องรู้ราวไม่ได้หรอก เป็นถึงระดับอาจารย์ น่าจะรู้เรื่องราวพวกนี้ดี

รับหน้าเสื่อเป็นธุระทำธุรกรรมให้เขาซะขนาดนั้น ยังมีหน้ามาถามว่าเงิน 27 ล้านมาอยู่ในบัญชีตัวเองได้ไง

คำตอบมันก็อยู่ในสิ่งที่คุณสารภาพมาทั้งหมดแหละ

guest

Post : 2013-02-25 20:38:10.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  มวยไทยล้มยักษ์ เหลือเชื่อ

 
 
 

 

 

                                          ขอได้มั๊ย?..

 

 

 

                        

 

 

 

 

 ....เเม่เจ้าโว๊ย ผิวขาว หนาวมั๊ยหนู?

 

สังเกตุดู เข้าท่า น่าเสกสรร

 

งามหยดย้อย ห้อยเป็นพู่ ดูไม่ทัน

 

อะไรนั่น? เเม่คุณเอ๋ย เพิ่งเคยชม

 

 

 

 

 

....กรุณา บอกสักนิด คิดเเพงมั๊ย?

 

สักเท่าไหร่? ราคา ว่าเหมาะสม

 

น่องงามๆ ซีอิ้วราด ฟาดท้องกลม

 

พริกผสม เผ็ดนิดๆ จะติดใจ....

 

 

***********************************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

**********************************************************************

 

 

 

 

                             เพชรโคห์อินูร์

 

 

 

                                           

 

 

 

นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ยืนยันว่าอังกฤษจะไม่คืนโคตรเพชรยอดมงกุฎราชินีซึ่งยึดมาจากอินเดียในสมัยล่าอาณานิคม ย้ำไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียงเพื่อเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต


ในวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันที่ 3 และวันสุดท้ายที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด คาเมรอน จะอยู่ในประเทศอินเดียในการเดินทางเยือนครั้งล่าสุด คาเมรอนได้กล่าวว่า อังกฤษจะไม่คืนเพชรโคห์อินูร์ ขนาด 105 กะรัต หนึ่งในเพชรที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ยึดมาจากอินเดียในสมัยล่าอาณานิคม


คาเมรอนกล่าวว่า "ผมไม่คิดว่านี่คือการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง คำถามนี้ก็เหมือนกับปัญหาของประติมากรรมหินอ่อนเอลกิน คำตอบที่ถูกต้องนั้นคือการให้บริทิชมิวเซียมและสถาบันวัฒนธรรมอื่นๆ ทำงานของพวกเขา โดยการร่วมมือกับสถาบันทั่วโลกเพื่อรับประกันว่า สิ่งที่เราได้มาและดูแลเป็นอย่างดีนั้นมีการแบ่งปันให้กับผู้คนจากทั่วโลกอย่างเหมาะสม"


นอกจากนี้ คาเมรอนยังเสริมว่า เขาไม่เชื่อใน "ระบบการคืน" และไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสมเหตุสมผล พร้อมกล่าวว่า เขามีความกระตือรือร้นที่จะก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจของอินเดียที่กำลังเจริญเติบโต แต่เขาต้องการจะมุ่งไปที่ปัจจุบันและอนาคตมากกว่าถอยหลังกลับไปในอดีต


อินเดียได้เรียกร้องให้อังกฤษคืนโคตรเพชรเม็ดนี้มานานแล้ว ซึ่งเพชรถูกนำไปมอบให้กับพระราชินีวิกตอเรียเมื่อปี 2393 ก่อนจะถูกนำไปประดับบนมงกุฎของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 และขณะนี้เพชรก็ได้รับการจัดแสดงอยู่ที่หอคอยลอนดอน.

 

เพชรโครอินูร์มีอาถรรพ์ติดตัวมาว่า


“ ชายผู้ได้ครอบครองมันจะต้องตายอย่างเจ็บปวดทรมาน ”


เพราะเพชรเม็ดนี้ตกเป็นสมบัติของกษัตริย์มาหลายองค์ หลายอาณาจักร


แต่ละองค์ก็ได้สู้รบอย่างทรหด แล้วตายกันในสนามรบบ้างแพ้สงครามบ้าง

หลังจากที่ นาดีร์ ชาห์ โดนลอบปลงพระชนม์ในปี 1747

เพชร โคร อิ นูร์ ได้หายสาบสูญไปเป็นเวลานาน

แต่บางกระแสก็ว่าไม่ได้หายหรอก เพียงแต่ไปอยู่ในอัฟกานิสถาน

เพชรเม็ดนี้ตกมาอยู่ในความครอบครองของเจ้าชายชาห์ชูฮาแห่งอาฟกานิสถาน

มีเรื่องเล่ากันว่า พระองค์ได้รับทุกข์ทรมานจากการตาบอด

และได้รับความเจ็บปวดอย่างมากเป็นเวลาหลายวัน

จนกระทั่งพระองค์สามารถกำจัดเพชรเม็ดนี้ไปได้ในที่สุด

อัฟกานิสถานพ่ายสงครามแก่ รานจิต ซิงห์ (สิงห์แห่งปัญจาบ )

เพชรเม็ดนี้ เลยได้กลับคืนภูมิลำเนาเดิม

อยู่ในความครอบครองราชวงศ์ที่ครองปัญจาบ แห่งอินเดีย

ก่อนที่จะไปตกอยู่ในความครอบครองของ บริษัท อีสค์ อินเดีย

ซึ่งได้นำขึ้นทูลเกล้า ถวาย แด่สมเด็จพระราชินีนาถ วิกตอเรีย


ตอนแรกทรงประดับไว้ในเทียร่าอันหนึ่ง


แต่ข่าวลือที่ติดมากับเพชรทำให้ไม่สบายพระทัย


พระสวามีก็เลยให้เจียระไนใหม่ ให้ขนาดเล็กลง กลายเป็นเพชรใหม่แพรวพราวอย่างที่เห็น


อีกอย่างเพราะของเดิมไม่ค่อยมีประกาย ไม่ถูกใจคนอังกฤษ


หญิงที่ได้สวมใส่ก็มีแค่ควีนวิกตอเรีย, ควีนมัมและควีนเอลิซาเบธ แห่งอังกฤษ


มีเกร็ดเล็กๆว่าเจ้าชาย รัชทายาทของปัญจาบ ซึ่งมีสิทธิ์ครอบครองเพชรต่อจากพระบิดา


ได้มาศึกษาที่อังกฤษและเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสเตียน


เป็นผู้ยินยอมให้ควีนวิกตอเรียเป็นเจ้าของเพชรนี้ด้วยความเต็มใจ


เจ้าชายเป็นพระสหายสนิทของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 พระโอรสของควีนวิกตอเรีย


ทรงอยู่อย่างโอ่อ่าแบบผู้ดีอังกฤษ


แต่บั้นปลายมีชะตากรรมน่าเศร้า


คือเป็นหนี้สินรุงรังจนล้มละลาย และตายที่ปารีสอย่างหมดตัว


อ่านพบอีกอย่างว่าผู้ที่อ้างสิทธิ์ครอบครองเพชร นอกจากอินเดียแล้ว


ยังมีผู้นำทาลีบันด้วย ยื่นคำขาดให้รัฐบาลอังกฤษส่งคืนให้อัฟกานิสถาน


เพราะถือว่าเพชรนี้เคยเป็นสมบัติของอัฟกานิสถาน


เมื่อหลายร้อยปีก่อนจะตกไปอยู่ในอินเดีย

ปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ได้รับการเจียระไนใหม่

และประดับไว้บน มัลทิส ครอส ( Matese Cross )

ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่ ทาวเวอร์ ออฟ ลอนดอน ว่ากันว่า

พระนางเจ้าวิกตอเรียเองก็ทรงเกรงคำสาปแช่ง ถึงกับระบุเอาไว้ในพระราชพินัยกรรม

ว่า ผู้ที่จะประดับเพชรเม็ดนี้ได้ ต้องเป็นกษัตริย์และเป็นสตรีเท่านั้น

เพชร “โคอินูร์” ประดับตรงกางเขนหน้ามงกุฎ

ส่วนซุ้มโค้งประดับเพชรเหนือมงกุฎต่อยอดจากลายกางเขนทั้งสี่ด้านของฐานมงกุฎ

กึ่งกลางซุ้มมีลูกโลกเพชรประดับและเหนือลูกโลกมีลายกางเขนประดับเพชรเม็ดใหญ่

และซุ้มโค้งประดับเพชรนี้สามารถถอดออก

ตัวมงกุฎมีโครงสร้างพลาตินั่ม พระมาลากำมะหยี่สีม่วงติดด้านใน

 

 

*******************************************************************

 

 

 

 

              
 
 
 
ปู หนาว!!! "กกต."ชี้อุ้ม“พงศพัศ”หาเสียงส่อขัด ม.60

 

 

 

 
http://www.tnews.co....l/news/52109/ปู หนาว!!!-"กกต"ชี้อุ้ม“พงศพัศ”หาเสียงส่อขัด-ม60.html
 
   
  
วันนี้(25 ก.พ.) พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร หรือ กกต.กทม. กล่าวถึงกรณีที่ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ระบุว่า คำปราศรัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ช่วยหาเสียงให้กับ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยชูนโยบาย ทำงานไร้รอยต่อกับ รัฐบาล เพราะเป็นการพูดจูงใจให้ประชาชนหลงเชื่อ เลือกเบอร์ 9 และรับปากว่าจะตอบสนองนโยบายต่างๆ อาจส่อว่าจะผิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ว่า
  
     
ต้องดูเนื้อหาที่ นายสุริยะใส จะมาร้องเรียนก่อน ซึ่งก็มีมาตรา 60 ที่เจ้าหน้าที่รัฐ จะไม่กระทำการใดอันโดยการใช้ตำแหน่งหน้าที่ให้คุณให้โทษ ยกเว้นเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ และต้องดูว่า นายกรัฐมนตรี ไปช่วยในฐานะอะไรถ้าช่วยในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ไม่ผิด เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับให้สังกัดพรรค แต่ถ้าไปปราศรัยในนามนายกรัฐมนตรีก็อาจเข้าข่ายได้

 

 

 ช่วงมาร์คกะสันเป็นนายกฯ 27ธันวาคม51 ก็ช่วยสุขุมพันธุ์หาเสียง อ่ะ ไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย

ตอนนี้ มาร์คก็ใช้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ช่วยสุขุมพันธุ์หาเสียง แล้วหาเสียงในเวลาราชการด้วย


ส่วนปู ไม่เคยปรากฎภาพว่า ไปช่วยหาเสียงในเวลาราชการ

ซ้ำวันนี้เป็นวันหยุดราชการ ก็ต้องไปทำหน้าที่นายกฯรัฐมนตรี ในฐานะแขกรับเชิญปธน.เกาหลีใต้คนใหม่ เลย หนาว!!!

ปล. พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.)
กกต.ชุดเมื่อปี 52 กับปี 56 ก็ชุดเดียวกัน อย่าสองมาตรฐาน


1361789546-186857-o.jpg

 

ทั่นประธานกกต.กทม.คะ สงสัยมากกว่าว่าที่ปชป.ทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ผิดกม.เลือกตั้งเลยหรือ เอาแค่ที่หาเสียงกัน บอกถ้าเบอร์ 9 ได้จะยึดประเทศ
 

กทม.จะกลายเป็นเมืองขึ้น ถ้าได้เขาจะนิรโทษ ต้องป้องกันข้าศึกไม่ให้ยึดเมืองหลวง ฯลฯ เล่นปราศรัยแบบใส่ร้ายป้ายป่นปีขนาดนี้นี่ ไม่ผิดเลยหรือค่ะ?

ถ้ากกต.ไม่ออกมาปรามปชป.ไว้บ้าง(ซึ่งต่อให้ออกมาป่านนี้ก็สายไปแล้ว) ก็หุบปากอยู่เฉยๆไว้เถอะค่ะ

 (จากคุณ  Axis Kernel เวปเสรีไทย)
 

 

guest

Post : 2013-02-24 22:23:08.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  โอวาทปฎิโมกข์

 

                                       

 

 

วันมาฆบูชา วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ "หัวใจพระพุทธศาสนา" ในปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ “มาฆะ” เป็นชื่อเรียกของเดือน ๓ ส่วนคำว่า “มาฆบูชา” ย่อมาจากคำว่า “มาฆปุรณมีบูชา” แปลว่า\“การบูชาพระในวันเพ็ญ เดือน ๓” ดังนั้น วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ (หรือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ในปีอธิกมาส) ถือเป็น “วันจาตุรงคสันนิบาต”

 

นับจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาเป็นเวลา ๙ เดือน เมื่อถึงวันเพ็ญกลางเดือน ๓ พระองค์ได้เสด็จไปประทับ ณ เวฬุวนาราม เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ครั้งนั้นได้มี พระอรหันต์ จำนวน ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งแบ่งเป็นพระอรหันต์ที่อยู่ในคณะของพระอุรุเวลกัสสปเถระ พระนทีกัสสปเถระ และพระคยากัสสปเถระ รวม ๑,๐๐๐ รูป กับพระอรหันต์ที่อยู่ในคณะของพระสารีบุตรเถระและพระโมคคัลลานะ เถระ ๒๕๐ รูป รวมทั้งสองคณะเป็น ๑,๒๕๐ รูป ได้พร้อมกันไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

การมา ประชุมใหญ่ของพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ในสมัยพุทธกาล จึงเรียกเหตุการณ์ในคราวนั้นว่า “จาตุรงคสันนิบาต” แปลว่า“ความประชุมประกอบด้วยองค์ ๔" ในอรรถกถา ทีฆนขสูตร ได้แสดงไว้ว่า องค์ ๔ คือ พระสาวกที่มาประชุมกันเป็นมหาสันนิบาต นั้นคือ

 

๑. พระสงฆ์ จำนวน ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่าง ๆ เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ เวฬุวันวนาราม กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ

 

๒. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป เหล่านั้น ล้วนเป็นพระอรหันต์ และได้รับการบวชจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

 

๓. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป เหล่านั้น ต่างมาประชุมพร้อมเพรียงกันโดยมิได้มีการนัดหมาย

 

๔. วันเพ็ญเดือนมาฆะ”คือวันเพ็ญกลางเดือน ๓ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนา อันเป็น“หัวใจของพระพุทธศาสนา” คือ “โอวาทปาติโมกข์” และ วันมาฆบูชา ในอีก ๔๕ พรรษา ต่อมาพระบรมศาสดาได้ทำการ “ปลงมายุสังขาร” ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ซึ่งการปลง มายุสังขารของพระบรมศาสดาในครั้งนี้ ก็ทำให้อีก ๓ เดือนต่อมา พระพุทธองค์ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในวันวิสาขบูชา 

 

โอวาทปาติโมกข์ “หัวใจพระพุทธศาสนา”

 

“๏ สพฺพปาปสสฺ อกรณ ํ การไม่ทำบาปทั้งปวง

๏ กุสลสฺสูปสมฺปทา การทำความดีให้ถึงพร้อม

๏ สจิตฺต ปริโยทปน การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว”

 

เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงประกาศพระพุทธวาทะดังกล่าวแล้ว ก็ได้ตรัสต่อไปอีกหนึ่งคาถากึ่งว่า

 

“๏ ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ๏ นิพพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา ๏ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต“ ๏ สพฺพปาปสสฺ อกรณํ ๏ กุสลสฺสูปสมฺปทา ๏ สจิตฺต ปริโยทปนํ ๏ อนูปฆาโต ๏ ปาติโมกฺเข จ สํวโร ๏ มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ๏ ปนฺตญฺจ สยนาสํ ๏ อธิจตฺเต จ อาโยโค ๏ เอตํ พุทธาน สาสนํ”

 

“ขันติคือความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง บรรพชิตคือนักบวช ผู้ยังทำร้ายผู้อื่นอยู่ ผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

 

การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑ ธรรมหกอย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.”

 

พระโอวาทในข้อนี้ เป็นเหมือนคำอธิบายประกอบของโอวาทที่เป็นหลัก ๓ ข้อดังกล่าว มีข้อสังเกตคือในเวลานั้น พระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ทรงบัญญัติพระวินัยปาติโมกข์ ฉะนั้นที่ตรัสให้สำรวมในพระปาติโมกข์ จึงมีความหมายคือ ปาติโมกข์ที่เป็นตัวแบบฉบับ อันควรทีสมณะจะพึงปฏิบัติโดยทั่วไป พระโอวาททั้งหมดนี้เรียกว่า พระโอวาทปาติโมกข์ ปาติโมกข์ที่เป็นโอวาทพระพุทธเจ้า ได้ตรัสแก่พระอรหันต์ทั้งนั้น จึงมิได้มุ่งที่จะอบรมให้ท่านบรรลุมรรคผล แต่ว่ามุ่งที่ จะวางแนวพระพุทธศาสนา

 

เบื้องต้นก็ชี้ถึง วาทะของพระพุทธะ ๓ ข้อต่อมาก็วางหลักปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างกว้าง ๆ ไว้ ๓ ข้อ และมีคำอธิบายประกอบ อีกเล็กน้อย ท่านแสดงว่าในวันอุโบสถวันพระจันทร์เพ็ญ และวันพระจันทร์ดับ (วันพระข้างขึ้น ๑๕ ค่ำ และข้างแรม ๑๕ ค่ำ)พระพุทธเจ้าได้ประทับเป็นประธานหมู่พระสงฆ์ แล้วก็ทรงแสดงพระโอวาทปาติโมกข์ขึ้นด้วยพระองค์เองทุก ๑๕ วัน แปลว่า ทรงทำอุโบสถร่วมด้วยภิกษุสงฆ์แล้วก็เรียกว่า ปาริสุทธิอุโบสถ คือ เป็นอุโบสถที่บริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าก็ทรงบริสุทธิ์ พระสงฆ์ก็บริสุทธิ์

 

จนถึงมีเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมามีเล่าไว้ในบาลีวินัย (วิ.จุลฺล. ๗/๒๘๓/๔๔๗-๘; ขุ.อุ. ๒๕/๑๕๐/๑๑๖.)ว่าพระสงฆ์มา ประชุมพร้อมกันแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่เสด็จลงมา จึงถึงเวลา ๑ ยาม พระอานนท์ก็ไปทูลเตือนว่า ยามหนึ่งแล้วพระมานั่งรอ อยู่นานแล้ว ขอให้เสด็จลงทรงสวดปาติโมกข์ พระพุทธเจ้าก็ไม่เสด็จลง ครั้นถึงยามที่ ๒ พระอานนท์ ก็ไปทูลเตือนอีก พระพุทธเจ้าก็ไม่เสด็จลง ครั้นถึงยามที่ ๓ พระอานนท์ก็ไปทูลเตือนอีก พระพุทธเจ้าก็ไม่เสด็จลง แต่ว่าในยามที่ ๓ นี้ได้มี พระพุทธดำรัสว่า บริษัทไม่บริสุทธิ์ คือว่ามีพระทุศีลมาปนอยู่ด้วยพระโมคคัลลานะจึงได้เที่ยวตรวจดู เมื่อไปพบภิกษุที่ทุศีล ก็บอกให้ออกไปจากที่ประชุม ผู้นั้นก็ไม่ยอมออกไปต้องฉุดแขนออกไป แต่ก็สว่างเสียแล้ว พ้นเวลาที่จะทำอุโบสถก็เป็นอันว่า ในอุโบสถนั้นไม่ได้ทำ(การสวดปาติโมกข์)

 

พระพุทธเจ้าจึงทรงปรารภเรื่องนี้้(วิ.จุลฺล. ๗/๒๙๒/๔๖๖) ตรัสให้พระสงฆ์ยกเอา พระวินัยที่ทรง บัญญัติขึ้นไว้ มาสวดเป็นปาติโมกข์แทน และให้พระสงฆ์สวดกันเองพระพุทธเจ้าไม่เสด็จมาทำ อุโบสถร่วมด้วยอีกต่อไป เพราะฉะนั้น จึงมีการยกเอาวินัยขึ้นสวดเป็นปาติโมกข์ทุก ๆ ๑๕ วัน สืบต่อมาจนบัดนี้ ปาติโมกข์ที่ยกเอาพระวินัยขึ้นสวดนี้ เรียกว่า วินัยปาติโมกข์ (ซึ่งก็คือ คัมภีร์รวมวินัยสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ ซึ่งต้องสวดทบทวนในที่ประชุมสงฆ์ หรือการลงอุโบสถทุก กึ่งเดือนในวันพระ)

 

 

 

*****************************************************************

 

 

 

   

 

 

 

 

“ขวัญชัย”ตบหน้า “ผบ.ตร.”สั่งแต่งตั้งตำรวจได้ทั่วประเทศ?

5 โพสต์ / ใหม่ 0
ข้อความล่าสุด

“ขวัญชัย”ตบหน้า “ผบ.ตร.”สั่งแต่งตั้งตำรวจได้ทั่วประเทศ?

 

ผลพวงจาก “แดง”ฟัด “แดง” ถึงขั้น “ขวัญชัย ไพรพนา”ประธานชมรมคนรักอุดร และประธานชมรมคนรักภาคอีสาน ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับ “ธิดา ถาวรเศรษฐ” ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ หรื นปช. อันมีชนวนเหตุมาจากการขบเขี้ยวแย่งกันใหญ่

กำลังกลายเป็นชนวนไป “เผา”สำนักงานตำรวจแห่งชาติไหม้เกรียมแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ที่บอกว่าเผาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ใช่การเข้าไปเผาสถานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งตั้งอยู่ถนนพระราม 1 เหมือนตอนเผาบ้านเผาเมืองช่วงการชุมนุม แต่เป็นการเผาภาพพจน์องค์กรตำรวจที่ตกต่ำในสายตาชาวบ้านอยู่แล้วให้แหลกเป็นจุณเข้าไปอีก

เพราะการระบายความอัดอั้นตันใจเคล้าน้ำตาของ “ขวัญชัย” ต่อผู้สนับสนุนที่ไร่มุกเดือน จ.ลำพูน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา เนื้อหานอกจากการระบายความรู้สึกไม่พอใจธิดาและแกนนำนปช.หลายๆคน รวมทั้งบ่งบอกว่าตัวเองเป็นคนเซนทีฟ แคร์ความรู้สึกคนดูไบแล้ว บางช่วงบางตอน “ขวัญชัย”ก็โชว์เพาเวอร์ตัวเองให้ผู้สนับสนุนรู้ว่าข้าก็ใหญ่ไม่แพ้ใคร กลายเป็นเนื้อหาที่สะท้อนกลับไปตั้งคำถามต่อองค์กรตำรวจว่าใช่อย่างที่”ขวัญชัย”พูดจริงหรือไม่ อย่างไร

“...ทุกวันนี้ถ้าไม่มีตำรวจดูแลจะเอาเงินจากไหนไปดูแล ผู้กำกับเมืองอุดร ผู้การเมืองอุดร ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนมาเอ็นเตอร์เทน ...ผกก.มุกดาหารก็น้องผมผมส่งไปเอง ....ยโสธร ผู้การฯฉลอง ผมเป็นคนเซ็นต์รับรองเอง เป็นน้องเป็นนุ่ง แต่โดนภาพเสื้อน้ำเงินโดนเตะไปอยู่จเร มาขอฟอกตัวเอง มาขอหนังสือฟอกตัวผมหาดูไบ ผมเซ็นต์รับรองให้ เลยออกจากจเรไปเป็นผู้การยโสธร ....ตำรวจอุดรจังหวัดของผม ดูไบจะเปลี่ยนผู้การอุดรฯต้องถามผมก่อน...”

หากถอดเนื้อหาตามถอยกระทงความอย่างที่ “ขวัญชัย”พูดไว้เช่นนี้ ถ้าเป็นจริงก็ต้องบอกว่า “ขวัญชัย”ไม่ทำธรรมดา สามารถชี้เป็นชี้ตาย ชี้ให้ตำรวจระดับ “นายพล”โยกย้ายไปไหนก็ได้ ตามที่ตัวเองต้องการ รวมทั้งมีตำรวจคอยดูแลเรืองเงินเรื่องทองใช้จ่ายอย่างสบายมือ

ทั้งที่ตามพระราชบัญญัติ(พรบ.)ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ลักษณะ 6 ระเบียบข้าราชการตำรวจ หมวด 2 การบรรจุ การแต่งตั้งและการเลื่อนขั้นเงินเดือน มาตรา 51 (6) ตำแหน่งผู้บังคับการ และพนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากข้าราชการตำรวจยศพันตำรวจเอก ซึ่งได้รับอัตราเงินเดือนพันตำรวจเอก(พิเศษ) หรือพลตำรวจตรี

มาตรา 54 การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่มาตรา 44(5)(ตำแหน่งรองผู้บัญชาการ)ลงมาและเป็นการแต่งตั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือในกองบัญชาการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

(1) การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 44(5) และ(6)(ตำแหน่งผู้บังคับการ) ในสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคัดลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจในสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสนอ ก.ตร.(คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง

ในกรณีเป็นการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในกองบัญชาการที่สังกัดสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรับฟังข้อเสนอแนะของผู้บัญชาการที่เกี่ยวข้องด้วย

(2) การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 44(5) และ(6) ในกองบัญชาการที่มิได้สังกัดสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ผู้บัญชาการคัดลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจในกองบัญชาการนั้นเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาเสนอ ก.ตร. ให้ความเห็นชอบก่อนแล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง

ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเห็นว่า การคัดเลือกของผู้บัญชาการตามวรรคหนึ่งยังไม่เหมาะสม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะทำความเห็นพร้อมข้อเสนอแนะและเหตุผลเสนอ ก.ตร. พ่อประกอบการพิจารณาด้วยก็ได้

ตรวจทุกตัวอักษรตามพรบ.ตำรวจแห่งชาติฉบับนี้ ไม่มีมาตราไหน หรือข้อใด ที่เขียนไว้ว่าต้องได้รับความเห็นชอบจาก “ขวัญชัย” หรือจาก “คนดูไบ” ตามที่ “ชวัญชัย”พูดไว้

จะเป็นการพูดโอ้อวด โชว์พรรคพวก หรือแสดงบารมีตัวเองอย่างไร แต่สิ่งที่ “ขวัญชัย”พูดออกมาก็สร้างความเสื่อมเสียต่อการบริหารงานบุคคลภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสื่อมเสียต่อภาพพจน์องค์กรตำรวจ ที่อาจทำให้สังคมมองได้ว่า

การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจไม่ได้อยู่ที่ผลงาน หรือหลักเกณฑ์ข้อกำหนดตามกฎตามระเบียบ แต่เป็นการฝากฝั่งจากพวกพ้อง จากผู้มีอำนาจ

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านับตั้งแต่ “ขวัญชัย”โอ้อวดทำลายภาพพจน์องค์กรตำรวจ โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายเสียป่นปี้เช่นนี้ แต่ผ่านมานับตั้งแต่ “ขวัญชัย”พูดไว้เมื่อวันที่ 11 ก.พ. จนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งเดือน

ก็ไม่เห็นมีผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.คนปัจจุบัน รอง ผบ.ตร. ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผบช. หรือโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือตำรวจหน้าไหนออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงกู้ภาพพจน์ตำรวจ หรือดำเนินการสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อคนที่พูดพล่อยๆเช่นนี้

ซึ่งดูจะต่างจากกรณีมีการพาดพิงถึงพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. จากพรรคเพื่อ

ไทย เป็นประธานคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน(ทีโออาร์) โครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง ที่กำลังมีปัญหาเรื่องการโกงกินกันอยู่ ทั้งพล.ต.อ.อดุลย์ หรือโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่างดาหน้าออกมาแก้ต่างแทน ยืนยันพล.ต.อ.พงศพัศไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงขนาดออกเป็นแถลงการณ์การันตีความบริสุทธิ์ให้พล.ต.อ.พงศพัศ

เช่นเดียวกับการพาดพิง อดีตผบ.ตร.อาจีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ออกมาพาดพิงถึง พล.ต.อ.อดุลย์ ก็ออกมาแสดงท่าทางขึงขังไม่พอใจ “ธาริต เพ็งดิษฐ” อธิบดีดีเอสไอ ด้วยข้ออ้างว่าเป็นการกระทำที่ทำให้ภาพพจน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียงหาย เป็นการทำลายองค์กรตำรวจ

แต่พอเรื่องนี้ที่ “ขวัญชัย”ออกมาพูดชี้ซ้ายชี้ขวาแต่งตั้ง ผู้การฯจังหวัดได้เอง กลับไม่เห็นพล.ต.อ.อดุลย์ออกมาดำเนินการสิ่งใด หรือออกมาปกป้องรักษาพจน์องค์กรตำรวจเหมือนอย่างที่ออกมาประกาศว่ารักองค์กร

หรือคำพูด “ขวัญชัย”ที่เชื่อมโยงคนดูไบสั่งแต่งตั้งตำรวจได้จะเป็นเรื่องจริง จน “พล.ต.อ.อดุลย์”น้ำท่วมปากพูดไม่ออก

guest

Post : 2013-02-22 20:00:21.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ผู้พ่าย

 

                                        ผู้พ่าย...

 

 

            

 

 

 

 

....ตัดสินใจ สู่เมืองฟ้า มามือเปล่า

 

ทิ้งเรื่องราว บ้านนอกหนี ที่ไร้หวัง

 

เเห้งขอดเหือด บ่มีน้ำ ซ้ำดินพัง

 

อดกระทั่ง หิวเหมือนหมา น่าน้อยใจ

 

 

 

 

 

....ณ.วันนี้ อยากเดินต่อ ก็ลำบาก

 

หากินยาก ไม่รู้เพิ่ม เริ่มจุดไหน?

 

มืดไปหมด รันทดเเท้ เเย่กว่าใคร

 

กลับบ้านไป อย่างผู้เเพ้ เเคร์เหลือเกิน......

 

 

 

 

 

 

**********************************************************

 

 

 

guest

Post : 2013-02-21 21:30:24.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ปล้นเพชรพันล้าน จี้เครื่องบินเงียบ....

 

               ตำรวจเบลเยี่ยมเผยแผนปล้นเพชรใน 3 นาที

 

 

                         

 

 

 

ปล้นฟ้าผ่าเพชรพันล้านบนรันเวย์สนามบินเบลเยียม โจร 8 คนสวมชุดตำรวจและหน้ากากพร้อมปืนกลครบมือ ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ฉกเพชร 120 ห่อ มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท บริษัทยอมรับถูกโจรกรรมครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อค่ำวันที่ 18 กุมภาพันธ์ (ตามเวลาท้องถิ่น) เกิดเหตุปล้นเพชรอย่างอุกอาจภายในสนามบินกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม โดยคนร้ายจำนวน 8 คน สวมเครื่องแบบของตำรวจ แต่ใส่หน้ากากปิดบังใบหน้า พร้อมด้วยอาวุธปืนกล ได้ขับรถ 2 คันพังรั้วสนามบินเข้าไปจอดเทียบรถยนต์ของบริษัทรักษาความปลอดภัย Brinks บนรันเวย์สนามบินซึ่งเพิ่งนำเพชรใส่ตู้สินค้าของสายการบินเฮลเวติกแอร์เวย์ ที่กำลังจะเดินทางไปเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์


อันจา บิสเนนส์ โฆษกสำนักงานอัยการเมืองบรัสเซลส์ แถลงว่า กลุ่มโจรทั้ง 8 คนกวาดเพชรทั้งหมดไป 120 ห่อ ซึ่งมีทั้งเพชรที่เจียระไนแล้วและยังไม่ผ่านการเจียระไน โดยใช้เวลาปล้นไม่ถึง 5 นาที และไม่ได้ยิงปืนแม้แต่นัดเดียว เป็นที่ชัดเจนว่ากลุ่มคนร้ายได้วางแผนมาเป็นอย่างดี ผู้โดยสารบนเครื่องบินไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้เพชรไปแล้ว คนร้ายได้ขับหนีออกไปในความมืดทางรั้วที่พังเข้ามา และรถของพวกเขาคันหนึ่งพบว่าถูกเผาทิ้งไม่ไกลจากสนามบิน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามไล่ล่าอยู่
 

สถานีโทรทัศน์วีอาร์ทีของเบลเยียมรายงานว่า อัญมณีที่ถูกปล้นไปทั้งหมดมีมูลค่าถึง 350 ล้านยูโร หรือประมาณ 14,000 ล้านบาท ขณะที่แคโรไลน์ เดอ วูล์ฟ โฆษกของศูนย์เพชรนานาชาติอันธ์เวิร์พ เจ้าของอัญมณีเลอค่าที่ถูกปล้นไป เปิดเผยว่า เพชรที่ถูกปล้นมีมูลค่าประมาณ 50 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท


"อย่างไรก็ตาม นี่คือการปล้นครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ที่เราเคยประสบ" โฆษกศูนย์เพชรอันธ์เวิร์ปกล่าว และมีความวิตกว่าอาจมีทองคำและแพลทินัมถูกกวาดไปด้วย แต่ยังไม่สามารถยืนยันข้อมูลได้


ทั้งนี้ อันธ์เวิร์ปได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเพชรมาเป็นเวลามากกว่าศตวรรษ มีเพชรที่ซื้อขายกันในโลกเดินทางผ่านเมืองนี้เป็นปริมาณมหาศาล คิดเป็นประมาณ 8 ใน 10 ของเพชรที่ยังไม่เจียระไน และ 5 ใน 10 ของเพชรที่ผ่านการเจียระไนแล้ว
ขณะที่ศูนย์เพชรนานาชาติอันธ์เวิร์ปมีอัญมณีผ่านเข้าออกมูลค่าประมาณ 200 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 6,000 ล้านบาททุกวัน ปกติการรักษาความปลอดภัยจะค่อนข้างเข้มงวดมาก.

 

 

การปล้นเพชรครั้งนี้นับเป็นครั้งใหญ่ที่สุดของเบลเยี่ยม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า กลุ่มคนร้าย 8 คน ได้วางแผนก่อเหตุมาอย่างดี และสวมเครื่องแต่งกายคล้ายตำรวจ ขับรถยนต์สีดำ 2 คัน บุกเข้าไปบนรันเวย์ของสนามบินนานาชาติในกรุงบรัสเซลส์ ก่อนตรงไปที่เครื่องบินของสายการบินสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งกำลังมีการขนย้ายเพชรมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาทของบริษัทแอนท์เวิร์บ ซึ่งเป็นบริษัทค้าเพชรรายใหญ่ของโลก ไปขึ้นเครื่องบินลำดังกล่าว

กลุ่มคนร้ายได้กระจายกำลังส่วนหนึ่งใช้ปืนจี้นักบินบนเครื่อง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งใช้ปืนจี้คนขับรถ และพนักงานขนย้ายเพชร ก่อนจารกรรมเพชรที่มีทั้งแบบเจียระไนแล้ว และยังไม่ได้เจียระไน หลบหนีไปทางรั้วของสนามบินที่ถูกเจาะเป็นช่องไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งใช้เวลาเบ็ดเสร็จเพียง 3 นาทีเท่านั้น โดยไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว ขณะที่ผู้โดยสารบนเครื่องบินก็ไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ล่าสุดทางการเบลเยี่ยมได้ส่งกองกำลังชุดพิเศษไล่ล่า และหาเบาะแสกลุ่มคนร้าย เบื้องต้นพบเพียงรถตู้ 1 คัน ที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะ ถูกเผาทำลายหลักฐานอยู่ใกล้สนามบินเท่านั้น

 

 

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

เพชร
Brillanten.jpg
เพชรรูปกลมที่ตัดและเจียระไนอย่างงดงาม สะท้อนแสงแพรวพราวตามเหลี่ยมมุม
การจำแนก
ประเภท แร่ธรรมชาติ
สูตรเคมี C
คุณสมบัติ
มวลโมเลกุล 12.01 \text {g·mol}^{-1}
สี โดยทั่วไปสีเหลือง น้ำตาล หรือ เทา ไปจนถึงไม่มีสี น้อยครั้งที่จะเป็นสีฟ้า เขียว ดำ ขาวขุ่น ชมพู ม่วง ส้ม และแดง
รูปแบบผลึก ทรงแปดหน้า
โครงสร้างผลึก สี่เหลี่ยมจัตุรัส-สามมิติ (เหลี่ยมลูกบาศก์)
แนวแตกเรียบ 111 (สมบรูณ์แบบใน 4 ทิศทาง)
รอยแตก แตกแบบฝาหอย
ค่าความแข็ง 10
ความวาว มีความวาว
ความวาวจากการขัดเงา มีความวาว
ดรรชนีหักเห 2.418 (ที่ 500 nm)
คุณสมบัติทางแสง ไอโซทรอปิก
ค่าแสงหักเหสองแนว ไม่มี
การกระจายแสง 0.044
การเปลี่ยนสี ไม่มี
สีผงละเอียด ไม่มีสี
ความถ่วงจำเพาะ 3.52 ± 0.01
ความหนาแน่น 3.5–3.53 \text {g/cm}^3
จุดหลอมเหลว ขึ้นกับความดันบรรยากาศ
ความโปร่ง โปร่งแสง กึ่งโปร่งแสง ถึง เป็นฝ้าทึบ
อ้างอิง [1][2]
เพชรดิบ
ความหมายอื่นของ เพชร ดูได้ที่ เพชร (แก้ความกำกวม)

เพชร เป็นอัญมณีรูปแบบหนึ่งของคาร์บอน จัดเรียงตัวเป็นทรงแปดหน้า เป็นแร่ที่แข็งที่สุดตามสเกลของโมส์ (Moh's scale) มีค่าความแข็งเท่ากับ 10

เพชรมีหลายสี สีที่นิยมที่สุดคือสีขาวบริสุทธิ์ สีที่หายากคือสีแดง ฟ้า เขียว ส้ม ชมพู เรียก "แฟนซีไดมอนด์" มีราคาสูงมาก การเจียระไนเป็น 52 เหลี่ยมนับว่าสวยที่สุด เพชรเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความแข็งแกร่ง แหล่งของเพชรมีอยู่ทั่วโลก ส่วนมากพบที่บราซิลและแอฟริกาใต้

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ศัพท์มูลวิทยา

คำว่า เพชร ในภาษาไทย มาจาก वज्र (วชฺร) ในภาษาสันสกฤต หมายถึง สายฟ้า หรืออัญมณีชนิดนี้ก็ได้ ส่วนในภาษาอังกฤษ "diamond" มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณ αδάμας (adámas) ซึ่งมีความหมายว่า "สมบูรณ์" "เปลี่ยนแปลงไม่ได้" "แข็งแกร่ง" "กล้าหาญ" มาจาก ἀ- (a-) มีความหมายว่า "ไม่-" + δαμάω (damáō), "เอาชนะ" "ขี้ขลาด"[3] ภายหลังได้แผลงเป็น adamant, diamaunt, diamant และ diamond ในที่สุด

 

เพชรมีการกล่าวถึงและทำเหมืองเพชรครั้งแรกในประเทศอินเดีย โดยเฉพาะชั้นหินที่เกิดจากการทับถมของตะกอนน้ำพาเป็นเวลาหลายศตวรรษตามแม่น้ำเพนเนอร์ กฤษณะ และ โคธาวารี เพชรเป็นที่รู้จักในประเทศอินเดียมาไม่น้อยกว่า 3,000 ปีแต่ไม่เกิน 6,000 ปี[4]

อัญมณีเพชรกลายเป็นสิ่งมีค่าเมื่อมีการนำไปใช้เป็นรูปเคารพทางศาสนาในอาณาจักรอินเดียโบราณ นอกจากนี้ ยังมีการใช้งานเพชรเป็นเครื่องมือแกะสลักตั้งแต่สมัยต้นประวัติศาสตร์ของมนุษย์อีกด้วย[5][6] ความนิยมของเพชรได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น เทคนิคการตัดและขัดเกลาที่ดีขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจโลก และการปฏิรูปและความสำเร็จของการโฆษณาเผยแพร่[7]

ในปี ค.ศ. 1772 อ็องตวน ลาวัวซีเยได้ใช้แว่นขยายรวมรังสีดวงอาทิตย์ไปบนเพชรในบรรยากาศที่มีแต่ออกซิเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์จากการเผาไหม้มีเพียงแต่คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการพิสูจน์ว่าเพชรเป็นองค์ประกอบของคาร์บอน ต่อมาในปี ค.ศ. 1797 สมิทสัน เท็นแนนต์ (Smithson Tennant) ได้ทำซ้ำและเพิ่มเติมการทดลองนี้ โดยแสดงให้เห็นว่าการเผาไหม้เพชรและกราไฟท์จะปลดปล่อยก๊าซที่มีองค์ประกอบเดียวกัน สมิทสันได้สร้างสมดุลสมการเคมีของสารเหล่านี้ขึ้นมา[8]

การใช้งานเพชรส่วนมากในปัจจุบันเป็นการใช้ในเชิงอัญมณีซึ่งใช้ทำเครื่องประดับ การใช้งานในลักษณะนี้สามารถนับย้อนไปได้ถึงในสมัยโบราณ การกระจายของแสงขาวในสเปกตรัมสีเป็นลักษณะพื้นฐานทางด้านอัญมณีวิทยาของอัญมณีเพชร ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้เชี่ยวชาญในด้านอัญมณีวิทยาได้พัฒนาวิธีแบ่งระดับของเพชรและอัญมณีชนิดอื่นบนพื้นฐานของลักษณะที่สำคัญในเชิงมูลค่าของอัญมณี 4 ลักษณะหรือที่รู้จักกันในชื่อ 4 ซี ถูกใช้เป็นพื้นฐานการบ่งชี้ของเพชร ประกอบด้วย กะรัต (carat) การตัด (cut) สี (color) และ ความสะอาด (clarity)[9] เพชรไม่มีตำหนิที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรู้จักกันในชื่อ พารากอน

guest

Post : 2013-02-19 21:54:52.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ชนชาติลาวพวน

 

                                  

                                           ได้ยินหมดเเล้ว...

 

 

                                   

 

 

 

 

....เราเลิกกัน ดีกว่า อย่าทนทุกข์

 

ไม่มีสุข อยู่ทำไม? ให้เศร้าหมอง

 

พอกันที อย่าทายท้า มาต่อรอง

 

เลิกเเยกห้อง ไปตามทาง ห่างให้ไกล

 

 

....จะเอาลูก ไปด้วย ช่วยส่งเสีย

 

ไม่ต้องเคลียร์ มันจบเเล้ว เเก้วร้าวไหว

 

ทนมานาน ขี้เกียจง้อ ขอทำใจ

 

เส้นทางใคร ไปตามนั้น ฉันไม่เเคร์!!...

 

 

 

 

**********************************************************

 

 

 

บทความ ศิลปวัฒนธรรมประเพณี ชนชาติไทยพวน

        

                                     ชนชาติไทยพวน

 

 

thaipaon2

 
 
ความเป็นมาของชาวไทยพวนในประเทศไทย


พวน (Phuen, Puen) เป็นคำที่เรียกกลุ่มชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคว้นเชียงขวางหรือบริเวณที่ราบสูง ในประเทศสาธารณรัฐธิปไตยประชาชนลาว มีอาณาเขตติดต่อกับญวน ได้ชื่อว่าพวน เพราะเชียงขวางมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านพื้นที่ ชื่อแม่น้ำพวน ชาวพวนนิยมตั้งถิ่นฐานสร้างที่ทำกิน บริเวณลุ่มแม่น้ำ ด้วยมีอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ไถนา เมื่ออพยพมาอยู่ในประเทศไทย จึงเลือกสถานที่สร้างบ้านเรือนอยู่ตามแม่น้ำลำคลอง สังเกตได้จากชาวไทยพวนอำเภอปากพลี จะสร้างบ้านอยู่ตามลำคลองตลอดแนว ตั้งแต่ตำบลหนองแสง ตำบลเกาะหวาย ตำบลเกาะโพธิ์ จนถึงตำบลท่าเรือ เป็นต้น ที่อำเภอเมืองนครนายก จะมีชาวไทยพวนอาศัยอยู่ที่ตำบลสาริกาและตำบลเขาพระชาวไทยพวนในจังหวัดนครนายก เชื่อกันว่า อพยพเข้ามาในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
 
 
ประมาณ ปี พ.ศ. 2322 เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงโปรดเกล้าให้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์และหัวเมืองต่างๆ ซึ่งมีชื่อเรียกรวมกันว่า หัวพันทั้งห้าทั้งหก ประกอบด้วย เมืองคำม่วน เมืองคำเกิด เมืองเวียงไชย เมืองไพศาลลี เมืองซำเหนือ และเมืองเชียงขวาง ได้กวาดต้อนเอาลาวเวียง(ลาวเวียงจันทน์) ลาวพวนและลาวโซ่ง มาไว้ที่เมืองร้าง (เพราะถูกพม่ากวาดต้อนราษฎรไปตั้งแต่สมัยกรุงศรัอยุธยาเสียแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310) เช่นเมืองสระบุรี ลพบุรี นครนายก และฉะเชิงเทรา ระยะที่สอง ในราวปี พ.ศ. 2335 สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมืองแถงและเมืองพวนแข็งข้อต่อเมืองเวียงจันทน์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงได้ยกทัพไปปราบ และกวาดต้อนครอบครัวลาวทรงดำ(ลาวโซ่ง)และลาวพวนส่งมากรุงเทพฯ ลาวทรงดำถูกส่งไปอยู่ที่เพชรบุรี ลาวพวนถูกส่งมาที่เมืองลพบุรี สระบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ราชบุรีและจันทบุรี ด้วย
 
 
ระยะที่สาม ในราวปี พ.ศ. 2370 เจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ ก่อกบฏต่อกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าให้พระยาราชสุภาวดี(เจ้าพระยาบดินทร์เดชา) เป็นแม่ทัพ ขึ้นไปปราบกบฏ และได้กวาดต้อนครอบครัวลาวพวนมาไว้ที่อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดลพบุรี และจังหวัดพิจิตร เป็นต้น ชาวไทยพวน มีอุปนิสัยยิ้มแย้มแจ่มใส โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และรักสงบ ยึดมั่นใน ขนบธรรมเนียมประเพณี มีวัฒนธรรม มีภาษา มีความผูกพันในระบบเครือญาติ เผ่าพันธุ์ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองมาช้านาน ชาวไทยพวนจะพูดได้ทั้งภาษาไทยกลาง และภาษาไทยพวน โดยจะใช้ภาษาไทยกลางพูดกับคนต่างถิ่น แต่จะพูดภาษาไทยพวนกับกลุ่มชนเดียวกัน ภาษาพูดของไทยพวนมีสำเนียงไพเราะ ซึ่งจะแตกต่างจากภาษาพูดของลาวเวียง ที่มีสำเนียงสั้นๆห้วนๆ เช่น
 
 

  ภาษาไทยพวน ภาษาลาวเวียง ภาษาำำไทยกลาง
  ไปกะเลอ ไปไส
 
ไปไหน
  เอ็ดผิเลอ เฮ็ดหยัง
 
ทำอะไร
  ไปแท้อ้อ ไปอีหลีตั๊ว
 
ไปจริงๆหรือ
 
 
 
 
ภาษาเขียนของไทยพวนเดิมใช้อักษรไทยน้อย จารลงในใบลาน เช่น นิทานพื้นบ้าน เพื่อใช้อ่านในงานพิธีต่างๆ เช่น งานงันเฮือนดี อยู่กรรม หรือเทศน์ในงานบุญต่างๆ และใช้อักษรธรรม จารลงในใบลาน ที่เเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในปี พ.ศ. 2465 ได้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้นและบังคับใช้ทั่วประเทศ ชาวไทยพวนจึงได้ศึกษาภาษาไทยอย่างจริงจัง อีกทั้งสนับสนุนให้บุตรหลานศึกษาภาษาไทยกันมากขึ้น เพราะเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในสังคม และวัฒนธรรมจากในเมือง การแต่งงานกับคนภาษาอื่น ทำให้เกิดการผสมผสานด้านภาษาทำให้อักษรไทยน้อยและอักษรธรรมลดความสำคัญลง ไม่มีการสืบทอดภาษาเขียนสู่ชนรุ่นหลัง ผู้มีความรู้เรื่องภาษาเขียนและภาษาถิ่นเริ่มหมดไปจากสังคม ในปัจจุบันมีผู้ที่สามารถอ่านใบลานได้น้อย
 

ชาวไทยพวน มีวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นแบบเอกลักษณ์ของตนเองในด้านต่าง ๆ ได้แก่ประเพณี วัฒนธรรม พิธีกรรม วิถีการดำเนินชีวิต เช่น การแต่งกาย อาหารที่บริโภค และฝีมือในการทอผ้า และการละเล่นที่มีมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่การละเล่นบางอย่างจัดให้ขึ้นในงานเทศกาลต่าง ๆ เช่น เล่นในประเพณีกำฟ้า ในประเพณีใส่กระจาด การละลเนบางอย่างเป็นการละเล่นที่เด็ก ๆ ในปัจจุบัน ไม่ทราบหรือไม่มีการนำมาเล่นแล้ว ดังนั้นการละลเนในประเพณีต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการฟื้นฟูและเผยแพร่ในช่วงชั้น ๆ ตามเทศกาลเป็นส่วนใหญ่ อันได้แก่
 
 

thaipaon1

 
 
 
1. การเต๊ะหม่าเบี้ย เป็นการละเล่นพื้นบ้านของชาวพวนบ้านหมี่และชาวพวนเขตอื่นมาแต่สมัยโบราณ เล่นในงานบุญประเพณี สงกรานต์ กำฟ้า หรือในคืนมืดที่มีการลงข่วง การลงข่วง คือการที่หนุ่มสาวในหมู่บ้านเอางานในบ้านเช่น ปั่นด้าย ตำข้าว เย็บผ้า ผ่าฟืน เป็นต้น มาร่วมกันทำในตอนกลางคืน โดยอาศัยแสงจากกองไฟที่บริเวณลานบ้าน เป็นการนัดพบของหนุ่มสาวเมื่อเสร็จงานก็จะแข่งขันกันเตะหม่าเบี้ย หนุ่มสาวก็จะส่งเสียงเอาใจช่วยฝ่ายของตนเป็นที่สนุกสนาน
หม่าเป็นภาษาพวนหมายถึงลูกหรือผล ตรงกับภาษาไทยมาตรฐานว่า หมากเบี้ย หมายถึง วัตถุทรงกลมที่มีความแบนค่อนข้างหนาซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ก้นครกที่ทำด้วย เครื่องปั้นดินเผา เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 นิ้ว หนาประมาณ 3 นิ้ว ปกรณ์การเล่นอีกอย่างคือ ไม้กระดานหนาขนาด 1.5 – 2 นิ้ว กว้าง 8- 10 นิ้ว ยาว 2 ศอก โดยประมาณ จำนวน 1 แผ่น แต่เดิมใช้ไม้กระดานกั้นประตูฝายุ้งข้าว ผู้เล่นก็จะเป็นฝ่ายชายหนุ่มกับหญิงสาว หรือชายกับชาย หรือหญิงกับหญิงก็ได้ แล้วแต่จะตกลงกัน สถานที่เล่นก็จะใช้บริเวณลานบ้าน ลานวัด ก็ได้
 

วิธีเล่น คือ แต่ละฝ่ายจะต้องเตะลูกหม่าเบี้ยให้ถูกกระดานที่ตั้งอยู่ห่างประมาณ 8– 10 เมตร ให้ล้มลง โดยเตะสลับกันไป หากฝ่ายใดเตะถูกกระดานล้มมากกว่าก็จะเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งรางวัล คือการเขกเข่า ดีดนิ้ว หรือเป็นเครื่องดื่มซึ่งจะทำให้เกิดความสนุกสนาน ทั้งผู้เล่นและผู้ที่คอยให้กำลังใจ ในปัจจุบันมีการพัฒนาการเล่นหม่าเบี้ยโดยมีการตั้งกติกาขึ้นมาอีกหลายอย่าง และจุดประสงค์นอกจากจะให้เกิดความสนุกสนานแล้วยังถือว่าเป็นการแข่งขันทดสอบ ความสามารถในการเตะที่แม่นยำ มุ่งหวังเพื่อแพ้ชนะ หรือหาคนที่มีความสามารถ อย่างไรก็ตามหม่าเบี้ย ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันก็ยังเป็นการละเล่นของชาวพวนที่มีความสนุกสนาน แฝงไว้ด้วยความรักสามัคคี ของกลุ่มชน ดังที่ คำผญาว่า “ฮักหมู่ ฮักเชื้อ จิกินเกลือ ก็บ่ว่า” ( คำผญา เป็นภาษาพวน ความหมาย เป็น น. บทกลอน ลำนำ คำพังเพย คำภาษิต )


2. การเล่นนางกวัก เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของคนไทยพวน โบราณ ในเรื่อง ภูติ วิญญาณ ที่นำมาเล่นกัน เพื่อจะได้ติดต่อถึงวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้ว เพื่อถามสารทุกข์สุกดิบ และเรื่องต่าง ๆ ของผู้ตาย ว่า มีความเป็นอยู่อย่างไร ต้องการอะไรบ้าง เพื่อทางญาติพี่น้อทยังมีชีวิตอยู่ จะได้อุทิศส่วนกุศลไปให้ ดวงวิญญาณจะได้สงบสุข มีความเป็นอยู่ในภพที่ดี แต่บางคนก็จะถามถึงเรื่องโชคลาภ วาสนา เนื้อคู่ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว และบางคจะถามถึงเลขเด็ด ( ถ้าเล่นกัน ในวันใกล้หวยออก )การเล่นนางกวัก ลักษณะคล้ายกับการดูหมอซึ่งจะทำให้ผู้ถาม เกิดความกระจ่างและเกิดความสบายใจในสิ่งที่เป็นกังวลใจ
 

วิธีการเล่น
นำอุปกรณ์ เตรียมไว้ มาประกอบกันให้เป็นตัวนางกวัก โดยใช้เชือกผูกส่วนหัว และตัวติดกัน นำกวักมาทำเป็นส่วนตัว และนำกะลามะพร้าวมาผูกเป็นส่วนหัว นำไม้คานมาผูกทำเป็นส่วนแขน นำเสื้อผ้ามาแต่งตัวให้กับกวัก แต่งตัวกวักให้เหมือนหุ่นไล่กา เตรียมทรายใส่กระด้งไว้ สำหรับทำเป็นที่เขียนหนังสือของกวัก แล้วทำพิธีอัญเชิญวิญญาณผีเข้าสิงกวัก โดยให้ผู้หญิงที่ถือกวัก 2 คน คนละข้างยกกวักไว้ นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปอัญเชิญ โดยมีตัวแทนของผู้เล่น ที่มีอาวุโส ( คนแก่ ) เป็นผู้อัญเชิญ และทำพิธีขอขมาลาโทษต่อเจ้าที่เจ้าทาง และผีทางหลวงทางก่อนที่จะทำการเล่นส่วนผู้เล่นคนอื่น ๆ หรือผู้ดูจะนั่งล้อมวงกันอยู่รอบ ๆ กระด้งที่มีทรายใส่ไว้จนเต็มซึ่งปาดหน้าให้เรียบพวกที่นั่งล้อมวงอยู่ก็จะ ช่วยกันกล่าวคำร้องเชิญดวงวิญญาณเข้าทรงกวัก ดังต่อไปนี้
 

“ นางกวักเอย นางกวักทักแท่ เห่เจ้าแหญ่ อีแม่แญญอง หาคนญาคนญอง เห้อสูงเพียงช้าง เจ้าอย่าอ้างต่างหู เดือนหงาย สานลิงสานลาย เดือนหงายเดือนแจ้ง เจ้าอย่างแอ้ง อีแท่นางกวัก กวักเจ้ากวัก นางกวักทักแท่ “ การร้องเชิญดวงวิญญาณเข้าทรงกวัก จะร้องวนขึ้นต้นกันใหม่ ร้องซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าวิญญาณจะเข้าสิ่งกวัก เมื่อผีเข้าสิงกวักจะรู้ได้ ให้สังเกตจากกวักที่คนทรงถือ คือกวักจะเริ่มสั่นไหว แล้วก็ดินกระโดดโถมไปโถมมา ทางซ้ายทางขวา ตามจังหวะเสียงร้องคำเชิญ ถ้ากวักเคลื่อนไหวลักษณะดังกล่าว แสดงว่าวิญญาณกวักเข้าทรงแล้ว คนทรงหรือคนถือก็นำกวักมานั่งใกล้ ๆ กับกระด้งที่เตรียมไว้ ขณะที่นำนางกวักมานั้น กวักจะสั่นอยู่ตลอดเวลา ผู้เล่น โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็จะเริ่มตั้งคำถามต่าง ๆ ที่อยากรู้ ลักษณะคล้าย ๆ กับการทำนายทายทักแบบหมอดู แต่การเล่นกวักจะใช้วิธีตอบคำถามโดยการเขียนหนังสือโต้ตอบ เมื่อผู้ถาม ๆ จบ กวักก็จะตอบโดยการใช้แขนที่ทำด้วยไม้คาน เขียนเป็นหนังสือลงบนทรายที่กระด้ง คนถามก็จะได้คำตอบทันที แต่การเขียนตอบจะเขียนไม่ยาว เป็นเพียงข้อความสั้น ๆ เช่น ใช่ ไม่ใช่ ได้ ไม่ได้ ดี ไม่ดี ฯลฯ
 

การถามคำถามนั้น จะสลับไปกลับการร้องเพลงประกอบ ขณะที่มีการร้องเพลง เคาะจังหวะ นางกวักก็จะเต้นล้มไปด้านซ้าย ด้านขวาตลอดเวลาตามจังหวะด้วย ซึ่งเป็นที่สนุกสนานทั้งนางกวักและผู้เล่น จนเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายและหมดคำถามที่จะถามแล้ว ก็จะเชิญวิญญาณที่เข้าสิงนางกวักออก โดยทำพิธีไปส่งที่จุดแรกที่เชิญเข้าทรง เมื่อวิญญาณออกแล้ว กวักที่คนทรงถืออยู่ก็จะมีอาการสงบนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว


วิถีชีวิตและภาษา
ชาวพวนมีนิสัยรักความสงบ ใจคอเยือกเย็น มีความโอบอ้อมอารี ยึดมั่นในศาสนา รักอิสระ มีความขยันขันแข็งในการการประกอบอาชีพ เมื่อว่างจากการทำไร่ทำนาก็จะทำงานหัตถกรรม คือ ผู้ชายจะสานกระบุง ตะกร้า เครื่องมือหาปลา ส่วนผู้หญิงจะทอผ้า ซึ่งรู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบันคือ ผ้ามัดหมี่ลพบุรี
 

อาหารของชาวไทยพวนที่มีประจำทุกครัวเรือนคือ ปลาร้า เมื่อมีงานบุญมักนิยมทำขนมจีน และข้าวหลาม ส่วนอาหารอื่น ๆ จะเป็นอาหารง่าย ๆ ที่ประกอบจากพืชผัก ปลา ที่มีในท้องถิ่น เช่น ปลาส้ม ปลาส้มฟัก เป็นต้น ในด้านความเชื่อนั้น ชาวพวนมีความเชื่อเรื่องผี จะมีศาลประจำหมู่บ้านเรียกว่า ศาลตาปู่ หรือศาลเจ้าปู่บ้าน รวมทั้งการละเล่นในเทศกาลก็จะมีการเล่นผีนางด้ง ผีนางกวัก ประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวพวนคือ ประเพณีใส่กระจาด ประเพณีกำฟ้า ซึ่งเป็นประเพณีที่แสดงถึงการสักการะฟ้า เพื่อให้ผีฟ้า หรือเทวดาพอใจ เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติ
วัฒนธรรมด้านภาษา ชาวพวนจะมีภาษาเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน แต่ปัจจุบันภาษาเขียนจะไม่มีคนเขียนได้ ยังคงเหลือเพียงภาษาพูด ซึ่งมีสำเนียงคล้ายเสียงภาษาถิ่นเหนือ อักษร "ร " ในภาษาไทยกลาง จะเป็น "ฮ" ในภาษาพวน เช่น รัก - ฮัก หัวใจ - หัวเจอ ใคร - เผอ ไปไหน - ไปกะเลอ


คนพวนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเขตภาคกลาง ไม่ว่าจะเข้ามาในฐานะเชลยศึกหรือเข้ามาด้วยความสมัครใจ ต่างก็ตั้งหลักแหล่งอยู่ตามจังหวัดต่างๆ กลุ่มที่ถูก กวาดต้อนมาในฐานะเชลยศึกมักจะถูกส่งไปไว้ตามหัวเมืองชั้นในเพื่อชดเชยแทนคน ไทยที่ถูกพม่ากวาดต้อนไปหลังเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ.2310 พวนกลุ่มนี้
ได้แก่ ชาวพวนอยู่ที่ ลพบุรี ( อำเภอบ้านหมี่ อำเภอเมือง อำเภอโคกสำโรง)
สระบุรี ( อำเภอหนองโดน อำเภอดอนพุด อำเภอวิหารแดง)
นครนายก ( อำเภอปากพลี อำเภอบ้านนา)
ฉะเชิงเทรา ( อำเภอพนมสารคาม)
ปราจีนบุรี (อำเภอศรีมหาโพธิ อำเภอศรีมโหสถ อำเภอบ้านสร้าง อำเภอกบินทร์บุรี )
สิงห์บุรี (อำเภอพรหมบุรี)
สุพรรณบุรี (อำเภอบางปลาม้า อำเภออู่ทอง)
ชลบุรี (อำเภอพนัสนิคม)
 

ส่วนพวกที่อพยพเข้ามาด้วยความสมัครใจมักจะอพยพเข้าไปรวมอยู่กับพวนกลุ่มเดิม หรือขยายถิ่นที่อยู่ใหม่ ดังจะพบว่าในปัจจุบัน มีชุมชนชาวพวนขยาย
ไปอยู่ที่ เพชรบุรี ( อำเภอเขาย้อย อำเภอท่ายาง )
พิจิตร (อำเภอทับคล้อ อำเภอบางมูลนาค อำเภอตะพานหิน )
สุโขทัย ( อำเภอศรีสัชนาลัย )
นครสวรรค์ ( อำเภอช่องแค อำเภอชุมแสง อำเภอไพศาลี อำเภอตากฟ้า)
อุทัยธานี (อำเภอทัพทัน)
กาญจนบุรี (บางหมู่บ้านในอำเภอพนมทวน)
เพชรบูรณ์ (บ้านดงขุย อำเภอชนแดน อำเภอหนองไผ่ , ตำบลสระกรวด อำเภอศรีเทพ)
อุตรดิตถ์ ( ตำบลงิ้วงาม อำเภอเมือง)


นอกจากนั้นก็ยังมีชาวพวนอยู่ในภาคเหนือ ได้แก่
แพร่ (ต.ทุ่งโฮ้ง อำเภอเมือง)
น่าน ( บ้านหลับมืนพวน อำเภอเวียงสา บ้านฝายมูล อำเภอท่าวังผา)
พะเยา (บ้านห้วยกั้น อำเภอจุน)
เชียงราย ( บ้านป่าก๋อย อำเภอแม่สาย บ้านศรีดอนมูล บ้านป่าสักน้อย อำเภอเชียงแสน ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเทิง)
และในภาคอีสาน ได้แก่
อุดรธานี (อำเภอบ้านผือ)
หนองคาย (อำเภอเมือง) และ อุบลราชธานี ( อำเภอเมือง)


ในบ้านเดิมคือประเทศลาวมีคนพวนเหลืออยู่ไม่มาก แต่ในเมืองไทย คนพวน เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่มีขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมเป็นของตนเอง แม้ภาษา ความเชื่อ และ ประเพณีพิธีกรรมบางอย่าง จะคล้ายคลึงกับคนไทย อีสานหรือลาวอีสานแต่ก็ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ด้านภาษาคำที่ใช้สระใอ คนพวนออกเสียงเป็นสระ เออ เช่น ให้ เป็น เห้อ หัวใจ เป็น หัวเจอ เจ้าแม่นไผ(คุณเป็นใคร )เป็นเจ๊าแม่นเผอ ด้านประเพณี คนพวนมีพิธีกำฟ้าซึ่งทำในเดือน 3 ชาวพวนจะนำข้าวเปลือกไปสวดขวัญข้าวที่วัดแล้วนำกลับมาใส่ในยุ้งข้าว เพื่อสิริมงคล ในวันสงกรานต์ ชาวพวนมีพิธีอาบน้ำก่อนกาเพื่อชำระมลทินและเสริมสิริมงคลแต่รุ่งเช้า มีพิธีสูดเสื้อสูดผ้าซึ่งเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาที่วัด
 
 

thaipaon4



โดยภาพรวมคนไทยจะมองว่าคนพวนเป็นชาวพุทธที่เคร่งศาสนามีความรู้ เคารพผู้อาวุโส รักครอบครัว รักสงบ สามีชาวพวนมักให้เกียรติภรรยาหมู่บ้าน พวนมักไม่มีคดีร้ายรุนแรง คนพวนเป็นคนมีวัฒนธรรมมิใช่คนป่าเถื่อน สิ่งที่หล่อหลอมคนพวนให้มีบุคลิกภาพดังกล่าวนี่แหละคือภูมิปัญญาของ บรรพบุรุษชาวพวน ที่ถ่ายทอดมาทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ เช่น คำสอน นิทาน วรรณคดี ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม ศิลปกรรมต่างๆ ภูมิปัญญาดังกล่าวเป็นสิ่งที่ลูกหลานคนพวน ควรค้นคว้าหาให้พบแล้วยึดให้มั่น


บ้านเรือนของชาวพวนเป็นเรือนสูง ใต้ถุนเรือนใช้ทำประโยชน์หลายอย่าง เช่น ทำคอก วัวควาย เล้าเป็ดไก่ ตั้งเครื่องสำหรับผูกหูกทอผ้า หลังคาทรงมะนิลาหันหน้าไปทางทิศ ตะวันตก ไม้เครื่องบนผูกมัดด้วยหวาย และหลังคามุงด้วยหญ้าคา ถ้าเป็นบ้านผู้มีฐานะดี จะมุงด้วยกระเบื้องไม้เรียกว่า ไม้แป้นเก็ดหรือกระเบื้องดินเผา พื้นและ ฝาเรือนปูด้วยกระดาน ไม้ไผ่สีสุกสับแผ่ออกเป็นแผ่นๆ เรียกว่า ฟาก ฤกษ์ในการปลูก คือเวลาเช้า การปลูกเรือนจะเสร็จในวัน เดียวประมาณ 5-6 โมงเย็น ต่อจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของ ฝ่ายหญิง บางพวกทำ เล้าไก่ ทำเตาไฟ การขึ้นบ้านใหม่เจ้าของบ้านต้องหาบสิ่งของขึ้นไป ได้แก่ ไซหัว หมู แห ไม้ค้อน สิ่ว และหอก หญิงชาวพวนสูงวัย ในตำบลหาดเสี้ยว นิยมนุ่งซิ่นดำคาดแถบแดง ต่อจากนั้นจะมีคนถือเสื่อ ที่นอน หมอน มุ้ง ถาดข้าวต้มขนมหวาน สำหรับทำขวัญเรือน เมื่อญาติพี่น้องมาพร้อมหน้า ก็เริ่มทำพิธี สู่ขวัญเรือน ตามประเพณี การนอนเรือนใหม่จะต้องมีคนนอนให้ครบทุกห้องเป็นเวลา 3 คืน คืนที่สี่ เจ้าบ้านจะต้องจัดทำ ข้าวต้มขนมหวานเลี้ยงดูญาติพี่น้อง ที่มานอนเป็นเพื่อนเมื่อเจ้าบ้านจัดบ้านเสร็จคนที่จะเข้าออก ห้องนอนได้ต้องเป็นคนในครอบครัว เท่านั้น
 
 

thaipaon3


 
การแต่งงานของชาวพวน ผู้ชายต้องหาเฒ่าแก่ไปสู่ขอหญิง เฒ่าแก่ต้องไปเป็นคู่และ เป็นคนประพฤติดี มีครอบครัวแล้วอยู่กันอย่างราบรื่นไม่เป็นหม้าย เมื่อ สู่ขอแล้ว ฝ่ายชาย ตกลงวันแต่งงาน ต้องนำหมากไปด้วย วันแต่งงาน ชาวพวน เรียกว่า วันก่าวสาว ชายต้องจัด ขันหมาก 1 ขัน ซึ่งเรียกว่า พานตีนสูงหรือขันโตกของ ที่ใส่พานได้แก่ หมาก เต้าปูน พลู ูและมีดน้อย (มีดฮั่วมโฮง) เมื่อแต่งงานเสร็จฝ่าย สะใภ้ต้องเชิญญาติร่วมรับประทานอาหาร ในเวลาเย็นของวันแต่งงานและตอน เช้าของวันรุ่งขึ้น
 

นอกจากนั้นยังมีประเพณีกำเกียง คือ ประเพณีที่มีการส่งผีย่าผีเกียงสอนลูกหลานไม่ให้ ้เป็น คนเห็นแก่กิน ประเพณีกำเมื่อมีคนตาย คือไม่ให้มีการทำงานหนักในบ้าน ประเพณีห่อ ข้าวดำดิน เพื่อส่งข้าวเปรต คือผีปู่ย่าตายาย พ่อแม่ญาติ พี่น้องที่ตายไป ประเพณีทาน ข้าวสะจะ เป็นการทำบุญที่จัดขึ้น ในเดือน 10 ของ แรม 15 ค่ำ ซึ่งประเพณีทำบ้องไฟจุดเป็น พุทธบูชาและประเพณีสงกรานต์ เรียกว่า สังขานต์ มี 3 วัน คือ วันสังขานต์ล่อง วันเนาและ วันเถลิงศก
 

การแต่งกายของชาวพวน ชายนุ่งกางเกง และผ้านุ่งจูงกระเบน ผ้าขาวม้าพาดบ่าหรือ คาดเอว ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ผ้าขาวม้ารัดนม เรียกว่า แห้งตู้ ทั้งชายหญิงไม่สวมเสื้อ แต่เวลาไป ไร่นา ต้องสวมเสื้อสีดำ หรือสีคราม หญิงสวมเสื้อรัดตัวแขนยาวถึง ข้อมือ กระดุมเสื้อใช้เงิน กลม ติดเรียงลงมาตั้งแต่คอถึงเอว ชายหญิงเมื่อโกนผมไฟ แล้วหญิงจะไว้ผมจุก พออายุ 14-16 ปีจะไว้ผมยาว เมื่อถึงอายุ 18-19 ต้องไว้ผม ทรงโค้งผมคือหยิบเอาผมที่ปล่อยลงไปมาทำเป็นรูปโค้ง พออายุ 20 ปีขึ้นไปจะต้องนำผมมาขมวดเป็นกระจุกไว้ที่ กลางศีรษะ เรียกว่า เกล้าผมจุกกระเทียมและต้องปักหนามแน่น เมื่อแต่งงานแล้วจะเลิกปัก ส่วนชายจะโกนผมจนโตเป็นหนุ่มจึงไว้ ผมยาว
 

เพื่อที่จะเก็บเรื่องราว บรรพบุรุษของชาวไทยพวน ไว้ให้ลูกหลาน ได้รับรู้ เก็บรวบรวม เรื่องราว ต่างๆ ของ ชนชาติ บรรพบุรุษ ไทยพวน ไว้เป็น ส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ โดยผมขอใช้สถานที่แห่งนี้ เก็บรวมรวบเรื่องราว ของชาวไทยพวน ไว้ หากใครมีเรื่องราว ต่างๆ ของชาวไทยพวน ร่วมบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ ไปพร้อมกับเรา ทาง เรายินดีเป็นอย่างยิ่ง โดยทางสามารถ ติดต่อเราได้ที่เว็ปไซท์ แห่งนี้ http://www.nayokcity.com/board/contactus.php


รวบรวม โดย นาวี ผาจันทร์
Host Master & CEO
NAYOKCITY.COM

 

 

 

 


ตามเอกสาร "ลาวในกรุงรัตนโกสินทร์" ของบังออน ปิยะพัน
ได้อิงตาม จดหมายเหต ของสยาม ว่า คนลาวมีอยู่ด้วยกัน 6 พวก คือ
พวกที่ 1 แม่นประชาชนที่อยู่หัวเมืองล้านนา
พวกที่ 2 ประชาชนที่อยู่ในดินแดน ภาคอีสาน
พวกที่ 3 ประชาชนที่อยู่บริเวณ อาณาจักร หลวงพระบาง อาณาจักรเวียงจัน และอาณาจักรจำปาสัก
พวกที่ 4 ชาวลาวเมืองพวน
พวกที่ 5 ลาวซ่งดำ หรือ ลาวโซ่ง
และคนลาวพวกสุดท้าย ในความหมายของสยามคือ ลาวพวกที่ 6 คือ ลาวพูคัง
.............................................................................................................
ลาวพวกที่ 4 แม่นคนลาว เมืองพวน หรือไทยสยาม ร้องว่า "ลาวพวน" นั่นเอง
ลาวพวน นี้แม่นคนจากเมืองพวน ซึ่งอยู่ในเขต พูเพียง ในแขวงเชียงขวาง
คนเมืองพวน ถูกส่งเข้าไป ตั้งบ้านเรือน อยู่ในกรุงเทพฯ ก็มี
นอกจากนั้น ยังอยู่แขวงฉะเชิงเทรา แขวงลพบุรี แขวงเพชรบุรี
และแขวงราชบุรี เป็นต้น

สำหรับคนลาวพวกที่ 5 ในความหมายของไทยสยามคือ คนซ่งดำหรือลาวโซ่ง
อิงตามเอกสาร ของไทย บ่งชี้ว่า ลาวซ่งดำ มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่แคว้นสิบสองจุไท
และ อยู่ในดินแดนจีน ตั้งแต่ มณฑล กว่างสี. มณฑลยูนาน และอยู่ในเวียดนาม
อยู่มณฑลตั้งเกี๋ยง หรือ ตันแก้ง อยู่อ่าวแม่น้ำดำ และแม่น้ำแดง ในสมัยรัตนโกสินทร์
ตอนต้นสยาม ได้กวาดต้อน เอาลาวโซ่ง
มาไว้อยู่ไทยหลาย และลาวโซ่ง ถูกจัดสถานที่
ให้อยู่ที่เมืองเพชรบุรี แต่เพียงสถานที่เดียว ซึ่งในปัจจุบันที่เห็นว่ามีลาวโซ่ง หรือคนไทดำ
อยู่ตามแขวงต่าง ๆ ของไทยเช่น ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และ สมุทรสาคร
นั้นเป็นเพราะว่า ในสมัยรัชการที่ 4 นั้น คนลาวโซ่งได้อพยพ ย้ายถิ่นตั้งเมืองใหม่

แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 52 07:37:05

 

 
 

guest

Post : 2013-02-18 22:41:02.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เพื่อนยืมเงินเเล้วเบี้ยว..

 

            ถ้าเพื่อนยืมเงิน แล้วไม่คืน เราสามารถแจ้งความได้ไหมค่ะ?

 

 ทีมงานทนายคลายทุกข์

 

  • ตอนที่เพื่อนหนูยืมเงินไป เราไม่ได้ทำสัญญาไว้ค่ะ แต่ทุกครั้งที่โอน หนูจะเก็บสลิปที่หนูโอนไว้ให้ตลอดเลยค่ะ พอหนูไปทวงเขา เขาก็ว่าหนูกลับมาอย่างเสียๆ หายๆ เขาบอกว่า "อยากโง่ให้เขายืมทำไม" หนูสามารถแจ้งความได้ไหมค่ะ

 

ในเมื่อไม่สัญาการกู้ยืมเงิน คงไปฟ้องร้องไม่ได้ สลิปการโอนเงิน ใช้ฟ้องร้องไม่ได้ เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้กู้ยืมครับ ก็ลองใช้วิธีไปแจ้งความข้อหาฉ้อโกง บางเขาอาจกลัวยอมคืนเงินก็เป็นได้ ถ้าตำรวจให้ความร่วมมือด้วย คือเรียกตัวมาสอบถาม แต่..ถ้าตำรวจบอกปัดว่าเป็นเรื่องทางแพ่งให้ไปฟ้องเอาเอง ก็คงทำอะไรไม่ได้ครับ....กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ปพพ.

มาตรา 653 การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

 

*********************************************************************************

 

 

ตั้ง"พระพายัพ"เป็นพระครูปลัดหลังบวช

พระพายัพ ชินวัตร ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูปลัดหลังบวชเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ขณะที่ธรรมเนียมปฏิบัติต้องบวชมา 10 พรรษาถึงได้รับแต่งตั้ง

เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพายัพ ชินวัตร น้องชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดียโดยได้รับฉายาว่า พระพายัพ เขมะคุโณ และมีกำหนดลาสิกขาในวันที่ 11 มี.ค.นี้

ทั้งนี้พระพายัพได้รับ การแต่งตั้งจาก สมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ให้เป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่ง "พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์" ภายหลังจากการอุปสมบท

อย่างไรก็ตามการแต่งตั้งดังกล่าวได้สร้างความฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์ในวงการสงฆ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากตามธรรมเนียมปฏิบัติพระสงฆ์ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมนั้นจะต้องผ่านการอุปสมบทมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 พรรษา

อนึ่ง ฐานานุกรม คือชื่อเรียกลำดับตำแหน่งสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ไทย ซึ่งภิกษุผู้มีตำแหน่งทางการปกครองหรือมีสมณศักดิ์สูงบางตำแหน่งมีสิทธิตั้งพระรูปอื่นให้เป็นฐานากรมได้ตามศักดิ์ที่ได้รับพระบรมราชานุญาต เช่น พระสงฆ์ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ สามารถตั้งฐานานุกรมได้ 3 ตำแหน่ง พระราชาคณะชั้นสามัญตั้งฐานานุกรมได้ 3 ตำแหน่ง เป็นต้น ไปจนกระทั่งถึงสมเด็จพระสังฆราชทรงตั้งฐานานุกรมได้ 15 ตำแหน่ง

ฐานานุกรมนั้นมีตำแหน่งที่เป็นหลัก 3 ตำแหน่ง คือ พระปลัด พระสมุห์ พระใบฎีกา หากพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ที่มีสิทธิ์ตั้งฐานานุกรมเป็นผู้ที่มีสมณศักดิ์ตั้งแต่พระราชาคณะชั้นราชขึ้นไป พระฐานานุกรมที่ท่านเหล่านั้นตั้ง จะเรียก "พระครู" นำหน้าตำแหน่งฐานานุกรมนั้นทุกตำแหน่ง เช่น พระครูปลัด พระครูสังฆรักษ์ เป็นต้น

ภิกษุผู้ได้รับแต่งตั้งในลักษณะนี้เรียกว่า พระฐานานุกรม ทุกรูปจัดเป็นพระมีสมณศักดิ์เหมือนพระสมณศักดิ์ที่ทรงแต่งตั้ง พระในตำแหน่งเหล่านี้บางทีเรียกประทวนสัญญาบัตร บ้าง ฐานาประทวน บ้าง และเนื่องจากสมณศักดิ์เหล่านี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้พระราชทานเอง ดังนั้นเมื่อพระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์ที่ได้ตั้งฐานานุกรมไว้มรณภาพ ตำแหน่งฐานานุกรมต่าง ๆ ก็ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดไปด้วย เรียกกันในภาษาปากว่า พระครูม่าย หรือ ฐานาม่าย จนกว่าจะได้รับแต่งตั้งฐานานุกรมใหม่

ข่าวจาก โพสต์ทูเดย์

ผมไม่ทราบนะว่าข่าวนี้จริงเท็จ และปกติธรรมเนียมสงฆ์ว่าอย่างไรในเรื่องการแต่งตั้นตำแหน่งทางการปกครอง หรือ สมณศักดิ์ ในฝ่ายสงฆ์

 

guest

Post : 2013-02-14 19:55:33.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  อุกาบาตจากนรก...

 

    

   

  

 

 

นาทีระทึกอุกกาบาตพุ่งถล่มรัสเซียบริเวณตอนกลางของประเทศ เขต เชลยาบินสก์ ทำให้มีบ้านเรือนเสียหาย ประชาชนเจ็บอื้อ ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่า มีเสียงระเบิดเป็นระยะๆ

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา วันนี้ ( 15 ก.พ. ) ประเทศรัสเซียว่า เกิดเหตุอุกกาบาตตก ตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นในแถบพื้นที่ตอนกลางของรัสเซีย โดยผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่าเสียงระเบิดดังสนั่นราวกับแผ่นดินไหวและฟ้าผ่าขึ้นในเวลาเดียวกัน สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ชาวบ้านในบริเวณดังกล่าว เนื่องจากอุกกาบาตได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ สร้างความเสียหายให้แก่อาคารบ้านเรือน และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

 

นางอีรินา รอสซิอุส โฆษกหญิงกระทรวงสภาวการณ์ฉุกเฉินรัสเซีย แถลงว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันนี้ เมื่อเวลา 09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ( 12.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ) โดยส่วนหนึ่งของอุกกาบาตน่าจะลุกไหม้ระหว่างลอยผ่านชั้นบรรยากาศโลก ขณะที่ส่วนที่เหลือได้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟและกลุ่มควัน เหนือท้องฟ้าในเขตเชลยาบินสก์ บริเวณเทือกเขาอูราล ก่อนร่วงลงตามเขตที่อยู่อาศัยของประชาชน

 

เบื้องต้นมีประชาชนราว 100 คน ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกเศษกระจกบาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสะเก็ดอุกกาบาต นอกจากนี้ ประชาชนจำนวนมากยังอยู่ในอาการตื่นตระหนก เนื่องจากได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานเปิดเผยเกี่ยวกับขนาดที่แน่ชัดของอุกกาบาต ขอบคุณข้อมูล เดลินิวส์ Photo from Twitter.com user @varlamov

 

 

 

สมิทธ ธรรมสโรช

 

 

สมิทธ ชี้ อุกกาบาตที่ตกรัสเซียเป็นภัยน่ากลัว ไร้สัญญาณเตือน

หลังจากที่ เกิดเหตุตกตะลึงเมื่อ อุกกาบาต ที่ติดไฟ ตกในเขตเชลยาบินสก์ เทือกเขาอูราล ทางภาคกลางของรัสเซีย ซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่ จนมีผู้บาดเจ็บทะลุพุ่งนับพันคน เนื่องจากถูกเศษกระจกหน้าต่างกระเด็น และตึกอาคารบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก กว่า 6 เมือง ในเขตเชลยาบินสก์

 

 

ล่าสุด นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างตรวจสอบกันอยู่ว่า สภาพภูมิอากาศในโลกและนอกโลกเปลี่ยนไปอย่างไร จึงเกิดเหตุการณ์นี้ เพราะเป็นเรื่องน่ากลัว ทีไม่มีใครจับได้ก่อนเข้ามาในบรรยายกาศโลก ดาวเทียมก็จับไม่ได้

 

 

อุกกาบาตตกรัสเซีย

 

 

ทั้งนี้ วัตถุที่ตกลงมาไม่ใช่อุกกาบาต แต่เป็นสะเก็ดดาว และเป็นคนละลูกกับดาวเคราะห์น้อย ที่เตือนไว้เพราะมันมีขนาดเล็ก เมื่อแหวกชั้นบรรยากาศทำให้เกิดโซนิกบูม เสียงเหมือนฟ้าผ่า ทำให้กระจกแตกบ้านเรือนเสียหาย ซึ่งตนกำลังรอฟังรายงานการวิเคราะห์เหตุจากองค์การนาซ่า เพราะหากเกิดขึ้นอีก จะไปตกในส่วนใดของโลก ซึ่งประเทศไทยก็มีความเสี่ยงหากตกมายังที่ที่มีคนอยู่มากๆก็ไม่ต่างจากวันโลกแตก

 

 

 ******************************************************************

 

 

 

              กุหลาบไร้กลิ่น.....

 

 

 

           

 

 

 

 

 

....เมื่อไร้ค่า ราคาต่ำ ถูกย่ำเหยียบ

 

เมินรังเกียจ เพราะง่ายนัก มักผิดหวัง

 

สวยหรูเลิศ วิมานวาด มาพลาดพัง

 

อุตสาห์ตั้ง ฝันว่าเรียง เคียงคู่เธอ

 

 

 

....เเล้วไงล่ะ เจ็บไหม หัวใจเอ๋ย?

 

ไม่นึกเลย หลงน้ำคำ ตำทีเผลอ

 

ปวดร้าวนัก รักเเรก เเจกช้ำเจอ

 

ก็เพราะเซ๋อ นึกว่าใช่ ที่ไหนเลว!!!.....

 

 

 

 

 

***************************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

****************************************************************************

 

 

 

 

"พงษ์ศักดิ์"ยันตรึงดีเซลอีก 4 เดือน ไม่สนตลาดโลกปรับราคาขึ้น เผยลอยตัวรับ "เออีซี"แน่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 15:40 น.

 

                                                           13609162441360916332.jpg

 

 

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่า จะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลในช่วง 3-4 เดือนจากนี้ เนื่องจากยังมีเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับใช้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลได้ แม้ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกจะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้กองทุนน้ำมันฯจะติดลบประมาณ 11,000 ล้านบาท เพราะนโยบายรัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชนไม่ให้แบกภาระค่าครองชีพสูงเกินไป ทั้งนี้ กระทรวงจะปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลในอีก 3 ปีข้างหน้า หรือภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปลายปี 2558 เพื่อป้องกันต่างชาติมาใช้น้ำมันราคาถูกในประเทศไทย เวลานั้นเชื่อว่าราคาดีเซลจะเกิน 30 บาทต่อลิตร

 

"ราคาน้ำมันโลกที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีผลกระทบต่อเงินกองทุนน้ำมันฯ กระทรวงจึงเตรียมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหามาตรการรองรับการพยุงราคาดีเซล เบื้องต้นจะแก้ปัญหาเงินกองทุนน้ำมันฯที่เหลือน้อยลงด้วยการหาแนวทางเรียกเก็บเงินจากน้ำมันประเภทอื่นๆ เข้ากองทุนน้ำมันฯแทน" นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

 


นายพงษ์ศักดิ์กล่าวถึงการเปิดโรงงานก๊าซชีวภาพอัด (ซีบีจี) ของบริษัท ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบนท์ แอนด์ เคมิคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือยูเอซี ที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า นายกฯได้ยืนยันว่ารัฐบาลจะสนับสนุนการผลิตซีบีจีต่อไป เพราะเป็นพลังงานต้นแบบสามารถนำมาใช้ทดแทนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) เพื่อการคมนาคมได้ โดยนำวัตถุดิบที่ได้จากภาคเกษตรกรในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มหญ้าเลี้ยงช้างและน้ำเสียจากขี้หมูมาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ และนำมาปรับสภาพเป็นก๊าซซีบีจี ที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับก๊าซเอ็นจีวี ใช้เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับภาคขนส่งในอนาคตได้

 

โดยกระทรวงจะสนับสนุนให้มีซีบีจีในต่างจังหวัดทุกแห่ง เนื่องจากมีต้นทุนเพียง 11 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ขณะที่เอ็นจีวีมีต้นทุน 12-13 บาทต่อ กก. แต่เนื่องจากซีบีจีสามารถผลิตได้เองในต่างจังหวัดเพราะมีวัตถุดิบทางการเกษตร ดังนั้น จึงช่วยประหยัดค่าขนส่งและทำให้ราคาจำหน่ายในต่างจังหวัดถูกลงมากเมื่อเทียบกับเอ็นจีวี โดยจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนและจำหน่ายเอง นอกจากนี้ ได้สั่งการให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ไปทดลองศึกษานำซีบีจีไปใช้ในโรงงานเซรามิกเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตเซรามิกให้ผู้ประกอบการต่อไป

 

นายพงษ์ศักดิ์กล่าวด้วยว่า กระทรวงมีแนวคิดหารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อขอให้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์การรับบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยขอให้ลดเงื่อนไขวงเงินลงทุนของบริษัทด้านพลังงานขนาดเล็กเพื่อให้สามารถเข้าระดมทุนผ่านกองทุนโครงสร้างพื้นฐานในตลาดหลักทรัพย์ได้ ช่วยส่งเสริมการลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนเสริมความมั่นคงด้านพลังงานในประเทศ

 

 

 

 

 

 

 

 

487802_409264069166909_1062208464_n.png

 

 

 

 

 

 

ประเทศสิงค์โปร์ไม่มีน้ำมัน ซื้อเขามากลั่น น้ำมันเขาราคาเท่าไหร่

หยุดขุดน้ำมันในไทยได้ไหม เพราะจะขุดน้ำมันเองน้ำมันก็ยังแพงกว่าประเทศไม่มีน้ำมัน

ค่าสัมปทาน ค่าภาคหลวงได้เท่าไหร่กัน หยุดขุดน้ำมันเสีย แล้วหันมาซื้อเขาให้หมด

ลอยตัวให้ราคาเท่าสิงค์โปร์ให้หมด แล้วดูว่าราคาจะเป็นเท่าไร???

 

 

 

69269_348301048615840_1084044923_n.jpg

 

 

 

66626_348273835285228_536311031_n.jpg

guest

Post : 2013-02-13 23:51:37.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  เสื้อเเดงเเตก...

 

 

 

 

**********************************************************************

 

 

 

Posted Image


แดงอีสาน20จว.ประกาศ ตัดขาดธิดา ขวัญชัยแฉนปช.รับเงิน

วันพุธ ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556, 06.00 น.
t
 

แดงอีสาน20จว.ประกาศ

ตัดขาดธิดา

ขวัญชัยแฉนปช.รับเงิน

เจริญโต้รับลูกดันนิรโทษ

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ นายขวัญชัยไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรและหนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงอีสาน 20 จังหวัด ให้สัมภาษณ์ว่า จากการหารือร่วมกับมวลชนและแกนนำเสื้อแดงอีสาน 20 จังหวัด ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของ นายธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)คนปัจจุบัน ทุกคนต่างรับไม่ได้ซึ่งเรื่องนี้ฟิวมันขาดมาจากการชุมนุมที่โบนันซ่า คนเสื้อแดงอีสาน 20 จังหวัด นำรถทัวร์มาร่วมชุมนุมถึง 212คันรถบัส มีมวลชนมาร่วมชุมนุมถึง 11000 คน พอพวกเราขอขึ้นเวที10 นาที เพื่อขอแนะนำตัวแกนนำเสื้อแดงอีสานแต่ละจังหวัดปรากฏว่ายายธิดาไม่ให้ขึ้น ฟิวมันเลยขาดตั้งแต่ตรงนั้น และแกนนำแดงอีสานกับมวลชนเขาก็รับไม่ได้


แดงอีสานประกาศตัดขาด’ธิดา’
“จนมาถึงการหารือร่วมกันครั้งล่าสุด ประกาศออกเป็นมติว่าแกนนำเสื้อแดงอีสานขอไม่ร่วมงานกับยายธิดา ลักษณะยายธิดาเราไม่ศรัทธาอยู่แล้วแม้ตัวเราจะไม่มีต้นทุนไปสู้กับเขา แต่ยายธิดา อดีตคือเสื้อเหลือง เป็นพวกประชาธิปัตย์มาก่อน เป็นคอมมิวนิสต์เก่าที่รู้จักกันดีในนามสหายปูนเมื่อไม่ศรัทธาพฤติกรรม ก็ไม่จำเป็นต้องร่วมงานกันแต่หมายถึงเฉพาะยายธิดาคนเดียวไม่นับรวมถึงนายจตุ พร พรหมพันธ์และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”


ขวัญชัยลั่นไม่ร่วมสังฆกรรมธิดา
นายขวัญชัยย้ำว่าเราจะไม่ร่วมทำกิจกรรมกับนางธิดาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ไม่เว้นแม้แต่เรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ในส่วนของนายณัฐวุฒิ กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง พวกเรายังรักกันดีอยู่ ไม่ได้มีปัญหาอะไร สามารถทำงานร่วมกันได้ และขอย้ำว่า “พวกเราเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงอีสาน ไม่ใช่กลุ่ม นปช.อย่าจับโยงมาเป็นพวกเดียวกัน”


จากการอ่านข่าวพอสรุปได้ดังนี้
1. โกรธยายธิดา เพราะยายธิดาไม่ให้ขึ้นเวที 10 นาที
2.ไม่ศรัทธายายธิดา เพราะ
2.1 เป็นอดีตเสื้อเหลือง
2.2 เป็นพวกประชาธิปัตย์มาก่อน
2.3 เป็นคอมมิวนิสต์เก่า
------------------------------------------------------------------------
แฉนปช.รับเงิน ไม่มี ไม่กล่าวถึง
ฟังเหตุผลของแดงอีสาน 20 จว. (นายขวัญชัย) ได้แต่ปลง

guest

Post : 2013-02-12 20:43:52.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  มือฆ่าบินลาเดน...

 

 

              "เล่นอยู่นั่นเเหละ..."

 

 

 

       

 

 

 

 

....มัวเเต่เล่น อยู่ได้ ทำรัยอยู่?

 

เนี่ยไม่รู้ เลยหรือไร? ไหวไหมหนอ?

 

ทำเป็นหยอก ทำเป็นเย้า พะเน้าพะนอ

 

ปล่อยลงท่อ ชลประทาน บานบุรี

 

 

 

 

....เเทนที่จะ ช่วยขึ้นมา อย่าช้าชัก

 

มือจะหัก ไหล่หลุดหาย กลายเป็นผี

 

หนึ่งสองสาม ไม่ขึ้นมา จะเห็นดี

 

ปล่อยเดี๋ยวนี้ จมข้างหมา หายบ้าเลย......

 

 

 

 

********************************************************************

 

 

 

 

 

*****************************************************

 

 

มือฆ่าบินลาเดนเล่าวินาทีสังหาร

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 16:38 น.

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานวันนี้ว่า อดีตหน่วยซีลกล่าวถึงนายโอซามา บินลาเดน ว่า อดีตผู้นำอัลกออิดะห์ดูสับสน และมีรูปร่างสูงกว่าที่คาดไว้ เมื่อคอมมานโดบุกขึ้นไปบนชั้น 3 ของบ้านพักในเมืองอับบอตตาบัดของปากีสถาน จึงได้พบกับบินลาเดน ซึ่งอยู่กับภรรยาคนเล็กในความมืด เขาไม่รู้ว่า ภรรยาของบินลาเดนมีเสื้อติดระเบิดหรือไม่ แต่เธอถูกบินลาเดนผลักออกมาเพื่อพลีชีพ ขณะที่ บินลาเดนคว้าปืนเอเค-47 ที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้เขาตัดสินใจยิงที่ศีรษะบินลาเดน เพื่อปิดโอกาสในการฆ่าตัวตาย จากนั้นเขาลั่นไกอีก 2 นัดที่บริเวณหน้าผากของบินลาเดน จนล้มลงไปกองกับพื้นหน้าเตียงนอนอย่างแน่นิ่ง เขาจึงเข้าไปยิงซ้ำตรงจุดเดิมอีกครั้ง จนแน่ใจว่า บินลาเดนตาย ซึ่งลิ้นห้อยออกมา
 

ส่วนบทสัมภาษณ์ของอดีตหน่วยซีลลงนิตยสารเอสไควร์ฉบับเดือนมีนาคมภายใต้ชื่อเรื่อง”คนที่ฆ่าบินลาเดนถูกทอดทิ้ง” ถึงแม้เขาเป็นวีรบุรุษที่ลั่นไกสังหารบินลาเดน แต่ก็ไม่ได้รับเบี้ยบำนาญ ประกันสุขภาพ หรือความมั่นคงเป็นพิเศษสำหรับครอบครัวของเขา ภายหลังลาออกจากหน่วยซีล บทสัมภาษณ์นี้มีขึ้นหลังจากสมาชิกหน่วยซีลอีกคนออกหนังสือเมื่อปีที่แล้วเรื่อง โน อีซี เดย์

 

 

มือสังหารบิน ลาเดนออกมาให้สัมภาษณ์...ถูกทางการทอดทิ้ง......

 

 

 

มือสังหารบิน ลาเดนออกมาให้สัมภาษณ์...ถูกทางการทอดทิ้ง......

 

U.S. Navy Seal คนที่ลั่นกระสุนสังหารบินลาเดนเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2011 ในที่ที่บินลาเดนหลบซ่อนตัวอยู่ ได้เปิดปากพูดเป็นครั้งแรกโดยการให้

สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Esquire โดยให้ชื่อว่า “The Shooter” เพื่อความปลอดภัย เขาบอกว่าเขาถูกทางการสหรัฐทอดทิ้งตั้งแต่เขาออกจากทหารเมื่อฤดูใบไม่ร่วงเมื่อปีที่แล้ว

เขาบอกกับ Esquire ว่าการที่เขาออกมาพูดเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับบิน ลาเดนและต้องการจะบอกว่าทหารที่ได้รับการฝึกอย่างหนักและทำงานที่ได้รับ

มอบหมายสำเร็จถูกทอดทิ้งละเลยอย่างไรหลังจากลาออกมาจากการเป็นทหารแล้ว

แม้ว่าการที่เขาฆ่าผู้ก่อการร้ายที่โลกต้องการมากที่สุด เขาก็ไม่ได้รับเบี้ยหวัดบำนาญ การประกันสุขภาพหรือหลักประกันต่อชีวิตเขาและครอบครัว

หัวหน้าหน่วย Seal บอกเขาว่าสามารถหางานโดยเป็นพนักงานขับรถขนส่งเบียร์ใน Milwaukee ให้เขาได้และยังบอกอีกว่าการประกันสุขภาพของครอบครัวเขาไม่มี...ยุติแล้ว

เขาถามหัวหน้าหน่วยว่าจะย้ายประกันจาก Tricare ไปยัง Blue Cross Blue Shield ได้หรือเปล่าก็ได้คำตอบว่าไม่ โดยได้รับการบอกกล่าวว่าเมื่อออกจากการเป็นทหารแล้วหลักประกันก็หมดไป ขอบคุณสำหรับ 16 ปีที่มาเป็นทหารต่อไปก็ต้องช่วยตัวเอง

หนังสือแมกกาซีน Esquire บอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นของ “The Shooter” ก็คือเขาไม่ได้รับราชการทหารครบกำหนดคือออกมาก่อนที่จะครบ 20ปี ถ้าอยู่จบครบก็จะได้รับผลประโยชน์ทุกอย่างที่ระบุไว้

ข่าวจาก Esquire บอกว่าปกติรัฐบาลจะอนุญาตให้ 180 วันสำหรับการย้ายประกันสุขภาพแต่นาย The Shooter ไม่ได้รับเพราะเขาไม่ตกลงที่จะรับราชการต่อหรืออาสาเป็นกองหนุน

นาย Shooterได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เขายิงบิน ลาเดนในวันนั้นว่า ในวินาทีนั้นเขายิงบิน ลาเดน 2 ครั้งที่หน้าผาก พอยิงครั้งที่สองเขาก็ล้มลงบนพื้นที่หน้าเตียงของเขา ตายสนิท เขาเห็นบินลาเดนหายใจเฮือกสุดท้ายและในขณะที่เขาเฝ้าดูนั้นเขาคิดถามตัวเอง นี่เป็นการกระทำที่ดีหรือเลวที่สุดของเขา

เขาไม่ได้คลั่งศาสนาและก็คิดอยู่เสมอว่าเขาเกิดมาเพื่อที่จะต้องทำอะไรซักอย่างหนึ่งหลังจากปฎิบัติการครั้งนั้นแล้วเขาคิดว่านั่นใช่แล้วหละ

เขาก็ได้ดูรายการข่าวครบรอบปีจากการตายของบิน ลาเดน..จาก CNN เหมือนกัน

มีคนถามว่าเขาจำได้ไหมเมื่อเขาพบว่าบิน ลาเดนตายแล้ว เขาก็ตอบว่าแน่นอนเพราะเขาอยู่ในห้องนอนของบิน ลาเดนที่บิน ลาเดนนอนตายอยู่

เมื่อเดือนกันยายน 2012 Matt Bissonnette ซึ่งเป็น 1 ใน Seal Team 6 ที่ไปสังหาร บินลาเดนได้พิมพ์หนังสือออกขาย “No Easy Day” หรือ มันไม่ใช่วันง่ายๆ เป็นเรื่องเหตุการณ์เกี่ยวกับวันนั้น....วันไปสังหาร บิน ลาเดน

 

โฆษกของ Esquire บอกว่าไม่ได้จ่ายค่าสำภาษณ์กับนาย “The Shooter” แต่อย่างใด

 

 

ใครจะคิดว่าเด็กหนุ่มอายุ 19 ถูกแฟนตัดรัก...ก็เลยไปสมัครเป็นทหารเรือ....เติบโตมาในสาย Seal ผ่านการรบมาหลายสมรภูมิในที่สุดกลายมาเป็นมือสังหารเด็ดชีพ บิน ลาเดน....แต่ตอนนี้มีชีวิตแบบกระเสือกกระสน.....

มันช่วยไม่ได้...เขาเลือกทางเดินผิดเอง.....

 

ค่าหัว 25 ล้านUS .... ก็ไม่มีใครได้รับ เพราะว่า สำเร็จด้วยเทคโนโลยี

เอากับมันสิ....

 

 



ครบรอบวาระ 11 ปีเหตุวินาศกรรม 11 กันยาฯ หรือ 9/11

รายการ 60 นาที (60 Minutes) แพร่ภาพการเปิดตัวและเปิดใจเจ้าหน้าที่หน่วยซีล ผู้ร่วมปฏิบัติการปลิดชีพ โอซามา บิน ลาเดน ผู้ที่สหรัฐอเมริกาเชื่อว่า บงการก่อเหตุวินาศกรรมสะท้านโลกดังกล่าว

เจ้าหน้าที่รายนี้เปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลังเหตุการณ์ในวันปลิดชีพบิน ลาเดน เมื่อ 2 พ.ค. 2554 หรือช่วง 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ 9/11 ในหนังสือต้องห้ามชื่อ No Easy Day (โน อีซี่ เดย์ - ไม่มีวันง่าย)


นับจากที่หนังสือเล่มดังกล่าวปรากฏเป็นข่าว รัฐบาลสหรัฐประกาศว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีผู้ใช้นามปากกาว่า ′มาร์ก โอเว่น′ ในข้อหาเปิดเผยความลับทางทหาร และละเมิดข้อตกลงของหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐ โดยไม่ได้ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลที่เกี่ยวข้องได้อ่านก่อน

ไม่ว่า กระทรวงกลาโหมหรือเพนตากอน หน่วยข่าวกรองแห่งชาติหรือซีไอเอ รวมไปถึงทำเนียบขาว

เจ้าหน้าที่เพนตากอนจึงส่งหนังสือแจ้งผู้เขียนไปว่า ′ตามการพิจารณาตัดสินของกระทรวงกลาโหม ท่านละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับในข้อตกลงที่ท่านลงนามไว้ ดังนั้นเพนตากอนจะพิจารณาดำเนินการทางกฎหมาย′


ขณะที่ มาร์ก โอเว่น กลับเปิดเผยชื่อจริงของตัวเองว่า ′แม็ต บิสซอนเน็ตต์′ พร้อมให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นร้อนกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ผ่านรายการ 60 นาทีทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส


บิสซอนเน็ตต์ยืนยันว่าทุกข้อความในหนังสือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงช่วงนาทีชีวิตที่บิน ลาเดนถูกสังหาร

ย้อนกลับไปในปีที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐเผยแพร่รูปทีมบัญชาการของประธานาธิบดีบารัก โอบามา นั่งชมปฏิบัติการปลิดชีพครั้งนี้จากทำเนียบขาว สีหน้าแต่ละคนโดยเฉพาะนางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐดูตื่นเต้นและเครียด


ข่าวในตอนนั้น ฝ่ายรัฐบาลเผยว่า หน่วยซีลบุกเข้าไปในบ้านของบิน ลาเดน ที่เมืองอับบอตตาบัด ประเทศปากีสถาน โดยยิงบิน ลาเดน นัดแรกเมื่อหัวหน้าเครือข่ายก่อการร้ายหลบเข้าไปในห้องนอน เพราะเกรงว่าจะหยิบอาวุธออกมาต่อสู้

 

 

 

 




บางกระแสข่าวแรกๆ ลือถึงขั้นว่า บิน ลาเดนใช้ผู้หญิงเป็นโล่กำบังตัว


แต่บิสซอนเน็ตต์เผยว่า จริงๆ แล้ว ผู้นำกลุ่มก่อการร้ายระดับโลกถูกยิงโป้งแรก ทันทีที่ชะโงกมานอกห้องนอน


หลังถูกยิงนัดแรกไปแล้ว ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ หน่วยซีลจึงรุดเข้าไปห้องนอน และยิงซ้ำอีกครั้งเป็นนัดที่สอง เพราะมองไม่เห็นมือ กลัวว่าอาจถือระเบิด หรือซ่อนอะไรบางอย่างไว้ที่หน้าอก


′เหนี่ยวไกปืนถือเป็นเรื่องง่าย เพราะมันไม่เกี่ยวกับคนที่เราจะสังหาร แต่มันเกี่ยวกับทีมที่ทำงานร่วมกันในภารกิจ ใครจะสนว่าใครคือคนที่ยิงบิน ลาเดน ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ′ บิสซอนเน็ตต์กล่าว หลังปฏิเสธที่จะบอก ประธานาธิบดีบารัก โอบามา หลังภารกิจเสร็จสิ้นลงว่า เจ้าหน้าที่หน่วยซีลคนใดในทีมที่ปลิดชีพบิน ลาเดน

เจ้าของหนังสือโน อีซี่ เดย์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ลุกขึ้นมาเขียนหนังสือเล่มนี้ ก็เพราะเห็นว่าเรื่องราวเกี่ยวกับสังหารบิน ลาเดน คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปมาก


ด้านทนายของบิสซอนเน็ตต์ยืนยันหนักแน่นว่า เนื้อหาในหนังสือไม่เข้าข่ายตามข้อตกลงที่ลูกความทำไว้กับต้นสังกัด และเหตุผลที่ บิสซอนเน็ตต์เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา


ขณะที่ นายจอร์จ ลิตเติล โฆษกเพนตากอนแถลงว่า หนังสือโน อีซี่ เดย์ เปิดเผยข้อมูลลับที่ล่อแหลม


เมื่อถามว่า รัฐบาลสหรัฐจะดำเนินคดีกับผู้เขียนหรือไม่ ลิตเติลตอบว่า เจ้าหน้าที่กำลังพิจารณาทุกทางเลือก


′ผมยังไม่ขอพูดถึงสิ่งที่เราอาจตัดสินใจในทางใดทางหนึ่ง′
 

 

 

(ที่มา:ข่าวสดรายวัน 12 กันยายน 2555)

guest

Post : 2013-02-11 22:37:57.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  วิธีเเต่งหน้ของผู้หญิงเกาหลี

 

 

 

 

 

                

                    พ่อจ๋า...

 

 

 

 

                                           

 

 

 

 

 

....จับให้เเน่น พ่อจ๋า อย่าปล่อยนะ

 

ไม่งั้นจะ พลัดหลง คงไม่เห็น

 

อุ้งมือพ่อ อุ่นสบาย คลายหนาวเย็น

 

สิ่งซ่อนเร้น อันตราย อย่าหมายเลย

 

 

 

 

....ไม่เคยคิด จะหวาดกลัว ทั่วเเผ่นฟ้า

 

เเม้นภัยมา พ่อกอดไว้ ไม่มีเฉย

 

สัมผัสอุ่น ละมุนนี้ ที่ไม่เคย

 

หาไหนเลย เหมือนมือพ่อ จะขอจำ......

 

 

 

******************************************

 

 

 

 

 

 

 

************************************************************

 

 

 

10 ภาษาที่ใช้มากที่สุดในโลก

ภาษาที่ประชากรโลกใช้พูดสื่อสารติดต่อกันมากที่สุด 10 ลำดับ มีดังนี้...

อันดับ 1 จีนแมนดาริน ..... 1.3พันล้านคน
อันดับ 2 ฮินดี.... 480 ล้านคน
อันดับ 3 สเปน.... 420 ล้านคน
อันดับ 4 อังกฤษ... 380 ล้านคน
อันดับ 5 โปรตุเกส.... 230 ล้านคน
อันดับ 6 อาหรับ...... 206 ล้านคน
อันดับ 7 เบงกาลี..... 196 ล้านคน
อันดับ 8 รัสเซีย ..... 145 ล้านคน
อันดับ 9 ญี่ปุ่น ..... 126 ล้านคน
อันดับ 10 ปัญจาบ ... 104 ล้านคน

ส่วนไทยของเรา เป็นอันดับที่ 24 มีคนใช้ 60 ล้านคน ในประเทศไทย


แถมเล็กๆ

ภาษาอื่นๆที่นิยมเรียนกันในไทย

ฝรั่งเศส - - - เป็นอันดับที่ 15 มี่คนใช้ 109 ล้านคน
เป็นภาษาราการของ - - - ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบริ์ก แคนนาดา โมร็อคโค
ประเทศแถบทวีปแอฟฟริกาตะวันตก ตั้งแต่แอลจีเรีย ถึง กาบอง(ประมาณ 10 กว่าประเทศ)
และ เฟรนเกียร์น่าในอเมริกาใต้

เยอรมัน - - - เป็นอันดับที่ 11 มีคนใช้ 110 ล้านคน
เป็นภาษาราชการของ - - - เยอรมนี ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก สหภาพยุโรป ภาษาราชการ บางพื้นที่ของ เดนมาร์ก อิตาลี โปแลนด์ (ในอดีต นามิเบีย ถึงปี ค.ศ. 1990)

เกาหลี - - - เป็นอันดับที่ 12 มีคนใช้ 80 ล้านคน
เป็นภาษาราชการของ - - - เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้

อิตาลี - - - เป็นอันดับที่ 19 มีคนใช้ 70 ล้านคน
เป็นภาษาราชการของ - - -อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ซานมารีโน สโลวีเนีย (บางดินแดน) นครรัฐวาติกัน เทศมณฑลอิสเตรีย (โครเอเชีย)

บาลี – สันสกฤต - - - มีนคนใช้เป็นภาษาหลัก 2 แสนคน ในประเทศอินเดีย

(สรุปคือ ต้องเรียน ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ครบจึงจะอยุ่สวิสได้ อิอิ )
.

 

ในสหประชาชาติ ใช้ภาษาที่ติดต่อกันก็ได้แก่
อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน รัสเซีย
เอกสารส่วนมากจะถูกพิมพ์โดยภาษาเหล่านี้
เข้าใจว่ามาจากที่นั่งมนตรีความมั่นคง
ภาษาอังกฤษจะถือว่าเป็นภาษาสากลก็ว่าได้


ฝรั่งเศสนั้นใช้กันมากในแอฟริกายุโรป ความสำคัญในปัจจุบันนั่นรองลงมาจากภาษาอังกฤษ (ในอดีตมหาอำนาจคือฝรี่งเศสในยุคก่อนสงครามโลกครั้งสองจะสงบ) และอังกฤษต่างมีดินแดนในอาณัติมาก
ทำให้มีการใช้สองภาษานี้ อย่างแพร่หลาย
ดูอย่างจากการแข่งขันโอลิมปิกที่แอตแลนต้า จอร์เจีย
ซึ่งภาษาที่สองที่ควรใช้ในในสื่อสารในงาน น่าจะเป็นสเปนมากกว่าเพราะ
พลเมืองเชื้อสายสเปนหรือละตินมีจำนวนมากในทวีปอเมริกา
แต่ต้องใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่สองของงานในการประชาสัมพันธ์


จะเห็นได้ว่าภาษาฝรั่งเศสยังไม่ได้หมดบทบาทไปเลยซะทีเดียว
ส่วนรัสเซียคิดว่าใช้กันมากในยุโรปตะวันออก
ในฐานะประเทศอดีตสหภาพหรือพันธมิตรเครือคอมมิวนิสต์เดิม
ในยุคสงครามเย็นฟากตะวันตกจะใช้อังกฤษสื่อสาร
แต่ฟากตะวันออกใช้รัสเซียน

 

ภาษาเป็นทางการของสหประชาชาติมีหกภาษา คือ Arabic, Chinese, English, French, Russian, Spanish.

ภาษาที่คนใช้มากที่สุดคือภาษาจีน
ภาษาที่คนเรียนมากที่สุดเป็นภาษาที่สองคือภาษาอังกฤษ
จีนมีคนที่เรียนภาษาอังกฤษมากที่สุดในโลก
อินเดียเป็นประเทศที่มีคนพูดภาษาอังกฤษมากที่สุดในโลก
ภายในไม่ช้า ภาษาจีนจะเป็นภาษาที่คนเรียนเป็นภาษาที่สองมากกว่าภาษาอังกฤษ ในสหรัฐมีโรงเรียนหลายแห่งสอนภาษาจีนเป็นภาษาที่สอง

 

จากการที่ส่วนตัวเรียน ด้าน Politics และ กฎหมาย
ตอบว่า เสปนค่ะ
เพราะ ในศัพย์ ของ กฎหมายใช้ภาษาละติน ค่อนข้างเยอะ
อีกอย่างคนในแถบ ทวีปยุโรป และ ละตินเมกา ก็ใช้ กันค่อนข้างเยอะมากทีเดียว...

รองจากนั้นคง เป็น ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น

 

 

**********************************************************

 

 

 

 

 

 

          **ญาติแห่ศพเหยื่อฆ่าข่มขืน

"ตั้งหน้าบ้านยิ่งลักษณ์" ซอยโยธินพัฒนา 3**

 


 
 
 
 
 
 
 
ญาติและเพื่อน นับ 100 คน ของเหยื่อฆ่าข่มขืน แห่โลงศพตั้งหน้าบ้านนายกรัฐมนตรี ซอยโยธินพัฒนา 3 วอนนำคนร้ายมาขอขมา

พล.ต.ต .นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 เปิดเผยว่า มีกลุ่มชาวบ้านซึ่งมีจำนวน 100 กว่าคน รวมทั้งญาติของ น.ส. อาภัสรา โตเดช ซึ่งถูกฆ่าข่มขืนหมกพงหญ้า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้พังแผงเหล็กที่เจ้าหน้าที่กั้นไว้และบุกมาที่หน้าบ้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่บ้านเลขที่ 38/9 ซอยโยธินพัฒนา 3 แขวงและเขตบึงกุ่ม แต่ชาวบ้านไม่ฟัง โดยเรียกร้องให้นำตัว นายสุทธี หรือ แหวน บุญพรหม ผู้ก่อเหตุ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวมาขอขมาต่อหน้าศพเท่านั้น และนำศพมาตั้งไว้ที่หน้าบ้าน นายกรัฐมนตรีนานประมาณครึ่งชั่วโมง จนกระทั่ง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. เดินทางมาเจรจาด้วยตนเองว่าจะนำคนร้ายมาขอขมาศพในวันพรุ่งนี้ เวลา 14.00 น. ชาวบ้านจึงยอมนำศพกลับไปที่วัดบึงทองหลาง

โดยก่อนหน้านี้ กลุ่มชาวบ้านดังกล่าว ได้นำโลงศพขึ้นรถมา ที่หน้า สน.ลาดพร้าว จนกระทั่ง พล.ต.ต.นัยวัฒน์ เดินทางมาเจรจากับชาวบ้านที่ สน.ลาดพร้าว พร้อมยืนยันว่าจะติดต่อกับทางเรือนจำฯ เพื่อให้ผู้ต้องหาได้ขอขมาต่อหน้าญาติ เป็นกรณีพิเศษ จนทางด้าน นางบังเอิญ บัวทอง แม่ของผู้ตาย และ นายธนาธิป แลวงศ์นิล แฟนผู้ตาย ใจอ่อน จะนำศพไปตั้งไว้ที่วัดบึงทองหลาง เพื่อจะทำการฌาปนกิจตอนเวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขับรถนำขบวนไปที่วัด แต่เมื่อจะเลี้ยวเข้าวัด ทางญาติได้เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ขับรถมุ่งหน้าไปทางบ้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในซอยโยธินพัฒนา 3 ที่อยู่ใกล้กันแทน

 

เกี่ยวอะไรกับนายก ??

แต่ก็ดีที่จับคนร้ายได้ ไม่มีแพะ ไม่เงียบหาย
เสียใจกับทางญาติ ๆ ด้วย

 

เขาไม่พอใจอะไรกันเหรอ เหมือนเอาคนตายมาประจาน
เรื่องนี้ น่าสงสารคนตายมากกว่านะ
ต้องมาตายรอบ2 เนื่องจากการกระทำของญาติพี่น้อง
ที่ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร

 

 

 

เฉพาะเรื่องฆ่าข่มขืน, รุมโทรมสาว ผมอยากให้มีการสังคายนากฏหมายใหม่ได้แล้วครับ

กฏหมายมันอ่อนและล้าหลังจนไม่มีใครเกรงกลัวแล้ว

อยากเห็นการประหารชีวิตนักโทษ ที่มีความเป็น "เพศผู้" แต่ไม่มีความเป็นคน เหล่านี้ ชดใช้แทนชีวิตผู้เสียหาย

อย่ามัวแต่ไปห่วงว่าคนพวกนี้ จะมีโอกาสสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้เลยครับ

ส่งไปเกิดใหม่ ลดโอกาสเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จะเป็นบุญคุณกับคนในชาติมากกว่า

แล้วพอกันที่กับการขออภัยโทษนักโทษพวกนี้..น่าจะมีการตราระเบียบไว้ด้วยว่านักโทษคดีเช่นนี้ จะไม่มีการได้รับการอภัยโทษไม่ว่าจะเป็นโอกาศใด

ขอฝากผู้เกี่ยวข้อง ดูความเหมาะสมของบทลงโทษทีเถอะครับ..อย่าให้เหยื่อรายต่อไป ต้องกลายมาเป็นญาติ - คนรู้จักของเราเอง

 

guest

Post : 2013-02-10 20:15:50.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ประเทศเงินเฟ้อมากที่สุดในโลก...

 

 

                             ตรุษจีนปีนี้...

 

 

 

 

                    

 

 

 

 

 

 

....ตั้งใจว่า วันนี้ ขายดีเเน่

 

ยอดย่ำเเย่ หนักทุกวัน หวั่นใจเสีย

 

ทั้งหนี้เก่า หนี้ใหม่ ไม่ไหวเคลียร์

 

วุ่นนัวเนีย เพราะไม่จ่าย ขายไม่ดี

 

 

 

 

....เปิดเช้ามา ไม่อยากเชื่อ เหลือเป็นเข่ง

 

เงียบวังเวง ขายกล้วยไป ได้สองหวี

 

หมดสิ้นกัน วันนี้ฉัน ต้องขายดี

 

ลูกค้าหนี ไม่เห็นพบ คงจบกัน....

 

 

 

*******************************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*************************************************************************

 

 

เงินเฟ้อ (Inflation) คืออะไร เกิดจากอะไร วัดอย่างไร และถ้าสูงขึ้นมาก ๆ จะเกิดอะไรขึ้น
Espresso
 


ภาวะเงินเฟ้อคืออะไร?
หลายคนเมื่อได้ยินคำว่าเงินเฟ้อ อาจจะสงสัยว่าเงินเฟ้อคืออะไร แล้วเมื่อไรถึงจะเรียกว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ คำว่าภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็จะมีผลทำให้ค่าของเงินที่เราถืออยู่ลดลง ตัวอย่างของค่าของเงินที่ลดลงเช่น ราคาน้ำมันดีเซลเคยอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร สมมติเราเคยเติมน้ำมัน 10 ลิตร ก็จะใช้เงิน 250 บาท แต่ปัจจุบัน ราคาน้ำมันได้กลายเป็น 30 บาทต่อลิตร หากเราใช้เงินเท่าเดิมคือ 250 บาท เราจะเติมน้ำมันได้ไม่ถึง 10 ลิตรแบบที่เคยเติมได้ ซึ่งหากต้องการที่จะเติมน้ำมัน 10 ลิตร เท่าเดิม แปลว่าเราต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาท หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การเกิดภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้เงินจำนวนเท่าเดิมที่เราถืออยู่มีค่าลดลง ทำให้ซื้อของได้น้อยลง


 

ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นแบบนี้ ต้นทุนในการขนส่งสินค้าจากแหล่งผลิตที่จะส่งไปขายยังที่ต่าง ๆ ก็ย่อมต้องสูงขึ้น และทำให้ราคาสินค้าชนิดอื่นๆ ต้องขึ้นราคาตามไปด้วย แต่การที่มีสินค้าแค่ชนิดใดชนิดหนึ่งแพงขึ้น จะยังไม่เรียกว่าเงินเฟ้อ เพราะภาวะเงินเฟ้อหมายถึง ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วๆ ไปแพงขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะมีราคาสินค้าบางอย่างถูกลงด้วยในเวลาเดียวกัน แต่โดยรวม ๆ แล้ว หากราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น และเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปสักพักหนึ่ง ถึงจะเรียกได้ว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยที่เราจำเป็นต้องรู้เรื่องเงินเฟ้อ ก็เพื่อที่จะใช้สำหรับวัดค่าครองชีพหรือมาตรฐานการครองชีพของเรา (ประชาชน) ว่าดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร


 

 


 


เงินเฟ้อเกิดจากอะไร?
ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ในทางวิชาการมักจะแบ่งสาเหตุการเกิดเงินเฟ้อได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่ Cost-push inflation และ Demand-pull inflation
(1) เกิดจากต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า Cost-push inflation ซึ่งต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าอาจจะสูงขึ้นได้จากทั้งส่วนผสมหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า ค่าจ้างแรงงาน รวมทั้งค่าขนส่งสินค้า มีราคาแพงขึ้น เช่น กรณีของราคาน้ำมันที่แพงขึ้นก็เป็นตัวอย่างได้ หรือการที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน หรือเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตเกษตรเสียหาย ราคาสินค้าเกษตรก็แพงขึ้น เป็นต้น หรือแม้แต่ในกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนลง จาก 35 บาท เป็น 40 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงว่าเราต้องใช้เงินบาทจำนวนที่มากขึ้นเพื่อไปซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต) หรือแม้แต่การที่รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เช่น การเก็บภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หรืออาจเกิดจากผู้ผลิตต้องการกำไรที่สูงขึ้นจึงขึ้นราคาสินค้า ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ก็จะมีส่วนทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นได้
ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ อาจจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และทำให้ราคาสินค้าและบริการหลายๆ ชนิดแพงขึ้นพร้อมๆ กัน ความรุนแรงของเงินเฟ้อก็จะมากขึ้นด้วย


 


(2) เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า Demand-pull inflation ส่วนใหญ่ในช่วงที่ปกติ ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ก็ย่อมจะวางแผนการผลิตสินค้าโดยดูว่ามีคนต้องการซื้อสินค้าของเราเท่าไรในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น ปริมาณสินค้าที่มีในตลาดก็น่าจะอยู่ใกล้เคียงกับความต้องการซื้อสินค้า แต่หากความต้องการสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการมีอยู่ในตลาดมีไม่พอ ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นได้ ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนจะยิ่งรีบใช้เงินซื้อสินค้าและบริการมาตุนไว้ ก่อนที่ค่าเงินที่มีอยู่จะลดลง เพราะซื้อสินค้าได้น้อยลง ราคาสินค้าและบริการจะยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นไปกว่าเดิม เพราะคนจะยิ่งรีบใช้เงินที่มีอยู่
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว หน่วยงานของทางการก็มักจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง โดยทางการอาจจะเข้ามากำกับดูแลการปรับขึ้นราคาสินค้า ตัวอย่างเช่น การขอความร่วมมือให้ ขสมก. เลื่อนการขึ้นค่ารถเมล์ไปก่อน หรืออนุญาตให้ค่ารถเมล์ปรับขึ้นราคาได้บ้างนิดหน่อย เป็นต้น หรือในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย อาจใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนน้อยที่สุด

เงินเฟ้อวัดอย่างไร?
อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยวัดโดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้ประกาศอัตราเงินเฟ้อเป็นประจำทุกเดือน โดยวิธีวัดอัตราเงินเฟ้อทำได้โดยการวัดการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาของสินค้าและบริการกลุ่มหนึ่ง ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งระดับราคาของสินค้าและบริการ ใช้ชื่อว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index-CPI) ตัวอย่างการคำนวณอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน ซึ่งคือเดือนกุมภาพันธ์ 2549 เพื่อที่จะบอกว่าราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปแพงขึ้นหรือถูกลงเมื่อเปรียบเทียบกัน โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ที่ประกาศโดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า อยู่ที่ 114.5 ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ปี 2549 อยู่ที่ 111.9


 

ดังนั้น
อัตราเงินเฟ้อของเดือนกุมภาพันธ์ 2550   frac{{(114.5 - 111.9)}}{{111.9}} times 100 = 2.3%
ซึ่งอันนี้จะมีความหมายว่า ระดับราคาสินค้าและบริการโดยรวมมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน 2.3% หรือหากเรามีเงินจำนวนเท่าเดิมกับปีที่แล้ว ค่าของเงินที่เราถืออยู่จะด้อยค่าไป 2.3% ซึ่งทำให้ซื้อของได้น้อยลง


 


ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

ถ้าเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ๆ จะเกิดอะไรขึ้น?
โดยปกติแล้ว หากเงินเฟ้อสูงขึ้นนิด ๆ หน่อย ๆ (ปกติตามหลักวิชาการคือเงินเฟ้อที่สูงไม่เกิน 5% จะเรียกเงินเฟ้ออย่างอ่อน (Mild inflation)) จะเป็นสิ่งที่ดีที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุนขยายการผลิต และมีการจ้างงาน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้ดี ไม่มีผลเสียต่อเศรษฐกิจ แต่หากเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ๆ และสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนยากที่จะคาดเดาได้ว่าเงินเฟ้อจะเป็นเท่าไร (Hyper inflation) จะมีผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะจะทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถวางแผนการผลิตและลงทุนได้ เพราะไม่รู้ว่าวัตถุดิบที่จะซื้อเข้ามาราคาจะเป็นเท่าไร จะตั้งราคาสินค้าเท่าไร เพื่อให้ยังมีกำไร ขณะที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคเองก็ไม่แน่ใจว่าราคาสินค้าจะแพงขึ้นอีกหรือไม่ เงินจำนวนเท่าเดิมที่มีอยู่ในกระเป๋าก็ด้อยค่าลงไป เพราะข้าวของแพงขึ้น ทำให้ซื้อของได้น้อยลง ธุรกิจก็ขายของได้น้อยลง ซึ่งที่สุดแล้วจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศแย่ลงได้
โดยสรุปคือ ภาวะเงินเฟ้อใช้เพื่อวัดค่าครองชีพของประชาชน ภาวะเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นต่อเมื่อราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปสูงขึ้นต่อเนื่อง หากสูงขึ้นแล้วปรับลดลง จะไม่นับว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อในระดับอ่อนๆ จะไม่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ แต่หากเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงๆ จะทำให้ค่าของเงินที่เรามีอยู่ด้อยค่าลงไป ทำให้ซื้อของได้น้อยลง ธุรกิจไม่สามารถผลิตหรือลงทุนได้เพราะมีความไม่แน่นอนเรื่องราคาอยู่สูง ซึ่งจะมีผลกระทบทางลบต่อระบบเศรษฐกิจในที่สุด

Related link:
www.price.moc.go.th , www.bot.or.th

 

 

 

 

 

 

หมายเหตุ * ข้อมูลจริง
( ) รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนตุลาคม 2555
     

รายงานนโยบายการเงิน ย้อนหลัง

ประจำปี

- พม่า 36.9%

- ซิมบับเว 16170%

 

 

 

 

Everybody are billionaire....
(ทุก ๆ คนเป็นเศรษฐีพันล้าน)



To buy food in plastic packet......you have to spend at least 10 million
(ซื้ออาหารสำเร็จรูป...คุณต้องจ่ายเงินอย่างน้อย 10 ล้าน)



To buy vegetables.....5 million
(ซื้อผัก...5 ล้าน)



To buy Eggs...6000 million .....
(ซื้อไข่ไก่...6000 ล้าน)



To buy Chicken.....how many million?
(ซื้อไก่...จะกี่ล้านละเนี่ย)



If you want to eat in restaurant, please prepare the money........
(ถ้าคุณต้องการจะไปกินอาหารในร้านอาหารล่ะก็....กรุณา เตรียมเงิน)



After meal, have to drink...
(หลังอาหาร ก้อต้องดื่ม)



After getting montly salary.......you need to rent a taxi or lorry to bring back the money.....
(หลังจากได้รับเงินเดือน...คุณจำเป็นที่จะต้องเช่าแท ๊กซี่หรือรถบรรทุก เพื่อนำเงินกลับ)



Young kid....already become millionaire
(เด็กน้อย ก้อป็นเศรษฐีกันแล้ว)



Nobody want to count the money, just weight it.......
(ไม่มีใครใช้การนับเงิน ต้องใช้การชั่งน้ำหนักเอา)



Otherwise, this what you should do everytime you go to shop, market, bus station etc.....
(ไม่งั้นคุณต้องนับตลอดเวลาเมื่อคุณไปร้านค้า ,ตลาด ,สถานีรถประจำทาง ฯลฯ)

 

 

 

************************************************************

 

 

"หมอวรงค์" โพสต์เฟสบุ๊คเหน็บ "เต้น" หน้าแตกกลางสภาฯ ลั่นยินดีพิสูจน์ข้อเท็จจริงจำนำข้าว

 

วันที่ 9 ก.พ. นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.พิษณุโลก ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟสบุ๊คส่วนตัว (Warong Dechgitvigrom) ระบุถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เตรียมแจ้งความเอาผิดตน โดยจงใจนำข้าวมาปลอมแปลงประกอบการอภิปรายในสภาเพื่ออธิบายว่า เป็นข้าวในสต๊อกของรัฐบาลที่อยู่ในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า "ผมได้ตรวจสอบข่าวออนไลน์พบว่า ท่านอำมาตย์เต้นกำลังเต้นกับกระทู้ข้าวเน่า สงสัยคงหน้าแตกกลางสภาฯ เพราะเห็นหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ เลยแจ้งให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) มาดำเนินคดีกับผม ซึ่งผมว่าจะเป็นการดีมากเลยที่ท่านเต้น จะดำเนินคดีกับผมจริงๆ อย่างน้อยผมจะได้พิสูจน์ต่อสังคมว่า นิสัยผมถ้าไม่มีหลักฐานจริงหรือมีเอกสารยืนยันผมไม่พูดหรอก ผมไม่ใช่ประเภทบอกให้เผาจะรับผิดชอบเองแล้วไม่รับผิดชอบ ผมจะได้ขออำนาจศาลพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า โครงการรับจำนำข้าวนั้น "ทุจริตแบบไร้รอยต่อจริงๆ" ต้องย้ำว่า ข้าวเน่าไม่ใช่เน่าเพราะการจัดเก็บแต่เป็นการสมรู้ร่วมคิดเอาข้าวเน่ามายัด ใส่โกดังรัฐบาล และมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะกับพวกตรวจคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) ส่วนข้าวขาวดีๆ ไปอยู่ไหนนั้น ก็เอาไปขายซิ"

 

 

มติชน

 

///////////////////////

 

 

 

เมื่อวาน

 

 

 

รองผู้ว่าฯ ตำรวจ สื่อมวลชน และ จนท. อคส.อตก.ตรวจโกดังข้าว สร 04 ไม่มีปัญหาข้าวเสื่อมคุณภาพ ตามที่ ปชป.เอามาอ้าง

ตามที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้(7 ก.พ.) โดยในการพิจารณาวาระกระทู้ถามสดของ นายวรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรีถึงปัญหาการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของ รัฐบาล พร้อมนำถุงข้าวสาร 2 ถุง โดยระบุเป็นตัวอย่างข้าวเสื่อมคุณภาพที่ได้จากโกดังจังหวัดสุรินทร์ ของปี 2556 นั้น

วันนี้(8 ก.พ.) นายพิภพ ดำทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมคณะกรรมการโครงการรับจำนำข้าวจังหวัดสุรินทร์ ประกอบด้วย พานิชย์จังหวัด การค้าภายใน ตำรวจ สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่ อคส. อตก. และเจ้าหน้าที่ เซอร์เวย์เยอร์ ร่วมกันตรวจสอบข้าวสารที่คลังสินค้ากลาง ข้าวสาร อคส.ปี 2555/56 ที่ หจก.สหพืชผลท่าตูม เลขที่ 280 ม.7 ต.ท่าตูม อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นโกดังเพียงแห่งเดียวของจังหวัดที่เก็บข้าว( รหัส สร. 04 )ตามที่มีการกล่าวอ้าง ว่ามีข้าวเหลือง ข้าวไม่ได้คุณภาพ ปรากกฎว่า ข้าวที่ตรวจ เป็นข้าวสีขาวปกติและได้มาตรฐาน ไม่มีสิ่งเจือปนตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ซึ่งนายพิภพ ดำทองสุข กล่าวว่า คณะกรรมการตามโครงการรับจำนำข้าวของจังหวัดสุรินทร์ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของการรับจำนำข้าวทุกประการ และข้าวสารที่บรรจุกระสอบ รหัส สร.04 ก็มีอยู่ที่โกดังแห่งนี้เพียงแห่งเดียว ผลการตรวจสอบก็ได้มาตรฐานตามที่รัฐบาลกำหนด และโครงการนี้ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือเกษตรกรชาวนาทุกคน

ส่วนนายสมชาย พรเรืองวงศ์ เจ้าหน้าที่ เซอร์เวย์เยอร์ บริษัท อามานะ จำกัด ซึ่งเป็นกรรมการร่วมกันตรวจสอบข้าวสารที่โกดัง ของ อคส.ในจังหวัดสุรินทร์( รหัส สร. 04 ) กล่าวว่า การนำข้าวมาเก็บที่โกดังแห่งนี้ ได้ดำเนินการตามระเบียบทุกขั้นตอนที่จะนำข้าวมาเก็บในโกดัง คณะกรรมการได้ตรวจเช็คอย่างละเอียดทุกกระสอบก่อนที่จะนำมาเก็บยังโกดังของ อคส.และ อตก. นอกจากนี้ยังได้ทำการอบรมควันฆ่าแมลงครั้งแรกภายใน 45 วัน และจะดำเนินการครั้งต่อไปในทุกๆ30 วัน เพื่อป้องกันมอดและแมลงต่าง ๆ ที่จะทำให้ข้าวเสียหายได้ จึงขอยืนยันว่าข้าวตามรหัส สร 04 เป็นข้าวที่มีคุณภาพทุกกระสอบ

เดลินิวส์

///////////

 

 

 

จริงถ้าวารงสามารถชี้โกดังที่มาได้..และทำแบบไม่ได้ใส่ร้าย...ประชาชนจะเชียร์เยอะนะ

หากมีการปล่อยให้สลับเปลี่ยนเอาข้าวเน่า มาแทนข้าวดีได้

ผมก็จะด่าไม่เลี้ยงเหมือนกัน..แต่ขอหลักฐานที่ชัดๆหน่อย เท่านั้นเอง

แบกกระสอบข้าวทำด้วยป่าน...เข้ามาในสภา

 

ทำเหมือนชาวบ้านรู้ไม่ทัน...

สมัยนี้เขาใช้กระสอบใยสังเคราะห์เพื่อกันความชื้นกันเเล้ว.....

 

 

7 ก.พ.56
หมอวรงค์ตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสภาผู้เเทนราษฎร  :" ...เชื่อว่าไอ้พวกที่อ้างเสียงข้างมาก อ้างไร้รอยต่อ วันใดเข้าคูหากาบัตรต้องลงโทษ,,,,,,"

9 ก.พ.56
เลือกตั้งซ่อมพลบุรี เขต 4
พรรคเพื่อไทย 49,146 คะแนน (+10,284 คะแนน)
พรรคภูมิใจไทย 36,994 คะแนน (-7,872 คะแนน)

นโยบาย รับจำนำข้าว แผลงฤิทธ

ลพบุรี สิงหบุรี อ่างทอง ชัยนาท อยูธยา สุพรรณบุรี

แหล่งปลูกข้าวขนาดใหญ่ของประเทศ

คนลพบุรีเขาช่วยลงโทษพรรคเพื่อไทยให้แล้วนะ..คุณหมอ..................

 

 

 

처음 이전 ... 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | ... 다음 끝

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>